Carro แนะนำรถ SUV และ MPV แบบ 7 ที่นั่ง ที่ขายดี!

ถ้าจะให้พูดถึง “รถ SUV” (Sport Utility Vehicle) และ “รถ MPV” (Multi-Purpose Vehicle) มือสอง ในบ้านเราจัดเป็นรถขายดีทีเดียว เพราะเป็นรถที่เหมาะกับคนมีครอบครัวใหญ่ ไปไหนไปกันได้หลายคน เริ่มต้นตั้งแต่แบบ SUV Crossover ซึ่งมาจากคำว่า Crossover Utility Vehicle เป็นรถที่ประกอบเป็นชิ้นเดียวกันทั้งคัน ดูคล้ายกับรถเก๋งยกสูง เน้นความอเนกประสงค์ ตัวรถไม่ใหญ่มากนัก เหมาะกับการใช้งานในเมืองเป็นหลัก หรืออาจลุยได้บ้าง แต่ก็ไม่มากเท่ากับแบบ SUV แท้ๆ

สำหรับรถ SUV นั้น ก็ยังมีอีก 2 แบบหลักๆ ได้แก่ SUV แบบที่มีลักษณะเดียวกันกับรถแนว Crossover แต่มีขนาดตัวรถที่ใหญ่กว่า ดูลุยกว่า มีที่นั่งทั้งแบบ 5 ที่นั่ง และ 7 ที่นั่ง

Carro แนะนำรถ SUV และ MPV แบบ 7 ที่นั่ง ที่ขายดี!

และรถ SUV ที่มีพื้นฐานตัวรถเป็นแชสซีส์ แบบเดียวกับรถกระบะ หรือที่บ้านเรามักเรียกกันว่า “รถ PPV” หรือ Pick-up Passenger Vehicle แต่ปรับช่วงล่างให้นุ่มนวลขึ้น ด้วยการใช้คอยล์สปริง ตัวรถมีขนาดใหญ่ ส่วนใหญ่จะนั่งได้ 7 ที่นั่ง สามารถวิ่งในเมือง หรือลุยในทางฝุ่น เข้าป่าฝ่าดงได้

และรถในรูปแบบ MPV ที่เหมาะสำหรับคนมีครอบครัวใหญ่ ที่มีทั้งเด็กเล็ก และผู้สูงอายุ เน้นการใช้งานใช้เมืองสะดวกสบาย เข้า-ออก สะดวกกว่า มีทั้งแบบประตูเปิดแบบรถปกติ และประตูแบบบานเลื่อน ส่วนใหญ่ก็จะเป็นรถที่มี 7 ที่นั่งเช่นกัน

แต่ด้วยงบประมาณของหลายคนเวลานี้อาจมีจำกัด เนื่องจากวิกฤตโควิด-19, เศรษฐกิจฝืดเคือง และน้ำมันแพง ทำให้การเลือกรถใช้สักคัน ต้องคำนึงถึงราคา และความประหยัดกันมากขึ้น

Carro จึงรวบรวมรถ SUV, Crossover และ MPV มือสอง ที่ขายดีใน Carro และน่าซื้อในปี 2022 มาให้ทุกท่านเลือกซื้อกันแล้วครับ

Carro แนะนำรถ SUV และ MPV แบบ 7 ที่นั่ง ที่ขายดี!

1. Toyota Fortuner (โตโยต้า ฟอร์จูนเนอร์)

รถอเนกประสงค์ยอดฮิตที่สุดในไทยอีกรุ่นหนึ่ง ซึ่งเป็นรถที่รถขายดีใน Carro ราคาตกน้อย และการดูแลรักษา อะไหล่หาง่าย นั่นก็คือ Toyota Fortuner มือสอง (โตโยต้า ฟอร์จูนเนอร์ มือสอง) ในเจเนอเรชั่นที่ 2 นั่นเอง

รถอเนกประสงค์ Toyota Fortuner โฉมนี้ มาพร้อมสโลแกน “New Legend of the Pride” หรือ “เหนือนิยามแห่งศักดิ์ศรี” เปิดตัวเมื่อวันที่ 16 กรกฎาคม 2558 ภายใต้โครงการ IMV ของ Toyota พร้อมขยายเฟรมให้ใหญ่ขึ้น และพัฒนาช่วงล่างแบบ 4 ลิงค์ เครื่องยนต์ใหม่ รวมถึงดีไซน์ที่หรูหรา ล้ำสมัย ทั้งภายนอก-ภายใน โดยเฉพาะ 3 เส้นสายแห่งดีไซน์ (3 Iconic Lines) ออกแบบได้สวยทั้งหน้าและหลัง

ห้องโดยสารภายใน มีฟังก์ชั่นเด่นๆ อย่าง เบาะนั่งคนขับปรับไฟฟ้า 8 ทิศทาง, ระบบนำทาง (Navigator) พร้อมเครื่องเล่น DVD หน้าจอแบบสัมผัสขนาด 7 นิ้ว รองรับ T-Connect และการเชื่อมต่อ Bluetooth, ระบบปรับอากาศแบบอัตโนมัติสามารถควบคุมแรงลมอัตโนมัติ, กล้องมองภาพด้านหลัง, ระบบไฟหน้า เปิด-ปิด อัตโนมัติ, ระบบ Cruise Control หรือช่องเก็บของแบบ Cool Box เป็นต้น

มาพร้อมขุมพลังเครื่องยนต์ดีเซลคอมมอนเรล เจเนอเรชั่นใหม่ (GD Efficient Boost) ทั้งในแบบ 2.4 ลิตร รหัส 2GD-FTV (High) แบบ 4 สูบ DOHC 16 วาล์ว VN Turbo Intercooler Commonrail ให้แรงม้าสูงสุด 150 แรงม้า ที่ 3,400 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 400 นิวตัน-เมตร ที่ 1,600 – 2,000 รอบ/นาที

ขนาด 2.8 ลิตร รหัส 1GD-FTV แบบ 4 สูบ VN Turbo Intercooler Commonrail ให้แรงม้าสูงสุด 177 แรงม้า ที่ 3,400 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 450 นิวตัน-เมตร ที่ 1,600-2,400 รอบ/นาที แรงม้าและแรงบิดเพิ่มขึ้นกว่าเครื่องยนต์ตระกูล KD รุ่นเดิม แถมกินน้ำมันลดลง 10%

เพิ่มประสิทธิภาพในการเผาไหม้ ให้แรงบิดสูงในช่วงรอบกว้าง (Flat torque) แต่ประหยัดน้ำมันดีเยี่ยม ผสานกับเกียร์ธรรมดา 6 สปีด (เฉพาะรุ่นดีเซล 2.4) และเกียร์อัตโนมัติ 6 สปีด พร้อม Sequential Shift กับระบบ Paddle Shift เปลี่ยนเกียร์ที่พวงมาลัย

และเบนซินขนาด 2.7 ลิตร รหัส 2TR-FE แบบ 4 สูบ DOHC 16 วาล์ว Dual VVT-i ให้แรงม้าสูงสุด 166 แรงม้า ที่ 5,200 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 245 นิวตัน-เมตร ที่ 4,000 รอบ/นาที

อ่านเพิ่มเติม >> Carro แนะนำ Toyota Fortuner ลุยได้ทุกฤดู

ดูรายละเอียด Toyota Fortuner มือสอง ทุกรุ่นได้ที่นี่

Carro แนะนำรถ SUV และ MPV แบบ 7 ที่นั่ง ที่ขายดี!

2. Toyota Sienta (โตโยต้า เซียนต้า)

Toyota Sienta มือสอง (โตโยต้า เซียนต้า มือสอง) จัดเป็นรถยนต์นั่งอเนกประสงค์รูปแบบใหม่ ในโฉมเจเนอเรชั่นที่ 2 นี้ เปิดตัวครั้งแรกที่ประเทศญี่ปุ่น ในปี 2558

การออกแบบภายนอก ได้แรงบันดาลใจจาก “Urban Trekking Shoes” หรือ “รองเท้าเดินป่าสมัยใหม่” โดดเด่นด้วยชุดไฟหน้าแบบโปรเจคเตอร์ Bi-Beam LED พร้อมไฟ Daytime Running Lights แบบ LED, ไฟหรี่ และไฟท้าย LED แบบ Light Guiding, กระจกมองข้างปรับ/พับไฟฟ้า พร้อมไฟเลี้ยว และล้ออัลลอยขนาด 16 นิ้ว

ภายในออกแบบให้มี 3 แถว 7 ที่นั่ง พื้นที่กว้างขวาง จัดเต็มกับเครื่องเล่น DVD/CD/MP3/WMA พร้อมจอสัมผัสขนาด 7 นิ้ว พวงมาลัยไฟฟ้า พร้อมปุ่มควบคุมเครื่องเสียงและ MID กับระบบแอร์อัตโนมัติ ควบคุมอุณหภูมิแบบ Digital, ระบบสตาร์ทอัจฉริยะ (Push Start), ประตูข้างซ้าย-ขวา สไลด์อัตโนมัติ แบบ Smart Entry และเบาะพับง่ายแค่เพียงสัมผัส (1-Touch Tumble) พร้อมระบบความปลอดภัยครบครัน

ขุมพลังใช้เครื่องยนต์รหัส 2NR-FE ขนาด 1.5 ลิตร 4 สูบ DOHC 16 วาล์ว Dual VVT-i ให้แรงม้าสูงสุด 108 แรงม้า ที่ 6,000 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 140 นิวตัน-เมตร ที่ 4,200 รอบ/นาที อัตราสิ้นเปลืองน้ำมันอยู่ที่ 16.1 กม./ลิตร ส่งกำลังผ่านเกียร์อัตโนมัติแบบ CVT พร้อมระบบ Sport Sequential Shift 7 สปีด

อ่านเพิ่มเติม >> Carro แนะนำ Toyota Sienta สำหรับครอบครัว

ดูรายละเอียด Toyota Sienta มือสอง ทุกรุ่นได้ที่นี่

Carro แนะนำรถ SUV และ MPV แบบ 7 ที่นั่ง ที่ขายดี!

3. Toyota Innova Crysta (โตโยต้า อินโนว่า คริสต้า)

Toyota Innova Crysta มือสอง (โตโยต้า อินโนว่า คริสต้า มือสอง) เป็นรถเจเนอเรชั่นที่ 2 ของ Innova ที่ยังได้รับความนิยมทั้งในตลาดรถป้ายแดง และรถมือสองอย่างต่อเนื่อง เป็นการนำเข้าจากอินโดนีเซียเช่นเคย (เพราะที่อินโดนีเซีย นิยมรถประเภท MPV มาก ยอดขายเยอะ ฐานการผลิตรุ่นนี้จึงอยู่ที่นั่น)

เปิดตัวในไทยเมื่อเดือนกันยายน 2559 อัพเกรดความหรูหรามาเต็มพิกัด ภายใต้แนวคิด “Life is Infinite – เปลี่ยน…ให้ชีวิตทุกด้านเหนือระดับ”

ภายนอก ดีไซน์หรูหราโฉบเฉี่ยว แบบ Premium Crossover MPV มาพร้อมสเกิร์ตรอบคัน ไฟหน้า LED Projector พร้อม Daytime Running Lights มีไฟตัดหมอกหน้า กระจกมองข้างพร้อมไฟเลี้ยว และไฟ Welcome Light สปอยเลอร์หลัง พร้อมเสาอากาศแบบ Shark Fin และล้ออัลลอยขนาด 17 นิ้ว เป็นต้น

ห้องโดยสารกว้างขวาง ให้ความรู้สึกเสมือนอยู่ในบ้าน ภายใต้ Concept “Living Room Like” เติมเต็มด้วยอุปกรณ์อำนวยความสะดวกระดับพรีเมียม อาทิ ไฟส่องสว่างในห้องโดยสารแบบซ่อนฝ้า Premium Illumination LED แผงควบคุมไฟห้องโดยสาร และระบบแอร์แบบแยกส่วน พวงมาลัยพร้อมปุ่มควบคุม มาตรวัดเรืองแสง Optitron พร้อมจอแสดงข้อมูลการขับขี่ MID หน้าจอสีแบบ TFT ระบบ Push Start ระบบ Smart Entry ควบคุมการล็อค-ปลดล็อคประตูอัจฉริยะ และมีช่องเก็บของแบบ Cool Box

เบาะนั่งคนขับปรับไฟฟ้า 8 ทิศทาง เบาะนั่งแถวที่ 2 แบบ Captain Seat มาพร้อมที่พักแขน ระบบควบคุมความเร็วอัตโนมัติ Cruise Control, DVD & Navigator ระบบเครื่องเสียงหน้าจอสัมผัสขนาด 8 นิ้ว พร้อมรองรับระบบ T-Connect และช่องต่อ USB

ในรุ่น 2.8V และ 2.8G มาพร้อมเครื่องยนต์ดีเซล คอมมอนเรล GD Efficient Boost รหัส 1GD-FTV (High) 4 สูบแถวเรียง 16 วาล์ว DOHC VN Turbo Intercooler ให้แรงม้าสูงสุด 174 แรงม้า ที่ 3,400 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 360 นิวตัน-เมตร ที่ 1,200-3,400 รอบ/นาที ขับเคลื่อนด้วยเกียร์อัตโนมัติ 6 สปีด พร้อม Sequential Shift

ส่วนรุ่น 2.0E ใช้เครื่องยนต์เบนซินรหัส 1TR-FE แบบ 4 สูบ DOHC 16 วาล์ว Dual VVT-i ให้แรงม้าสูงสุด 139 แรงม้า ที่ 5,600 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 183 นิวตัน-เมตร ที่ 4,000 รอบ/นาที ขับเคลื่อนด้วยเกียร์ธรรมดา 5 สปีด รองรับแก๊สโซฮอล์ E20

อ่านเพิ่มเติม >> Carro แนะนำ Toyota Innova รถอเนกประสงค์

ดูรายละเอียด Toyota Innova Crysta มือสอง ทุกรุ่นได้ที่นี่

Carro แนะนำรถ SUV และ MPV แบบ 7 ที่นั่ง ที่ขายดี!

4. Nissan X-Trail (นิสสัน เอ็กซ์เทรล)

Nissan X-Trail มือสอง (นิสสัน เอ็กซ์เทรล มือสอง) เจเนอเรชั่นที่ 3 ซึ่งเป็นรุ่นสุดท้ายที่ขายในไทย เปิดตัวในไทยเป็นทางการในไทยเมื่อ 18 พฤศจิกายน 2557 มาพร้อมเครื่องยนต์ขนาด 2.0 ลิตร และ 2.5 ลิตร แม้ว่าจะช้ากว่าในตลาดโลก แต่ก็ทำให้ตลาดรถ SUV ได้ตื่นเต้นไปตามๆ กัน ด้วยรูปลักษณ์ใหม่ และฐานล้อที่ยาวขึ้น มีเทคโนโลยีและอุปกรณ์ติดตั้งครั้งแรกในกลุ่มรถประเภทนี้ อาทิ หน้าจอแสดงข้อมูลอัจฉริยะ 3 มิติ ขนาด 5 นิ้ว แสดงข้อมูลการขับขี่ หรือไฟหน้า LED Projector พร้อมไฟส่องสว่างเวลากลางวัน เป็นต้น

ส่วนพื้นที่ภายในหรูหรา โดดเด่นมากขึ้น เบาะนั่งแบบ 3 แถว และที่นั่งแบบ 5+2 ที่ ซันรูฟแบบพาโนรามิค และประตูท้ายเปิด-ปิดอัตโนมัติ เพิ่มความสะดวกสบายและพื้นที่ใช้สอย เหมาะที่จะเป็นรถสำหรับทุกครอบครัว

นอกจากนี้ เทคโนโลยีเด่นๆ ไม่ว่าจะเป็น ระบบกล้องมองรอบทิศทาง 360 องศา (Around View Monitor) ระบบช่วยลดความเร็วอัตโนมัติ (Active Engine Brake) และระบบช่วยลดอาการโยนตัวบนทางขรุขระ (Active Ride Control) ช่วยให้คุณขับขี่ได้อย่างมั่นใจ

ต่อมาในวันที่ 5 กุมภาพันธ์ 2562 ได้เปิดตัวรุ่นไมเนอร์เชนจ์ พร้อมกันทั้งรุ่นเครื่องยนต์เบนซิน และ Hybrid รายแรกในกลุ่ม SUV ในไทย เพิ่มฟังก์ชั่นมากมาย ตอบสนองวิถีชีวิตคนเมือง เช่น ระบบเปิด-ปิด ประตูท้ายอัตโนมัติแบบระบบแฮนด์ฟรี เป็นต้น นอกจากนี้ ยังเปลี่ยนเครื่องเสียงรุ่นใหม่แบบ A-IVI หรูหราและตอบสนองไลฟ์สไตล์ลูกค้ายิ่งขึ้น

ใช้เครื่องยนต์เบนซินขนาด 2.5 ลิตร รหัส QR25DE แบบ 4 สูบ DOHC 16 วาล์ว Twin C-VTC ให้แรงม้าสูงสุด 171 แรงม้า ที่ 6,000 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 233 นิวตันเมตร ที่ 4,000 รอบ/นาที

ส่วนเครื่องยนต์ Hybrid ขนาด 2.0 ลิตร รหัส MR20DD Hybrid แบบ 4 สูบ DOHC 16 วาล์ว Twin C-VTC ให้แรงม้าสูงสุด 144 แรงม้า ที่ 6,000 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 200 นิวตันเมตร ที่ 4,400 รอบ/นาที + มอเตอร์ไฟฟ้าให้กำลังสูงสุด 41 แรงม้า และแรงบิดสูงสุด 160 นิวตันเมตร ซึ่งทั้งสองรุ่นย่อย ส่งกำลังผ่านเกียร์อัตโนมัติ Xtronic CVT พร้อม Manual Mode 7 สปีด (M-CVT)

อ่านเพิ่มเติม >> เจาะลึกจุดเด่น! + ตารางราคา-ผ่อน-ดาวน์ Nissan X-Trail 2019

ดูรายละเอียด Nissan X-Trail มือสอง ทุกรุ่นได้ที่นี่

Carro แนะนำรถ SUV และ MPV แบบ 7 ที่นั่ง ที่ขายดี!

5. Nissan Terra (นิสสัน เทอร์ร่า)

Nissan Terra มือสอง (นิสสัน เทอร์ร่า มือสอง) เปิดตัวครั้งแรกในไทยเมื่อ 16 สิงหาคม 2561 รถยนต์อเนกประสงค์แบบตัวถังบนแชสซีส์ (หรือรถ PPV ตามที่ Nissan เรียก) มาพร้อมไฟหน้าโปรเจคเตอร์ ที่รับกับกระจังหน้าแบบ V-Motion ส่วนชุดประตูหน้านั้นเหมือน Navara และด้านท้ายถูกออกแบบใหม่หมด ไฟท้ายเป็นแบบ LED มาพร้อมล้อแม็กขนาด 18 นิ้ว

ห้องโดยสารภายในยกชุดมาจาก Navara แต่ตกแต่งให้หรูหราขึ้น ด้วยโทนสีดำตัดด้วยสีเงิน แบบ Gliding Wing 7 ที่นั่ง กว้างขวาง และเงียบ มีเครื่องเสียงระบบหน้าจอสัมผัส, ระบบปรับอากาศอัตโนมัติแบบ 2 โซน, กุญแจ Keyless Entry พร้อมปุ่มสตาร์ทเครื่องยนต์ เบาะคนขับปรับไฟฟ้า 8 ทิศทาง เบาะนั่งแถว 2 มีระบบพับอัตโนมัติแบบแบนราบ และระบบแอร์เพดานแยกส่วนกระจายทั่วห้องโดยสาร เป็นต้น

มาพร้อมขุมพลังดีเซลขนาด 2.3 ลิตร รหัส YS23DDTT แบบ 4 สูบ DOHC Twin-Turbo Intercooler ให้แรงม้าสูงสุด 190 แรงม้า ที่ 3,600 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 450 นิวตันเมตร ที่ 1,500 รอบ/นาที ส่งกำลังด้วยเกียร์อัตโนมัติ 7 สปีด พร้อม Manual Mode

พร้อมเทคโนโลยีจาก Nissan Intelligent Mobility โดย Terra เป็น SUV รายแรก ที่มีเทคโนโลยีกระจกมองหลังอัจฉริยะ หรือ Intelligent Rear View Mirror (IRVM) นอกจากนี้ยังติดตั้งเทคโนโลยีเตือนเมื่อรถออกนอกช่องทาง หรือ Lane Departure Warning (LDW), เทคโนโลยีเตือนจุดอับสายตา Blind Spot Warning (BSW) และเทคโนโลยีกล้องอัจฉริยะมองภาพรอบทิศทาง Intelligent Around View Monitor (IAVM) ที่มาพร้อมเทคโนโลยีตรวจจับ และส่งสัญญาณเตือนวัตถุ และบุคคลที่เคลื่อนไหวจากกล้องรอบคัน หรือ Moving Object Detection (MOD) โดยทั้งหมดนี้ ช่วยเพิ่มความเชื่อมั่น กับความสะดวกสบายอย่างสูงสุดสำหรับผู้โดยสารทุกคน

อ่านเพิ่มเติม >> เจาะลึกจุดเด่น! + ตารางราคา-ผ่อน-ดาวน์ Nissan Terra 2018

ดูรายละเอียด Nissan Terra มือสอง ทุกรุ่นได้ที่นี่

Carro แนะนำรถ SUV และ MPV แบบ 7 ที่นั่ง ที่ขายดี!

6. Honda CR-V (ฮอนด้า ซีอาร์วี)

Honda CR-V มือสอง (ฮอนด้า ซีอาร์วี มือสอง) รุ่นยอดฮิตและเป็นรถขายดีใน Carro โฉมนี้ เปิดตัวในไทยเมื่อวันที่ 24 มีนาคม 2560 จัดเป็นรถยนต์ SUV อเนกประสงค์รุ่นใหญ่เจเนอเรชั่นที่ 5 ของตระกูล CR-V ที่ออกแบบใหม่ทั้งคัน ด้วยพื้นที่ห้องโดยสารกว้างขึ้น ตอบโจทย์ทุกไลฟ์สไตล์ด้วยเบาะนั่ง 3 แถว 7 ที่นั่ง และแบบ 2 แถว 5 ที่นั่ง ที่ตามออกมาในเดือนพฤศจิกายน 2561

ภายในห้องโดยสารกว้างขวางสะดวกสบายและเงียบยิ่งขึ้นในทุกการเดินทาง ออกแบบภายในหลักการที่ว่า “Urban BASE Beautility” หรูหราด้วยแผงคอนโซลหน้าขนาดใหญ่ ตกแต่งด้วยเส้นสายลายไม้ และวัสดุสี Piano Black พร้อมพื้นที่เก็บสัมภาระด้านท้ายที่มากถึง 561 ลิตร (ในรุ่น 5 ที่นั่ง) หากพับเบาะหลังลง จะเพิ่มเนื้อที่ได้มากถึง 1,123 ลิตร และ 936 ลิตร ในรุ่น 7 ที่นั่ง

มาพร้อมเบาะนั่ง 3 แถว 7 ที่นั่ง และระบบปรับอากาศสำหรับผู้โดยสารแถว 2 และ 3 เบาะนั่งด้านคนขับปรับไฟฟ้า 8 ทิศทาง พร้อมปุ่มปรับดันหลังไฟฟ้า 4 ทิศทาง มีะบบเครื่องเสียงหน้าจอสัมผัสขนาด 7 นิ้ว แบบ Advanced Touch รองรับการเชื่อมต่อ Apple CarPlay มาตรวัดพร้อมหน้าจอแสดงข้อมูลการขับขี่แบบ TFT ซึ่งสามารถแสดงผลฟังก์ชั่นการใช้งานที่หลากหลาย เป็นต้น

มาพร้อมขุมพลังขับเคลื่อนเครื่องยนต์ดีเซล 1.6 ลิตร เป็นครั้งแรก! พัฒนาภายใต้เทคโนโลยีเอิร์ธดรีม (Earth Dreams Technology) ในรูปแบบ 4 สูบ DOHC 16 วาล์ว i-DTEC Diesel Turbo แบบ 2 จังหวะ (2-Stage Turbocharger) ให้แรงม้าสูงสุดถึง 160 แรงม้า ที่ 4,000 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุดที่ 350 นิวตัน-เมตร (35.6 กก.-ม.) ที่ 2,000 รอบ/นาที ซึ่งเทียบเท่ากับเครื่องยนต์ดีเซลขนาดใหญ่

ผสานการทำงานกับระบบเกียร์อัตโนมัติ 9 สปีด เป็นระบบเกียร์ไฟฟ้าที่ควบคุมการเปลี่ยนเกียร์ด้วยสวิตช์ (Shift by Wire)

และเครื่องยนต์เบนซินขนาด 2.4 ลิตร แบบ 4 สูบ DOHC 16 วาล์ว i-VTEC ให้แรงม้าสูงถึง 173 แรงม้า ที่ 6,200 รอบ/นาที ด้วยแรงบิดสูงสุดที่ 22.8 กก.-ม. ที่ 4,000 รอบ/นาที ผสานการทำงานกับเกียร์อัตโนมัติแบบ CVT ให้การตอบสนองที่ทันใจ พร้อมรองรับพลังงานทางเลือก E85

อ่านเพิ่มเติม >> สายลุยห้ามพลาด! Honda CR-V มือสอง น่าซื้อ น่าใช้ Carro มีให้เลือกแล้ว!

ดูรายละเอียด Honda CR-V มือสอง ทุกรุ่นได้ที่นี่

Carro แนะนำรถ SUV และ MPV แบบ 7 ที่นั่ง ที่ขายดี!

7. Honda Freed (ฮอนด้า ฟรีด)

Honda Freed มือสอง (ฮฮนด้า ฟรีด มือสอง) รุ่นแรกและรุ่นเดียวที่ขายในไทย เปิดตัวเมื่อวันที่ 18 พฤศจิกายน 2552 โดยการนำเข้ามาจากอินโดนีเซีย (ซึ่งนิยมรถ MPV แบบ 7 ที่นั่งมานาน) จัดเป็นรถยนต์นั่งเอนกประสงค์ Segment ใหม่ นั่นคือ MUV” (หรือ Multipurpose Utility Vehicle) ที่ Honda เรียก

ออกแบบตัวรถสไตล์ European ใช้รูปทรงสามเหลี่ยม และสี่เหลี่ยมโดดเด่นไม่เหมือนใคร ชูจุดเด่นด้วยตัวถังขนาดกระทัดรัด ห้องโดยสารกว้างขวาง ประหยัดน้ำมัน ขับขี่ง่าย ตัวรถสั้น หาที่จอดได้ง่าย จุดเด่นข้อที่สอง มีเครื่องยนต์ขนาดเล็ก ประหยัดน้ำมัน แต่ถ้าหากใช้วิ่งออกต่างจังหวัดยาวๆ ก็อาจกินน้ำมันนิดๆ

ตัวรถออกแบบให้มี 7 ที่นั่ง แบ่งเป็น 3 แถว พื้นห้องสัมภาระแบนราบ Flat Floor เดินในรถไม่ต้องกลัวสะดุด และเดินถึงกันได้ทุกมุม ส่วนเบาะแถวสองดีไซน์แบบ Captain’s Seats ปีกเบาะโอบกระชับ คุณแม่นั่งได้สบายๆ และเบาะแถวที่ 3 พับเก็บได้ วางของได้เพียบ เมื่อพับเบาะแล้วจะมีพื้นที่มากถึง 670 ลิตร

ส่วนชุดแผงคอนโซลออกแบบสไตล์ Open Cafe เป็นแบบ 2 ชั้น กว้าง ใช้งานได้หลากหลาย จะวางอาหาร หรือเครื่องดื่มก็ได้ ซึ่งใช้งานได้จริงๆ (อย่างน้อยก็วางจานข้าว ไว้กินข้าว ตอนรถติดๆ ได้!) ส่วนเครื่องเสียงของฟรีด สามารถเชื่อมต่อ iPod ด้วย USB Port ได้

มาพร้อมขุมพลังขนาด 1.5 ลิตร แบบ 4 สูบ SOHC 16 วาล์ว i-VTEC ให้แรงม้าสูงสุด 118 แรงม้า ที่ 6,600 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 147 นิวตันเมตร ที่ 4,800 รอบ/นาที ส่งกำลังผ่านเกียร์อัตโนมัติแบบ 5 สปีด และขับเคลื่อนล้อหน้า

อ่านเพิ่มเติม >> Carro แนะนำ Honda Freed ยอดรถอเนกประสงค์ สำหรับครอบครัว!

ดูรายละเอียด Honda Freed มือสอง ทุกรุ่นได้ที่นี่

Carro แนะนำรถ SUV และ MPV แบบ 7 ที่นั่ง ที่ขายดี!

8.  Isuzu MU-X (อีซูซุ มิว-เอ็กซ์)

Isuzu MU-X มือสอง (อีซูซุ มิว-เอ็กซ์ มือสอง) รุ่นที่มาทดแทน Isuzu MU-7 นี้ เปิดตัวครั้งแรกในโลกที่เมืองไทย เมื่อวันที่ 31 ตุลาคม 2556 มาพร้อมสโลแกน “เอกสิทธิ์แห่งผู้นำ” (PRIVILEGE of the LEADER) คล่องตัวสูงสำหรับการใช้งานในเมืองใหญ่ ด้วยความยาวตัวรถ 4.825 เมตร และวงเลี้ยวแคบสุดเพียง 5.7 เมตร หรือเทียบเท่ารถยนต์นั่งขนาดกลาง

โดดเด่นด้วยรูปทรงลู่ลม ไฟหน้าแบบ Projector กระจังหน้าแบบ 3-Dimension ไฟท้ายแบบ ARC-Dimension ด้านหลังติดตั้งกล้องแบบ Built-In เสาอากาศ Dual Function แบบครีบ รับได้ทั้งสัญญาณวิทยุและระบบนำทาง ราวหลังคาออกแบบใหม่ ปรับตำแหน่งยึดรูฟแร็คได้อิสระ

สำหรับการออกแบบภายในหรูหราสไตล์ยุโรป ด้วยแนวคิด “Premium & Exclusive” เบาะนั่งกึ่งหนังแท้สี Ivory เบาะผู้ขับปรับไฟฟ้า 6 ทิศทาง เข็มขัดนิรภัยแบบ 3 จุดครบทั้ง 7 ที่นั่ง แผงหน้าปัดตกแต่งด้วยลายไม้แบบ Nature Touch มาตรวัดเป็นไฟเรืองแสงสีขาวพร้อมตัวเลขสีขาว พวงมาลัยมัลติฟังก์ชั่น ระบบอินโฟเทนเมนท์ Isuzu Media Solutions พร้อมระบบนำทาง i-Genii ทำงานผ่านจอทัชสกรีน 7 นิ้ว เสริมด้วยมอนิเตอร์บนเพดาน Built-In ขนาด 10.5 นิ้ว ระบบเสียง Surround Sound ลำโพง 8 ทิศทาง

ระบบปรับอากาศแบบอัตโนมัติทั้ง 3 ตอน พร้อมปุ่มควบคุมแยกตอนหน้า-หลัง ระบบปรับ-พับเบาะแบบ One Action ปรับเปลี่ยนพื้นที่ใช้สอยภายในได้หลากหลาย พร้อมกุญแจอัจฉริยะ Genius Entry ควบคุมการเปิด-ปิด และล็อกประตูได้ทุกบาน รวมถึงการสตาร์ทรถ พร้อมสวิตช์เปิด-ปิด ที่ประตูท้าย

ด้านขุมพลัง แรงเร้าใจกับเครื่องยนต์ Isuzu Ddi Super Commonrail สองทางเลือกกับขนาด 3.0 ลิตร รหัส 4JJ1-TCX ให้แรงม้าสูงสุด 177 แรงม้า ที่ 3,600 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 380 นิวตัน-เมตร ที่ 1,800-2,800 รอบ/นาที

และเครื่องยนต์ขนาด 2.5 ลิตร ให้แรงม้าสูงสุด 136 แรงม้า ที่ 3,600 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 320 นิวตัน-เมตร ที่ 1,800-2,800 รอบ/นาที พร้อมเทอร์โบแปรผัน VGS Turbo ใหม่ล่าสุดแบบ Zero GAP ลดช่องว่างระหว่างใบพัดกับเสื้อเทอร์โบ เพิ่มประสิทธิภาพการอัดอากาศเข้าสู่ห้องเผาไหม้ได้ดียิ่งขึ้น พร้อมเกียร์อัตโนมัติ 5 สปีด แบบ REV Tronic มีให้เลือกทั้งระบบขับเคลื่อน 2 ล้อ และขับเคลื่อน 4 ล้อ

ในรุ่นปรับโฉม Blue Power จึงโละเครื่องยนต์ขนาด 2.5 ลิตรออก แล้วแทนที่ไปด้วยเครื่องยนต์ใหม่! 1.9 ลิตร รหัส RZ4E-TC แบบ 4 สูบ DOHC 16 วาล์ว Commonrail DI VGS Turbo Intercooler ให้แรงม้าสูงสุด 150 แรงม้า ที่ 3,600 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 350 นิวตัน-เมตร ที่ 1,800-2,600 รอบ/นาที ส่งกำลังแบบเกียร์ธรรมดา 6 สปีด และเกียร์อัตโนมัติแบบ 6 สปีด

อ่านเพิ่มเติม >> Carro แนะนำ Isuzu MU-X เพื่อสายลุย!

ดูรายละเอียด Isuzu MU-X มือสอง ทุกรุ่นได้ที่นี่

Carro แนะนำรถ SUV และ MPV แบบ 7 ที่นั่ง ที่ขายดี!

9. Mitsubishi Pajero Sport (มิตซูบิชิ ปาเจโร่ สปอร์ต)

Mitsubishi Pajero Sport มือสอง (มิตซูบิชิ ปาเจโร่ สปอร์ต มือสอง) เจเนอเรชั่นที่ 2 นับตั้งแต่ปี 2015 – ปัจจุบัน ก็จัดว่าเป็นรถขายดีของทาง Carro ที่ภูมิใจเสนอ และอยากให้คุณได้เป็นเจ้าของกันครับ

สำหรับรถรุ่นนี้ เปิดตัวในไทยเมื่อเดือนสิงหาคม 2558 มีความล้ำสมัยที่สุดและครบครันด้วยอุปกรณ์อำนวยความสะดวกมากที่สุดเท่าที่เคยมีมา ยกระดับงานดีไซน์ล่าสุด “Dynamic Shield” ตัวถังใหญ่ แข็งแกร่ง และบึกบึน งานออกแบบยังสะท้อนแนวคิด “รูปลักษณ์ที่สอดคล้องกับการใช้งาน” ผสมผสานการปกป้อง สมรรถนะการขับขี่

ภายในห้องโดยสารหรูหราและอเนกประสงค์ยิ่งขึ้น และมีพื้นที่บรรทุกสัมภาระที่กว้างขวางที่สุดอีกรุ่นหนึ่ง มาพร้อมคอนโซลกลางเสริมด้วยวัสดุนุ่มบริเวณด้านข้าง รวมถึงหน้าจอสัมผัส 7 นิ้ว และระบบ Navigator  มาตรวัดแบบ High Contrast พร้อมการแสดงผลแบบอนิเมชั่น 3 มิติ และระบบฟอกอากาศ เทคโนโลยีนาโนอิ ยังรวมถึงช่องชาร์จไฟฟ้า 220V AC ช่องเก็บสมาร์ทโฟนสำหรับผู้ขับขี่และผู้โดยสาร เบรกมือไฟฟ้า ช่องระบบปรับอากาศดีไซน์ใหม่สำหรับผู้โดยสารแถวที่ 2 และ 3 ตลอดจนระบบกุญแจอัจฉริยะและปุ่มสตาร์ท

ยังรวมถึงระบบปรับอุณหภูมิอัตโนมัติ Dual Zone แยกปรับซ้าย-ขวา พวงมาลัยแบบปรับขึ้นลงและเข้าออกได้ เบาะนั่งคู่หน้าปรับไฟฟ้า 8 ทิศทาง หน้าจอบนเพดานสำหรับผู้โดยสารตอนหลัง กระจกมองหลังตัดแสงอัตโนมัติและระบบปรับอากาศด้านหลัง พร้อมระบบอำนวยความสะดวกและความปลอดภัยอัจฉริยะ (ETACS)

มาพร้อมเครื่องยนต์ดีเซลขนาด 2.4 ลิตร แบบ 4 สูบ DOHC 16 วาล์ว MIVEC บล็อกอลูมิเนียม ให้แรงม้าสูงสุด 181 แรงม้า ที่ 3,500 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 430 นิวตันเมตร ที่ 2,500 รอบ/นาที ส่งกำลังด้วยระบบเกียร์อัตโนมัติ 8 สปีด พร้อม Sport Mode และระบบ INC (Idle Neutral Control) + G-Sensor และระบบขับเคลื่อน Super Select 4WD-II

อ่านเพิ่มเติม >> Carro แนะนำ Mitsubishi Pajero Sport ขับแล้วอุ่นใจ พร้อมลุยน้ำท่วมหน้าฝน!

ดูรายละเอียด Mitsubishi Pajero Sport มือสอง ทุกรุ่นได้ที่นี่

Carro แนะนำรถ SUV และ MPV แบบ 7 ที่นั่ง ที่ขายดี!

10. Mitsubishi Xpander (มิตซูบิชิ เอ็กซ์แพนเดอร์)

Mitsubishi Xpander มือสอง (มิตซูบิชิ เอ็กซ์แพนเดอร์ มือสอง) รถ Crossover MPV ที่เปิดตัวในไทยเมื่อวันที่ 18 สิงหาคม 2561 โดยเป็นการนำเข้าจากอินโดนีเซีย ซึ่งเป็นตลาดใหญ่ของรถยนต์แบบ MPV ที่สร้างยอดขายให้กับมิตซูบิชิอย่างมาก อีกทั้งยังมีรุ่นแบบลุยๆ อย่าง Xpander Cross ตามมาขายในไทยให้ผู้บริโภคเลือกในภายหลังด้วย

มีรูปลักษณ์ที่โดดเด่น ดีไซน์ตัวรถด้วยหลัก Dynamic Shield พร้อมความสะดวกสบาย รวมถึงสไตล์และฟังก์ชั่นการใช้งาน หลอมรวมกันเป็นรถ Crossover MPV ซึ่งครบครันทั้งความสบายในการขับขี่ที่มาพร้อมสมรรถนะ และดีไซน์ที่โฉบเฉี่ยว และขับเคลื่อนล้อหน้า

พื้นที่ที่กว้างขวางด้วยห้องโดยสาร 7 ที่นั่ง และพื้นที่เก็บสัมภาระขนาดใหญ่ที่สุดในคู่แข่งระดับเดียวกัน ผู้โดยสารแถวที่ 3 สามารถเดินภายในได้อย่างสะดวกสบาย ขณะที่เบาะนั่งแถวที่สองสามารถพับเบาะกลางลงเพื่อใช้เป็นที่วางแขนได้ มีช่องวางแก้วน้ำให้ถึง 16 จุดรอบคัน มีระบบปรับอากาศสำหรับผู้โดยสารตอนหลัง

ใช้เครื่องยนต์เบนซินขนาด 1.5 ลิตร รหัส 4A91 แบบ 4 สูบ DOHC 16 วาล์ว MIVEC ให้แรงม้าสูงสุด 105 แรงม้า ที่ 6,000 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 141 นิวตัน-เมตร ที่ 4,000 รอบ/นาที ส่งกำลังผ่านเกียร์อัตโนมัติ 4 สปีด พร้อมปุ่ม Overdrive รองรับแก๊สโซฮอล์ E85

อ่านเพิ่มเติม >> Mitsubishi เปิดตัว Mitsubishi Xpander 2018

ดูรายละเอียด Mitsubishi Xpander มือสอง ทุกรุ่นได้ที่นี่

Carro แนะนำรถ SUV และ MPV แบบ 7 ที่นั่ง ที่ขายดี!

11. Suzuki Ertiga (ซูซูกิ เออร์ติก้า)

Suzuki Ertiga มือสอง (ซูซูกิ เออร์ติก้า มือสอง) เปิดตัวในวันที่ 6 กุมภาพันธ์ 2562 ชูจุดเด่นการเป็นรถยนต์ 7 ที่นั่ง ที่มอบสมรรถนะการขับขี่ที่ทรงพลังและความปลอดภัย

รูปโฉมภายนอก Suzuki Ertiga เป็นรถ 7 ที่นั่ง มีเส้นสายโฉบเฉี่ยว ห้องโดยสารภายในดูเรียบหรู ใช้วัสดุคุณภาพสูง พื้นที่ภายในขนาด 3 แถว 7 ที่นั่ง กว้างขวาง โปร่งสบาย อัดแน่นด้วยอุปกรณ์อำนวยความสะดวกสบาย

มาพร้อมแพลตฟอร์มใหม่ HEARTECT ช่วงล่างทำจากเหล็ก High Tensile ทนทานด้วยโครงสร้างตัวถัง TECT ออกแบบจากเหล็กกล้าทำให้ทนทานต่อการสึกหรอ ระบบ NVH ให้การขับขี่นุ่มนวล ดูดซับแรงสั่นสะเทือน พร้อมลดเสียงรบกวนตลอดเส้นทาง

มั่นใจในระบบถุงลมนิรภัย SRS คู่หน้า ระบบเบรก ABS / EBD และระบบ ESP ที่ช่วยควบคุมเสถียรภาพการทรงตัวให้เข้าโค้งได้อย่างแม่นยำ รวมทั้งระบบช่วยการออกตัวขณะอยู่บนทางลาดชัน และมีจุดยึดเบาะนั่งนิรภัย ISOFIX และ Top tether สำหรับเด็กอีกด้วย

ใช้เครื่องยนต์ใหม่ K15B 1.5 ลิตร 105 แรงม้า ให้แรงม้าสูงสุด 105 แรงม้า ที่ 6,000 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 138 นิวตัน-เมตร ที่ 4,400 รอบ/นาที ส่งกำลังผ่านเกียร์อัตโนมัติ 4 สปีด มีให้เลือก 2 รุ่นย่อย ได้แก่รุ่น GL AT และรุ่น GX AT

อ่านเพิ่มเติม >> รู้ลึกทุกจุดเด่น! + ตารางราคา-ผ่อน-ดาวน์ Suzuki Ertiga 2019

ดูรายละเอียด Suzuki Ertiga มือสอง ทุกรุ่นได้ที่นี่

Carro แนะนำรถ SUV และ MPV แบบ 7 ที่นั่ง ที่ขายดี!

12. Ford Everest (ฟอร์ด เอเวอเรสต์)

Ford Everest มือสอง (ฟอร์ด เอเวอเรสต์ มือสอง) จัดเป็นรถมือสองแบรนด์อเมริกัน ที่ขายดีในไทยมานาน ซึ่งเจ้า Ford Everest รุ่นนี้ได้เปิดตัวในไทยนับตั้งแต่วันที่ 24 มีนาคม 2558

เป็นผลงานการสร้างสรรค์ขึ้น ทั้งในด้านความทนทานและความอเนกประสงค์ ตัวรถแบบ 7 ที่นั่ง ถูกออกแบบขึ้นใหม่ทั้งหมด ติดตั้งเทคโนโลยีอันทันสมัยเพื่อความปลอดภัย การเชื่อมต่ออย่างเหนือชั้นและความสะดวกสบาย

ได้รับการติดตั้งเทคโนโลยีใหม่ๆ ที่ไม่เคยมีมาก่อน (ในเวลานั้น) ไม่ว่าจะเป็นระบบขับเคลื่อน 4 ล้อแบบอัตโนมัติ พร้อมระบบ Terrain Management System หลังคาพาโนรามิคมูนรูฟแบบปรับไฟฟ้า เบาะนั่งแถวที่ 3 แบบปรับไฟฟ้าพับเรียบและประตูท้ายรถเปิด-ปิดด้วยไฟฟ้า ระบบช่วยจอดอัจฉริยะ Active Park Assist และระบบตรวจจับรถในจุดบอด พร้อมด้วยระบบตรวจจับรถขณะออกจากซองจอด

ยังติดตั้งระบบสั่งงานด้วยเสียง SYNC 2 ซึ่งเป็นระบบเชื่อมต่อการสื่อสารภายในรถรุ่นล่าสุดของฟอร์ด พร้อมด้วยหน้าจอสัมผัสขนาด 8 นิ้ว และคำสั่งแบบแยกสี ช่วยให้การเลือกใช้งานเมนูต่างๆ ง่ายยิ่งขึ้น

มาพร้อมขุมพลังจากเครื่องยนต์ดีเซล 2 รุ่น ได้แก่ เครื่องยนต์ดีเซลดูราทอร์ค TDCi ขนาด 2.2 ลิตร แบบ 4 สูบ ให้แรงม้าสูงสุด 160 แรงม้า ที่ 3,200 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 385 นิวตัน-เมตร ที่ 1,600-2,500 รอบ/นาที มีให้เลือกเฉพาะขับเคลื่อนสองล้อเท่านั้น

และเครื่องยนต์ดีเซลดูราทอร์ค TDCi ขนาด 3.2 ลิตร แบบ 5 สูบ ให้แรงม้าสงสุด 200 แรงม้า ที่ 3,000 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 470 นิวตัน-เมตร ที่ 1,750-2,500 รอบ/นาที พ่วงระบบขับเคลื่อน 4 ล้ออัตโนมัติพร้อมระบบ Terrain Management และทั้งสองรุ่นติดตั้งระบบเกียร์อัตโนมัติแบบ 6 สปีด

ส่วนในรุ่นปรับโฉมไมเนอร์เชนจ์ในปี 2561 ใช้เครื่องยนต์ดีเซล 2.0 ลิตร ใหม่ แบบ 4 สูบ DOHC 16 วาล์ว VG Turbo Intercooler ให้แรงม้าสูงสุดถึง 180 แรงม้า ที่ 3,500 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 420 นิวตัน-เมตร ที่ 1,750-2,500 รอบ/นาที

และในรุ่น Bi-Turbo แบบ 4 สูบ DOHC 16 วาล์ว Bi-Turbo Intercooler ให้แรงม้าสูงสุดถึง 213 แรงม้า ที่ 3,750 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 500 นิวตัน-เมตร ที่ 1,750-2,000 รอบ/นาที ทั้งสองรุ่นติดตั้งเกียร์อัตโนมัติ 10 สปีด พร้อมโหมดเปลี่ยนเกียร์แบบธรรมดา SelectShift เพื่อการขับขี่ที่คล่องตัวและนุ่มนวลยิ่งขึ้น

อ่านเพิ่มเติม >> Ford เปิดตัว Everest 2018 ในราคา 1,299,000 – 1,799,000 บาท

ดูรายละเอียด Ford Everest มือสอง ทุกรุ่นได้ที่นี่

Carro Express ขายรถกับคาร์โร อยากขายรถ ขายรถด่วน

สำหรับใครที่อยากขายรถคันเดิม ไปซื้อรถยนต์คันใหม่ มาขายรถกับทาง Carro Express สิ! คลิกเลยที่ https://th.carro.co/sell-car/express รับรองได้เงินเร็ว ไว ทันใจแน่นอน!

Carro Automall ตลาดรถ

ส่วนใครสนใจจะซื้อรถมือสอง Carro แหล่งรวมรถมือสองคุณภาพเยี่ยมผ่านระบบออนไลน์ คุณสามารถจองรถได้ในเวลาเพียง 1 นาทีเท่านั้น! พร้อมคำนวณสินเชื่อและค่างวด ได้ภายในเว็บไซต์ทันที!

ซึ่ง Carro เรามีรถให้คุณเลือกมากมาย รถทุกคันผ่านการตรวจสภาพโดย Carro Certified อย่างละเอียดแบบ Double Check มากกว่า 160 จุด, การันตีคืนเงินภายใน 5 วัน, รับประกันเครื่องยนต์และเกียร์ 1 ปี, รับประกันไม่กรอไมล์ และไม่ประสบอุบัติเหตุหนัก ไฟไหม้ หรือน้ำท่วม พร้อมรับประกันคุณภาพรถ 1 ปี หรือ 30,000 กิโลเมตร!

อีกทั้งยังมีเทคโนโลยี “360 View & Sound Engine Analysis” เลือกชมรถยนต์เสมือนจริงออนไลน์รายแรกในไทย ทั้งภาพและเสียงในรูปแบบ 360 องศา รวมถึงมีเทคโนโลยีสนับสนุนฝ่ายขาย ทั้ง Digital Device ที่เชื่อมต่อกับ Digital Screen นำเสนอสิ่งที่ลูกค้าต้องการ และจัดการเรื่องเอกสารให้กับลูกค้าให้ตั้งแต่ต้นจนจบ บวกกับ Online Viewing Service ที่ลูกค้าสามารถวิดีโอคอล ตรวจสภาพรถยนต์คันที่สนใจได้แบบเรียลไทม์ ซื้อรถคุณภาพเยี่ยม ต้องที่ Carro สิ!

หรือถ้าหากคุณสนใจรถรุ่นไหนอยู่ แต่ยังหาที่ถูกใจไม่ได้ เรายินดีหาให้! เพียงกรอกชื่อ-เบอร์โทรศัพท์ และรถที่คุณสนใจ ไว้ที่ “รับการแจ้งเตือน” เมื่อมีรถที่คุณต้องการ Carro จะรีบติดต่อไปยังคุณทันที สอบถามรายละเอียดได้ที่ Facebook -> Carro Thailand โทร. 02-460-9380 หรือทาง Line @carrothai

หมายเหตุ: ข้อมูลรถแนะนำจาก Carro เป็นข้อมูลรถยนต์ที่มีจำหน่ายในเดือนกรกฎาคม 2565 / เลขกิโลเมตร ณ วันตรวจสภาพรถ / ราคานี้ยังไม่รวมภาษีมูลค่าเพิ่ม

CARRO Automall แนะนำ Mitsubishi Pajero Sport

ช่วงหน้าฝนนี้ บรรดารถ SUV นี่ถือว่ามีบทบาทสำหรับคนใช้รถในไทยมานานสามสิบปีแล้วก็ว่าได้ ทั้งความอเนกประสงค์ในการใช้งาน การบรรทุกสัมภาระ ตอบโจทย์คนมีครอบครัวใหญ่ มีลูกหลานหลายคน ใช้รถเดินทางไปเที่ยวหรือไปเยี่ยมญาติ ซึ่งรถรุ่นใหม่ๆ ล้วนออกแบบมาใช้ขับง่าย ใช้งานง่าย ออฟชั่นเพียบ และเพิ่มความหรูหรามากกว่าในอดีตเป็นเท่าตัว

แต่รถอีกประเภทหนึ่งที่จัดอยู่ในกลุ่มรถ SUV เช่นเดียวกัน ซึ่งเป็นรถยนต์ที่มีแชสซีส์เหมือนรถกระบะ แล้วใช้ตัวถังรถครอบลงไป ที่ในไทยมักเรียกกันว่ารถ “PPV” (Pick-Up Passenger Vehicle = รถอเนกประสงค์ที่มีพื้นฐานมาจากรถกระบะ) โดยมากแล้วจะเป็นรถ 7 ที่นั่ง ซึ่งก็มียอดขายที่สูงมากต่อด้วยเช่นกัน ไม่ว่าจะเป็นรถมือหนึ่ง หรือรถมือสองก็ตาม

CARRO Automall แนะนำ Mitsubishi Pajero Sport

สำหรับรถยนต์ที่ CARRO Automall (คาร์โร ออโต้มอลล์) จะมาแนะนำให้คนที่กำลังมองหารถใช่วงหน้าฝนนี้ ได้ซื้อไว้ใช้งาน เป็นเจ้าของรถครอบครัวกันสักคัน โดยต้องเป็นรถที่มีที่เก็บของจุกจิกได้ เบาะพับได้หลายรูปแบบ แถมราคาขายต่อดี ไม่ตก แถมยังเป็นแบรนด์ตลาด ขับไปไหนก็ไม่ต้องกังวลในเรื่องของศูนย์บริการ และการหาอะไหล่

ไปรู้จักกับ Mitsubishi Pajero Sport (มิตซูบิชิ ปาเจโร่ สปอร์ต) รุ่นปี 2015 – ปัจจุบัน ที่ทาง CARRO Automall ภูมิใจเสนอ และอยากให้คุณได้เป็นเจ้าของกันครับ มาดูกันว่า รุ่นนี้มีความน่าสนใจตรงจุดไหนกันบ้าง …

CARRO Automall แนะนำ Mitsubishi Pajero Sport

Mitsubishi Pajero Sport เจเนอเรชั่นที่ 2 (รุ่นปัจจุบัน) เปิดตัวในไทยเมื่อเดือนสิงหาคม 2558 มีความล้ำสมัยที่สุดและครบครันด้วยอุปกรณ์อำนวยความสะดวกมากที่สุดเท่าที่เคยมีมา

เริ่มจากการออกแบบตัวรถที่แตกต่างจากรุ่นก่อนหน้าอย่างสิ้นเชิง ด้วยการยกระดับงานดีไซน์ด้วยการถ่ายทอดเอกลักษณ์การออกแบบล่าสุด “Dynamic Shield” ตัวถังใหญ่ แข็งแกร่ง และบึกบึน งานออกแบบยังสะท้อนแนวคิด “รูปลักษณ์ที่สอดคล้องกับการใช้งาน” ผสมผสานการปกป้อง สมรรถนะการขับขี่

CARRO Automall แนะนำ Mitsubishi Pajero Sport

ภายในห้องโดยสารของ ปาเจโร สปอร์ต หรูหราและอเนกประสงค์ยิ่งขึ้น ด้วยคอนโซลกลางเสริมด้วยวัสดุนุ่มบริเวณด้านข้าง มาตรวัดแบบ High Contrast พร้อมการแสดงผลแบบอนิเมชั่น 3 มิติ และระบบฟอกอากาศภายในห้องโดยสาร เทคโนโลยีนาโนอิ อุปกรณ์อำนวยความสะดวกอื่นๆ ยังรวมถึงช่องชาร์จไฟฟ้า 220V AC ช่องเก็บสมาร์ทโฟนสำหรับผู้ขับขี่และผู้โดยสาร เบรกมือไฟฟ้า ช่องระบบปรับอากาศดีไซน์ใหม่สำหรับผู้โดยสารแถวที่ 2 และ 3 ตลอดจนระบบกุญแจอัจฉริยะและปุ่มสตาร์ท และมีพื้นที่บรรทุกสัมภาระที่กว้างขวางที่สุดอีกรุ่นหนึ่ง

ความหรูหราและสะดวกสบาย ยังรวมถึงระบบปรับอุณหภูมิอัตโนมัติ Dual Zone แยกปรับซ้าย-ขวา พวงมาลัยแบบปรับขึ้นลงและเข้าออกได้ เบาะนั่งคู่หน้าปรับไฟฟ้า 8 ทิศทาง หน้าจอบนเพดานสำหรับผู้โดยสารตอนหลัง กระจกมองหลังตัดแสงอัตโนมัติและระบบปรับอากาศด้านหลัง

CARRO Automall แนะนำ Mitsubishi Pajero Sport

Pajero Sport รุ่นนี้ ยังให้ความสำคัญกับการออกแบบตามหลักการยศาสตร์ ด้วย T-Shaped High Console ที่จัดวางทุกฟังก์ชั่นให้อยู่ในตำแหน่งที่สะดวกต่อการใช้งาน รวมถึงหน้าจอสัมผัส 7 นิ้ว และระบบ Navigator พวงมาลัยมัลติฟังก์ชั่นมีสวิตช์ควบคุมระบบล็อกความเร็วแบบแปรผันอัตโนมัติ และสวิตช์ควบคุมเครื่องเสียง พร้อม Paddle Shift ควบคุมการเปลี่ยนเกียร์ที่พวงมาลัย ระบบล็อกความเร็วแบบแปรผันอัตโนมัติ Adaptive Cruise Control (ACC) ช่วยรักษาระยะห่างจากรถคันหน้าถึงแม้รถคันหน้าจะชะลอความเร็วหรือหยุดรถ ระบบนี้จะช่วยรักษาระยะห่างที่ปลอดภัยไว้ได้

Pajero Sport ยังมาพร้อมระบบอำนวยความสะดวกและความปลอดภัยอัจฉริยะ (ETACS) ระบบนี้ควบคุมอุปกรณ์ไฟฟ้าภายในตัวรถ ทั้งใบปัดน้ำฝนปรับความเร็วอัตโนมัติ ระบบหน่วงเวลาเปิด-ปิดระบบไฟฟ้า ระบบไฟหน้าอัตโนมัติ ระบบสัญญาณไฟเลี้ยวเพื่อเปลี่ยนช่องทาง ระบบเตือนลืมปิดไฟหรี่ ระบบสัญญาณไฟกระพริบเมื่อหยุดรถฉุกเฉิน ระบบล็อกประตูรถอัตโนมัติตามความเร็ว ระบบไฟนำทางหลังดับเครื่องยนต์และเมื่อกดรีโมท ระบบกุญแจนิรภัยและกุญแจอัจฉริยะ

CARRO Automall แนะนำ Mitsubishi Pajero Sport

มาพร้อมเครื่องยนต์ดีเซลขนาด 2.4 ลิตร แบบ 4 สูบ DOHC 16 วาล์ว MIVEC บล็อกอลูมิเนียม ให้แรงม้าสูงสุด 181 แรงม้า ที่ 3,500 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 430 นิวตันเมตร ที่ 2,500 รอบ/นาที ส่งกำลังด้วยระบบเกียร์อัตโนมัติ 8 สปีด พร้อม Sport Mode และระบบ INC (Idle Neutral Control) + G-Sensor

ระบบขับเคลื่อน Super Select 4WD-II ของมิตซูบิชิ มอเตอร์ส มีทั้งหมด 4 โหมด ประกอบด้วย โหมด 2H ระบบขับเคลื่อนสองล้อ (2WD High-Range) โหมด 4H ระบบขับเคลื่อนสี่ล้อแบบ Full Time – All Wheel Control (4WD High-Range) โหมด 4HLc ระบบขับเคลื่อนสี่ล้ออัตราทดความเร็วสูง (4WD High-range with Locked Transfer) และโหมด 4LLc ระบบขับเคลื่อนสี่ล้ออัตราทดความเร็วต่ำ (4WD Low-Range with Locked Transfer) ระบบนี้ ยังมาพร้อมโหมดออฟโรดที่หลากหลาย และเฟืองท้ายดิฟล็อก ที่สืบทอดมาจากตำนานในสนามแข่ง

สำหรับ Pajero Sport โฉมนี้ มีรุ่นย่อยให้เลือก ได้แก่ 2.4 GT 2WD, 2.4 GT Premium 2WD และ 2.4 GT Premium 4WD

CARRO Automall แนะนำ Mitsubishi Pajero Sport Elite Edition

ในเดือนพฤศจิกายน 2561 Mitsubishi เปิดตัวรุ่นพิเศษให้กับ Pajero Sport ด้วย “Elite Edition” มาพร้อมชุดหรูๆ ประกอบด้วยสัญลักษณ์ Pajero Sport บนฝากระโปรงหน้า, กระจังหน้าสีดำ, ชุดแต่งใต้กันชนหน้า-หลังสีดำ, ราวหลังคาสีดำ, สปอยเลอร์หลัง, ปลายท่อไอเสียสเตนเลส และล้ออัลลอยสีดำขนาด 18 นิ้ว ส่วนตัวถังสีขาว White Pearl มาพร้อมหลังคาสีดำ Jet Black Mica

ห้องโดยสารภายใน มาพร้อมเบาะหนังแท้สีน้ำตาลแบบ Horizontal Stripe พร้อมกับเทคโนโลยี Quole Modure สะท้อนความร้อนจากแสงแดด, แผงข้างประตูและกล่องเก็บของคอนโซลกลางตกแต่งด้วยหนังสีน้ำตาล, กันรอยขอบประตูสเตนเลสพร้อมไฟ LED และพรมปูพื้นห้องโดยสาร

CARRO Automall แนะนำ Mitsubishi Pajero Sport

ในวันที่ 25 กรกฎาคม 2562 Mitsubishi เปิดตัว Mitsubishi Pajero Sport โฉมไมเนอร์เชนจ์ ครั้งแรกในโลก (อีกแล้ว) มาพร้อมหน้าตารูปลักษณ์ภายนอกใหม่ เพิ่มชุดไฟหน้า Bi-LED ปรับลำแสงอัตโนมัติ ไฟตัดหมอก LED และไฟท้าย LED คู่กับล้ออัลลอย 18 นิ้ว หรูหราและทรงพลังยิ่งขึ้น

ส่วนภายในห้องโดยสารใช้จอแสดงข้อมูลการขับขี่แบบ LCD ขนาด 8 นิ้ว พร้อมเชื่อมต่อและแสดงข้อมูลจากหน้าจอระบบสัมผัส SDA ปรับปรุงใหม่เพื่อง่ายต่อการอ่าน และประตูท้ายไฟฟ้า สามารถเปิด-ปิด ด้วยสมาร์ทโฟน และระบบแฮนด์ฟรี

CARRO Automall แนะนำ Mitsubishi Pajero Sport Elite Edition

ต่อมาในเดือนกรกฎาคม 2563 ตามมาติดๆ กับรุ่นพิเศษอย่าง Mitsubishi Pajero Sport Elite Edition (มิตซูบิชิ ปาเจโร่ สปอร์ต อีลิท เอดิชั่น) มีให้เลือก 2 สีได้แก่ สีดำ (Jet Black Mica) และสีขาว (White Diamond) ตัดกับหลังคาสีดำ

มาพร้อมอุปกรณ์ตกแต่งมาตรฐาน ได้แก่ กระจังหน้ารถสีดำตกแต่งด้วยโลโก้ “Pajero Sport” บนฝากระโปรงหน้า และโลโก้ “Elite Edition” ที่ฝาประตูท้าย พร้อมปลายท่อไอเสียสเตนเลส ทั้งนี้ยังติดตั้งอุปกรณ์ตกแต่งสีดำทั้งหมด ได้แก่ ไฟหน้าโปรเจคเตอร์, ล้ออัลลอยขนาด 18 นิ้ว, ชุดตกแต่งใต้กันชนหน้า-หลัง, ราวหลังคา, สปอยเลอร์หลัง และเสาอากาศแบบครีบฉลาม

CARRO Automall แนะนำ Mitsubishi Pajero Sport Elite Edition

ภายในห้องโดยสารหรูกราด้วยเบาะนั่งสีน้ำตาล “Quole Modure” ที่มีคุณสมบัติพิเศษช่วยสะท้อนความร้อนจากแสงแดด และตกแต่งพิเศษด้วยแผงข้างประตู กับคอนโซลกลาง บุด้วยวัสดุนุ่มสีน้ำตาล พร้อมสัญลักษณ์ “Pajero Sport” เหนือกล่องเก็บของด้านหน้าฝั่งผู้โดยสาร ฝาครอบสเตนเลสพร้อมไฟ LED พรมห้องโดยสารปักโลโก้ “Pajero Sport” และกล้องบันทึกภาพหน้ารถ DVR (Digital VDO Recorder)

สำหรับคนนั่งตอนหลังเพลิดเพลินกับระบบความบันเทิงตลอดการเดินทางด้วยจอภาพขนาด 12.1 นิ้ว ติดตั้งบนเพดานรถ พร้อมรีโมทคอนโทรล รองรับการเชื่อมต่อผ่าน USB และสมาร์ทโฟนผ่าน HDMI เป็นต้น

และสำหรับ CARRO Automall ในเดือนตุลาคม 2564 เดือนหน้าฝนนี้ เรามี Mitsubishi Pajero Sport รีวิวรถคุณภาพเยี่ยม มาแนะนำให้คุณผู้อ่านรู้จักกัน 8 คันครับ ได้แก่ …..

MITSUBISHI PAJERO-SPORT 2.5 GT 2010 ขาว

MITSUBISHI PAJERO-SPORT 2.5 GT 2010 ขาว

1. Mitsubishi Pajero Sport 2.5 GT ปี 2010 เลขไมล์ 178,136 กิโลเมตร สภาพเยี่ยม ราคา 389,000 บาท!

ดูรายละเอียดเพิ่มเติม – https://th.carro.co/cardetail/mitsubishi-pajero-sport-2010-GYPZNZ.html

MITSUBISHI PAJERO-SPORT 2.5 GT 2012 ขาว

MITSUBISHI PAJERO-SPORT 2.5 GT 2012 ขาว

2. Mitsubishi Pajero Sport 2.5 GT ปี 2012 เลขไมล์ 156,898 กิโลเมตร สภาพเยี่ยม ลดราคา! เหลือ 459,000 บาท!

ดูรายละเอียดเพิ่มเติม – https://th.carro.co/cardetail/mitsubishi-pajero-sport-2012-DXOYM9.html

MITSUBISHI PAJERO-SPORT 2.5 GT 2012 น้ำตาล

MITSUBISHI PAJERO-SPORT 2.5 GT 2012 น้ำตาล

3. Mitsubishi Pajero Sport 2.5 GT ปี 2012 เลขไมล์ 185,695 กิโลเมตร สภาพเยี่ยม ลดราคา! เหลือ 429,000 บาท!

(สามารถฟังเสียงเครื่องยนต์ รวมถึงดูภาพภายนอกรถ-ภายในรถแบบ 360 องศา ได้)

ดูรายละเอียดเพิ่มเติม – https://th.carro.co/cardetail/mitsubishi-pajero-sport-2012-G6019R.html

MITSUBISHI PAJERO-SPORT 2.5 GT 2013 ดำ

MITSUBISHI PAJERO-SPORT 2.5 GT 2013 ดำ

4. Mitsubishi Pajero Sport 2.5 GT ปี 2013 เลขไมล์ 149,159 กิโลเมตร สภาพเยี่ยม ลดราคา! เหลือ 429,000 บาท!

(สามารถฟังเสียงเครื่องยนต์ รวมถึงดูภาพภายนอกรถ-ภายในรถแบบ 360 องศา ได้)

ดูรายละเอียดเพิ่มเติม – https://th.carro.co/cardetail/mitsubishi-pajero-sport-2013-EW86J2.html

MITSUBISHI PAJERO-SPORT 2.4 GT PREMIUM 2WD 2015 น้ำตาล

MITSUBISHI PAJERO-SPORT 2.4 GT PREMIUM 2WD 2015 น้ำตาล

5. Mitsubishi Pajero Sport 2.4 GT ปี 2015 เลขไมล์ 155,896 กิโลเมตร สภาพเยี่ยม ลดราคา! เหลือ 749,000 บาท!

ดูรายละเอียดเพิ่มเติม – https://th.carro.co/cardetail/mitsubishi-pajero-sport-2015-E40Z4X.html

MITSUBISHI PAJERO-SPORT 2.4 GT PREMIUM 2WD 2016 ดำ

MITSUBISHI PAJERO-SPORT 2.4 GT PREMIUM 2WD 2016 ดำ

6. Mitsubishi Pajero Sport 2.4 GT Premium 2WD ปี 2016 เลขไมล์ 102,216 กิโลเมตร สภาพเยี่ยม ราคา 779,000 บาท!

(สามารถฟังเสียงเครื่องยนต์ รวมถึงดูภาพภายนอกรถ-ภายในรถแบบ 360 องศา ได้)

ดูรายละเอียดเพิ่มเติม – https://th.carro.co/cardetail/mitsubishi-pajero-sport-2016-DXO1LL.html

MITSUBISHI PAJERO-SPORT 2.4 GT 2018 เทา

MITSUBISHI PAJERO-SPORT 2.4 GT 2018 เทา

7. Mitsubishi Pajero Sport 2.4 GT ปี 2018 เลขไมล์ 58,091 กิโลเมตร สภาพเยี่ยม ราคา 859,000 บาท!

ดูรายละเอียดเพิ่มเติม – https://th.carro.co/cardetail/mitsubishi-pajero-sport-2018-DO1894.html

MITSUBISHI PAJERO-SPORT 2.4 GT 2018 ขาว

MITSUBISHI PAJERO-SPORT 2.4 GT 2018 ขาว

8. Mitsubishi Pajero Sport 2.4 GT ปี 2018 เลขไมล์ 66,539 กิโลเมตร สภาพเยี่ยม ราคา 879,000 บาท!

(สามารถฟังเสียงเครื่องยนต์ รวมถึงดูภาพภายนอกรถ-ภายในรถแบบ 360 องศา ได้)

ดูรายละเอียดเพิ่มเติม – https://th.carro.co/cardetail/mitsubishi-pajero-sport-2018-E15024.html

ถ้าใครที่กำลังมองหา Mitsubishi Pajero Sport มือสอง (มิตซูบิชิ ปาเจโร่ สปอร์ต มือสอง) แล้วรู้สึกสนใจอยากเป็นเจ้าของขึ้นมา CARRO Automall แหล่งรวมรถมือสองคุณภาพเยี่ยมผ่านระบบออนไลน์ เราพร้อมตอบโจทย์คุณด้วยคอนเซปต์ “click.buy.drive.” คุณสามารถจองรถได้ในเวลาเพียง 1 นาทีเท่านั้น! พร้อมคำนวณสินเชื่อและค่างวด ได้ภายในเว็บไซต์ทันที!

ซึ่งรถทุกคันผ่านการตรวจสภาพแบบ Double Check มากกว่า 200 จุด และยังมีเทคโนโลยี “360 View & Sound Engine Analysis” ฟีเจอร์ใหม่ล่าสุดในการดูรถเสมือนจริง เป็นรายแรกของธุรกิจรถมือสองในประเทศไทย คุณสามารถดูรูปรถ Mitsubishi Pajero Sport ทั้งภายนอก ภายใน กันได้แบบ 360 องศา รวมถึงยังสามารถฟังเสียงเครื่องยนต์จากรถคันที่คุณสนใจได้อีกด้วย! 

เพราะเรามั่นใจในคุณของรถยนต์ทุกคัน เราจึงกล้ารับประกันคุณภาพรถนานถึง 2 ปี หรือ 20,000 กิโลเมตร! อีกทั้งยังการันตีความพึงพอใจ คืนเงินได้ภายใน 5 วันอีกด้วย! ซื้อรถคุณภาพเยี่ยม ต้องที่ CARRO Automall สิ!

หรือถ้าหากสนใจรถรุ่นไหนอยู่ แต่ยังหาที่ถูกใจไม่ได้ เรายินดีหาให้! เพียงแค่กรอกเบอร์โทรศัพท์ ชื่อยี่ห้อ / รุ่นรถ ที่คุณต้องการก็ได้เช่นกันครับ อีกทั้งยังสามารถ Inbox เข้ามาสอบถามรายละเอียดได้ที่ Facebook -> CARRO Automall Thailand  โทร. 02-508-8690 หรือทาง Line @carroautomall ครับ

หมายเหตุ: ข้อมูลรถแนะนำจาก CARRO Automall เป็นข้อมูลรถยนต์ที่มีจำหน่ายในเดือนตุลาคม 2564 / เลขกิโลเมตร ณ วันตรวจสภาพรถ

10 อันดับ รถ SUV - PPV และ Crossover ในปี 2021 ราคาสูงสุดไม่เกิน 2 ล้านบาท!

ถ้าจะให้พูดถึง “รถ SUV” (Sport Utility Vehicle) แล้ว ในบ้านเรานิยมกันหลายรูปแบบ เป็นรถที่เหมาะกับคนมีครอบครัวใหญ่ ไปไหนไปกันได้หลายคน เริ่มต้นตั้งแต่แบบ Crossover ซึ่งมาจากคำว่า Crossover Utility Vehicle เป็นรถที่ประกอบชิ้นเดียวกันทั้งคัน ดูคล้ายกับรถเก๋งยกสูง เน้นความอเนกประสงค์ ตัวรถไม่ใหญ่มากนัก เหมาะกับการใช้งานในเมืองเป็นหลัก หรืออาจลุยได้บ้าง แต่ก็ไม่มากเท่ากับแบบ SUV แท้ๆ

สำหรับรถ SUV นั้น ก็ยังมีอีก 2 แบบหลักๆ ได้แก่ SUV แบบที่มีลักษณะเดียวกันกับรถแนว Crossover แต่มีขนาดตัวรถที่ใหญ่กว่า ดูลุยกว่า มีที่นั่งทั้งแบบ 5 ที่นั่ง และ 7 ที่นั่ง

และรถ SUV ที่มีพื้นฐานตัวรถเป็นแชสซีส์ แบบเดียวกับรถกระบะ หรือที่บ้านเรามักเรียกกันว่า “รถ PPV” หรือ Pick-up Passenger Vehicle แต่ปรับช่วงล่างให้นุ่มนวลขึ้น ด้วยการใช้คอยล์สปริง ตัวรถมีขนาดใหญ่ นั่งได้ 7 ที่นั่ง สามารถวิ่งในเมือง หรือลุยในทางฝุ่น เข้าป่าฝ่าดงได้

แต่ด้วยงบประมาณของหลายคนเวลานี้อาจมีจำกัด เนื่องจากโดนวิกฤตโควิด-19 กันไปถ้วนหน้า ทำให้การเลือกรถใช้สักคัน ต้องคำนึงถึงราคา และความประหยัดกันมากขึ้น ดังนั้นรถที่ราคาไม่เกิน 2 ล้านบาท จึงค่อนข้างเป็นตัวเลือกในตลาดที่มีเยอะมากที่สุด และมีให้ทั้งแบบขับเคลื่อน 2 ล้อ และขับเคลื่อน 4 ล้อ ซึ่งยังแบ่งออกไปได้อีกเป็นแบบ Part-Time หรือแบบ Full-Time เป็นต้น

CARRO ขอรวบรวมข้อมูล 10 อันดับ SUV – PPV และ Crossover ราคาสูงสุดไม่เกิน 2 ล้านบาท ประจำปี 2021 มาให้ทุกท่านได้ทราบครับ.

All-New-Mazda-CX-8

1. Mazda CX-8 Skyactiv-D XDL (7 ที่นั่ง) ราคา 1,899,000 บาท

Mazda CX-8 (มาสด้า ซีเอ็กซ์-8) ยืนหนึ่งในกลุ่มรถ SUV ราคาสูงสุดไม่เกิน 2 ล้านบาท (ถ้าเป็นรุ่น XDL Exclusive ราคาจะขึ้นไปอยู่ที่ 2,069,000 บาท) เพิ่งเปิดตัวไปในบ้านเราเมื่อเดือนพฤศจิกายน 2562 ที่ผ่านมา เป็น SUV ระดับ Premium แบบ 3 แถว 7 ที่นั่ง และ 6 ที่นั่ง ที่มีราคาจำหน่ายเริ่มต้นเพียง 1.59 ล้านบาท

อ่านเพิ่มเติม >> Mazda สร้างความตื่นเต้น! เปิดตัว CX-8 ใหม่ ในราคา 1,599,000 – 2,069,000 บาท

All-New Mazda CX-8 ถูกออกแบบอย่างพิถีพิถันทุกรายละเอียด มาพร้อมแนวคิด “The Precious Moment for All” ทุกช่วงเวลา…มีค่าไม่สิ้นสุด ด้วยดีไซน์ที่เรียบง่ายแต่งดงาม กับ Concept “Less is More” ที่เน้นความเรียบง่ายแต่งดงาม จับกลุ่มลูกค้านักบริหารระดับสูง นักธุรกิจ เจ้าของธุรกิจ

ภายในหรูหราด้วยห้องโดยสารโทนสีเข้ม แต่งด้วยวัสดุแบบ Real Wood และสีเงิน Satin Chrome ผสานอย่างลงตัวกับเบาะหนัง Nappa (และหนังสังเคราะห์) สีแดง Deep Red พร้อมระบบเสียง Bose รอบทิศทาง กับลำโพง 10 ตำแหน่ง ที่มอบความสุนทรีย์ และระบบ Mazda Connect ที่มาพร้อม Apple CarPlay แสดงข้อมูลผ่านหน้าจอสี Center Display แบบสัมผัส ขนาด 7 นิ้ว

เครื่องยนต์มาพร้อม 2 ทางเลือก ประกอบด้วย เครื่องยนต์สกายแอคทีฟคลีนดีเซล 2.2 ลิตร (SKYACTIV-D 2.2) ที่ได้รับการปรับปรุงพัฒนาใหม่ พร้อมระบบวาล์วไอเสียแปรผันอัจฉริยะ VVT และระบบเทอร์โบแปรผัน 2 ขั้น ตอบสนองที่รวดเร็วแม่นยำยิ่งกว่าเดิม ให้แรงม้าสูงสุด 190 แรงม้า และแรงบิดสูงสุด 450 นิวตัน-เมตร และเครื่องยนต์สกายแอคทีฟเบนซิน 2.5 ลิตร (SKYACTIV-G 2.5) 194 แรงม้า

และในรุ่น XDL Exclusive ยังมาพร้อมระบบขับเคลื่อน 4 ล้อ อัตโนมัติ i-ACTIV AWD ที่ช่วยปรับระบบการขับขี่ให้เหมาะสมกับสภาพถนน และประหยัดน้ำมันสูงถึง 17.5 กม./ลิตร (รุ่น XDL 7 ที่นั่ง)

Mazda-CX-5-2019

2. Mazda CX-5 Skyactiv-G 2.5 Turbo SP ราคา 1,850,000 บาท

Mazda CX-5 (มาสด้า ซีเอ็กซ์-5) มาพร้อมกับ Concept “เป็นที่สุดในทุกบทบาท” Make All Chapters Remarkable นี้คือรถอเนกประสงค์ที่เป็นที่สุดในคลาส One Class Above ภายใต้การออกแบบ Kodo Design เจนเนอเรชั่นใหม่ ซึ่งในตัว Turbo รุ่น Top สุดของรุ่น เพิ่งจะเผยโฉมกันไปเมื่อเดือนตุลาคม 2562 ที่ผ่านมา

ภายนอกมาพร้อมล้อแม็กขนาด 19 นิ้ว เฉพาะรุ่น ส่วนภายในตกแต่งด้วยวัสดุสุดประณีต ดุจงานศิลปะ พิถีพิถันทุกรายละเอียดเสมือนงานทำมือ (Hand-Crafted Design) ใช้เบาะหนัง Nappa (และหนังสังเคราะห์) สีแดง Deep Red กับระบบระบายอากาศเบาะนั่งคู่หน้า Seat Ventilation และระบบเสียง Bose และลายไม้แบบ Real Wood รองรับการเชื่อมต่อ Application บนสมาร์ทโฟน ผ่านระบบ Mazda Connect บนหน้าจอสี Center Display แบบสัมผัส ขนาด 7 นิ้ว ควบคุมด้วย Center Commander

จัดว่าเป็นรถ SUV ที่เครื่องแรงทรงพลัง และขับสนุกมากที่สุดอีกคันหนึ่ง โดยใช้ขุมพลังขนาด 2.5 ลิตร (SKYACTIV-G 2.5) ที่ให้กำลัง 231 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 420 นิวตัน-เมตร พร้อมระบบ Turbo แบบ Dynamic Pressure ระบบวาล์วแปรผันคู่อัจฉริยะ Dual S-VT ตอบสนองรวดเร็วแม่นยำ พร้อมระบบขับเคลื่อน 4 ล้ออัตโนมัติ i-ACTIV AWD

New-Toyota-Fortuner-Legender-2020

3. Toyota Fortuner 2.8 Legender 4WD ราคา 1,839,000 บาท

Toyota Fortuner (โตโยต้า ฟอร์จูนเนอร์) สำหรับ ฟอร์จูนเนอร์ เองนั้น เพิ่งปรับโฉมล่าสุดไปเมื่อวันที่ 4 มิถุนายน 2563 ก็ยังเป็นรถอเนกประสงค์ยอดนิยมของคนไทย ทั้งในแบบรถใหม่ หรือรถมือสองก็ตาม โดยโฉมเจเนอเรชั่นที่ 2 เปิดตัวในบ้านเราเมื่อเดือน กรกฎาคม 2558 ภายใต้สโลแกน “Wisdom of a Leader” หรือ “สัญลักษณ์แห่งความสำเร็จ”

อ่านเพิ่มเติม >> เจาะจุดเด่น Toyota Hilux Revo 2020 และ Fortuner 2020 ใหม่ มีอะไรน่าสนบ้าง! พร้อมราคาและโปรโมชั่น

มาพร้อมความหรูหรามากขึ้น ล้ำสมัย ทั้งภายในและภายนอก ปรับกระจังหน้าใหม่ให้มีขนาดใหญ่ขึ้น พร้อมแถบกันชนล่างสีเงิน มีหลังคาสีทูโทนให้เลือก ไฟหน้า DayTime Running Light แบบ Light Guiding ดีไซน์ใหม่ และปรับชุดไฟท้ายดีไซน์ใหม่เป็นแบบ LED พร้อมกับ Light Guiding มีกล้องมองภาพรอบคัน พร้อมมุมมองแบบ 3 มิติ ล้อแม็กขนาด 20 นิ้ว และระบบ Activated Kick Door เปิดประตูหลัง แบบไม่ต้องใช้มือสัมผัส

สำหรับรุ่น Fortuner ธรรมดา ใช้เครื่องยนต์ดีเซลขนาด 2.4 ลิตร 150 แรงม้า ระบบส่งกำลังแบบอัตโนมัติ 6 สปีด พร้อม Sequential Shift ส่วนรุ่นเครื่องยนต์ดีเซลขนาด 2.8 ลิตร GD Super Power ใหม่ ในรุ่น Legender ได้พัฒนาให้มีแรงม้าสูงถึง 204 แรงม้า พร้อมแรงบิดที่ 500 นิวตันเมตร (Nm) ในช่วงความเร็วรอบเครื่องยนต์ที่กว้างตั้งแต่ 1,600-2,800 รอบ/นาที

และเพิ่มเพลาปรับสมดุล (Balance Shaft) ในเครื่องยนต์ 2.8 ลิตร ช่วยลดเสียงและแรงสั่นสะเทือนที่ส่งเข้าสู่ห้องโดยสาร

ในรุ่น Off-Road เครื่องยนต์มีการปรับลดความเร็วรอบเดินเบา (จาก 850 รอบต่อนาที เป็น 680 รอบต่อนาที) สามารถลุยเส้นทาง Off-Road ได้อย่างมั่นคง

Ford-Everest-2021

4. Ford Everest 2.0L Bi-Turbo Titanium+ 4×4 10AT ราคา 1,799,000 บาท

Ford Everest (ฟอร์ด เอเวอเรสต์) โฉมไมเนอร์เชนจ์อีกรอบนี้ เปิดตัวไปเมื่อเดือนพฤศจิกายน 2563 ที่ผ่านมา ตัวรถมากับกระจังหน้าอันเป็นเอกลักษณ์ ตัวอักษรนูน “Everest” บนฝากระโปรงหน้า มือจับ กระจกข้าง และล้ออัลลอยใหม่ สำหรับรุ่น Trend มอบตัวเลือกสีภายนอกใหม่ สีขาว สโนว์ เฟลก ไวท์ เพิร์ล สำหรับฟอร์ด เอเวอเรสต์ สำหรับรุ่น Trend, ไทเทเนี่ยม และไทเทเนี่ยม พลัส และสีน้ำเงินดีพ คริสตัล บลู สำหรับรุ่น Sport

ส่วนห้องโดยสารโทนสีดำ / สี Congac ใช้เบาะคู่หน้าปรับไฟฟ้า 8 ทิศทาง เบาะแถว 3 พับไฟฟ้า และมีหลังคา Panoramic Moonroof ให้ กับระบบ Infotainment แบบ SYNC 3 ทำงานผ่านจอทัชสกรีนขนาด 8 นิ้ว แสดงผลกล้องมองหลัง รองรับการเชื่อมต่อสมาร์ทโฟน และยังรองรับระบบจดจำเสียง และระบบสั่งการด้วยเสียงภาษาไทยด้วย

ไม่ใช่เรื่องเหนือความคาดหมายแต่อย่างใด ที่ Everest จะใช้เครื่องยนต์ดีเซลขนาด 2.0 ลิตร ใหม่ แบบ Bi-Turbo แรงม้าสูงสุดมากถึง 213 แรงม้า ตัวเดียวกับใน Ranger Raptor พร้อมจับคู่เกียร์อัตโนมัติ 10 สปีด กับระบบความปลอดภัยอย่างครบครัน

Peugeot-5008

5. Peugeot 5008 ราคา 1,759,000 บาท

Peugeot 5008 (เปอโยต์ 5008) ค่ายรถจากแดนน้ำหอม กลับมารุกตลาดในไทยอีกครั้ง เมื่อปี 2562 ที่ผ่านมา กับตัวแทนจำหน่ายเจ้าใหม่ พร้อมสร้างความตื่นตาตื่นใจให้กับแฟนๆ ด้วย Peugeot 5008 SUV 7 ที่นั่ง รถ SUV สุดสวยจากเปอโยต์ ที่ออกแบบโดย Gilles Vidal ที่หน้าตาได้รับแรงบันดาลใจในการออกแบบมาจากเขี้ยวสิงโต ส่วนไฟท้ายออกแบบเสมือนรอยเล็บของสิงโต Lion Claws พร้อมล้อแม็กขนาดใหญ่ 18 นิ้ว

ห้องโดยสารภายในแบบ “i-Cockpit” สุดล้ำ ปรับเปลี่ยนการแสดงผลได้หลายรูปแบบ เช่น Dials, Navigation, Driving, Minimal และ Personal พวงมาลัยแบบทรงแบน ปาดด้านบนล่างออก ให้การมองทัศนวิสัยได้ดีขึ้น และมีตำแหน่งการขับที่ดีเยี่ยม และดีไซน์ร่วมสมัย เบาะแถว 2 ออกแบบให้เลื่อนได้ และพนักพิงปรับเอนได้ พร้อมประตูบานท้ายแบบไฟฟ้า สามารถแหย่เท้าไปใต้กันชนหลัง เปิดได้โดยไม่ต้องสัมผัส

ขุมพลังที่ใช้ เบนซินขนาด 1.6 ลิตร รหัส EP6FDT แบบ Direct Injection PURE TECH 4 สูบ Twin Scroll Turbo ให้กำลังสูงสุด 167 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 240 นิวตัน-เมตร ขับเคลื่อนล้อหน้า ส่งกำลังด้วยเกียร์อัตโนมัติ 6 สปีด Quickshift มีโหมด M พร้อม Paddle Shift และโหมด Sport และระบบ Advanced Grip Control เปลี่ยนโหมดการขับสำหรับสภาพพื้นผิวต่างๆ ให้เลือกได้สะดวกด้วยปุ่มหมุน

Honda-CR-V-2020

6. Honda CR-V DT EL 4WD ราคา 1,759,000 บาท

Honda CR-V (ฮอนด้า ซีอาร์วี) ใหม่ เจนเนอเรชั่นที่ 5 นับตั้งแต่การเปิดตัวในเดือนมีนาคม 2560 ก็ยังคงขายดีอย่งต่อเนื่อง จนกระทั่งปรับโฉมไมเนอร์เชนจ์ในเดือนกรกฏาคม 2563 พรีเมียมขึ้นด้วยกระจังหน้าแบบ Gloss Black และกันชนหน้า-หลังดีไซน์ใหม่ หลังคาซันรูฟไฟฟ้าแบบพาโนรามา ไฟเลี้ยวด้านหน้าแบบ LED Sequential และมาพร้อมสีใหม่ สีน้ำเงินคอสมิก

เสริมความมั่นใจในทุกการเดินทาง ด้วยเทคโนโลยีความปลอดภัยอัจฉริยะ ฮอนด้า เซนส์ซิ่ง (Honda SENSING) และนวัตกรรมเชื่อมต่อเพื่อการสื่อสารระหว่างผู้ขับขี่และรถยนต์ ฮอนด้า คอนเนค (Honda CONNECT) ครบครันด้วยเทคโนโลยีอำนวยความสะดวกสบายล้ำสมัยระดับพรีเมียม

ใช้เครื่องยนต์เบนซิน ขนาด 2.4 ลิตร i-VTEC 173 แรงม้า และเครื่องยนต์ดีเซลขนาด 1.6 ลิตร i-DTEC Diesel Turbo 160 แรงม้า ส่งกำลังผ่านเกียร์อัตโนมัติ 9 สปีด แบบ Shift by Wire (ในรุ่นเครื่องยนต์ดีเซล) ระบบขับเคลื่อนมีให้เลือกทั้งแบบขับล้อหน้า และขับ 4 ล้อ Real Time AWD

Suzuki-Jimny-2019

7. Suzuki Jimny (Two-Tone) ราคา 1,680,000 บาท

Suzuki Jimny (ซูซูกิ จิมนี่) เปิดตัวในไทยอย่างเป็นทางการเมื่อเดือนมีนาคม 2562 ที่ผ่านมา ด้วยการนำเข้ามาจากญี่ปุ่น ราคาจึงค่อนข้างสูง จัดว่าเป็นรถ Off-Road ขนาดเล็กที่มีกลุ่มแฟนคลับอย่างเหนียวแน่นนับตั้งแต่ในยุคของรุ่น Caribian (คาริเบียน) โดยมาพร้อม Concept “Nobody But Jimny” ซึ่งซูซูกิได้ทุ่มเทศึกษาวิจัยและพัฒนารถยนต์ประเภทออฟโรดอย่างต่อเนื่อง และได้รับความนิยมมาจนถึงปัจจุบัน นับตั้งแต่ปี 1970

แม้ตัวถังจะเหลี่ยมแบบรถออฟโรดยุค 80 แต่ก็เข้ายุคสมัยด้วยชุดไฟหน้า LED มีระบบฉีดน้ำล้างไฟหน้า ไฟท้ายแบบ LED ซุ้มล้อสีดำรอบคัน และล้อแม็กขนาด 15 นิ้ว ภายในใช้วัสดุคุณภาพสูง เบาะปรับได้หลายรูปแบบ พื้นที่เก็บของด้านหลังมีหลายจุด และมีช่องจ่ายไฟสำรอง 2 จุด บริเวณคอนโซลหน้าด้านล่าง และที่เก็บของด้านหลัง

มีหน้าจอแสดงข้อมูลการขับแบบ Segment Display พร้อมระบบ Infotainment Suzuki Smart Connect เชื่อมต่อแบบไร้สาย พร้อมระบบนำทางอัจฉริยะ ระบบปรับอากาศอัตโนมัติ และระบบความปลอดภัย Suzuki Safety Support เป็นต้น

ขุมพลังเป็นขนาด 1.5 ลิตร รหัส K15B แบบ 4 สูบ 16 วาล์ว ให้กำลังสูงสุด 102 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 130 นิวตัน-เมตร ส่งกำลังด้วยเกียร์ธรรมดา 5 สปีด หรืออัตโนมัติ 4 สปีด พร้อมเกียร์ Transfer ในราคาเริ่มต้นที่ 1,580,000 บาท

New-Mitsubishi-Pajero-Sport-2019

8. Mitsubishi Pajero Sport 2.4 GT Premium 4WD ราคา 1,603,000 บาท

Mitsubishi Pajero Sport (มิตซูบิชิ ปาเจโร สปอร์ต) เพิ่งเปิดตัวโฉมไมเนอร์เชนจ์ไปล่าสุดเมื่อเดือนกรกฎาคม 2562 ที่ผ่านมานี้เอง มาพร้อมรูปลักษณ์ภายนอกที่หรูหราและทรงพลังยิ่งขึ้น พร้อมปรับปรุงภายในห้องโดยสารใหม่ ด้วยจอแสดงข้อมูลการขับขี่แบบ LCD ขนาด 8 นิ้ว ปรับปรุงใหม่เพื่อง่ายต่อการอ่าน และประตูท้ายไฟฟ้าที่ใช่ง่ายยิ่งขึ้น เพื่อให้ผู้ใช้งานสามารถเปิด-ปิด ด้วยสมาร์ทโฟน

มาพร้อมเครื่องยนต์ MIVEC Turbo Diesel ขนาด 2.4 ลิตร 181 แรงม้า ส่งกำลังผ่านเกียร์อัตโนมัติ 8 สปีด กับเทคโนโลยีความปลอดภัยครบครันยิ่งขึ้น ด้วยระบบส่งสัญญาณเตือนเมื่อเปลี่ยนเลน (LCA) และระบบสัญญาณเตือนด้านหลังขณะถอยออกจากช่องจอด (RCTA) มีทั้งรุ่นขับเคลื่อน 2 ล้อ และขับเคลื่อน 4 ล้อ ให้เลือก

ส่วนถ้าใครอยากได้รุ่นตกแต่งพิเศษ Elite Edition ในตัวรุ่น Top สุด ก็เพิ่มเงินอีก 30,000 บาท (1,633,000 บาท) นะครับ

All-New-Isuzu-MU-X-2020

9. Isuzu MU-X 3.0 Ddi 4X4 Ultimate A/T ราคา 1,579,000 บาท

All-New Isuzu MU-X (ออลนิว อีซูซุมิว-เอ็กซ์) โฉมใหม่ล่าสุดที่เปิดตัวไปในเดือนตุลาคม 2563 ครั้งแรกในโลกที่ไทย ยนตรกรรมอเนกประสงค์รุ่นใหม่หมดระดับ Masterpiece รุ่นล่าสุด ภายใต้นิยาม “เหนือทุกความเชื่อ…เหนือทุกความสำเร็จ (Originality Redefined)” พลิกโฉมใหม่ทั้งภายนอกจรดภายใน ด้วยดีไซน์ที่หรูหรา สะดวกสบาย ประณีตในทุกรายละเอียด

มาพร้อมเทคโนโลยีเพื่อความปลอดภัยสุดล้ำ Isuzu Matrix Safety Intelligence ที่ครบครัน และเหนือกว่าด้วยระบบช่วยเหลือผู้ขับขี่ ADAS (Advanced Driver Assistance Systems) ที่มาพร้อมนวัตกรรมกล้องหน้าคู่อัจฉริยะ 3D Imaging Stereo Camera รวมทั้งพัฒนาสมรรถนะการขับขี่ให้นุ่มนวล มั่นคง ปลอดภัยยิ่งขึ้น

ขุมพลังเครื่องยนต์ 1.9 Ddi Blue Power Gen 2 และ 3.0 Ddi Blue Power พร้อมทางเลือกทั้งเกียร์อัตโนมัติ และเกียร์ธรรมดาแบบ 6 สปีด มีให้เลือกทั้งระบบขับเคลื่อน 2 ล้อและ 4 ล้อ พร้อมระบบขับเคลื่อน Rough Terrain Mode ในรุ่นขับเคลื่อน 4 ล้อ โดยทำงานได้ทั้ง 2H, 4H และ 4L

Peugeot-3008

10. Peugeot 3008 ราคา 1,559,000 บาท

Peugeot 3008 (เปอโยต์ 3008) ค่ายรถจากแดนน้ำหอม กลับมารุกตลาดในไทยอีกครั้ง เมื่อปี 2562 ที่ผ่านมา กับตัวแทนจำหน่ายเจ้าใหม่ พร้อมสร้างความตื่นตาตื่นใจให้กับแฟนๆ ด้วย Peugeot 3008 SUV 5 ที่นั่ง รถ SUV สุดสวยจากเปอโยต์ ที่ออกแบบโดย Gilles Vidal ที่หน้าตาได้รับแรงบันดาลใจในการออกแบบมาจากเขี้ยวสิงโต ส่วนไฟท้ายออกแบบเสมือนรอยเล็บของสิงโต Lion Claws พร้อมล้อแม็กขนาดใหญ่ 18 นิ้ว ตัวรถมีน้ำหนักเบากว่ารุ่น 7 ที่นั่งอย่าง 5008 ประมาณ 60 กิโลกรัม

ห้องโดยสารภายในแบบ “i-Cockpit” สุดล้ำ ปรับเปลี่ยนการแสดงผลได้หลายรูปแบบ เช่น Dials, Navigation, Driving, Minimal และ Personal พวงมาลัยแบบทรงแบน ปาดด้านบนล่างออก ให้การมองทัศนวิสัยได้ดีขึ้น และมีตำแหน่งการขับที่ดีเยี่ยม และดีไซน์ร่วมสมัย เบาะแถวสอง พื้นที่กว้างขวาง นั่งสบายไม่อึดอัด และเบาะปรับเอนได้ พร้อมประตูบานท้ายแบบไฟฟ้า สามารถแหย่เท้าไปใต้กันชนหลัง เปิดได้โดยไม่ต้องสัมผัส

ขุมพลังที่ใช้ เบนซินขนาด 1.6 ลิตร รหัส EP6FDT แบบ Direct Injection PURE TECH 4 สูบ Twin Scroll Turbo ให้กำลังสูงสุด 167 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 240 นิวตัน-เมตร ขับเคลื่อนล้อหน้า ส่งกำลังด้วยเกียร์อัตโนมัติ 6 สปีด Quickshift มีโหมด M พร้อม Paddle Shift และโหมด Sport และระบบ Advanced Grip Control เปลี่ยนโหมดการขับสำหรับสภาพพื้นผิวต่างๆ ให้เลือกได้สะดวกด้วยปุ่มหมุน

MR.CARRO หวังว่า 10 อันดับ รถ SUV – PPV และ Crossover ในงบไม่เกิน 2 ล้านบาท น่าจะถูกใจ และเป็นตัวเลือกให้กับผู้ที่กำลังตัดสินใจจะซื้อรถป้ายแดงตอนนี้ แต่ถ้าใครอยากหาเงินมาโปะรถคันใหม่ได้มากยิ่งขึ้น ก็ลองขายรถคันเดิมของคุณกับทาง CARRO ดูได้ มาขายรถกับ CARRO Express สิ! ได้ราคาดี หรือจะ Inbox มาขอรายละเอียดได้ที่ Facebook -> CARRO Thailand และ Add Line สอบถามรายละเอียดได้เช่นกัน ที่ @carrothai

Carro Automall / คาร์โร ออโต้มอลล์

และอีกหนึ่งบริการใหม่! CARRO Automall แหล่งรวมรถ SUV, รถ PPV, รถ Crossover และรถมือสอง ราคาไม่เกินสองล้านคุณภาพเยี่ยมผ่านระบบออนไลน์ พร้อมตอบโจทย์คุณด้วยคอนเซปต์ “click.buy.drive.” คุณสามารถจองรถออนไลน์ ได้ในเวลาเพียง 1 นาทีเท่านั้น!

รถทุกคันผ่านการตรวจสภาพแบบ Double Check และยังมีเทคโนโลยี “360 View & Sound Engine Analysis” ให้คุณเลือกชมรถยนต์เสมือนจริงออนไลน์รายแรกในไทย ทั้งภาพและเสียงในรูปแบบ 360 องศา พร้อมรับประกันคุณภาพรถนานถึง 2 ปี หรือ 20,000 กิโลเมตร!

อีกทั้งยังการันตีความพึงพอใจ คืนเงินได้ภายใน 5 วันอีกด้วย! เรามีรถให้คุณเลือกชมเพียบ เปิดบริการทุกวัน ซื้อรถคุณภาพเยี่ยม ต้องที่ CARRO Automall สิ!

หรือถ้าหากสนใจรถ SUV, รถ PPV, รถ Crossover มือสอง หรือรถราคาไม่เกินสองล้านรุ่นไหนอยู่ แต่ยังหาที่ถูกใจไม่ได้ เรายินดีหาให้! เพียงแค่กรอกเบอร์โทรศัพท์ ชื่อยี่ห้อ / รุ่นรถ ที่คุณต้องการก็ได้เช่นกันครับ อีกทั้งยังสามารถ Inbox เข้ามาสอบถามรายละเอียดได้ที่ Facebook -> CARRO Automall Official โทร. 02-508-8690 หรือทาง Line @carroautomall ครับ

หมายเหตุ : *ข้อมูลสินค้า 10 อันดับข้างต้นนี้ เป็นข้อมูลสินค้าที่ Update ณ เดือนมิถุนายน 2564 เมื่อเวลาผ่านไปราคาและอันดับดังกล่าวอาจมีการเปลี่ยนแปลงได้ โปรดสอบถามรายละเอียดหรือราคาล่าสุด ที่ตัวแทนจำหน่ายรถรุ่นนั้นๆ อีกครั้ง

Compare-MU-X-Fortuner-Terra-Pajero-Sport-Everest

ถ้าพูดถึงรถ SUV ที่ถือว่าเป็นตลาดใหญ่ในกลุ่มรถบ้านเราเวลานี้ ด้วยการใช้งานที่สารพัดประโยชน์ และลุยน้ำท่วมได้ บวกกับตัวรถที่พัฒนามาอย่างต่อเนื่อง ซึ่งในตลาดรถยนต์ไทย ก็ยังมีรถประเภท SUV อีกแบบหนึ่ง ที่ในไทยมักเรียกกันว่ารถ “PPV” (Pick-Up Passenger Vehicle = รถอเนกประสงค์ที่มีพื้นฐานมาจากรถกระบะ) ซึ่งก็มียอดขายที่สูงมากด้วยเช่นกัน โดยมากแล้วจะมี 7 ที่นั่ง ในราคาค่าตัวอยู่ที่ 1 ล้านบาท ไปจนถึงเกือบๆ 2 ล้านบาท

ซึ่งผู้ผลิตรายแรกที่ผลิตรถในรูปแบบ PPV ขึ้นมา นั่นคือ ที่ขับเคี่ยวแข่งขันกันในตลาดรถยนต์อย่างดุเดือดกันมานานถึง 20 ปีได้

CARRO Thailand จึงขอนำรถ PPV ยอดฮิตในหมู่คนไทย ที่เพิ่งเปิดตัวสดใหม่ และมีขายอยู่แล้วในตลาดด้วยกัน 5 แบรนด์ 5 รุ่น อย่าง All-New Isuzu MU-X (ออลนิว อีซูซุมิว-เอ็กซ์), Toyota Fortuner (โตโยต้า ฟอร์จูนเนอร์), Mitsubishi Pajero Sport (มิตซูบิชิ ปาเจโร่ สปอร์ต), Nissan Terra (นิสสัน เทอร์ร่า) และ Ford Everest (ฟอร์ด เอเวอเรสต์) มาเปรียบเทียบกันให้เห็น ว่าแต่ละรุ่น มีข้อเสียข้อเสีย น่าใช้หรือไม่อย่างไร!

หากใครสนใจรุ่นไหนอยู่ ลองคำนวณงบประมาณที่มี แล้วเลือกดูว่า จะผ่อนกันแบบไหนได้เลย 

ถ้าคุณอยากขายรถด่วน เพื่อไปซื้อรถคันใหม่ หรือรับเงินก้อนไปใช้สามารถขายรถคันเก่า หรือตีราคารถกับทาง CARRO ได้ ง่ายๆ ได้เงินไว! กับ CARRO Express เพียงแค่คลิก https://th.carro.co/sell-car/express หรือสามารถ Inbox มาขอรายละเอียดได้ที่ Facebook CARRO Thailand

หรือจะ Add Line สอบถามรายละเอียดได้ที่ @Carrothai หรือคลิกที่นี่ —> เพิ่มเพื่อน

Isuzu-MU-X-Motor-Expo-2020

All-New Isuzu MU-X 2020

ข้อดี : พัฒนาตัวรถใหม่หมด (แต่บางคนก็บอกว่า ยังสลัดคราบของ D-Max ออกไม่หมดก็ตาม) แต่ก็ดูหรูหราขึ้น ช่วงล่างนุ่ม เกาะถนนได้มากขึ้น รุ่น 1.9 ลิตร เหมาะสำหรับคนชอบความประหยัด หรือใช้งานในเมือง ส่วนรุ่น 3.0 ลิตร เหมาะสำหรับใช้งานทางไกล สายซิ่ง ให้ความฉับไวในการออกตัวและเร่งแซง ขับขี่สบายมากขึ้น และยังเป็นรถมือสอง ที่ซื้อง่ายขายคล่องอีกด้วย

ข้อด้อย : รุ่น 1.9 ลิตร ตัวเครื่องยนต์ต้องแบกน้ำหนักตัวรถมาก การออกตัวให้อัตราเร่งช้าไปบ้าง แต่วิ่งสัก 80 กม./ชม. ขึ้นไป ก็ถือว่าดีขึ้นมาก และพวงมาลัยอาจคืนตัวช้าไปบ้าง

รายละเอียดตัวรถ : เป็นรถที่ออกแบบภายใต้แนวคิด Emotional & Solid ผสานความหนักแน่นและพลิ้วไหวเข้าไว้ด้วยกันตลอดทั้งคัน อาทิ กระจังหน้าแบบ World Cross Flow, ไฟหน้า Bi-LED Projector ดีไซน์แบบ Arrow Signature สอดรับกับเส้นสายด้านข้างอันเป็นเอกลักษณ์ ทอดยาวสู่ไฟท้าย LED ดีไซน์แบบ Winglet Signature

โครงสร้างแพลทฟอร์มใหม่ ช่วงล่างใหม่ ออกแบบตามแนวคิด ISUZU Symmetric Mobility ให้โครงสร้างตัวถัง แชสซีส์ การวางตำแหน่งเครื่องยนต์ และช่วงล่างทำงานร่วมกันได้ลงตัว ช่วงล่างหน้าแบบอิสระปีกนก 2 ชั้น Double Wishbone ออกแบบจุดยึดปีกนกด้านบนใหม่ พร้อมคอยล์สปริง โช้คอัพแก๊สและเหล็กกันโคลงขนาดใหญ่ ช่วงล่างด้านหลังแบบ 5-Link Suspension ออกแบบจุดยึดคานใหม่และเหล็กกันโคลงให้ยาวขึ้น พร้อมคอยล์สปริงและโช้คอัพแก๊ส

ภายในห้องโดยสาร แนวคิดการออกแบบ Fine, Rich & Impressive Craftsmanship ด้วยวิธีการออกแบบ Integrated Cockpit ให้คอนโซลหน้าเชื่อมต่อเป็นหนึ่งเดียวกับคอนโซลกลาง จัดวางเรียบหรู ด้วยเบาะนั่งสามแถว สี Saddle Brown ตัดเย็บด้วยวัสดุพิเศษ เดินด้ายแบบเครื่องหนังชั้นหรู พร้อมเทคโนโลยี COOLMAX ช่วยลดการสะสมความร้อน ออกแบบให้นั่งสบายทั้ง 7 ที่นั่ง และเบาะคู่หน้าปรับไฟฟ้า

ระบบความบันเทิง ISUZU Ultimate Entertainment หน้าจอ Infotainment Display ขนาดใหญ่ 9 นิ้ว รองรับ Apple CarPlay แบบไร้สาย และ Android Auto พร้อมลำโพง 8 จุด ให้มิติเสียงรอบทิศทาง

ระบบปรับอากาศอัตโนมัติแบบ Dual Zone แยกอิสระซ้าย-ขวา พร้อมฟิลเตอร์กรองฝุ่น PM 2.5 Charging Station รองรับการใช้งานอุปกรณ์ไฟฟ้าหลากหลาย ทั้ง USB Fast Charger ช่องต่อ AC Power Socket 220V และช่องต่อ DC 12V

และกุญแจ ISUZU Genius Entry สตาร์ทเครื่องยนต์ด้วย Remote Engine Start ใช้เปิด-ปิดประตูท้ายไฟฟ้าได้ด้วย

มีให้เลือกถึง 6 สี ได้แก่ น้ำตาลมาราเกซ (Marrakesh Brown) ขาวมุกโดโลไมท์ (Dolomite Pearl White) แดงเอทนา (Etna Red) ดำบาวาเรียน ไมก้า (Bavarian Black Mica) เงินไอซ์เบิร์ก (Iceberg Silver) และเงินโบฮีเมียน เมทัลลิค (Bohemian Silver Metallic)

All-New-Isuzu-MU-X-2020

อุปกรณ์มาตรฐานเด่นๆ :

  • ไฟหน้า Bi-LED Projector ดีไซน์แบบ Arrow Signature
  • ไฟท้าย LED ดีไซน์แบบ Winglet Signature
  • กล้องหน้าคู่ 3D Imaging Stereo Camera
  • ระบบเปิด-ปิด ไฟหน้าอัตโนมัติ
  • ระบบปัดน้ำฝนอัตโนมัติ
  • กระจกบังลมหน้าแบบ IR Cut
  • ล้ออัลลอยขนาดใหญ่ Dynamic Design
  • กุญแจ ISUZU Genius Entry
  • ระบบปรับอากาศอัตโนมัติแบบ Dual Zone แยกอิสระซ้าย-ขวา พร้อมฟิลเตอร์กรองฝุ่น PM 2.5
  • Charging Station รองรับการใช้งานอุปกรณ์ไฟฟ้าหลากหลาย
  • หน้าจอ Infotainment Display ขนาดใหญ่ 9 นิ้ว รองรับ Apple CarPlay แบบไร้สาย และ Android Auto
  • เบรกมือไฟฟ้า
  • ระบบ Auto Brake Hold ระบบช่วยหยุดอยู่กับที่โดยไม่ต้องเหยียบเบรกค้างไว้
  • ระบบควบคุมความเร็วอัตโนมัติ
  • ระบบเปิด-ปิดประตูท้ายด้วยไฟฟ้า Power Tailgate พร้อม Jam Protection
  • ACC (Full Speed Range Adaptive Cruise Control) ระบบควบคุมความเร็วอัตโนมัติแบบแปรผัน พร้อมฟังก์ชัน Stop and Go
  • FCW (Forward Collision Warning) ระบบแจ้งเตือนก่อนการชนด้านหน้า
  • AEB (Autonomous Emergency Braking) ระบบเบรกฉุกเฉินอัตโนมัติ
  • LDW (Lane Departure Warning) ระบบแจ้งเตือนออกนอกเลน
  • AHB (Automatic High Beam) ระบบควบคุมไฟสูงอัตโนมติ
  • PMM (Pedal Misapplication Mitigation) ระบบตัดกำลังเครื่องยนต์เมื่อเหยียบคันเร่งผิดพลาด
  • MSL (Manual Speed Limiter) ระบบตั้งค่าจำกัดความเร็วสูงสุดด้วยตัวเอง
  • BSM (Blind Spot Monitoring) ระบบแจ้งเตือนจุดอับสายตา
  • RCTA (Rear Cross Traffic Alert) ระบบช่วยเตือนขณะถอยรถยนต์
  • Parking Aid System ระบบเซ็นเซอร์ช่วยจอดรถยนต์
  • MCB (Multi-Collision Brake) ระบบเบรกอัตโนมัติหลังการเกิดอุบัติเหตุ ช่วยลดโอกาสการเกิดอุบัติเหตุซ้ำซ้อน

All-New-Isuzu-MU-X-2020

เครื่องยนต์ : ดีเซลขนาด 1.9 ลิตร รหัส RZ4E-TC แบบ 4 สูบ DOHC 16 วาล์ว Commonrail Direct Injection VGS Turbo ให้แรงม้าสูงสุด 150 แรงม้า ที่ 3,600 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 350 นิวตัน-เมตร ที่ 1,800 – 2,600 รอบ/นาที ประหยัดน้ำมัน 14.9 กม./ลิตร (ตาม Eco Sticker)

และดีเซลขนาด 3.0 ลิตร รหัส 4JJ3-TCX แบบ 4 สูบ DOHC 16 วาล์ว Commonrail Direct Injection VGS Turbo ให้แรงม้าสูงสุด 190 แรงม้า ที่ 3,600 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 450 นิวตัน-เมตร ที่ 1,600 – 2,600 รอบ/นาที ประหยัดน้ำมัน 13.3 กม./ลิตร (ตาม Eco Sticker)

ทั้ง 2 เครื่องยนต์ สามารถใช้กับน้ำมันดีเซล B20 ได้ ส่งกำลังผ่านเกียร์ธรรมดา 6 สปีด และอัตโนมัติแบบ 6 สปีด พร้อม REV Tronic รัศมีวงเลี้ยวแคบสุด 5.6 เมตร น้ำหนักรถ 1,950 – 2,165 กิโลกรัม

มิติตัวรถ : ยาว 4,850 มม. กว้าง 1,870 มม. สูง 1,815 มม. (รุ่น Active) 1,825 มม. (รุ่น Luxury) 1,875 มม. (รุ่น Elegant / Ultimate) ระยะฐานล้อ 2,855 มม. ระยะต่ำสุดจากพื้น 235 มม.

ราคาจำหน่าย : (Update ล่าสุด เดือนธันวาคม 2563)

  • 1.9 Ddi Active A/T ราคา 1,121,000 บาท
  • 1.9 Ddi Luxury M/T ราคา 1,266,000 บาท
  • 1.9 Ddi Luxury A/T ราคา 1,304,000 บาท
  • 1.9 Ddi Elegant A/T ราคา 1,349,000 บาท
  • 1.9 Ddi Ultimate A/T ราคา 1,434,000 บาท
  • 3.0 Ddi Ultimate A/T ราคา 1,479,000 บาท
  • 3.0 Ddi 4X4 Ultimate A/T ราคา 1,579,000 บาท

Toyota-Fortuner-Legender

Toyota Fortuner 2020

ข้อดี : โฉมนี้ถือว่าปรับปรุงหลายอย่าง นอกจากหน้าและออพชั่นใหม่ๆ แล้ว ดูสวยและดุดันขึ้น เหมาะสำหรับกลุ่มลูกค้าที่มีครอบครัว มองหารถที่ใหญ่ขึ้น ส่วนรุ่น เหมาะสำหรับกลุ่มลูกค้านักธุรกิจรุ่นใหม่ เครื่องยนต์ 2.8 แรงกว่ารถในระดับเดียวกัน โดดเด่นด้วยล้อแม็กขนาด 20 นิ้ว ตัวรถยังติดตั้ง Balance Shaft เพื่อลดเสียงและการสั่นสะเทือน พร้อมโหมดการขับแบบ Sport ปรับการตอบสนองของคันเร่งและพวงมาลัย ตัวเกียร์ตอบสนองได้ดี ไม่มีช่วงวูบหรือย้วยขณะเปลี่ยนเกียร์ขึ้นสูง เพิ่มความมั่นใจเมื่อใช้ความเร็วสูง

ระบบกันสะเทือนให้ความรู้สึกนุ่มนวล และหนักแน่นขึ้น ส่วนห้องโดยสารเก็บเสียง และการดูดซับแรงสั่นสะเทือนได้ดี แทบไม่รู้สึกถึงการกระแทก พวงมาลัยนิ่งแน่น ไม่สะท้านมือ

ในโหมดออฟโรด ปรับรอบเดินเบาจาก 850 เหลือ 680 รอบต่อนาที เพื่อให้ควบคุมคันเร่งได้ง่ายขึ้น และสามารถบรรทุกของได้เยอะ อีกทั้งเวลาเป็นรถมือสอง ก็ซื้อง่ายขายคล่อง

ข้อด้อย : อาจจะเป็นในเรื่องของราคา ที่แพงกว่ารถในระดับเดียวกันครับ

รายละเอียดตัวรถ : Toyota Fortuner นับตั้งแต่การเปิดตัวเมื่อ 15 ปีก่อน ก็จัดเป็นรถอเนกประสงค์ ที่ได้รับการตอบรับอย่างดีจากลูกค้า และครองอันดับ 1 ในตลาดรถอเนกประสงค์ ประเภท PPV มาอย่างต่อเนื่อง จึงเป็นที่มาของการสื่อสารทางการตลาด ภายใต้สโลแกน “Wisdom of a Leader” หรือ “สัญลักษณ์แห่งความสำเร็จ”

โดยรุ่นมาตรฐานนี้ได้ปรับปรุงเครื่องยนต์ 2.4 GD Super Power ให้ประหยัดน้ำมันมากขึ้นกว่าเดิม และตอบสนองทุกการขับขี่ด้วยระบบบังคับเลี้ยวแบบ VFC (Variable Flow Control) ทำให้น้ำหนักพวงมาลัยแปรผันตามความเร็ว ควบคุมรถได้แม่นยำและมั่นใจมากยิ่งขึ้น นอกจากนี้ยังมาพร้อมกับระบบ Cruise Control และสัญญาณกะระยะ 6 ตำแหน่ง พร้อมกับระบบ Apple Carplay ที่จะเชื่อมต่อคุณและความบันเทิงได้อย่างอิสระ

ส่วนรุ่น Legender มาพร้อมกับดีไซน์หรูหรา โฉบเฉี่ยว ด้วยกระจังหน้าและกันชนหลังดีไซน์ใหม่ และเครื่องยนต์ 2.8 GD Super Power ใหม่ เพิ่มสมรรถนะการขับขี่แรงขึ้นกว่าเดิม 15% ด้วยกำลังสูงสุด 204 แรงม้า และฟังก์ชัน Sport Mode

เพิ่มกล้องมองรอบคัน แท่นชาร์จไฟแบบไร้สาย และ ระบบประตูท้ายเปิด-ปิดด้วยไฟฟ้า พร้อม Kick Sensor และยังเป็นครั้งแรกในรถโตโยต้า ฟอร์จูนเนอร์ ที่ติดตั้งระบบ Toyota Safety Sense อีกด้วย

มีให้เลือกถึง 6 สี ได้แก่ สีขาวมุก White Pearl CS, สีแดง Emotional Red, สีเงิน Silver Metallic, สีน้ำเงิน Dark Blue Mica, สีเทา Dark Grey Metallic และสีดำ Attitude Black Mica

New-Toyota-Fortuner-Legender-2020

อุปกรณ์มาตรฐานเด่นๆ :

  • ไฟหน้าแบบเลนส์ LED Dual Projector พร้อมไฟเลี้ยวหน้า-หลัง LED แบบ Sequential
  • ระบบควบคุมการเปิด-ปิดไฟหน้าอัตโนมัติ พร้อมระบบ Follow-me-home
  • ไฟท้าย LED แบบ Light Guiding
  • กระจกมองข้าง ระบบ Welcome Light
  • ประตูท้ายเปิด-ปิดด้วยระบบไฟฟ้า พร้อมระบบป้องกันการหนีบ
  • พวงมาลัยปรับได้ทั้ง สูง-ต่ำ และเข้า-ออก (Tilt & Telescopic)
  • เบาะหุ้มหนังแบบ Soft Touch เดินด้ายสีแดง หรือเทา พร้อมลายไม้แบบ Galaxy Black และแถบสีเงิน
  • สวิตซ์ควบคุมเครื่องเสียง โทรศัพท์ และ MID ที่พวงมาลัย
  • อุปกรณ์ชาร์จไฟแบบไร้สาย (Wireless Charger)
  • หัวเกียร์หุ้มหนัง พร้อมแถบสีเงิน ส่วนฐานเกียร์ลายไม้แบบ Galaxy Black พร้อมแถบสีเงิน
  • มาตรวัดเรืองแสง Optitron
  • ฟังก์ชั่นแสดงสถานะการเลี้บวของล้อหน้า (Tire Turning Angle)
  • ระบบควบคุมความเร็วอัตโนมัติ Cruise Control
  • เครื่องเสียงจอสัมผัสขนาด 9 นิ้ว รองรับ Bluetooth/USB
  • ชุดเครื่องเสียง Premium Audio พาวเวอร์แอมป์ และลำโพง JBL
  • กล้องมองรอบคัน (PVM) พร้อมมุมมองแบบ 3D View
  • ระบบป้องกันล้อล็อก ABS, ระบบกระจายแรงเบรก EBD และระบบเสริมแรงเบรก BA
  • ระบบควบคุมการทรงตัว VSC
  • ระบบป้องกันล้อหมุนฟรี TRC
  • ระบบควบคุมการส่ายของส่วนพ่วงท้าย TSC
  • ระบบช่วยออกตัวบนทางลาดชัน HAC
  • ระบบควบคุมความเร็วขณะลงทางลาดชัน DAC
  • ระบบควบคุมเฟืองท้าย (Auto Limited Slip Differential)
  • ระบบบังคับเลี้ยวแบบ VFC (Variable Flow Control) ควบคุมพวงมาลัยแปรผันตามระดับความเร็ว
  • ระบบถุงลมเสริมความปลอดภัย SRS ด้านผู้ขับ ผู้โดยสาร และหัวเข่าผู้ขับ
  • ระบบถุงลมเสริมความปลอดภัย SRS ด้านข้าง และม่านนิรภัย
  • ระบบความปลอดภัยก่อนการชน PCS
  • ระบบเตือนเมื่อออกนอกเลน พร้อมเบรกหน่วงกลับอัตโนมัติ LDA
  • ระบบ Stop and Start พร้อม Evaporator เก็บความเย็น สำหรับระบบปรับอากาศ

เครื่องยนต์ : ดีเซลขนาด 2.4 ลิตร รหัส 2KD-FTV (High) แบบ 4 สูบ แถวเรียง DOHC 16 วาล์ว VN Turbo และ Intercooler ให้แรงม้าสูงสุด 150 แรงม้า ที่ 3,400 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 400 นิวตัน-เมตร ที่ 1,600 – 2,000 รอบ/นาที

และดีเซลขนาด 2.8 ลิตร รหัส 1KD-FTV (High) แบบ 4 สูบ แถวเรียง DOHC 16 วาล์ว VN Turbo และ Intercooler ให้แรงม้าสูงสุด 204 แรงม้า ที่ 3,400 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 500 นิวตัน-เมตร ที่ 1,600 – 2,800 รอบ/นาที

สามารถใช้กับน้ำมันดีเซล B20 ได้ ส่งกำลังผ่านเกียร์อัตโนมัติแบบ 6 สปีด พร้อม Sequential Shift และ Paddle Shift รัศมีวงเลี้ยวแคบสุด 5.8 เมตร

มิติตัวรถ : ยาว 4,795 มม. กว้าง 1,855 มม. สูง 1,835 มม. ระยะฐานล้อ 2,750 มม. ระยะต่ำสุดจากพื้น 193 มม.

ราคาจำหน่าย : (Update ล่าสุด เดือนธันวาคม 2563)

  • 2.4 G 2WD ราคา 1,349,000 บาท
  • 2.4 V 2WD ราคา 1,454,000 บาท
  • 2.4 V 4WD ราคา 1,524,000 บาท
  • 2.4 Legender 2WD ราคา 1,557,000 บาท ราคาอุปกรณ์ตกแต่งพิเศษ 7,000 บาท ราคารวม 1,564,000 บาท
  • 2.4 Legender 4WD ราคา 1,627,000 บาท ราคาอุปกรณ์ตกแต่งพิเศษ 7,000 บาท ราคารวม 1,634,000 บาท
  • 2.8 Legender 2WD ราคา 1,762,000 บาท ราคาอุปกรณ์ตกแต่งพิเศษ 7,000 บาท ราคารวม 1,769,000 บาท
  • 2.8 Legender 4WD ราคา 1,832,000 บาท ราคาอุปกรณ์ตกแต่งพิเศษ 7,000 บาท ราคารวม 1,839,000 บาท

*สำหรับรุ่นธรรมดา สีพิเศษ White Pearl CS และ Emotional Red เพิ่ม 12,000 บาท

**สำหรับรุ่น Legender สีพิเศษ White Pearl CS และ Emotional Red เพิ่ม 20,000 บาท

Mitsubishi-Pajero-Sport-Elite-Edition

Mitsubishi Pajero Sport 2020

ข้อดี : Mitsubishi จัดเต็มด้วยออพชั่นที่มีมาให้กับ Pajero Sport กับจุดเด่นที่ช่วงล่าง ถ้าใช้งานในเมืองเป็นหลัก ก็เลือกรุ่น 2WD ช่วยประหยัดค่าบำรุงรักษาได้มาก น้ำหนักรถเบากว่า ประหยัดน้ำมันกว่า แต่ถ้าชอบวิถีชีวิตลุยๆ ชอบการเดินทาง ต้องขึ้นเขา ลงห้วย กางเต๊นท์ หรือฝ่าสายฝนบ่อยๆ ก็เลือกรุ่น 4WD ได้เลย ค่าใช้จ่ายใในการดูแลรักษา ก็ไม่ต่างจากรถคู่แข่งนัก

ข้อด้อย : การออกตัวอาจอืดหน่อย พวงมาลัยหนักนิดๆ ส่วนช่วงล่างจะโคลงหน่อย เพราะพื้นฐานมาจากกระบะ Triton แต่ก็ถือว่าเกาะถนนพอตัว ส่วนเรื่องเบาะนั่งแถวที่ 3 ค่อนข้างเล็ก ก็ถือเป็นเรื่องที่แทบจะเป็นกันทุกรุ่น ทุกยี่ห้อ

รายละเอียดตัวรถ : ยังคงเป็นรถ PPV รุ่นขายดีของ Mitsubishi ภายใต้แนวคิด “ความสำเร็จที่เป็นคุณ” ซึ่งเวลานี้มีให้เลือกทั้งรุ่นธรรมดา และรุ่นพิเศษ Elite Edition … ดีไซน์ใหม่ โฉบเฉี่ยว สไตล์สปอร์ต โดดเด่นทุกมุมมอง พร้อมการออกแบบอันเป็นเอกลักษณ์ด้วย Advanced Dynamic Shield Design สะกดทุกสายตาด้วยไฟหน้าโปรเจคเตอร์ แบบ Bi-LED ปรับระดับลำแสงอัตโนมัติ และไฟส่องสว่างเวลากลางวันแบบ Spectrum LED

สะดวกสบายยิ่งขึ้น ด้วยระบบเปิด-ปิดประตูท้ายด้วยไฟฟ้า พร้อมระบบแฮนด์ฟรีและปุ่มปิดฝาท้ายพร้อมล็อกรถ (ทำงานคู่กับระบบกุญแจอัจฉริยะ KOS)

ห้องโดยสารกว้างขวางสะดวกสบาย ตกแต่งสีเงิน และเปียโนแบล็ค พร้อมด้วยฟังก์ชันการใช้งานที่ครบครัน เชื่อมต่อความบันเทิงด้วย Apple CarPlay เพียงเชื่อมต่อ iPhone ในรถมิตซูบิชิ ปาเจโร สปอร์ต สามารถรับสายโทรเข้า-โทรออก และรับ-ส่งข้อความ พร้อมฟังเพลงได้อย่างง่ายดาย

มอบความสมบูรณ์แบบในการขับขี่ เพิ่มความมั่นใจในทุกสภาพถนน ด้วยเทคโนโลยีขับเคลื่อน 4 ล้อ เอกลักษณ์เฉพาะของมิตซูบิชิ ให้คุณสามารถเปลี่ยนโหมดจากระบบขับเคลื่อน 2 ล้อ (2H) เป็นระบบขับเคลื่อน 4 ล้อ (4H) แบบ Full-Time All Wheel Control เพื่อเพิ่มความปลอดภัยบนถนนลื่น และเมื่อต้องการขับขี่บนเส้นทางแบบ Off-Road คุณยังสามารถเปลี่ยนระบบขับเคลื่อนเป็น 4HLc หรือ 4LLc ได้ตามความต้องการ

มีให้เลือกถึง 5 สี ได้แก่ สีขาวมุก White Diamond, สีเงิน Sterling Silver, สีเทา Graphite Grey, สีดำ Jet Black Mica และสีน้ำตาล Deep Bronze

New-Mitsubishi-Pajero-Sport-2019

อุปกรณ์มาตรฐานเด่นๆ :

  • ระบบควบคุมการเปลี่ยนเกียร์ที่พวงมาลัย
  • ระบบเบรกแบบ ABS พร้อมระบบกระจายแรงเบรกแบบอิเล็กทรอนิกส์ EBD
  • ประตูท้ายเปิด-ปิดด้วยไฟฟ้า พร้อมระบบแฮนด์ฟรี และปุ่มปิดฝาท้ายพร้อมล็อกรถ
  • ถุงลมนิรภัยคู่หน้า พร้อมสวิตช์เปิด-ปิด และไฟแสดงผล สำหรับด้านผู้โดยสาร
  • ถุงลมนิรภัยด้านข้าง, บริเวณหัวเข่าด้านคนขับ และม่านถุงลมนิรภัย
  • ระบบตัดกำลังเครื่องยนต์ชั่วขณะ เมื่อเหยียบคันเร่งอย่างรุนแรงและรวดเร็ว
  • ระบบลดกำลังเครื่องยนต์ เพื่อช่วยเบรก
  • ระบบเตือนการชนด้านหน้าตรง พร้อมระบบช่วยชะลอความเร็ว
  • ระบบ Brake Auto Hold
  • ระบบเบรกมือควบคุมด้วยไฟฟ้าอัตโนมัติ
  • ระบบเสริมแรงเบรก BA
  • ระบบควบคุมเสถียรภาพการทรงตัว พร้อมระบบป้องกันล้อหมุนฟรี และควบคุมการลื่นไถล
  • ระบบช่วยออกตัวบนทางลาดชัน
  • ระบบควบคุมความเร็วขณะลงทางลาดชัน
  • ระบบสัญญาณเตือนจุดอับสายตา
  • ระบบเตือนขณะเปลี่ยนเลน
  • ระบบเตือนด้านหลังขณะถอยออกจากช่องจอด
  • สวิตช์ควบคุมฟังก์ชันต่างๆ ที่พวงมาลัย
  • จอแสดงข้อมูลการขับขี่ พร้อมเมนูภาษาไทย แบบ LCD ขนาด 8 นิ้ว
  • กระจกมองหลังแบบปรับลดแสงสะท้อนอัตโนมัติ
  • ระบบล็อกความเร็วบนพวงมาลัยแบบแปรผันอัตโนมัติ
  • กล้องมองภาพรอบคัน พร้อมเส้นกะระยะ และเส้นแสดงทิศทางการเคลื่อนที่ของรถ
  • ระบบปรับอากาศ แบบปรับอุณหภูมิอัตโนมัติ แบบแยกปรับอุณหภูมิซ้าย-ขวา
  • ระบบกรองอากาศภายในห้องโดยสารนาโนอิ
  • หน้าจอระบบสัมผัส 8 นิ้ว รองรับการเชื่อมต่อผ่านสมาร์ทโฟน SDA พร้อมระบบนำทางในรถยนต์
  • รองรับ Apple CarPlay และ Android Auto
  • ช่องต่ออุปกรณ์ HDMI
  • ระบบเชื่อมต่อบลูทูธ แบบ A2DP
  • ระบบ Hands-Free และ Voice Command
  • จอภาพแบบ Wide Screen ขนาด 12.1 นิ้ว พร้อมรีโมท เชื่อมต่อ HDMI และ USB สำหรับผู้โดยสารตอนหลัง
  • หูฟังอินฟราเรด 2 ชุด สำหรับผู้โดยสารตอนหลัง
  • รองรับการเชื่อมต่อระบบ M-Connect
  • ระบบสั่งการทำงานผ่านสมาร์ทโฟนในระยะสัญญาณบลูทูธ
  • ระบบไฟสว่างอัตโนมัติเมื่อปลดล็อก ทำงานร่วมกับระบบควบคุมการเปิด-ปิดไฟหน้าอัตโนมัติ และระบบไฟนำทางหลังดับเครื่องยนต์

เครื่องยนต์ : ดีเซลขนาด 2.4 ลิตร รหัส 4N15 แบบ 4 สูบ แถวเรียง DOHC 16 วาล์ว MIVEC VG Turbo Intercooler ให้แรงม้าสูงสุด 181 แรงม้า ที่ 3,500 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 430 นิวตัน-เมตร ที่ 2,500 รอบ/นาที

สามารถใช้กับน้ำมันดีเซล B20 ได้ ส่งกำลังผ่านเกียร์อัตโนมัติแบบ 8 สปีด พร้อม Sport Mode และระบบ INC (Idle Neutral Control) และ G-Sensor รัศมีวงเลี้ยวแคบสุด 5.6 เมตร น้ำหนักรถ 1,940 – 2,075 กิโลกรัม

มิติตัวรถ : ยาว 4,885 มม. กว้าง 1,865 มม. สูง 1,835 มม. ระยะฐานล้อ 2,800 มม. ระยะต่ำสุดจากพื้น 218 มม.

ราคาจำหน่าย : (Update ล่าสุด เดือนธันวาคม 2563)

  • 2.4D GT 2WD ราคา 1,299,000 บาท
  • 2.4D GT Plus 2WD ราคา 1,349,000 บาท
  • 2.4D GT-Premium 2WD ราคา 1,469,000 บาท
  • 2.4D GT-Premium 4WD ราคา 1,599,000 บาท
  • 2.4D GT-Premium 2WD Elite Edition ราคา 1,524,000 บาท
  • 2.4D GT-Premium 4WD Elite Edition ราคา 1,629,000 บาท

*หมายเหตุ : สีขาวมุก White Diamond เพิ่ม 15,000 บาท, สีขาวมุก รุ่น Elite Edition เพิ่ม 20,000 บาท

Nissan-Terra-2019

Nissan Terra 2020

ข้อดี : ช่วงล่างนิ่ม ไม่ย้วย ขับสนุก ห้องโดยสารเก็บเสียงได้ดี แถมจุดเด่นอย่างกล้องติดรถรอบคัน 360 องศา ส่วนเครื่องยนต์มีจุดเด่น อย่างระบบน้ำมัน ปั๊มหัวฉีด หัวฉีด ราง ทั้งระบบทำโดย Continental และค่าบำรุงรักษาที่ไม่แพง

ข้อด้อย : การออกตัวอาจจะหน่วงไปบ้าง และเวลาถอยหลัง ช่องมองภาพจะอยู่บริเวณกระจกมองหลังแทน ซึ่งหลายคนอาจไม่ถนัด และอัตราสิ้นเปลืองเชื้อเพลิงที่มากหน่อย

รายละเอียดตัวรถ : รูปโฉมภายนอกของ Nissan Terra มาพร้อมไฟหน้าและไฟท้ายแบบบูมเมอร์แรง กระจังหน้าแบบ V-Motion ส่วนชุดประตูหน้านั้นเหมือน Navara และด้านท้ายถูกออกแบบใหม่หมด ไฟท้ายเป็นแบบ LED มาพร้อมล้อแม็กขนาด 18 นิ้ว พร้อมยางขนาด 255/60 R18

ห้องโดยสารภายในยกชุดมาจาก Navara แต่ตกแต่งให้หรูหราขึ้น ด้วยโทนสีดำตัดด้วยสีเงิน แบบ Gliding Wing 7 ที่นั่ง กว้างขวาง และเงียบ มีเครื่องเสียงระบบหน้าจอสัมผัส, ระบบปรับอากาศอัตโนมัติแบบ 2 โซน, กุญแจ Keyless Entry พร้อมปุ่มสตาร์ทเครื่องยนต์ เบาะคนขับปรับไฟฟ้า 8 ทิศทาง เบาะนั่งแถว 2 มีระบบพับอัตโนมัติแบบแบนราบ ระบบแอร์เพดานแยกส่วนกระจายทั่วห้องโดยสาร พร้อมระบบความบันเทิงด้วยจอมอนิเตอร์ ขนาด 11 นิ้ว สำหรับผู้โดยสารตอนหลัง เป็นต้น

ระบบพวงมาลัย แร็คแอนด์พิเนียน ควบคุมด้วยไฟฟ้า (EPS) สามารถปรับโหมดพวงมาลัยได้ถึง 3 โหมด คือ โหมด City สำหรับการขับขี่ในเมือง, โหมด Standard สำหรับการขับขี่ทั่วไป และโหมด Sport สำหรับการขับขี่สไตล์สปอร์ต พร้อมเทคโนโลยีขับเคลื่อนอัจฉริยะของนิสสัน Nissan Intelligent Mobility

มีให้เลือก 5 สี ได้แก่ สีน้ำตาล Earth Brown, สีดำ Black Star, สีขาว White Pearl, สีเงิน Brilliant Silver และ สีเทา Twilight Gray

อุปกรณ์มาตรฐานเด่นๆ :

  • ไฟหน้า LED โปรเจคเตอร์ , ไฟหรี่แบบ LED เปิด-ปิดอัตโนมัติ
  • ไฟส่องสว่างเวลากลางวัน (Daytime Running Light)
  • ไฟตัดหมอกหน้า พร้อมตกแต่งด้วยโครเมียม
  • บันไดข้าง
  • ช่องแอร์สำหรับผู้โดยสารแถว 2 และแถว 3 แบบอัตโนมัติ แยกซ้าย-ขวา และระบบควบคุมความเร็วพัดลมเบาะตอนหลัง
  • เครื่องเสียง พร้อมวิทยุ FM/AM Apple CarPlay / Android Auto พร้อม จอ Touch Screen 8 นิ้ว
  • ระบบนำทาง
  • จอภาพสำหรับผู้โดยสารตอนหลัง
  • พวงมาลัยพาวเวอร์ปรับระดับได้ ชนิดหุ้มหนัง 3 ก้าน พร้อมตกแต่งสีเงิน ปุ่มควบคุมเครื่องเสียง การสั่งงานด้วยเสียง
  • มาตรวัดแสดงข้อมูลการขับขี่ TFT 5 นิ้ว และ Off Road Meter
  • รองรับการเชื่อมต่อ Bluetooth
  • เบาะนั่งแถวที่ 1 ฝั่งผู้ขับขี่ปรับไฟฟ้าได้ 8 ทิศทาง พร้อมที่ดันหลังปรับไฟฟ้า ฝั่งผู้โดยสารปรับได้ 4 ทิศทาง พร้อมหมอนรองศีรษะ
  • เบาะนั่งแถวที่ 2 ชนิด แบบแยก 60:40 ปรับระดับได้ เลื่อนตำแหน่งหน้า-หลัง, ปรับเอนและพับได้จากตำแหน่งคนขับ พร้อมหมอนรองศีรษะสำหรับ 2 ที่นั่ง
  • เบาะนั่งแถวที่ 3 ชนิดแบบแยก 50:50 ปรับระดับได้ ปรับแบนราบกับพื้นห้องโดยสารได้ พร้อมหมอนรองศีรษะสำหรับ 2 ที่นั่ง
  • กระจกมองหลังแบบปรับลดแสงสะท้อนพร้อมกล้องส่องภาพจากภายนอก (Smart rear view mirror)
  • ระบบควบคุมความเร็วอัตโนมัติ Cruise Control
  • ระบบ Push Start
  • ระบบเบรก ABS พร้อม EBD และ BA
  • ถุงลม 6 จุด คู่หน้า / ด้านข้าง / และม่านถุงลม
  • ระบบลิมิเต็ดสลิป B-LSD
  • ระบบควบคุมการทรงตัวอัตโนมัติ Vehicle Dynamic Control (VDC)
  • ระบบควบคุมความเร็วขณะลงทางลาดชัน Hill Descent Control (HDC)
  • ระบบช่วยออกตัวบนทางลาดชัน Hill Start Assist (HSA)
  • ระบบเตือนเมื่อรถออกนอกทาง Lane Departure Warning (LDW)
  • ระบบเตือนจุดอับสายตา Blind Spot Warning (BSW)
  • กระจกบังลมหน้าแบบป้องกันเสียงรบกวน (Acoustic Glass) แบบอัดซ้อนนิรภัย (Laminated Glass)
  • กุญแจรีโมทพร้อม Immobilizer และสัญญาณกันขโมย
  • กล้องมองหลัง
  • กล้องอัจฉริยะมองภาพรอบทิศทาง Intelligent Around View Monitor (iAVM)
  • ระบบตรวจจับและส่งเตือนวัตถุ และบุคคลที่เคลื่อนไหวจากกล้องรอบคัน Moving Object Detection (MOD)
  • สัญญาณเตือนระยะจอดด้านหลัง 4 จุด
  • ระบบตรวจสอบแรงดันลมยาง

เครื่องยนต์ : ดีเซลขนาด 2.3 ลิตร รหัส YS23DDTT แบบ 4 สูบ แถวเรียง DOHC 16 วาล์ว Twin Turbo Intercooler ให้แรงม้าสูงสุด 190 แรงม้า ที่ 3,600 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 440 นิวตัน-เมตร ที่ 1,500 รอบ/นาที

ส่งกำลังผ่านเกียร์อัตโนมัติแบบ CVT 7 สปีด ทุกรุ่น ให้รัศมีวงเลี้ยวแคบสุด 5.7 เมตร

มิติตัวรถ : ยาว 4,885 มม. กว้าง 1,865 มม. สูง 1,835 มม. ระยะฐานล้อ 2,850 มม. ระยะต่ำสุดจากพื้น 225 มม.

ราคาจำหน่าย : (Update ล่าสุด เดือนธันวาคม 2563)

  • 2.3 V 2WD ราคา 1,299,000 บาท
  • 2.3 VL 2WD ราคา 1,349,000 บาท
  • 2.3 VL 4WD ราคา 1,459,000 บาท

*หมายเหตุ : สีขาวมุก เพิ่มเงิน 12,000 บาท

Ford-Everest-2021

Ford Everest 2020

ข้อดี : โฉมนี้มาพร้อมเครื่องยนต์ใหม่ ที่มีขนาดเล็กลง แต่ให้กำลังมากขึ้น พร้อมชุดเกียร์ใหม่ พร้อมแก้ปัญหาต่างๆ ของตัวรถที่เคยได้รับเสียงตำหนิมาจากผู้บริโภคก่อนหน้า เช่น ปัญหาคราบน้ำมันเครื่องบริเวณฝาครอบหน้าเครื่องยนต์ เป็นต้น ทาง Ford ได้ปรับปรุงซีลหน้าเครื่องให้มิดชิด เฟืองปั้มเกียร์ที่แข็งแรงขึ้น ผนังลูกสูบที่เรียบลื่นขึ้น และ Torque Converter ที่แน่นหนากว่าเดิม

ข้อด้อย : เบาะนั่งในแถวที่สาม นั่งค่อนข้างยากสำหรับผู้ใหญ่ แต่ในโฉมนี้ก็ได้ชดเชยด้วยระบบปรับพับด้วยไฟฟ้ามาให้ กับปัญหาของตัวรถ ที่ต้องลุ้นกันต่อว่าจะมีหรือไม่

รายละเอียดตัวรถ : สำหรับ Ford Everest แม้ว่าจะขายกันมานานหลายปีได้ ในโฉมปี 2020 – 2021 ได้ตกแต่งชุดกระจังหน้าใหม่, ตัวอักษร Everest บนฝากระโปรงหน้าแบบนูนต่ำ, มือเปิดประตูโครเมียม, กระจกมองข้างโครเมียม, บันไดข้างสีดำ และชุดตกแต่งสีเงิน เป็นต้น

มาพร้อมเครื่องยนต์ดีเซล 2.0 ลิตร เทอร์โบคู่สุดล้ำ และเกียร์อัตโนมัติ 10 สปีด ของฟอร์ด การทำงานของเทอร์โบทั้งสองเครื่องที่อิสระจากกัน มาพร้อมเครื่องยนต์อันทรงพลังถึง 213 แรงม้า (PS) และแรงบิดสูงสุดถึง 500 นิวตันเมตร ช่วยเพิ่มความแรง และความเร็วได้ดั่งใจคุณต้องการ อีกทั้งยังประหยัดน้ำมัน

ผสานความสะดวกสบายระดับพรีเมี่ยม ให้ทุกรายละเอียดของห้องโดยสารภายใน ไม่ว่าจะเป็นเบาะนั่งหุ้มหนัง 7 ที่นั่งที่เดินเส้นปักแบบใหม่ หัวเกียร์ที่ออกแบบใหม่ เทคโนโลยีการตัดเสียงรบกวนอัจฉริยะ และหลังคา Panoramic Moonroof แบบปรับไฟฟ้า พร้อมระบบประตูไฟฟ้าแบบแฮนด์ฟรี ทำให้ชีวิตคุณง่ายขึ้น

แถมทุกรุ่นมาพร้อมข้อเสนอพิเศษ โปรแกรมรับประกันเครื่องยนต์และระบบส่งกำลัง 10 ปี หรือ 150,000 กม. ฟรีประกันภัยชั้นหนึ่ง ฟรีชุดอุปกรณ์ตกแต่งไฟฟ้า (Electric Pack) มูลค่า 11,350 บาท

มีให้เลือกถึง 7 สี ได้แก่ สีขาวมุก Snowflake White Pearl, สีขาว Artic White, สีแดง Sunset Metallic, สีเงิน Aluminum Metallic, สีฟ้า Reflex Blue, สีน้ำเงิน Deep Crystal Blue และสีดำ Absolute Black Metallic

อุปกรณ์มาตรฐานเด่นๆ :

  • กุญแจอัจฉริยะและปุ่มสตาร์ท
  • หน้าจอ Multi-Touch ขนาด 8 นิ้ว
  • ระบบสั่งงานด้วยเสียง SYNC 3 ภาษาไทยพร้อมการเชื่อมต่อ Bluetooth และ Wi-fi
  • ประตูท้ายเปิด-ปิด ด้วยไฟฟ้าแบบ Hands Free
  • หลังคา Panoramic Moonroof
  • ไฟวิ่งกลางวันแบบ LED
  • ชุดชายบันไดสแตนเลสแบบ LED
  • ปลั๊กไฟบ้าน AC 230 V
  • ระบบช่วยจอดอัจฉริยะ
  • ระบบปรับอากาศอัตโนมัติแยกอิสระซ้าย-ขวาล
  • เบาะนั่งปรับไฟฟ้า 6 ทิศทาง พร้อมปรับดันหลัง 2 ทิศทาง ด้านคนขับและผู้โดยสารด้านหน้า
  • เบาะแถวที่ 3 พับไฟฟ้า
  • ระบบช่วยโทรฉุกเฉิน
  • ระบบตรวจจับรถในจุดบอด
  • ระบบป้องกันล้อหมุน TC และระบบควบคุมเสถียรภาพการทรงตัว ESP
  • ระบบควบคุมความเร็วขณะลงทางชัน
  • ระบบช่วยออกตัวขณะจอดบนทางลาดชัน HLA
  • จำนวนถุงลมนิรภัย ถุงลมนิรภัย 7 จุด คู่หน้า / ด้านข้าง / หัวเข่าฝั่งคนขับ / และม่านถุงลมนิรภัย

เครื่องยนต์ : ดีเซลขนาด 2.0 ลิตร แบบ 4 สูบ แถวเรียง DOHC 16 วาล์ว Turbo Intercooler ให้แรงม้าสูงสุด 180 แรงม้า ที่ 3,500 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 420 นิวตัน-เมตร ที่ 1,750 – 2,500 รอบ/นาที

และดีเซลขนาด 2.0 ลิตร แบบ 4 สูบ แถวเรียง DOHC 16 วาล์ว Bi-Turbo Intercooler ให้แรงม้าสูงสุด 213 แรงม้า ที่ 3,750 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 500 นิวตัน-เมตร ที่ 1,750 – 2,000 รอบ/นาที

สามารถใช้กับน้ำมันดีเซล B20 ได้ ส่งกำลังผ่านเกียร์อัตโนมัติแบบ 10 สปีด พร้อม Selection Shift

มิติตัวรถ : ยาว 4,903 มม. กว้าง 1,869 มม. สูง 1,837 มม. ระยะฐานล้อ 2,850 มม. ระยะต่ำสุดจากพื้น 225 มม.

ราคาจำหน่าย : (Update ล่าสุด เดือนธันวาคม 2563)

  • Trend 2.0L Turbo 2WD ราคา 1,299,000 บาท
  • Titanium 2.0L Turbo 2WD ราคา 1,399,000 บาท
  • Titanium (Sport) 2.0L Turbo 2WD ราคา 1,429,000 บาท
  • Titanium+ 2.0L Turbo 2WD ราคา 1,599,000 บาท
  • Titanium+ 2.0L Bi-Turbo 4WD ราคา 1,799,000 บาท

อย่างไรก็ตาม ขอให้บทความนี้เป็นเครื่องมือช่วยให้ทุกท่าน เลือกรถคู่ใจได้ตามความต้องการ และตามงบที่มี เพราะการเลือกซื้อรถแต่ละคัน แต่ละคนย่อมมีรสนิยม ความชอบ ความพึงพอใจ ในหลายองค์ประกอบไม่เหมือนกัน

รวมไปถึงความเชื่อมั่นในแบรนด์ด้วย ที่ต่างคนก็ต่างมีประสบการณ์ในการเจอที่ปรึกษาการขาย เจอดีลเลอร์ เจอการซ่อม การเคลม หรือราคาอะไหล่ที่ไม่เหมือนกัน ดังนั้น การที่คุณเลือกรถใช้แบรนด์ต่างจากคนอื่น ไม่ใช่เรื่องผิดแต่ประการใดจ้า

New-Mitsubishi-Pajero-Sport-2019

Mitsubishi เผยโฉม Mitsubishi Pajero Sport (มิตซูบิชิ ปาเจโร สปอร์ต) ใหม่ ครั้งแรกในโลกที่ประเทศไทย ในราคา 1,299,000 – 1,599,000 บาท

New-Mitsubishi-Pajero-Sport-2019

Mitsubishi Pajero Sport (มิตซูบิชิ ปาเจโร สปอร์ต) หรือในชื่อที่ใช้ในบางประเทศ นั่นคือ Mitsubishi Montero Sport (มิตซุบิชิ มอนเทโร สปอร์ต) ใหม่ มาพร้อมรูปลักษณ์ภายนอกที่หรูหราและทรงพลังยิ่งขึ้น พร้อมปรับปรุงภายในห้องโดยสารใหม่ ด้วยจอแสดงข้อมูลการขับขี่แบบ LCD ขนาด 8 นิ้ว ปรับปรุงใหม่เพื่อง่ายต่อการอ่าน และประตูท้ายไฟฟ้าที่ใช่ง่ายยิ่งขึ้น เพื่อให้ผู้ใช้งานสามารถเปิด-ปิด ด้วยสมาร์ทโฟน

New-Mitsubishi-Pajero-Sport-2019

ทั้งนี้ มิตซูบิชิ ปาเจโร สปอร์ต คือหนึ่งในรุ่นรถยนต์ที่มีความสำคัญเชิงกลยุทธ์ระดับโลกของ Mitsubishi Motors (มิตซูบิชิ มอเตอร์ส) ด้วยยอดจำหน่ายราว 77,000 คันทั่วโลกในปีงบประมาณ 2561 ที่ผ่านมา

Mitsubishi Pajero Sport ผลิตขึ้นที่โรงงานแหลมฉบังของ มิตซูบิชิ มอเตอร์ส ประเทศไทย ซึ่งเป็นผู้ผลิตและจำหน่ายของ มิตซูบิชิ มอเตอร์ส คอร์ปอเรชั่น ในประเทศไทย โดย Mitsubishi Pajero Sport ใหม่ จะเปิดตัวเพื่อจำหน่ายในอีกกว่า 90 ประเทศ รวมถึง ฟิลิปปินส์ ออสเตรเลีย และอื่นๆ

เปลี่ยนอะไรบ้าง?

New-Mitsubishi-Pajero-Sport-2019

Mitsubishi Pajero Sport ได้รับการออกแบบใหม่ภายใต้แนวคิด “ความสำเร็จที่เป็นคุณ” ดีไซน์ภายนอกดูทรงพลังและหรูหรายิ่งขึ้น ปรับชุดไฟหน้า กระจังหน้า กันชนหน้า และไฟท้าย ใหม่ และปรับปรุงภายในใหม่ เป็นต้น

New-Mitsubishi-Pajero-Sport-2019

1) ดีไซน์เน้นสง่างาม และทรงพลัง

การดีไซน์ด้านหน้าแบบ Dynamic Shield ของ Mitsubishi ได้พัฒนาขึ้นไปอีกขั้นใน Mitsubishi Pajero Sport ใหม่ ให้วิสัยทัศน์ดีขึ้น และเน้นความกว้างขวางโอ่อ่าของด้านหน้ารถ ด้วยตำแหน่งไฟหน้าที่ทอดตัวต่อเนื่องจากกระจังหน้าพร้อมชุดไฟ Combination Lamps ติดตั้งที่มุมของกันชน ฝากระโปรงหน้าสูงขึ้นกว่าเดิม ช่วยเพิ่มมิติความลึกให้กับด้านหน้ารถ และตกแต่งด้วยชิ้นส่วนโครเมียม ยังดูประณีตหรูหราอีกด้วย

New-Mitsubishi-Pajero-Sport-2019

2) อุปกรณ์เทคโนโลยีอำนวยความสะดวกใหม่

  • จอแสดงข้อมูลการขับขี่แบบ LCD ขนาด 8 นิ้ว ที่ง่ายต่อการอ่าน พร้อมเชื่อมต่อและแสดงข้อมูลจากหน้าจอระบบสัมผัส SDA
  • ระบบเปิดและปิดประตูท้ายด้วยไฟฟ้า พร้อมระบบความปลอดภัยและระบบแฮนด์ฟรี

ระบบรีโมทคอนโทรลของ มิตซูบิชิ มอบความสะดวกสบายด้วยคำสั่งการทำงานต่างๆ ซึ่งจะส่งการแจ้งเตือนไปยังสมาร์ทโฟนของผู้ขับขี่ในกรณีที่เปิดประตูท้ายหรือไฟหน้าทิ้งไว้ อีกทั้งยังสามารถสั่งการเปิดและปิดประตูท้ายไฟฟ้าผ่านสมาร์ทโฟน

โดยระบบจะส่งคำสั่งการเปิดและปิดประตูท้ายอัตโนมัติเมื่อเจ้าของรถอยู่ในระยะใกล้ตัวรถ และสามารถส่งคำสั่งได้จากทุกที่ในระยะของการเชื่อมต่อรถยนต์ผ่านแอปพลิเคชัน โดยทำงานควบคู่กับระบบกุญแจอัจฉริยะ KOS หรือเมื่ออยู่ในระยะสัญญาณบลูทูธ

New-Mitsubishi-Pajero-Sport-2019

3) ภายในห้องโดยสาร ใหม่!

  • คอนโซลกลางและมือจับประตูแบบใหม่ พร้อมด้วยวัสดุบุนุ่มพิเศษ
  • เพิ่มช่องเก็บของใต้คอนโซล พร้อมปรับปรุงการจัดวางตำแหน่งช่องจ่ายกระแสไฟ และช่องต่ออุปกรณ์ USB ที่ตำแหน่งบริเวณคอนโซลกลางด้านหลัง เพื่อการใช้งานที่สะดวกสบายยิ่งขึ้น สำหรับผู้โดยสารในทุกตำแหน่ง

New-Mitsubishi-Pajero-Sport-2019

4) สมรรถนะการขับขี่ที่เหนือชั้น

  • เครื่องยนต์ MIVEC เทอร์โบดีเซล ขนาด 2.4 ลิตร 181 แรงม้า ส่งกำลังผ่านเกียร์อัตโนมัติ 8 สปีด
  • เทคโนโลยีความปลอดภัยครบครันยิ่งขึ้น ด้วยระบบส่งสัญญาณเตือนเมื่อเปลี่ยนเลน (LCA) และระบบสัญญาณเตือนด้านหลังขณะถอยออกจากช่องจอด (RCTA)
  • เทคโนโลยีระบบขับเคลื่อนสี่ล้อ SUPER-SELECT 4WD-II ถ่ายทอดกำลังได้อย่างเหมาะสมต่อการขับเคลื่อนไปบนทุกสภาพพื้นผิวถนนและสามารถควบคุมการขับขี่ได้อย่างมั่นใจ
  • พร้อมระบบควบคุมใหม่ เพื่อปรับเปลี่ยนการขับเคลื่อนสำหรับเส้นทางออฟโรดในรุ่นขับเคลื่อนสี่ล้อ

ราคาของ Pajero Sport ใหม่ …

New-Mitsubishi-Pajero-Sport-2019

ราคาของ Mitsubishi Pajero Sport ใหม่ มีดังนี้ / Mitsubishi Pajero Sport. Shown in Thai Baht.

– รุ่น 2WD GT ราคา 1,299,000 บาท
– รุ่น 2WD GT Premium ราคา 1,469,000 บาท
– รุ่น 4WD GT Premium ราคา 1,599,000 บาท

New-Mitsubishi-Pajero-Sport-2019

มาพร้อมสีใหม่ 2 สี ได้แก่ White Diamond และ Graphite Gray

ข้อเสนอสุดพิเศษ สำหรับมิตซูบิชิ ปาเจโร สปอร์ต ใหม่

มีผลตั้งแต่วันที่ 25 กรกฏาคม 2562 – 30 กันยายน 2562

• ดอกเบี้ยพิเศษ 1.99% (1)
• ฟรี ประกันภัยชั้นหนึ่ง นาน 1 ปี (2)
• ฟรี รับประกันคุณภาพ 5 ปี (3)
• ฟรี ค่าแรงเช็กระยะนาน 5 ปี (4)
• ฟรี อุปกรณ์เชื่อมต่อสัญญาณภาพและเสียงระบบดิจิตอล (HDMI WiFi Dongle) (5)

(1) สำหรับลูกค้าที่จองรถยนต์มิตซูบิชิ ปาเจโร สปอร์ต ใหม่ (รุ่นปี 2020) ตั้งแต่วันที่ 25 ก.ค. 62 – 30 ก.ย. 62 และออกรถภายในวันที่ 31 ต.ค. 62 เลือกรับดอกเบี้ยพิเศษในอัตราร้อยละ 1.99 สำหรับลูกค้าที่ชำระเงินดาวน์เริ่มต้นในอัตราร้อยละ 25 ของราคารถยนต์ และผ่อนชำระค่าเช่าซื้อทั้งหมดเป็นจำนวน 48 งวดเท่านั้น (เงื่อนไขและรายละเอียดการให้สินเชื่อเช่าซื้อโปรดสอบถามเพิ่มเติมได้ที่สถาบันการเงินที่ร่วมรายการ ได้แก่ มิตซู ลิสซิ่ง ธนาคารกรุงศรีอยุธยา จำกัด (มหาชน) ธนาคารธนชาติ จำกัด (มหาชน) บริษัท ลีสซิ่งกสิกรไทย จำกัด ธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน) ธนาคาร ไอซีบีซี (ไทย) จำกัด (มหาชน) ธนาคารทิสโก้ จำกัด (มหาชน) และ ธนาคารเกียรตินาคิน จำกัด (มหาชน)

สำหรับรถยนต์มิตซูบิชิ ปาเจโร สปอร์ต และ มิตซูบิชิ ปาเจโร สปอร์ต ใหม่ (รุ่นปี 2020)
(2) รับฟรี ค่าเบี้ยประกันภัยชั้นหนึ่งไดมอนด์ โพรเทคชั่น เป็นระยะเวลา 1 ปี มูลค่าสูงสุด 28,499 บาท ทั้งนี้ เงื่อนไขการรับประกันภัยและทุนประกันภัยเป็นไปตามกรมธรรม์ประกันภัยที่บริษัทรับประกันกำหนด และเงื่อนไขของกรมธรรม์แต่ละฉบับจะมีความแตกต่างกันตามมูลค่าของรถยนต์ที่เอาประกันภัย

(3) รับฟรี การรับประกันคุณภาพรถยนต์ (Diamond Warranty) 5 ปี หรือ 100,000 กิโลเมตร (แล้วแต่ระยะใดจะถึงก่อน) ระยะเวลาการรับประกันของชิ้นส่วนและอุปกรณ์แต่ละชนิดอาจแตกต่างกันตามที่ระบุไว้ในสมุดรับบริการและคู่มือการใช้รถ ซึ่งรับประกันโดยบริษัท มิตซูบิชิ มอเตอร์ส (ประเทศไทย) จำกัด โปรดศึกษารายละเอียดการรับประกันเพิ่มเติมในคู่มือรถ โดยลูกค้าสามารถเข้ารับบริการที่ศูนย์บริการมาตรฐานของผู้จำหน่ายมิตซูบิชิที่ได้รับการแต่งตั้งเท่านั้น

(4) รับรายการฟรีค่าแรงเช็กระยะนาน 5 ปี หรือ 100,000 กิโลเมตร (แล้วแต่ระยะใดจะถึงก่อน) มูลค่าสูงสุด 8,150 บาท อัตราค่าแรงที่นำมาคำนวณอ้างอิงจากอัตราค่าแรงกลาง บริการฟรีเฉพาะค่าแรงเช็กระยะตามที่กำหนดไว้ในบัตรตรวจเช็กระยะฟรีในสมุดรับบริการและคู่มือการใช้รถ ซึ่งรถยนต์ของลูกค้าจะได้รับการตรวจสอบและบำรุงรักษาตามรายการที่ระบุไว้ โดยลูกค้าสามารถเข้ารับบริการที่ศูนย์บริการมาตรฐานของผู้จำหน่ายมิตซูบิชิที่ได้รับการแต่งตั้งเท่านั้น

(5) สำหรับลูกค้าที่จองรถยนต์มิตซูบิชิ ปาเจโร สปอร์ต ใหม่ (รุ่นปี 2020) รุ่น 2WD 2.4D GT-Premium และ 4WD 2.4D GT-Premium ตั้งแต่วันที่ 25 ก.ค. 62 ถึง 31 ต.ค.62 และออกรถภายในวันที่ 30 พ.ย. 62 รับฟรี อุปกรณ์เชื่อมต่อสัญญาณภาพและเสียงระบบดิจิตอล (HDMI WiFi Dongle) จำนวน 1 ชิ้น มูลค่า 1,690 บาท ในวันออกรถ ณ ศูนย์บริการรถยนต์มิตซูบิชิที่ท่านออกรถ

Pejero
ถือเป็นเรื่องน่าปวดหัวอีกเรื่องหนึ่งสำหรับผู้ที่ซื้อ – ขายรถมือสองเลยทีเดียว เพราะดูเหมือนยังมีคนอีกจำนวนมากที่เข้าใจว่า Mitsubishi Pajero กับ Mitsubishi Pajero Sport นั้นเป็นรถโมเดลเดียวกัน!

อันที่จริง หากไม่นับเรื่องชื่อที่คล้ายกัน และมาจากค่ายเดียวกันแล้ว รถ 2 รุ่นนี้ก็แทบจะไม่มีความเกี่ยวข้องอะไรกันเลย!!!

ก่อนอื่น เรามาดูหน้าตาของ Pajero และ Pajero Sport กันก่อน


(Pajero VS Pajero Sport)

จุดเริ่มต้นแห่งความงง

สาเหตุแห่งความเข้าใจผิดนี้เริ่มขึ้นในปี 2551 ปีนั้น Mitsubishi ประเทศไทยได้ประกาศว่าจะเลิกวางจำหน่ายรถยนต์รุ่น Pajero และในปีเดียวกัน ก็ได้มีการเปิดตัวรถโฉมใหม่ที่มีชื่อว่า “Mitsubishi Pajero Sport” จนหลายคนหลงเข้าใจผิดว่า “อ๋อ! ที่แท้ Pajero Sport จะมาแทน Pajero นี่เอง”

แต่มันเป็นความเข้าใจที่ “ผิด” อย่างมหันต์ เพราะถ้าหากยังจำกันได้ กาลครั้งหนึ่ง มิตซูฯ ได้เคยขายรถที่ชื่อว่า Strada G-Wagon (หรือที่รู้จักในชื่อว่า Mitsubishi Challenger) มาก่อน นั่นแหละคือบรรพบุรุษที่แท้จริงของ Pajero Sport! คือเป็นรถ Generation แรกของปาเจโร่ สปอร์ต ก่อนที่จะมีการเปลี่ยนชื่อจาก Strada G-Wagon (อ่านว่า สตราด้า จี-แวกอน) มาเป็น Pajero Sport นั่นเอง

แล้วเปลี่ยนชื่อทำไม? คำตอบคือในปี พ.ศ. 2549 Mitsubishi ได้ประกาศว่าจะเลิกผลิตรถกระบะรุ่นดังของค่ายอย่าง “Mitsubishi Strada” ซึ่งในขณะนั้นมีอายุผลิตภัณฑ์ราวๆ 10 ปีแล้ว และแทนที่ด้วย “Mitsubishi Triton” กระบะรุ่นใหม่ซึ่งมีเทคโนโลยีที่ทันสมัยกว่า

รถ Generation แรกอย่าง Strada G – Wagon ซึ่งวางขายมาแต่เดิมนั้นมีพืื้นฐานมากจากกระบะมิตซูฯ สตราด้า แต่รถ Generation ใหม่ที่ออกมามีพื้นฐานมากกระบะมิตซูฯ ไทรทัน ทางผู้ผลิตจึงถือโอกาสนี้เปลี่ยนชื่อโมเดลเสียใหม่เป็น “Pajero Sport” ซึ่งเป็นชื่อที่ใช้ทำการตลาดในแถบยุโรปมาตลอด


(Strada G Wagon หรือ Pajero Sport Gen แรก)

SUV หรือ PPV?
ถ้าคุณเข้าใจมาตลอดว่า Pajero เป็นรถ SUV (Sport Utility Vehicle) ส่วน Pajero Sport เป็นรถ PPV  (Pick Up Based Passenger Vehicle) ความเข้าใจของคุณก็ถือว่าถูกแล้วตามความนิยมในประเทศไทย

ปัญหาคลาสสิกอย่างหนึ่งของค่ายรถยนต์ในบ้านเราก็คือการแบ่งประเภทของรถยนต์แบบไม่ค่อยอ้างอิงระบบสากลนี่เอง

ขอให้เข้าใจตรงกันก่อนว่า ตามหลักสากลนั้น รถประเภท SUV จะผลิตขึ้นมาโดยการทำ Chassis ขึ้นมาใหม่โดยเฉพาะ หรือจะไปเอา Chassis ของรถกระบะมาใช้ก็ได้ เหตุที่เลือกเอา Chassis ของรถกระบะมาใช้ก็ เพราะเป็นรถที่ทนทาน จะเอาไปขับออฟโร้ดก็ดี จะขับขี่ในเมืองก็ไม่เป็นปัญหา อีกทั้งทางผู้ผลิตเองก็มีชิ้นส่วนอยู่แล้วครบครัน

แต่ก็จะมีรถ SUV บางประเภทที่เอา Chassis มาจากรถเก๋ง รถแบบนี้จะเรียกว่า Crossover SUV คือเป็น SUV ที่ทำมาเพื่อเอาใจคนเมือง เหมาะกับไลฟ์สไตล์ในเมือง สามารถขับขี่ได้อย่างนุ่มนวลกว่า SUV พื้นฐานกระบะ แต่ไม่ใช่รถที่จะใช้อย่างสมบุกสมบันได้มากนัก

ในประเทศไทย จะเรียกรถ SUV แท้ๆ ตามหลักสากลว่า PPV (PPV เป็นคำที่มีใช้ในประเทศไทยเท่านั้น ประเทศอื่นๆ ไม่ได้ใช้) แต่จะเรียก Crossover SUV ว่า SUV เฉยๆ

ฉะนั้น Pajero กับ Pajero Sport ตามหลักสากลแล้วถือเป็น SUV ทั้งคู่ กล่าวคือ Pajero เป็น SUV ที่มีการทำ Chassis ขึ้นมาใหม่โดยเฉพาะ (จะเห็นได้ว่า Gen แรกๆ หน้าตาคล้าย Jeep มาก) ส่วน Pajero Sport ใช้ Chassis ของ Strada (เฉพาะ Gen แรก) และ Triton (Gen ที่ 2 เป็นต้นมา)

ปัจจุบันทั้ง 2 โมเดลนี้ไปถึงไหนแล้ว?
 รถ Mitsubishi Pajero เลิกผลิตและวางจำหน่ายในประเทศไทยไปแล้ว โดย Generation สุดท้ายที่วางจำหน่ายในไทยคือ Generation ที่ 4 และวางจำหน่ายจนถึงปี 2552 อย่างไรก็ตาม รถปาเจโร่ทุกๆ โฉมที่เคยขายในไทยยังหาได้ในตลาดมือสอง หากคุณชมชอบความเท่สไตล์ปาเจโร่ก็หามาครอบครองได้


(ปาเจโร่รุ่นล่าสุดที่วางขายในประเทศญี่ปุ่น)

 รถ Mitsubishi Pajero Sport ที่วางขายอยู่ปัจจุบันคือ Generation ที่ 3 ซึ่งได้รับการตอบรับที่ดีมากจากคนไทยซึ่งนิยม PPV Pajero Sport ถือเป็นคู่แข่งตัวฉกาจของ Fortuner จากค่าย Toyota  Everest จากค่าย Ford รวมถึง Trailblazer จาก Chevrolet


(ปาเจโร่ สปอร์ตเจ็นใหม่)

สำหรับใครที่ชมชอบรถมือสอง อยากจับจองปาเจโร่ หรือปาเจโร่สปอร์ตไปขับเล่นสักคัน Trusteecar (ทรัสตี้คาร์) มีรถครบทุกโฉม หลายระดับราคา รอให้คุณเลือกอย่างจุใจอยู่แล้ว! ถ้าสนใจรถคันไหนอยู่ แต่อยากมั่นใจเรื่องสภาพรถก่อน คุณก็สามารถให้ทรัสตี้คาร์ไปตรวจสภาพให้ได้ด้วย! จะรออะไรอีก กดเข้าไปที่ลิงก์ต่อไปนี้ได้เลย!
Pajero Sport: mitsubishi-pajero-sport
Pajero: mitsubishi-pajero 

หากต้องการสอบถามเพิ่มเติม หรือมีข้อข้องใจในการใช้บริการใดๆ จาก Carro มาสอบถามได้ที่ เพจ Facebook: Carrothailand หรือมาเป็นเพื่อนกันที่ Line: Carrothailand ได้เลย