Compare-MU-X-Fortuner-Terra-Pajero-Sport-Everest

ถ้าพูดถึงรถ SUV ที่ถือว่าเป็นตลาดใหญ่ในกลุ่มรถบ้านเราเวลานี้ ด้วยการใช้งานที่สารพัดประโยชน์ และลุยน้ำท่วมได้ บวกกับตัวรถที่พัฒนามาอย่างต่อเนื่อง ซึ่งในตลาดรถยนต์ไทย ก็ยังมีรถประเภท SUV อีกแบบหนึ่ง ที่ในไทยมักเรียกกันว่ารถ “PPV” (Pick-Up Passenger Vehicle = รถอเนกประสงค์ที่มีพื้นฐานมาจากรถกระบะ) ซึ่งก็มียอดขายที่สูงมากด้วยเช่นกัน โดยมากแล้วจะมี 7 ที่นั่ง ในราคาค่าตัวอยู่ที่ 1 ล้านบาท ไปจนถึงเกือบๆ 2 ล้านบาท

ซึ่งผู้ผลิตรายแรกที่ผลิตรถในรูปแบบ PPV ขึ้นมา นั่นคือ ที่ขับเคี่ยวแข่งขันกันในตลาดรถยนต์อย่างดุเดือดกันมานานถึง 20 ปีได้

CARRO Thailand จึงขอนำรถ PPV ยอดฮิตในหมู่คนไทย ที่เพิ่งเปิดตัวสดใหม่ และมีขายอยู่แล้วในตลาดด้วยกัน 5 แบรนด์ 5 รุ่น อย่าง All-New Isuzu MU-X (ออลนิว อีซูซุมิว-เอ็กซ์), Toyota Fortuner (โตโยต้า ฟอร์จูนเนอร์), Mitsubishi Pajero Sport (มิตซูบิชิ ปาเจโร่ สปอร์ต), Nissan Terra (นิสสัน เทอร์ร่า) และ Ford Everest (ฟอร์ด เอเวอเรสต์) มาเปรียบเทียบกันให้เห็น ว่าแต่ละรุ่น มีข้อเสียข้อเสีย น่าใช้หรือไม่อย่างไร!

หากใครสนใจรุ่นไหนอยู่ ลองคำนวณงบประมาณที่มี แล้วเลือกดูว่า จะผ่อนกันแบบไหนได้เลย 

ถ้าคุณอยากขายรถด่วน เพื่อไปซื้อรถคันใหม่ หรือรับเงินก้อนไปใช้สามารถขายรถคันเก่า หรือตีราคารถกับทาง CARRO ได้ ง่ายๆ ได้เงินไว! กับ CARRO Express เพียงแค่คลิก https://th.carro.co/sell-car/express หรือสามารถ Inbox มาขอรายละเอียดได้ที่ Facebook CARRO Thailand

CARRO Automall แหล่งรวมรถมือสองคุณภาพเยี่ยม ผ่านการตรวจสภาพแบบ Double Check รับประกันพร้อมโอนทุกคัน

หรือจะ Add Line สอบถามรายละเอียดได้ที่ @Carrothai หรือคลิกที่นี่ —> เพิ่มเพื่อน

Isuzu-MU-X-Motor-Expo-2020

All-New Isuzu MU-X 2020

ข้อดี : พัฒนาตัวรถใหม่หมด (แต่บางคนก็บอกว่า ยังสลัดคราบของ D-Max ออกไม่หมดก็ตาม) แต่ก็ดูหรูหราขึ้น ช่วงล่างนุ่ม เกาะถนนได้มากขึ้น รุ่น 1.9 ลิตร เหมาะสำหรับคนชอบความประหยัด หรือใช้งานในเมือง ส่วนรุ่น 3.0 ลิตร เหมาะสำหรับใช้งานทางไกล สายซิ่ง ให้ความฉับไวในการออกตัวและเร่งแซง ขับขี่สบายมากขึ้น และยังเป็นรถมือสอง ที่ซื้อง่ายขายคล่องอีกด้วย

ข้อด้อย : รุ่น 1.9 ลิตร ตัวเครื่องยนต์ต้องแบกน้ำหนักตัวรถมาก การออกตัวให้อัตราเร่งช้าไปบ้าง แต่วิ่งสัก 80 กม./ชม. ขึ้นไป ก็ถือว่าดีขึ้นมาก และพวงมาลัยอาจคืนตัวช้าไปบ้าง

รายละเอียดตัวรถ : เป็นรถที่ออกแบบภายใต้แนวคิด Emotional & Solid ผสานความหนักแน่นและพลิ้วไหวเข้าไว้ด้วยกันตลอดทั้งคัน อาทิ กระจังหน้าแบบ World Cross Flow, ไฟหน้า Bi-LED Projector ดีไซน์แบบ Arrow Signature สอดรับกับเส้นสายด้านข้างอันเป็นเอกลักษณ์ ทอดยาวสู่ไฟท้าย LED ดีไซน์แบบ Winglet Signature

โครงสร้างแพลทฟอร์มใหม่ ช่วงล่างใหม่ ออกแบบตามแนวคิด ISUZU Symmetric Mobility ให้โครงสร้างตัวถัง แชสซีส์ การวางตำแหน่งเครื่องยนต์ และช่วงล่างทำงานร่วมกันได้ลงตัว ช่วงล่างหน้าแบบอิสระปีกนก 2 ชั้น Double Wishbone ออกแบบจุดยึดปีกนกด้านบนใหม่ พร้อมคอยล์สปริง โช้คอัพแก๊สและเหล็กกันโคลงขนาดใหญ่ ช่วงล่างด้านหลังแบบ 5-Link Suspension ออกแบบจุดยึดคานใหม่และเหล็กกันโคลงให้ยาวขึ้น พร้อมคอยล์สปริงและโช้คอัพแก๊ส

ภายในห้องโดยสาร แนวคิดการออกแบบ Fine, Rich & Impressive Craftsmanship ด้วยวิธีการออกแบบ Integrated Cockpit ให้คอนโซลหน้าเชื่อมต่อเป็นหนึ่งเดียวกับคอนโซลกลาง จัดวางเรียบหรู ด้วยเบาะนั่งสามแถว สี Saddle Brown ตัดเย็บด้วยวัสดุพิเศษ เดินด้ายแบบเครื่องหนังชั้นหรู พร้อมเทคโนโลยี COOLMAX ช่วยลดการสะสมความร้อน ออกแบบให้นั่งสบายทั้ง 7 ที่นั่ง และเบาะคู่หน้าปรับไฟฟ้า

ระบบความบันเทิง ISUZU Ultimate Entertainment หน้าจอ Infotainment Display ขนาดใหญ่ 9 นิ้ว รองรับ Apple CarPlay แบบไร้สาย และ Android Auto พร้อมลำโพง 8 จุด ให้มิติเสียงรอบทิศทาง

ระบบปรับอากาศอัตโนมัติแบบ Dual Zone แยกอิสระซ้าย-ขวา พร้อมฟิลเตอร์กรองฝุ่น PM 2.5 Charging Station รองรับการใช้งานอุปกรณ์ไฟฟ้าหลากหลาย ทั้ง USB Fast Charger ช่องต่อ AC Power Socket 220V และช่องต่อ DC 12V

และกุญแจ ISUZU Genius Entry สตาร์ทเครื่องยนต์ด้วย Remote Engine Start ใช้เปิด-ปิดประตูท้ายไฟฟ้าได้ด้วย

มีให้เลือกถึง 6 สี ได้แก่ น้ำตาลมาราเกซ (Marrakesh Brown) ขาวมุกโดโลไมท์ (Dolomite Pearl White) แดงเอทนา (Etna Red) ดำบาวาเรียน ไมก้า (Bavarian Black Mica) เงินไอซ์เบิร์ก (Iceberg Silver) และเงินโบฮีเมียน เมทัลลิค (Bohemian Silver Metallic)

All-New-Isuzu-MU-X-2020

อุปกรณ์มาตรฐานเด่นๆ :

  • ไฟหน้า Bi-LED Projector ดีไซน์แบบ Arrow Signature
  • ไฟท้าย LED ดีไซน์แบบ Winglet Signature
  • กล้องหน้าคู่ 3D Imaging Stereo Camera
  • ระบบเปิด-ปิด ไฟหน้าอัตโนมัติ
  • ระบบปัดน้ำฝนอัตโนมัติ
  • กระจกบังลมหน้าแบบ IR Cut
  • ล้ออัลลอยขนาดใหญ่ Dynamic Design
  • กุญแจ ISUZU Genius Entry
  • ระบบปรับอากาศอัตโนมัติแบบ Dual Zone แยกอิสระซ้าย-ขวา พร้อมฟิลเตอร์กรองฝุ่น PM 2.5
  • Charging Station รองรับการใช้งานอุปกรณ์ไฟฟ้าหลากหลาย
  • หน้าจอ Infotainment Display ขนาดใหญ่ 9 นิ้ว รองรับ Apple CarPlay แบบไร้สาย และ Android Auto
  • เบรกมือไฟฟ้า
  • ระบบ Auto Brake Hold ระบบช่วยหยุดอยู่กับที่โดยไม่ต้องเหยียบเบรกค้างไว้
  • ระบบควบคุมความเร็วอัตโนมัติ
  • ระบบเปิด-ปิดประตูท้ายด้วยไฟฟ้า Power Tailgate พร้อม Jam Protection
  • ACC (Full Speed Range Adaptive Cruise Control) ระบบควบคุมความเร็วอัตโนมัติแบบแปรผัน พร้อมฟังก์ชัน Stop and Go
  • FCW (Forward Collision Warning) ระบบแจ้งเตือนก่อนการชนด้านหน้า
  • AEB (Autonomous Emergency Braking) ระบบเบรกฉุกเฉินอัตโนมัติ
  • LDW (Lane Departure Warning) ระบบแจ้งเตือนออกนอกเลน
  • AHB (Automatic High Beam) ระบบควบคุมไฟสูงอัตโนมติ
  • PMM (Pedal Misapplication Mitigation) ระบบตัดกำลังเครื่องยนต์เมื่อเหยียบคันเร่งผิดพลาด
  • MSL (Manual Speed Limiter) ระบบตั้งค่าจำกัดความเร็วสูงสุดด้วยตัวเอง
  • BSM (Blind Spot Monitoring) ระบบแจ้งเตือนจุดอับสายตา
  • RCTA (Rear Cross Traffic Alert) ระบบช่วยเตือนขณะถอยรถยนต์
  • Parking Aid System ระบบเซ็นเซอร์ช่วยจอดรถยนต์
  • MCB (Multi-Collision Brake) ระบบเบรกอัตโนมัติหลังการเกิดอุบัติเหตุ ช่วยลดโอกาสการเกิดอุบัติเหตุซ้ำซ้อน

All-New-Isuzu-MU-X-2020

เครื่องยนต์ : ดีเซลขนาด 1.9 ลิตร รหัส RZ4E-TC แบบ 4 สูบ DOHC 16 วาล์ว Commonrail Direct Injection VGS Turbo ให้แรงม้าสูงสุด 150 แรงม้า ที่ 3,600 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 350 นิวตัน-เมตร ที่ 1,800 – 2,600 รอบ/นาที ประหยัดน้ำมัน 14.9 กม./ลิตร (ตาม Eco Sticker)

และดีเซลขนาด 3.0 ลิตร รหัส 4JJ3-TCX แบบ 4 สูบ DOHC 16 วาล์ว Commonrail Direct Injection VGS Turbo ให้แรงม้าสูงสุด 190 แรงม้า ที่ 3,600 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 450 นิวตัน-เมตร ที่ 1,600 – 2,600 รอบ/นาที ประหยัดน้ำมัน 13.3 กม./ลิตร (ตาม Eco Sticker)

ทั้ง 2 เครื่องยนต์ สามารถใช้กับน้ำมันดีเซล B20 ได้ ส่งกำลังผ่านเกียร์ธรรมดา 6 สปีด และอัตโนมัติแบบ 6 สปีด พร้อม REV Tronic รัศมีวงเลี้ยวแคบสุด 5.6 เมตร น้ำหนักรถ 1,950 – 2,165 กิโลกรัม

มิติตัวรถ : ยาว 4,850 มม. กว้าง 1,870 มม. สูง 1,815 มม. (รุ่น Active) 1,825 มม. (รุ่น Luxury) 1,875 มม. (รุ่น Elegant / Ultimate) ระยะฐานล้อ 2,855 มม. ระยะต่ำสุดจากพื้น 235 มม.

ราคาจำหน่าย : (Update ล่าสุด เดือนธันวาคม 2563)

  • 1.9 Ddi Active A/T ราคา 1,121,000 บาท
  • 1.9 Ddi Luxury M/T ราคา 1,266,000 บาท
  • 1.9 Ddi Luxury A/T ราคา 1,304,000 บาท
  • 1.9 Ddi Elegant A/T ราคา 1,349,000 บาท
  • 1.9 Ddi Ultimate A/T ราคา 1,434,000 บาท
  • 3.0 Ddi Ultimate A/T ราคา 1,479,000 บาท
  • 3.0 Ddi 4X4 Ultimate A/T ราคา 1,579,000 บาท

Toyota-Fortuner-Legender

Toyota Fortuner 2020

ข้อดี : โฉมนี้ถือว่าปรับปรุงหลายอย่าง นอกจากหน้าและออพชั่นใหม่ๆ แล้ว ดูสวยและดุดันขึ้น เหมาะสำหรับกลุ่มลูกค้าที่มีครอบครัว มองหารถที่ใหญ่ขึ้น ส่วนรุ่น เหมาะสำหรับกลุ่มลูกค้านักธุรกิจรุ่นใหม่ เครื่องยนต์ 2.8 แรงกว่ารถในระดับเดียวกัน โดดเด่นด้วยล้อแม็กขนาด 20 นิ้ว ตัวรถยังติดตั้ง Balance Shaft เพื่อลดเสียงและการสั่นสะเทือน พร้อมโหมดการขับแบบ Sport ปรับการตอบสนองของคันเร่งและพวงมาลัย ตัวเกียร์ตอบสนองได้ดี ไม่มีช่วงวูบหรือย้วยขณะเปลี่ยนเกียร์ขึ้นสูง เพิ่มความมั่นใจเมื่อใช้ความเร็วสูง

ระบบกันสะเทือนให้ความรู้สึกนุ่มนวล และหนักแน่นขึ้น ส่วนห้องโดยสารเก็บเสียง และการดูดซับแรงสั่นสะเทือนได้ดี แทบไม่รู้สึกถึงการกระแทก พวงมาลัยนิ่งแน่น ไม่สะท้านมือ

ในโหมดออฟโรด ปรับรอบเดินเบาจาก 850 เหลือ 680 รอบต่อนาที เพื่อให้ควบคุมคันเร่งได้ง่ายขึ้น และสามารถบรรทุกของได้เยอะ อีกทั้งเวลาเป็นรถมือสอง ก็ซื้อง่ายขายคล่อง

ข้อด้อย : อาจจะเป็นในเรื่องของราคา ที่แพงกว่ารถในระดับเดียวกันครับ

รายละเอียดตัวรถ : Toyota Fortuner นับตั้งแต่การเปิดตัวเมื่อ 15 ปีก่อน ก็จัดเป็นรถอเนกประสงค์ ที่ได้รับการตอบรับอย่างดีจากลูกค้า และครองอันดับ 1 ในตลาดรถอเนกประสงค์ ประเภท PPV มาอย่างต่อเนื่อง จึงเป็นที่มาของการสื่อสารทางการตลาด ภายใต้สโลแกน “Wisdom of a Leader” หรือ “สัญลักษณ์แห่งความสำเร็จ”

โดยรุ่นมาตรฐานนี้ได้ปรับปรุงเครื่องยนต์ 2.4 GD Super Power ให้ประหยัดน้ำมันมากขึ้นกว่าเดิม และตอบสนองทุกการขับขี่ด้วยระบบบังคับเลี้ยวแบบ VFC (Variable Flow Control) ทำให้น้ำหนักพวงมาลัยแปรผันตามความเร็ว ควบคุมรถได้แม่นยำและมั่นใจมากยิ่งขึ้น นอกจากนี้ยังมาพร้อมกับระบบ Cruise Control และสัญญาณกะระยะ 6 ตำแหน่ง พร้อมกับระบบ Apple Carplay ที่จะเชื่อมต่อคุณและความบันเทิงได้อย่างอิสระ

ส่วนรุ่น Legender มาพร้อมกับดีไซน์หรูหรา โฉบเฉี่ยว ด้วยกระจังหน้าและกันชนหลังดีไซน์ใหม่ และเครื่องยนต์ 2.8 GD Super Power ใหม่ เพิ่มสมรรถนะการขับขี่แรงขึ้นกว่าเดิม 15% ด้วยกำลังสูงสุด 204 แรงม้า และฟังก์ชัน Sport Mode

เพิ่มกล้องมองรอบคัน แท่นชาร์จไฟแบบไร้สาย และ ระบบประตูท้ายเปิด-ปิดด้วยไฟฟ้า พร้อม Kick Sensor และยังเป็นครั้งแรกในรถโตโยต้า ฟอร์จูนเนอร์ ที่ติดตั้งระบบ Toyota Safety Sense อีกด้วย

มีให้เลือกถึง 6 สี ได้แก่ สีขาวมุก White Pearl CS, สีแดง Emotional Red, สีเงิน Silver Metallic, สีน้ำเงิน Dark Blue Mica, สีเทา Dark Grey Metallic และสีดำ Attitude Black Mica

New-Toyota-Fortuner-Legender-2020

อุปกรณ์มาตรฐานเด่นๆ :

  • ไฟหน้าแบบเลนส์ LED Dual Projector พร้อมไฟเลี้ยวหน้า-หลัง LED แบบ Sequential
  • ระบบควบคุมการเปิด-ปิดไฟหน้าอัตโนมัติ พร้อมระบบ Follow-me-home
  • ไฟท้าย LED แบบ Light Guiding
  • กระจกมองข้าง ระบบ Welcome Light
  • ประตูท้ายเปิด-ปิดด้วยระบบไฟฟ้า พร้อมระบบป้องกันการหนีบ
  • พวงมาลัยปรับได้ทั้ง สูง-ต่ำ และเข้า-ออก (Tilt & Telescopic)
  • เบาะหุ้มหนังแบบ Soft Touch เดินด้ายสีแดง หรือเทา พร้อมลายไม้แบบ Galaxy Black และแถบสีเงิน
  • สวิตซ์ควบคุมเครื่องเสียง โทรศัพท์ และ MID ที่พวงมาลัย
  • อุปกรณ์ชาร์จไฟแบบไร้สาย (Wireless Charger)
  • หัวเกียร์หุ้มหนัง พร้อมแถบสีเงิน ส่วนฐานเกียร์ลายไม้แบบ Galaxy Black พร้อมแถบสีเงิน
  • มาตรวัดเรืองแสง Optitron
  • ฟังก์ชั่นแสดงสถานะการเลี้บวของล้อหน้า (Tire Turning Angle)
  • ระบบควบคุมความเร็วอัตโนมัติ Cruise Control
  • เครื่องเสียงจอสัมผัสขนาด 9 นิ้ว รองรับ Bluetooth/USB
  • ชุดเครื่องเสียง Premium Audio พาวเวอร์แอมป์ และลำโพง JBL
  • กล้องมองรอบคัน (PVM) พร้อมมุมมองแบบ 3D View
  • ระบบป้องกันล้อล็อก ABS, ระบบกระจายแรงเบรก EBD และระบบเสริมแรงเบรก BA
  • ระบบควบคุมการทรงตัว VSC
  • ระบบป้องกันล้อหมุนฟรี TRC
  • ระบบควบคุมการส่ายของส่วนพ่วงท้าย TSC
  • ระบบช่วยออกตัวบนทางลาดชัน HAC
  • ระบบควบคุมความเร็วขณะลงทางลาดชัน DAC
  • ระบบควบคุมเฟืองท้าย (Auto Limited Slip Differential)
  • ระบบบังคับเลี้ยวแบบ VFC (Variable Flow Control) ควบคุมพวงมาลัยแปรผันตามระดับความเร็ว
  • ระบบถุงลมเสริมความปลอดภัย SRS ด้านผู้ขับ ผู้โดยสาร และหัวเข่าผู้ขับ
  • ระบบถุงลมเสริมความปลอดภัย SRS ด้านข้าง และม่านนิรภัย
  • ระบบความปลอดภัยก่อนการชน PCS
  • ระบบเตือนเมื่อออกนอกเลน พร้อมเบรกหน่วงกลับอัตโนมัติ LDA
  • ระบบ Stop and Start พร้อม Evaporator เก็บความเย็น สำหรับระบบปรับอากาศ

เครื่องยนต์ : ดีเซลขนาด 2.4 ลิตร รหัส 2KD-FTV (High) แบบ 4 สูบ แถวเรียง DOHC 16 วาล์ว VN Turbo และ Intercooler ให้แรงม้าสูงสุด 150 แรงม้า ที่ 3,400 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 400 นิวตัน-เมตร ที่ 1,600 – 2,000 รอบ/นาที

และดีเซลขนาด 2.8 ลิตร รหัส 1KD-FTV (High) แบบ 4 สูบ แถวเรียง DOHC 16 วาล์ว VN Turbo และ Intercooler ให้แรงม้าสูงสุด 204 แรงม้า ที่ 3,400 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 500 นิวตัน-เมตร ที่ 1,600 – 2,800 รอบ/นาที

สามารถใช้กับน้ำมันดีเซล B20 ได้ ส่งกำลังผ่านเกียร์อัตโนมัติแบบ 6 สปีด พร้อม Sequential Shift และ Paddle Shift รัศมีวงเลี้ยวแคบสุด 5.8 เมตร

มิติตัวรถ : ยาว 4,795 มม. กว้าง 1,855 มม. สูง 1,835 มม. ระยะฐานล้อ 2,750 มม. ระยะต่ำสุดจากพื้น 193 มม.

ราคาจำหน่าย : (Update ล่าสุด เดือนธันวาคม 2563)

  • 2.4 G 2WD ราคา 1,349,000 บาท
  • 2.4 V 2WD ราคา 1,454,000 บาท
  • 2.4 V 4WD ราคา 1,524,000 บาท
  • 2.4 Legender 2WD ราคา 1,557,000 บาท ราคาอุปกรณ์ตกแต่งพิเศษ 7,000 บาท ราคารวม 1,564,000 บาท
  • 2.4 Legender 4WD ราคา 1,627,000 บาท ราคาอุปกรณ์ตกแต่งพิเศษ 7,000 บาท ราคารวม 1,634,000 บาท
  • 2.8 Legender 2WD ราคา 1,762,000 บาท ราคาอุปกรณ์ตกแต่งพิเศษ 7,000 บาท ราคารวม 1,769,000 บาท
  • 2.8 Legender 4WD ราคา 1,832,000 บาท ราคาอุปกรณ์ตกแต่งพิเศษ 7,000 บาท ราคารวม 1,839,000 บาท

*สำหรับรุ่นธรรมดา สีพิเศษ White Pearl CS และ Emotional Red เพิ่ม 12,000 บาท

**สำหรับรุ่น Legender สีพิเศษ White Pearl CS และ Emotional Red เพิ่ม 20,000 บาท

Mitsubishi-Pajero-Sport-Elite-Edition

Mitsubishi Pajero Sport 2020

ข้อดี : Mitsubishi จัดเต็มด้วยออพชั่นที่มีมาให้กับ Pajero Sport กับจุดเด่นที่ช่วงล่าง ถ้าใช้งานในเมืองเป็นหลัก ก็เลือกรุ่น 2WD ช่วยประหยัดค่าบำรุงรักษาได้มาก น้ำหนักรถเบากว่า ประหยัดน้ำมันกว่า แต่ถ้าชอบวิถีชีวิตลุยๆ ชอบการเดินทาง ต้องขึ้นเขา ลงห้วย กางเต๊นท์ หรือฝ่าสายฝนบ่อยๆ ก็เลือกรุ่น 4WD ได้เลย ค่าใช้จ่ายใในการดูแลรักษา ก็ไม่ต่างจากรถคู่แข่งนัก

ข้อด้อย : การออกตัวอาจอืดหน่อย พวงมาลัยหนักนิดๆ ส่วนช่วงล่างจะโคลงหน่อย เพราะพื้นฐานมาจากกระบะ Triton แต่ก็ถือว่าเกาะถนนพอตัว ส่วนเรื่องเบาะนั่งแถวที่ 3 ค่อนข้างเล็ก ก็ถือเป็นเรื่องที่แทบจะเป็นกันทุกรุ่น ทุกยี่ห้อ

รายละเอียดตัวรถ : ยังคงเป็นรถ PPV รุ่นขายดีของ Mitsubishi ภายใต้แนวคิด “ความสำเร็จที่เป็นคุณ” ซึ่งเวลานี้มีให้เลือกทั้งรุ่นธรรมดา และรุ่นพิเศษ Elite Edition … ดีไซน์ใหม่ โฉบเฉี่ยว สไตล์สปอร์ต โดดเด่นทุกมุมมอง พร้อมการออกแบบอันเป็นเอกลักษณ์ด้วย Advanced Dynamic Shield Design สะกดทุกสายตาด้วยไฟหน้าโปรเจคเตอร์ แบบ Bi-LED ปรับระดับลำแสงอัตโนมัติ และไฟส่องสว่างเวลากลางวันแบบ Spectrum LED

สะดวกสบายยิ่งขึ้น ด้วยระบบเปิด-ปิดประตูท้ายด้วยไฟฟ้า พร้อมระบบแฮนด์ฟรีและปุ่มปิดฝาท้ายพร้อมล็อกรถ (ทำงานคู่กับระบบกุญแจอัจฉริยะ KOS)

ห้องโดยสารกว้างขวางสะดวกสบาย ตกแต่งสีเงิน และเปียโนแบล็ค พร้อมด้วยฟังก์ชันการใช้งานที่ครบครัน เชื่อมต่อความบันเทิงด้วย Apple CarPlay เพียงเชื่อมต่อ iPhone ในรถมิตซูบิชิ ปาเจโร สปอร์ต สามารถรับสายโทรเข้า-โทรออก และรับ-ส่งข้อความ พร้อมฟังเพลงได้อย่างง่ายดาย

มอบความสมบูรณ์แบบในการขับขี่ เพิ่มความมั่นใจในทุกสภาพถนน ด้วยเทคโนโลยีขับเคลื่อน 4 ล้อ เอกลักษณ์เฉพาะของมิตซูบิชิ ให้คุณสามารถเปลี่ยนโหมดจากระบบขับเคลื่อน 2 ล้อ (2H) เป็นระบบขับเคลื่อน 4 ล้อ (4H) แบบ Full-Time All Wheel Control เพื่อเพิ่มความปลอดภัยบนถนนลื่น และเมื่อต้องการขับขี่บนเส้นทางแบบ Off-Road คุณยังสามารถเปลี่ยนระบบขับเคลื่อนเป็น 4HLc หรือ 4LLc ได้ตามความต้องการ

มีให้เลือกถึง 5 สี ได้แก่ สีขาวมุก White Diamond, สีเงิน Sterling Silver, สีเทา Graphite Grey, สีดำ Jet Black Mica และสีน้ำตาล Deep Bronze

New-Mitsubishi-Pajero-Sport-2019

อุปกรณ์มาตรฐานเด่นๆ :

  • ระบบควบคุมการเปลี่ยนเกียร์ที่พวงมาลัย
  • ระบบเบรกแบบ ABS พร้อมระบบกระจายแรงเบรกแบบอิเล็กทรอนิกส์ EBD
  • ประตูท้ายเปิด-ปิดด้วยไฟฟ้า พร้อมระบบแฮนด์ฟรี และปุ่มปิดฝาท้ายพร้อมล็อกรถ
  • ถุงลมนิรภัยคู่หน้า พร้อมสวิตช์เปิด-ปิด และไฟแสดงผล สำหรับด้านผู้โดยสาร
  • ถุงลมนิรภัยด้านข้าง, บริเวณหัวเข่าด้านคนขับ และม่านถุงลมนิรภัย
  • ระบบตัดกำลังเครื่องยนต์ชั่วขณะ เมื่อเหยียบคันเร่งอย่างรุนแรงและรวดเร็ว
  • ระบบลดกำลังเครื่องยนต์ เพื่อช่วยเบรก
  • ระบบเตือนการชนด้านหน้าตรง พร้อมระบบช่วยชะลอความเร็ว
  • ระบบ Brake Auto Hold
  • ระบบเบรกมือควบคุมด้วยไฟฟ้าอัตโนมัติ
  • ระบบเสริมแรงเบรก BA
  • ระบบควบคุมเสถียรภาพการทรงตัว พร้อมระบบป้องกันล้อหมุนฟรี และควบคุมการลื่นไถล
  • ระบบช่วยออกตัวบนทางลาดชัน
  • ระบบควบคุมความเร็วขณะลงทางลาดชัน
  • ระบบสัญญาณเตือนจุดอับสายตา
  • ระบบเตือนขณะเปลี่ยนเลน
  • ระบบเตือนด้านหลังขณะถอยออกจากช่องจอด
  • สวิตช์ควบคุมฟังก์ชันต่างๆ ที่พวงมาลัย
  • จอแสดงข้อมูลการขับขี่ พร้อมเมนูภาษาไทย แบบ LCD ขนาด 8 นิ้ว
  • กระจกมองหลังแบบปรับลดแสงสะท้อนอัตโนมัติ
  • ระบบล็อกความเร็วบนพวงมาลัยแบบแปรผันอัตโนมัติ
  • กล้องมองภาพรอบคัน พร้อมเส้นกะระยะ และเส้นแสดงทิศทางการเคลื่อนที่ของรถ
  • ระบบปรับอากาศ แบบปรับอุณหภูมิอัตโนมัติ แบบแยกปรับอุณหภูมิซ้าย-ขวา
  • ระบบกรองอากาศภายในห้องโดยสารนาโนอิ
  • หน้าจอระบบสัมผัส 8 นิ้ว รองรับการเชื่อมต่อผ่านสมาร์ทโฟน SDA พร้อมระบบนำทางในรถยนต์
  • รองรับ Apple CarPlay และ Android Auto
  • ช่องต่ออุปกรณ์ HDMI
  • ระบบเชื่อมต่อบลูทูธ แบบ A2DP
  • ระบบ Hands-Free และ Voice Command
  • จอภาพแบบ Wide Screen ขนาด 12.1 นิ้ว พร้อมรีโมท เชื่อมต่อ HDMI และ USB สำหรับผู้โดยสารตอนหลัง
  • หูฟังอินฟราเรด 2 ชุด สำหรับผู้โดยสารตอนหลัง
  • รองรับการเชื่อมต่อระบบ M-Connect
  • ระบบสั่งการทำงานผ่านสมาร์ทโฟนในระยะสัญญาณบลูทูธ
  • ระบบไฟสว่างอัตโนมัติเมื่อปลดล็อก ทำงานร่วมกับระบบควบคุมการเปิด-ปิดไฟหน้าอัตโนมัติ และระบบไฟนำทางหลังดับเครื่องยนต์

เครื่องยนต์ : ดีเซลขนาด 2.4 ลิตร รหัส 4N15 แบบ 4 สูบ แถวเรียง DOHC 16 วาล์ว MIVEC VG Turbo Intercooler ให้แรงม้าสูงสุด 181 แรงม้า ที่ 3,500 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 430 นิวตัน-เมตร ที่ 2,500 รอบ/นาที

สามารถใช้กับน้ำมันดีเซล B20 ได้ ส่งกำลังผ่านเกียร์อัตโนมัติแบบ 8 สปีด พร้อม Sport Mode และระบบ INC (Idle Neutral Control) และ G-Sensor รัศมีวงเลี้ยวแคบสุด 5.6 เมตร น้ำหนักรถ 1,940 – 2,075 กิโลกรัม

มิติตัวรถ : ยาว 4,885 มม. กว้าง 1,865 มม. สูง 1,835 มม. ระยะฐานล้อ 2,800 มม. ระยะต่ำสุดจากพื้น 218 มม.

ราคาจำหน่าย : (Update ล่าสุด เดือนธันวาคม 2563)

  • 2.4D GT 2WD ราคา 1,299,000 บาท
  • 2.4D GT Plus 2WD ราคา 1,349,000 บาท
  • 2.4D GT-Premium 2WD ราคา 1,469,000 บาท
  • 2.4D GT-Premium 4WD ราคา 1,599,000 บาท
  • 2.4D GT-Premium 2WD Elite Edition ราคา 1,524,000 บาท
  • 2.4D GT-Premium 4WD Elite Edition ราคา 1,629,000 บาท

*หมายเหตุ : สีขาวมุก White Diamond เพิ่ม 15,000 บาท, สีขาวมุก รุ่น Elite Edition เพิ่ม 20,000 บาท

Nissan-Terra-2019

Nissan Terra 2020

ข้อดี : ช่วงล่างนิ่ม ไม่ย้วย ขับสนุก ห้องโดยสารเก็บเสียงได้ดี แถมจุดเด่นอย่างกล้องติดรถรอบคัน 360 องศา ส่วนเครื่องยนต์มีจุดเด่น อย่างระบบน้ำมัน ปั๊มหัวฉีด หัวฉีด ราง ทั้งระบบทำโดย Continental และค่าบำรุงรักษาที่ไม่แพง

ข้อด้อย : การออกตัวอาจจะหน่วงไปบ้าง และเวลาถอยหลัง ช่องมองภาพจะอยู่บริเวณกระจกมองหลังแทน ซึ่งหลายคนอาจไม่ถนัด และอัตราสิ้นเปลืองเชื้อเพลิงที่มากหน่อย

รายละเอียดตัวรถ : รูปโฉมภายนอกของ Nissan Terra มาพร้อมไฟหน้าและไฟท้ายแบบบูมเมอร์แรง กระจังหน้าแบบ V-Motion ส่วนชุดประตูหน้านั้นเหมือน Navara และด้านท้ายถูกออกแบบใหม่หมด ไฟท้ายเป็นแบบ LED มาพร้อมล้อแม็กขนาด 18 นิ้ว พร้อมยางขนาด 255/60 R18

ห้องโดยสารภายในยกชุดมาจาก Navara แต่ตกแต่งให้หรูหราขึ้น ด้วยโทนสีดำตัดด้วยสีเงิน แบบ Gliding Wing 7 ที่นั่ง กว้างขวาง และเงียบ มีเครื่องเสียงระบบหน้าจอสัมผัส, ระบบปรับอากาศอัตโนมัติแบบ 2 โซน, กุญแจ Keyless Entry พร้อมปุ่มสตาร์ทเครื่องยนต์ เบาะคนขับปรับไฟฟ้า 8 ทิศทาง เบาะนั่งแถว 2 มีระบบพับอัตโนมัติแบบแบนราบ ระบบแอร์เพดานแยกส่วนกระจายทั่วห้องโดยสาร พร้อมระบบความบันเทิงด้วยจอมอนิเตอร์ ขนาด 11 นิ้ว สำหรับผู้โดยสารตอนหลัง เป็นต้น

ระบบพวงมาลัย แร็คแอนด์พิเนียน ควบคุมด้วยไฟฟ้า (EPS) สามารถปรับโหมดพวงมาลัยได้ถึง 3 โหมด คือ โหมด City สำหรับการขับขี่ในเมือง, โหมด Standard สำหรับการขับขี่ทั่วไป และโหมด Sport สำหรับการขับขี่สไตล์สปอร์ต พร้อมเทคโนโลยีขับเคลื่อนอัจฉริยะของนิสสัน Nissan Intelligent Mobility

มีให้เลือก 5 สี ได้แก่ สีน้ำตาล Earth Brown, สีดำ Black Star, สีขาว White Pearl, สีเงิน Brilliant Silver และ สีเทา Twilight Gray

อุปกรณ์มาตรฐานเด่นๆ :

  • ไฟหน้า LED โปรเจคเตอร์ , ไฟหรี่แบบ LED เปิด-ปิดอัตโนมัติ
  • ไฟส่องสว่างเวลากลางวัน (Daytime Running Light)
  • ไฟตัดหมอกหน้า พร้อมตกแต่งด้วยโครเมียม
  • บันไดข้าง
  • ช่องแอร์สำหรับผู้โดยสารแถว 2 และแถว 3 แบบอัตโนมัติ แยกซ้าย-ขวา และระบบควบคุมความเร็วพัดลมเบาะตอนหลัง
  • เครื่องเสียง พร้อมวิทยุ FM/AM Apple CarPlay / Android Auto พร้อม จอ Touch Screen 8 นิ้ว
  • ระบบนำทาง
  • จอภาพสำหรับผู้โดยสารตอนหลัง
  • พวงมาลัยพาวเวอร์ปรับระดับได้ ชนิดหุ้มหนัง 3 ก้าน พร้อมตกแต่งสีเงิน ปุ่มควบคุมเครื่องเสียง การสั่งงานด้วยเสียง
  • มาตรวัดแสดงข้อมูลการขับขี่ TFT 5 นิ้ว และ Off Road Meter
  • รองรับการเชื่อมต่อ Bluetooth
  • เบาะนั่งแถวที่ 1 ฝั่งผู้ขับขี่ปรับไฟฟ้าได้ 8 ทิศทาง พร้อมที่ดันหลังปรับไฟฟ้า ฝั่งผู้โดยสารปรับได้ 4 ทิศทาง พร้อมหมอนรองศีรษะ
  • เบาะนั่งแถวที่ 2 ชนิด แบบแยก 60:40 ปรับระดับได้ เลื่อนตำแหน่งหน้า-หลัง, ปรับเอนและพับได้จากตำแหน่งคนขับ พร้อมหมอนรองศีรษะสำหรับ 2 ที่นั่ง
  • เบาะนั่งแถวที่ 3 ชนิดแบบแยก 50:50 ปรับระดับได้ ปรับแบนราบกับพื้นห้องโดยสารได้ พร้อมหมอนรองศีรษะสำหรับ 2 ที่นั่ง
  • กระจกมองหลังแบบปรับลดแสงสะท้อนพร้อมกล้องส่องภาพจากภายนอก (Smart rear view mirror)
  • ระบบควบคุมความเร็วอัตโนมัติ Cruise Control
  • ระบบ Push Start
  • ระบบเบรก ABS พร้อม EBD และ BA
  • ถุงลม 6 จุด คู่หน้า / ด้านข้าง / และม่านถุงลม
  • ระบบลิมิเต็ดสลิป B-LSD
  • ระบบควบคุมการทรงตัวอัตโนมัติ Vehicle Dynamic Control (VDC)
  • ระบบควบคุมความเร็วขณะลงทางลาดชัน Hill Descent Control (HDC)
  • ระบบช่วยออกตัวบนทางลาดชัน Hill Start Assist (HSA)
  • ระบบเตือนเมื่อรถออกนอกทาง Lane Departure Warning (LDW)
  • ระบบเตือนจุดอับสายตา Blind Spot Warning (BSW)
  • กระจกบังลมหน้าแบบป้องกันเสียงรบกวน (Acoustic Glass) แบบอัดซ้อนนิรภัย (Laminated Glass)
  • กุญแจรีโมทพร้อม Immobilizer และสัญญาณกันขโมย
  • กล้องมองหลัง
  • กล้องอัจฉริยะมองภาพรอบทิศทาง Intelligent Around View Monitor (iAVM)
  • ระบบตรวจจับและส่งเตือนวัตถุ และบุคคลที่เคลื่อนไหวจากกล้องรอบคัน Moving Object Detection (MOD)
  • สัญญาณเตือนระยะจอดด้านหลัง 4 จุด
  • ระบบตรวจสอบแรงดันลมยาง

เครื่องยนต์ : ดีเซลขนาด 2.3 ลิตร รหัส YS23DDTT แบบ 4 สูบ แถวเรียง DOHC 16 วาล์ว Twin Turbo Intercooler ให้แรงม้าสูงสุด 190 แรงม้า ที่ 3,600 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 440 นิวตัน-เมตร ที่ 1,500 รอบ/นาที

ส่งกำลังผ่านเกียร์อัตโนมัติแบบ CVT 7 สปีด ทุกรุ่น ให้รัศมีวงเลี้ยวแคบสุด 5.7 เมตร

มิติตัวรถ : ยาว 4,885 มม. กว้าง 1,865 มม. สูง 1,835 มม. ระยะฐานล้อ 2,850 มม. ระยะต่ำสุดจากพื้น 225 มม.

ราคาจำหน่าย : (Update ล่าสุด เดือนธันวาคม 2563)

  • 2.3 V 2WD ราคา 1,299,000 บาท
  • 2.3 VL 2WD ราคา 1,349,000 บาท
  • 2.3 VL 4WD ราคา 1,459,000 บาท

*หมายเหตุ : สีขาวมุก เพิ่มเงิน 12,000 บาท

Ford-Everest-2021

Ford Everest 2020

ข้อดี : โฉมนี้มาพร้อมเครื่องยนต์ใหม่ ที่มีขนาดเล็กลง แต่ให้กำลังมากขึ้น พร้อมชุดเกียร์ใหม่ พร้อมแก้ปัญหาต่างๆ ของตัวรถที่เคยได้รับเสียงตำหนิมาจากผู้บริโภคก่อนหน้า เช่น ปัญหาคราบน้ำมันเครื่องบริเวณฝาครอบหน้าเครื่องยนต์ เป็นต้น ทาง Ford ได้ปรับปรุงซีลหน้าเครื่องให้มิดชิด เฟืองปั้มเกียร์ที่แข็งแรงขึ้น ผนังลูกสูบที่เรียบลื่นขึ้น และ Torque Converter ที่แน่นหนากว่าเดิม

ข้อด้อย : เบาะนั่งในแถวที่สาม นั่งค่อนข้างยากสำหรับผู้ใหญ่ แต่ในโฉมนี้ก็ได้ชดเชยด้วยระบบปรับพับด้วยไฟฟ้ามาให้ กับปัญหาของตัวรถ ที่ต้องลุ้นกันต่อว่าจะมีหรือไม่

รายละเอียดตัวรถ : สำหรับ Ford Everest แม้ว่าจะขายกันมานานหลายปีได้ ในโฉมปี 2020 – 2021 ได้ตกแต่งชุดกระจังหน้าใหม่, ตัวอักษร Everest บนฝากระโปรงหน้าแบบนูนต่ำ, มือเปิดประตูโครเมียม, กระจกมองข้างโครเมียม, บันไดข้างสีดำ และชุดตกแต่งสีเงิน เป็นต้น

มาพร้อมเครื่องยนต์ดีเซล 2.0 ลิตร เทอร์โบคู่สุดล้ำ และเกียร์อัตโนมัติ 10 สปีด ของฟอร์ด การทำงานของเทอร์โบทั้งสองเครื่องที่อิสระจากกัน มาพร้อมเครื่องยนต์อันทรงพลังถึง 213 แรงม้า (PS) และแรงบิดสูงสุดถึง 500 นิวตันเมตร ช่วยเพิ่มความแรง และความเร็วได้ดั่งใจคุณต้องการ อีกทั้งยังประหยัดน้ำมัน

ผสานความสะดวกสบายระดับพรีเมี่ยม ให้ทุกรายละเอียดของห้องโดยสารภายใน ไม่ว่าจะเป็นเบาะนั่งหุ้มหนัง 7 ที่นั่งที่เดินเส้นปักแบบใหม่ หัวเกียร์ที่ออกแบบใหม่ เทคโนโลยีการตัดเสียงรบกวนอัจฉริยะ และหลังคา Panoramic Moonroof แบบปรับไฟฟ้า พร้อมระบบประตูไฟฟ้าแบบแฮนด์ฟรี ทำให้ชีวิตคุณง่ายขึ้น

แถมทุกรุ่นมาพร้อมข้อเสนอพิเศษ โปรแกรมรับประกันเครื่องยนต์และระบบส่งกำลัง 10 ปี หรือ 150,000 กม. ฟรีประกันภัยชั้นหนึ่ง ฟรีชุดอุปกรณ์ตกแต่งไฟฟ้า (Electric Pack) มูลค่า 11,350 บาท

มีให้เลือกถึง 7 สี ได้แก่ สีขาวมุก Snowflake White Pearl, สีขาว Artic White, สีแดง Sunset Metallic, สีเงิน Aluminum Metallic, สีฟ้า Reflex Blue, สีน้ำเงิน Deep Crystal Blue และสีดำ Absolute Black Metallic

อุปกรณ์มาตรฐานเด่นๆ :

  • กุญแจอัจฉริยะและปุ่มสตาร์ท
  • หน้าจอ Multi-Touch ขนาด 8 นิ้ว
  • ระบบสั่งงานด้วยเสียง SYNC 3 ภาษาไทยพร้อมการเชื่อมต่อ Bluetooth และ Wi-fi
  • ประตูท้ายเปิด-ปิด ด้วยไฟฟ้าแบบ Hands Free
  • หลังคา Panoramic Moonroof
  • ไฟวิ่งกลางวันแบบ LED
  • ชุดชายบันไดสแตนเลสแบบ LED
  • ปลั๊กไฟบ้าน AC 230 V
  • ระบบช่วยจอดอัจฉริยะ
  • ระบบปรับอากาศอัตโนมัติแยกอิสระซ้าย-ขวาล
  • เบาะนั่งปรับไฟฟ้า 6 ทิศทาง พร้อมปรับดันหลัง 2 ทิศทาง ด้านคนขับและผู้โดยสารด้านหน้า
  • เบาะแถวที่ 3 พับไฟฟ้า
  • ระบบช่วยโทรฉุกเฉิน
  • ระบบตรวจจับรถในจุดบอด
  • ระบบป้องกันล้อหมุน TC และระบบควบคุมเสถียรภาพการทรงตัว ESP
  • ระบบควบคุมความเร็วขณะลงทางชัน
  • ระบบช่วยออกตัวขณะจอดบนทางลาดชัน HLA
  • จำนวนถุงลมนิรภัย ถุงลมนิรภัย 7 จุด คู่หน้า / ด้านข้าง / หัวเข่าฝั่งคนขับ / และม่านถุงลมนิรภัย

เครื่องยนต์ : ดีเซลขนาด 2.0 ลิตร แบบ 4 สูบ แถวเรียง DOHC 16 วาล์ว Turbo Intercooler ให้แรงม้าสูงสุด 180 แรงม้า ที่ 3,500 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 420 นิวตัน-เมตร ที่ 1,750 – 2,500 รอบ/นาที

และดีเซลขนาด 2.0 ลิตร แบบ 4 สูบ แถวเรียง DOHC 16 วาล์ว Bi-Turbo Intercooler ให้แรงม้าสูงสุด 213 แรงม้า ที่ 3,750 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 500 นิวตัน-เมตร ที่ 1,750 – 2,000 รอบ/นาที

สามารถใช้กับน้ำมันดีเซล B20 ได้ ส่งกำลังผ่านเกียร์อัตโนมัติแบบ 10 สปีด พร้อม Selection Shift

มิติตัวรถ : ยาว 4,903 มม. กว้าง 1,869 มม. สูง 1,837 มม. ระยะฐานล้อ 2,850 มม. ระยะต่ำสุดจากพื้น 225 มม.

ราคาจำหน่าย : (Update ล่าสุด เดือนธันวาคม 2563)

  • Trend 2.0L Turbo 2WD ราคา 1,299,000 บาท
  • Titanium 2.0L Turbo 2WD ราคา 1,399,000 บาท
  • Titanium (Sport) 2.0L Turbo 2WD ราคา 1,429,000 บาท
  • Titanium+ 2.0L Turbo 2WD ราคา 1,599,000 บาท
  • Titanium+ 2.0L Bi-Turbo 4WD ราคา 1,799,000 บาท

อย่างไรก็ตาม ขอให้บทความนี้เป็นเครื่องมือช่วยให้ทุกท่าน เลือกรถคู่ใจได้ตามความต้องการ และตามงบที่มี เพราะการเลือกซื้อรถแต่ละคัน แต่ละคนย่อมมีรสนิยม ความชอบ ความพึงพอใจ ในหลายองค์ประกอบไม่เหมือนกัน

รวมไปถึงความเชื่อมั่นในแบรนด์ด้วย ที่ต่างคนก็ต่างมีประสบการณ์ในการเจอที่ปรึกษาการขาย เจอดีลเลอร์ เจอการซ่อม การเคลม หรือราคาอะไหล่ที่ไม่เหมือนกัน ดังนั้น การที่คุณเลือกรถใช้แบรนด์ต่างจากคนอื่น ไม่ใช่เรื่องผิดแต่ประการใดจ้า