กิจกรรมตอนขับรถ

สมาธิ เป็นสิ่งสำคัญในการกระทำสิ่งต่าง ๆ การที่คนเรามีสมาธิและจดจ่อกับสิ่งที่อยู่ตรงหน้า จะช่วยให้สิ่งที่กระทำอยู่นั้นได้ผลลัพธ์ที่ดีขึ้น

การขับรถก็เป็นอีกหนึ่งกิจกรรมที่ต้องใช้สมาธิเป็นอย่างมาก เพราะต้องใช้สายตาในการมองไปข้างหน้า ด้านข้าง รวมถึงต้องใช้มือและเท้าในการบังคับรถยนต์ให้ไปในเส้นทางที่ต้องการ เพื่อให้รถยนต์นั้นไปถึงที่หมายได้อย่างปลอดภัยและทันเวลานั่นเอง

5 กิจกรรมที่ทำหลุดโฟกัสขณะขับรถ

บทความนี้ขอหยิบเอาเรื่องราวของกิจกรรมที่อาจพาให้คุณหลุดโฟกัส และไม่ควรทำมันในขณะที่กำลังขับรถ เพื่อช่วยลดความเสี่ยงในการเกิดอุบัติเหตุ จะมีอะไรบ้างมาดูกันเลย

ทานอาหารบนรถ

ด้วยสภาพความเร่งรีบของคนในเมืองหลวง ทำให้หลายคนมักจะพกอาหารขึ้นมาทานบนรถยนต์เพื่อประหยัดเวลาและเพื่อความสะดวก แต่การทานอาหารบนรถก็มีความเสี่ยง เพราะถ้าต้องการที่จะทานอาหารแล้วก็จะต้องผละจากการควบคุมพวงมาลัยรถยนต์เพื่อใช้มือหยิบจับอาหาร ทำให้ผู้ขับต้องละสายตาและมือออกจากพวงมาลัย และไม่ได้โฟกัสอยู่ที่เส้นทางตรงหน้า

อุ้มเด็กนั่งตักตอนขับรถ

สำหรับรถยนต์ที่มีเด็กร่วมทางไปด้วยแล้วผู้ขับนำเด็กมานั่งบนตักก็จะทำให้ประสิทธิภาพการขับรถลดลง และยังอันตรายกับตัวเด็กมาก ๆ เนื่องจากเด็กยังขาดความรู้ความเข้าใจในเรื่องของการขับขี่ที่ปลอดภัย จึงอาจเล่นพวงมาลัยหรือเกียร์ด้วยความไม่รู้ ทำให้คนขับสูญเสียสมาธิในการควบคุมรถ เนื่องจากต้องดูแลเด็กพร้อมกับควบคุมรถยนต์ไปพร้อมๆ กัน

ในกรณีนี้หากเกิดอุบัติเหตุขึ้นจะทำให้เด็กที่นั่งบนตักได้รับแรงกระแทกมากกว่า และอาจกลายเป็นถุงลมนิรภัยให้กับตัวผู้ขับไปโดยปริยาย ซึ่งตัวเด็กก็จะได้รับบาดเจ็บมากกว่า ทางที่ดีควรให้เด็กนั่งที่เบาะข้าง ๆ หรือนั่งบนคาร์ซีท จะปลอดภัยกับเด็กและตัวผู้ขับรถยนต์มากกว่า

Activities-To-Avoid-While-Driving

คุยโทรศัพท์ขณะขับรถ

การคุยโทรศัพท์ขณะที่คุณกำลังขับรถนั้น จะเพิ่มความเสี่ยงในการเกิดอุบัติเหตุมากกว่าปกติถึง 2 – 4 เท่า เพราะทำให้ผู้ขับขี่เสียสมาธิ มีปฏิกิริยาตอบสนองช้าลง การเหยียบเบรคและบังคับพวงมาลัยเมื่อเกิดเหตุฉุกเฉินจะช้าลงกว่าปกติ 0.5 วินาที รวมทั้งส่งผลต่อการมองเห็นป้ายสัญลักษณ์ หรือป้ายบอกทาง

เพราะการคุยโทรศัพท์ไปด้วยขับรถไปด้วยจะทำให้สมองต้องทำงานหนักมากขึ้น เพราะต้องแบ่งการโฟกัสทั้งคนที่คุยด้วย และกับพวงมาลัยที่อยู่ตรงหน้า นอกจากจะเสี่ยงกับตัวผู้ขับแล้ว ยังเพิ่มความเสี่ยงให้กับเพื่อนร่วมทางคนอื่นๆ อีกด้วย

การดู TV บนรถ

เวลาที่รถติดและไปไหนไม่ได้ ทำได้แค่นั่งเบื่อ ๆ อยู่ในรถ การเปิดทีวีดูก็อาจช่วยให้หายเหงา คลายความเครียดลงไปได้บ้าง แต่ความสว่างของจอภาพ รวมทั้งภาพที่เคลื่อนไหว เสียงจากทีวีหรือเพลง จะทำให้สมาธิในการขับรถของคุณลดลง และสนใจเหตุการณ์รอบตัวน้อยลง และเสียงยังกระตุ้นให้ขับรถเร็วขึ้นโดยไม่รู้ตัวอีกด้วย

Activities-To-Avoid-While-Driving

แต่งหน้าขณะขับรถ

สาว ๆ นักขับ ที่ชอบแต่งเติมใบหน้าระหว่างขับรถนั้นต้องขอให้เลี่ยงกิจกรรมนี้เลย เข้าใจว่าความสวยจะช่วยเพิ่มความมั่นใจ และถึงแม้ว่าจะแต่งหน้าได้เร็ว-คล่องแคล่วขนาดไหน แต่ก็ต้องคำนึงถึงความปลอดภัยก่อนดีกว่า เพราะการแต่งหน้าบนรถจะทำให้ความสนใจของเราไปจดจ่ออยู่กับกระจกแทน จนอาจหลุดโฟกัสจากการขับรถ เพราะมัวแต่ยุ่งอยู่กับการแต่งหน้า

เพราะการขับรถต้องใช้พลังงานสมองอย่างมาก

ผู้เชี่ยวชาญด้านการขับรถระบุว่า “การขับขี่บนถนนแบบปกติต้องใช้พลังงานสมองมากถึง 85% ส่วนการส่งข้อความ หรือการพูดคุยกับผู้โดยสาร ดูเหมือนจะเป็นสิ่งที่ทำได้ง่ายๆ แต่นั่นก็ทำให้ผู้ขับขี่ต้องใช้พลังงานสมองเป็นอย่างมาก และก่อให้เกิดอุบัติเหตุขึ้นได้ หากใช้พลังงานสมองจนเกินความสามารถ”

เมื่อขับรถ สมองของคุณต้องใช้พลังงานในการรับรู้ถึง 85% สมองของคุณจะไม่มีความสามารถในการทำสิ่งอื่นอย่างเต็มที่ได้แล้ว

การขับรถอย่างมีสมาธิและไม่มีสิ่งใดมารบกวนจะเป็นการขับขี่ที่ปลอดภัยที่สุด เพื่อให้การเดินทางของคุณและคนที่คุณรักปลอดภัย ขอแนะนำให้ผู้ขับตั้งสติ และโฟกัสอยู่กับทางที่อยู่ตรงหน้า ไม่ประมาทในการขับรถ เพื่อความปลอดภัยของเพื่อนร่วมทาง คนที่คุณรัก และตัวคุณเอง อย่าลืมต่อประกันรถยนต์เสมอเพื่อรับความคุ้มครองและวงเงินชดเชยหากเกิดเหตุไม่คาดฝัน หากกำลังมองหาประกันรถยนต์ราคาถูก ลองเข้ามาใช้บริการเปรียบเทียบประกันรถยนต์ที่เหมาะกับคุณ ผ่านบริการของ rabbit finance ได้เลย

When-Your-Friend-Crashes-Your-Car

เชื่อว่าคนมีรถหลาย ๆ คนต้องเคยเจอกับเหตุการณ์นี้ คือการที่มีคนใกล้ตัวที่สนิทชิดเชื้อกัน หรือเหล่าเพื่อนฝูงที่มาขอยืมรถยนต์ไปใช้งาน ด้วยความสนิทก็อาจจะให้ไปโดยไม่ได้คิดอะไร แต่ถ้าเกิดเพื่อนของคุณดันโชคไม่ดี ขับรถยนต์ของคุณไปประสบอุบัติเหตุเข้า และเกิดความเสียหายขึ้นกับตัวรถ เจอแบบนี้เข้าไป เจ้าของรถยนต์อย่างคุณจะทำยังไงดี? แล้วประกันรถยนต์จะจ่ายเงินให้ไหมนะ

When-Your-Friend-Crashes-Your-Car

ประกันภัยรถยนต์คุ้มครองใครบ้าง?

ทุกครั้งที่มีการซื้อรถยนต์ใหม่ เจ้าของรถยนต์จะต้องทำประกันภัยรถยนต์ภาคบังคับ (พ.ร.บ.) และประกันภาคสมัครใจซึ่งก็คือประกันรถยนต์ชั้น 1, ชั้น 2 และชั้น 3 โดยต้องมาพิจารณากันตรงนี้ว่า รูปแบบของประกันภัยรถยนต์ที่เจ้าของรถยนต์ทำไว้เป็นแบบใด มีขอบเขตความคุ้มครองเท่าใด และคุ้มครองใครบ้าง โดยหลัก ๆ แล้ว จะแบ่งออกเป็นดังต่อไปนี้

ประกันรถยนต์แบบไม่ระบุชื่อผู้ขับขี่

หากเจ้าของรถยนต์ทำประกันภัยรถยนต์ภาคสมัครใจแบบไม่ระบุชื่อผู้ขับขี่เอาไว้ ก็คือประกันจะคุ้มครองความรับผิดและความเสียหายอันจะเกิดขึ้นกับตัวรถยนต์ในระหว่างที่ใช้งานรถยนต์ ถึงแม้ว่าผู้ขับจะไม่ใช่เจ้าของรถยนต์ แต่ถ้าเป็นผู้ขับขี่ ณ ขณะนั้นโดยได้รับความยินยอมจากเจ้าของก่อนใช้งานรถยนต์แล้ว ก็จะอยู่ในขอบเขตความคุ้มครองของประกันในรูปแบบนี้

โดยทางบริษัทฯ จะชดเชยค่าเสียหายของตัวรถยนต์ตามเงื่อนไขที่กำหนด ถึงแม้ว่าเพื่อนจะยืมรถไปขับ ก็ยังสามารถรับความคุ้มครองจากประกันได้

ประกันภัยรถยนต์แบบระบุชื่อผู้ขับขี่

หากเจ้าของรถยนต์ทำประกันภัยแบบระบุชื่อผู้ขับขี่ ซึ่งเป็นประกันที่มีรูปแบบการคุ้มครองความรับผิดและความเสียหายของรถยนต์ในกรณีที่เกิดเหตุกับรถยนต์ในขณะที่มีผู้ที่ถูกระบุชื่อไว้ในกรมธรรม์เป็นผู้ขับรถยนต์เท่านั้น

โดยการทำประกันแบบระบุชื่อ จะสามารถระบุชื่อผู้ขับขี่ลงในกรมธรรม์ได้ถึง 2 คน กรณีที่มีเพื่อนยืมรถไปแล้วขับชน หากเพื่อนไม่ใช่เจ้าของชื่อที่ระบุไว้ในกรมธรรม์ ก็จะไม่ได้รับความคุ้มครองหรือเงินชดเชยจากจากประกันรูปแบบนี้

When-Your-Friend-Crashes-Your-Car

ถ้าเพื่อนเอารถไปขับ แต่ไม่มีใบขับขี่?

ถ้าเพื่อนที่ยืมรถยนต์ไปขับ ไม่มีใบอนุญาตขับขี่ แล้วขับรถยนต์ของคุณไปเกิดอุบัติเหตุ ก็จะมีความผิดฐานไม่มีใบขับขี่ รัฐจะเป็นผู้เสียหาย ไม่ใช่คู่กรณี แต่ถ้ารถยนต์ของเราเป็นฝ่ายถูกชน เจ้าของรถยนต์สามารถเรียกร้องค่าเสียหายจากคู่กรณีได้ แต่ถ้าเรา(หรือเพื่อนที่ยืมรถไปขับ) เป็นฝ่ายผิด ก็ต้องพิจารณาแยกเป็นกรณีดังต่อไปนี้

ไม่เคยสอบใบขับขี่มาก่อน ไม่มีใบขับขี่

หากผู้ขับไม่มีใบขับขี่มาก่อน บริษัทประกันจะคุ้มครองเฉพาะความเสียหายของบุคคลภายนอก หรือ ความเสียหายของตัวรถยนต์เท่านั้น

มีใบขับขี่ แต่ไม่ได้พกมาด้วย/หมดอายุ/ถูกยึด

หากเพื่อนที่ยืมรถยนต์ไปมีใบขับขี่ แต่อาจจะไม่ได้พกมาด้วย หรือใบขับขี่หมดอายุ-ถูกยึด กรณีนี้ประกันภัยรถยนต์แบบไม่ระบุชื่อผู้ขับ จะให้ความคุ้มครองและชดเชยค่าเสียหายให้ตามเงื่อนไข

อย่างไรก็ตาม การขับขี่ยานยนต์โดยไม่มีใบอนุญาตขับขี่ เป็นการทำผิดกฎหมายจราจร ไม่ควรปฏิบัติเป็นอย่างยิ่ง เพราะมีความเสี่ยงอุบัติเหตุสูง และถ้าถูกจับได้ก็จะมีความผิดและโดนปรับได้

นอกจากประกันภัยรถยนต์ แล้วเพื่อนที่ยืมรถยนต์ไปขับ ต้องรับผิดชอบอะไรไหม?

นอกเหนือจากความคุ้มครองจากประกันภัยรถยนต์แล้ว หากเรารู้สึกว่ารถยนต์เกิดความเสียหายมาก ก็สามารถเจรจาต่อรองเพื่อให้เพื่อนรับผิดชอบค่าเสียหายได้

หรือในกรณีที่เพื่อนนำรถไปชนจนไม่สามารถเคลมได้ คู่กรณีก็สามารถยื่นเรื่องฟ้องร้องทางแพ่งและทางอาญาที่ตัวของเพื่อนคนนั้นได้เช่นกัน

หากคู่กรณีเป็นฝ่ายขับมาชน เจ้าของรถยนต์ก็ต้องเป็นผู้ไปเรียกร้องค่าชดเชยจากคู่กรณีและต้องรับผิดชอบค่าใช้จ่ายที่เป็นส่วนต่างเอง แต่สามารถเจรจาให้เพื่อนที่ยืมรถไปขับเป็นผู้จ่ายเงินส่วนนั้นแทนได้

ดูเหมือนว่า ขั้นตอนการขอเคลมต่างๆ จากประกันภัยรถยนต์ ในกรณีนี้ ไม่ใช่เรื่องง่ายเลย เพราะมีบุคคลอื่นเข้ามาเกี่ยวข้องด้วยนั่นเอง เชื่อว่าถ้าเจอแบบนี้เข้าไป ก็คงจะปวดหัวไม่น้อยเลยทีเดียว เพราะฉะนั้น ก่อนที่จะตัดสินใจให้ใครยืมรถยนต์ไปใช้ ให้คิดไตร่ตรองให้ดี หรือสังเกตพฤติกรรมการขับขี่ของคนคนนั้นให้ดีเสียก่อน หากรู้สึกว่ามีความเสี่ยงที่จะเกิดอุบัติเหตุทางรถยนต์สูง ก็อย่าให้ยืมเลยดีกว่า เพราะมันอาจจะไม่คุ้ม

Howto-Prevent-Car-Theft

กว่าจะได้เป็นเจ้าของรถยนต์สักคันนั้น ไม่ใช่เรื่องง่ายเลย เพราะฉะนั้น เราก็ต้องดูแลรถยนต์อย่างใส่ใจ เพื่อให้รถมีสภาพที่ดี พร้อมใช้งาน และอยู่กับเราไปนาน ๆ

ไม่เพียงแค่เรื่องของอุบัติเหตุที่สร้างความเสียหายให้กับรถยนต์เท่านั้น แต่ยังหมายรวมไปถึงเรื่อง “รถยนต์หาย” ที่จะสร้างปัญหาและผลกระทบทางการเงินให้ไม่น้อยเลย เพราะฉะนั้น กันไว้ดีกว่าแก้ ด้วยเคล็ดลับเหล่านี้เลย

เคล็ดลับการดูแลรถยนต์ เพื่อป้องกันรถหาย

Howto-Prevent-Car-Theft

จอดรถยนต์ในพื้นที่สว่าง มองเห็นง่าย

เมื่อคุณต้องจอดรถยนต์ในสถานที่ที่ไม่คุ้นเคย อย่างเช่นห้างสรรพสินค้า หรือลานจอดรถสาธารณะ แนะนำให้เลือกจอดในพื้นที่ที่มีแสงสว่างส่องทั่วบริเวณ และผู้คนที่สัญจรไปมาสามารถมองเห็นได้ง่าย ไม่อยู่ในที่ลับตาคน เพื่อช่วยป้องกันไม่ให้เหล่ามิจฉาชีพใช้ความมืดในการแอบขโมยรถหรืองัดรถของคุณ

ลำดับถัดมาก็คือ เมื่อมีแสงสว่างแล้ว ก็ควรมีกล้องวงจรปิดที่จับภาพบริเวณลานจอดรถเอาไว้ด้วย เพื่อช่วยในการสอดส่องดูแล หากเกิดเหตุใดๆ ขึ้นมาจริง ๆ จะได้ใช้ภาพที่ถูกบันทึกไว้ด้วยกล้องวงจรปิดมาใช้เป็นหลักฐานในการจับตัวคนร้ายได้

อย่าลืมล็อกรถให้เรียบร้อย

เป็นวิธีป้องกันรถยนต์หายแบบง่ายๆ ที่ต้องเริ่มต้นที่ตัวเองเลย กับการล็อกรถยนต์ ซึ่งเป็นด่านแรกในการป้องกัน หากเจ้าของรถยนต์ไม่รอบคอบ แล้วเผลอจอดรถทิ้งไว้โดยไม่ได้ล็อกให้เรียบร้อย ก็เป็นการเปิดโอกาสให้เหล่ามิจฉาชีพดีๆ นี่เอง เพราะฉะนั้น สิ่งที่ควรทำก่อนเดินออกจากตัวรถยนต์ก็คือการเช็กให้เรียบร้อยว่าได้ทำการล็อกรถยนต์แน่นสนิทแล้ว

โดยคุณสามารถซื้อที่ล็อกพวงมาลัยรถยนต์มาใช้เพิ่มเติม เพื่อลดความเสี่ยงในการลักลอบขับรถยนต์ออกไป ต่อให้เหล่ามิจฉาชีพจะสะเดาะกลอนประตูเข้ามาในรถของเราได้ แต่ก็ไม่สามารถขับออกไปได้ และอาจจะเสียเวลากับการปลดล็อกกลอนพวงมาลัยเป็นเวลานาน ซึ่งในขณะนั้นก็จะมีคนสังเกตเห็นความผิดปกติได้ก่อน

ใช้ระบบป้องกันการสตาร์ทเครื่องยนต์

ลองใช้เทคโนโลยีมาช่วยก็เป็นอีกทางเลือกที่น่าสนใจ ระบบป้องกันการสตาร์ทเครื่องยนต์ที่ว่าก็คือ Engine Immobilizer System ที่จะคอยตรวจสอบในตอนที่เราเสียบกุญแจรถเพื่อสตาร์ทรถ โดยทั้งลูกกุญแจและแม่กุญแจจะทำการส่งสัญญาณสื่อสารโค้ดเฉพาะ หากว่าการเข้ารหัสมีข้อผิดพลาดเกิดขึ้น ระบบจะตัดสัญญาณการสตาร์ทเครื่องยนต์ทันที จึงไม่สามารถสตาร์ทรถยนต์ได้อีก วิธีนี้เหมาะกับรถยนต์ที่ขับมือเดียว มีกุญแจชุดเดียว เพราะกุญแจปั๊มจะไม่สามารถนำมาใช้เข้ารหัสกับระบบป้องกันนี้ได้

Howto-Prevent-Car-Theft

เช็กการทำงานของสัญญาณกันขโมยเสมอ

หากว่ากันตามความเป็นจริง สัญญาณกันขโมยในรถยนต์นั้นอาจเป็นระบบที่ไม่ได้ถูกนำมาใช้งานอย่างเต็มที่เท่าใดนัก เราจะรู้ก็ต่อเมื่อมีสิ่งผิดปกติเกิดขึ้นกับรถยนต์ ซึ่งเป็นสิ่งที่ไม่ค่อยมีใครอยากให้เกิดนัก แล้วถ้าการทำงานของสัญญาณกันขโมยผิดปกติล่ะ เราจะรู้ได้อย่างไร?

ดังนั้น การเช็กการทำงานของสัญญาณกันขโมยรถยนต์จึงเป็นขั้นตอนที่สำคัญมาก จึงไม่อยากให้ผู้ใช้รถยนต์ทุกคนมองข้ามไป เราจึงควรตรวจสอบให้เพื่อให้มั่นใจได้ว่าระบบการทำงานของมันยังคงอยู่ในสภาพพร้อมใช้งานได้เสมอ จะได้อุ่นใจมากขึ้นด้วย

เลือกความคุ้มครองจากประกันภัยรถยนต์

การทำประกันรถยนต์ที่มีความคุ้มครองครอบคลุมกรณีที่รถยนต์หาย เป็นการวางแผนเพื่อรองรับความเสี่ยงได้อีกทางหนึ่ง เพราะถ้าเกิดรถหายขึ้นมาจริง ๆ คุณสามารถแจ้งกับทางบริษัทประกันภัย เพื่อให้ทางประกันฯ มาตรวจสอบสถานที่ วันเวลาที่รถหาย และช่วยดำเนินการเรื่องการเคลมประกันและจ่ายเงินค่าชดเชยกับบริษัทประกันภัยตามข้อตกลงที่ได้ระบุไว้ในกรมธรรม์ ทั้งนี้ ความคุ้มครองจากประกันรถยนต์ยังช่วยดูแลในกรณีอื่น ๆ ที่รถยนต์ได้รับความเสียหายอีกด้วย

ทั้งหมดนี้คือเคล็ดลับในการดูแลป้องกันไม่ให้รถยนต์หาย ที่ rabbit finance นำมาแบ่งปันเหล่าคนรักรถทุกท่าน เพราะรถยนต์เป็นสินทรัพย์ชิ้นใหญ่ที่มีราคาสูง จึงอยากให้ทุกคนรักษาให้ดี เพื่อให้รถยนต์คันโปรดอยู่กับคุณไปนานๆ

9-Tourist-Attractions-Near-Bangkok-At-Winter

ขับรถเล่น รับลมหนาวกับ 9 ที่เที่ยวใกล้กรุงเทพฯ

1. ยอดเขาเทวดา อุทยานแห่งชาติพุเตย จังหวัดสุพรรณบุรี

ความเย็นยะเยือกรับลมหนาว ทะเลหมอกบนยอดเขาที่สูงจากระดับน้ำทะเลประมาณ 1,123 เมตร ซึ่งเป็นอีกหนึ่งสถานที่ท่องเที่ยว มีพื้นที่เกือบ 2 แสนไร่ เหมาะกับนักเดินทางขาลุย ที่ชื่นชอบธรรมชาติมีครบทั้งป่าไผ่ น้ำตก ไร่ข้าวโพด และข้าวไร่

เที่ยวหน้าหนาว-ยอดเขาเทวดา

2. วังน้ำเขียว จังหวัดนครราชสีมา

เจ้าของฉายา สวิตเซอร์แลนด์แดนอีสาน ซึ่งได้รับการจัดอันดับให้เป็น 1 ใน 7 แหล่งโอโซนบริสุทธิ์ของโลก ยังมีอากาศเย็นสบายตลอดปี มีทิวทัศน์สวยงามรายล้อม และที่เที่ยวน่าสนใจอีกมากมาย เที่ยวได้ทั้งครอบครัว

เที่ยวหน้าหนาว-วังน้ำเขียว

3. เขาพะเนินทุ่ง อุทยานแห่งชาติแก่งกระจาน จังหวัดเพชรบุรี

อีกหนึ่งแหล่งชมทะเลหมอกใกล้กรุงเทพฯ ที่นี่มีทะเลหมอกปกคลุมเหนือยอดเขาทั้งปี ทำให้นักท่องเที่ยวได้สัมผัสได้ในยามเช้า ซึ่งสามารถเลือกชมทะเลหมอกได้ 2 จุด คือ จุดชมวิวกิโลเมตรที่ 30 และ 36 บอกเลยว่าเย็นสบายเว่อร์

เที่ยวหน้าหนาว-เขาพะเนินทุ่ง

4. ทุ่งทานตะวัน เขาจีนแล จังหวัดลพบุรี

ช่วงอากาศหนาวจะมีนักเที่ยวแวะเวียนเพื่อมาชมดอกทานตะวันเป็นจำนวน เพราะที่นี่เป็นทุ่งทานตะวันที่ใหญ่ที่สุดในประเทศไทย และมีกิจกรรมต่าง ๆ ให้ได้ร่วมสนุกมากมาย เช่น ปั่นจักรยานชมทุ่งทานตะวัน นั่งรถไฟชมทุ่ง ขี่ม้า และถ่ายรูปกับดอกทานตะวันยักษ์ เป็นต้น

เที่ยวหน้าหนาว-ทุ่งทานตะวัน

5. ไร่องุ่น อำเภอมวกเหล็ก จังหวัดสระบุรี

มีไร่องุ่นจำนวนมาก และมีผลิตภัณฑ์จากองุ่นที่หลากหลาย ไม่ว่าจะเป็นองุ่นสด ไวน์ น้ำองุ่น หรือแยมองุ่น ฉะนั้นหน้าหนาวนี้ไปเที่ยวเด็ดองุ่นจากต้นชิมกันสด ๆ ที่ไร่องุ่นมวกเหล็ก ใกล้ ๆ กรุงเทพฯ เดินทางไม่ไกล สามารถไปเช้ากลับเย็นได้แบบชิล ๆ เลยล่ะ

เที่ยวหน้าหนาว-ไร่องุ่น

6. อัมพวา จังหวัดสมุทรสงคราม

เมื่อเข้าฤดูหนาวก็เป็นช่วงบรรยากาศสุดแสนจะโรแมนติก โดยเฉพาะถ้าได้พักรีสอร์ทริมน้ำ อากาศเย็น ๆ มีลดพัดสบาย นอกจากนี้ยังได้สัมผัสกับบรรยากาศของตลาดน้ำ ล่องเรือไหว้พระ ชิมอาหาร และผลไม้อร่อย ๆ จากชาวสวนอัมพวา เหมาะจะเป็นสถานที่พักผ่อนในวันหยุดสั้น ๆ

เที่ยวหน้าหนาว-อัมพวา

7. เที่ยวเมืองเก่า จังหวัดพระนครศรีอยุธยา

เที่ยวในช่วงฤดูหนาวจะได้บรรยากาศที่แสนจะเย็นสบายไม่ร้อน การเดินชมเมืองเก่าและวัดโบราณต่างๆ ทำให้เกิดความเพลิดเพลิน โดยเฉพาะวัดไชยวัฒนารามในยามเย็นจะสวยงามมาก ๆ จนหลายคนต้องตกตะลึงเลยล่ะค่ะ

เที่ยวหน้าหนาว-อยุธยา

8. เขื่อนขุนด่านปราการชล จังหวัดนครนายก

เป็นเมืองแห่งน้ำตก ที่ในหน้าหนาวจะได้สัมผัสกับสายน้ำอันเยือกเย็น การเดินทางนั้นถือว่าสะดวก และง่ายเพราะใกล้กับกรุงเทพฯ เหมาะกับผู้ที่ชื่นชอบกิจกรรมแอดเวนเจอร์ เพราะมีทั้ง ล่องแพ ล่องแก่ง ขับรถ ATV เป็นต้น

เที่ยวหน้าหนาว-เขากระโจม

9. เขากระโจม จังหวัดราชบุรี

อีกหนึ่งสถานที่ท่องเที่ยวช่วงหน้าหนาว เหมาะสำหรับผู้ที่ชอบเดินทางแบบสมบุกสมบัน เพราะเป็นเทือกเขาที่มีความสลับซับซ้อน แต่มีความสูงชันไม่มาก และเมื่อได้ไปถึงบนยอด จะได้พบกับวิวธรรมชาติที่เป็นทะเลหมอกตรงหน้า

เที่ยวหน้าหนาว-วังน้ำเขียว

ประกันภัยรถยนต์ตัวช่วยเพิ่มความปลอดภัย

ไม่ว่าจะเดินทางใกล้หรือไกล มือใหม่หัดขับ หรือขับรถมานานแล้ว สิ่งหนึ่งที่สร้างความอุ่นใจในขณะขับรถได้ตลอดทุกเส้นทาง นั้นคือ ประกันภัยรถยนต์ ซึ่งมีให้เลือกหลากหลายแตกต่างกันออกไป ราคาประกันชั้น 1 ก็จะมีความแตกต่างจากชั้น 2 , ชั้น 2+ , ชั้น 3 และชั้น 3+ ซึ่งก่อนการเลือกซื้อประกันรถยนต์อาจพิจารณาได้ดังนี้

  • ควรเลือกซื้อกับตัวแทนหรือบริษัทที่มีใบอนุญาตเพื่อความปลอดภัย
  • ควรมีเบี้ยราคาประกัน 1 , ชั้น 2 , ชั้น 2+ , ชั้น 3 และชั้น 3+ ให้ได้เปรียบเทียบ
  • การทำธุรกรรมทางการเงิน ควรมีหลากหลายช่องทางให้ได้ชำระ
  • เป็นระบบโบรกเกอร์ประกันภัยที่มีศูนย์รวมบริการประกันแบบครบครัน
  • มีข้อเสนอพิเศษก่อนจะตัดสินใจซื้อที่ไหนดีควรจะเช็คโปรโมชั่นเสียก่อน

สนใจทำประกันรถยนต์ชั้น 1 กับ rabbit finance คลิกเข้ามาตอนนี้คุณจะได้รับการเปรียบเทียบจาก 30 บริษัทชั้นนำ และลูกค้าใหม่ยังได้ส่วนลดสูงสุด 15% หรือหากมีข้อสงสัย เราก็มีเจ้าหน้าที่เฉพาะด้านที่คอยให้คำปรึกษาลูกค้าอย่างใกล้ชิด

Renew-Or-Choose-New-Company-Car-Insurance

ลังเลใจไม่น้อยเมื่อประกันรถยนต์ใกล้หมดแบบนี้ จะต่อประกันรถยนต์ที่เก่าดี หรือที่ใหม่ดีนะ มีข้อดีข้อเสียต่างกันยังไง ตามเรามาดูกันเลยดีกว่า 

ต่อประกันรถยนต์กับที่เดิม

ใครที่อยากจะต่อประกันรถยนต์ที่เดิมนั่น เหมาะมากๆ สำหรับใครที่ธุรกิจรัดตัว เวลาว่างไม่เยอะ ไม่ต้องการความยุ่งยากให้กับชีวิต เพราะจะต่อประกันรถยนต์ใหม่สักเจ้า นอกเหนือจากเบี้ยประกันแล้ว เราต้องศึกษาเงื่อนไขอื่นๆ เพิ่มเติม แถมต้องคอยเปรียบเทียบประกันอีก ทำให้หลายคนตัดปัญหาที่แสนยุ่งยากเหล่านั้นดว้ยการต่อประกันภัยรถยนต์ที่เดิมแทน

นอกจากนี้ ข้อดีของการต่อประกันรถยนต์ที่เดิม คือ มีส่วนลดเบี้ยประกันภัยในปีต่อไป หากคุณต้องการตัดรายจ่าย ถ้าได้ความคุ้มครองเท่าเดิม แต่จ่ายน้อยลง ที่เดิมนี่แหละที่ตอบโจทย์! แถมยังสะดวกสบายไม่ต้องตระเตรียมเอกสารใหม่ๆ ให้ยุ่งยาก 

ถ้าประกันรถยนต์เจ้าเดิมของคุณไม่มีปัญหา ตอบโจทย์ครบถ้วนอยู่แล้ว ก็คงไม่มีใครคิดจะอยากเปลี่ยนเจ้าประกันรถยนต์หรอก จริงไหมล่ะ

Renew-Or-Choose-New-Company-Car-Insurance

ต่อประกันรถยนต์เปลี่ยนที่ใหม่

ถ้าประกันรถยนต์เจ้าเก่าไม่ค่อยตอบโจทย์เอาเสียเลย การเปลี่ยนไปต่อประกันรถยนต์เจ้าใหม่ๆ น่าจะตอบโจทย์มากกว่า! นอกจากนี้การเปลี่ยนเจ้าต่อประกันรถยนต์นั้น ให้ข้อดีใจแง่การเคลมนั่นเอง เพราะหากคุณเคลมบ่อย อยากจ่ายเบี้ยปีหน้าถูกลง จะต้องย้ายค่ายไปหาเจ้าใหม่จะช่วยให้เบี้ยประกันคุณถูกลงมากกว่า

นอกจากนี้ อาจจะมีสิทธิ์ได้รับส่วนลดมากกว่าอีกด้วย เพราะหลายเจ้ามักมีโปรโมชั่นลดแลกแจกแถมให้กับลูกค้าใหม่ๆ  แต่การเปลี่ยนเจ้า เปลี่ยนที่ต่อประกันรถยนต์ใหม่นั่น มีข้อเสียคือเสี่ยงนั่นเอง เสี่ยงว่าถ้าเราเปรียบเทียบไม่ดี ก็อาจจะเจอประกันรถยนต์ที่แย่กว่าเจ้าเก่าได้ และกว่าจะเปลี่ยนก็ต้องรออีกทีปีหน้าเลยนะ! 

แบบนี้เลือกยังไงให้ชัวร์ ? 

สำหรับใครที่ยังลังเล ชั่งใจว่าจะต่อประกันรถยนต์ที่ไหนดี ที่เก่า หรือที่ใหม่ดีนะ ขอแบบนี้บอกเลยว่าไม่ตายตัว และขึ้นอยู่กับเงื่อนไข ปัจจัยต่างๆ ขอแต่ละคน เช่น ถ้าประกันเจ้าเดิมดี มีส่วนลดต่างๆ ที่น่าสนใจ เวลาเคลม ไปอู่ซ่อมก็สบาย ไม่ยากอะไร คุณก็อาจจะต่อที่เดิมก็ได้

แต่ถ้าใครที่อยากจะเปลี่ยนที่ใหม่ แสวงหาประกันรถยนต์ที่ดีกว่าประกันรถยนต์เดิมๆ ลองมาทำความรู้จักกับ บริการเปรียบเทียบประกันรถยนต์จาก rabbit finance ที่ให้คุณเปรียบเทียบประกันรถยนต์ได้สะดวกสบาย ไม่ต้องยุ่งยาก ใช้เวลาเพียงไม่กี่นาทีก็สามารถค้นหาประกัรรถยนต์พร้อมโปรโมชั่นที่โดนใจ เหมาะกับเงินในกระเป๋าได้ง่ายๆ ไม่ต้องยุ่งยากอีกต่อไป

รถยนต์แบบไหนที่ควรทำประกันชั้น 3

ทุกวันนี้อุบัติเหตุสามารถเกิดขึ้นได้ทุกที่ ทุกเวลา โดยเฉพาะอุบัติเหตุที่เกิดบนท้องถนน หากคุณขับรถประมาท ขาดสติในการขับรถละก็ อุบัติเหตุทางรถก็สามารถเกิดขึ้นกับคุณได้เลยค่ะ ดังนั้นการทำประกันรถยนต์จึงเป็นเหมือนหลักประกันป้องกันความปลอดภัยให้กับคุณ แต่ทุกวันนี้เศรษฐกิจมันไม่ดีจะเอาเงินไปลงกับประกันรถยนต์คงไม่ไหว ดังนั้นบริษัทประกันจึงมีประกันชั้น 3 ที่เบี้ยประกันราคาถูกที่สุด เพื่อตอบโจทย์คนที่อยากมีประกันรถและอยากได้ประกันรถที่ราคาถูกนั่นเอง

ว่าแต่รถยนต์แบบไหนควรทำประกันชั้น 3 ล่ะ เรามาดูกันดีกว่าว่ารถยนต์แบบไหนควรซื้อประกันรถชั้น 3

6 ลักษณะรถยนต์ที่เหมาะกับประกันชั้น 3

รถยนต์ที่ไม่ค่อยใช้งาน ควรทำประกันรถประเภทไหน

  1. ถยนต์ที่ไม่ค่อยได้ใช้งาน

หากคุณมีรถยนต์อยู่ในบ้าน แต่ไม่ค่อยได้ใช้งาน มักจะจอดทิ้งไว้อยู่ที่บ้าน นานๆทีจะเอารถคันนี้ออกมาใช้ บอกเลยว่ารถยนต์คันนี้ควรทำประกันรถยนต์ชั้น 3 ด้วยเหตุผลที่ว่า รถยนต์คันนี้นานๆทีจะใช้งาน ไม่ค่อยได้ขับรถไปไหน แต่ใช่ว่ารถที่ไม่ใช้งานจะไม่เกิดอุบัติเหตุขึ้นเลย ดังนั้นเราควรทำประกันรถยนต์เอาไว้ เพื่อเป็นหลักประกันความปลอดภัยให้กับรถยนต์ของคุณ และคู่กรณีของคุณ

  1. รถเก่า

รถเก่าที่ว่า ส่วนใหญ่แล้วจะต้องมีอายุการใช้งานไม่เกิน 7 ปี ซึ่งอายุการใช้งานของรถยนต์ขนาดนี้ ประกันรถยนต์ชั้น 1 ไม่รับคุ้มครองแน่นอนค่ะ เพราะระบุไว้ในเงื่อนไขของประกันรถยนต์ชั้น 1 ไว้ชัดเจน ว่าไม่รับรถยนต์ที่มีอายุเกิน 7 ปีขึ้นไป ดังนั้นหากคุณมีรถยนต์ที่อายุการใช้งานมากกว่า 7 ปีขึ้นไป แนะนำให้ทำประกันรถยนต์ชั้น 3 เลยค่ะ

ซึ่งถ้าพูดตามหลักความเป็นจริงแล้ว ส่วนใหญ่คนที่มีรถเก่าก็มักไม่ค่อยได้ใช้ จะจอดทิ้งไว้อยู่ที่บ้าน โอกาสที่จะเฉี่ยวชนก็น้อย เกิดอุบัติเหตุก็น้อย ดังนั้นประกันที่เหมาะกับรถเก่าก็คือ ประกันรถยนต์ชั้น 3 นั่นเอง

  1. คนที่ขับรถเชี่ยวชาญ

หากคุณมั่นใจในทักษะการขับรถของตัวเองอยู่ในระดับหนึ่งแล้ว ผ่านการขับรถมานานหลายปี เรียกว่าเชี่ยวชาญเลยก็ว่าได้ ไม่เฉี่ยว ไม่ชน เกิดอุบัติเหตุที่เกี่ยวข้องกับรถยนต์น้อยมาก แต่อย่างที่บอกไปข้างต้นค่ะ ว่าอุบัติเหตุสามารถเกิดขึ้นได้ทุกเมื่อ ดังนั้นเราต้องทำประกันรถยนต์เพื่อความปลอดภัยเป็นหลัก ซึ่งประกันรถยนต์ที่เหมาะกับผู้ที่ขับรถอย่างเชี่ยวชาญ ก็คือ ประกันรถยนต์ชั้น 3

สภาพแวดล้อมบ้านก็มีส่วนในการเลือกทำประกันรถ

  1. สภาพแวดล้อมของบ้าน

สภาพแวดล้อมของบ้านก็มีส่วนให้เราเลือกทำประกันรถยนต์เช่นกัน หลายคนคงไม่เข้าใจใช่ไหมคะว่าทำไมสภาพแวดล้อมบ้านเกี่ยวอะไรกับการเลือกซื้อประกันรถยนต์ บอกเลยว่าเกี่ยวเต็มๆ หากสภาพแวดล้อมบ้านของคุณเป็นพื้นที่เสี่ยงเกิดอุทกภัย เสี่ยงเกิดอัคคีภัย เสี่ยงต่อภัยธรรมชาติต่างๆ คุณควรทำประกันรถยนต์ที่ให้ความคุ้มครองแบบจัดเต็ม

แต่ถ้าบ้านของคุณไม่ได้อยู่ในพื้นที่เสี่ยงภัยธรรมชาติ แนะนำให้ทำประกันรถยนต์ชั้น 3 ก็พอค่ะ เพราะประกันชั้น 3 ไม่ได้คุ้มครองในส่วนของความเสียหายจากภัยธรรมชาติ ดังนั้นเราไม่จำเป็นต้องทำประกันรถยนต์ที่ให้ความคุ้มครองในส่วนของภัยธรรมชาติ เพื่อเป็นการประหยัดในส่วนของเบี้ยประกันรถนั่นเอง

  1. ทำธุรกิจ หรือมีญาติพี่น้อง คนรู้จักเปิดอู่ซ่อมรถ

ในส่วนนี้ถือเป็นสิทธิพิเศษก็ว่าได้ค่ะ หากคุณหรือญาติพี่น้องทำธุรกิจอู่ซ่อมรถละก็ ค่าซ่อมรถของคุณอาจจะได้รับสิทธิพิเศษมากกว่าคนอื่น หากคุณได้รับสิทธิพิเศษเหล่านี้ละก็ เรื่องค่าใช้จ่าย ค่าซ่อมแซมก็หายไปได้หน่อยนึง

ซึ่งถ้าคุณมีตัวเลือกแบบนี้ เราไม่จำเป็นต้องซื้อประกันรถยนต์ที่เบี้ยราคาสูงๆ หรือประกันรถยนต์ที่ให้ความคุ้มครองแบบเต็มความคุ้มครองเลยค่ะ คุณเลือกประกันรถยนต์แค่ชั้น 3 ก็เพียงพอต่อการซื้อประกันรถยนต์

  1. งบสำหรับประกันไม่สูงมาก

หากคุณมีปัญหาเรื่องสภาพทางการเงิน ไม่อยากเอารายได้ของคุณไปจบอยู่ที่เบี้ยประกันรถยนต์ราคาสูงๆ แต่ถ้าไม่ทำประกันรถยนต์ก็ไม่ได้ ดังนั้นเราควรเลือกซื้อประกันรถยนต์ที่เบี้ยประกันราคาเป็นกันเอง แถมยังให้ความคุ้มครองอย่างคุ้มค่า เช่นประกันรถยนต์ชั้น 3 นั่นเอง แม้ความคุ้มครองอาจไม่จัดเต็มเหมือนประกันรถยนต์ประเภทอื่นๆ แต่ในเมื่อเรามีข้อจำกัดเรื่องงบ ประกันชั้น 3 จึงเป็นตัวช่วยคนสำคัญที่จะดูแลความปลอดภัยนั่นเอง

หากคุณต้องการทำประกันรถยนต์แต่มีข้อจำกัดหลายๆ อย่างตามที่ทางเราได้กล่าวไปข้างต้น เราแนะนำให้คุณทำประกันชั้น 3 เลยค่ะ หากคุณสนใจทำประกันรถยนต์ชั้น 3 ก็สามารถเข้ามาดูได้ที่ rabbit finance เรามีบริการเปรียบเทียบประกันรถยนต์ให้คุณเลือกประกันรถยนต์ตามที่คุณต้องการเลยค่ะ สนใจคลิกเข้ามาเลย!

ดูแลรถของคุณให้พร้อมเผชิญกับอากาศร้อน

ไม่กี่วันที่ผ่านมานี้ สภาพอากาศในประเทศไทยเรียกว่าร้อนมากๆ ร้อนขนาดที่ว่าต้องร้องขอชีวิต จนต้องหาวิธีดับร้อนให้กับตัวเองกันถ้วนหน้า เเต่นอกจากที่เราต้องทรมานกับอากาศที่ร้อนจัดแล้ว รถยนต์ของเราเองก็ต้องเผชิญกับสภาพอากาศที่ร้อนแผดเผาแล้ว เครื่องยนต์ของรถเองก็มีส่วนทำให้รถของเรายิ่งทวีคูณความร้อนเข้าไปอีก

เพราะฉะนั้นวันนี้ Carro ได้ทาง rabbit finance มาบอกวิธีดูแลรถยนต์ที่เรารักในช่วงหน้าร้อนมาฝาก จะมีวิธีไหนบ้าง งานนี้ใครที่มีรถละก็ห้ามพลาดบทความนี้เด็ดขาด!

เผยเทคนิคดูแลรถยนต์ ให้พร้อมเผชิญกับแดดประเทศไทย

หน้าร้อนประเทศไทย เรียกว่าร้อนแบบหาคำมาบรรยายไม่ได้ หลายคนบ่นกันอุบอิบ แต่รถที่แสนรักของเราไม่มีปาก ไม่มีเสียง บ่นไม่ได้ กว่าเราจะรู้ตัวอีกทีรถของเราก็โอเวอร์ฮีทเป็นที่เรียบร้อย ดังนั้นเราจำเป็นต้องมีเทคนิคในการดูแลรถสำหรับหน้าร้อนเอาไว้ ดังนี้

อากาศร้อนส่งผลเสียให้กับรถยนต์

1.ติดฟิล์มกรองแสง

ฟิล์มกรองเเสง ถือเป็นต้วยช่วยหนึ่งที่จะป้องกันแดดในขณะที่ขับรถ หรือแม้แต่ตอนจอดรถด้วยเช่นกัน เพราะฟิล์มติดรถจะช่วยลดความร้อนป้องกันแสงแดด และยังช่วยลดการทำงานของแอร์ได้อีกด้วย

ทั้งนี้เราควรเลือกฟิล์มกรองเเสง ที่มีคุณสมบัติสะท้อนแสง แต่ก็ไม่ควรสะท้อนแสงมากเกินไป เพราะแสงที่สะท้อนอาจส่งผลกระทบต่อผู้ใช้รถคนอื่นได้ หรือเราก็ไม่ควรเลือกฟิล์มที่มืดจนเกินไป เพราะอาจทำให้ทัศนวิสัยในการขับขี่แย่ลงได้

2.ระบบปรับอากาศ

ในช่วงที่อากาศร้อน สิ่งหนึ่งที่เราต้องดูแลเป็นพิเศษเลยก็คือ ระบบปรับอากาศหรือแอร์ ยิ่งในช่วงหน้าร้อนแบบนี้เราต้องหมั่นเช็กระบบปรับอากาศอยู่เป็นประจำ ไม่ว่าจะเป็น น้ำยาแอร์ ระบบการทำงานของแอร์มีความผิดปกติหรือไม่

เพราะหากระบบปรับอากาศของคุณมีปัญหาในขณะที่คุณต้องติดอยู่กลางสี่แยกร้อนๆ ละก็ ไม่ไหวแน่ๆ ค่ะ ดังนั้นอย่าลืมเช็กระบบปรับอากาศสม่ำเสมอ หากพบปัญหาหรือสิ่งผิดปกติ แนะนำให้รีบไปให้ช่างในอู่ดูโดยด่วนค่ะ

3.ระบบระบายความร้อนเครื่องยนต์

ส่วนใหญ่แล้วที่รถเกิดอาการโอเวอร์ฮีทขึ้นก็เพราะ สภาพอากาศที่ร้อนจัด และการทำงานของเครื่องยนต์ที่ทำงานหนักเกินไป จนทำให้เครื่องยนต์เกิดอาการโอเวอร์ฮีทได้ ดังนั้นเราจำเป็นต้องคอยสังเกตและตรวจสอบหม้อน้ำให้ดี เช็กระดับน้ำ

ส่วนเรื่องระบบระบายความร้อน รถยนต์จะต้องมีระบบระบายความร้อนอย่างเช่น พัดลม เพื่อระบายความร้อนให้กับเครื่องยนต์ หากคุณไม่มีพัดลม อาจทำให้ความร้อนในเครื่องยนต์ของเราเพิ่มสูงขึ้นได้

เพราะหากคุณไม่ดูแลรักษาระบบระบายความร้อนละก็ รถยนต์ของคุณอาจเกิดโอเวอร์ฮีทขึ้นได้ ซึ่งกว่าเราจะรอเครื่องให้หายเย็น ความร้อนลดลง ก็จะทำให้คุณทั้งเสียเวลา เสียอารมณ์ แถมยังทำให้การจราจรติดขัดได้อีกต่างหาก

 ดูแลรถที่เรารัก ให้เหมาะกับสภาพอากาศ

4.ยางรถยนต์

สำหรับหน้าร้อนแบบนี้ใครที่ใช้ยางอายุมากๆ และยังไม่ได้เปลี่ยนยางใหม่ มีความเสี่ยงที่ยางอาจจะเกิดระเบิดได้ ยิ่งใครที่ต้องขับรถเป็นระยะเวลานาน และมีอุณหภูมิที่สูง ต้องระมัดระวังเป็นพิเศษ ไม่ว่าจะเป็นการตรวจสอบยาง ลมยางตามเกณฑ์ที่เหมาะสมของยางรถยนต์นั่นเอง

5.เทคนิคอื่นๆ

นอกเหนือจากสิ่งที่เรากล่าวไป ยังมีบางอย่างที่เราต้องดูแลรถเป็นพิเศษในช่วงหน้าร้อน อย่างเช่น การวางพาวเวอร์แบงค์ไว้ในรถ โอกาสที่พาวเวอร์แบงค์จะเกิดระเบิดขึ้นก็มีความเป็นไปได้ ยิ่งในช่วงหน้าร้อนเปอร์เซ็นต์ที่พาวเวอร์แบงค์ระเบิดก็มีมากกว่า เพราะในพาวเวอร์แบงค์(รุ่นเก่าบางรุ่น) มีลิเธียมไอออน ที่มีโอกาสเกิดการลัดวงจร ระเบิด หรือติดไฟจนลุกไหม้ขึ้นได้ หากได้รับความร้อนที่สูงมาก

นอกจากนี้เวลาจอดรถ ถ้าเราได้จอดรถในที่ร่มก็ไม่มีปัญหาใช่ไหมคะ แต่ถ้าต้องจอดรถในที่แจ้ง แนะนำว่าให้หาที่ร่มเท่าที่จะทำได้ ร่มไม้ก็ยังดีค่ะ อย่างน้อยรถของเราจะได้ไม่รับแดดแบบเต็มๆ หรือถ้าเลี่ยงแดดไม่ได้จริงๆ ผ้าคลุมรถก็เป็นอีกหนึ่งตัวช่วยที่น่าสนใจค่ะ

ในเมื่อเราไม่สามารถเอาตัวไปบังพระอาทิตย์ไม่ให้ส่องมาโดนรถของเรา หรือวิธีทำให้ประเทศไทยอากาศเย็นขึ้นเพื่อเป็นผลดีต่อรถยนต์ของเรา ทางที่ดีที่สุดคือการดูแลรถยนต์ของตัวเองในช่วงหน้าร้อนให้ถูกหลักนั่นเอง หรือใครที่คิดว่าเราคนเดียวดูแลรถไม่ไหวละก็ ให้ประกันรถจาก rabbit finance ช่วยดูแลได้เช่นกันค่ะ หากใครสนใจอยากมีประกันรถยนต์สามารถสอบถามรายละเอียดได้ที่นี่ https://rabbitfinance.com/car-insurance

 

rabbit finance x Carro | เผย 4 เทคนิค วิธีเลือกซื้อประกันรถยนต์ให้รถมือสอง

รถมือสองควรซื้อประกันรถยนต์ประเภทไหนดี ?

เศรษฐกิจไม่ดี ที่บ้านมีฐานะพอมีพอกิน อยากมีรถสักคัน จะไปถอยรถใหม่ป้ายแดงเลยคงจะไม่ไหว งานนี้คงต้องไปซื้อรถมือสองแทนซะและ ว่าแต่ซื้อรถมือสองอย่างนี้ควรซื้อประกันรถยนต์หรือไม่ ? แล้วประกันรถยนต์ก็มีหลายแบบ หลายประเภท รถมือสองแบบนี้ควรซื้อประกันรถอันไหนดี?

ใครที่มีคำถามในส่วนนี้อยู่ละก็ วันนี้เราจะมาบอกเคล็ดลับการเลือกประกันรถยนต์สำหรับรถมือสองมาฝาก จะต้องซื้อประกันตัวไหน ตามไปดูพร้อมกันเลยค่ะ

ตั้งงบสำหรับซื้อประกันรถยนต์

จะทำประกันรถยนต์ต้องดูเรื่องงบของเราเป็นหลัก

อย่างแรกเรามาคุยกันก่อนค่ะ ว่าหลักๆ แล้วเราต้องดูอะไรในการตัดสินใจเลือกทำประกันรถยนต์ให้กับรถมือสองกันบ้าง ซึ่งเราสามารถเเบ่งเป็น 4 ข้อหลักๆ ดังนี้ค่ะ

1. เรื่องงบสำหรับประกันรถยนต์

อย่างแรกเลยที่เราต้องดูก็คือ เรื่องงบในส่วนของประกันรถยนต์ ในเมื่อเราซื้อรถยนต์มือสอง งบของเราก็คงไม่สูงมากใช่ไหมคะ เพราะฉะนั้นเรื่องงบสำหรับการซื้อประกันรถเราก็ต้องมาคิดให้ถี่ถ้วน

ทั้งเรื่องความคุ้มครอง ควรเลือกความคุ้มครองของกรมธรรม์ประกันรถยนต์อันไหนถึงจะเหมาะกับรถยนต์ของเรา และสไตล์การขับรถของเรา เพื่อให้เกิดความคุ้มค่าที่สุด

และอีกสิ่งที่ห้ามลืมเลยก็คือ เรื่องเบี้ยประกันที่เราต้องเสีย เพราะคุณต้องจ่ายเบี้ยประกันไปอีกหลายปีนะคะ

ซื้อประกันรถยนต์ ช่วยดูแลคุ้มครองเรา

พรบ. ประกันภาคบังคับ ความคุ้มครองไม่ครอบคลุมเท่าประกันรถยนต์

2. อย่าลืม พรบ.

ปกติแล้วรถยนต์ทุกคันจะต้องมี “ประกันภัยพระราชบัญญัติคุ้มครองผู้ประสบภัยจากรถ” หรือที่เราคุ้นชื่อกันคือ “พรบ.” ซึ่ง พรบ. นี้ ก็คือเป็นประกันภัยภาคบังคับ ที่ผู้มีรถทุกคนจะต้องทำ หากไม่ทำหรือไม่มีการต่ออายุ จะมีโทษทางกฎหมาย อาจได้รับโทษปรับสูงสุดถึง 10,000 บาท

ซึ่ง พรบ. นี้จะให้การชดใช้เงินจำนวนหนึ่งกับบุคคลภายนอกที่ได้รับความเสียหายที่เกิดกับชีวิต ร่างกาย หรือทรัพย์สินของบุคคลภายนอก อันเนื่องจากการกระทำของผู้เอาประกันภัย

ในเมื่อเรามี พรบ. ประกันภัยภาคบังคับแล้วที่พอจะคุ้มครองได้บ้างส่วนหนึ่ง ดังนั้นความคุ้มครองส่วนที่เหลือที่คุณคิดว่า พรบ. ไม่ครอบคลุมก็ค่อยทำประกันรถยนต์มาช่วยคุ้มครอง

สภาพรถช่วยเราตัดสินใจซื้อประกันรถยนต์ได้

สภาพรถของเราเหมาะกับประกันรถยนต์ประเภทไหน

3. รถมีสภาพอย่างไร

มาถึงขั้นตอนที่เราต้องประเมินแล้วค่ะว่ารถยนต์มือสองของเรา เหมาะกับประกันรถยนต์ชั้นไหน โดยปกติแล้วประกันรถยนต์มีด้วยกัน 5 แบบ ได้แก่ ประกันรถยนต์ชั้น 1, ประกันรถยนต์ชั้น 2+, ประกันรถยนต์ชั้น 2, ประกันรถยนต์ชั้น 3+ และ ประกันรถยนต์ชั้น 3

ซึ่งประกันรถยนต์แต่ละประเภทก็มีความคุ้มครอง และเบี้ยประกันรถยนต์ที่ต่างออกไป โดยประกันรถยนต์ที่ให้ความคุ้มครองสูงสุด และเบี้ยประกันที่แพงที่สุด ก็คือ ประกันรถยนต์ชั้น 1 รองลงมาก็เป็นประกันรถยนต์ชั้น 2+ และไล่ลงมาตามลำดับ

เมื่อเราพอจะทราบรายละเอียดความคุ้มครองและเบี้ยประกันแบบคร่าวๆ แล้ว ทีนี้เรามาดูสภาพรถยนต์ของเรากันดีกว่า

  • รถมือสองสภาพนางฟ้า

ถ้ารถมือสองของคุณยังมีสภาพนางฟ้า ผ่านการใช้งานเพียงไม่เท่าไหร่ เครื่องยนต์ยังพร้อมใช้งาน ดูแล้วไม่น่ามีปัญหา บอกเลยงานนี้ต้องจัดประกันรถยนต์ชั้น 1 เพราะความคุ้มครองประกันนี้มีความเหมาะสม เปรียบเทียบประกันดีๆ รับรองได้ประกันรถชั้น 1 ในราคาเบี้ยที่คุ้มค่าค่ะ

  • รถมือสองไม่ใหม่มาก แถมมีงบน้อย

หากรถของคุณมีสภาพที่ไม่ใหม่มาก แต่ก็ไม่เก่าเกินไป สภาพรถผ่านการใช้งานมาพอสมควร ถ้ารถของคุณมีสภาพเช่นนี้ แนะนำให้ทำประกันรถยนต์ ชั้น 2+, ประกันรถยนต์ชั้น 2, ประกันรถยนต์ชั้น 3 หรือประกันรถยนต์ชั้น 3+ ก็ย่อมได้

ฝีมือการขับรถช่วยเราตัดสินใจซื้อประกันรถยนต์ได้

ทักษะการขับรถก็เป็นตัวตัดสินให้เราเลือกประกันรถยนต์ได้

4. ฝีมือการขับรถ

อย่างถัดไปที่ต้องดูก็คือ ฝีมือการขับรถของเรา หากคุณมีความเชี่ยวชาญในการขับรถมาก เรียกว่าน้อยครั้งมากที่จะเกิดอุบัติเหตุ แนะนำให้ทำประกันรถยนต์ที่มีความคุ้มครองไม่สูงมาก เบี้ยประกันไม่สูงมาก เป็นการประหยัดเงินไปได้ส่วนหนึ่งเลยค่ะ

แต่ถ้าคุณไม่มั่นใจในฝีมือการขับรถ มักเกิดอุบัติเหตุอยู่บ่อยครั้ง ถ้าอย่างงี้ต้องจัดประกันที่ให้ความคุ้มครองสูง ซึ่งความคุ้มครองสูงขนาดนี้เบี้ยประกันก็สูงตามไปด้วย เพื่อตอบโจทย์การขับขี่ของคุณนั่นเอง

ทั้ง 4 ปัจจัยที่กล่าวไปล้วนเป็นเหตุผลที่ช่วยให้คุณตัดสินใจทำประกันรถสำหรับรถมือสองโดยเฉพาะ ซึ่งถ้าคุณยังตัดสินใจเลือกซื้อประกันรถยนต์สำหรับรถมือสองไม่ได้ละก็ ทางเราแนะนำประกันรถยนต์ชั้น 2+ ก็เป็นประกันที่ให้ความคุ้มครองที่ครอบคลุม แถมเบี้ยประกันก็เอื้อมถึง รับรองประกันชั้นนี้ตอบโจทย์รถมือสองแน่นอนค่ะ