ส่วนลดประวัติดีของประกันรถยนต์-คืออะไร-ทำไมต้องรู้

รู้ไว้ไม่เสียหาย อะไรคือ ส่วนลดประวัติดีของประกันรถยนต์

พูดถึงประกันรถยนต์ แน่นอนว่าการรู้จริง รู้รอบ รู้ลึก โดยเฉพาะส่วนลดประวัติดี หรือ No Claim Bonus ย่อสั้น ๆ ว่า NCB ซึ่งเป็นส่วนลดที่มอบให้กับผู้ซื้อประกันที่ไม่มีแจ้งเคลม และขับขี่ปลอดภัยมาตลอด เอาจริง ๆ ส่วนลดประวัติดีนั้นเหมือนกับการให้รางวัลคนทำดีล่ะครับ ขับดีก็ต้องได้ส่วนลดดี ๆ ถูกไหม ?

 

ทำอย่างไรถึงจะได้ส่วนลดประวัติดี ?

พูดง่าย ๆ เพียงแค่คุณขับดีไม่มีเคลม ไม่มีประวัติการเคลมว่าเป็นฝ่ายผิด หรือเกิดอุบัติเหตุจากการกระทำของคู่กรณีหรือบุคคลภายนอกที่ขับมาชนคุณ ซึ่งคุณจะต้องแจ้งบริษัทฯ ได้ว่า “ผู้ก่อเหตุคือใคร” เพื่อให้บริษัทเรียกร้องค่าเสียหายได้นั้นเอง

และการที่จะรับส่วนลดประวัติดีได้อย่างต่อเนื่องคุณจะต้องซื้อประกันรถยนต์กับบริษัทฯ ที่เดิมเท่านั้นนะครับ หรือตามภาษากฎหมายที่ว่าความคุ้มครองต่ออายุเท่านั้น ถึงจะได้รับส่วนลดนี้ซึ่งช่วยแบ่งเบาภาระค่าใช้จ่ายไปได้มากโขเลยล่ะค่ะ

 

คำนวณค่าเบี้ยส่วนลดประวัติดียังไง?

สำหรับส่วนลดประวัติดีจะคำนวณจากเบี้ยประกันภัยของปีที่ผ่านมา เช่น

  • เบี้ยประกันภัยสำหรับกรมธรรม์ปีที่ผ่านมาเป็นเงิน 13,000 บาท แต่เบี้ยประกันภัยของปีที่ต่ออายุเป็นเงิน 10,000 บาท
  • กรณีที่ผู้ซื้อประกันได้ส่วนลดประวัติดี 20% ก็จะได้ส่วนลดเท่ากับ 2,000 บาท ซึ่งคำนวณส่วนลดประวัติดี 20% ของ 10,000 บาท ไม่ใช่คำนวณจากเบี้ยประกันของปีที่ผ่านมา

อย่างไรก็ดี ส่วนลดประวัติดีของคุณจะเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ตามปีที่คุณใช้ประกันภัย ซึ่งมีส่วนลดสูงสุด 50% แต่มีข้อแม้ว่าคุณจะต้องซื้อประกันจากบริษัทฯ จากที่เดิมอย่างต่อเนื่องนะคะ

 

อธิบายกันอีกทีว่าส่วนลดประวัติดีแบ่งออกเป็น ดังนี้

  • ขั้นที่ 1 ลด 20% เมื่อไม่มีการเคลมรถยนต์ในปีแรก
  • ขั้นที่ 2 ลดเพิ่มอีก10% จากปีที่แล้วเป็น 30% เมื่อไม่มีการเคลมใน 2 ปีติดต่อกัน
  • ขั้นที่ 3 ลดเพิ่มอีก10% จากปีที่แล้วเป็น 40% เมื่อไม่มีการเคลมใน 3 ปีติดต่อกัน
  • ขั้นที่ 4 ลดเพิ่มอีก10% จากปีที่แล้วเป็น 50% เมื่อไม่มีการเคลมใน 4 ปีติดต่อกัน หรือมากกว่านั้น

ทั้งนี้ในการให้ส่วนลดประวัติดีนั้นอาจจะขึ้นอยู่กับโปรโมชั่นของแต่ละบริษัทฯ ประกันด้วยล่ะครับ เป็นไงบ้างค่ะ เข้าใจส่วนลดประวัติดีมากขึ้นใช่ไหมครับ

ขอบคุณข้อมูลจาก Frank.co.th

รถสตาร์ทไม่ติด

รถสตาร์ทไม่ติด พยายามบิดกุญแจยังไงก็สตาร์ทไม่ได้

หลาย ๆ คนที่มีรถอาจเคยประสบเหตุการณ์เช่นนี้หลายต่อหลายครั้ง และถ้าหากเป็นเวลาเร่งรีบด้วยแล้ว ยิ่งทำให้หงุดหงิดใจแน่นอน สำหรับปัญหาหลักของอาการสตาร์ทไม่ติด ส่วนมากจะมาจาก 4 สาเหตุ นั่นก็คือ

1. รถสตาร์ทไม่ติด เพราะแบตเตอรี่เสื่อม

อาการแบตเตอรี่เสื่อมเพราะตัวแบตไม่สามารถเก็บประจุไฟฟ้าไว้ได้นาน มีการรั่วไหลของแบตจนหมดในระยะเวลาอันสั้น อาการเสื่อมก็มีหลายระดับไม่เท่ากัน เสื่อมน้อยก็อาจจอดทิ้งเกิน 8 ชม. ขึ้นไปเริ่มสตาร์ทยาก ถ้าแบตเสื่อมมากเพียงแค่ 2-3 ชม. ก็อาจสตาร์ทรถไม่ติดเลย สัญญาณเตือนอาการแบตเสื่อมเบื้องต้นคือ รถเริ่มสตาร์ทยาก มีเสียงแชะ ๆ ลากยาวกว่าจะสตาร์ทติด หลังการจอดรถทิ้งไว้ แก้ปัญหาเบื้องต้นคือขอพ่วงแบตกับคันอื่น

2. รถสตาร์ทไม่ติด เพราะไดชาร์จเสื่อม

หากไดชาร์จเสื่อมไม่มาก เมื่อจอดทิ้งเอาไว้แล้วสตาร์ทรถไม่ติดเช่นกัน แก้ปัญหาเบื้องต้นด้วยการพ่วงแบต แต่เราเช็กไดชาร์จเสื่อมได้ง่าย ๆ โดยให้รถสตาร์ททิ้งไว้สักครู่ แล้วถอดขั้วแบตออกสักหนึ่งข้าง หากรถดับทันทีหรือมีอาการไฟตก รถกระตุก ชัดเจนว่าสาเหตุจากไดชาร์จเสื่อม เพราะหน้าที่ของไดชาร์จคือปั่นกระแสไฟเลี้ยงรถยนต์และชาร์จเก็บเข้าแบตเตอรี่ หากถอดขั้วแบตออกไฟจากไดชาร์จก็ยังเลี้ยงระบบไฟรถได้คือยังปรกตินั่นเอง

รถสตาร์ทไม่ติด
3. รถสตาร์ทไม่ติด เพราะมอเตอร์สตาร์ทเสื่อม

หากสตาร์ทรถไม่ติดเลย ลองพ่วงแบต หรือนำแบตเตอรี่ลูกใหม่มาเปลี่ยนก็ไม่หาย แต่เข้าไปดูที่แผงหน้าปัดก็มีไฟติด สตาร์ทแล้วยังมีเสียงแชะ ๆ (หรือเงียบสนิทก็ได้) ให้พุ่งเป้าไปที่มอเตอร์สตาร์ทมีปัญหา เตรียมควักเงินในกระเป๋ามากกว่าปรกติแน่นอน เพราะต้องพึ่งรถลาก หรือบริการซ่อมนอกสถานที่

4. รถสตาร์ทไม่ติด เพราะระบบไฟฟ้ารถมีปัญหา

ความจริงแล้วระบบไฟฟ้ารถมีปัญหานั้นเกิดยากสักหน่อย แต่ก็เป็นไปได้ อาการก็ดูง่าย ๆ ว่าบิดกุญแจแล้วไฟที่แผงหน้าปัดไม่มีอะไรขึ้นเลย หากก่อนหน้านี้จอดทิ้งรถไว้นาน ๆ มีกรณีหนูเข้ามากัดสายไฟมาแล้ว
เมื่อเกิดปัญหารถสตาร์ทไม่ติดก็อย่าลืมตรวจเช็คปัญหาของรถยนต์ให้ครบถ้วนนะคะ และทางที่ดีอย่าลืมดูแลรักษารถยนต์ให้พร้อมใช้งานอยู่เสมอ ถ้าหากว่าคุณไม่ต้องการเป็นกังวลในเรื่องของรถยนต์สตาร์ทไม่ติด สามารถใช้บริการเช่ารถยนต์กับ Drivemate ได้ทันทีเพราะเรามีรถยนต์คุณภาพไว้คอยให้บริการ

อ้างอิงข้อมูลจาก : car.kapook.com,

10-สัญญาณเตือน-ว่าคุณควรเปลี่ยนยางได้แล้ว

 

ยางรถยนต์ที่ดี ถือเป็นอีกหัวใจหนึ่งของการขับขี่ให้ปลอดภัย และช่วยให้เราไปถึงจุดมุ่งหมายได้ตามต้องการ เพื่อให้แน่ใจว่าเราได้ลดความเสี่ยงจากการเกิดอุบัติเหตุที่มีสาเหตุมาจากยางรถยนต์ เช่น ยางเกิดการเสื่อมสภาพจนระเบิด จากข้อมูลของกระทรวงมหาดไทย โดยกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย(ปภ.) ได้ให้ข้อแนะนำที่น่าสนใจ แก่ผู้ใช้รถใช้ถนนเกี่ยวกับเรื่องของยางรถยนต์ ดังนี้

ลักษณะของยางรถยนต์ที่เสื่อมสภาพ

จะมีเนื้อยางแข็งกระด้าง ไม่ยืดหยุ่น แรงดันลมยางอ่อนกว่าค่าที่กำหนด ส่งผลให้รถมีอาการสั่น ควบคุมและบังคับทิศทางได้ยากกว่าปกติ

10 สัญญาณชี้ที่คุณควร “เปลี่ยนยาง” ได้แล้ว!

  1. ยางมีความร้อนสูง จากการบรรทุกน้ำหนักหรือของบนรถมากเกินไป ทำให้หน้ายางบิดตัวและสัมผัสพื้นผิวถนนมากกว่าปกติ ทำให้ยางร้อนได้ง่าย
  2. ดอกยางสึกหรอ จอดรถอยู่กับที่เป็นเวลานาน เป็นสาเหตุของการที่หน้ายางสัมผัสพื้นถนนมากเกินไป จนเกิดการสึกหรอได้
  3. ยางมีรอยปริแตก สาเหตุเกิดจากจอดรถกลางแดดเป็นเวลานาน รังสียูวีจะทำให้น้ำมันและสารเคมีในยางเสื่อมสภาพ ส่งผลให้เกิดรอยแตกที่เนื้อยาง
  4. มีเสียงดังแปลกๆ เช่น เสียงหอนของยาง มักเกิดจากหน้ายางสึกหรอไม่เท่ากัน หรือขณะขับรถเกิดเสียง ปัง ปัง คล้ายยางแตกและรถมีอาการกระตุก อาจเกิดจากลูกปืนล้อแตกค่ะ
  5. รู้สึกสั่นสะเทือนผิดปกติ หากคุณเริ่มสังเกตเห็นการสั่นสะเทือนมากขึ้นกว่าปกติผ่านล้อของคุณ อาจเป็นเพราะเกิดช่องว่างระหว่าง ดุมล้อ กับ ล้อแม็ก หรือเกิดจากตัวยางที่เสื่อมสภาพบิดเบี้ยวไม่สมดุล และชุดขับเคลื่อนช่วงล่างหลวม
  6. รถไถลไปข้างใดข้างหนึ่งขณะที่ปล่อยพวงมาลัย สาเหตุเกิดได้ทั้งจากยาง ศูนย์ล้อ เพลงล้อ และลูกหมาก ทางที่ดีควรเอารถเข้าศูนย์แล้วให้ศูนย์เช็กค่ะ
  7. การสึกหรอของยางไม่สม่ำเสมอ เกิดจากการพองตัวของยางที่ร้อนเกินไป จะทำให้มีการสึกหรอที่ด้านในของดอกยางมากกว่ารอบขอบ
  8. ลมยางอ่อนเร็วผิดปกติ อย่าชะล่าใจนะค่ะ เพราะอาจถึงขั้นยางระเบิดได้ทีเดียว ลองดูที่หน้ายางว่ามีอะไรตำยางอยู่หรือไม่
  9. รถแฉลบ ตอนที่ลุยแอ่งน้ำตื้นๆ กรณีนี้อาจเกิดจากดอกยางตื้นกว่ามาตรฐานหรือดอกยางหมด ควรดูที่สะพานยาง ภ้าช่องของดอกยางนั้นเสมอเท่ากับสะพานยาง แสดงว่าดอกยางของเรานั้นตื้นเกินไป
  10. ไม่ได้เปลี่ยนยางมานานกว่า 5 ปี

10-สัญญาณเตือน-ว่าคุณควรเปลี่ยนยางได้แล้ว

วิธีถนอมยางรถยนต์ให้อยู่กับเราไปนานๆ

  • เลือกใช้ยางที่มีขนาดพอดีกับเส้นรอบวงของยาง โดยมีขนาดใกล้เคียงกับมาตรฐานเดิม หรือขนาดของล้อแม็ก หากเปลี่ยนเป็นล้อเล็ก ให้เพิ่มขนาดแก้มยาง แต่หากเป็นล้อใหญ่ ให้ลดขนาดแก้มยาง
  • กรณีใช้งานบนถนนเรียบ ควรใช้ยาง ที่มีดอกยางละเอียด ร่องยางแคบและถี่ เพื่อเพิ่มพื้นผิวสัมผัสกับหน้าถนน จะช่วยยึดเกาะถนน และมีประสิทธิภาพในการรีดน้ำมากขึ้น
  • กรณีใช้งานบนถนนขรุขระ หรือลุยโคลน ควรใช้ยางที่มีดอกยางขนาดใหญ่ และร่องยางห่าง เพื่อช่วยสลัดโคลน หิน หรือน้ำไม่ให้เข้าไปติดตามดอกยาง และร่องยาง
  • หมั่นตรวจสอบแรงดันลมยางอยู่เสมอ อย่างน้อยสัปดาห์ละ 1 ครั้ง หรือประมาณเดือนละครั้ง กรณีเดินทางไกล ควรเติมลมยางให้มากกว่าปกติ 3 – 5 ปอนด์ต่อตารางนิ้ว
  • ตรวจสอบแรงดันลมยางด้วยเกจ์วัดลมที่ได้มาตรฐาน ไม่ควรตรวจสอบด้วยสายตา เพราะอาจเกิดความคลาดเคลื่อนได้
  • เติมแรงดันลมยางอะไหล่ให้พร้อมใช้งาน ลมยางมากกว่ามาตรฐาน 3 – 4 ปอนด์ต่อตารางนิ้ว เมื่อเกิดเหตุฉุกเฉิน จะได้นำมาใช้งานได้ทันที โดยลดค่าแรงดันลมยางให้อยู่ในค่าปกติ เติมแรงดันลมยางตามค่ามาตรฐานที่กำหนดในขณะที่ยางเย็นตัว จะได้ค่าแรงดันลมยางที่ถูกต้อง (หากเติมหลังขับรถหรือในขณะที่ยางยังมีความร้อน จะได้ค่าแรงดันลมยางสูงกว่าปกติ)
  • ไม่เติมแรงดันลมยางต่ำกว่ามาตรฐาน เพราะหน้ายางจะยุบตัว และสัมผัสพื้นผิวถนนมากกว่าปกติ ทำให้แก้มยางฉีกขาด ไหล่ยางเกิดความร้อนสูง และสึกหรอเร็วกว่าส่วนอื่น
  • สลับยางรถยนต์ทุกระยะทาง 10,000 กิโลเมตร จะช่วยลดการสึกหรอ และทำให้หน้ายางเรียบเสมอกันทั้ง 4 เส้น พร้อมปรับแรงดันลมยางของล้อหน้า และล้อหลังให้มีค่ามาตรฐานตามที่กำหนด
  • หมั่นตรวจสอบระบบช่วงล่าง และตั้งศูนย์ถ่วงล้อให้สมดุล เพื่อป้องกันแรงเสียดทาน และการลื่นไถล รวมถึงการกระจายน้ำหนักที่ไม่สมดุล ทำให้ยางได้รับความเสียหายได้

 

ขอบคุณข้อมูลจาก GoBear 

ซื้อประกันภัยออนไลน์ ช่วงเวลาไหน เบี้ยดีที่สุด

รู้ก่อนซื้อประกันรถยนต์ เพื่อให้ได้เบี้ยที่ดีที่สุด

ไม่ว่าคุณจะกำลังซื้อรถใหม่เอี่ยม หรือซื้อรถมือสอง สิ่งที่ Chauffeur ทั้งหลายจะต้องรู้คือ การซื้อประกันรถยนต์ เพื่อให้ได้เบี้ยที่ดีที่สุดจะต้องซื้อช่วงไหนกันนะ 

ไม่ว่าจะเป็น ประกันชั้น 1 ประกันชั้น 2+ หรือประกันชั้น 3+ ก็ตาม เราก็ต้องเลือกสิ่งที่ดีที่สุดกับเรา ถูกไหม โดยเฉพาะเบี้ยรถที่จ่ายไหว ไม่แรงเกินไปตรงนี้สำคัญมาก ๆ บ่อยครั้งเรามักจะได้ยินว่า ต่อประกันกับที่เดิม หรือบริษัทฯ ประกันเจ้าเก่าเจ้าประจำจะได้เบี้ยดีกว่า เพราะหากขับดีไม่มีเคลม ก็ได้รับส่วนลดประวัติดี ๆ ประมาณ 20-30% มีรายละเอียดประมาณนี้จ้า

ส่วนลดประวัติดี

    • ขั้นที่ 1 ลด 20% เมื่อไม่มีการเคลมรถยนต์ในปีแรก
    • ขั้นที่ 2 ลดเพิ่มอีก 10% จากปีที่แล้วเป็น 30% เมื่อไม่มีการเคลมใน 2 ปีติดต่อกัน
    • ขั้นที่ 3 ลดเพิ่มอีก 10% จากปีที่แล้วเป็น 40% เมื่อไม่มีการเคลมใน 3 ปีติดต่อกัน
    • ขั้นที่ 4 ลดเพิ่มอีก 10% จากปีที่แล้วเป็น 50% เมื่อไม่มีการเคลมใน 4 ปีติดต่อกัน หรือมากกว่านั้น

 

  • แต่ทั้งนี้ในการให้ส่วนลดประวัติดีนั้นอาจจะขึ้นอยู่กับโปรโมชั่นของแต่ละบริษัทประกันด้วย

ซื้อประกันภัยออนไลน์-ช่วงเวลาไหน-เบี้ยดีที่สุด-(๑)

 

ต่อประกันรถยนต์จะให้ดีต้องช่วงไหน ?

“ซื้อได้หมดถ้าเราสะดวก” พูดง่าย ๆ เลยคือ ซื้อตอนไหนก็ได้ตามความสะดวกของคุณ เราสามารถต่อประกันรถยนต์ล่วงหน้าได้ตั้งแต่

  • ซื้อล่วงหน้า 6 เดือน จะทำให้เราผ่อนยาว ๆ สบาย ๆ เพราะเบี้ยรถยนต์โดยเฉพาะประกันชั้น 1 ที่ค่อนข้างสูง ซึ่งการซื้อประกันออนไลน์บางเจ้าจะมีบริการผ่อน 0% สูงสุดถึง 10 เดือน ให้ด้วยทำให้เราบริหารการเงินได้ง่ายขึ้น และยังมีของแถม มีส่วนลด ที่สำคัญเรามีเวลาตัดสินใจเลือกซื้อประกันรถยนต์ที่ดีที่สุดด้วย
  • ซื้อล่วงหน้า 3 เดือน ต่อประกันล่วงหน้าก็มีข้อดีคือผ่อนชำระสบาย ๆ ไม่กดดันเกิน แต่เราอาจะมีเวลาตัดสินใจน้อยกว่าการซื้อล่วงหน้า 6 เดือน เพื่อให้ความคุ้มครองรถยนต์ต่อเนื่องแบบไม่มีตกร่องล่ะค่ะ
  • ต่อประกันล่วงหน้า 1 เดือน ก่อนหมดความคุ้มครอง ค่อนข้างกระชันชิค่ะ แต่ก็ยังถือว่าโอเค ลองหาข้อมูลออนไลน์เปรียบเทียบซื้อประกันรถยนต์ที่ไหนดี เลือกเบี้ยที่ใช้ พร้อมกับจ่ายเงินเต็ม ๆ เพื่อรับความคุ้มครองประกันที่ใช่สำหรับคุณได้เลย
  • หรือแม้กระทั่ง 1 วัน ก่อนหมดความคุ้มครองประกันรถยนต์ก็ยังได้ แต่มีความเสี่ยงหน่อย ๆ คือ ความคุ้มครองอาจจะไม่ครอบคลุม หากเกิดเหตุในวันที่เราไม่มีประกันรถยนต์ อาจจะต้องจ่ายเองนะคะ 

ด้วยข้อแตกต่างระหว่างประกันรถยนต์ซึ่งเป็นประกันภาคสมัครใจจะไม่มีค่าปรับเหมือน พ.ร.บ.รถยนต์ (อย่าลืมต่อพ.ร.บ.ก่อนซื้อประกันรถยนต์) แต่อย่างไร อย่าปล่อยให้ขาดต่อประกันรถยนต์นะคะ เพราะคุณจะไม่ได้รับความคุ้มครองหากเกิดเหตุการณ์บนท้องถนน เช่น รถชน รถหาย ฯลฯ

ในที่นี่คุณสามารถเลือกจ่ายค่าเสียหายส่วนแรก (Deductible) 1,000 – 5,000 บาทเพื่อรับส่วนลดเบี้ยประกันได้ด้วยนะคะ หรือจะให้ประหยัดลงอีกสามารถทำประกันรถยนต์แบบระบุชื่อคนขับ 2 คนก็จะได้รับเบี้ยราคาจ่ายสบาย พร้อมกับติดกล้องหน้ารถยนต์ก็ได้ส่วนลดเบี้ยด้วยเหมือนกัน

ขอบคุณข้อมูลจาก Frank.co.th

 

7 ของแถมที่ควรเช็กให้ดี ก่อนซื้อรถในงาน Motor Show 2019

ไม่อยากเสียใจภายหลัง
เช็กให้ดีก่อนจองรถภายในงาน Motor Show 2019

เนื่องจากสัปดาห์นี้เป็นงานจะ Motor Show 2019 หรืองานบางกอก อินเตอร์เนชั่นแนล มอเตอร์โชว์ ครั้งที่ 40 สนุทรียภาพทางอารมณ์ ที่งานนั้นได้เริ่มมาตั้งแต่วันที่ 27 มีนาคม -7 เมษายน 2562 (12 วัน) จึงเป็นโอกาสเหมาะสำหรับใครที่คิดกำลังจะถอยรถคันใหม่ ป้ายแดง และใช้ “ของแถม” เป็นเกณฑ์ตัดสินใจในการเลือกซื้อรถยนต์ บางคนถึงขั้นเปรียบเทียบระหว่างโชว์รูม ว่าที่ไหนให้ของแถมมากกว่ากัน ส่วนบางคนถึงกับเลือกเปรียบเทียบข้ามยี่ห้อกันเลยก็มี

นอกจากนี้ การไปเลือกดูรถในงาน Motor Show 2018 ก็ถือว่าคุ้มค่าและไม่เสียเวลา ไปงานเพียงครั้งเดียว ก็สามารถสอบถามกับที่ปรึกษาการขายรถยนต์หลายๆ ดีลเลอร์ได้ ว่าเจ้าไหนเสนอเงื่อนไขให้ถูกใจเราที่สุด

แต่วันนี้อยากขอแนะนำ 7 ของแถมที่จำเป็น และคุณควรพิจารณาเลือกให้คุ้มค่า เพราะถ้ามองเพียงแค่ตัวเลขรายการเยอะ อาจคงไม่พอ เพราะของบางอย่างเป็นของแถมจากโรงงานอยู่แล้ว ถ้าไม่อยากพลาด ไปอ่านกันเลย …

ของแถม-ในงาน-motor-expo

1.คูปองเติมน้ำมัน

ในยุคเศรษฐกิจแบบนี้ ถ้าเป็นไปได้คุณควรต่อรองกับเซลล์ ก่อนจองรถจากงาน Motor Expo 2018 เพื่อขอคูปองเติมน้ำมันสำหรับวันออกรถ ซึ่งจะช่วยลดภาระค่าใช้จ่ายในวันออกรถได้เช่นกัน

2.ส่วนลดเงินสด หรือส่วนลดเงินดาวน์

รถยนต์หลายรุ่น หลายค่าย มีส่วนลดทั้งเงินสด หรือเงินดาวน์มาจัดให้ เพราะต้องการดึงดูดผู้ซื้อ ซึ่งจะคุณช่วยประหยัดเงินในวันออกรถไปได้เยอะทีเดียว

ส่วนได้มากน้อยขนาดไหน ก็ขึ้นอยู่กับทักษะการเจรจาต่อรองของแต่ละคน จำให้ดีว่า ส่วนลดมีค่ามากกว่าของแถม เพราะเซลล์บางคนจะนำของแถมของแต่งรถ ที่อาจไม่ได้มาตรฐานมาหลอกล่อเรา คุณจะต้องละเอียดรอบคอบ และควรถามให้แน่ใจว่าเป็นของแท้หรือเทียม

3.ประกันภัยชั้น 1

ส่วนใหญ่รถใหม่เกือบแทบทุกรุ่นก็ว่าได้ มักจะแถมประกันภัยชั้น 1 ในปีแรกมาให้อยู่แล้ว โดยที่บางแบรนด์อาจกำหนดบริษัทประกันมาให้แล้ว แต่ก็มีที่สามารถเลือกบริษัทประกันภัยเองได้ ซึ่งคุณ ควรจะสอบถามจากเซลส์อย่างรอบคอบ ว่าประกันภัยชั้น 1 ที่ให้มา เป็นประกันซ่อมศูนย์ หรือซ่อมอู่ บริษัทมีชื่อเสียงเป็นที่ไว้ใจได้หรือไม่ รวมถึงมีอู่ให้บริการในละแวกใกล้เคียงหรือเปล่า และความคุ้มครองอย่างไรบ้าง

ของแถม-ในงาน-motor-expo

4.ฟิล์มกรองแสง

ฟิล์มกรองแสง เป็นของแถมที่มีมูลค่าพอสมควร จึงควรเลือกฟิล์มที่มีคุณภาพ และเป็นยี่ห้อที่ไว้วางใจได้ ซึ่งเราสามารถสอบถามชื่อรุ่นของฟิล์มเพื่อไปค้นหารีวิวในอินเตอร์เน็ตได้ เพื่อที่จะได้ฟิล์มที่มีคุณภาพมากที่สุด

 

5.ดอกเบี้ย 0%

อย่าให้ดอกเบี้ย 0% มาทำให้คุณตาลายแล้วหลงซื้อรถ เพราะคำว่า 0% ไม่ได้หมายความว่าเราจะไม่ต้องจ่ายดอกเบี้ย พูดง่ายๆ คือเป็นวิธีการซับดอกเบี้ย โดยโยกจากค่าส่วนลด ไปจ่ายค่าดอกเบี้ยให้นั่นเอง ซึ่งความหมายของมันจริงๆ แล้วนั่นก็คือ “ส่วนลด” ในอีกแบบนึงนั่นเอง  

แต่ใช่ว่าโปรโมชั่นดอกเบี้ย 0% ไม่ดี แต่คุณต้องรอบคอบ และคำนวณเปรียบเทียบกันให้ถี่ถ้วนระหว่าง ข้อเสนอดอกเบี้ย 0% กับโปรโมชั่นส่วนลด อันไหนคุ้มกว่ากัน!

 

6.บริการช่วยเหลือฉุกเฉิน

ภายในงาน Motor Expo 2018 จะมีบางยี่ห้อมีบริการอย่างช่วยเหลือฉุกเฉิน เพียงโทรแค่กริ๊งเดียว หรือโทรผ่านหน้าจอสัมผัสภายในรถ ทางศูนย์บริการก็ส่งรถยก หรือช่วยเหลือฉุกเฉินถึงที่ โดยก็ขึ้นอยู่ระยะเวลาให้บริการว่านานสุดกี่ปี (เช่น 1 ปี หรือ 3 ปี เป็นต้น) เหมาะสำหรับมือใหม่หัดขับที่อาจเกิดอุบัติเหตุเล็กๆ น้อยๆ ในข่วงขับรถเริ่มแรก หรือบางแบรนด์ก็มีบริการเสริม ให้บริการสอบถามเส้นทาง ค้นหาร้านอาหาร โรงพยาบาล และอื่นๆ ทำให้ชีวิตของคุณสะดวกสบายมากยิ่งขึ้น

ของแถม-ในงาน-motor-expo
7.ฟรีเช็กระยะที่นานขึ้นกว่าปกติ หรือฟรีค่าแรงสำหรับการเช็กระยะ

อีกหนึ่งของแถมที่ช่วย Save ค่าใช้จ่าย เมื่อถึงกำหนดเช็กระยะ ควรนำรถไปตรวจสอบ เพราะอุปกรณ์ชิ้นส่วนต่างๆ ของรถ ควรจะพร้อมใช้งานอยู่เสมอ และทำให้การรับประกันจากทางบริษัทฯ ต่อเนื่องด้วย

ส่วนของแถมอื่นๆ เช่น กรอบป้ายทะเบียน, เคลือบสีรถ, ม่านบังแดด, หมอน ฯลฯ พวกนี้ถือเป็นของแถมที่ราคาไม่แพง หาซื้อเองได้ง่าย และบางอย่างไม่จำเป็น เพราะอย่างที่บอกไปก่อนหน้านี้ หากต่อรองเปลี่ยนเป็นส่วนลดเพิ่มอีกได้จะดีกว่า

แต่หากสนใจของแถมประเภทนี้ด้วย ควรเช็กสินค้าว่าเป็นของที่มีคุณภาพหรือไม่ ของแท้หรือของเทียบแท้ โดยเฉพาะของที่จำเป็นต้องติดตั้งกับตัวรถ จะได้ไม่ทำให้เกิดปัญหาในภายหลัง

อย่างไรก็ตาม นอกจากข้อมูลรถ และของแถมที่ได้เล็งไว้แล้ว อีกอย่างคุณต้องรู้ความสามารถในการดาวน์ และผ่อนต่อเดือนของตัวคุณ มีลิมิตอยู่ที่เท่าไหร่ อย่าเคลิ้มไปกับคำพูดของเซลล์ จนเผลอเซ็นสัญญาจองไปก่อนนะคะ

ล้างอัดฉีด....หรือ....ล้างรถแบบธรรมดา-อันไหนดี

“ล้างอัดฉีด” ต่างหรือดีกว่ากันอย่างไร กับการล้างรถปกติ

วันนี้มีบทความดีๆ ที่จะมาพูดถึงเกี่ยวกับการล้างรถมาฝากทุกคนกันค่ะ เพราะการล้างรถเป็นอีกหนึ่งกิจกรรมสุดโปรดของใครหลายคน แต่กลับกันอีกหลายคนก็อาจถอนใจ.. เฮือกใหญ่ๆ ก็ได้ การออกไปล้างรถหลายคนอาจเคยผ่านตากับร้าน “ล้างอัดฉีด” อาจคงสงสัยว่ามันต่างกัน หรือดีกว่ากันอย่างไร กับการล้างรถแบบปกติ

เมื่อรถสกปรกคนส่วนมากก็จะล้างรถแบบปกติ ตามร้านล้างรถทั่วไปที่เราเห็น โดยที่จะไม่เข้าไปเกี่ยวข้องกับห้องเครื่องยนต์ เพราะอาจเกิดปัญหากับระบบไฟของตัวรถได้ ทำให้หลายคนสงสัยว่า แล้วการล้างอัดฉีดจะเกิดผลเสียต่อเครื่องยนต์หรือไม่

ล้างอัดฉีด ล้างรถปกติ

ซึ่งจริงๆ แล้วเราก็ไม่ควรฉีดน้ำแบบแรงๆ หรือฉีดน้ำล้างห้องเครื่องโดยเด็ดขาด เพราะจะทำให้ระบบไฟฟ้าพัง และได้รับความเสียหายจากเครื่องฉีดน้ำแรงดันสูงเข้าไปทำให้ระบบไฟฟ้าอาจจะรวนหรือเสียหาย ซึ่งทางที่ดีที่สุด คือ ล้างสีดูดฝุ่นก็เพียงพอแล้ว

นอกจากนี้การเลือกร้านล้างรถที่ได้มาตรฐานก็จะเป็นการถนอมรถยนต์สุดรักของคุณอีกด้วย โดยปกติ ร้านล้างรถ ที่มีคุณภาพจะไม่ล้างห้องเครื่องโดยใช้เครื่องฉีดน้ำแรงดันสูง แต่จะใช้ผลิตภัณฑ์เพื่อขจัดคราบในห้องเครื่องแทน ทิ้งไว้สักครู่ แล้วใช้แปรงขัดถูเพื่อทำความสะอาด จากนั้นใช้น้ำจากสายยางแรงดันธรรมดาล้างออกให้สะอาด

แต่สำหรับคนที่เพิ่งนำรถไปลุยโคลนลุยฝุ่นมา แล้วต้องการอยากจะ ล้างอัดฉีด เพียงแค่ อัดล้างฉีดที่ใต้ท้องรถ ซุ้มล้อ ฯลฯ อย่างเดียวก็เพียงพอแล้ว ห้ามฉีดน้ำล้างห้องเครื่องโดยเด็ดขาด และข้อควรระวังคือ ไม่ควรล้างห้องเครื่องในขณะที่เครื่องยนต์ร้อนอยู่ ถือว่าอันตรายเป็นอย่างมาก ฉะนั้น ควรปล่อยให้เครื่องยนต์เย็นลงสักพักก่อนแล้วค่อยล้างห้องเครื่อง

ข้อมูลจาก Drivemate

Drivemate คือทุกจุดหมายเรื่องรถของคุณ หากคุณต้องการเช่ารถยนต์ไม่ว่าจะเพื่อการท่องเที่ยว การใช้รถเพื่อทำธุระสำคัญหรือต้องการใช้รถเพื่อโอกาสสำคัญอื่นๆ สามารถใช้บริการเช่ารถยนต์ผ่านทางแอปพลิเคชันหรือเว็ปไซต์ของ Drivemate

สิ่งที่คุณควรทำ-เมื่อจอดรถยนต์ทิ้งไว้!

มีรถยนต์ แต่จอดทิ้งไว้ ควรทำอย่างไร?

ความจำเป็นในการใช้งานรถของแต่ละคนไม่เหมือนกัน สำหรับบางคนที่ใช้งานรถยนต์แทบทุกวันก็คงไม่มีปัญหาอะไร เพราะว่าถ้ารถเกิดปัญหาอะไรขึ้น คุณจะรู้ได้ในทันที และสามารถส่งรถไปซ่อมก่อนจะนำมาขับอีกครั้ง แต่สำหรับรถยนต์ที่ไม่ค่อยได้ใช้งาน หากรถเกิดมีปัญหาขึ้น หรือมีอะไรเสีย คุณก็คงจะไม่ทราบว่ารถเป็นอะไร เพราะแทบจะไม่ได้ใช้รถเลย

ซึ่งการจอดรถทิ้งนานๆ หลายเดือน มีความเสี่ยงสูงที่จะทำให้รถยนต์ของคุณเกิดปัญหาขึ้นได้ ทำให้เวลานำกลับมาขับใช้งานใหม่ รถอาจจะเกิดอาการสั่นทั้งคัน จนอาจทำให้คุณตกใจ และคิดว่ารถเสีย เครื่องยนต์พัง ฯลฯ

แท้จริงแล้วสาเหตุหนึ่งที่ทำให้รถของคุณสั่นทั้งคัน เกิดจากยางรถยนต์นั่นเอง เพราะน้ำหนักของตัวรถจะกดทับยางรถยนต์ทั้ง 4 เส้น ในมุมเดิมเป็นระยะเวลานาน จนทำให้ยางเกิดการเปลี่ยนรูปทรง ไม่กลม เสียทรง แถมโครงสร้างยางยังเสียหาย และยุบอีกด้วย

จอดรถทิ้งไว้

แต่ถ้าคุณไม่อยากให้เหตุการณ์แบบนี้เกิดขึ้น ก่อนจะจอดรถทิ้งไว้ ให้คุณนำรถไปเติมลมยางเผื่อเอาไว้จากปกติที่เติมสัก 5 – 10 ปอนด์ และถ้าพอมีเวลาคุณควรไปขยับรถเดินหน้า-ถอยหลังบ้าง อาทิตย์ละ 2 – 3 ครั้งก็ยังดี เพื่อกระจายน้ำหนัก และเปลี่ยนมุมการกดทับไปยังจุดอื่นๆ บ้างนั่นเอง

ซึ่งการจอดรถที่ไว้นาน มันก็จะมีผลเสียเกิดขึ้นกับรถของคุณอย่างแน่นอน ถ้าต้องนำกลับมาใช้อีกครั้ง คุณควรที่จะหาเวลาเพื่อมาตรวจเช็กสภาพรถด้วย เช่น แบตเตอรี่ ของเหลวภายในรถ ฯลฯ และถ้าคุณอยากรู้วิธีเช็กรถเบื้องต้นสำหรับรถที่ไม่ค่อยได้ใช้งาน อ่านต่อ คลิก

แต่ถ้ารถที่ไม่ได้ใช้งาน คุณควรแจ้งกับกรมการขนส่งทางบกทุกแห่งทั่วประเทศ ซึ่งการดำเนินการไม่ยุ่งยาก มีความสะดวก และรวดเร็ว จะได้ไม่โดนการเรียกเก็บภาษีประจำปี เพราะเมื่อไม่ชำระภาษีรถเกิน 3 ปี ทะเบียนจะถูกระงับทันที โดยมีขั้นตอนตามนี้

กรณีแจ้งว่าไม่ได้ใช้งานรถ สามารถทำได้ใน 2 กรณี ได้แก่

1. แจ้งไม่ใช้รถชั่วคราว มีอายุ 2 ปี สำหรับรถชำรุด แต่สามารถซ่อมแซมเพื่อกลับไปใช้งานต่อได้
2. แจ้งไม่ใช้รถตลอดไป สำหรับรถหายหรือชำรุดจนไม่สามารถซ่อมแซมได้

ส่วนเอกสารที่ต้องใช้ มีดังนี้

1. ใบคู่มือจดทะเบียนรถ
2. สำเนาทะเบียนบ้าน และสำเนาบัตรประจำตัวประชาชน
3. แผ่นป้ายทะเบียนรถ
4. แบบคำขอแจ้งไม่ใช้รถ กรอกรายการและลงลายมือชื่อ
5. หนังสือมอบอำนาจและบัตรประชาชนผู้รับมอบอำนาจ (ถ้ามี)

ขั้นตอนการดำเนินการ มีดังนี้

1. ยื่นคำขอแจ้งไม่ใช้รถ พร้อมหลักฐาน และแผ่นป้ายทะเบียนรถ
2. ชำระค่าธรรมเนียม
3.รั บใบเสร็จรับเงิน และใบคู่มือจดทะเบียนรถ

จอดรถทิ้งไว้

อัพเดต กรมการขนส่งทางบก ได้ขยายช่องทางการรับชำระภาษีรถ เพื่ออำนวยความสะดวกแก่ประชาชนด้วยการชำระภาษีรถทั่วประเทศไทย

และในส่วนของ พ.ร.บ.รถยนต์ ได้ขยายช่องทางเพิ่มขึ้น เช่น การรับชำระผ่านห้างสรรพสินค้าบิ๊กซี 13 สาขา, ห้างเซ็นทรัลรามอินทรา, ศูนย์การค้าพาราไดซ์พาร์ค ในวันเสาร์-อาทิตย์ เวลา 09.00-18.00 น.

การรับชำระภาษีรถที่ศูนย์บริการร่วมคมนาคม เชิงสะพานสมเด็จพระเจ้าตากสินได้ทุกวันจันทร์-ศุกร์ ตั้งแต่เวลา 08.30-15.30 น.

การรับชำระภาษีรถผ่านระบบอินเทอร์เน็ต ที่เว็บไซต์ www.dlte-serv.in.th, ชำระภาษีรถผ่าน ตรอ., ผ่านเคาน์เตอร์เซอร์วิส เซเว่นอีเลฟเว่น กว่า 8,000 แห่งทั่วประเทศ

และชำระภาษี บนมือถือผ่านเครือข่าย AIS ซึ่งเจ้าของรถตาม พ.ร.บ.รถยนต์ และ พ.ร.บ.การขนส่งทางบกสามารถชำระภาษีรถได้ล่วงหน้า 3 เดือน ก่อนหมดเขตอายุภาษี และหากต้องการสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ ที่ Call Center 1584.

อ้างอิง กรมขนส่ง

เหตผลที่ควรซื้อรรถใหม่

รถคันใหม่ คุณควรซื้อหรือไม่ซื้อดี ?

ไม่ว่าจะเป็นเสียงแปลกๆ หรือกลิ่นที่เข้ามาในรถ สิ่งเหล่านี้ไม่ได้มาจากสภาพแวดล้อมภายนอกเสมอไปนะคะ อาจเป็นสัญญาณเตือนจากรถของเราที่กำลังขับอยู่ก็ได้ ตลอดจนการปิดวิทยุ และลองฟังเสียงเครื่องยนต์ขณะรอสัญญาณไฟก็ตาม ความสามารถในการรับรู้สิ่งแปลกๆ แม้จะเรื่องเล็กน้อยเหล่านี้ ก็ถือเป็นสัญชาติญาณของคนขับรถที่มีความสำคัญสูงสุดต่อความปลอดภัยในการขับขี่ของคุณไม่น้อยเลยทีเดียว

และต่อไปนี้คือสัญญาณสำคัญ 5 อย่าง ที่เป็นเครื่องเตือนว่า อาจถึงเวลาที่ต้องเสียเงินซื้อรถใหม่แล้วก็เป็นได้ค่ะ

ถึงเวลาเสียเงิน! 5 สัญญาณบ่งบอกว่าคุณควรซื้อรถใหม่ 1

1. สัญญาณไฟตรงแผงควบคุม

เคยสังเกตสัญลักษณ์ต่างๆตรงแผงควบคุม หรือคอนโซลรถกันบ้างไหมค่ะ สัญลักษณ์ต่างๆเหล่านี้ล้วนมีความหมายแตกต่างกันออกไปตามแต่ละส่วนประกอบของรถและเครื่องยนต์

ซึ่งตามปกติแล้วหากรถของเรายังทำงานได้ดี สัญญาณไฟหน้ารถพวกนี้จะติดเมื่อเราสตาร์ทเครื่อง และดับลงภายในระยะเวลาอันรวดเร็ว หรือไม่ก็ขึ้นเป็นสีเขียวหากเรากำลังใช้งานฟังก์ชั่นการทำงานนั้นอยู่ แต่หากตรงบริเวณไหนที่ยังมีสัญญาณเตือนเป็นสีเหลือง หมายความว่าเรายังขับต่อได้อยู่ แต่ให้เตรียมจัดสรรเวลาเอารถเข้าตรวจสอบสภาพด้วยค่ะ และหากสัญลักษณ์ตรงไหนเป็นสีแดงขึ้นมาล่ะก็ ถือเป็นสัญญาณอันตรายแล้วนะคะ

 

2. มีเสียงดังแปลกๆ

ปกติแล้วหากไม่มีปัญหาอะไร เสียงต่างๆที่เกิดขึ้นระหว่างขับรถควรจะเงียบเชียบ และขับได้อย่างนุ่มนวลราบรื่น แต่หากเพื่อนๆได้ยินเสียงดังในรถ และเป็นเสียงที่แปลกไปจากปกติซึ่งไม่เคยได้ยินมาก่อน อาจเป็นไปได้ว่าเกิดปัญหากับกระบอกสูบเครื่องยนต์ หรือบริเวณอื่นๆ

ซึ่งข้อผิดพลาดดังกล่าวอาจนำไปสู่สถานการณ์ที่เป็นอันตรายได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากเรายังละเลยปัญหา และขับรถต่อไป หากคุณได้ยินเสียงขูดขณะสตาร์ทเครื่องยนต์ เป็นไปได้ว่าระบบไฟอาจถูกทำลาย และควรได้รับการซ่อมแซมหรือเปลี่ยนใหม่ค่ะ

 

3. มีกลิ่นไม่พึงประสงค์

กลิ่นแปลกๆ บางครั้งก็เป็นสัญญาณเตือนที่มาจากรถเราได้เช่นกันค่ะ อาจเริ่มตรวจสอบจากถังน้ำมัน และระบบท่อไอเสีย เพราะหากบริเวณนี้ผิดปกติขึ้นมา ก็จะมีกลิ่นเกิดขึ้นได้ แนะนำว่าให้เปิดหน้าต่างรถไว้ และไม่ควรฝืนขับไปไกลจนถึงจุดหมาย แม้กระทั่งกลิ่นหวานๆ เหมือนน้ำเชื่อม ก็เป็นไปได้ว่าถังพักน้ำหล่อเย็นอาจรั่ว

นอกจากนี้กลิ่นของยางไหม้ อาจหมายความว่าสายพานเลื่อน ท่อลมยางหลวม หรืออาจจะมีถุงพลาสติกไปติดอยู่ใต้เครื่องก็เป็นได้ค่ะ

ถึงเวลาเสียเงิน! 5 สัญญาณบ่งบอกว่าคุณควรซื้อรถใหม่ 1

4. ควันจากท่อไอเสีย

ควันจากท่อไอเสียรถเป็นเรื่องที่คนมักมองข้ามไป ในการจะตรวจเช็กว่ารถของเรายังปกติดีอยู่หรือเปล่า ซึ่งเราสามารถสังเกตความผิดปกติได้จากสีของควันที่ปล่อยออกมาค่ะ เพราะถึงแม้จะเป็นท่อไอเสียก็ตาม แต่เมื่อรถเราปกติ ควันที่ถูกปล่อยออกมาจะเป็นแบบไร้สี

แต่หากพบว่าควันที่ถูกปล่อยออกมา เป็นควันฉุยๆสีฟ้าอ่อน และมีกลิ่นแสบจมูก อาจเกิดจากน้ำมันเครื่องเล็ดเข้าไปในส่วนหัวลูกสูบ ทำให้ถูกเผาไหม้ออกมาพร้อมกับไอเสีย หรือเกิดจากการสึกหรอของแหวนลูกสูบ

และหากมีควันสีขาว แต่ไม่มีกลิ่นออกมา อาจหมายถึงระบบหล่อเย็นของเครื่องยนต์มีปัญหา น้ำเล็ดรอดเข้าห้องเผาไหม้ และเผาออกมาเป็นไอน้ำ กรณีร้ายแรงที่สุดคือน้ำไปปนเข้ากับน้ำมันเครื่อง ทำให้น้ำมันเครื่องเป็นโคลน และเครื่องยนต์น็อกได้ค่ะ

 

5. เครื่องยนต์กระตุก เดินสะดุดไม่เรียบ

กรณีที่เครื่องยต์กระตุก หรือเกิดอาการสะอึกนั้น อาจมีหลายสาเหตุด้วยกัน สำหรับรถรุ่นเก่าที่เครื่องยนต์ใช้คาบูเรเตอร์ อาจเกิดจากการไม่สัมพันธ์กันระหว่างน้ำมันและการจูนอากาศ หรือปลั๊กไฟบริเวณหัวเทียนหลวม หัวเทียนอาจจะบอดหรือเสียก็ได้ค่ะ  นอกจากนี้ตัวกรองอากาศอาจจะมีสิ่งสกปรกอุดตัน หรือแม้กระทั่งน้ำมันที่เติมไม่มีคุณภาพพอค่ะ

จากสัญญาณทั้ง 5 อย่างที่เราแนะนำมาในวันนี้ ก็เป็นสิ่งที่หนึ่งที่ช่วยเตือนเพื่อนๆให้ถึงเวลานำรถเข้าศูนย์ หรือไปซ่อมกับช่างที่ไว้ใจได้ก่อนค่ะ และหากประเมินแล้วว่า ค่าซ่อมดูจะหนักหนาสาหัสมากกว่าจนดูเหมือนไม่คุ้ม การอัพเกรดรถหรือซื้อรถใหม่ก็อาจเป็นอีกทางหนึ่งที่น่าสนใจกว่าค่ะ

ขอบคุณข้อมูลจาก GoBear

frankxcarro

ก่อนตัดสินใจซื้อประกันรถออนไลน์ ต้องเช็กสิ่งเหล่านี้ก่อน!

กับการใช้ชีวิตยุคนี้สมัยนี้สมาร์ทโฟนและสื่อดิจิทัลเป็นสิ่งที่สำคัญกับชีวิตเลยล่ะ ด้วยวิถีชีวิตที่เปลี่ยนไปอย่างเห็นได้ชัด เช่น การซื้อของออนไลน์ส่งถึงบ้าน และการซื้อประกันออนไลน์ที่อ่านกรมธรรม์ธรรม์ผ่านหน้าจอ และซื้อทันทีผ่านปลายนิ้วสัมผัส

โดยเฉพาะวันนี้ที่มีโบรกเกอร์ประกันภัยมากมายหลายแบรนด์ผุดเป็นดอกเห็ด การเลือกซื้อประกันดี ๆ สักกรมธรรม์ในยุค InsurTech ป็อปปูล่าเช่นนี้ เราควรพิจารณาเลือกซื้อประกันออนไลน์จากอะไรกันนะ ?

1. ดูจากความน่าเชื่อถือเป็นหลัก

เมื่อการซื้อประกันออนไลน์ไม่ใช่เรื่องน่ากลัว แต่ใกล้ตัวกว่าที่คิด ด้วยข้อดีเพราะไม่ยุ่งยากสะดวกสบาย ช่วยประหยัดเวลา สามารถซื้อได้ทันทีไม่ต้องออกจากบ้าน  หากคุณกำลังมองหาประกันรถยนต์ ประกันรถมอเตอร์ไซค์ ประกันการเดินทาง ประกันอุบัติเหตุ หรือการซื้อประกันชีวิต คุณควรมองหาประกันออนไลน์ที่มีความน่าเชื่อถือเป็นหลักครับ

แล้วจะรู้ได้ไงว่าเว็บไซต์นั้นน่าเชื่อถือ ?

สังเกตง่าย ๆ เลยบนเว็บไซต์ประกันออนไลน์นั้น ๆ จะแสดงเลขที่ใบอนุญาตตัวแทนนายหน้าประกันวินาศภัยจากสำนักงานคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย (ค.ป.ภ.) ตามพระราชบัญญัติประกันวินาศภัย พ.ศ. 2535 ให้ชัดเจน (OIC license for non-life insurance registration number) เพราะเป็นเครื่องหมายการันตีให้ชัดเจนว่าน่าเชื่อถือ มีการการันตีจากหน่วยงานภาครัฐเป็นหลัก  ยกตัวอย่างเว็บไซต์ Frank.co.th ที่ระบุไว้อย่างชัดเจนบนหน้าเว็บไซต์

“OIC license for non-life insurance registration number : 00017/2559” ดังเช่นในภาพ

สิ่งที่ต้องมองหาก่อนซื้อประกันออนไลน์ผ่านโบรกเกอร์02

2. เว็บไซต์ต้องมีรายละเอียดครบครัน ไม่มีประวัติเสีย

ความครบเครื่อง ครบครัน !! เว็บไซต์ประกันออนไลน์นั้น ๆ จะต้องบอกเล่ารายละเอียด เงื่อนไขให้ครบถ้วน เข้าใจง่ายไม่มีหมกเม็ดและต้องเคลมง่ายด้วยครับ เช่น ประกันรถยนต์ Frank.co.th ที่บอกเล่าความคุ้มครองประกันชั้น 1 ประกันชั้น 2+ ประกันชั้น 2 และประกันชั้น 3 อย่างละเอียดถี่ถ้วน และอย่าลืมเช็กประวัติของเว็บไซต์บริการประกันออนไลน์นั้น ๆ ด้วยนะ สามารถเสิร์ซหาง่าย ๆ จาก Google เพื่อดูว่า บริษัทฯ นั้น ๆ ให้บริการเป็นอย่างไร ดูแลลูกค้าดีแค่ไหน มีประวัติเสียมาก่อนหน้านี้หรือไม่ การเช็กรีวิวจากลูกค้าด้วยกันจะช่วยให้คุณตัดสินใจได้เป็นอย่างดีครับ

3. ใส่ใจบริการหลังการขาย

ซื้อประกันออนไลน์จะให้ดีจะต้องมีบริการหลังการขายที่ครบครัน จริง ๆ แล้วการซื้อประกันคือการซื้อความคุ้มครองในการใช้ชีวิตประจำวัน ดังนั้น ควรมีช่องทางการโทร หรือติดต่อง่ายดาย รวมทั้งบริการในช่องทางอื่น ๆ ที่ดูแลด้วยใจจริง เช่น เมื่อเราต้องการคำตอบ แชทเข้าไลน์แอด (Line@) ทางบริษัทฯ ประกันนั้น ๆ ก็ตอบได้อย่างรวดเร็วทันที ช่วยเหลือทันการตรงนี้เป็นสิ่งที่ต้องพิจารณา

4. ต้องมีสิทธิพิเศษสำหรับลูกค้า

ความดีงามของการซื้อประกันออนไลน์ คุณจะได้รับราคาที่คุ้มค่า การคุ้มครองที่มาพร้อมกับสิทธิพิเศษที่ได้รับมาด้วย เป็นสิ่งที่คุณต้องพิจารณาด้วยเช่นกัน เช่น ส่วนลด ของแถม หรือบริการอื่น ๆ เพิ่มเติม ยกตัวอย่างให้เห็นภาพชัด ๆ จากบริการ Frank.co.th ที่มีสิทธิพิเศษ Penguin Privileges มอบดีลพิเศษให้เสมอ และทั้งหมดนี้ก็เป็นทริคการเลือกประกันออนไลน์แบบคร่าว ๆ ที่นำมาเล่าสู่กันฟัง เพื่อประกอบการตัดสินใจซื้อประกันให้ง่ายขึ้นนั้นเองล่ะ

 

ขอบคุณข้อมูลจาก frank.co.th

 

ยางรถยนต์

หากรถยนต์ของคุณถึงเวลาที่ต้องเปลี่ยนยางรถใหม่
แต่..หากต้องเปลี่ยนพร้อมกัน 4 เส้น อาจเป็นเรื่องใหญ่ที่ต้องคิดกันหนักทีเดียว

วันนี้ คาร์โร มีเคล็ดลับให้ประหยัดเรื่องการเปลี่ยนยางซึ่งการเปลี่ยนยางที่เหมาะสมจำเป็นต้องเปลี่ยนอย่างน้อย 2 เส้น หรือทีละคู่ และแน่นอนคำถามต่อมาของหลายๆ คน คือ ยางรถยนต์ใหม่ที่ซื้อมาเราควรต้องใส่ไว้ด้านหน้าหรือด้านหลังดี

ซึ่งหลายคนก็ยังมีความเชื่อว่าควรต้องนำยางเส้นใหม่มาไว้ที่ด้านหน้าเสมอ เพราะเหตุผลที่ว่าเวลาเบรกจะไม่ลื่นไถล แต่เมื่อเราวิเคราะห์ตามหลักวิทยาศาสตร์แล้ว ยางรถยนต์ใหม่ต้องใส่ไว้ที่ล้อคู่หลังเสมอ

เพราะว่าเวลาที่เราเหยียบเบรก น้ำหนักจะถ่ายเทไปด้านหน้า ทำให้ล้อคู่หน้ามีแรงกดเพิ่มขึ้น และช่วยให้ยางยึดเกาะถนนมากขึ้น เพราะน้ำหนักที่มากขึ้นจะทำให้ยางเสียดสีและบดไปกับพื้นถนน

ยางรถยนต์ ล้อหลัง

ส่วนล้อหลัง แรงที่ถ่ายเทไปข้างหน้าจะทำให้ท้ายรถยกตัวขึ้น ล้อหลังจะลอยขึ้นจากพื้น ทำให้การยึดเกาะถนนน้อยลง เมื่อเวลาที่เราเหยียบเบรกแรงๆ ก็จะเกิดอาการหน้าทิ่มท้ายยก จึงทำให้ประสิทธิภาพการยืดเกาะถนนลดลง

ดังนั้น ล้อหลังจึงจำเป็น และต้องการการยึดเกาะถนนมากกว่า เพราะไม่มีน้ำหนักของเครื่องยนต์มาช่วยกดทับให้หน้ายางสัมผัสกับพื้นผิวถนน

ฉะนั้น แล้วเราควรใส่ยางรถยนต์ใหม่ไว้ที่ล้อคู่หลังดีที่สุด ซึ่งยางรถยนต์ใหม่จะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการยึดเกาะถนนได้ดีกว่า ช่วยลดปัญหาเรื่องอาการท้ายปัด หรือล้อหลังล็อคไว้ดีเป็นอย่างดี รวมไปถึงกรณีในการเข้าโค้งแรงๆ ยางรถยนต์ใหม่ก็จะช่วยให้ล้อหลังมีการยึดเกาะที่ดีขึ้นอีกด้วย และสามารถช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการยึดเกาะถนนได้ดีและช่วยลดอุบัติเหตุ

ยางรถยนต์

หลังจากเมื่อเราเปลี่ยนยางรถยนต์ใหม่แล้ว เราก็ควรตรวจเช็กสภาพของยาง แรงดันลมยาง ( อยากรู้เรื่องลมยางรถยนต์ อ่านต่อ คลิก > https://th.carro.co/blog/tire-pressure/) และเช็กความผิดปกติของยาง และแก้มยาง (อยากรู้สัญลักษณ์ต่างๆ บนแก้มยางคืออะไร? อ่านต่อ คลิก > https://th.carro.co/blog/symbol-in-tire/) ไม่ว่าจะเป็นยางแบน หรือยางมีรอยรั่ว เพื่อความปลอดภัยของตัวคุณเอง และเพื่อนร่วมทางอีกด้วยค่ะ

ขอบคุณข้อมูลจาก : Drivermate