Carro-Prevent-Covid-19-With-BMTA-2021

การแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 (COVID-19) ในขณะนี้ นอกจากจะส่งผลกระทบนอกต่อบุคคลทั่วไปแล้ว ยังส่งผลต่อผู้ที่ต้องเดินทางด้วยระบบขนส่งมวลชน ที่จัดว่าอยู่ในกลุ่มเสี่ยงสูงกว่าบุคคลทั่วไป ที่เดินทางโดยรถยนต์ส่วนตัวอย่างมาก

Carro-Prevent-Covid-19-With-BMTA-2021

Carro-Prevent-Covid-19-With-BMTA-2021

“CARRO” หรือ “คาร์โร” สตาร์ทอัพด้านตลาดรถยนต์จากประเทศสิงคโปร์ จึงขอเป็นส่วนหนึ่งในการช่วยเหลือสังคม ส่งมอบความปรารถนาดี ช่วยเหลือคนไทย ผ่านแคมเปญ “อาสาดูแลรถขนส่งสาธารณะ พ่นน้ำยาฆ่าเชื้อ ลดความเสี่ยงโควิด-19” ขององค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ พ่นน้ำยาฆ่าเชื้อ ลดความเสี่ยง COVID-19 ในปีที่สอง ณ อู่พระราม 9 เมื่อวันที่ 28 มกราคม ที่ผ่านมา

Carro-Prevent-Covid-19-With-BMTA-2021

Carro-Prevent-Covid-19-With-BMTA-2021

Carro-Prevent-Covid-19-With-BMTA-2021

Carro-Prevent-Covid-19-With-BMTA-2021

หากช่วงนี้ใครต้องการซื้อรถมือสองคุณภาพเยี่ยม ผ่านการตรวจสภาพได้มาตรฐาน รับประกันพร้อมโอนทุกคัน หรือหารถมือสองรุ่นที่ต้องการ สามารถเข้ามาดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ CARRO Automall > https://th.carro.co/buy-car หรือโทร. 02-508-8690 หรือจะ Inbox มาสอบถามก็ได้เช่นกัน ที่ Facebook CARRO Automall – รถบ้านมือสอง ถ้าสะดวก Add Line ก็ที่ @carroautomall

Carro-Prevent-Covid-19-With-BMTA-2021

ส่วนใครที่อยากขายรถ หรือมีเพื่อนฝูงกำลังหาที่ขายรถอยู่ CARRO เรารับซื้อรถของคุณ สามารถเข้าไปเช็กราคา ตีราคาขายรถก่อนได้ โดยใส่ข้อมูลรถของคุณที่นี่เลย กับ CARRO Express > https://th.carro.co/sell-car/express หรือโทร. 02-508-8425

หรือใครจะ Inbox มาสอบถามก็ได้เช่นกัน ที่ Facebook CARRO Thailand หรือสะดวก Add Line ก็ที่ @Carrothai หรือคลิกที่นี่ครับ —> เพิ่มเพื่อน

Taximeter-Extended-Lifetime

กรมการขนส่งทางบก รับลูก ครม. อนุมัติขยายอายุการใช้งานรถแท็กซี่จากเดิม 9 ปี เป็น 12 ปี โดยต้องเป็นรถที่จดทะเบียน “ภายในวันที่ 31 ธันวาคม 2563” และผ่านการตรวจสภาพตามเกณฑ์ที่กำหนด มีความมั่นคง แข็งแรง ปลอดภัยต่อการให้บริการ

ที่สำคัญ ต้องผ่านเกณฑ์การตรวจสภาพ ที่กรมการขนส่งทางบก และกรมควบคุมมลพิษร่วมกันกำหนดขึ้น เพื่อให้มีมาตรฐานสมรรถนะ ความมั่นคงแข็งแรง และความปลอดภัยในการใช้งาน มีคุณภาพและความเรียบร้อยในการรับจ้างจนสิ้นอายุการใช้งาน

ทั้งนี้ รถแท็กซี่ที่ได้รับการขยายอายุการใช้งานต้องผ่านการตรวจสภาพและเกณฑ์การวินิจฉัยการตรวจสภาพรถตามกฎหมายว่าด้วยรถยนต์ พ.ศ. 2555 และที่แก้ไขเพิ่มเติม และระเบียนกรมการขนส่งทางบกว่าด้วยการตรวจสภาพรถยนต์รับจ้างบรรทุกผู้โดยสารไม่เกินเจ็ดคนเพื่อขยายอายุการใช้งานจาก 9 ปี เป็น 12 ปี ในปี 2564 จะมีรายการที่ต้องตรวจสภาพเพิ่มเติม ดังนี้

1. ตรวจก๊าซคาร์บอนมอนอกไซด์และก๊าซไฮโดรคาร์บอนจากท่อไอเสีย โดยใช้เครื่องวิเคราะห์ก๊าซในขณะที่เครื่องยนต์อยู่ในรอบเดินเบาและไม่มีภาระ และให้ตรวจทุกชนิดเชื้อเพลิงในกรณีมีการใช้เชื้อเพลิงมากกว่า 1 ชนิด โดยค่าก๊าซคาร์บอนมอนอกไซด์ต้องไม่เกินร้อยละ 0.5 โดยปริมาตร และค่าก๊าซไฮโดรคาร์บอนต้องไม่เกิน 100 ส่วนในล้านส่วน

2. โครงสร้างและตัวถังรถ ต้องมีความมั่นคงแข็งแรงสามารถรองรับการทำงานของรถขณะมีน้ำหนักเต็มอัตราบรรทุกได้ในทุกสภาพการใช้งาน ไม่ชำรุด ผุกร่อน จนมีผลกระทบต่อความมั่นคงแข็งแรงของรถ เป็นต้น

3. ประตูและพื้นรถ ต้องไม่ชำรุด ผุกร่อน จนมีผลกระทบต่อความมั่นคงแข็งแรงของรถและความปลอดภัยในการใช้งาน สะอาด ไม่มีคราบเปื้อน คราบสกปรก หรือขยะ

4. ที่นั่งผู้ขับรถ ที่นั่งคนโดยสารและพนักพิงศีรษะ ไม่ชำรุดทรุดโทรมหรือเสียหาย ที่นั่งต้องยึดติดกับโครงสร้างรถและตัวถังรถอย่างมั่นคงแข็งแรง

5. ตรวจเข็มขัดนิรภัยและจุดยึดเข็มขัดนิรภัย รวมถึงตรวจการล็อกและปลดล็อกของเข็มขัดนิรภัยโดยการกระตุกหรือกระชากต้องทำได้อย่างมีประสิทธิภาพ

6. สีรถ ภายนอกตัวรถ ไม่มีรอยแตกร้าว รอยด่าง คราบสนิม หรือรอยหลุดลอกชำรุดจำนวนมากหรือขนาดใหญ่ และสีรถถูกต้องตามเอกสารหลักฐานหรือเป็นไปตามเงื่อนไขที่ทางราชการกำหนด

7. เครื่องปรับอากาศ ทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพสามารถปรับอากาศภายในรถและภายในห้องโดยสารได้ที่อุณหภูมิต่ำกว่า 25 องศาเซลเซียส ปรับทิศทางและแรงลมได้ ไม่มีน้ำรั่วซึมออกจากระบบปรับอากาศภายในรถหรือภายในห้องโดยสาร ไม่มีเสียงดังรบกวน มีกลิ่นเหม็น หรือกลิ่นอับชื้น

8. ที่เก็บสัมภาระท้ายรถสำหรับผู้โดยสารต้องมีสภาพดี ไม่ชำรุดหรือเสียหาย ผนังทุกด้านปิดทึบมั่นคงแข็งแรงและถาวร รวมถึงมีความสะอาด เรียบร้อย ไม่มีสิ่งของที่จะเป็นอุปสรรคในการวางสัมภาระของผู้โดยสาร

https://dlt.go.th/web-upload/m_news/172/2810/file_photo/a96a53a8d171efa4a5f342fc8cb2109f.jpg

เจ้าของรถที่มีความประสงค์จะขยายอายุการใช้งานรถแท็กซี่สามารถติดต่อได้ที่สำนักงานการขนส่งผู้โดยสาร กรมการขนส่งทางบก ส่วนรถที่จดทะเบียนต่างจังหวัดยื่นความประสงค์ได้ที่กลุ่มวิชาการ สำนักงานขนส่งแต่ละจังหวัด

หลักฐานประกอบการดำเนินการ ได้แก่ใบคู่มือจดทะเบียนหรือภาพถ่าย หลักฐานประจำตัวเจ้าของรถ ใบอนุญาตขับรถสาธารณะหรือใบอนุญาตขับรถตามกฎหมายในประเภทที่ใช้แทนกันได้ที่ยังไม่สิ้นอายุ หลักฐานการจัดให้มีประกันภัยคุ้มครองบุคคลที่ 3 และประกันภัยเพิ่มเติมที่ให้การคุ้มครองความเสียหายต่อชีวิต ร่างกาย หรืออนามัย ในวงเงินไม่ต่ำกว่า 50,000 บาท สำหรับการชดใช้ค่าเสียหายต่อคนในแต่ละครั้ง และความเสียหายต่อทรัพย์สินในวงเงินไม่ต่ำกว่า 200,000 บาท สำหรับการชดใช้ค่าเสียหายในแต่ละครั้ง

รถแท็กซี่ที่ได้รับการขยายอายุการใช้งานจาก 9 ปี เป็น 12 ปี จะต้องเข้ารับการตรวจสภาพระหว่างการใช้งานปีละ 4 ครั้ง เพื่อให้รถมีสภาพมั่นคงแข็งแรงและปลอดภัยเพียงต่อการให้บริการ

นอกจากนี้ ยังมีการกำหนดให้ใช้โทรศัพท์เคลื่อนที่แบบรายเดือนแทนการใช้วิทยุสื่อสารได้ โดยต้องแสดงหมายเลขโทรศัพท์ไว้ภายในห้องโดยสารที่ผู้โดยสารสามารถมองเห็นได้อย่างชัดเจน และบริเวณประตูตอนหลังด้านนอกทั้งสองด้าน และด้านบนของกระจกบังลมหน้ารถด้วย

แหล่งที่มา :

10-EV-Cars-Built-In-USA-Joe-Biden

Joe Biden (โจ ไบเดน) ประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกาคนที่ 46 ที่เพิ่งเข้ารับตำแหน่งอย่างเป็นทางการเมื่อวันที่ 20 มกราคม ก็เริ่มทำงานเพื่อประเทศชาติทันที เริ่มตั้งแต่การสะสางปัญหา ที่อดีตประธานาธิบดีสหรัฐฯ คนที่แล้วอย่าง Donald Trump (โดนัลด์ ทรัมป์) สร้างเอาไว้กับชาวโลก รวมถึงเดินหน้าทำตามนโยบายที่หาเสียงไว้ล่วงหน้าทันที ซึ่งหนึ่งในนั้นคือ Green Economy หรือเศรษฐกิจพลังงานสะอาด

เมื่อวันที่ 25 มกราคมที่ผ่าน โจ ไบเดน ได้ประกาศต่อสื่อว่า มีแพลนที่จะเปลี่ยนรถยนต์ของหน่วยงานรัฐบาลกลางทั้งหมด เป็นรถยนต์ไฟฟ้า ที่ผลิตในสหรัฐอเมริกาด้วยแรงงานของคนอเมริกันเท่านั้น นี่ถือเป็นนโยบายใหม่ที่อยู่ภายใต้แผน Buy American ที่เป็นคำสั่งของประธานาธิบดีโดยตรง (Executive Order) เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจของประเทศ

 

การประกาศของไบเดนในครั้งนี้ ทาง The Verge สื่อของสหรัฐฯ ถือว่าเป็นข่าวดีของค่ายรถยนต์ผู้ผลิตรถยนต์ไฟฟ้าในประเทศ อย่าง Tesla, Rivian และ Lordstown รวมถึงค่ายรถยักษ์ใหญ่อย่าง Ford และ General Motors (GM) ที่กำลังลงทุนพัฒนารถยนต์ไฟฟ้าในตอนนี้

เรามาดูกันว่า 10 รถยนต์ไฟฟ้าผลิตใน USA ที่คนอเมริกัน และ โจ ไบเดน ประธานาธิบดีสหรัฐฯ ถูกใจ จะมีรุ่นไหนบ้าง …..

Chevrolet-Bolt-EV-2021

1. Chevrolet Bolt EV

Chevrolet Bolt EV (เชฟโรเลต โบลท์ อีวี) รถแฮทช์แบค Sub-Compact พลังงานไฟฟ้ารุ่นแรกของ Chevrolet ที่พัฒนามาจากรถต้นแบบในปี 2015 ก่อนจะขายจริงในปี 2016

ก่อนจะปรับโฉมเนอร์เชนจ์ในปีที่ผ่านมา ในราคาที่เป็นเจ้าของได้ที่ 37,495 ดอลล่าร์สหรัฐฯ ในเริ่มต้นอย่างรุ่น LT ซึ่งทางรัฐบาลสหรัฐฯ ช่วยอุดหนุนเพิ่มเติม ราคาของรถจึงลงมาอยู่ที่ 30,000 ดอลล่าร์สหรัฐฯ และ 41,895 ดอลล่าร์สหรัฐฯ ในรุ่น Top อย่าง Premier

สำหรับรุ่นไมเนอร์เชนจ์นี้ ชุดแบตเตอรี่ ทาง LG Chem ซึ่งเป็นผู้ผลิตให้ GM ได้เปลี่ยนส่วนผสมทางเคมีในเซลล์แบตเตอรี่ให้ความหนาแน่นของประจุไฟฟ้ามากขึ้น จึงเพิ่มระยะทางการขับได้อีก 10% เป็น 417 กิโลเมตร ต่อการชาร์จเต็มหนึ่งครั้ง หรือระยะทางเพิ่มขึ้นจากเดิมประมาณ 34 กม. ซึ่งตัวเลขนี้คิดจากใช้งานจริงตามมาตรฐาน EPA ส่วนการชาร์จปกติ ใช้เวลาในการชาร์จประมาณ 9 ชั่วโมง แต่ถ้าชาร์จผ่านสถานีชาร์จ DC Fast ใช้เวลาชาร์จ 30 นาที สามารถให้ระยะทางวิ่งได้มากถึง 145 กิโลเมตร

สำหรับ Chevrolet Bolt EV ติดตั้งมอเตอร์ไฟฟ้าที่ให้กำลังสูงสุด 200 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 266 นิวตัน-เมตร ทำอัตราเร่ง 0-60 กม./ชม. ได้ในเวลา 7.9 วินาที

Tesla-Model-3

2. Tesla Model 3

Tesla Model 3 (เทสลา โมเดล 3) รถยนต์ไฟฟ้าที่ขายดีที่สุดในโลก แบบ Compact Car รุ่นปรับปรุงใหม่ในปี 2021 เพิ่มสมรรถนะโดยรวมของตัวรถ กับระยะทางวิ่งตั้งแต่ 20 – 50 กิโลเมตร ต่อการชาร์จเต็มหนึ่งครั้งในแต่ละรุ่นย่อย ทั้งรุ่น Standard Range Plus, Long Range และ Performance

ขุมพลัง มีให้เลือกทั้งแบบ Single Motor และ Dual Motor ขับเคลื่อนล้อหลัง และแบบ AWD ในรุ่น Dual Motor มอเตอร์ไฟฟ้าให้กำลังสูงสุด 283 แรงม้า พร้อมแบตเตอรี่ที่มีให้เลือกทั้งแบบขนาด 54 kWh (รุ่น Standard Range Plus), 62 kWh (รุ่น Performance) และ 75 kWh (รุ่น Long Range)

ให้อัตราเร่ง 0-96 กม./ชม. ใน 5.3 วินาที (Single Motor) และ 4.4 วินาที (Dual Motor) ทำความเร็วได้สูงสุด 225 กม./ชม. (Single Motor) และ 233 กม./ชม. (Dual Motor) ให้ระยะทางวิ่ง 423 กิโลเมตร (Single Motor), 569 กิโลเมตร (Dual Motor) (เพิ่มขึ้นจากเดิม 50 กิโลเมตร) และรุ่น Top สุด 507 กิโลเมตร (Dual Motor) (เพิ่มขึ้นจากเดิม 26 กิโลเมตร) ต่อการชาร์จหนึ่งครั้ง (คำนวณตามมาตรฐาน EPA) โดยใช้เวลาชาร์จประมาณ 6 – 6.5 ชั่วโมง

Tesla-Model-S-Plaid-2021

3. Tesla Model S Plaid

Tesla Model S (เทสล่า โมเดล เอส) เป็นรถยนต์ไฟฟ้าของ Tesla ที่เปิดตัวมานานแล้วเหมือนกัน นับตั้งแต่วันที่ 23 มิถุนายน 2555 แต่ก็มีการปรับปรุงอะไรมาโดยตลอด และล่าสุดทาง Elon Musk (อีลอน มัสก์) ได้ประกาศแล้วว่าจะสร้าง Tesla Model S Plaid รุ่นใหม่ และสามารถเล่นเกม Cyberpunk 2077 ในรถได้ด้วย ออกจำหน่ายในเดือนมีนาคมนี้

ขุมพลังของ Tesla Model S Plaid บอกเลยว่าไม่ธรรมดา! มาพร้อมแบตเตอรี่ขนาด 100 kWh กับมอเตอร์ไฟฟ้า 3 ตัว บนระบบขับเคลื่อนแบบ All-Wheel Drive ให้กำลังสูงสุด 1,020 แรงม้า ให้อัตราเร่ง 0-96 กม./ชม. ได้น้อยกว่า 2 วินาที! (ส่วน 0-100 กม./ชม. อยู่ที่ 2.1 วินาที) ทำความเร็วได้สูงสุด 320 กม./ชม. ถือว่าเร็วกว่า Supercar หลายรุ่นทีเดียว! สามารถขับขี่ได้เป็นระยะทาง 627 – 836 กิโลเมตร

ราคาของ Tesla Model S Long Range อยู่ที่ 79,990 ดอลลาร์สหรัฐฯ, Model S Plaid อยู่ที่ 119,990 ดอลลาร์สหรัฐฯ ส่วน Model S Plaid+ อยู่ที่ 139,990 ดอลลาร์สหรัฐฯ

Tesla-Model-X-2021

4. Tesla Model X

Tesla Model X (เทสล่า โมเดล เอ็กซ์) รถ SUV หรูพลังงานไฟฟ้า แม้ว่าจะออกมาตั้งแต่ปี 2015 แล้ว แต่ก็ยังมีการปรับปรุงเล็กๆ น้อยๆ อยู่ตลอด ตัวรถออกแบบโดย Franz von Holzhausen

ขุมพลังเป็นแบบ Dual Motor ระบบขับเคลื่อนแบบ AWD ในรุ่น Long Range มอเตอร์ไฟฟ้าให้กำลังสูงสุด 335 แรงม้า ให้อัตราเร่ง 0-100 กม./ชม. ใน 3.9 วินาที ทำความเร็วได้สูงสุด 250 กม./ชม. และยังมีรุ่น Plaid ที่มาพร้อมมอเตอร์ไฟฟ้า 3 ตัว ให้กำลังสูงถึง 1,020 แรงม้า และอัตราเร่ง 0-100 กม./ชม. ใน 2.6 วินาที ทำความเร็วได้สูงสุด 262 กม./ชม. อีกด้วย!

มาพร้อมแบตเตอรี่ขนาด 100 kWh ให้ระยะทางวิ่ง 547 กิโลเมตร (Plaid) และ 580 กิโลเมตร (Long Range) ต่อการชาร์จหนึ่งครั้ง

Tesla-Model-Y-2021

5. Tesla Model Y

Tesla Model Y (เทสล่า โมเดล วาย) เป็นรถที่เข้ามาเติมเต็มความหมายของคำว่า S E X Y ตามแบบฉบับของ Elon Musk (แม้ว่ารุ่น E จะถูกเปลี่ยนชื่อเป็น Model 3 ไปก็ตาม) จัดให้เป็นรถในกลุ่ม CUV (Crossover Utility Vehicle) หรือ Crossover SUV ขนาด Compact 5+2 ที่นั่ง แบบเดียวกับ Tesla Model 3 แต่ยกสูงกว่า มีขอบซุ้มล้อสีดำ และเพิ่มออพชั่นเป็นเบาะแถว 3 ให้อีก 2 ที่นั่ง ในราคา 41,990 – 59,990 ดอลล่าร์สหรัฐฯ

ขุมพลัง มีให้เลือกทั้งแบบ Single Motor และ Dual Motor ขับเคลื่อนล้อหลัง และแบบ AWD ในรุ่น Dual Motor มอเตอร์ไฟฟ้าให้กำลังสูงสุด 283 แรงม้า พร้อมแบตเตอรี่ที่มีให้เลือกทั้งแบบขนาด 54 kWh (รุ่น Standard Range Plus), 62 kWh (รุ่น Performance) และ 75 kWh (รุ่น Long Range)

ให้อัตราเร่ง 0-96 กม./ชม. ใน 5.3 วินาที (Single Motor), 4.8 วินาที (Dual Motor – Long Range) และ 3.5 วินาที (Dual Motor – Perfomance) ทำความเร็วได้สูงสุด 193 – 209 กม./ชม. (Single Motor) และ 217 – 241 กม./ชม. (Dual Motor) ให้ระยะทางวิ่ง 370 – 482 กิโลเมตร (Single Motor), 450 – 482 กิโลเมตร (Dual Motor) ต่อการชาร์จหนึ่งครั้ง (คำนวณตามมาตรฐาน EPA) โดยใช้เวลาชาร์จประมาณ 6 – 6.5 ชั่วโมง

Ford-Mustang-Mach-E-2021

6. Ford Mustang Mach E

Ford Mustang Mach-E (ฟอร์ด มัสแตง มาร์ช อี) รถ Crossover SUV ขนาด Compact ใช้พลังงานไฟฟ้า ที่หวนนำชื่อรุ่น และชื่อเสียงของรถสปอร์ตรุ่นดังของ Ford อย่าง Mustang (มัสแตง) มาใช้ในรถยนต์ไฟฟ้า แม้ว่าแฟนๆ มัสแตงพันธุ์แท้ อาจไม่ถูกใจสิ่งนี้ก็ตาม แต่จากยอดจองหลายหมื่นคัน ก็สามารถพิสูจน์ได้เหมือนกันว่า ชื่อ Mustang นี้มีผลจริงๆ … ในราคา 42,895 – 60,500 ดอลล่าร์สหรัฐฯ

การออกแบบภายนอก ยังคงเอกลักษณ์ครบถ้วนแบบใน Mustang รุ่นต้นตำหรับ โดยเฉพาะชุดไฟท้ายทรงตั้ง 3 ช่อง ตัวรถพัฒนาขึ้นบนแพลทฟอร์มใหม่ GE2 (Global Electrified 2) ส่วนภายในห้องโดยสาร ดูล่ำยุค แต่จอ Tablet ขนาด 15.5 นิ้ว บริเวณคอนโซลกลาง ดูใหญ่จนน่ารำคาญไปหน่อย แต่ก็ง่ายต่อการใช้งาน

ขุมพลัง มีทั้งรุ่นขับหลัง และรุ่นขับสี่ล้อ All Wheel Drive ใช้มอเตอร์ไฟฟ้าขนาดเริ่มต้นในรุ่น Select ให้กำลังสูงสุด 255 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 320 นิวตัน-เมตร ชาร์จเต็มหนึ่งครั้ง ให้ระยะทางวิ่งได้ 370 – 388 กิโลเมตร

ในรุ่น Premium ให้กำลังสูงสุด 281 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 320 นิวตัน-เมตร ชาร์จเต็มหนึ่งครั้ง ให้ระยะทางวิ่งได้ 483 กิโลเมตร, ในรุ่น Premium AWD ให้กำลังสูงสุด 333 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 563 นิวตัน-เมตร ชาร์จเต็มหนึ่งครั้ง ให้ระยะทางวิ่งได้ 435 กิโลเมตร

และรุ่น Top สุด อย่าง Mach E GT ให้กำลังสูงสุด 459 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 828 นิวตัน-เมตร ชาร์จเต็มหนึ่งครั้ง ให้ระยะทางวิ่งได้ 378 กิโลเมตร กับอัตราเร่ง 0-96 กม./ชม. ที่ 3.8 วินาที!

ติดตั้งแบตเตอรี่แบบลิเธียมไอออนความจุ 75.7 kWh, 98.8 kWh รองรับการชาร์จด่วนจนถึงระดับ 80% ได้ในเวลา 38 นาที

Nissan-Leaf-USA-2021

7. Nissan Leaf

Nissan Leaf (นิสสัน ลีฟ) “Simply Amazing” เป็นรถยนต์ไฟฟ้าขายดีที่สุดรุ่นหนึ่งของโลก ขับเคลื่อนด้วยพลังงานไฟฟ้า “100%” และมีอัตราการปล่อยมลพิษเป็น “0” และถือเป็นรถค่ายญี่ปุ่นเจ้าแรก ที่ผลิตรถยนต์ไฟฟ้าจำหน่ายอย่างเป็นทางการในสหรัฐฯ ซึ่งผลิตในที่โรงงานในเมือง Smyrna รัฐ Tennessee มีราคาอยู่ที่ 31,620 – 43,920 ดอลล่าร์สหรัฐฯ

Nissan Leaf ติดตั้งมอเตอร์ไฟฟ้าที่ให้กำลังสูงสุด 150 แรงม้า (PS) แรงบิดสูงสุด 320 นิวตัน-เมตร สามารถขับขี่ได้เป็นระยะทาง 239 กิโลเมตร ต่อการชาร์จหนึ่งครั้ง และรุ่นพลังแรง Plus ให้กำลังสูงสุด 214 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 338 นิวตัน-เมตร สามารถขับขี่ได้เป็นระยะทาง 346 – 363 กิโลเมตร

ติดตั้งแบตเตอรี่แบบลิเธียมไอออนความจุ 40 kWh สามารถชาร์จด้วยกำลังไฟขนาด 3.6 kW ได้ในเวลา 12 ชั่วโมง และกำลังไฟขนาด 6.6 kW ในเวลา 6 ชั่วโมง รองรับการชาร์จด่วนจนถึงระดับ 80% ได้ในเวลา 40 นาที และขนาดความจุ 62 kWh เป็นต้น

GMC-Hummer-EV-2022

8. GMC Hummer EV

GMC Hummer EV (จีเอ็มซี ฮัมเมอร์ อีวี) การกลับมาครั้งใหม่ สร้างเสียงฮือฮาสำหรับคนชอบรถ Off-Road ได้พอสมควร แม้ว่าจะมาในฐานะแบรนด์ย่อยของ GMC ก็ตาม ตัวรถยังคงเหมือนรุ่นดั้งเดิม เรียบง่ายแต่ทันสมัย ส่วนห้องโดยสารภายใน ออกแบบได้ล้ำยุค แต่ก็ยังคงความเหลี่ยมอันเป็นเอกลัษณ์ของ Hummer ไว้ครบถ้วน โดยมีราคาเริ่มต้นที่ 112,595 ดอลลาร์สหรัฐฯ

สำหรับจุดเด่นอย่างหนึ่งของรถรุ่นนี้ คือระบบ Hummer’s UltraVision ติดตั้งกล้องไว้รอบคันรถถึง 18 มุมมอง มีตั้งแต่ “ตัวตรวจจับเสมือน” ไปจนถึงกล้องใต้ท้องเครื่องยนต์ เพื่อช่วยหลบหลีกสิ่งกีดขวาง

ขุมพลังใช้มอเตอร์ไฟฟ้าสามตัว ให้กำลังรวมประมาณ 1,000 แรงม้า และแรงบิดประมาณ 15,591 นิวตัน-เมตร ขับเคลื่อนสี่ล้อ ส่วนอัตราเร่งจาก 0-96 กม./ชม. ในเวลาประมาณ 3 วินาที เมื่อใช้ระบบ Launch Control “Watts to Freedom” สามารถขับขี่ได้เป็นระยะทาง 563 กิโลเมตร เมื่อชาร์จเต็มหนึ่งครั้ง

Rivian-R1T-2021

9. Rivian R1T

Rivian R1T (ริเวียน อาร์ 1 ที) จัดเป็นค่ายรถยนต์ไฟฟ้าน้องใหม่ที่เพิ่งก่อตั้งได้ไม่นาน จัดเป็นรถกระบะพลังงานไฟฟ้าคันแรกของโลก ที่ได้รับการพูดถึงมากสุดในอเมริกาทีเดียว ตัวรถภายนอกดูเรียบง่าย แต่โดดเด่นด้วยชุดไฟหน้าแบบ Stadium ซึ่งเป็น Design Language ของริเวียนต่อไปทุกรุ่นในอนาคต ซึ่ง Rivian R1T มีแพลนจำหน่ายอย่างเป็นทางการช่วงกลางปีนี้ ในราคาเริ่มต้น 75,000 ดอลล่าร์สหรัฐฯ

ส่วนห้องโดยสารภายใน คงความทันสมัยและแฝงความคลาสสิกอย่างไม้เข้าไปด้วย เน้นความทนทาน ทำความสะอาดง่าย มาตรวัดบริเวณหน้าปัดขนาดใหญ่ 12.3 นิ้ว และจอบอกข้อมูลรถยนต์ขนาด 15.6 นิ้ว ใหญ่สะใจ

ขุมพลังใช้มอเตอร์ไฟฟ้าสี่ตัว ขับเคลื่อนแบบ All-Wheel Drive ให้กำลังตัวละ 197 แรงม้า X 4 พร้อมแบตเตอรี่แบบลิเธียมไอออนความจุ 105 kWh ให้กำลังสูงสุด 402 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 699 นิวตัน-เมตร สามารถขับขี่ได้เป็นระยะทาง 370 กิโลเมตร เมื่อชาร์จเต็มหนึ่งครั้ง

และแบตเตอรี่ความจุ 135 kWh ให้กำลังสูงสุด 753 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 1398 นิวตัน-เมตร สามารถขับขี่ได้เป็นระยะทาง 482 กิโลเมตร เมื่อชาร์จเต็มหนึ่งครั้ง กับรุ่น Top สุด แบตเตอรี่ความจุ 180 kWh จำกัดกำลังสูงสุดไว้ที่ 700 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 1398 นิวตัน-เมตร สามารถขับขี่ได้เป็นระยะทาง 643 กิโลเมตร เมื่อชาร์จเต็มหนึ่งครั้ง ทุกรุ่นจำกัดความเร็วไว้ที่ 201 กม./ชม.

Lordstown-Endurance-2021

10. Lordstown Endurance

Lordstown Endurance (ลอร์ดทาวน์ เอ็นดูรานซ์) จากบริษัทสตาร์ทอัพหน้าใหม่ Lordstown Motors ที่ทำรถกระบะไฟฟ้าออกมาขาย หลังจากที่ระดมทุนมาได้มากพอสมควร ที่มาของชื่อแบรนด์ คือใช้โรงงานเก่าของ GM ในเมืองลอร์ดสทาวน์ รัฐ Ohio เป็นฐานการผลิต

รุ่นนี้ระบบขับเคลื่อนที่อาจต่างไปจากรถยนต์ไฟฟ้าค่ายอื่นหน่อย เพราะติดตั้งมอเตอร์ไฟฟ้าไว้ที่ล้อทั้ง 4 แบบ “In-Wheel Hub Motor” แทนการใช้มอเตอร์หมุนเพลา มีชิ้นส่วนน้อยลง บำรุงรักษาง่ายกว่า และยังคุมรถได้ดีขึ้นด้วย จากการใช้ระบบกระจายแรงบิดทั้ง 4 ล้อ

ตัวรถภายนอกดูเรียบง่าย เน้นความเปลี่ยมสัน แข็งแกร่ง มาในราคาเริ่มต้น 52,500 ดอลล่าร์สหรัฐฯ

ขุมพลังใช้มอเตอร์ไฟฟ้าสี่ตัว ขับเคลื่อนแบบ 4 Hub Electric Motors รวมกำลังได้สูงสุด 600 แรงม้า พร้อมแบตเตอรี่แบบลิเธียมไอออนความจุ 109 kWh สามารถขับขี่ได้เป็นระยะทาง 320 กิโลเมตร เมื่อชาร์จเต็มหนึ่งครั้ง ใช้เวลาในการชาร์จราว 10 ชั่วโมง องรับการชาร์จด่วนจนถึงระดับ 80% ได้ในเวลา 50 นาที – 1.50 ชั่วโมง และจำกัดความเร็วไว้ที่ 128 กม./ชม.

ส่วนถ้าใครอยากขายรถเพื่อนำเงินไปซื้อรถยนต์ไฟฟ้ามาใช้ ง่ายๆ เพียงขายรถคันเก่ากับ CARRO Express ได้เงินไว! เร็ว! พร้อมปิดการขายได้ทันที แค่คลิก https://th.carro.co/sell-car/express หรืออยากตีราคารถก่อน สามารถ Inbox สอบถามรายละเอียดได้ที่ Facebook CARRO Thailand

หรือจะ Add Line สอบถามรายละเอียดได้ที่ @Carrothai หรือคลิกที่นี่ —> เพิ่มเพื่อน

แหล่งที่มาบางส่วนจาก:

Thailand-Car-Sales-Volume-2021

บริษัท โตโยต้า มอเตอร์ ประเทศไทย จำกัด แถลงสถิติการจำหน่ายรถยนต์ปี 2563 พร้อมคาดการณ์ตลาดรถยนต์ไทยปี 2564

สำหรับยอดขายรถยนต์รวมในประเทศไทยปี 2563 ที่ผ่านมา อุตสาหกรรมยานยนต์ในประเทศได้รับผลกระทบอย่างมากจากสถานการณ์การระบาดของโรคโควิด-19 ส่งผลให้ยอดขายลดลง 21.4% โดยมียอดขายอยู่ที่ 792,146 คัน”

สถิติการขายรถยนต์ในประเทศปี 2563 ยอดขายปี 2563 เปลี่ยนแปลง

เทียบกับปี 2562

ปริมาณการขายรวม 792,146 คัน      -21.4%
รถยนต์นั่ง  274,789 คัน -31.0%
รถเพื่อการพาณิชย์ 517,357 คัน -15.1%
รถกระบะ 1 ตัน (รวมรถกระบะดัดแปลง) 409,463 คัน -16.8%
รถกระบะ 1 ตัน (ไม่รวมรถกระบะดัดแปลง) 364,887 คัน -15.5%

https://www.toyota.co.th/media/news/gallery/bffd17b5144496bbe2c0fad20ecf7d2ef525d20b.jpg

สำหรับแนวโน้มตลาดรถยนต์ของปี 2564 คาดการณ์ว่า ในปีนี้จะเป็นปีที่ท้าทายอีกครั้งสำหรับอุตสาหกรรมยานยนต์ของประเทศไทย เนื่องจากยังคงต้องเผชิญกับหลายปัจจัย จากสถานการณ์การระบาดของโรคโควิด-19 การพัฒนาวัคซีน และการเข้าถึงวัคซีนป้องกันโรคโควิด-19 รวมถึงแนวโน้มสภาวะเศรษฐกิจทั่วโลก และมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจจากภาครัฐ ทั้งหมดนี้จะส่งผลต่อทิศทางอุตสาหกรรมยานยนต์

นอกจากนี้ ความเคลื่อนไหวต่างๆ ในภาคอุตสาหกรรมยานยนต์ เช่น การออกผลิตภัณฑ์ใหม่ กิจกรรมทางการตลาด และกิจกรรมส่งเสริมการขายต่างๆ จะมีบทบาทสำคัญต่อการกระตุ้นยอดขายรถยนต์  ดังนั้น เมื่อพิจารณาปัจจัยต่างๆ เหล่านี้แล้ว จึงคาดการณ์ว่ายอดขายรถยนต์ในปี 2564 จะอยู่ที่ประมาณ 850,000 – 900,000 คัน เพิ่มขึ้น 7-14% เมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมา

ประมาณการยอดขายรถยนต์ในประเทศปี 2564 ยอดขาย

ประมาณการปี 2564

เปลี่ยนแปลง

เทียบกับปี 2563

ปริมาณการขายรวม 850,000 900,000 คัน     + 7-14%
รถยนต์นั่ง 290,000 318,000 คัน + 5-15%
รถเพื่อการพาณิชย์ 560,000 582,000 คัน + 8-13%

สำหรับยอดขายโตโยต้า ในปี 2563 ยอดขายรวมลดลง 26.5% หรือคิดเป็นจำนวน 244,316 คัน อย่างไรก็ตาม แต่ยังมีส่วนแบ่งทางการตลาดเป็นอันดับ 1 หรือเท่ากับ 30.8% ของยอดขายรถยนต์ทั้งหมด เนื่องจากมีการแนะนำรถยนต์รุ่นใหม่ๆ อย่าง Corolla Cross, Yaris ATIV, Fortuner Legender, Hilux Revo และ Innova Crysta ส่งผลให้โตโยต้าสามารถรักษาส่วนแบ่งทางการตลาดได้

สถิติการขายรถยนต์ของโตโยต้าในปี 2563 ยอดขายปี 2563 เปลี่ยนแปลง

เทียบกับปี 2562

ส่วนแบ่งตลาด
ปริมาณการขายโตโยต้า 244,316 คัน      -26.5% 30.8%
รถยนต์นั่ง  68,152 คัน -42.1% 24.8%
รถเพื่อการพาณิชย์ 176,164 คัน -17.9% 34.1%
รถกระบะ 1 ตัน (รวมรถกระบะดัดแปลง) 149,635 คัน -21.9% 36.5%
รถกระบะ 1 ตัน (ไม่รวมรถกระบะดัดแปลง) 129,893 คัน -21.5% 35.6%

สำหรับเป้าหมายของโตโยต้าในปี 2564 โตโยต้ามีเป้าหมายการขายอยู่ระหว่าง 280,000 – 300,000 คัน หรือคิดเป็นยอดขายที่เพิ่มขึ้น 15 – 23% จากปีที่ผ่านมา คิดเป็นส่วนแบ่งการตลาดที่ 33.3%

ปริมาณการขายรถยนต์ของโตโยต้าในปี 2564 ยอดขาย

ประมาณการปี 2564

เปลี่ยนแปลง

เทียบกับปี 2563

ส่วนแบ่งตลาด
ปริมาณการขายโตโยต้า 280,000 – 300,000 คัน      + 15-23% 33.0%
รถยนต์นั่ง    82,500 – 92,000 คัน      + 21-35% 29.0%
รถเพื่อการพาณิชย์ 197,500 – 208,000 คัน      + 12-18% 36.0%
รถกระบะ 1 ตัน (รวมรถกระบะดัดแปลง) 168,500 – 181,000 คัน      + 13-21% 38.0%
รถกระบะ 1 ตัน (ไม่รวมรถกระบะดัดแปลง) 144,000 – 153,000 คัน      + 11-18% 38.0%

ด้านการส่งออกในปี 2563 โตโยต้าได้ส่งออกรถยนต์สำเร็จรูปจำนวน 215,277 คัน ลดลง 18.7% ปริมาณการผลิตสำหรับการขายภายในประเทศ และการส่งออกมีจำนวนรวมทั้งสิ้น 442,822 คัน ลดลง 22.4% เมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมา

ปริมาณการส่งออกรถยนต์สำเร็จรูป

และการผลิตของโตโยต้าปี 2563

ปริมาณปี 2563 เปลี่ยนแปลง

เทียบกับปี 2562

ปริมาณการส่งออก 215,277 คัน      -18.7%
ยอดผลิตรวมทั้งส่งออกและการขายในประเทศ 442,822 คัน -22.4%

ทั้งนี้สำหรับเป้าหมายการส่งออกรถยนต์สำเร็จรูปของโตโยต้าในปีนี้ คาดการณ์ว่าปริมาณการส่งออกจะอยู่ที่ 254,000 คัน เพิ่มขึ้น 18% จากปีที่แล้ว เนื่องจากความต้องการที่เพิ่มมากขึ้นจากภูมิภาคหลัก เช่น เอเชียและโอเชียเนีย

ทั้งนี้โตโยต้าตั้งเป้าการผลิตรถยนต์อยู่ที่ 527,000 คัน หรือเพิ่มขึ้น 19% จากปี 2563 ซึ่งการคาดการณ์ดังกล่าว สอดคล้องกับเป้าหมายยอดขายของทั้งในระดับประเทศและระดับโลก

เป้าหมายการส่งออกรถยนต์สำเร็จรูป

และการผลิตของโตโยต้าปี 2564

ปริมาณปี 2564 เปลี่ยนแปลง

เทียบกับปี 2563

ปริมาณการส่งออก 254,000 คัน      18%
ยอดผลิตรวมทั้งส่งออกและการขายในประเทศ 527,000 คัน 19%

ปริมาณการจำหน่ายรถยนต์ เดือนธันวาคม 2563

  1.   ตลาดรถยนต์รวม ปริมาณการขาย 104,089 คัน เพิ่มขึ้น 11.3%
อันดับที่ 1 โตโยต้า 33,197 คัน เพิ่มขึ้น 12.6% ส่วนแบ่งตลาด 31.9%
อันดับที่ 2 อีซูซุ
22,917 คัน เพิ่มขึ้น 45.3% ส่วนแบ่งตลาด 22.0%
อันดับที่ 3 ฮอนด้า 10,075 คัน เพิ่มขึ้น 5.6% ส่วนแบ่งตลาด 9.7%
  1. ตลาดรถยนต์นั่ง ปริมาณการขาย 38,130 คัน เพิ่มขึ้น 3.1%
อันดับที่ 1 โตโยต้า 8,811 คัน ลดลง 12.6% ส่วนแบ่งตลาด 23.1%
อันดับที่ 2 ฮอนด้า 8,378 คัน เพิ่มขึ้น 22.4% ส่วนแบ่งตลาด 22.0%
อันดับที่ 3 มาสด้า 3,475 คัน ลดลง 3.1% ส่วนแบ่งตลาด  9.1%
  1. ตลาดรถเพื่อการพาณิชย์ ปริมาณการขาย 65,959 คัน เพิ่มขึ้น 16.7%
อันดับที่ 1 โตโยต้า 24,386 คัน เพิ่มขึ้น 25.7% ส่วนแบ่งตลาด 37.0%
อันดับที่ 2 อีซูซุ 22,917 คัน เพิ่มขึ้น 45.3% ส่วนแบ่งตลาด 34.7%
อันดับที่ 3 มิตซูบิชิ 4,595 คัน เท่าเดิม ส่วนแบ่งตลาด  7.0%
  1. ตลาดรถกระบะขนาด 1 ตัน* (Pure Pick up และ รถกระบะดัดแปลง PPV) ปริมาณการขาย 51,516 คัน เพิ่มขึ้น 14.4%
อันดับที่ 1 โตโยต้า 21,566 คัน เพิ่มขึ้น 46.9% ส่วนแบ่งตลาด 41.9% 
อันดับที่ 2 อีซูซุ 20,123 คัน เพิ่มขึ้น 17.5% ส่วนแบ่งตลาด 39.1%
อันดับที่ 3 ฟอร์ด 4,595 คัน เท่าเดิม ส่วนแบ่งตลาด 8.9%

*ปริมาณการขายรถกระบะดัดแปลง ในตลาดรถกระบะขนาด 1 ตัน: 7,512 คัน
อีซูซุ 2,806 คัน – โตโยต้า 2,709 คัน – มิตซูบิชิ 1,118 คัน – ฟอร์ด 856 คัน – นิสสัน 23 คัน 

  1. ตลาดรถกระบะ Pure Pick up ปริมาณการขาย 44,004 คัน เพิ่มขึ้น 11.1%
อันดับที่ 1 อีซูซุ 18,760 คัน เพิ่มขึ้น 34.9% ส่วนแบ่งตลาด 42.6%
อันดับที่ 2 โตโยต้า 17,414 คัน เพิ่มขึ้น 16.4% ส่วนแบ่งตลาด 39.6%
อันดับที่ 3 ฟอร์ด 3,739 คัน ลดลง 3.9% ส่วนแบ่งตลาด 8.5%

สถิติการจำหน่ายรถยนต์ เดือนมกราคม – ธันวาคม 2563

  1. ตลาดรถยนต์รวม ปริมาณการขาย 792,146 คัน ลดลง 21.4%
อันดับที่ 1 โตโยต้า
244,316 คัน ลดลง 26.5% ส่วนแบ่งตลาด 30.8%
อันดับที่ 2 อีซูซุ 181,194 คัน เพิ่มขึ้น 7.7% ส่วนแบ่งตลาด 22.9%
อันดับที่ 3 ฮอนด้า
93,041 คัน ลดลง 26.1% ส่วนแบ่งตลาด 11.7%
  1. ตลาดรถยนต์นั่ง ปริมาณการขาย 274,789 คัน ลดลง 31.0%
อันดับที่ 1 ฮอนด้า 77,419 คัน ลดลง 19.5% ส่วนแบ่งตลาด 28.2%
อันดับที่ 2 โตโยต้า
68,152 คัน ลดลง 42.1% ส่วนแบ่งตลาด 24.8%
อันดับที่ 3 นิสสัน 27,120 คัน ลดลง 24.3% ส่วนแบ่งตลาด 9.9%
  1. ตลาดรถเพื่อการพาณิชย์ ปริมาณการขาย 517,357 คัน ลดลง 15.1%
อันดับที่ 1 อีซูซุ 181,194 คัน เพิ่มขึ้น 7.7% ส่วนแบ่งตลาด 35.0%
อันดับที่ 2 โตโยต้า
176,164 คัน ลดลง 17.9% ส่วนแบ่งตลาด 34.1%
อันดับที่ 3 มิตซูบิชิ 35,046 คัน ลดลง 29.0% ส่วนแบ่งตลาด 6.8%
  1. ตลาดรถกระบะขนาด 1 ตัน* (Pure Pick up และ รถกระบะดัดแปลง PPV) ปริมาณการขาย 409,463 คัน ลดลง 16.8%
อันดับที่ 1 อีซูซุ
168,467 คัน เพิ่มขึ้น 10.0% ส่วนแบ่งตลาด 41.1%
อันดับที่ 2 โตโยต้า
149,635 คัน ลดลง 21.9% ส่วนแบ่งตลาด 36.5%
อันดับที่ 3 มิตซูบิชิ
35,046 คัน ลดลง 29.0% ส่วนแบ่งตลาด 8.6%

*ปริมาณการขายรถกระบะดัดแปลง ในตลาดรถกระบะขนาด 1 ตัน : 44,576 คัน
โตโยต้า 19,742 คัน – มิตซูบิชิ 9,342 คัน – อีซูซุ 8,139 คัน – ฟอร์ด 5,343 คัน –  นิสสัน 1,338 คัน – เชฟโรเลต 672 คัน

  1. ตลาดรถกระบะ Pure Pick up ปริมาณการขาย 364,887 คัน ลดลง 15.5%
อันดับที่ 1 อีซูซุ
160,328 คัน เพิ่มขึ้น 11.6% ส่วนแบ่งตลาด 43.9%
อันดับที่ 2 โตโยต้า
129,893 คัน ลดลง 21.5% ส่วนแบ่งตลาด 35.6%
อันดับที่ 3 มิตซูบิชิ
25,704 คัน ลดลง 28.2% ส่วนแบ่งตลาด 7.0%

ขอขอบคุณข้อมูลจาก:

All-New-Mazda-BT-50-2021

หลายคนที่กำลังรอคอยคู่แฝดของ Isuzu D-Max (อีซูซุ ดีแมคซ์) มานาน วันนี้มาถึงแล้ว! กับ All-New Mazda BT-50 (มาสด้า บีที-50) เจเนอเรชั่นใหม่ ผนวกคุณสมบัติของรถปิกอัพที่ดีที่สุดในโลกรวมเป็นหนึ่งเดียว ประกอบด้วย ดีไซน์ที่ถูกออกแบบอย่างสง่างามที่สุดในโลก คัดสรรด้วยวัสดุคุณภาพระดับพรีเมียม ประหยัดน้ำมันมากที่สุด มีความทนทานสูงสุด รวมทั้งค่าดูแลรักษาต่ำสุด วางราคาจำหน่ายเริ่มต้นเพียง 5.5 แสนบาท

ด้วยแนวคิด “พร้อม…กับทุกด้านของชีวิต” เติมเต็มทุกมิติของชีวิตดุจ Life-Partner สัมผัสแห่งดีไซน์อันสง่างามจาก “โคโดะ ดีไซน์” เน้นความเรียบง่าย แต่งดงาม ตามคอนเซ็ปต์ “Less is More” ผสานรูปลักษณ์อันทรงพลังสไตล์ปิกอัพ โดดเด่นด้วยเทคโนโลยีความปลอดภัยล้ำสมัย มอบความสะดวกสบายเสมือนรถเอสยูวี คุ้มค่าด้วยอัตราประหยัดน้ำมันมากที่สุดในคลาสกับตัวเลข 16.1 กม./ลิตร!

รับข้อเสนอพิเศษเฉพาะช่วงเปิดตัว กับดอกเบี้ยต่ำสุด 1.99%1 ฟรีประกันภัยชั้นหนึ่ง Mazda Premium Insurance 1 ปี2 ฟรีค่าแรงเช็กระยะ 5 ปี หรือ 100,000 กิโลเมตร3 พร้อมเปิดรับจองแล้ววันนี้ที่โชว์รูมมาสด้าทั่วประเทศ พร้อมส่งมอบรถใหม่ให้กับลูกค้าทันที!

All-New-Mazda-BT-50-2021

แม้ว่าปี 2563 ที่ผ่านมา ทุกภาคส่วนต่างเผชิญกับวิกฤตโควิด-19 จนส่งผลให้ยอดขายรวมของอุตสาหกรรมยานยนต์ลดลงกว่า 20% แต่เมื่อเจาะลึกข้อมูลรายละเอียดของยอดขายรถยนต์ในแต่ละประเภท พบว่าสัดส่วนการขายรถปิกอัพในปี 2563 อยู่ที่ 45% เติบโตขึ้นจากปี 2562 ซึ่งมีสัดส่วนอยู่ที่ 43%

ดังนั้นการเปิดตัว All-New Mazda BT-50 จึงเป็นตัวแปรที่จะเข้ามาเปลี่ยนทุกมุมมองเกี่ยวกับรถปิกอัพโดยสิ้นเชิง Revolutionary Change

หากย้อนกลับไปเมื่อ 20 ปี ที่ผ่านมา Mazda ได้สร้างโรงงานเพื่อขึ้นไลน์ผลิตปิกอัพในประเทศไทย ณ โรงงานออโต้อัลลายแอนซ์ จังหวัดระยอง โดยผลิต Mazda Fighter (มาสด้า ไฟเตอร์) ซึ่งเป็นกระบะฝีมือคนไทยรุ่นแรก ที่เริ่มผลิตและจำหน่ายในปี 2541 มียอดขายเฉพาะในไทยกว่า 50,000 คัน

ต่อด้วยรุ่นที่สอง Mazda BT-50 (มาสด้า บีที-50) มียอดขายสะสมกว่า 52,000 คัน และ Mazda BT-50 PRO (มาสด้า บีที-50 โปร) มียอดขายสะสม 120,000 คัน ส่งผลให้มีรถปิกอัพพันธุ์แกร่งของมาสด้าอยู่ในการครอบครองของแฟนมาสด้ากว่า 222,000 คัน

All-New-Mazda-BT50

สำหรับ All-New Mazda BT-50 ถูกวางให้เป็นรถรุ่นใหม่ที่เปิดตัวเป็นรุ่นแรกในปี 2564 โดยใส่ความโดดเด่นของ “โคโดะ ดีไซน์” (KODO Design) ที่มีเอกลักษณ์เฉพาะ มุ่งเน้นให้เกิดความเรียบง่าย แต่งดงาม ภายใต้คอนเซ็ปต์ “Less is More” เฉกเช่นเดียวกับรถยนต์นั่งและรถเอสยูวีตระกูล CX Series เจเนอเรชั่นใหม่ของมาสด้า

การออกแบบที่สง่างามสไตล์ปิกอัพยุคใหม่ การเลือกใช้วัสดุคุณภาพสูง อัดแน่นด้วยเทคโนโลยีความปลอดภัย ให้ความสะดวกสบายที่เทียบเท่ากับรถเอสยูวี อีกทั้งยังเป็นปิกอัพที่มีความอเนกประสงค์ ตอบโจทย์การใช้งานได้ทุกโอกาส หรือ “Built for Dress and Jeans”

All-New-Mazda-BT-50-2021

ไม่ว่าจะเป็นกระจังหน้าที่ออกแบบด้วย Signature Wing ขนาดใหญ่ รูปทรงด้านหน้าที่สง่างามในสไตล์รถเอสยูวี ดีไซน์ไฟหน้าและไฟท้ายทรงสปอร์ต โฉบเฉี่ยว

โครงสร้างตัวถังที่ผลิตขึ้นจากเหล็กกล้าที่ทนต่อแรงดึงสูง (High Tensile Steel) แข็งแกร่งกว่าเหล็กธรรมดา เพิ่มเสถียรภาพในการขับขี่ด้วยระบบช่วงล่างด้านหน้าแบบอิสระปีกนก 2 ชั้น กับคอยล์สปริงที่ช่วยเพิ่มความนุ่มสบาย พร้อมเหล็กกันโคลงหน้าช่วยเพิ่มเสถียรภาพการทรงตัว ชุดแหนบด้านหลังที่เพิ่มความสามารถในการบรรทุก

All-New-Mazda-BT-50-2021

All-New-Mazda-BT-50-2021

ภายนอก-ภายในของรุ่น Standard Cab

ภายในห้องโดยสารที่เน้นความประณีตใส่ใจในทุกรายละเอียด และการคัดสรรเลือกใช้เฉพาะวัสดุคุณภาพสูงเท่านั้น ผสมผสานกับโทนสีภายในรวมถึงองค์ประกอบอื่นๆ อย่างลงตัว คอนโซลหน้าถูกตกแต่งด้วยวัสดุสีเงิน เสาภายในและเพดานเลือกใช้โทนสีดำตัดกับหนังสีน้ำตาลเข้มของเบาะนั่งที่ออกแบบให้นั่งสบายในทุกตำแหน่ง และแผงประตูที่เพิ่มความหรูหราด้วยการตกแต่งสไตล์เดียวกับรถเอสยูวี

การจัดวางตำแหน่งอุปกรณ์โดยให้ผู้ขับขี่เป็นศูนย์กลางตามหลักการ Human Machine Interface ทุกฟังก์ชันจึงง่ายต่อการใช้งาน การรับรู้ข้อมูลการขับขี่รวมถึงสายเรียกเข้าหรือชื่อเพลงบนหน้าจอแบบสี MID (Multi-Information Display) ขนาด 4.2 นิ้ว ที่แสดงข้อมูลได้หลายรูปแบบ อ่านง่าย มองเห็นชัดเจนยิ่งขึ้นด้วยเทคโนโลยีหน้าจอแบบ TFT (Thin-film Transistor Technology)

All-New-Mazda-BT-50-2021

All-New-Mazda-BT-50-2021

ภายนอก-ภายในของรุ่น Freestyle Cab

ผู้ขับขี่สะดวกสบายมากยิ่งขึ้นด้วยพวงมาลัยปรับได้มากถึง 4 ทิศทาง มาพร้อมกับเบาะไฟฟ้าปรับได้ 8 ทิศทางและระบบดันหลัง ควบคุมอุณหภูมิภายในห้องโดยสารได้ดียิ่งขึ้นด้วยระบบปรับอากาศแบบ Dual Zone ที่สามารถแยกปรับด้านซ้ายและขวาได้อย่างอิสระพร้อมช่องแอร์สำหรับผู้โดยสารด้านหลัง

ยกระดับความสุนทรีย์ด้วยห้องโดยสารที่เงียบยิ่งขึ้น และลำโพงที่มากถึง 8 ตำแหน่ง นับรวมถึงลำโพงที่ติดตั้งบนหลังคา ผู้โดยสารสะดวกสบายตลอดการเดินทางด้วยที่พักแขนพร้อมที่วางแก้ว 2 ตำแหน่ง และช่องเสียบ USB มีช่องเก็บของภายในห้องโดยสารสำหรับผู้ขับขี่และผู้โดยสารทุกตำแหน่ง

All-New-Mazda-BT-50-2021

All-New-Mazda-BT-50-2021

ภายนอก-ภายในของรุ่น Double Cab

All-New Mazda BT-50 มาพร้อมกุญแจรีโมทอัจฉริยะ สามารถสตาร์ทเครื่องยนต์ได้ด้วยรีโมท เปิดระบบปรับอากาศก่อนขึ้นรถ และมีระบบไฟในห้องโดยสารส่องสว่างอัตโนมัติในทันทีเมื่อจับสัญญาณจากกุญแจรีโมท

อีกทั้งตอบโจทย์รูปแบบการเชื่อมต่อการสื่อสารในยุคปัจจุบันได้มากยิ่งขึ้น ด้วยระบบ Infotainment ที่มาพร้อมหน้าจอแบบสัมผัสความละเอียดสูงขนาด 9 นิ้ว ที่สามารถตั้งค่า Home Screen ได้หลายรูปแบบ รองรับการเชื่อมต่อได้ทั้ง Apple CarPlay® แบบไร้สาย และ Android Auto™* ซึ่งสามารถใช้งาน Miracast แบบไร้สายผ่าน Wifi และรองรับการเชื่อมต่อแบบ MirrorLink อีกทั้งยังมีระบบนำทางที่ติดตั้งมาให้พร้อมใช้งานโดยไม่ต้องเชื่อมต่ออินเตอร์เน็ต

*เชื่อมต่อในทันทีสำหรับ Android เวอร์ชั่น 10

All-New-Mazda-BT-50-2021

All-New Mazda BT-50 มีให้เลือก 2 เครื่องยนต์

  • เครื่องยนต์ดีเซล ขนาด 1.9 ลิตร ให้กำลังสูงสุด 150 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 350 นิวตัน-เมตร มาพร้อมระบบควบคุมการฉีดน้ำมันเชื้อเพลิงที่ทำงานได้อย่างแม่นยำ ให้แรงบิดสูงตั้งแต่รอบเครื่องยนต์ต่ำ ประหยัดน้ำมันที่ดีที่สุดในคลาสกับตัวเลข 16.1 กม./ลิตร* จึงเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ถูกวางอยู่ในรุ่นขับเคลื่อน 2 ล้อ ซึ่งเครื่องยนต์ทั้ง 2 ขนาด รองรับน้ำมันได้ถึง B20
  • เครื่องยนต์ดีเซล ขนาด 3.0 ลิตร ให้กำลังสูงสุด 190 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 450 นิวตัน-เมตร มาพร้อมระบบหัวฉีดน้ำมันแรงดันสูง 250 MPa ให้ละอองน้ำมันละเอียด และการเผาไหม้ที่สมบูรณ์ ถูกวางอยู่ในรุ่นขับเคลื่อน 4 ล้อ ที่สามารถปรับเปลี่ยนจากการขับเคลื่อนแบบ 2 ล้อ เป็นระบบขับเคลื่อนแบบ 4 ล้อ

*ผลการทดสอบตามมาตรฐานยุโรป UN R101 Combine Mode

ระบบส่งกำลังของ All-New Mazda BT-50 มีให้ 2 ทางเลือก กับเกียร์อัตโนมัติ 6 สปีด ให้อัตราเร่งที่ต่อเนื่อง จังหวะการเปลี่ยนเกียร์นุ่มนวล และสามารถเลือกเปลี่ยนเป็นโหมดแมนนวลได้เพื่อเพิ่มความแม่นยำ ขับสนุก และตอบสนองได้รวดเร็วยิ่งขึ้น อีก 1 ทางเลือกกับเกียร์ธรรมดา 6 สปีด ที่ออกตัวได้แรง ให้กำลังฉุดลากสูงในทุกช่วงความเร็ว เข้าเกียร์ง่ายและแม่นยำยิ่งขึ้น ผสานการทำงานกับระบบขับเคลื่อนที่มี 2 ทางเลือก ทั้งระบบขับเคลื่อน 2 ล้อ และระบบขับเคลื่อน 2 ล้อแบบยกสูง ซึ่งเป็นรุ่น Hi-Racer ตอบโจทย์การขับขี่ได้ทั้งในเมืองและนอกเมือง อีกหนึ่งทางเลือกกับระบบขับเคลื่อน 4 ล้อ รองรับการขับขี่ใบรูปแบบออฟโรดด้วยระบบ Electronic Diff-lock ที่เฟืองท้าย อีกทั้งรุ่น Hi-Racer และรุ่นขับเคลื่อน 4 ล้อ สามารถลุยน้ำได้สูงถึง 800 มิลลิเมตร

All-New-Mazda-BT-50-2021

เพื่อให้ All-New Mazda BT-50 ตอบสนองการใช้งานในทุกรูปแบบ จึงมีให้เลือก 3 รูปแบบตัวถัง ได้แก่ รุ่น Standard Cab (STD) หรือกระบะตอนเดียว รุ่น Freestyle Cab (FSC) หรือกระบะตอนครึ่งรุ่นแค็ปเปิดได้ และรุ่น Double Cab (DBL) หรือรุ่น 4 ประตู ที่ตอบสนองกับไลฟ์สไตล์ได้หลากหลาย

ซึ่งได้ติดตั้งระบบเบรก ABS ระบบกระจายแรงเบรก EBD และระบบช่วยเบรก BA รวมถึงถุงลมนิรภัยคู่หน้าเป็นอุปกรณ์มาตรฐานในทุกรุ่นย่อย

อีกทั้งในรุ่น Hi-Racer และรุ่นขับเคลื่อน 4 ล้อ มาพร้อมระบบควบคุมเสถียรภาพและการทรงตัวของรถ DSC ระบบป้องกันล้อหมุนฟรีและควบคุมการลื่นไถล TCS ระบบสัญญาณไฟฉุกเฉินเตือนอัตโนมัติเมื่อเบรกกะทันหัน ESS ระบบช่วยการออกตัวของรถขณะอยู่บนทางลาดชัน HLA ระบบควบคุมความเร็วขณะลงทางลาดชัน HDC และติดตั้งถุงลมนิรภัยสูงสุดถึง 6 ตำแหน่ง เพิ่มความมั่นใจในการเข้าจอด ด้วยระบบเซ็นเซอร์กะระยะด้านหน้าและด้านหลัง รวมสูงสุด 8 ตำแหน่ง พร้อมกล้องมองหลัง

สำหรับรุ่น DBL Hi-Racer และรุ่น DBL ขับเคลื่อน 4 ล้อ ใส่เทคโนโลยีความปลอดภัยขั้นสูงของมาสด้า กับ ระบบเตือนเมื่อมีรถในจุดอับสายตาขณะเปลี่ยนเลน (ABSM) และระบบเตือนเมื่อมีรถในจุดอับสายตาขณะถอยหลัง (RCTA)

สีภายนอกมีให้เลือกถึง 6 สี ได้แก่ สีน้ำเงิน กันบลู (Gunblue) สีเทา คอนกรีต เกรย์ (Concrete Gray) สีแดง เรด โวคาโน (Red Volcano) สีดำ ทรู แบล็ก (True Black) สีขาว ไอซ์ ไวท์ (Ice White) และสีเงิน อิงกอท ซิลเวอร์ (Ingot Silver)

เพื่อตอบแทนความเชื่อมั่นของลูกค้าที่มีต่อแบรนด์มาสด้า พบกับข้อเสนอสุดพิเศษช่วงเปิดตัวแนะนำกับดอกเบี้ยต่ำสุด 1.99%1 ฟรีประกันภัยชั้นหนึ่ง Mazda Premium Insurance 1 ปี2 ฟรีค่าแรงเช็กระยะ 5 ปี หรือ 100,000 กิโลเมตร3 All-New Mazda BT-50 พร้อมให้ทุกท่านได้ทดลองขับขี่และเปิดรับจองแล้ววันนี้ที่โชว์รูมมาสด้าทั่วประเทศ

All-New-Mazda-BT-50-2021

ราคาจำหน่าย All-New Mazda BT-50 ทั้ง 14 รุ่น / All-New Mazda BT-50 Price, Shown in Thai Baht.

  • Standard Cab 1.9 E ราคา 553,000 บาท
  • Freestyle Cab 1.9 C ราคา 679,000 บาท
  • Freestyle Cab 1.9 C Hi-Racer ราคา 714,000 บาท
  • Freestyle Cab 1.9 C Hi-Racer 6AT ราคา 768,000 บาท
  • Freestyle Cab 1.9 S Hi-Racer ราคา 787,000 บาท
  • Freestyle Cab 1.9 S Hi-Racer 6AT ราคา 812,000 บาท
  • Double Cab 1.9 C ราคา 771,000 บาท
  • Double Cab 1.9 S ราคา 847,000 บาท
  • Double Cab 1.9 S Hi-racer ราคา 891,000 บาท
  • Double Cab 1.9 S Hi-Racer 6AT ราคา 936,000 บาท
  • Double Cab 1.9 SP Hi-Racer ราคา 1,012,000 บาท
  • Double Cab 1.9 SP Hi-Racer 6AT  ราคา 1,070,000 บาท
  • Double Cab 4×4 3.0 SP ราคา 1,118,000 บาท
  • Double Cab 4×4 3.0 SP ราคา 1,153,000 บาท

หมายเหตุ :

1ดาวน์ 25%, ผ่อนนาน 48 เดือน

2บริษัทประกันภัยที่ร่วมโครงการ ได้แก่ (1) บมจ. วิริยะประกันภัย (2) บมจ. ธนชาตประกันภัย (3) บมจ. ประกันภัยไทยวิวัฒน์

3ฟรีค่าแรงการบำรุงรักษา 5 ปี หรือ 10 ครั้ง ทุก 6 เดือน หรือ ทุก 10,000 กิโลเมตร ตั้งแต่ 10,000 – 100,000 กิโลเมตร

เงื่อนไขเพิ่มเติม :

• เงื่อนไขการพิจารณาสินเชื่อเป็นไปตามข้อกำหนดของ บมจ. ธนาคารทิสโก้ และ บมจ. ธนาคารธนชาต เท่านั้น

• ข้อเสนอดังกล่าวสำหรับผู้เช่าซื้อที่ผ่านการอนุมัติตามเงื่อนไขของ บมจ.ธนาคารทิสโก้ และ บมจ.ธนาคารธนชาต ที่จองและออกรถ ตั้งแต่วันที่ 21 มกราคม – 28 กุมภาพันธ์ 2564 เท่านั้น

ส่วนใครที่อยากได้ All-New Mazda BT-50 ใหม่ แต่เงินสดมีไม่เพียงพอ ถ้าใช้รถคันเดิมอยู่ สามารถนำมาขายกับทาง CARRO ได้ แม้ว่ารถจะติดไฟแนนซ์ เราก็พร้อมปิดไฟแนนซ์ให้ และยินดีรับซื้อรถของคุณ สามารถเข้าไปเช็กราคา ตีราคาขายรถก่อนได้ โดยใส่ข้อมูลรถของคุณที่นี่เลย กับ CARRO Express > https://th.carro.co/sell-car/express หรือโทร. 02-508-8425

หรือใครจะ Inbox มาสอบถามก็ได้เช่นกัน ที่ Facebook CARRO Thailand หรือสะดวก Add Line ก็ที่ @Carrothai หรือคลิกที่นี่ครับ —> เพิ่มเพื่อน

Ancient-Tire-And-Nowaday-Tire-Different

สวัสดีครับไทร์บิดกลับมาอีกครั้งครับ วันนี้จะมาพูดถึงวิวัตนาการที่ผ่านมาของยางรถยนต์ว่ายางสมัยก่อนที่เป็นยางผ้าใบ และ มียางใน กับ ยางปัจจุบันที่เป็นยางเรเดียลนั้นไม่ใช่ยางในแตกต่างกันยังไง วันนี้ไทร์บิดจะมาอธิบายให้เพื่อนๆ เข้าใจฟังครับ

Ancient-Tire-And-Nowaday-Tire-Different

เมื่อก่อน ยางผ้าใบนั้น ก็คือโครงสร้างของยางรถทำมาจากผ้าใบนั้นเองครับ ซึ่งเมื่อทำจากผ้าใบแน่นอนครับ เรื่องความแข็งแรงในการรับแรงกระแทกของยางก็จะทำได้ไม่ดี อีกทั้งเมื่อโครงยางผ้าใบนั้นเมื่อใช้งานหน้ายางจะมีการขยับตัวค่อนข้างเยอะทำให้การเกาะถนนของยางผ้าใบนั้นจะทำไม่ได้เต็มประสิทธิภาพตลอดเวลาครับ และสุดท้ายเมื่อยางผ้าใบบริเวณหน้ายางเมื่อมีการขยับยางสูงจะทำให้ยางนั้นมีการเสียดสีกับพื้นถนนเยอะขึ้นทำให้อายุการใช้งานของยางผ้าใบนั้นค่อนข้างอายุสั้นกว่ายางปัจจุบันอย่างมาก

ส่วนยางเมื่อก่อนจะไม่สามารถกักเก็บลมได้ด้วยตัวเองทำให้ต้องมียางในซึ่งเป็นส่วนที่หน้าที่ในการกักเก็บลมทำให้มีการใช้งานที่ไม่คล่องตัวเท่าไหร่เพราะเนื่องมาจากว่าเมื่อยางเกิดโดนตะปูหรือของมีคมนั่นจะทำให้ยางในแตกเสียหายและไม่สามารถกักเก็บลม โดยยางจะสูญเสียลมโดยฉับพลันซึ่งมีโอกาสเสี่ยงต่อการเสียหลักขณะขับขี่ หรือ จะเป็นการเสียเวลาในการต้องมาปะซ่อมด้วย

เพราะฉะนั้นยางเมื่อก่อนที่เป็นยางผ้าใบและยางที่มียางในนั้น สมรรถนะค่อนข้างไม่ดีอายุการใช้งานต่ำ แถมยังเสี่ยงต่อการสูญเสียควบคุมอีกด้วยครับ เพราะฉะนั้นบริษัทยางต่างๆจึงได้พัฒนายางที่มีความแข็งแรงเพิ่มมากขึ้น สมรรถนะการขับขี่ได้ดี อายุการใช้งานที่ยาวและมีความปลอดภัยในการขับขี่เพิ่มมากขึ้นโดยจะรุ่นต่อมาจะเรียกว่ายางเรเดียลครับ

Ancient-Tire-And-Nowaday-Tire-Different

ยางเรเดียลนั้นโครงสร้างจะมีส่วนประกอบหลักที่ทำมาจากเส้นลวดซึ่งจะทำให้โครงสร้างของยางนั้นมีความแข็งแรงทนต่อแรงกดกระแทกมากกว่า อีกทั้งหน้ายางจะมีเข็มขัดรัดหน้ายางที่มีหน้าที่คอยขึงตึงหน้ายางทำให้หน้ายางแนบกับพื้นถนนได้ตลอดเวลาทำให้สมรรถนะในการขับขี่ของยางนั้นทำได้อย่างเต็มที่ และมีการขัดสีที่เกิดจากการขยับตัวของหน้ายางน้อยกว่ายางผ้าใบทำให้ยางเรเดียลนั้นมีอายุการใช้งานที่ยาวนานเพิ่มมากขึ้น โดยเฉพาะในปัจจุบันมีการเสริมและพัฒนาเนื้อยางทำให้มีความคงทนสึกได้ยากเพิ่มมากขึ้นด้วยทำให้ยางรถทั่วๆไปนั้นยิ่งมีอายุการใช้งานที่ยาวนานเพิ่มมากขึ้นอีกด้วยครับ 

ส่วนในเรื่องกักเก็บลมของยางเรเดียลนั้นในท้องยางจะมีชั้นที่สำหรับกักเก็บลมยางชื่อว่าชั้นบิวทิล ซึ่งจะมีหน้าที่กักเก็บลมยางและยังคอยช่วยให้เมื่อยางโดนตะปูตำเข้าไปแล้วนั้นเนื้อยางชั้นนี้จะคอยประกบบริเวณที่โดนตะปูตำ จะทำให้ยางนั้นลมค่อยๆซึมออกไม่สูญเสียลมอย่างฉับพลัน ซึ่งจะทำให้เกิดความปลอดภัยในการขับขี่เพิ่มมากขึ้น กว่าจะลมยางหมดก็จะเกิดเมื่อทิ้งรถเป็นเวลานานๆและลมซึมจนออกหมด ซึ่งเพื่อนๆอาจจะเคยเจอเมื่อยางแบนตอนเช้าก่อนออกจากบ้านใช่ไหมละครับ

เพราะฉะนั้นการพัฒนาจากยางผ้าใบเป็นยางเรเดียลนั้นเป็นวิวัฒนาการที่ทำให้การขับขี่ของพวกเรามีความปลอดภัยเพิ่มมากยิ่งขึ้น ซึ่งในอนาคต มีการพัฒนายางที่ความนุ่มเงียบ และยังไม่ต้องใช้ลมยางอีกด้วย แถมยังช่วยในความปลอดภัยก็คือเมื่อโดนตะปูตำก็ยังใช้งานได้อย่างปกติเหมือนเดิมครับ เซฟๆยิ่งๆขึ้นไปอีกครับ ถ้าเพื่อนๆอยากรู้ว่ายางรุ่นไหนที่เหมาะกับการใช้งานของเพื่อนสามารถสอบถาม Line official : @tiresbid หรือ เสริมเติมความรู้อ่านบทความยางรถยนต์ได้ฟรี เข้าเว็บไซต์ได้ที่ www.tiresbid.com ทางไทร์บิดยินดีให้บริการเพื่อนๆทุกท่านครับ 

Toyota-RAV4-EV-History

ช่วงปลายปีที่ผ่านมา หากคุณเป็นคนสนใจในเรื่องรถยนต์ไฟฟ้า คุณอาจเห็นข่าวที่ Akio Toyoda (อากิโอะ โตโยดะ) ประธาน และ CEO บริษัท โตโยต้า มอเตอร์ คอร์ปอเรชั่น ประเทศญี่ปุ่น และยังเป็นหลานของผู้ก่อตั้งแบรนด์รถยนต์ขนาดใหญ่ที่สุดแบรนด์หนึ่งในโลก ตอบคำถามเกี่ยวกับการวางแผนด้านรถยนต์ไฟฟ้า และกำลังสนใจในเรื่องการประเมินมูลค่าของอย่าง Tesla (เทสล่า) ว่า

“ถ้าให้เทียบ (Tesla) กับร้านอาหาร ตอนนี้ก็มีแค่ “ครัว” กับ “เชฟ” ซึ่งทั้งครัวและเชฟ ยังไม่ได้สร้างธุรกิจในโลกแห่งความเป็นจริงได้ สิ่งที่ Tesla ทำ คือการนำเสนอสูตรอาหาร ส่วนตัวเชฟก็พยายามพูดว่า สูตรของเรานั้นจะกลายเป็นมาตรฐานของโลกในอนาคต ผมคิดว่านั่นคือภาพของธุรกิจที่ Tesla กำลังทำอยู่”

— พูดง่ายๆ คือ Toyota มองว่า Tesla เป็นร้านอาหารที่พยายามโปรโมทสูตรของตัวเอง ส่วน Toyota เป็นร้านอาหารที่มีลูกค้ามากอยู่แล้ว

นั่นทำให้คนที่สนับสนุนรถยนต์ไฟฟ้านั้น ออกมารุมสับ Toyota กันเยอะพอสมควร ว่า Toyota กลัวเสียผลประโยชน์จากตลาดรถยนต์ที่ใช้น้ำมันสันดาปภายใน หรือตลาดรถยนต์ไฮบริด ซึ่งตัวเองอาจไม่พร้อมในด้านรถยนต์ไฟฟ้า จึงออกมาพูดเชิงสกัดดังกล่าว

Toyota-Prius-1997

แต่ครั้งหนึ่ง Toyota เคยได้ชื่อว่า เป็นผู้พัฒนา และสามารถผลักดันให้รถยนต์ไฮบริด อย่าง Toyota Prius (โตโยต้า พรีอุส) จำหน่ายได้จริงเป็นครั้งแรกในโลก เมื่อเดือนตุลาคม 1997 นั่นทำให้ค่ายรถทั่วโลก ต่างเริ่มตื่นตัว ในการนำแบตเตอรี่และมอเตอร์ไฟฟ้า มาใช้เป็นแหล่งพลังงานในรถยนต์กันมากขึ้น

และรถยนต์ไฟฟ้าก็เช่นเดียวกัน หลายคนอาจลืมไปว่า Toyota นี่ก็เป็นค่ายรถยนต์เจ้าแรกๆ ในโลก ที่สามารถผลักดันให้รถยนต์ไฟฟ้า ออกมาในตลาดโลกได้ตั้งแต่ช่วงปลายยุค 90 ด้วยเช่นกัน

ใช่ครับ ผมกำลังจะเล่าถึงประวัติ Toyota RAV4 EV (โตโยต้า ราฟโฟร์ อีวี) ที่ครั้งหนึ่งโตโยต้าเคยสร้างขึ้นมา แต่ไม่ประสบความสำเร็จครับ

Toyota-EV50-1992

ในปี 1992 Toyota ได้เผยโฉมรถต้นแบบ Toyota EV50 ซึ่งเป็นรถต้นแบบ (ของ Toyota RAV4) ที่ใช้พลังงานไฟฟ้า จากมอเตอร์ไฟฟ้า และแบตเตอรี่แบบตะกั่วและกรด

Toyota-RAV4-EV-1995

จุดเริ่มต้น … ในวันที่ 3 กรกฎาคม 1995 Toyota เริ่มประกาศการวางแผนวิจัยและพัฒนา Toyota RAV4 EV ล่วงมาจนถึงในวันที่ 5 สิงหาคม รถยนต์ต้นแบบ Toyota RAV4 EV ที่พัฒนาขึ้น ได้ชนะเลิศในการแข่งขัน Scandinavian Electric Car Rally ที่จัดการแข่งขันรถยนต์ไฟฟ้าเป็นรายการแรกของโลก

Toyota-RAV4-EV-1996

ในที่สุด … วันที่ 22 กรกฎาคม 1996 Toyota ก็ได้ฤกษ์เปิดตัว Toyota RAV4 L EV (ECA10) รุ่น 3 ประตู รุ่นใช้พลังงานไฟฟ้าเป็นครั้งแรก ซึ่งได้รับการพัฒนามาจาก Toyota RAV4 ที่เป็นรถแบบ Compact SUV รุ่นแรกที่ Toyota ผลิตจำหน่าย พร้อมเริ่มจำหน่ายในวันที่ 1 กันยายนปีเดียวกัน ผ่านทางเครือข่ายจำหน่าย Corolla ในภูมิภาคคันโต, โตไก และกินกิ ด้วยยอดขายที่ตั้งไว้ 100 คัน/ปี ในราคา 4,950,000 เยน

มิติตัวรถมีขนาดยาว 3,565 มม. กว้าง 1,695 มม. สูง 1,620 มม. ระยะฐานล้อ 2,200 มม. น้ำหนักตัวรถ 1,460 กิโลกรัม

Toyota-RAV4-EV-1996

มาพร้อมมอเตอร์ไฟฟ้า ให้กำลังสูงสุด 61 แรงม้า ที่ 2,600 – 8,600 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 165 นิวตัน-เมตร ที่ 0 – 2,600 รอบ/นาที พ่วงกับแบตเตอรี่ ขนาด 95 A.h/5HR แบบ Nickel-Metal Hydride ผ่านแบตเตอรี่ที่เก็บไฟมากถึง 24 ลูก (หรือ 27kWh) โดยมีจุดชาร์จอยู่ที่บริเวณแก้มรถด้านขวา ตัวจุดชาร์จไฟได้พัฒนาขึ้นโดย Yazaki Corporation พร้อมส่งกำลังผ่านเกียร์อัตโนมัติ

สามารถทำความเร็วได้สูงสุด 125 กม./ชม. และให้ระยะทางวิ่ง 215 กิโลเมตร (ตามมาตรฐานโหมด 10-15 ของญี่ปุ่น) ต่อการชาร์จเต็มหนึ่งครั้ง

Toyota-FCEV-1-1996

ในเดือนตุลาคม 1996 Toyota เริ่มแนะนำเจ้า RAV4 รุ่น 5 ประตู ในรูปแบบรถต้นแบบ FCEV-1 ซึ่งเป็นรถยนต์ Fuel Cell EV ที่ใช้พลังงานไฮโดรเจนสร้างกระแสไฟฟ้า ปลอดมลพิษ

ในเดือนมีนาคม 1997 Toyota เริ่มแนะนำระบบ Hybrid ให้ชาวโลกได้รู้จัก

Toyota-RAV4-EV-1997

ต่อมา … Toyota RAV4 L V EV (BEA11) ได้เปิดตัวรุ่น 5 ประตู อย่างเป็นทางการสู่ชาวโลกอีกครั้งในวันที่ 6 ตุลาคม 1997 โดยผลิตขึ้นที่โรงงาน Tahara ในเมือง Aichi

ก่อนจะเปิดตัว Toyota Prius ตามหลังมาในวันที่ 15 ตุลาคม 1997 ที่งาน Tokyo Motor Show 1997

มิติตัวรถมีขนาดยาว 3,980 มม. กว้าง 1,695 มม. สูง 1,675 มม. ระยะฐานล้อ 2,410 มม. น้ำหนักตัวรถ 1,540 กิโลกรัม

มาพร้อมมอเตอร์ไฟฟ้า ให้กำลังสูงสุด 67 แรงม้า ที่ 3,100 – 4,600 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 190 นิวตัน-เมตร ที่ 0 – 1,500 รอบ/นาที พ่วงกับแบตเตอรี่ ขนาด 95 A.h/5HR แบบ Nickel-Metal Hydride ผ่านแบตเตอรี่ที่เก็บไฟมากถึง 24 ลูก (หรือ 27kWh) โดยมีจุดชาร์จอยู่ที่บริเวณแก้มรถด้านคนขับ ตัวจุดชาร์จไฟได้พัฒนาขึ้นโดย Yazaki Corporation พร้อมส่งกำลังผ่านเกียร์อัตโนมัติ

สามารถทำความเร็วได้สูงสุด 125 กม./ชม. และให้ระยะทางวิ่ง 215 กิโลเมตร (ตามมาตรฐานโหมด 10-15 ของญี่ปุ่น) หรือ 153 กิโลเมตร (ตามมาตรฐาน EPA ของสหรัฐฯ) ต่อการชาร์จเต็มหนึ่งครั้ง

Toyota-RAV4-EV-US

และรุ่นปรับปรุงใหม่ เปิดตัวในวันที่ 29 พฤศจิกายน 1999 ครั้งนี้ยังคงจำหน่ายสำหรับหน่วยงานของรัฐ และองค์กรต่างๆ เช่าไปใช้งาน ในจำนวนเพียง 1,000 คัน

แบ่งเป็นขายในญี่ปุ่น 290 คัน พร้อมส่งออกไปยังสหรัฐอเมริกา 710 คัน สำหรับจำหน่ายในโครงการ California Electric Vehicle Demo Program ซึ่งเป็นกฏข้อบังคับเรื่องการขายจาก California Air Resources Board ที่ว่า บริษัทรถยนต์ใดก็ตามที่จะขายในแคลิฟอร์เนีย ต้องมีรถยนต์แบบ LEV จำหน่ายในสัดส่วน 25% Toyota เลยประเดิมด้วยการเป็นผู้ผลิตรถยนต์ที่จำหน่ายรถแบบ ZEV หรือ Zero Emission Vehicle มลพิษเป็นศูนย์เลย

ชุดชาร์จไฟฟ้า ได้พัฒนาใหม่ร่วมกับทาง GM ตั้งแต่ในเดือนมิถุนายน 1998 โดยใช้พื้นฐานระบบการชาร์จไฟของ Magne Charge ที่พัฒนาโดย GM ก่อนหน้า ได้รับการลดขนาด และน้ำหนักให้เบาขึ้น

สำหรับรุ่น Inductive (ชาร์จผ่านตู้ชาร์จ Input แบบ 200V 40A -ใช้เวลาชาร์จเต็ม 6 ชั่วโมง) มีราคาอยู่ที่ 4,570,000 เยน และในรุ่น Conductive (ชาร์จผ่านไฟบ้าน Input แบบ 200V 30A – ใช้เวลาชาร์จเต็ม 6.5 ชั่วโมง) ราคา 4,950,000 เยน

Toyota-RAV4-EV-US

แม้ว่า Toyota RAV4 EV อาจจะไม่ประสบความสำเร็จในการขายสักเท่าไหร่ เพราะสามารถจำหน่ายผ่านการให้เช่าระหว่างหน่วยงานต่างๆ ทั้งในประเทศญี่ปุ่นและสหรัฐอเมริกา ด้วยยอดขายเพียง 1,484 คันในสหรัญอเมริกา หากรวมยอดจำหน่ายในญี่ปุ่นด้วยแล้วล่ะก็ จะอยู่ที่ประมาณ 1,900 คันครับ ซึ่งก็ถือว่าไม่น้อยเลยทีเดียว สำหรับรถยนต์ไฟฟ้าในยุคแรกเริ่ม

เนื่องจากเทคโนโลยีที่ขีดความสามารถ ระยะทางในการวิ่ง ยังไม่เทียบเท่ารถยนต์ไฟฟ้าในปัจจุบัน และราคาตัวรถที่มีราคาแพงมาก เรียกว่าสามารถซื้อ Toyota RAV4 รุ่นปกติได้ถึง 2 คัน และเมื่อแบตเตอรี่เสื่อมลง ค่าใช้จ่ายในการเปลี่ยนแบตเตอรี่ชุดใหม่ กลับมีราคาแพงกว่าตัวรถเสียอีก

Toyota RAV4 EV รุ่นแรก จึงปิดฉากลงไปในปี 2003 …

Toyota-RAV4-EV-2012

แต่นั่นก็ยังไม่ใช่จุดจบเลยทีเดียว เพราะต่อมา Toyota ได้ร่วมมือกับทาง Tesla พัฒนารถยนต์ไฟฟ้า Toyota RAV4 EV เจเนอเรชั่นที่ 2 โดยร่วมกันพัฒนาในปี 2010 ซึ่งทาง Tesla เป็นผู้ผลิตชุดแบตเตอรี่, มอเตอร์, ชุดส่งกำลัง และอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ ส่งให้ Toyota ไปประกอบรวมกับ RAV4 EV ในโรงงาน Toyota ที่ประเทศแคนาดา ก่อนจะออกสู่ตลาดในปี 2012 – 2014 แล้วก็ต้องยุติไปอีกรอบ! ด้วยจำนวนการผลิตประมาณ 2,600 คัน

ด้วยเหตุนี้ละมั้ง Toyota ถึงได้เข็ดขยาดไปกับพัฒนารถยนต์ไฟฟ้าไม่น้อย เพราะริเริ่มก่อนใคร ใช้เงินลงทุนพัฒนาไปพอสมควร แต่กลับไม่ประสบความสำเร็จไว้อย่างที่คาด!

ส่วนถ้าคุณอยากขายรถด่วน เพื่อไปซื้อรถคันใหม่ หรือรับเงินก้อนไปใช้สามารถขายรถคันเก่า หรือตีราคารถกับทาง CARRO ได้ ง่ายๆ ได้เงินไว! กับ CARRO Express เพียงแค่คลิก https://th.carro.co/sell-car/express หรือสามารถ Inbox มาขอรายละเอียดได้ที่ Facebook CARRO Thailand

หรือจะ Add Line สอบถามรายละเอียดได้ที่ @Carrothai หรือคลิกที่นี่ —> เพิ่มเพื่อน

(บทความนี้สงวนลิขสิทธิ์)

ขอขอบคุณข้อมูลจาก

Carro-Fastest-Growing-Companies-2021

สื่อใหญ่อย่าง The Straits Times หนังสือพิมพ์รายวันภาษาอังกฤษของประเทศสิงคโปร์ ได้ร่วมกับ Statista เว็บไซต์รวมฐานข้อมูลสถิติทางธุรกิจอันดับ 1 ของโลก เผย 75 อันดับ บริษัทที่มีการเติบโตไวที่สุดในสิงคโปร์ประจำปี 2021

ซึ่งอันดับ 1 ของการจัดอันดับในครั้งนี้ ต้องยกให้ CARRO สตาร์ทอัพด้านการซื้อ-ขายรถยนต์มือสองแบบครบวงจรของประเทศสิงคโปร์ และยังขยายธุรกิจครอบคลุมตลาดรถมือสองในหลายประเทศ มีการเติบโตโดยรวมสูงเป็นอันดับ 1 ที่มากถึง 14,158.5% และมีอัตราเติบโตเฉลี่ยต่อปี (Compound Annual Growth Rate หรือ CAGR) อยู่ที่ 422.40%

Carro-Manit-Ghogar

สำหรับในตลาดประเทศไทยของ CARRO นายมานิต โกการ์ Country Manager (ผู้จัดการสาขาประเทศไทย) บริษัท คาร์โร (ประเทศไทย) จำกัด เปิดเผยทิศทางธุรกิจภาพรวมที่ผ่านมา ว่า “ณ ปัจจุบันนี้เราได้ดำเนินธุรกิจในประเทศไทยมากว่า 4 ปี ซึ่งในช่วงที่ผ่านมาที่มีสถานการณ์การแพร่ระบาดของไวรัส COVID-19 นับว่าเป็นช่วงเวลาที่ทุกธุรกิจต่างได้รับผลกระทบกันทุกส่วนทั่วโลก

ซึ่งภาพรวมของ CARRO เองนั้น ทั้งในสาขาที่ต่างประเทศและประเทศไทยเอง นับว่ารายได้ของเราในช่วงโควิด-19 ดีเกินคาดจากที่ประเมินไว้ เพราะในสถานการณ์แบบนี้ ผู้คนจำเป็นต้องใช้เงินสด และความต้องการใช้รถยนต์ยังมีอยู่ เพื่อเพิ่มความเป็นส่วนตัวในการเดินทาง หรือการหลีกเลี่ยงจากผู้คนมากมายในระบบขนส่งมวลชน เราจึงเป็นหนึ่งในตัวเลือกแรกๆ ที่คนส่วนใหญ่ใช้บริการ จึงทำให้เราตัดสินใจขยายธุรกิจในช่วงไตรมาสที่ 3 ของปี 2563 ที่ผ่านมา โดยได้ทำการแบ่งแฟลตฟอร์ม การซื้อ – ขายรถยนต์มือสองไว้ 4 กลุ่มใหญ่ๆ อย่างชัดเจน ได้แก่

  • กลุ่มที่ 1 Website : CARRO Express บริการสำหรับลูกค้าบ้านทั่วไปต้องการขายรถด่วน
  • กลุ่มที่ 2 CARRO Wholesale Application เป็นช่องทางการซื้อและขายผ่านการประมูลตลอดทั้งวัน
  • กลุ่มที่ 3 Partnership team การจับมือกับพันธมิตรทางธุรกิจของเรา เพื่อรองรับและอำนวยความสะดวกสำหรับลูกค้าที่ต้องการขายรถจากโชว์รูม รถองค์กร หรือ รถตัดทั่วประเทศ และ
  • กลุ่มที่ 4 ตลาดรถ ซึ่งเป็นช่องทางอีกทางหนึ่งที่ช่วยดีลเลอร์ขายรถในระบบออนไลน์ได้ง่ายมากยิ่งขึ้น

ซึ่งทั้ง 4 ช่องทางนี้ เรียกได้ว่าครอบคลุมและครบวงจรที่สุดในประเทศไทยตอนนี้ อีกทั้งเรายังสวนกระแสวิกฤติเศรษฐกิจโดยขยายทีมงานเพิ่ม ยิ่งแสดงให้เห็นว่าเรายังแข็งแกร่งในสภาวะเช่นนี้ จึงทำให้ CARRO Thailand นั้นเป็นครอบครัวที่ใหญ่มาก ซึ่ง ณ ปัจจุบัน CARRO ทั่วโลกมีสาขาอยู่ 4 ประเทศ ได้แก่ สิงคโปร์ (HQ) อินโดนีเซีย มาเลเซีย และประเทศไทย

Carro-Automall

และกลุ่มเป้าหมายที่ต้องการซื้อรถยนต์มือสองโดยตรงกับเรา CARRO จึงได้ขยายธุรกิจในช่วงไตรมาสที่ 4 ด้วยการเปิดโชว์รูม CARRO Automall (คาร์โร ออโต้มอลล์) ในย่านเกษตร-นวมินทร์ ศูนย์จำหน่ายรถยนต์มือสองคุณภาพเยี่ยม รับประกันคุณภาพทุกคัน จากทาง CARRO โดยตรงอีกด้วย

CARRO จัดว่าเป็นตลาดค้าส่งยานยนต์ที่ใหญ่ที่สุดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ จึงได้รับความเชื่อมั่นจากกลุ่มนักลงทุนในธุรกิจสตาร์ทอัพสูงมาก เมื่อเทียบกับธุรกิจสตาร์ทอัพเจ้าอื่น ซึ่งเรายังคงมุ่งเน้นและพัฒนาการให้บริการการซื้อและขายรถมือสองในรูปแบบออนไลน์ที่ดีที่สุด เพื่ออำนวยความสะดวกทุกขั้นตอนในการขายรถให้กับลูกค้าของ CARRO ทั่วประเทศไทย”

Carro-Fastest-Growing-Companies-2021

สำหรับผลการจัดอันดับ สามารถดูได้ตามตารางนี้

อันดับ บริษัท ประเภทธุรกิจ   อัตราการเจริญเติบโต (%) อัตราเติบโตเฉลี่ย ต่อปี (Compound Annual Growth Rate – CAGR) (%)   รายได้ในปี 2019 (สิงคโปร์ดอลล่าร์) รายได้ในปี 2016 (สิงคโปร์ดอลล่าร์) จำนวนพนักงาน 2019 จำนวนพนักงาน 2016
1 Carro Technology 14158.5% 422.40% 117,800,000 826,176 400 10
2 SCI Ecommerce E-commerce 7479.7% 323.20% 62,860,749 829,332 92 12
3 Roadbull Logistics Technology 3961.6% 243.70% 9,227,079 227,178 135 34
4 Ninja Van Logistics Transport 2736.7% 205.00% 340,400,000 12,000,000 25655 1633
5 Blue Wireless Telecoms 2367.5% 191.10% 3,818,537 154,752 25 4
6 RedDoorz Travel and leisure 2262.5% 186.90% 11,600,000 491,000 1556 49
7 BR Metals Waste management and recycling 1927.1% 178.90% 146,509,106 7,227,568 16 6
8 Coda Payments Fintech 1581.7% 162.00% 109,574,188 6,515,847 104 19
9 Thermomix Singapore/The Future of Cooking Retail 1488.8% 151.40% 11,395,916 717,285 10 8
10 WAVE Life Sciences Health 1267.9% 144.60% 21,609,815 1,579,775 301 96
11 Nium Fintech 999.2% 122.30% 9,981,000 908,000 334 118
12 SQREEM Technologies Technology 941.2% 118.40% 7,596,009 729,554 101 32
13 Ecommerce Enablers E-commerce 851.4% 111.90% 38,608,803 4,058,029 465 120
14 Redhill Communications Advertising 788.4% 107.10% 4,345,204 489,126 75 16
15 Prince Education Education 700.0% 100.00% 2,000,000 250,000 8 3
16 Grain Food and beverage 612.9% 92.50% 13,580,000 1,905,000 155 33
17 Sing Fuels Transport 515.9% 87.50% 571,201,043 92,739,790 28 13
18 I Switch Energy 552.5% 86.90% 129,738,185 19,882,095 57 11
19 Declarators Transport 539.4% 85.60% 1,512,319 236,539 24 9
20 2C2P Fintech 480.1% 83.80% 109,973,865 18,957,088 343 168
21 Fundnel Fintech 493.6% 81.10% 5,796,679 976,567 28 14
22 A-Plus Automation Industrial goods 376.3% 68.30% 27,930,782 5,863,775 13 11
23 Aem Holdings Industrial goods 360.8% 66.40% 323,130,000 70,123,000 527 295
24 Ahrefs Technology 311.6% 63.90% 68,199,278 16,568,173 25 13
25 Penguin International Industrial goods 308.1% 59.80% 136,337,000 33,405,000 n/a n/a
26 Sunseap Group Energy 308.0% 59.80% 103,410,983 25,346,563 185 82
27 Align Group Management consulting 306.2% 59.60% 1,913,558 471,137 18 8
28 AJ2 Holdings Interiors 256.7% 52.80% 5,350,000 1,500,000 34 10
29 MiRXES Technology 255.5% 52.60% 3,592,530 1,010,529 40 7
30 SirionLabs Technology 229.4% 52.20% 15,396,141 4,673,885 450 180
31 Gushcloud Media 248.2% 51.60% 23,853,108 6,850,632 200 50
32 Bluconnection Fashion 212.3% 49.50% 51,861,504 16,604,818 8 6
33 Vita Group Industrial goods 208.8% 45.60% 15,049,463 4,873,202 8 4
34 KSE Marine Works Construction 208.6% 45.60% 24,700,000 8,003,000 120 30
35 90 Seconds Technology 181.1% 44.30% 10,095,757 3,591,872 67 87
36 Wewe Media Group Sales and marketing 175.5% 43.40% 13,026,783 4,728,733 8 7
37 OneCare Medical Health 183.9% 41.60% 16,406,221 5,778,103 180 80
38 The Drinkery Food and beverage 179.0% 40.80% 3,411,324 1,222,675 10 4
39 FoodLine.sg E-commerce 159.9% 37.50% 2,561,723 985,730 18 8
40 Atlantic Navigation Holdings Support services 139.9% 36.90% 103,456,162 43,119,744 n/a n/a
41 Mlion Corporation Industrial goods 130.9% 35.20% 74,619,684 32,313,957 13 10
42 Union Gas Holdings Energy 120.6% 30.20% 78,801,000 35,725,000 228 121
43 Rewind Networks Media 95.0% 27.80% 7,478,889 3,835,192 12 9
44 Resonant Networks Telecoms 98.0% 25.60% 5,328,687 2,690,803 18 12
45 GKE Corporation Transport 91.1% 24.10% 107,262,000 56,130,000 939 332
46 Data Connect Technologies Technology 88.8% 23.60% 5,671,945 3,003,687 45 16
47 UnUsUal Travel and leisure 82.8% 22.30% 61,942,680 33,883,020 n/a n/a
48 Rolling Arrays Consulting Technology 81.5% 22.00% 7,346,132 4,046,369 45 37
49 Actspand Food and beverage 81.0% 21.90% 2,082,430 1,150,283 18 9
50 ESCO Technology 77.4% 21.10% 37,218,835 20,979,521 61 45
51 clickTRUE Management consulting 75.7% 20.70% 9,003,000 5,124,000 35 40
52 Yongmao Holdings Industrial goods 55.4% 18.80% 186,003,395 119,667,100 n/a n/a
53 Boustead Singapore Industrial goods 67.5% 18.80% 726,561,000 433,847,000 1135 748
54 DTC World Corporation Sales and marketing 65.2% 18.20% 17,323,663 10,484,852 31 19
55 Connect Group Travel and leisure 63.6% 17.80% 10,758,586 6,574,689 159 92
56 Procurri Corporation Technology 63.0% 17.70% 221,289,000 135,750,000 496 350
57 Baker & Cook Food and beverage 60.7% 17.10% 12,187,585 7,586,015 147 95
58 Sen Yue Holdings Waste management and recycling 59.9% 16.90% 243,442,000 152,224,000 n/a n/a
59 Builders Alliance Construction 59.4% 16.80% 12,777,334 8,015,920 88 79
60 Ti2 Logistics Transport 59.3% 16.80% 12,707,284 7,975,492 22 19
61 Koda Interiors 45.8% 16.00% 78,272,879 53,686,295 2070 n/a
62 IFAST Corporation Fintech 55.6% 15.90% 125,411,120 80,596,370 n/a n/a
63 The Advocators & Co Sales and marketing 55.1% 15.70% 2,137,208 1,378,332 6 4
64 Tesha Corporation Retail 43.4% 15.30% 3,375,229 2,354,459 2 1
65 INTELORG Retail 42.8% 15.20% 310,753,807 217,688,955 15 11
66 QXY Resources Construction 50.3% 14.60% 38,606,778 25,682,101 109 83
67 Katrina Group Restaurants 48.5% 14.10% 84,356,000 56,823,000 n/a n/a
68 EDIT SUITS Fashion 43.6% 12.80% 3,681,152 2,562,814 19 12
69 Decision Science Agency Management consulting 43.3% 12.70% 6,284,908 4,385,306 37 35
70 Powermatic Data Systems Technology 41.0% 12.10% 21,756,000 15,432,000 n/a n/a
71 Benjamin Barker Aust Retail 39.9% 11.80% 13,401,773 9,579,210 77 53
72 Singapore O&G Health 38.7% 11.50% 39,800,000 28,700,000 82 55
73 Geo Energy Group Energy 27.8% 11.00% 336,807,626 263,452,939 188 163
74 E-Tech Building Services Support services 30.8% 9.40% 9,524,276 7,279,974 180 75
75 EOS Furniture Retail 30.2% 9.20% 4,381,917 3,366,612 14 15

หมายเหตุ : ผลการจัดอันดับนี้ เป็นการรวมรายได้จากผลประกอบการของแต่ละบริษัทต่างๆ ในระหว่างปี 2016 ถึง 2019

ถ้าคุณอยากขายรถด่วน เพื่อไปซื้อรถคันใหม่ หรือรับเงินก้อนไปใช้สามารถขายรถคันเก่า หรือตีราคารถกับทาง CARRO ได้ ง่ายๆ ได้เงินไว! กับ CARRO Express เพียงแค่คลิก https://th.carro.co/sell-car/express หรือสามารถ Inbox มาขอรายละเอียดได้ที่ Facebook CARRO Thailand

หรือจะ Add Line สอบถามรายละเอียดได้ที่ @Carrothai หรือคลิกที่นี่ —> เพิ่มเพื่อน

ขอขอบคุณข้อมูลจาก

Prevent-Back-Pain-While-Driving

ขับรถบ่อย ๆ นั่งอยู่หลังพวงมาลัยวันละหลาย ๆ ชั่วโมง ไม่ว่าจะเป็นการขับฝ่ารถติดในคืนวันศุกร์แห่งชาติ หรือเดินทางไปเที่ยวพักผ่อนต่างจังหวัด หากคุณไม่ได้ปรับท่านั่งในการขับรถให้ดี ระวังจะมีปัญหาปวดหลัง ปวดเอวเมื่อเดินทางถึงที่หมาย ซ้ำร้ายกว่านั้น หากต้องขับรถในท่าทางที่ไม่ถูกต้องอยู่เป็นประจำ อาจส่งผลให้ปวดหลังเรื้อรัง อีกทั้งอาจทำให้ขับรถไม่ปลอดภัยอีกด้วย เราจึงได้รวบรวมเทคนิคขับรถไม่ให้ปวดหลัง ซึ่งจะช่วยให้คุณมีท่าทางในการขับรถที่ถูกต้องเมื่ออยู่หลังพวงมาลัย ซึ่งจะช่วยให้คุณสามารถขับรถได้อย่างสบาย อีกทั้งยังเพิ่มความปลอดภัยในการขับขี่ด้วยเช่นกัน

Prevent-Back-Pain-While-Driving

มานั่งขับรถให้ถูกวิธีกันดีกว่า Roojai.com จะพาทุกคนไปดูวิธีปรับท่านั่งบนรถให้ถูกวิธี หนีอาการปวดหลังเมื่อต้องอยู่บนรถนาน ๆ วิธีการจะเป็นอย่างไร ตามไปดูกันเลย

ขับรถไม่ให้ปวดหลัง เรื่องง่าย ๆ แค่ปรับเบาะกับท่าทาง

คนขับรถหลาย ๆ คนมักจะเข้าใจผิดว่าการขับรถให้สบายนั้น ควรจะปรับเอนหลังเบาะลงไปเยอะหน่อย แล้วนั่งพิงหลังไป วางแขนวางเท้าให้สบาย จะทำให้สามารถขับรถได้ผ่อนคลายและร่างกายไม่เมื่อยล้า ซึ่งทั้งหมดนี้เป็นความเชื่อที่ผิดเกี่ยวกับการปรับเบาะไม่ให้ปวดหลัง เพราะการขับรถนั้น ร่างกายหลาย ๆ ส่วนต้องทำงานให้สอดคล้องกัน เพื่อควบคุมรถของคุณให้ขับเคลื่อนไปได้อย่างปลอดภัย ใช้สายตาในการมองจ้องไปบนท้องถนนตลอดเวลา แขนทั้งสองข้างถือพวงมาลัย เตรียมเลี้ยวซ้าย เลี้ยวขวา เปลี่ยนเกียร์ และต้องใช้เท้าในการเหยียบคันเร่ง เหยียบเบรก เพื่อขับเคลื่อนรถไปข้างหน้า

ซึ่งถ้าคุณปรับเบาะเอนหลังต่ำจนเกินไป การมองเห็นของคุณก็จะทำได้ไม่ดี เหลือพื้นที่กระจกให้คุณสามารถมองเห็นได้น้อยลง จะมองกระจกข้างทีก็ต้องยกตัวขึ้นมา ชะโงกหน้า เอี้ยวตัวหลายครั้งกว่าจะเห็นจนชัด ต้องเอื้อมมือหรือยืดแขนมาบังคับพวงมาลัย ซึ่งส่งผลให้ต้องเกร็งแขนยกไหล่ตลอดเวลาที่ขับรถ เท้าเหยียบคันเร่ง เหยียบเบรกไม่ถนัด เพราะถอยเบาะไกลจากคันเร่งเกินไป ทำให้ต้องเกร็งขาเอาไว้ตลอดเวลาที่ขับรถ ทั้งหมดนี้เป็นปัจจัยที่ทำให้เกิดอาการปวดหลังได้ นอกจากนี้ยังเพิ่มความเสี่ยงในการเกิดอุบัติเหตุในการขับรถอีกด้วย เพราะท่าทางที่ไม่ถูกต้องส่งผลให้บังคับรถได้ไม่ดีเท่าที่ควร

Prevent-Back-Pain-While-Driving

ดังนั้น การปรับเบาะ ปรับท่าทางในการขับรถของคุณให้อยู่ในตำแหน่งที่เหมาะสม จะช่วยลดอาการเกร็งส่วนต่าง ๆ เพิ่มประสิทธิภาพในการตอบสนองของร่างกายเมื่อเกิดเหตุไม่คาดฝัน ช่วยให้มองเห็นถนนได้ดียิ่งขึ้น ลดการเอี้ยว การเอื้อม เพื่อมองกระจกข้าง กระจกหลังให้เห็นได้ชัดเจน โดยมีเทคนิคง่าย ๆ ดังนี้

  1. ปรับพนักพิงเอนหลังเล็กน้อยก็พอ

สำหรับองศาของพนักพิงเอนหลังจะอยู่ที่ประมาณ 110 องศา ซึ่งจะไม่ใช่การเอนเบาะลงไปมาก ๆ อย่างที่คุณเข้าใจว่าจะทำให้เกิดความสบาย แต่การปรับเบาะตามคำแนะนำนี้ จะช่วยให้คุณมีระยะในการมองเห็น หรือได้ทัศนวิสัยข้างหน้าสมบูรณ์ที่สุด ช่วยลดการชะเง้อ เบี่ยงตัว หันซ้าย หันขวา รวมทั้งไม่ต้องเอื้อมไปจับพวงมาลัยให้หัวไหล่ถูกใช้งานหนักตลอดเวลาด้วย

  1. ปรับเบาะนั่งขับรถ ให้ห่างแบบพอดี

การเลื่อนเบาะออกไปห่างจนเกินไป ส่งผลให้คุณจับพวงมาลัย และเหยียบคันเร่งได้ไม่ถนัด ซึ่งอาจจส่งผลให้เหยียบเบรกได้ไม่สุด หรือตอบสนองได้ไม่ดีเมื่อมีอุบัติเหตุเกิดขึ้น การเลื่อนเบาะให้อยู่ในระยะที่พอดี สามารถเหยียบคันเร่งและเบรกได้แบบเต็ม ๆ เท้า หัวเข่างอเล็กน้อย ช่วงแขนถึงพวงมาลัยอยู่ในระยะที่จับพวงมาลัยได้ถนัด สามารถบังคับทิศทางได้ง่าย จะช่วยให้คุณสามารถขับรถได้สบายมากขึ้น โดยที่คงความปลอดภัยสูงสุดเอาไว้

Prevent-Back-Pain-While-Driving

  1. ปรับความสูงเบาะรถยนต์ ให้สอดคล้องกับความสูงคุณ

รถยนต์รุ่นใหม่ ๆ ที่เป็นเบาะไฟฟ้าจะสามารถปรับความสูงของเบาะนั่งขึ้นลงได้ด้วย ซึ่งถ้าหากคุณเป็นคนตัวเล็ก ก็ควรยกเบาะให้สูงขึ้นเพื่อที่จะได้มองเห็นถนนได้ชัดเจนมากขึ้น ไม่ใช่เห็นพื้นที่ตรงคอนโซลเยอะจนเกินไป สำหรับคนตัวสูงก็ควรปรับเบาะลงมาให้ต่ำ โดยระยะห่างที่แนะนำระหว่างศีรษะถึงหลังคาจะอยู่ที่หนึ่งกำปั้น ซึ่งคุณสามารถเช็คได้ง่าย ๆ ด้วยตัวเองว่าปรับความสูงเบาะได้ระดับที่เหมาะสมหรือยัง

  1. ปรับพวงมาลัย ระยะห่างพวงมาลัยให้เหมาะสม

เช่นเดียวกันกับเรื่องการปรับเบาะที่นั่ง พวงมาลัยของรถยนต์รุ่นใหม่  ๆ สามารถปรับระดับได้ทั้งดึงเข้า ดึงออก และสูงขึ้นหรือต่ำลง คุณจึงหาระยะที่เหมาะสมที่จะทำให้คุณสามารถบังคับพวงมาลัยได้ถนัดมากที่สุด ไม่ต้องเกร็งร่างกายเมื่อต้องขับรถเป็นเวลานาน ๆ

  1. จับพวงมาลัยให้ถูกวิธีก็สำคัญ

อีกหนึ่งเรื่องที่มองข้ามไม่ได้เลยคือการจับพวงมาลัยให้ถูกต้อง เนื่องจากเป็นอุปกรณ์ที่ใช้ในการควบคุมรถยนต์ ซึ่งจะต้องอยู่ในมือของคุณตลอดการขับขี่ การจับพวงมาลัยหลวมหรือแน่นเกินไป นอกจากจะทำให้เมื่อยแล้ว ยังทำให้ไม่สามารถบังคับพวงมาลัยให้ดีได้เท่าที่ควร ตำแหน่งการจับพวงมาลัยที่ถูกต้อง มือของคุณจะต้องอยู่ที่ตำแหน่ง 9 และ 3 นาฬิกา ซึ่งจะช่วยให้คุณสามารถหมุนพวงมาลัยได้ถนัดและไม่หลุดมือนั่นเอง

  1. ปรับหัวเบาะให้รองรับคอให้พอดี

การขับขี่ทางไกล หรือการขับรถที่ใช้เวลานาน ควรปรับหัวเบาะของพนักพิงให้รองรับกับช่วงศีรษะและลำคอของคุณด้วย เพราะนอกจากจะทำให้คุณได้ใช้โอกาสพิงเพื่อผ่อนคลายความเมื่อยล้าที่คอของคุณแล้ว ในกรณีที่เกิดอุบัติเหตุขึ้นมา เจ้าเบาะนี้จะทำหน้าที่ช่วยรองรับแรงกระแทกที่เกิดขึ้นจากการชน ช่วยลดอาการบาดเจ็บที่จะเกิดขึ้นกับคอหรือศีรษะของคุณได้ ซึ่งเป็นอีกเรื่องที่ไม่ควรมองข้ามเช่นกัน

  1. ปรับกระจกมองข้างให้เป็นมุมกว้าง

การขับรถที่ดีต้องมีทัศนวิสัยในการขับขี่ที่สมบูรณ์ด้วย การปรับกระจกมองข้างจึงควรปรับให้เห็นเป็นมุมกว้าง เห็นรถคันอื่นชัด ๆ เห็นพื้นที่ถนนเยอะ ๆ มากกว่าที่จะเห็นตัวรถของคุณเป็นหลัก โดยให้กระจกข้างตั้งฉากกับตัวรถของคุณ จะได้เห็นสิ่งรอบข้างได้อย่างชัดเจน

  1. ปรับกระจกหลัง ให้เห็นรถหลังที่ขับตามมา

ซึ่งควรปรับแบบตรง ๆ ให้เห็นถนนด้านหลังทั้งหมดได้อย่างชัดเจน ซึ่งจะทำให้คุณสามารถมองกระจกหลังได้ง่ายขึ้น ร่างกายไม่ต้องยืดขึ้นยืดลง เอี้ยวไปเอี้ยวมา เพื่อทำให้เห็นรถข้างหลังได้อย่างชัดเจน เป็นอีกหนึ่งเทคนิคขับรถไม่ให้ปวดหลัง ที่ทำได้ง่ายและมอบความปลอดภัยในการขับรถให้คุณด้วย

เมื่อปรับท่าทางการนั่งให้ถูกต้องตามหลักสรีระแล้ว การขับรถทางไกล หรือผจญรถติดในเมืองก็ไม่ใช่ปัญหา นอกจากจะช่วยให้ขับรถได้สบายมากขึ้นแล้ว ยังเพิ่มความปลอดภัยในการขับขี่ให้คุณได้ด้วย โดยเทคนิคขับรถไม่ให้ปวดหลังที่เรานำมาฝากคุณในวันนี้ ก็สามารถนำไปปฏิบัติตามกันได้ง่าย ๆ และได้ผลดีมากมายเกินกว่าที่คิดไว้อย่างแน่นอน ในเมื่อปรับท่าทางให้ถูกต้องได้แล้ว คุณจะสังเกตเห็นได้เลยว่าอาการล้า ปวดหลังหายไป สามารถขับรถได้สบายมากขึ้นกว่าที่เคย นอกจากนี้ต้องไม่ลืมคาดเข็มขัดนิรภัยให้ถูกต้องทุกครั้งที่ขับรถ เพื่อช่วยปกป้องคุณจากสิ่งไม่คาดฝันบนท้องถนนด้วย

ที่ Roojai.com เราให้บริการประกันรถออนไลน์ ช่วยคุ้มครองคุณและรถยนต์ของคุณจากอุบัติเหตุบนท้องถนนได้ เข้ามาเช็คราคาด้วยตัวคุณเองได้ผ่านทางเว็บไซต์ของเราออนไลน์ฟรีตลอด 24 ชั่วโมง เพียงกรอกข้อมูลของรถและคนขับ ภายในไม่กี่นาที คุณก็จะได้แผนประกันภัยที่คุณต้องการ และยังปรับแผนได้เองตามที่ต้องการอีกด้วย ระบบจะแจ้งเบี้ยประกันให้คุณทราบพร้อมรายละเอียดความคุ้มครองทั้งหมด บริการรู้ใจกว่า ประหยัดกว่า…

และถ้าหากไม่อยากพลาดโปรโมชั่นใหม่ ๆ และเรื่องราวดี ๆ ก็สามารถ add Official Line ของเราได้ที่ http://nav.cx/8tzQPw8

Mitsuoka-Himiko-ม้า-อรนภา

ย้อนเวลากลับไปในช่วงปลายปีที่แล้ว คงไม่มีใครคาดคิดว่าคนที่อยู่วงการบันเทิงมาหลายสิบปี อย่าง “ม้า อรนภา กฤษฎี” จะออกมาแสดงออกทางการเมืองของเหล่า นิสิต นักศึกษา และนักเรียน ที่ชูสามนิ้วและผูกโบว์ขาว ด้วยคำพูดที่ค่อนข้างรุนแรง จนกลายเป็นดราม่าในโลกออนไลน์

จากกระแสสังคมดังกล่าว ม้า-อรนภา จึงถูกปลดออกจากรายการที่ทำอยู่ทั้งหมด และตกงานมาตั้งแต่ปลายปีที่แล้ว ต้องมาช่วยแม่ไลฟ์สดขายห่อหมก ขายของลูกค้า หรือนำเสื้อผ้าแบรนด์เนมออกมาขาย ล่าสุดประกาศขายรถสปอร์ตสุดหรู คลาสสิค ที่มีชื่อว่า Mitsuoka Himiko (มิทสึโอกะ ฮิมิโกะ) อีกด้วย หลังจากได้ Toyota Corolla Cross ป้ายแดง ที่แฟนหนุ่มได้ซื้อมาให้ใช้เป็นที่เรียบร้อย

MR.CARRO คิดว่าหลายคนอาจยังไม่รู้ว่า รถที่ ม้า อรนภา ใช้อยู่ เป็นรถที่มีชื่อเสียงเรียงนามมาจากไหน ใครเป็นคนขาย วันนี้เลยขอโอกาสมาเล่าให้ฟังกันครับ …

Mitsuoka-Himiko

บริษัท Mitsuoka Motor นับเป็นผู้ผลิตรถยนต์รายเล็กของญี่ปุ่น ก่อตั้งเมื่อ 1 กุมภาพันธ์ 1968 โดย Susumu Mitsuoka เน้นจุดขายที่คุณค่าที่อยู่เหนือกาลเวลา ความคลาสสิคของรถในสไตล์อังกฤษ หรือสไตล์อเมริกันในยุค 50 และ 60 ซึ่งสามารถใช้งานได้จริงในยุคปัจจุบัน และในช่วงแรกเริ่มของบริษัท มีจะผลิตรถยนต์ขนาดจิ๋ว Micro Car ด้วย

สำหรับรถยนต์ที่มีชื่อเสียงในอดีตของค่ายนี้ ก็มีอย่างเช่น BUBU, MC-1, Zero-1, SSK, Speedster, Ray, Ryoka, Le-Seyde, Orochi หรือ Like เป็นต้น

Mitsuoka-Motor-Famous-Cars

โดย Mitsuoka เริ่มนำรถยนต์ขนาดใหญ่มาตกแต่ง จริงๆ จังๆ เป็นครั้งแรกด้วยการนำ Nissan Silvia (S13) มาตกแต่งใหม่ให้เป็นรถยนต์สปอร์ตคลาสสิค ในชื่อรุ่น Le-Seyde ในปี 1990 ที่จำลองแบบมาจากรถ Zimmer Golden Spirit เพียง 500 คันเท่านั้น

ภายหลังจึงเริ่มขยายสู่ตลาด Mass มากขึ้น ด้วยการนำรถยนต์จากค่ายรถชื่อดังหลายแบรนด์ อาทิ Toyota, Nissan หรือ Mazda มาดัดแปลงให้เป็นรถยนต์แบบคลาสสิก ด้วยช่างฝืมือผู้ชำนาญงาน ประกอบด้วยมือ ซึ่งใช้เวลาผลิตต่อคันอยู่ที่ประมาณ 3-9 เดือน

ปัจจุบัน Mitsuoka มีรถยนต์ขายหลากหลายรุ่น อาทิ Viewt, Galue, Ryuki, Rock Star, Himiko, Buddy และสามล้ออย่าง Like-T3 เป็นต้น

Mitsuoka-Himiko

สำหรับ Mitsuoka เข้ามาในไทยได้อย่างไรนั้น? ก็ต้องขอบอกเลยว่า บริษัท มิทสึโอกะ มอเตอร์เซลส์ (ประเทศไทย) จำกัด จับมือกับทาง ยนตรกิจ คอร์ป ในวันที่ 15 กันยายน 2553 ลงขันเปิดบริษัทร่วมกัน ในสัดส่วนการลงทุนระหว่าง Mitsuoka Motor ประเทศญี่ปุ่น ถือหุ้น 45% กับยนตรกิจ คอร์ปอเรชั่น ถือหุ้น 40% ที่เหลือเป็นบริษัทอื่นๆ

เตรียมพร้อมตั้งฐานประกอบรถในไทย โดยใช้โรงงานประกอบรถยนต์ ของยนตรกิจอุตสาหกรรม ย่านร่มเกล้า หลังจากที่แต่งตั้งให้เป็นผู้แทนจำหน่ายมาตั้งแต่ปี 2551 หวังเปิดตลาดส่งออกในภูมิภาคอาเซียน ตะวันออกกลาง ประเดิมเปิดไลน์ประกอบ 2 รุ่น Galue IV และ Himiko ในปี 2554 แต่ก็ทำตลาดในบ้านเราถึงปี 2559 ก็ตัดสินใจยุบตลาด ถอยทัพกลับประเทศไป …

Mitsuoka-Himiko

Mitsuoka Himoko (มิทสึโอกะ ฮิมิโกะ) เป็นยนตรกรรมสปอร์ตคลาสสิค 2 ที่นั่ง เปิดตัวครั้งแรกในปี 2008 โดยนำพื้นฐานของ Mazda Roadster (หรือ Mazda MX-5) รหัสรุ่น NC มาตกแต่งใหม่ด้วยช่างผู้ชำนาญมากถึง 45 คน

ตั้งชื่อรุ่นรถตามองค์ราชินี “ฮิมิโกะ” ผู้ปกครองอาณาจักร “ยามาไต” ซึ่งเป็นอาณาจักรโบราณที่มีอยู่จริงประมาณ 1,800 ปีมาแล้ว ให้ภาพความสง่างาม เกียรติยศ และรัศมีแห่งความงดงามที่เปี่ยมคุณค่า น่าหลงใหล มีพลังที่น่าดึงดูดใจตามรูปลักษณ์ของราชินี Himiko อย่างแท้จริง ในราคา 3,750,000 บาท

ตัวรถภายนอก ออกแบบโดย Takanori Aoki ผสมผสานกลมกลืนระหว่างรถยนต์สมัยใหม่ กับเส้นสายโค้งมนของรถคลาสสิค แบบ Long-Nose / Short-Deck กล่าวคือ อัตราส่วนระหว่าง ความยาวของบังโคลนหน้ากับช่วงท้ายรถ เป็นอัตราส่วนทอง คือ 7 : 3 งดงามเปรียบประดุจอัญมณีล้ำค่า แลดูยังคล้ายกับรถ Jaguar XK120 และ Morgan Aero 8 อีกด้วย

ใช้เครื่องยนต์ขนาด 2.0 ลิตร แบบ 4 สูบ DOHC 16 วาล์ว ให้แรงม้าสูงสุด 162 แรงม้า ที่ 6,700 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 189 นิวตัน-เมตร ที่ 5,000 รอบ/นาที ส่งกำลังผ่านเกียร์อัตโนมัติ 6 สปีด พร้อม Manual Shift Mode ขับเคลื่อนล้อหลัง เปิดประทุนได้เพียงปลายนิ้วสัมผัส ในเวลา 12 วินาที

Mitsuoka-Himiko-Classic

ในปี 2555 ได้เปิดตัว Mitsuoka Himiko Classic ตกแต่งพิเศษด้วยตัวถังสีทูโทน Brilliant Black / Strong Red เบาะที่นั่งพร้อมแผงประตูหนังแท้สีแดง ตัดเย็บด้วยช่างฝีมือประณีต ภายในตกแต่งด้วยลายไม้สวยเก๋ คลาสสิคอย่างเหมาะเจาะลงตัว เพิ่มความหรูหราอีกระดับด้วยคิ้วโครเมี่ยมรอบคัน ผลิตเพียง 20 คัน เท่านั้น ในราคา 3,880,000 บาท

Mitsuoka-Himiko-Limited-Edition-2015

จนในเดือนมิถุนายน 2558 เปิดตัว Mitsuoka Himiko Limited Edition High Impack Color ในงาน Bangkok Auto Salon 2015 ออกแบบด้วยสีสันตัวรถที่สดใส ใช้โทนเขียวและส้ม ตกแต่งด้วยสติ๊กเกอร์ดำ เอาใจคนรักสปอร์ตสไตล์คลาสสิก ใช้ล้อแม็กสีดำขนาด 17 นิ้ว ท่อไอเสียคู่ ที่ออกแบบมาเพื่อรถยนต์รุ่นนี้โดยเฉพาะ โดยพัฒนาร่วมกับ TRUST / GReddy บริษัทผู้ผลิตอุปกรณ์ตกแต่งในประเทศญี่ปุ่น ที่ได้รับการยอมรับจากทั้ง Race & Street Tuner

ภายในห้องโดยสาร ตกแต่งด้วยโทนเขียวและส้ม ผลิตจำนวนจำกัดเพียง 10 คันเท่านั้น ในราคา 3,980,000 บาท!

แล้วก็หายไปเงียบจากท้องตลาด!

ส่วนถ้าใครอยากขายรถตอนนี้ หรือกำลังตัดสินใจจะซื้อรถป้ายแดงอยู่พอดี แต่งบไม่พอ! ขายรถคันเดิมของคุณกับทาง CARRO ดูได้ ลงประกาศขายรถฟรี โดยได้ราคาที่คุณพอใจ พร้อมปิดการขายภายใน 24 ชั่วโมง! กับ CARRO Express แค่คลิก https://th.carro.co/sell-car/express หรือจะ Inbox สอบถามรายละเอียดได้ที่ Facebook CARRO Thailand

และ Add Line สอบถามรายละเอียดได้เช่นกัน ที่ @Carrothai คลิกที่นี่ —> เพิ่มเพื่อน

ขอขอบคุณข้อมูลบางส่วนจาก