All-New-Honda-City-Hatchback-And-Hybrid-2021

Honda City (ฮอนด้า ซิตี้) เป็นหนึ่งในรถโมเดลสำคัญของ Honda ที่ได้รับความนิยมจากลูกค้าในไทยตั้งแต่ปี 2539 จนสามารถครองตำแหน่งผู้นำในตลาด Sub-Compact ในไทยได้อย่างต่อเนื่อง ล่าสุดกับ Honda City เจเนอเรชันที่ 5 ที่เพิ่งเปิดตัวไปเมื่อเดือนพฤศจิกายน 2562 เป็นครั้งแรกที่แนะนำเครื่องยนต์เทอร์โบ 1.0 ลิตร เข้าสู่ตลาด

และได้รับกระแสตอบรับที่ดีเยี่ยม ด้วยยอดจำหน่ายและยอดจองรวมกว่า 35,000 คัน ภายในเวลาหนึ่งปีหลังเปิดตัว ในครั้งนี้ ฮอนด้า ซิตี้ จะกลับมาสร้างปรากฏการณ์ และยกระดับมาตรฐานใหม่ ให้กับรถซิตี้คาร์อีกครั้ง ด้วยการแนะนำ ฮอนด้า ซิตี้ 2 รุ่นใหม่ …

All-New-Honda-City-Hatchback-2021

Honda City Hatchback 2021 (ฮอนด้า ซิตี้ แฮทช์แบ็ก)

ครั้งแรกในโลกกับการเผยโฉมฮอนด้า ซิตี้ ในรูปแบบ 5 ประตู กับ Honda City Hatchback ใหม่ ที่ประเทศไทย ผสานเอกลักษณ์ความอเนกประสงค์กับเบาะนั่ง อัลตราซีท (ULTR) และการขับขี่ที่สนุกสนานกับ ขุมพลังเทอร์โบ เครื่องยนต์ 1.0 ลิตร DOHC VTEC TURBO ให้สมรรถนะการขับขี่สูงถึง 122 แรงม้า ที่ 5,500 รอบ/นาที แรงบิด 173 นิวตัน-เมตร ที่ 2,000 – 4,500 รอบ/นาที ประหยัดน้ำมันดีเยี่ยมถึง 23.3 กม./ลิตร ตอบสนองทุกการขับขี่ด้วยระบบควบคุมการเปลี่ยนเกียร์ที่พวงมาลัยแบบ 7 สปีด และสามารถรองรับน้ำมัน E20

All-New-Honda-City-Hatchback-2021

ภายนอกโดดเด่นด้วยไฟหน้าแบบโปรเจคเตอร์ พร้อมไฟ Daytime Running Light แบบ LED และไฟท้ายแบบ LED กระจังหน้าแบบโครเมียม เสาอากาศแบบครีบฉลาม และล้ออัลลอยขนาด 15 นิ้ว ภายในห้องโดยสารหรูหราสวยงามในโทนสีดำ มาพร้อมเบาะหนัง (เฉพาะรุ่น SV) คอนโซลหน้าแบบ Piano Black มือจับเปิดประตูด้านในตกแต่งโครเมียม

All-New-Honda-City-Hatchback-2021

ตอบสนองทุกการขับขี่ด้วยฟังก์ชันการใช้งานระดับพรีเมียม อาทิ หน้าจอแสดงข้อมูลการขับขี่ พร้อมมาตรวัดเรืองแสง ระบบเครื่องเสียงหน้าจอสัมผัสขนาด 8 นิ้ว แบบ Advanced Touch รองรับการเชื่อมต่อ Apple CarPlay และระบบสั่งการด้วยเสียง SIRI พวงมาลัยแบบมัลติฟังก์ชัน พร้อมปุ่มควบคุมระบบเครื่องเสียงและปุ่มรับ-วางสายโทรศัพท์ และระบบปรับอากาศอัตโนมัติ และเทคโนโลยีเชื่อมต่อรถยนต์ และทำงานผ่านแอปพลิเคชันบนสมาร์ตโฟน Honda CONNECT

All-New-Honda-City-Hatchback-2021

ในส่วนของเบาะนั่ง อัลตรา ซีท (ULTR) แยกพับแบบ 60:40 ที่ปรับเปลี่ยนเพื่อเพิ่มพื้นที่ใช้สอยอเนกประสงค์ได้ถึง 4 โหมด พร้อมห้องสัมภาระท้ายขนาดใหญ่ อันเป็นเอกลักษณ์ของฮอนด้า ได้แก่

  • Utility Mode: เบาะด้านหลังทั้ง 2 ด้านปรับพับเรียบ เพิ่มพื้นที่เก็บของด้านหลัง
  • Long Mode: เบาะด้านหน้าและด้านหลังปรับพับ เพิ่มพื้นที่เก็บของในแนวยาว
  • Tall Mode: เบาะด้านหลังพับขึ้น เพิ่มพื้นที่เก็บของในแนวสูง
  • Refresh Mode: เบาะด้านหน้าพับเชื่อมต่อกับเบาะด้านหลัง สร้างพื้นที่ผ่อนคลายสะดวกสบายสูงสุด

และสปอร์ตยิ่งขึ้นกับ ฮอนด้า ซิตี้ แฮทช์แบ็ก ใหม่ รุ่น RS ด้วยชุดแต่งสไตล์สปอร์ตแบบ RS รอบคัน โดดเด่นด้วยกระจังหน้าแบบ Gloss Black และสัญลักษณ์ RS มาพร้อมกันชนหน้าและกระจังหน้าสไตล์สปอร์ต ไฟหน้าแบบ LED พร้อมไฟ Daytime Running Light แบบ LED ไฟตัดหมอกแบบ LED กระจกมองข้างสีดำแบบสปอร์ต ปรับและพับไฟฟ้าพร้อมไฟเลี้ยวในตัว สปอยเลอร์หลังตกแต่งสีดำแบบสปอร์ต พร้อมสัญลักษณ์ RS และล้ออัลลอยดีไซน์สปอร์ตขนาด 16 นิ้ว

All-New-Honda-City-Hatchback-2021

ภายในห้องโดยสาร สปอร์ตยิ่งขึ้นด้วยเบาะหนังกลับดีไซน์ใหม่ตกแต่งแถบสีแดง มาพร้อมพนักเท้าแขนด้านหลังพร้อมที่วางแก้ว หน้าจอแสดงข้อมูลการขับขี่ พร้อมมาตรวัดเรืองแสงสีแดง พร้อม Honda CONNECT และสีภายนอก สีแดงอิกไนต์ (Ignite Red) เฉพาะรุ่น RS

ครบครันด้วยเทคโนโลยีความปลอดภัย ด้วยโครงสร้างตัวถังนิรภัย G-Force Control หรือ G-CON ปกป้องห้องโดยสารจากการชนรอบทิศทางด้วยถุงลม 6 ตำแหน่ง ระบบเบรกป้องกันล้อล็อก (ABS) พร้อมระบบกระจายแรงเบรก (EBD) ระบบช่วยควบคุมการทรงตัวขณะเข้าโค้ง (Vehicle Stability Assist – VSA) ระบบช่วยการออกตัวขณะอยู่บนทางลาดชัน (Hill Start Assist – HSA) และกล้องส่องภาพด้านหลังปรับมุมมองได้ 3 ระดับ (Multi-angle Rearview Camera) เป็นต้น

All-New-Honda-City-Hatchback-2021

ฮอนด้า ซิตี้ แฮทช์แบ็ก ใหม่ มีให้เลือกทั้งหมด 3 รุ่น ได้แก่

  • รุ่น S+ ราคา 599,000 บาท
  • รุ่น SV ราคา 675,000 บาท
  • รุ่น RS ราคา 749,000 บาท

มีให้เลือกทั้งหมด 6 สี ได้แก่ สีแดงอิกไนต์ (เมทัลลิก) เฉพาะรุ่น RS สีใหม่ สีเทาเมทิเออรอยด์ (เมทัลลิก) พร้อมด้วย สีขาวแพลทินัม (มุก) เฉพาะรุ่น RS และ SV สีดำคริสตัล (มุก) สีเทาโซนิค (มุก) และสีขาวทาฟเฟต้า เฉพาะรุ่น S+

เสริมความสปอร์ตในสไตล์คุณไปอีกขั้นด้วยชุดอุปกรณ์ตกแต่งโมดูโล (Modulo) รอบคัน ที่มาพร้อมกับแนวคิด “Stage Up Booster” โดยมีไอเท็มอุปกรณ์ตกแต่งให้เลือก เช่น

  • ชุดตกแต่งสปอยเลอร์หลัง ราคา 5,500 บาท
  • คิ้วตกแต่งซุ้มล้อด้านหน้า ราคา 1,700 บาท
  • แผงครอบกันรอยขอบห้องสัมภาระ ราคา 900 บาท
  • สติกเกอร์ตกแต่งล้ออัลลอย ราคา 320 บาท (ราคาต่อ 1 ชุดมี 4 ชิ้น)
  • ไฟตัดหมอกแบบ LED ราคา 5,500 บาท และ
  • กล้องหน้ารถ ราคา 3,850 บาท

All-New-Honda-City-Hatchback-2021

นอกจากนี้ ยังมีให้เลือกในรูปแบบแพ็กเกจ ทั้งหมด 2 แพ็กเกจ ได้แก่

  • Modulo Aero Package ราคา 16,900 บาท ประกอบด้วย สเกิร์ตหน้า แบบ 2 ชิ้น สเกิร์ตข้าง และสเกิร์ตหลัง แบบ 2 ชิ้น
  • Modulo Aero Sport Package ราคา 21,500 บาท ประกอบด้วย สเกิร์ตหน้า แบบ 2 ชิ้น สเกิร์ตข้าง สเกิร์ตหลัง แบบ 2 ชิ้น และ ชุดตกแต่งสปอยเลอร์หลัง

All-New-Honda-City-Hatchback-2021

หมายเหตุ

  • อุปกรณ์มาตรฐานแตกต่างกันในแต่ละรุ่น
  • สีขาวแพลทินัม (มุก) เพิ่ม 10,000 บาท
  • สีดำคริสตัล (มุก) และสีเทาโซนิค (มุก) เพิ่ม 6,000 บาท
  • ราคาแพ็กเกจชุดแต่งโมดูโล ไม่รวม VAT 7%
  • ดูรายละเอียดอุปกรณ์ตกแต่งเพิ่มเติมได้ที่ https://hondaaccess.co.th/line-up/honda-city-hatchback

New-Honda-City-Hybrid-2021

Honda City e:HEV 2021 (ฮอนด้า ซิตี้ อี:เอชอีวี) ใหม่

ยนตรกรรม Full Hybrid รุ่นแรกของเซกเมนต์ City Car ในประเทศไทย ที่มาพร้อมเทคโนโลยีการขับเคลื่อน Sport Hybrid Intelligent Multi-Mode Drive i-MMD ผสานการทำงานอันทรงพลังของมอเตอร์ไฟฟ้า 2 ตัว กับเครื่องยนต์ขนาด 1.5 ลิตร Atkinson Cycle DOHC i-VTEC 4 สูบ 16 วาล์ว พร้อมด้วยระบบเกียร์อัตโนมัติอัตราทดแปรผันต่อเนื่องไฟฟ้า (E-CVT) และแบตเตอรี่ลิเธียม-ไอออน เป็นระบบ Full Hybrid ที่ตอบสนองได้ทันใจด้วยแรงบิดสูงสุด 253 นิวตัน-เมตร ที่ 0 – 3,000 รอบ/นาที ให้อัตราการประหยัดน้ำมันดีเยี่ยมถึง 27.8 กม./ลิตร และรองรับน้ำมัน E20

พร้อมเพิ่มความมั่นใจในทุกการขับขี่กับเทคโนโลยีความปลอดภัยอัจฉริยะ “ฮอนด้า เซนส์ซิ่ง” (Honda SENSING) ดีไซน์สปอร์ตโดดเด่น ด้วยชุดแต่งสไตล์ RS เสริมเอกลักษณ์เฉพาะของความเป็นไฮบริดด้วยโลโก้ฮอนด้าสีฟ้า (H Mark) และโลโก้ e:HEV ภายในห้องโดยสารกว้างขวาง สะดวกสบายในทุกมิติ ครบครันด้วยเทคโนโลยีเพื่อความปลอดภัยและฟังก์ชันการใช้งานระดับพรีเมียม

New-Honda-City-Hybrid-2021

พุ่งทะยานได้อย่างมั่นใจ ด้วยเทคโนโลยีความปลอดภัยอัจริยะ ฮอนด้า เซนส์ซิ่ง (Honda SENSING)

  • ระบบเตือนการชนพร้อมระบบช่วยเบรก (Collision Mitigation Braking System: CMBS)
  • ระบบควบคุมความเร็วอัตโนมัติแบบแปรผัน (Adaptive Cruise Control: ACC)
  • ระบบเตือนและช่วยควบคุมเมื่อรถออกนอกช่องทางเดินรถ (Road Departure Mitigation System with Lane Departure Warning: RDM with LDW)
  • ระบบช่วยควบคุมรถให้อยู่ในช่องทางเดินรถ (Lane Keeping Assist System: LKAS)
  • ระบบปรับไฟสูงอัตโนมัติ (Auto High-Beam: AHB)

New-Honda-City-Hybrid-2021

มาพร้อมเทคโนโลยีความปลอดภัยอันล้ำสมัยเพื่อความมั่นใจในทุกการเดินทาง เช่น ระบบแสดงภาพมุมอับสายตาขณะเปลี่ยนเลน (Honda LaneWatch) กล้องส่องภาพด้านหลังปรับมุมมอง 3 ระดับ (Multi-angle Rearview Camera) ระบบเบรกมือไฟฟ้า (Electric Parking Brake) ระบบ Auto Brake Hold ระบบล็อกรถอัตโนมัติเมื่อกุญแจรีโมทอยู่ห่างจากตัวรถ (Walk Away Auto Lock) และเทคโนโลยีเชื่อมต่อเพื่อการสื่อสารระหว่างผู้ขับขี่และรถยนต์ ฮอนด้า คอนเนค (Honda CONNECT) เป็นต้น

New-Honda-City-Hybrid-2021

โดดเด่นด้วยดีไซน์ภายนอกที่บ่งบอกความเป็นยนตรกรรมไฮบริดที่ชัดเจนด้วยโลโก้ฮอนด้าสีฟ้า (H Mark) และสัญลักษณ์ e:HEV ที่ด้านท้าย และเสริมความสปอร์ตในสไตล์ RS รอบคัน ด้วยกระจังหน้าและสปอยเลอร์หลังแบบ Gloss Black ไฟหน้าแบบ LED พร้อมไฟส่องสว่างสำหรับการขับขี่ในเวลากลางวันแบบ LED กระจกมองข้างสีดำแบบสปอร์ตพร้อมไฟเลี้ยวในตัว มาพร้อมล้ออัลลอย 16 นิ้วดีไซน์สปอร์ต

New-Honda-City-Hybrid-2021

New-Honda-City-Hybrid-2021

ภายในห้องโดยสารกว้างขวางสะดวกสบายในทุกมิติ มาพร้อมเบาะหนังกลับดีไซน์สปอร์ตตกแต่งด้วยด้ายสีแดง ครบครันด้วยฟังก์ชันการใช้งานระดับพรีเมียม เช่น ระบบปรับอากาศอัตโนมัติ และช่องปรับอากาศตอนหลัง พร้อมช่องจ่ายไฟสำรอง 2 ตำแหน่ง

มาตรวัดพร้อมหน้าจอแสดงข้อมูลการขับขี่แบบ TFT ขนาด 7 นิ้ว ระบบเครื่องเสียงหน้าจอสัมผัสขนาด 8 นิ้ว แบบ Advanced Touch รองรับการเชื่อมต่อ Apple CarPlay พร้อม Google Maps พร้อมระบบสั่งการด้วยเสียง SIRI และระบบสตาร์ทเครื่องยนต์ พร้อมเครื่องปรับอากาศด้วยกุญแจรีโมท (Remote Engine Start) เป็นต้น

New-Honda-City-Hybrid-2021

ฮอนด้า ซิตี้ อี:เอชอีวี ใหม่ รุ่น e:HEV RS ราคา 839,000 บาท มีให้เลือกทั้งหมด 6 สี ได้แก่ สีใหม่ สีน้ำเงินออบซิเดียน (มุก) สีแดงอิกไนต์ (เมทัลลิก) สีขาวแพลทินัม (มุก) สีดำคริสตัล (มุก) สีเงินลูนาร์ (เมทัลลิก) และสีเทาโมเดิร์นสตีล (เมทัลลิก)

เพื่อสร้างความมั่นใจให้แก่ลูกค้า ฮอนด้า ซิตี้ อี:เอชอีวี ใหม่ มาพร้อมการรับประกันอายุการใช้งานแบตเตอรี่ถึง 10 ปี และรับประกันระบบไฮบริดทั้งระบบ 5 ปี ไม่จำกัดระยะทาง พร้อมด้วยโปรแกรมการให้บริการพิเศษด้านคุณภาพรถยนต์ ฮอนด้า อัลติเมท แคร์ (Honda Ultimate Care) ด้วยการขยายการรับประกันคุณภาพรถยนต์ใหม่โดยเพิ่มระยะเวลาอีก 2 ปี หรือระยะทาง 40,000 กิโลเมตร สูงสุด 5 ปี หรือ 140,000 กิโลเมตร (อย่างใดอย่างหนึ่งถึงก่อน) พร้อมด้วยบริการช่วยเหลือฉุกเฉินนอกสถานที่ 24 ชั่วโมง (Honda 24hr Roadside Assistance) อีกทั้งฟรีค่าแรงในการเช็กระยะเป็นเวลา 5 ปี หรือ 100,000 กิโลเมตร (อย่างใดอย่างหนึ่งถึงก่อน)

All-New-Honda-City-Hatchback-2021

พิเศษสำหรับลูกค้าที่สนใจ สามารถสัมผัส ฮอนด้า ซิตี้ แฮทช์แบ็ก ใหม่ ที่จัดแสดง ณ ลานกิจกรรมชั้น G ศูนย์การค้าสามย่านมิตรทาวน์ ตั้งแต่วันที่ 24 – 26 พฤศจิกายน 2563 และสามารถติดต่อที่ปรึกษาการขายได้ ณ บริเวณงาน

หลังจากนั้นสามารถสัมผัส เดอะ ซิตี้ ซีรีส์ ใหม่ ทั้ง 2 รุ่น ได้ที่บูทฮอนด้า A14 ในงาน Motor Expo 2020 ตั้งแต่วันที่ 2 – 13 ธันวาคม 2563 ณ อาคารชาเลนเจอร์ฮอลล์ 2 อิมแพ็ค เมืองทองธานี และสัมผัส ฮอนด้า ซิตี้ อี:เอชอีวี ใหม่ ที่โชว์รูมฮอนด้าทั่วประเทศ ตั้งแต่วันที่ 24 พฤศจิกายน 2563 และพบกับฮอนด้า ซิตี้ แฮทช์แบ็ก ใหม่ ได้ที่โชว์รูมฮอนด้าทั่วประเทศ ตั้งแต่วันที่ 7 มกราคม 2564 เป็นต้นไป

สำหรับลูกค้าที่จอง ฮอนด้า ซิตี้ แฮทช์แบ็ก ใหม่ ตั้งแต่วันที่ 24 พฤศจิกายน 2563 – 31 มกราคม 2564 และรับรถภายในวันที่ 31 มกราคม 2564 จะได้รับหูฟัง Skullcandy True Wireless Earbuds รุ่น Sesh Evo สี Deep Red มูลค่า 3,590 บาท และ Honda Jacket มูลค่า 500 บาท*

และสำหรับลูกค้าที่จอง ฮอนด้า ซิตี้ อี:เอชอีวี ใหม่ ตั้งแต่วันที่ 24 พฤศจิกายน 2563 – 31 ธันวาคม 2563 และรับรถภายในวันที่ 31 ธันวาคม 2563 จะได้รับ Fitbit Smart Tracker รุ่น Charge 3 สี Graphite/Black มูลค่า 6,490 บาท และ Honda Jacket มูลค่า 500 บาท*

* ข้อเสนอพิเศษเป็นไปตามเงื่อนไขที่บริษัทฯ กำหนด

ส่วนใครที่อยากขายรถ ไม่ว่าจะเป็นรถบ้าน รถมือสอง ก็สามารถปรึกษากับทางเราดูก่อนได้ เพียงแค่คุณขายรถคันเดิมกับ CARRO ได้ ง่ายๆ ได้เงินไว! กับ CARRO Express เพียงแค่คลิก https://th.carro.co/sell-car/express หรือสามารถ Inbox มาขอรายละเอียดได้ที่ Facebook CARRO Thailand

หรือจะ Add Line สอบถามรายละเอียดได้ที่ @Carrothai หรือคลิกที่นี่ครับ —> เพิ่มเพื่อน

New-Maserati-Ghibli-Hybrid-2021

มาเซราติ ประเทศไทย เปิดตัว Maserati Ghibli Hybrid (มาเซราติ กิบลี ไฮบริด) ใหม่ เป็นยนตรกรรม Mild Hybrid ที่ใช้การขับเคลื่อนแบบผสมผสานระหว่างเครื่องยนต์ และมอเตอร์ไฟฟ้า ครั้งแรกในประเทศไทย และเป็นรุ่นแรกในประวัติศาสตร์ของค่ายตรีศูล ในราคาเร้าใจ 5,990,000 บาท!

Maserati Ghibli Hybrid นับเป็นหนึ่งใน Project สุดท้าทายของค่ายตรีศูล ซึ่งเป็นเสมือนการก้าวสู่ยุคอนาคตอย่างเต็มตัว

New-Maserati-Ghibli-Hybrid-2021

Maserati Ghibli ถูกเจาะจงให้เป็นรถสายพันธุ์แรกที่เริ่มใช้ขุมพลังไฮบริด เพราะเป็นรุ่นมียอดจำหน่ายสูงสุดกว่า 100,000 คัน นับตั้งแต่การเปิดตัวช่วงปี 2013 โดยความท้าทายของโปรเจ็กต์นี้ คือ ผลิตรถไฮบริดอย่างไร ไม่ให้กระทบกับตัวตนของแบรนด์ ทำให้ Maserati Ghibli Hybrid เป็นหนึ่งในรถไฮบริดที่ดีสุดในโลก และคงเอกลักษณ์เสียงคำรามอันดุดันไว้ได้อย่างครบถ้วน

New-Maserati-Ghibli-Hybrid-2021

ตัวรถภายนอก Ghibli Hybrid ผ่านการออกแบบใหม่โดย Centro Stile Maserati ทั้งภายนอกและห้องโดยสาร ดีไซน์โดดเด่นเป็นเอกลักษณ์ โดยสิ่งที่แสดงถึงความเป็นรุ่นไฮบริดก็คือ การนำสีน้ำเงินมาใช้ เพื่อสื่อถึงเทคโนโลยีไฮบริดและโลกแห่งอนาคต โดยสีน้ำเงิน นำมาตกแต่งช่องระบายอากาศด้านข้าง 3 ช่อง และสัญลักษณ์สายฟ้า ของโลโก้ตรีศูลบริเวณเสา C

New-Maserati-Ghibli-Hybrid-2021

ขณะที่เบาะในห้องโดยสาร ก็ผ่านการเย็บด้วยตะเข็บสีน้ำเงิน ส่วนกระจังหน้าก็ผ่านการออกแบบใหม่ ซี่กระจังมีลักษณะคล้าย “ส้อมเสียง” (Tuning Fork) เครื่องดนตรีชนิดหนึ่งที่มีเสียงใสชัด

New-Maserati-Ghibli-Hybrid-2021

พร้อมเชื่อมต่อโลกดิจิทัลครบวงจร ผ่านโปรแกรม Maserati Connect และ Maserati Intelligent Assistant โดยใช้ข้อมูลพื้นฐานจาก Android Automotive ช่วยอำนวยความสะดวกให้ผู้ขับ พร้อมอัปเดตฟังก์ชั่นการใช้งานต่างๆ โดยอัตโนมัติ

New-Maserati-Ghibli-Hybrid-2021

ในส่วนของเทคโนโลยีไฮบริด ใช้การสะสมพลังงานกลขณะลดความเร็วหรือเบรก เพื่อนำมาแปลงเป็นไฟฟ้าและชาร์จเข้าแบตเตอรี่ พร้อมติดตั้งท่อไอเสีย ที่ปรับแต่งเสียงคำรามตามแบบฉบับของยนตรกรรม มาเซราติ

New-Maserati-Ghibli-Hybrid-2021

นวัตกรรมขุมพลังไฮบริดสุดล้ำ เป็นผลลัพธ์จากมันสมองของทีมวิศวกรและฝ่ายเทคนิคของ มาเซราติ Innovation Lab ที่เมืองโมเดนา โดยผสานเครื่องยนต์เบนซิน Turbo ขนาด 2.0 ลิตร เข้ากับ Altenator 48 โวลต์ และ Electronic Supercharged (e-Booster) พร้อมแบตเตอรี่รองรับ ให้แรงม้าสูงถึง 330 แรงม้า (HP) แรงบิดสูงสุด 450 นิวตัน-เมตร

อัตราเร่ง 0-100 กม./ชม. ใน 5.7 วินาที ความเร็วสูงสุด 255 กม./ชม. พร้อมติดตั้งแบตเตอรี่บริเวณท้ายรถ เพื่อความสมดุล และมีน้ำหนักโดยรวมเบากว่า Ghibli Diesel ประมาณ 80 กิโลกรัม

New-Maserati-Ghibli-Hybrid-2021

มาเซราติ กิบลี ไฮบริด ใหม่ นับเป็นก้าวแรกสู่การทำเทคโนโลยีไฮบริดมาใช้กับรถรุ่นอื่นๆ ในอนาคต อีกทั้งยังมีแผนเปิดตัวรุ่น กรันทูริสโม (GranTurismo) และ กรันคาบริโอ (GranCabrio) ขับเคลื่อนไฟฟ้าล้วนในปี 2021

ส่วนใครที่อยากขายรถ ไม่ว่าจะเป็นรถบ้าน รถมือสอง ก็สามารถปรึกษากับทางเราดูก่อนได้ เพียงแค่คุณขายรถคันเดิมกับ CARRO ได้ ง่ายๆ ได้เงินไว! กับ CARRO Express เพียงแค่คลิก https://th.carro.co/sell-car/express หรือสามารถ Inbox มาขอรายละเอียดได้ที่ Facebook CARRO Thailand

หรือจะ Add Line สอบถามรายละเอียดได้ที่ @Carrothai หรือคลิกที่นี่ครับ —> เพิ่มเพื่อน

Carro-Tiresbid-Old-Tires-And-Usability

สวัสดีครับ ไทร์บิดกลับมาอีกครั้งครับผม วันนี้จะขอพูดถึงเรื่องปีผลิตยางว่ามีผลต่อการใช้งานไหมครับ ยางปีเก่า ผ่านไป 1 ปี จริงๆแล้วไม่มีผลต่อการใช้งานอะไรเลยครับ และโดยปกติแบรนด์ยางแทบจะทุกแบรนด์นับวันรับประกันจากวันที่ใส่ครับ ในเรื่องการรับประกันการผลิตอย่างน้อยๆ ก็ต้องมี 2 ปีขึ้นไป ถ้าแบรนด์ใหญ่ๆก็ 5-6 ปีก็ว่ากันไปครับ

แต่เพื่อนๆ ก็ยังเป็นห่วงเหมือนเดิมใช่ไหมครับ ว่ายังไงก็อยากได้ยางใหม่เอี่ยมที่สุดไว้ก่อน งั้นไทร์บิดเรามาจำลองเหตุการณ์ดูครับ ว่ากรณีที่เป็นยางปีเก่านั้นเก่าถึงปีไหมกันนะครับ

Old-Tires-And-Usability

กรณีเราซื้อยางเดือนมีนาคม แล้วยางที่เรากำลังจะซื้อนั้น เป็นยางผลิตสัปดาห์ที่ 40 ของปีที่ผ่านมา เพราะฉะนั้นยางที่เพื่อนๆได้มานั่นเพิ่งผลิตมาแค่ 5 เดือน ซึ่งไม่เกินปีเลยครับ แต่แค่ปีผลิตเป็นของปีที่แล้วครับ และกรณีที่การรับประกันจากการผลิตที่ทางแจ้งไว้จะรับประกันนับจากวันติดตั้งก็แปลว่ายางที่รับประกันจากเดือนมีนาคม บวกไปอีก 5 ปี

สมมติเพื่อนๆใช้รถปีละ 20,000 กิโลเมตร เท่ากับเพื่อนๆ สามารถใช้งานยังไงก็ไม่ถึงห้าปีแน่นอนครับ เพราะฉะนั้นถึงแม้ว่าเราจะซื้อยางปีเก่า แต่เก่าแค่ไม่กี่เดือนเพื่อนๆ สบายใจแน่นอนครับ

Old-Tires-And-Usability

เรามาดูตามความจริงกันว่าจริงๆแล้วโครงสร้างยางแต่ละส่วนนั้น ปีผลิตมีผลต่อการใช้งานจริงๆไหมครับ ข้อแรกเลยก็คือเรื่องของเนื้อยางกรณีที่เป็นยางปีเก่าเพื่อนๆอาจกลัวว่ายางนั้นอาจจะมีปัญหาใช่ไหมครับ แต่ถ้าร้านที่เพื่อนๆ ซื้อนั้นมีคลังเก็บสต็อกในที่ร่ม เพื่อนๆหายห่วงได้เลยครับว่าเนื้อยางที่อยู่ในโกดังนั้นมีสภาพใช้งาน 100% แน่นอนครับ

ส่วนต่อมาคือเรื่องของโครงยางเมื่อยางเก่าเก็บ 1 ปี ไทร์บิดกล้ารับประกันเลยครับว่าโครงยางนั้นไม่มีการคลายตัวหรือคลายความแข็งแรงแน่นอนครับ เพราะฉะนั้นเพื่อนๆ ไม่ต้องเป็นห่วงเลยครับ ว่ายางปีเก่าที่ซื้อจะมีปัญหาความแข็งแรงในการใช้งานครับ

Old-Tires-And-Usability

ข้อดีอีกอย่างหนึ่งในปัจจุบันเลยก็คือ ยางปีเก่าราคาจะถูกลง 10-20% จากราคาปกติเพราะฉะนั้นเพื่อนๆที่อยากใช้งบอย่างประหยัดกับค่ายางแต่ได้ยางที่มีคุณภาพดีลองหาร้านที่รู้จักใกล้บ้านท่าน หรือ ลองมาสอบถามกับทางไทร์บิดได้ครับว่ามีไซส์นี้รุ่นนี้ยางปีเก่าไหมเพื่อเพื่อนๆจะได้ของดีกันครับ หากเพื่อนๆต้องการคำปรึกษาเรื่องยางสามารถสอบถามทางไทร์บิดได้ผ่าน Line official : @tiresbid หรือเข้าเช็กราคายางได้ที่ www.tiresbid.com ได้ครับ สนใจจะอ่านบทความรู้ยางรถยนต์ก็มีให้อ่านฟรีๆ แถมทางเรายินดีให้บริการเพื่อนๆทุกท่านอย่างเต็มที่แน่นอนครับ

5-Secondhand-Diesel-Sedan-Cars

ถ้าจะให้พูดถึงรถมือสองในบ้านเรา ถ้าเป็นรถที่ใช้เครื่องยนต์ดีเซล หลายคนมักนึกถึงแต่รถกระบะ, รถ SUV หรือรถ MPV เท่านั้น แม้ว่าตลาดรถยนต์ในบ้านเรา จะมีรถยนต์ประเภทอื่นที่ใช้เครื่องยนต์ดีเซลด้วย เช่น รถเก๋ง เป็นต้น

Daihatsu-Charade-G11

สำหรับรถยนต์นั่งที่ใช้เครื่องยนต์ดีเซลเป็นเจ้าแรกๆ ในไทย ที่ยังอยู่ในความทรงจำของคนวัยเก๋า คงต้องยกให้ Volkswagen Golf Diesel (โฟล์คสวาเกน กอล์ฟ ดีเซล) และ Daihatsu Charade (ไดฮัทสุ ชาเรด) รหัส G11 ที่ทำตลาดด้วยเครื่องยนต์ดีเซลขนาด 1.0 ลิตร แบบ 3 สูบ Turbo ในยุค 80 แต่ก็ไม่ได้เป็นที่นิยมมากนัก สุดท้ายก็หายไปจากตลาด

ก่อนที่ในช่วงประมาณกลางยุค 2000 รถเก๋งดีเซลจะกลับมาได้รับความนิยมอีกครั้ง เริ่มด้วย Ford ที่ตัดสินใจนำ Focus เครื่องดีเซลมาขาย ก่อนที่อีกหลายๆ ค่าย ขอทำตามบ้าง

สำหรับจุดเด่นของเครื่องยนต์ดีเซล ซึ่งให้พลังงานสูงกว่าน้ำมันเบนซิน เมื่อเปรียบเทียบกันหน่วยต่อหน่วย โดยน้ำมันเบนซิน 1 แกลลอน ให้พลังงาน 125,000 BTU แต่น้ำมันดีเซลให้พลังงาน 147,000 BTU ยิ่งเครื่องยนต์ดีเซลยุคใหม่ จ่ายน้ำมันด้วยระบบหัวฉีดแบบคอมมอนเรล จึงประหยัดเชื้อเพลิงมากกว่า 30% ให้แรงบิดมากกว่า 50% จึงเป็นที่นิยมอย่างมากในรถที่ขายแถบยุโรป

แม้ว่าเครื่องยนต์ดีเซล จะมีข้อดีในเรื่องของความประหยัด ทนทาน ให้แรงบิดสูง แต่ข้อด้อยก็เป็นในเรื่องความเสียงดังของเครื่องยนต์ หรือควันดำ แล้วก็โดนกระแสรถยนต์ Hybrid กลบจนหายไปอีก …

แต่ในตลาดรถมือสอง รถเก๋งดีเซล ยังมีความต้องการอย่างต่อเนื่อง MR.CARRO จะมานำเสนอ 5 รถเก๋งดีเซลมือสองน่าใช้ ในราคาไม่เกิน 1 ล้านบาท ประจำปี 2020 – 2021 จะมีรุ่นไหนกันบ้าง ….

Ford-Focus-Diesel

1. Ford Focus TDCi

การนำ Ford Focus (ฟอร์ด โฟกัส) เครื่องยนต์ดีเซลออกมาขายหลังจากที่รถเก๋งดีเซลหายจากตลาดไทยไปนาน ก็สร้างเสียงฮือฮาได้ยกใหญ่ สำหรับ Focus Diesel รุ่นนี้ มี 2 รุ่นย่อยให้เลือก ได้แก่ Ghia แบบ 4 ประตูซีดาน และ Sport ในโฉม 5 ประตู

ใช้เครื่องยนต์ดีเซลขนาด 2.0 ลิตร แบบ Duratorq Turbo Diesel Commonrail ให้แรงม้าสูงสุด 136 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 320 นิวตันเมตร ซึ่งตัวนี้มี Variable Nozzle Turbo (VNT) เพื่อเพิ่มพลัง พร้อมตอบสนองทันใจทุกความเร็ว

ส่งกำลังผ่านเกียร์ธรรมดา 6 สปีด (มีน้อย หายากหน่อย) และเกียร์อัตโนมัติ PowerShift 6 สปีด แบบดูอัลคลัตช์ (คลัตช์คู่) ที่ได้รับการพัฒนาโดย Getrag Ford Transmissions GmbH มีชื่อเสียงอันกระฉ่อน! เรื่องเกียร์กระตุก เกียร์พัง

ในส่วนของ Ford Focus Diesel ถือว่าเป็นรถมือสองที่เหมาะกับคนงบจำกัด เพราะมีราคามือสองอยู่ที่ 170,000 – 230,000 บาท แถมขับสนุก และประหยัดน้ำมันได้พอสมควร ทำได้ถึง 6-12 กม./ลิตร และยังเติมน้ำมันดีเซล B10 – B20 ได้ด้วย แค่เปลี่ยนกรองดีเซลบ่อยกว่าปกติ

ถ้าตรวจเปลี่ยนอะไหล่ตามระยะ ก็ใช้งานกันได้ยาวๆ อ่อ ต้องทดลองขับ ดูสภาพของเกียร์คลัทช์คู่รถรุ่นนี้ด้วยนะครับ อันนี้สำคัญ

Chevrolet-Cruze

2. Chevrolet Cruze

ด้าน GM เห็นคู่แข่งร่วมชาติอย่าง Ford ขายรถเก๋งเครื่องดีเซลแล้ว ก็มิอาจอยู่นิ่งเฉยได้ ต้องรีบส่ง Chevrolet Cruze (เชฟโรเลต ครูซ) เครื่องดีเซล ที่พัฒนาร่วมกับทาง Daewoo ให้เป็นรถ Global Compact Car หรือ รถคอมแพกต์ซีดานระดับโลก ที่ผ่านการพัฒนาบนถนนทุกสภาวะในโลกมาแล้วกว่า 6 ล้านกิโลเมตร มาเปิดตัวในไทยครั้งแรกเมื่อเดือนพฤศจิกายน 2553

ตัวรถภายนอกเน้นเส้นสายเฉียบคม แบบสปอร์ต ห้องโดยสารออกแบบในสไตล์ Dual Cockpit ซึ่งได้แรงบันดาลใจจาก Chevrolet Corvette และคล้ายกับค็อกพิทของห้องนักบิน สีดำสลับสีน้ำตาลส้ม ตำแหน่งอุปกรณ์อำนวยความสะดวกบนแผงคอนโซลกลาง ใช้วัสดุหุ้มหนังตัดกับอลูมิเนียมทั้งคอนโซลกลาง และแผงข้างประตู พร้อมกับมีหน้าจอแสดงข้อมูลสำหรับผู้ขับขี่

และเทคโนโลยีอุปกรณ์อำนวยความสะดวกที่อัดแน่นเต็มคัน ทั้งปุ่มสตาร์ทเครื่องยนต์ พร้อมระบบ Keyless Entry) ระบบ Cruise Control ที่ติดตั้งอยู่บนพวงมาลัยแบบ 3 ก้าน พร้อมสวิทช์ควบคุมเครื่องเสียงวิทยุ และเครื่องเล่น CD โดยผู้ขับขี่ยังสามารถเชื่อมต่ออุปกรณ์เสริมทั้ง AUX และ USB อีกทั้งยังสามารถเชื่อมต่อผ่านระบบไร้สายแบบ Bluetooth ได้อีกด้วย นอกจากนี้ ยังมีระบบปัดน้ำฝนอัตโนมัติ ระบบเปิด-ปิดไฟหน้าอัตโนมัติ พร้อมไฟนำทางขณะเมื่อดับเครื่องยนต์

Chevrolet Cruze แบ่งเครื่องยนต์ออกได้เป็น 2 แบบ นั่นคือ …

  • รุ่นปี 2011 ขนาด 2.0 ลิตร แบบ 4 สูบ SOHC 16 วาล์ว ให้แรงม้าสูงสุด 150 แรงม้า ที่ 4,000 รอบ/นาที แรงบิด 320 นิวตัน-เมตร ที่ 2,000 รอบ/นาที ส่งกำลังด้วยเกียร์อัตโนมัติ 6 จังหวะ Driver Shift Control (DSC) พร้อมโหมด +/-
  • ส่วนในรุ่นปี 2012 ปรับใหม่ ขนาด 2.0 ลิตร แบบ 4 สูบ DOHC 16 วาล์ว ใช้แรงดันในการส่งเชื้อเพลิง 1,800 บาร์ แต่งพอร์ตไอดีใหม่ ปรับเพลาถ่วงสมดุลเพื่อลดเสียงและความสั่นสะเทือน ให้แรงม้าสูงสุด 163 แรงม้า ที่ 3,800 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 360 นิวตัน-เมตร ที่ 2,000 รอบ/นาที ส่งกำลังด้วยเกียร์อัตโนมัติ 6 จังหวะ Driver Shift Control (DSC) พร้อมโหมด +/-

ในส่วนของ Cruze นั้น การขับขี่ก็ถือว่าดีในระดับหนึ่ง อัตราเร่งดีตั้งแต่รอบต่ำๆ เหมาะสำหรับใช้ขับออกทางไกล ประหยัดน้ำมันเฉลี่ย 8-16 กม./ลิตร ช่วงล่างดี เกาะถนนหนึบ แบบ Euro Ride เลย เสียงเครื่องอาจจะดังบ้างในรอบความเร็วต่ำ แต่ห้องโดยสารภายในก็ถือว่าเก็บเสียงได้ดี แต่วัสดุภายในรถ หลายจุดถ้าตากแดดบ่อยๆ มีพลาสติกละลายได้

หากใครจะเล่นรุ่นนี้ แม้ว่ารุ่นเครื่องยนต์ดีเซล ปัญหาจะน้อย แต่ก็ต้องเลือกรถคันที่สภาพเกียร์ดีหน่อย เพราะหลายปีก่อนหน้า ทำเอาคนใช้รุ่นนี้ บ่นกันเป็นแถว ว่าเป็นขวัญใจรถยก กับราคามือสองตอนนี้อยู่ประมาณ 160,000 – 220,000 บาท

Mazda2-Diesel-SkyActiv-D

3. Mazda2

นี่ก็สร้างความฮือฮาไปได้อีกรุ่น นับตั้งแต่ครั้งแรกของการเปิดตัวเลย สำหรับ Mazda2 (มาสด้า2) ที่จัดเต็มรุ่นเครื่องยนต์ดีเซลเป็นครั้งแรกในไทย กับกลุ่มของรถ Sub-Compact เปิดตัวครั้งแรกในเดือนมกราคม 2558 ก็สร้างยอดขายได้อย่างน่าพอใจ

รุ่นนี้ชูจุดเด่นหลายอย่าง อาทิ ระบบ i-ELOOP เปลี่ยนพลังงานจากการลดความเร็วเป็นพลังงานไฟฟ้า ทำงานร่วมกับไดชาร์จแบบ 12-25 โวลต์ แบ่งไฟฟ้าที่ได้จากการเบรกและลดความเร็ว ไปเก็บในแบตเตอรี่ และบางส่วนส่งไปใช้กับอุปกรณ์ไฟฟ้าภายในรถ ทำงานร่วมกับระบบ i-Stop ดับเครื่องยนต์เมื่อจอดนิ่ง เมื่อทั้ง 2 ระบบทำงานร่วมกัน จะช่วยประหยัดน้ำมันได้ 10% เป็นต้น

สำหรับเครื่องยนต์เป็นแบบ SKYACTIV-D Clean Diesel ขนาด 1.5 ลิตร Variable Turbo Intercooler จ่ายน้ำมันด้วยหัวฉีดโซลินอยด์ ให้แรงม้าสูงสุด 105 แรงม้า ที่ 4,000 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 250 นิวตัน-เมตร ที่ 1,500-2,500 รอบ/นาที ให้อัตราสิ้นเปลืองดีสุด 26.3 กม./ลิตร พร้อมส่งกำลังแบบเกียร์อัตโนมัติ SKYACTIV-Drive 6 สปีด

มาระบบ Diesel Particulate Filter (DPF) หรือไส้กรองอนุภาคไอเสีย, Exhaust Gas Recirculation-EGR การนำไอเสียบางส่วนหมุนวนกลับเข้าสู่ห้องเผาไหม้ และ Selective Catalyst Reduction-SCR ใช้ของเหลวร่วมกับเครื่องแปรสภาพไอเสีย เปลี่ยนก๊าซในไอเสียให้ไม่เป็นอันตรายก่อนจะปล่อยออกสู่อากาศ เพื่อให้ Mazda2 เป็น Clean Diesel อย่างแท้จริง

ข้อดีของ Mazda2 Diesel นั่นก็คือความประหยัด ที่สุดๆ สามารถทำได้มากถึง 18-24 กม./ลิตร และแรงสะใจนั่นเอง เหมาะสำหรับคนที่เคยขับรถซีซีสูงๆ มาก่อน และต้องขับรถทางไกลเป็นประจำ

แต่ข้อด้อยหลายคนก็บอกว่า ถ้าจะใช้งานในเมืองอาจไม่เหมาะ เนื่องจากไส้กรองอนุภาคไอเสีย DPF จะมีเขม่าตันเร็ว หากคุณขับรถด้วยความเร็วรอบเครื่องต่ำเป็นประจำ จะทำให้เครื่องยนต์มีอาการสั่นได้ กับราคามือสองตอนนี้อยู่ประมาณ 340,000 – 450,000 บาท

BMW-320d-F30

4. BMW Series-3

ขึ้นชื่อว่ารถค่ายใบพัดฟ้าขาว ที่ขับแล้วรู้สึกกระฉับกระเฉง เหมือนวัยรุ่นรักความสปอร์ตแบบนี้ … รุ่นที่เราจะมาแนะนำ จะเป็น BMW Series-3 (บีเอ็มดับเบิลยู ซีรี่ส์ 3) ในรหัส F30 รุ่นเครื่องยนต์ดีเซล ที่เปิดตัวขายกันตั้งแต่ปี 2012 – 2019 ที่มีราคาในตลาดรถมือสองประมาณ 850,000 – 1,000,000 บาท

เป็นรถที่เปิดตัวในบ้านเราตั้งแต่ช่วงเดือนกุมภาพันธ์ 2555 ให้เลือก ถึง 3 สไตล์ ทั้งแบบ Modern, Luxury และ Sport โดยรถยนต์ Lot แรก นำเข้ามาจากเยอรมัน ต่อมาจึงผลิตที่โรงงาน BMW ใน จ.ระยอง และนำเข้ารุ่น 320d Touring มาเสริมคนชอบรถแนวแวกอนในช่วงปลายปี 2555

และในปี 2556 เปิดตัว 320d GT ในตัวถัง Fastback เป็นครั้งแรก โดยช่วงแรกนำเข้าจากเยอรมนี ต่อมาจึงประกอบในไทย มีให้เลือก 2 รุ่นย่อย คือ Luxury และ Sport

ใช้ขุมพลังดีเซลรหัส N47D20 ขนาด 2.0 ลิตร คอมมอนเรล Turbo Intercooler แบบ 4 สูบ DOHC 16 วาล์ว 184 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 380 นิวตัน-เมตร ที่ 1,750-2,750 รอบ/นาที ส่งกำลังด้วยเกียร์อัตโนมัติ 8 สปีด ให้อัตราเร่งดี ขับสนุก เกาะถนนดี ทำความเร็วได้สูงสุด 230 กม./ชม.

Mercedes-Benz-C250-CDI-2011

5. Mercedes-Benz C-Class

ขึ้นชื่อว่ารถค่ายดาวสามแฉกแล้ว ขับแล้วสาวๆ กรี้ดแน่นอน … รุ่นที่เราจะมาแนะนำ จะเป็น Mercedes-Benz C-Class (เมอร์เซเดส-เบนซ์ ซี-คลาส) ในรหัส W204 รุ่นเครื่องยนต์ดีเซล ที่เปิดตัวขายกันตั้งแต่ปี 2007 – 2014

โดยชูแนวคิดประหยัดพลังงาน และเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม พร้อมมาตรฐานความปลอดภัยครบครัน ในรุ่นเครื่องยนต์ดีเซล ที่น่าสนใจจะมีทั้งในตัวก่อน และตัวไมเนอร์เชนจ์ ที่มีราคาในตลาดรถมือสองประมาณ 600.000 – 800,000 บาท

สำหรับในรุ่นก่อนไมเนอร์เชนจ์ เราขอแนะนำ C 220 CDI ที่มีจุดเด่นอยู่ที่เครื่องยนต์ดีเซล ขนาด 2.2 ลิตร 4 สูบ 16 วาล์ว Turbo Intercooler ซึ่งพัฒนามาจากรุ่นเดิม ให้กำลังสูงสุด 170 แรงม้า (เดิม 150 แรงม้า) ที่ 3,800 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 400 นิวตันเมตร ที่ 2,000 รอบ/นาที ซึ่งมากกว่ารุ่นเดิม 18%

เร้าใจด้วยอัตราเร่งจาก 0-100 กม./ชม. ในเวลา 8.4 วินาที ขณะที่ความเร็วสูงสุดทำได้ 227 กม./ชม. ส่งกำลังผ่านเกียร์อัตโนมัติ 5 สปีด พร้อมระบบเปลี่ยนเกียร์แบบวันทัช (On-touch Shift) สามารถเลือกจังหวะเปลี่ยนเกียร์ได้ด้วยตัวเอง ด้านอัตราสิ้นเปลืองน้ำมันโดยเฉลี่ย 15 กม./ ลิตร

ส่วนในรุ่นไมเนอร์เชนจ์ เราขอแนะนำ C 250 CDI BlueEFFICIENCY AVANTGARDE ขับเคลื่อนด้วยเครื่องยนต์ดีเซลแบบ 4 สูบแถวเรียง ขนาด 2.2 ลิตร Twin Turbo Intercooler ผลิตกำลังสูงสุดถึง 204 แรงม้า พร้อมแรงบิดถึง 500 นิวตันเมตร ที่ 1,600 – 1,800 รอบ/นาที ให้อัตราเร่งจาก 0 – 100 กม./ชม.โดยใช้เวลาเพียง 7.0 วินาที อัตราสิ้นเปลืองน้ำมันเพียง 15.62-17.24 กม./ลิตร มาพร้อมกับระบบเกียร์อัตโนมัติเดินหน้า 7 สปีด (7G-TRONIC PLUS)

ส่วนใครที่อยากขายรถ เพื่ออยากลองใช้รถเก๋งดีเซลคันใหม่ดูบ้าง CARRO เรารับซื้อรถของคุณ สามารถเข้าไปเช็คราคา ตีราคาขายรถก่อนได้ โดยใส่ข้อมูลรถของคุณที่นี่เลย กับ CARRO Express > https://th.carro.co/sell-car/express หรือโทร. 02-508-8425

หรือใครจะ Inbox มาสอบถามก็ได้เช่นกัน ที่ Facebook CARRO Thailand หรือสะดวก Add Line ก็ที่ @carrothai หรือคลิกที่นี่ครับ —> เพิ่มเพื่อน

Taximeter-Baggage-Fees

เว็บไซต์ราชกิจจานุเบกษา เผยแพร่ ประกาศกระทรวงคมนาคม เรื่อง กำหนดอัตราค่าบริการอื่น กรณีการจ้างโดยมีบริการพิเศษสำหรับรถแท็กซี่มิเตอร์ (Taxi-Meter) ที่จดทะเบียนในเขตกรุงเทพมหานคร พ.ศ. 2563 โดยที่เป็นการแก้ไขปรับปรุงอัตราค่าบริการอื่น ให้มีความเหมาะสมมากยิ่งขึ้น

ซึ่งมีการปรับค่าบริการอื่นกรณีการจ้างโดยมีบริการพิเศษดังนี้

1. การจ้างที่มีการบรรทุกสัมภาระที่มีขนาดความกว้าง ความยาว หรือความสูงด้านใดด้านหนึ่งเกินกว่า 26 นิ้ว ขึ้นไป ให้เรียกเก็บค่าบริการในอัตราชิ้นละไม่เกิน 20 บาท

2. การจ้างที่มีการบรรทุกสัมภาระที่มีขนาดความกว้าง ความยาว หรือความสูงด้านใด ด้านหนึ่งไม่เกิน 26 นิ้ว เกินกว่าสองชิ้น ให้เรียกเก็บค่าบริการตั้งแต่ชิ้นที่สามขึ้นไป ในอัตราชิ้นละไม่เกิน 20 บาท ทั้งนี้ ไม่นับรวมกับสัมภาระตามข้อ 1

3. การจ้างที่มีการบรรทุกสัมภาระเป็นอุปกรณ์การกีฬาจำพวก ถุงกอล์ฟ รถจักรยาน วินด์เซิร์ฟ หรือเครื่องดนตรี ซึ่งมีขนาดตั้งแต่ 50 นิ้ว ขึ้นไป ให้เรียกเก็บค่าบริการในอัตราชิ้นละไม่เกิน 100 บาท

4. การจ้างที่มีการบรรทุกสัมภาระเป็นสินค้า สิ่งของ อุปกรณ์ เครื่องมือ เครื่องใช้ ที่บรรจุกล่อง และที่มิได้มีการบรรจุกล่อง แต่มีการมัดรวมหรือหีบห่อรวมกันไว้ ซึ่งมีขนาดตั้งแต่ 50 นิ้ว ขึ้นไป ให้เรียกเก็บค่าบริการในอัตราที่บรรจุกล่อง มัดรวมหรือหีบห่อชิ้นละไม่เกิน 100 บาท

*สัมภาระ ในที่นี้หมายถึง สิ่งของหรืออุปกรณ์ต่างๆ ที่นำติดตัวมาด้วย แต่มิได้หมายความรวมถึงรถวีลแชร์ ไม้เท้า หรืออุปกรณ์สำหรับคนพิการ

แหล่งที่มาจาก:

ซื้อรถคันใหม่ เลือกรถใช้น้ำมัน หรือรถยนต์ไฟฟ้าดี? ถ้าจะใช้รถคันนี้นาน 5-10 ปี

ในช่วงหลายปีนี้มานี้ เราปฏิเสธกันไม่ได้เลยว่า “รถยนต์ไฟฟ้า” หรือรถ EV ที่กำลังเป็นพูดถึงในบ้านเราอย่างมาก เนื่องจากเทรนด์ของโลกเปลี่ยนไป ยุคที่รถน้ำมันใช้เชื้อเพลิงฟอสซิลเคยเป็นใหญ่ เริ่มถูกลดบทบาทลง และแทนที่ด้วยการขึ้นมาของรถยนต์ไฟฟ้า ที่แม้ว่าในบ้านเราจะช้ากว่าในประเทศพัฒนาแล้วก็ตาม รวมไปถึงเรื่องปัญหาฝุ่น PM 2.5 ที่ถูกปล่อยออกมาจากรถยนต์ ที่ใช้น้ำมันเบนซินและดีเซลเป็นเชื้อเพลิง

ซึ่งในบ้านเราตอนนี้ บรรดาค่ายรถ และหลายๆ หน่วยงาน เริ่มตื่นตัว กำลังร่วมมือกันพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน ให้รองรับรถยนต์ไฟฟ้ากันเป็นการใหญ่ และหน่วยงานที่ส่งเสริมการลงทุน เริ่มให้สิทธิประโยชน์ในลงทุนต่างๆ หรือการยกเว้นภาษีให้ กับค่ายรถที่ผลิตรถยนต์ไฟฟ้า

แต่ก็มีคำถามอยู่มากว่า จะซื้อรถมาใช้งานสัก 5 – 10 ปี เลือกรถแบบไหน ระหว่าง รถยนต์ไฟฟ้า หรือ รถยนต์ที่ใช้น้ำมัน?

ยิ่งเวลาหลายคนจะเลือกรถแต่ละคันนั้น การหาอะไหล่ รวมไปถึงความทนทานของการใช้งาน เป็นสิ่งที่คนมองหารถยนต์มาใช้ เลือกอยู่เป็นอันดับแรกๆ ในการตัดสินใจซื้อรถ … MR.CARRO จะมาช่วยคุณคิดกันครับ

Choose-Fuel-Car-Or-Electric-Car

จากผลสำรวจของ Autolist ที่สอบถามผู้ซื้อรถยนต์ในสหรัฐอเมริกากว่า 1,567 คน ในปี 2019 พบว่า 3 เหตุผลหลัก ที่คนไม่ตัดสินใจซื้อรถยนต์ไฟฟ้าได้แก่

  • ระยะทางในการวิ่ง เนื่องจาก รถยนต์ไฟฟ้าเมื่อชาร์จหนึ่งครั้ง วิ่งได้ไม่ไกล เมื่อเทียบกับระยะทางของรถยนต์ใช้น้ำมัน
  • ราคา ของรถยนต์ไฟฟ้าที่แพงเกินไป ไม่ว่าจะซื้อและเช่า เมื่อเทียบกับรถยนต์ใช้น้ำมัน
  • สถานีชาร์จไฟ ที่ยังมีน้อยเกินไป หลายคนกังวลว่าจะหาที่ชาร์จไฟรถได้ลำบาก เมื่อขับรถไปไหนไกลๆ หรือออกนอกเมือง

และจากการสำรวจ ยังพบเหตุผลอื่นๆ ที่ผู้คนไม่เลือกซื้อรถยนต์ไฟฟ้า อาทิ ใช้เวลาชาร์จไฟนานเกินไป, ไม่มีความรู้เกี่ยวกับรถยนต์ไฟฟ้าเพียงพอ, ระยะเวลาการใช้งานของแบตเตอรี่รถยนต์ไฟฟ้า, ความไว้วางใจในตัวแบรนด์ หรือตัวรถ, ความกังวลเกี่ยวกับแบตเตอรี่, เรื่องของสไตล์รถยนต์ไฟฟ้า ฯลฯ

ซึ่งความคิดของผู้ซื้อรถยนต์ในสหรัฐอเมริกานั้น ก็ไม่ต่างไปจากความคิดของลูกค้าในไทยนัก

Choose-Fuel-Car-Or-Electric-Car

หากเรามองประเทศไทยในอนาคต 5-10 ปีข้างหน้า ผมเชื่อว่ารถยนต์ที่ใช้น้ำมัน (รวมถึงรถยนต์แบบ Hybrid) ก็ยังคงเป็นรถยนต์ที่ใช้ส่วนใหญ่ในบ้านเราอยู่ดี เพียงแต่จำนวนรถยนต์ไฟฟ้า ก็จะมีมากขึ้นอย่างเห็นได้ชัดแน่ๆ เมื่อเทคโนโลยีรถยนต์ไฟฟ้ามีคุณภาพสูงมากขึ้น และมีราคาขายที่ถูกลง (และจัดเก็บภาษีลดลงด้วย) จนคนส่วนใหญ่เอื้อมถึงมากขึ้น

แต่ก็ต้องแลกกับเวลาในการชาร์จแบตเตอรี่ บวกกับทำใจเตรียมเงินไว้เลย ก็คือ การเปลี่ยนพวกแบตเตอรี่ กับบรรดา Inverter แปลงพลังงาน และระบบควบคุมต่างๆ แทน ซึ่งรถยนต์ไฟฟ้า เมื่อเป็นรถมือสองแล้ว ราคาตกมากกว่ารถน้ำมัน ก็ตรงจุดนี้นั่นล่ะครับ

ส่วนสถานีชาร์จไฟ ก็คาดว่าน่าจะมีแพร่หลายกว่าที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน เพราะทางภาครัฐก็วางแผนตั้งสถานีรองรับอยู่แล้ว และเทคโนโลยีการชาร์จที่เร็วขึ้นกว่าเดิม

Choose-Fuel-Car-Or-Electric-Car

เมื่อเทียบในเรื่องค่าใช้จ่าย รถยนต์ที่ใช้น้ำมัน ก็ยังคงต้องมีการเปลี่ยนถ่ายของเหลว ของสิ้นเปลืองต่างๆ รวมไปถึงการดูแลรักษาตามระยะ แต่รถยนต์ไฟฟ้า ที่ดูคุ้มกว่าในแง่การเปลี่ยนถ่ายของเหลว ชิ้นส่วนเครื่องยนต์ ที่ไม่ต้องมีให้เปลี่ยน รวมไปถึงการเสียภาษีประจำปี ที่แตกต่างไปจากรถยนต์นั่งที่ใช้น้ำมัน เนื่องจากจัดเก็บตามน้ำหนักรถ แทนการนับตามจำนวนความจุกระบอกสูบ

ดูเพิ่มเติม : ข้อควรรู้ : รถยนต์ไฟฟ้า ค่าจดทะเบียน ค่าภาษีรถยนต์ประจำปี มีค่าใช้จ่ายเท่าไหร่ต่อปี

สรุป

รถทั้งสองประเภท ทั้งรถยนต์ใช้น้ำมัน และรถยนต์ไฟฟ้า ล้วนมีทั้ง “ข้อดี” และ “ข้อเสีย” ต่างกันไป

Choose-Fuel-Car-Or-Electric-Car

ทั้งนี้ทั้งนั้น ถามใจตัวเองดู ถ้าหากคุณจะซื้อรถยนต์มาใช้งานสักคัน และตั้งเป้าไว้ว่าจะใช้งานไปสักประมาณ 5 – 10 ปี ก็ควรเลือกรถยนต์ที่ใช้งานคุ้มค่า คุ้มราคา ผ่อนได้ไม่ต้องใช้เงินเดือนที่ได้รับในแต่ละเดือนมาก รถเติมน้ำมันได้ ไม่ต้องกังวลในเรื่องของการหาสถานีชาร์จไฟ (โดยเฉพาะคนที่อยู่บ้านเช่า หอพัก หรือคอนโดมิเนียม) กับความกังวลเรื่องแบตเตอรี่

Choose-Fuel-Car-Or-Electric-Car

หรือถ้าคุณใจยังรักรถน้ำมัน หรือชอบรถมือสองรุ่นเก่าๆ หรือรถน้ำมันป้ายแดงอยู่ การเลือกใช้รถน้ำมันก็ยังถือว่าคุ้มค่าอยู่ กับคนที่จำเป็นต้องใช้รถยนต์ในการทำธุรกิจ หรือขนส่งสินค้าที่ต้องทำเวลา ยิ่งกรณีอยู่ในที่ห่างไกล หรืออยู่ต่างจังหวัด

ถ้าคิดแบบนี้แล้ว ก็ควรเลือกรถยนต์ที่ใช้น้ำมัน หรือรถ Hybrid และ Plug-In Hybrid เพราะตอบโจทย์ความต้องการของคุณได้ดีกว่า

Choose-Fuel-Car-Or-Electric-Car

แต่ถ้าใครมีงบประมาณมากพอ ชอบเทคโนโลยีสมัยใหม่ ชอบการขับรถแบบไม่ต้องเติมน้ำมัน และไม่กังวลเรื่องหาที่ชาร์จไฟ กับเวลาที่ชาร์จไฟ บวกกับงบประมาณในการบำรุงรักษาที่น้อยกว่า

หากอยู่ในเมืองใหญ่ จุดชาร์จมีมากขึ้นแน่นอนในอนาคต แถมประหยัด การออกตัวก็เร็วทันใจ เพราะมีแค่เกียร์เดียว เหยียบคันเร่งทีก็พุ่งเลย ไม่แพ้รถเครื่องโตๆ แต่อย่างใด และไม่ปล่อยมลพิษออกมา หรือมีรถยนต์ส่วนตัวมากกว่า 1 คัน ก็เลือกรถยนต์ไฟฟ้า (รถ EV) ไว้ใช้งานได้

ก็แล้วแต่คุณแล้วล่ะครับ ว่าจะเลือกแบบไหน …

Carro Express ขายรถกับคาร์โร อยากขายรถ ขายรถด่วน

ส่วนใครที่อยากขายรถ เพื่ออยากลองซื้อรถยนต์ไฟฟ้าคันใหม่มาใช้ดูบ้าง CARRO เรารับซื้อรถของคุณ มาขายรถคันเดิมกับ CARRO Express สิ! หรือจะ Inbox มาขอรายละเอียดได้ที่ Facebook -> CARRO Thailand และ Add Line สอบถามรายละเอียดได้เช่นกัน ที่ @carrothai

Carro Automall / คาร์โร ออโต้มอลล์

แต่ถ้าใครอยากซื้อรถยนต์ไฟฟ้า แต่เงินไม่พอผ่อนหรือซื้อสด CARRO อยากให้ลองเปิดใจกับรถมือสองสภาพดีๆ สักคัน และหลายรุ่นยังประหยัดน้ำมัน ซึ่ง CARRO Automall เป็นแหล่งรวมรถมือสองคุณภาพเยี่ยมผ่านระบบออนไลน์ พร้อมตอบโจทย์คุณด้วยคอนเซปต์ “click.buy.drive.” คุณสามารถจองรถออนไลน์ ได้ในเวลาเพียง 1 นาทีเท่านั้น!

รถทุกคันผ่านการตรวจสภาพแบบ Double Check มากกว่า 200 จุด และยังมีเทคโนโลยี “360 View & Sound Engine Analysis” ให้คุณเลือกชมรถยนต์เสมือนจริงออนไลน์รายแรกในไทย ทั้งภาพและเสียงในรูปแบบ 360 องศา พร้อมรับประกันคุณภาพรถนานถึง 2 ปี หรือ 20,000 กิโลเมตร!

อีกทั้งยังการันตีความพึงพอใจ คืนเงินได้ภายใน 5 วันอีกด้วย! เรามีรถให้คุณเลือกชมเพียบ เปิดบริการทุกวัน ซื้อรถคุณภาพเยี่ยม ต้องที่ CARRO Automall สิ!

หรือถ้าหากสนใจรถรุ่นไหนอยู่ แต่ยังหาที่ถูกใจไม่ได้ เรายินดีหาให้! เพียงแค่กรอกเบอร์โทรศัพท์ ชื่อยี่ห้อ / รุ่นรถ ที่คุณต้องการก็ได้เช่นกันครับ อีกทั้งยังสามารถ Inbox เข้ามาสอบถามรายละเอียดได้ที่ Facebook -> CARRO Automall Official โทร. 02-508-8690 หรือทาง Line @carroautomall ครับ

ขอบคุณข้อมูลบางส่วนจาก:

New-Car-In-Motor-Expo-2020

“มหกรรมยานยนต์ ครั้งที่ 37” หรือ The 37th Thailand International Motor Expo 2020 ภายใต้แนวคิด “พร้อมขับเคลื่อน ไปในความเปลี่ยนแปลง” หรือ “Whatever Changes will be…Move on” หลังจากที่ต้องเผชิญกับโควิด-19 มาเกือบทั้งปีนี้ จนอ่วมไปตามๆ กัน ทั้งตัวค่ายรถเอง และผู้บริโภคเอง กำลังซื้อหดหายไปอย่างมากในปีนี้

โดยงาน Motor Expo 2020 พร้อมจัดงานในยุค New Normal เตรียมนำรถรุ่นใหม่ และรถรุ่นยอดนิยม มาจัดแสดงส่งท้ายปี 2020 โดยงานมอเตอร์เอ็กซ์โป ปีนี้จัดขึ้นระหว่างวันที่ 2 – 13 ธันวาคม 2563 ณ อิมแพค ชาเลนเจอร์ 1-3 เมืองทองธานี

ไหนๆ จะไปดู ไปซื้อรถใหม่ที่งาน Motor Expo 2020 กันแล้ว ถ้าคุณอยากขายรถคันเดิม หรือรับเป็นเงินก้อนไปใช้ สามารถขายรถคันเดิมกับ Carro ได้ เราพร้อมรับซื้อรถของคุณ ง่ายๆ ได้เงินไว! กับ Carro Express เพียงแค่คลิก https://th.carro.co/sell-car/express หรือสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ใน Fanpage Carro Thailand

หรือจะ Add Line สอบถามรายละเอียดได้ที่ @Carrothai หรือคลิกที่นี่ —> เพิ่มเพื่อน

CARRO ขอนำเสนอรถยนต์ใหม่ๆ ที่เปิดตัวก่อนงานและในงาน Motor Expo 2020 นับตั้งแต่ในเดือนตุลาคม – พฤศจิกายน บริษัทรถยนต์หลายแบรนด์ ได้เปิดตัวรถรุ่นใหม่ ไปแล้วหลายค่าย CARRO ขอแนะนำให้ทุกท่านได้ทราบข้อมูลและรายละเอียดต่างๆ ครับผม …

Toyota-GR-Yaris-2021

1. Toyota GR Yaris

Toyota เตรียมสั่งนำเข้า Toyota GR Yaris (โตโยต้า จีอาร์ ยาริส) รถสปอร์ตตัวแรง 3 ประตู แต่งซิ่งครบสูตร ด้วยโควต้านำเข้าเพียง 6 คันเท่านั้น ในราคาประมาณ 2.7 ล้านบาท! หลังจากที่เปิตตัวในญี่ปุ่นไปในงาน Tokyo Auto Salon 2020 ช่วงต้นปีที่ผ่านมา และจัดได้ว่าเป็น Yaris ที่แรงที่สุดในโลกด้วย

มาพร้อมเครื่องยนต์เบนซินรหัส G16E-GTS ขนาด 1.6 ลิตร Turbo แบบ 3 สูบแถวเรียง ให้แรงม้าสูงสุด 272 แรงม้า ที่ 6,500 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 370 นิวตัน-เมตร (37.7 กก.-ม.) ที่ 3,000-4,600 รอบ/นาที ส่งกำลังผ่านเกียร์ธรรมดา 6 สปีด แบบ iMT บนระบบขับเคลื่อน 4 ล้อ GR4 ที่ถูกพัฒนามาจากในสนามแข่ง WRC

ให้อัตราเร่ง 0-100 กม./ชม. ในเวลาเพียง 5.5 วินาที และจำกัดความเร็วสูงสุดไว้ที่ 230 กม./ชม.

Toyota-Innova-Crysta-2021

2. Toyota Innova (Minorchange)

Toyota (โตโยต้า) เผยโฉม Toyota Innova (โตโยต้า อินโนวา) รุ่นไมเนอร์เชนจ์ มีให้เลือก 3 รุ่น คือ 2.8 Crysta Premium, 2.8 Crysta และ 2.0 Entry ปรับเปลี่ยนดีไซน์ภายนอกรอบคัน โฉบเฉี่ยว ทันสมัย โดดเด่นสะดุดตามากขึ้น นับตั้งแต่กระจังหน้าดีไซน์ใหม่ กันชนหน้าใหม่ ชุดตกแต่งรอบคัน สปอยเลอร์หลัง ล้อแม็กดีไซน์ใหม่ขนาด 16 นิ้ว และ 17 นิ้ว

ภายในออกแบบอย่างมีระดับ กว้างสบาย ตืดตั้งเครื่องเสียงหน้าจอสัมผัสขนาด 9 นิ้ว รองรับ Apple CarPlay และฟังก์ชันความปลอดภัยอย่าง กล้องมองภาพรอบทิศทาง 360 องศา (Panoramic View Monitor) และสัญญาณกะระยะด้านหน้าและด้านหลัง

พร้อมขุมพลังเครื่องยนต์ดีเซล 2.8 ลิตร GD-Efficient Boost, เครื่องยนต์เบนซิน 2.0 ลิตร Dual VVT-i ส่งกำลังผ่านเกียร์อัตโนมัติ 6 สปีด พร้อม Sequential Shift และเกียร์ธรรมดา 5 สปีด ในราคา 1,199,000 – 1,429,000 บาท

Nissan-Navara-Pro-4X-2021

3. Nissan Navara

Nissan (นิสสัน) เปิดตัว Nissan Navara (นิสสัน นาวารา) โฉมหน้ายกใหม่!ถอดแบบมาจากรุ่นพี่สายพันธุ์ยักษ์อย่าง Nissan Titan บุกตลาดเป็นประเทศแรกในโลก ด้วยดีไซน์ใหม่ดุดัน เพื่อลูกค้าคนไทยด้วยพลังที่กล้า เพื่อคนแกร่ง จากชื่อเสียงมากกว่า 80 ปี ของรถกระบะนิสสันที่ลูกค้ายอมรับในเรื่องความแข็งแกร่งทนทาน โดยไม่ละทิ้ง DNA ของนิสสันที่ท้าทายทุกขีดจำกัด

ดีไซน์ Concept “Unbreakable Design” คำนึงถึงการใช้งาน และความชื่นชอบของลูกค้า กับรุ่นย่อยใหม่ PRO4X และ PRO2X อีกขั้นของกระบะ Adventure สำหรับทุกความท้าทาย ด้วยดีไซน์ภายนอกที่ดุดัน กระจังหน้าใหม่แบบ Interlock และซุ้มล้อขนาดใหญ่ ชุดไฟหน้าแบบ QUAD – LED คุณภาพสูง 4 ดวง พร้อม Daytime Running Light และไฟท้ายแบบ LED แบบเส้นเดียวที่ทันสมัย

มาพร้อมเครื่องยนต์ใหม่ รหัส YS23DDTT ขนาด 2.3 ลิตร 4 สูบ Twin Turbo เกียร์อัตโนมัติ 7 สปีด พร้อมโหมด Manual ให้กำลังสูงสุด 190 แรงม้า (PS) และแรงบิด 450 นิวตัน-เมตร (Nm) และ Nissan Intelligent Mobility เทคโนโลยีการขับขี่อัจฉริยะเต็มรูปแบบ ในราคา 599,000 – 1,149,000 บาท

All-New-Honda-City-Hatchback-2021

4. Honda City Hatchback

Honda เปิดตัว Honda City Hatchback (ฮอนด้า ซิตี้ แฮทช์แบค) ครั้งแรกในโลกกับฮอนด้า ซิตี้ ในรูปแบบ 5 ประตู ในไทย ตอบสนองทุกการขับขี่ด้วยฟังก์ชันการใช้งานระดับพรีเมียม อาทิ หน้าจอแสดงข้อมูลการขับขี่ พร้อมมาตรวัดเรืองแสง ระบบเครื่องเสียงหน้าจอสัมผัสขนาด 8 นิ้ว แบบ Advanced Touch รองรับการเชื่อมต่อ Apple CarPlay และระบบสั่งการด้วยเสียง SIRI

ผสานเอกลักษณ์ความอเนกประสงค์กับเบาะนั่ง อัลตราซีท (ULTR) และการขับขี่ที่สนุกสนานกับ ขุมพลังเทอร์โบ เครื่องยนต์ 1.0 ลิตร DOHC VTEC TURBO ให้สมรรถนะการขับขี่สูงถึง 122 แรงม้า ที่ 5,500 รอบ/นาที แรงบิด 173 นิวตัน-เมตร ที่ 2,000 – 4,500 รอบ/นาที

ประหยัดน้ำมันดีเยี่ยมถึง 23.3 กม./ลิตร ตอบสนองทุกการขับขี่ด้วยระบบควบคุมการเปลี่ยนเกียร์ที่พวงมาลัยแบบ 7 สปีด และสามารถรองรับน้ำมัน E20 ในราคา 599,000 – 749,000 บาท!

New-Honda-City-Hybrid-2021

5. Honda City e:HEV

Honda (ฮอนด้า) เปิดตัว Honda City e:HEV (ฮอนด้า ซิตี้ อีเอชอีวี) ยนตรกรรม Full Hybrid รุ่นแรกของเซกเมนต์ City Car ในประเทศไทย ที่มาพร้อมเทคโนโลยีการขับเคลื่อน Sport Hybrid Intelligent Multi-Mode Drive i-MMD ผสานการทำงานอันทรงพลังของมอเตอร์ไฟฟ้า 2 ตัว กับเครื่องยนต์ขนาด 1.5 ลิตร Atkinson Cycle DOHC i-VTEC 4 สูบ 16 วาล์ว 98 แรงม้า

ส่งกำลังผ่านระบบเกียร์อัตโนมัติ อัตราทดแปรผันต่อเนื่องไฟฟ้า (E-CVT) และแบตเตอรี่ลิเธียม-ไอออน เป็นระบบ Full Hybrid 109 แรงม้า ที่ตอบสนองได้ทันใจด้วยแรงบิดสูงสุด 253 นิวตัน-เมตร ที่ 0 – 3,000 รอบ/นาที ให้อัตราการประหยัดน้ำมันดีเยี่ยมถึง 27.8 กม./ลิตร และรองรับน้ำมัน E20

พร้อมเพิ่มความมั่นใจในทุกการขับขี่กับเทคโนโลยีความปลอดภัยอัจฉริยะ “ฮอนด้า เซนส์ซิ่ง” (Honda SENSING) ดีไซน์สปอร์ตโดดเด่น ด้วยชุดแต่งสไตล์ RS เสริมเอกลักษณ์เฉพาะของความเป็นไฮบริดด้วยโลโก้ฮอนด้าสีฟ้า (H Mark) และโลโก้ e:HEV

ภายในห้องโดยสารกว้างขวาง สะดวกสบายในทุกมิติ ครบครันด้วยเทคโนโลยีเพื่อความปลอดภัยและฟังก์ชันการใช้งานระดับพรีเมียม ในราคา 839,000 บาท!

All-New-Isuzu-MU-X-2020

6. Isuzu MU-X

Isuzu (อีซูซุ) เปิดตัว  “All-New Isuzu MU-X (ออลนิว อีซูซุมิว-เอ็กซ์)” ใหม่ ครั้งแรกของโลก! ยนตรกรรมอเนกประสงค์รุ่นใหม่หมดระดับ Masterpiece ภายใต้นิยาม “เหนือทุกความเชื่อ…เหนือทุกความสำเร็จ (Originality Redefined)” พลิกโฉมใหม่ทั้งภายนอกจรดภายใน ด้วยดีไซน์ที่หรูหรา สะดวกสบาย ประณีตในทุกรายละเอียด ในราคา 1,121,000 บาท (ราคาช่วงแนะนำ 1,109,000 บาท) – 1,579,000 บาท

ตัวรถภายนอก หรู ล้ำสไตล์ สง่างาม โฉบเฉี่ยวเร้าอารมณ์ ภายใต้แนวคิด Emotional & Solid ผสานความหนักแน่นและพลิ้วไหวเข้าไว้ด้วยกันตลอดทั้งคัน ส่วนภายในกว้างขวาง โอ่อ่า ด้วยแนวคิดการออกแบบ Fine, Rich & Impressive Craftsmanship ด้วยวิธีการออกแบบ Integrated Cockpit คอนโซลหน้าเชื่อมต่อเป็นหนึ่งเดียวกับคอนโซลกลาง จัดวางเรียบหรู

มีให้เลือกครบครันด้วยสไตล์ที่หลากหลายรวม 4 รุ่น ได้แก่ Ultimate, Elegant, Luxury และ Active เครื่องยนต์ 3.0 Ddi Blue Power และ 1.9 Ddi Blue Power Gen 2 พร้อมทางเลือกทั้งเกียร์อัตโนมัติ และเกียร์ธรรมดาแบบ 6 สปีด มีให้เลือกทั้งระบบขับเคลื่อน 2 ล้อและ 4 ล้อ พร้อมระบบขับเคลื่อน Rough Terrain Mode ในรุ่นขับเคลื่อน 4 ล้อ โดยทำงานได้ทั้ง 2H, 4H และ 4L

Mitsubishi-Outlander-PHEV-2020

7. Mitsubishi Outlander PHEV

Mitsubishi (มิตซูบิชิ) เตรียมรุกตลาดรถยนต์ Plug-In Hybrid เป็นครั้งแรกในไทยกับ Mitsubishi Outlander PHEV (มิตซูบิชิ เอาท์แลนเดอร์ ปลั๊กอินไฮบริด) ที่ผลิตจากโรงงานแหลมฉบัง จ.ชลบุรี เตรียมเปิดตัวในงาน Motor Expo 2020 นี้

มาพร้อมเครื่องยนต์ขนาด 2.5 ลิตร 4 สูบ 135 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 211 นิวตันเมตร ผสานกำลังกับมอเตอร์ไฟฟ้า 2 ตัว หน้า-หลัง ให้กำลัง 82 แรงม้า และ 95 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 195 นิวตันเมตรทั้งคู่ ให้กำลังรวมสูงสุด 305 แรงม้า โดยราคารุ่น GT อยู่ที่ 1,640,000 บาท และรุ่น GT Premium ราคา 1,749,000 บาท

Mitsubishi-Xpander-2020

8. Mitsubishi Xpander

Mitsubishi Xpander (มิตซูบิชิ เอ็กซ์แพนเดอร์) รุ่นปรับปรุงใหม่ โดดเด่นมากขึ้นด้วยล้ออัลลอยดีไซน์ใหม่ขนาด 16 นิ้ว กระจังหน้าดีไซน์ใหม่ และเสาอากาศแบบครีบฉลาม พร้อมเอกลักษณ์การออกแบบ Advanced ‘Dynamic Shield’ ที่มาพร้อมกับสีภายนอกใหม่ สีเทา Graphite Gray พร้อมด้วยระยะความสูงจากพื้นถึง 205 มม.

ห้องโดยสารภายในสะดวกสบาย กว้างขวาง ตกแต่งด้วยวัสดุบุนุ่มคุณภาพเยี่ยม มีความเงียบเพิ่มมากขึ้น มีเสียงรบกวนและการสั่นสะเทือนที่ต่ำ (NVH) เพิ่มสุนทรียภาพตามปรัชญาแบบ “โอโมเตะนาชิ” ที่ถ่ายทอดความประณีตและยังใส่ใจในทุกรายละเอียด

สะดวกสบายมากขึ้นด้วยกุญแจอัจฉริยะแบบ KOS พร้อมปุ่มสตาร์ทเครื่องยนต์ และระบบปรับอากาศด้านหลังแบบแยกอิสระสำหรับผู้โดยสารตอนหลัง พวงมาลัยสามารถปรับระดับสูง-ต่ำ และปรับเข้า-ออกได้ พร้อมกับสวิตช์ควบคุมระบบเครื่องเสียงและปุ่มรับ-วางสายโทรศัพท์บนพวงมาลัย และจอแสดงข้อมูลอเนกประสงค์ TFT ขนาด 4.2 นิ้ว พร้อมการแสดงผลแบบภาพเคลื่อนไหว 3 มิติ ในราคา 789,000 – 863,000 บาท

Ford-Ranger-2021

9. Ford Ranger / Everest

Ford (ฟอร์ด) ปรับโฉม Ford Ranger (ฟอร์ด เรนเจอร์) ใหม่ ภายใต้แนวคิด ‘Live The Ranger Life’ มาพร้อมระบบส่งกำลังที่ได้รับการพัฒนาไปอีกขั้น โดยรุ่นเครื่องยนต์ 2.0 ลิตร ทุกคันจะได้รับประกันเครื่องยนต์และระบบส่งกำลังนาน 10 ปี หรือ 150,000 กม. (แล้วแต่ระยะใดถึงก่อน) ในราคา 669,000 – 1,699,000 บาท

ภายนอกกระจังหน้าดีไซน์ใหม่ ทรงสี่เหลี่ยมคางหมูตกแต่งตะแกรงสีดำ ในรุ่น XL, XL Street, XL+, XLT และWildtrak, ล้ออัลลอยสีดำและกระจกข้างสีดำในรุ่น XL+ Sport, XL Street, XLT และ Wildtrak, มือจับประตูสีดำในรุ่น XL+ Sport, XLT และ Wildtrak และอุปกรณ์เสริมใหม่ แผ่นเปิด-ปิดฝากระบะท้ายด้วยระบบไฟฟ้า (Power Roller Shutter) เป็นครั้งแรกสำหรับ Wildtrak

ในโอกาสนี้ Ford ยังได้เปิดตัว Ranger XL Street ใหม่ กระบะตอนครึ่งตัวเตี้ยแต่งพิเศษ เป็นรุ่นย่อยใหม่ล่าสุด ด้วยดีไซน์สปอร์ตรอบคัน ผลงานของทีมดีไซเนอร์ของ ฟอร์ด ออสเตรเลีย ที่ได้รับแรงบันดาลใจมาจากรถแข่ง Ford Ranger ของทีมฟอร์ด ไทยแลนด์ เรสซิ่ง (Ford Thailand Racing – FTR) มาพร้อมขุมพลังเครื่องยนต์ดีเซล 2.2 ลิตร ผสานเกียร์อัตโนมัติ 6 สปีด

Ford-Everest-2021

และในส่วนของ Ford Everest (ฟอร์ด เอเวอเรสต์) ใหม่ ต่อยอดความสำเร็จของ Ford Everest Sport ที่ได้รับกระแสตอบรับดีจากลูกค้า โดยลูกค้ากว่าครึ่ง ให้ความสนใจเลือกซื้อจากดีไซน์สไตล์สปอร์ต โฉบเฉี่ยว และดุดัน

ด้วยกระจังหน้าอันเป็นเอกลักษณ์ ตัวอักษรนูน ‘Everest’ บนฝากระโปรงหน้า พร้อมมือจับ กระจกข้าง และล้ออัลลอยใหม่สำหรับรุ่นเทรนด์ พร้อมมอบตัวเลือกสีภายนอกใหม่ สีขาว สโนว์ เฟลก ไวท์ เพิร์ล สำหรับฟอร์ด เอเวอเรสต์ สำหรับรุ่นเทรนด์, ไทเทเนี่ยม และไทเทเนี่ยม พลัส และสีน้ำเงินดีพ คริสตัล บลู สำหรับรุ่นสปอร์ต ในราคา 1,299,000 – 1,799,000 บาท

Rolls-Royce-Ghost-2021

10. Rolls-Royce Ghost

Rolls-Royce (โรลส์-รอยซ์) เผยโฉม Rolls-Royce Ghost (โรลส์-รอยซ์ โกสต์) เจเนอเรชั่น 2 ในฐานะตัวแทนการเข้าสู่ยุคใหม่ของบริษัท ที่เตรียมมาเปิดตัวเขย่าตู้เซฟเศรษฐีไทย ให้เอาเงินออกมาซื้อได้ในเดือนนี้

Rolls-Royce Ghost ใหม่ พัฒนาขึ้นบนแพลทฟอร์มอลูมิเนียม สเปซเฟรม Architecture of Luxury แบบเดียวกับ Rolls-Royce Phantom และ Rolls-Royce Cullinan การออกแบบตัวรถเน้นความเรียบง่าย ใช้ประตูคู่หลังแบบ Coach Doors กับห้องโดยสารที่เงียบเชียบภายใต้สูตร Formula for Serenity รวมถึงงานตกแต่งพิเศษจากแผนก Bespoke และปรับปรุงระบบฟอกอากาศภายในห้องโดยสารใหม่ Micro-Environment Purification System หรือ MEPS เป็นต้น

ขุมพลังมาจากเครื่องยนต์เบนซินตระกูล N74 ของ BMW แบบ V12 ความจุ 6.75 ลิตร Twin Turbo 563 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 850 นิวตันเมตร ที่ 1,600 รอบ/นาที ให้อัตราเร่ง 0 – 100 กม./ชม. ภายใน 4.8 วินาที ส่งกำลังด้วยเกียร์อัตโนมัติ 8 จังหวะของ ZF พร้อมเทคโนโลยี Satellite Aided Transmission

Maserati-Ghibli-Hybrid-2021

11. Maserati Ghibli Hybrid

Maserati (มาเซราติ) เผยโฉม Maserati Ghibli Hybrid (มาเซราติ กิบลี ไฮบริด) หัวใจลูกผสมแบบ Mild Hybrid เป็นครั้งแรกของค่ายนี้ พร้อมการปรับปรุงใหม่รอบคัน ให้ดูแตกต่างไปจาก Ghibli รุ่นปกติ สำหรับลูกค้าที่มองหาสมรรถนะและความประหยัด เตรียมเปิดตัวในไทยเดือนนี้

ใช้เครื่องยนต์เบนซินขนาด 2.0 ลิตร Turbo ฉีดเชื้อเพลิงโดยตรง DOHC 4 สูบเรียง อัดอากาศด้วย Supercharge ไฟฟ้า หรือ E-Booster ให้แรงม้าสูงสุด 330 แรงม้า และส่งกำลังด้วยระบบเกียร์อัตโนมัติ 8 สปีด ของ ZF พร้อมกำลังไฟ 48 โวลต์ ที่ใช้เทคโนโลยี BSG หรือ Belt-Driven Starter Generator สายพานที่รวมกับมอเตอร์สตาร์ท ทำหน้าที่แทน Alternator (ไดชาร์จ) และนำกระแสไฟฟ้าจากแบตเตอรี่ระบบไฟ 48 โวลท์ ไปเพิ่มแรงบิด และลดการใช้เชื้อเพลิง

ให้อัตราเร่ง 0-100 กม./ชม. ใน 5.7 วินาที ทำความเร็วได้สูงสุด 255 กม./ชม. อีกทั้งยังมาพร้อมเทคโนโลยีใหม่ มีระบบเชื่อมต่อภายใต้โปรแกรม Maserati Connect ให้ข้อมูลผู้ขับขี่ ทำงานร่วมกับชุดระบบมัลติมีเดีย MIA (Maserati Intelligent Assistant) แบบใหม่ ใช้พื้นฐานของ Android Automotive แสดงผลด้วยจอทัชสกรีนขนาด 10.1 นิ้ว

Audi-e-tron-Sportback-55-quattro-S-line-2020

12. Audi e-tron Sportback

Audi (อาวดี้) เปิดตัว Audi e-tron Sportback 55 quattro S line รถยนต์พลังงานไฟฟ้า 100% โมเดลที่ 2 ของ Audi เป็นแบรนด์แรกในประเทศไทย ชูจุดเด่นและความสมบูรณ์แบบทางเทคโนโลยีไฟฟ้า 100% ตอบรับกลยุทธ์ของ AUDI AG ที่กำหนดนิยามใหม่ของ “Vorsprung” ให้มีความทันสมัย สะท้อนจุดยืน ความพร้อม และบทบาทของแบรนด์ Audi สำหรับยุคยานยนต์ใหม่ที่ขับเคลื่อนด้วยไฟฟ้า

พร้อมเปิดตัวแคมเปญ Branding ใหม่พร้อมกันทั่วโลก กับสโลแกน “Future is An Attitude” ชูจุดเด่นของเทคโนโลยี ดีไซน์ที่สะท้อน DNA ของ Audi ลุคสปอร์ตพรีเมียมและสมรรถนะอันยอดเยี่ยม ภายในมาพร้อมจอแสดงข้อมูลการขับขี่แบบ Virtual cockpit plus ขนาด 12.3 นิ้ว และจอควบคุมมัลติฟังก์ชันแบบสัมผัส พร้อมตอบสนองการสั่งงาน (Haptic Feedback) ขนาด 8.6 นิ้ว เพียงปลายนิ้วสัมผัส รองรับการสั่งการด้วยการเขียนด้วยนิ้ว เชื่อมต่อโทรศัพท์มือถือด้วย Audi Smartphone Interface และเครื่องเสียงระดับพรีเมียม Bang & Olufsen พร้อมระบบเสียง 3 มิติ

ขับเคลื่อนด้วยพลังงานไฟฟ้า 100% รุ่นใหม่ มาพร้อมระบบขับเคลื่อน 4 ล้ออัจฉริยะแบบไฟฟ้า (Electric quattro) มอเตอร์ไฟฟ้า 2 ตำแหน่ง ให้กำลังสูงสุดถึง 300 กิโลวัตต์ หรือ 408 แรงม้า ระยะทางวิ่งสูงสุด 463 กิโลเมตร ต่อการชาร์จไฟหนึ่งครั้ง (อ้างอิงตามผลการทดสอบโดยใช้มาตรฐาน NEDC) การขับเคลื่อนด้วยมอเตอร์ไฟฟ้า 2 ตำแหน่ง

ผสมผสานกับระบบขับเคลื่อน quattro และมีการนำพลังงานกลับมาใช้ใหม่ (Recuperation) อย่างชาญฉลาด 2 รูปแบบ คือ พลังงานจากการปล่อยให้รถวิ่งในลักษณะลอยตัว (Coasting) และพลังงานจากการเบรก (Braking) พร้อมเปิดจองและส่งมอบทันทีในราคา 5,299,000 บาท

BMW-430i-Coupe-M-Sport-2021

13. BMW 430i Coupe M Sport

BMW (บีเอ็มดับเบิลยู) เปิดตัว BMW 430i Coupe M Sport (บีเอ็มดับเบิลยู ซีรี่ส์ 4 คูเป้) ใหม่ มาพร้อมกลิ่นอายที่ผสมผสานทั้งความแข็งแกร่ง ทรงพลัง และความหรูหราในสไตล์คูเป้ของ BMW ที่มีประวัติศาสตร์ยาวนานกว่า 90 ปี

โดย BMW 430i Coupe M Sport ใหม่ พัฒนาทั้งในด้านสมรรถนะและสุนทรียภาพให้โดดเด่นกว่ารุ่นก่อนหน้า รวมถึง BMW ซีรี่ส์ 3 ซีดาน อย่างชัดเจน ขับเคลื่อนด้วยเครื่องยนต์เบนซิน 4 สูบแถวเรียง พร้อมเทคโนโลยี BMW TwinPower Turbo รุ่นใหม่ล่าสุด และเทคโนโลยี Mild Hybrid ยกระดับการโต้ตอบให้ฉับไวกว่า มอบสมรรถนะการขับขี่ได้เต็มพิกัด

ส่งพละกำลังสูงสุด 258 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 400 นิวตันเมตร ระหว่าง 1,550- 4,400 รอบ/นาที ให้อัตราเร่ง 0-100 กม./ชม. ได้ภายใน 5.8 วินาที ในราคา 3,969,000 บาท (รวมภาษีมูลค่าเพิ่ม และโปรแกรมบำรุงรักษา BSI Standard)

BMW-X1-sDrive20d-M-Sport-2021

14. BMW X1

BMW X1 (บีเอ็มดับเบิลยู X1) รถยนต์ Sports Activity Vehicle รุ่นปรับโฉมใหม่ ให้การใช้งานที่หลากหลายยิ่งกว่า และฟีเจอร์การใช้งานและอุปกรณ์ล้ำสมัยอีกมากมาย มาพร้อมเครื่องยนต์ BMW TwinPower Turbo แบบ 3 สูบ และ 4 สูบ

โดย BNW X1 sDrive18i (Iconic) ใช้เครื่องยนต์เบนซิน 3 สูบ ขนาด 1.5 ลิตร ให้แรงม้าสูงสุด 140 แรงม้า ที่ 4,600-6,500 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 220 นิวตันเมตร ที่ 1,480-4,200 รอบ/นาที ทำงานร่วมกับเกียร์ Steptronic อัตโนมัติ 7 จังหวะ คลัทช์คู่ อัตราเร่ง 0 – 100 กม./ชม. ในเวลา 9.7 วินาที สู่ความเร็วสูงสุด 205 กม./ชม.

ในขณะที่ BMW X1 sDrive20d xLine และ BMW X1 sDrive20d M Sport ขับเคลื่อนด้วยขุมพลังดีเซล 4 สูบ ขนาด 2.0 ลิตร ส่งกำลังสูงสุด 190 แรงม้า ที่ 4,000 รอบ/นาที และแรงบิดสูงสุด 400 นิวตันเมตร ที่ 1,750-2,500 รอบ/นาที สามารถเร่งความเร็วจากหยุดนิ่งถึง 100 กิโลเมตรต่อชั่วโมงได้ภายใน 7.9 วินาที ทำความเร็วสูงสุดได้ถึง 222 กม./ชม.

ซึ่งในรุ่น xLine มาพร้อมเกียร์ Steptronic อัตโนมัติ 8 จังหวะ และในรุ่น M Sport มาพร้อมเกียร์ Steptronic อัตโนมัติ 8 จังหวะแบบสปอร์ต ในราคา 1,999,000 – 2,559,000 บาท (รวมภาษีมูลค่าเพิ่ม และโปรแกรมบำรุงรักษา BSI Standard)

New-MG-HS-PHEV-2020

15. MG HS PHEV

MG (เอ็มจี) เปิดตัว MG HS PHEV (เอ็มจี เอชเอส ปลั๊กอินไฮบริด) ชูแนวคิด “Refinement” พร้อมขับเคลื่อนทุกคุณค่าของชีวิต โดยสะท้อนถึงความเหนือระดับ ทั้งความหรูหรา ความสะดวกสบายความปลอดภัย และการแนะนำเทคโนโลยี Plug-in Hybrid ที่ผสานการทำงานระหว่างเครื่องยนต์ และมอเตอร์ไฟฟ้าได้อย่างมีประสิทธิภาพ

สำหรับเทคโนโลยี Plug-in Hybrid ผสานการทำงานระหว่างเครื่องยนต์ Turbo ขนาด 1.5 ลิตร และมอเตอร์ไฟฟ้าประสิทธิภาพสูง ที่มาพร้อมนวัตกรรม Hairpin Design พร้อมแบตเตอรี่ Lithium-ion ขนาดใหญ่ 16.6 kWh ส่งกำลังผ่านเกียร์อัตโนมัติแบบ EDU II – 10 Speeds ให้กำลังสูงสุด 284 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 480 นิวตันเมตร สามารถเลือกขับขี่ด้วยพลังงานไฟฟ้า (EV Mode) ได้ไกลถึง 67 กิโลเมตร

พร้อมติดตั้งระบบความปลอดภัยมาตรฐานสูงมากถึง 25 ระบบ พร้อมทั้ง Advanced Driver Assistance System สนับสนุนช่วยเหลือผู้ขับขี่เทียบเท่าระบบขับเคลื่อนอัตโนมัติ (Autonomous) ระดับ 2 ในราคา 1,359,000 บาท

KIA-Grand-Carnival-2021

16. KIA Grand Carnival

KIA (เกีย) ก็ขอเผยโฉมรถใหม่ๆ ในงาน Motor Expo 2020 ครั้งนี้บ้าง ด้วยการเปิดตัว KIA Grand Carnival (เกีย แกรนด์ คานิวัล) ใหม่! เจเนอเรชั่นที่ 4 ที่ส่งตรงจากเกาหลีใต้มาถึงไทย ที่เตรียมเปิดราคาในงานนี้ด้วยเลย

สำหรับ KIA Grand Carnival โฉมนี้ ปรับรูปโฉมใหม่หมดที่ดูคล้ายกับ SUV และรถมินิแวนในฝั่งอเมริกันมากขึ้น พร้อมกระจังหน้าแบบ Tiger Nose และเส้นสายตัวถังแบบใหม่ เพิ่มเหลี่ยมมุมมากขึ้น สร้างขึ้นบนแพลทฟอร์มใหม่ล่าสุดอย่าง “Grand Utility Vehicle” ที่ใช้ร่วมกับรุ่น Optima และ Sorento พร้อมห้องโดยสารภายในที่หรูหรามากขึ้น โดดเด่นด้วยจอ Infotainment ขนาดใหญ่ด้านคอนโซลหน้า

มาพร้อมกับเครื่องยนต์ดีเซลขนาด 2.2 ลิตร CRDi Turbo 202 แรงม้า ส่งกำลังผ่านเกียร์อัตโนมัติ 8 สปีด

นิสสัน มอเตอร์ ประเทศไทย ส่ง Nissan Navara (นิสสัน นาวารา) ใหม่ บุกตลาดเป็นประเทศแรกในโลก ด้วยดีไซน์ใหม่ดุดัน เครื่องยนต์ดีเซลใหม่ ขนาด 2.3 ลิตร ทวินเทอร์โบ และติดตั้ง Nissan Intelligent Mobility เทคโนโลยีการขับขี่อัจฉริยะเต็มรูปแบบ เพื่อลูกค้าคนไทยด้วยพลังที่กล้า เพื่อคนแกร่ง

New-Nissan-Navara-2021

ดีไซน์ Concept “Unbreakable Design” คำนึงถึงการใช้งาน และความชื่นชอบของลูกค้า ด้วยดีไซน์ภายนอกที่ดุดัน กระจังหน้าใหม่แบบ Interlock และซุ้มล้อขนาดใหญ่เพิ่มความโดดเด่น ระบบไฟหน้าแบบ QUAD – LED คุณภาพสูง 4 ดวงพร้อม Daytime Running Light และไฟท้ายแบบ LED แบบเส้นเดียวที่ทันสมัย โดยไม่ละทิ้ง DNA ของนิสสันที่ท้าทายทุกขีดจำกัด และพร้อมให้ลูกค้าสามารถเดินทางไปได้ทุกที่ จากชื่อเสียงมากกว่า 80 ปีของรถกระบะนิสสันที่ลูกค้ายอมรับในเรื่องความแข็งแกร่งทนทาน

New-Nissan-Navara-2021

การเปิดตัวในครั้งนี้เป็นส่วนหนึ่งของผลิตภัณฑ์ภายใต้แผนยุทธศาสตร์ Nissan NEXT ที่ประเทศไทย เป็น 1 ใน 2 ฐานการผลิตนิสสัน นาวารา ใหม่ เพื่อลูกค้าชาวไทยและส่งออกไปกว่า 26 ประเทศ

New-Nissan-Navara-2021

เครื่องยนต์ของนิสสัน มีชื่อเสียงทั้งด้านประสิทธิภาพ และความทนทาน โดย นาวารา ใหม่ มีเครื่องยนต์ 3 แบบได้แก่

  • เครื่องยนต์ YS23DDTT ขนาด 2.3 ลิตร 4 สูบ Twin Turbo เกียร์อัตโนมัติ 7 สปีด พร้อมโหมด Manual ให้กำลังสูงสุด 190 แรงม้า (PS) และแรงบิด 450 นิวตัน-เมตร (Nm)
  • เครื่องยนต์ YS23DDT ขนาด 2.3 ลิตร 4 สูบ เทอร์โบแปรผันแบบ VGS เกียร์ธรรมดา 6 สปีด ให้กำลังสูงสุด 163 แรงม้า (PS) และแรงบิด 403 นิวตัน-เมตร (Nm)
  • เครื่องยนต์ YD25DDTTi ขนาด 2.5 ลิตร เทอร์โบแปรผันแบบ VGS ให้กำลังสูงสุด 163 แรงม้า (PS) และแรงบิด 403 นิวตัน-เมตร (Nm)

นอกจากนี้ ยังคงความสมบูรณ์แบบที่สามารถลุยได้ทุกที่ ระบบขับเคลื่อนสี่ล้อ อาทิ ระบบป้องกันการลื่นไถล (Brake Limited Slip Differential: B-LSD) และ ระบบล็อกเฟืองท้ายแบบไฟฟ้า (Electronic Rear Locking Differential) รวมถึงเทคโนโลยีกล้องอัจฉริยะมองภาพรอบทิศทาง (IAVM) ที่เสริมฟังก์ชัน Off-Road Meter เมื่ออยู่ในโหมด 4L

เทคโนโลยีที่ให้ความมั่นใจ ปลอดภัย และสะดวกสบายทุกการขับขี่

มาพร้อมเทคโนโลยีการขับเคลื่อนอัจฉริยะ นิสสัน อินเทลลิเจนท์ โมบิลิตี อาทิ เทคโนโลยีเบรกฉุกเฉินอัจฉริยะ (Intelligent Emergency Breaking) เทคโนโลยีเตือนเมื่อเสี่ยงต่อการชนอัจฉริยะ (Intelligent Forward Collision Warning) เทคโนโลยีป้องกันการชนจากจุดอับสายตาอัจฉริยะ (Intelligent Blind Spot Intervention) เทคโนโลยีควบคุมรถเมื่อออกนอกช่องทางอัจฉริยะ (Intelligent Lane Intervention) รวมถึง เทคโนโลยีกล้องอัจฉริยะมองภาพรอบทิศทาง (Intelligent Around View Monitor ที่มีฟังก์ชัน Off-Road Meter เป็นต้น

ตลอดจนเทคโนโลยีความปลอดภัย เซฟตี้ ชิลด์ (Safety Shield Technology) ที่ครบครัน อาทิ ระบบป้องกันล้อหมุนฟรี (Traction Control: TCS), ระบบควบคุมเสถียรภาพการทรงตัวอัจฉริยะ (Vehicle Dynamic Control: VDC) และระบบควบคุมเสถียรภาพของรถขณะลากจูง (Trailer Sway Assist: TSA) เป็นต้น

New-Nissan-Navara-2021

ตอบโจทย์ทุกไลฟ์สไตล์ด้วยการเชื่อมต่ออย่างสมบูรณ์แบบ

การเชื่อมต่อเพื่อใช้งานร่วมกับสมาร์ทโฟน สามารถทำได้ผ่าน NissanConnect ที่สามารถเชื่อมต่อกับ Apple CarPlay และ Android Auto* เพื่อใช้งานในรูปแบบที่หลากหลาย อาทิ ระบบนำทาง (Navigation system) หรือ แอปพลิเคชันฟังเพลงต่างๆ ผ่านหน้าจอเครื่องเสียงรถยนต์ระบบสัมผัสขนาด 8 นิ้ว พร้อมด้วยระบบสั่งงานด้วยเสียงหรือ Voice Recognition

พร้อมเทคโนโลยีการเชื่อมต่อเพื่อความปลอดภัยและสะดวกสบายตลอดการเดินทาง ร่วมกับแอปพลิเคชัน NissanConnect Service บนสมาร์ทโฟน* เพื่อให้สามารถเชื่อมต่อและดูข้อมูลของรถยนต์ผ่านสมาร์ทโฟน โดยมีฟังก์ชั่นเด่นๆ อาทิ การแสดงพิกัดรถยนต์ สถานะรถยนต์ การช่วยเหลือฉุกเฉิน และ ประวัติการขับขี่ เป็นต้น

*เฉพาะสมาร์ทโฟนรุ่นที่รองรับการใช้งาน

New-Nissan-Navara-2021

สะดวกสบายในทุกการเดินทาง และเต็มที่กับทุกการใช้งาน

ห้องโดยสารของนิสสัน นาวารา ใหม่ ใช้กระจกแบบ Noise-Reducing Acoustic Glass ลดเสียงรบกวน และกระจกตอนหลังกรองแสงสีชาเพื่อความสบายตา หรูหราด้วยการตกแต่งภายในด้วยหนังแท้รอบห้องโดยสารโทนสีดำ เบาะนั่งคู่หน้าแบบ Zero Gravity ปรับไฟฟ้า 8 ทิศทาง พร้อมดันหลังปรับไฟฟ้า ในตำแหน่งผู้ขับขี่ ที่นั่งด้านหลังเพิ่มความสบายด้วยดีไซน์ใหม่นุ่มสบาย (Comfort rear seating cushions) มีที่พักแขนและที่วางแก้วน้ำ 2 ตำแหน่ง รวมถึงพอร์ต USB Type C บริเวณคอนโซลกลาง

สมรรถนะด้านการบรรทุก เป็นที่ได้รับการยอมรับจากลูกค้ามาโดยตลอด นาวารา ใหม่ ยังตอบโจทย์การบรรทุกหนักด้วยโครงสร้างแชสซีส์ เหล็กกล้าชิ้นเดียวตลอดคัน ที่พื้นที่กระบะตอนท้ายได้เพิ่ม Step ด้านท้ายรถ เพื่อความสะดวกในการใช้งานขึ้นลง รวมถึงการปรับตำแหน่งตะขอยึดใหม่ เพื่อตอบโจทย์การบรรทุกสัมภาระทั้งขนาดใหญ่และเล็ก

New-Nissan-Navara-2021

PRO4X และ PRO2X อีกขั้นของกระบะ Adventure สำหรับทุกความท้าทาย

นิสสัน นาวารา PR04X และ PRO2X ใหม่ถ่ายทอด DNA มาจาก Nissan Titan กระบะ Full-Size ในสหรัฐอเมริกา เสริมความดุดันของดีไซน์ภายนอกที่ทันสมัย กระจังหน้า และอุปกรณ์ตกแต่งโทนสีดำ ช่วงล่างที่ปรับแต่งใหม่ ผสานกับล้ออัลลอยขนาด 17 นิ้ว พร้อมยางแบบ All Terrain นิสสัน นาวารา ใหม่ PRO Series

มาพร้อมสีพิเศษ สเตลท์ เกรย์ (Stealth Gray) เสริมด้วยชุดแต่ง แอคเซนท์สีส้ม-แดง ภายในห้องโดยสาร และเบาะนั่งสีดำดีไซน์สปอร์ต พร้อมโลโก้ PRO4X

New-Nissan-Navara-2021

สำหรับสีภายนอก มีให้เลือกทั้งหมด 7 สี ได้แก่ สีขาว White Solid, สีขาว White Pearl, สีเงิน Brilliant Silver, สีดำ Black Star, สีแดง Burning Red และสีใหม่ Forged Copper

ขณะที่รุ่น PRO series ทั้ง PRO4X และ PRO2X จะมี สีเทา Stealth Gray เพิ่มเป็นทางเลือกเฉพาะรุ่นอีกด้วย

ลูกค้าสามารถจองนิสสัน นาวารา ใหม่ ได้ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป และดูตัวจริงได้ในงาน Motor Espo 2020 โดย นิสสัน มอเตอร์ ประเทศไทย จะเริ่มส่งมอบนาวารา ใหม่ ตั้งแต่เดือนธันวาคม 2563

New-Nissan-Navara-2021

สำหรับราคา Nissan Navara มีดังนี้ครับ / Nissan Navara (Minorchange) Price. Shown in Thai Baht.

King Cab

  • รุ่น S 6MT ราคา 599,000 บาท
  • รุ่น SL 6MT ราคา 609,000 บาท
  • รุ่น E 6MT ราคา 689,000 บาท
  • รุ่น Calibre E 6MT ราคา 765,000 บาท
  • รุ่น Calibre E 7AT ราคา 815,000 บาท
  • รุ่น Calibre V 6MT ราคา 809,000 บาท
  • รุ่น Calibre V 7AT ราคา 859,000 บาท

Double Cab

  • รุ่น Calibre E 6MT ราคา 849,000 บาท
  • รุ่น Calibre E 7AT ราคา 899,000 บาท
  • รุ่น Calibre V 6MT ราคา 915,000 บาท
  • รุ่น Calibre V 7AT ราคา 965,000 บาท
  • รุ่น 4WD VL 7AT ราคา 1,129,000 บาท

PRO-2X และ New PRO-2X

  • รุ่น PRO-2X 2WD 7AT 999,000 บาท
  • รุ่น PRO-4X 4WD 7AT 1,149,000 บาท

ส่วนใครที่อยากขายรถ ไม่ว่าจะเป็นรถบ้าน รถมือสอง ก็สามารถปรึกษากับทางเราดูก่อนได้ เพียงแค่คุณขายรถคันเดิมกับ CARRO ได้ ง่ายๆ ได้เงินไว! กับ CARRO Express เพียงแค่คลิก https://th.carro.co/sell-car/express หรือสามารถ Inbox มาขอรายละเอียดได้ที่ Facebook CARRO Thailand

หรือจะ Add Line สอบถามรายละเอียดได้ที่ @Carrothailand หรือคลิกที่นี่ครับ —> เพิ่มเพื่อน

Carro-Masii-5-Risky-Driving-Behaviors-Car-Accident

เชื่อไหมว่าสถิติการเกิดอุบัติเหตุบนท้องถนนนั้นมีมากเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ มาตั้งแต่ต้นปี โดยสาเหตุหลักๆ จะมาจากพฤติกรรมของผู้ขับขี่เป็นหลักที่ไม่เคารพกฎหมาย และขาดวินัยในการขับขี่รถยนต์บนท้องถนน อีกทั้งการกระทำแบบนี้จะเพิ่มความเสี่ยงให้แก่ตัวผู้ขับขี่ และผู้ใช้รถใช้ถนนอีกด้วย เพื่อป้องกันการเกิดอุบัติเหตุ วันนี้ masii ได้นำ 5 พฤติกรรมเสี่ยงอุบัติเหตุ ที่ไม่น่าทำขณะขับรถมาเตือนเพื่อนๆ กัน ไปดูกันดีกว่าว่าจะมีอะไรบ้าง

5 พฤติกรรมเสี่ยงอุบัติเหตุ ที่ไม่ควรทำขณะขับรถ

5-Risky-Driving-Behaviors-Car-Accident

1. ฝ่าฝืนกฎจราจร

สาเหตุอันดับต้น ๆ ที่ทำให้เกิดอุบัติเหตุบนท้องถนนนั้น โดยส่วนใหญ่จะมาจากการฝ่าฝืนกฎจราจร เช่น ฝ่าไฟแดงจราจร ขับรถย้อนศร และใช้ความเร็วที่เกินกำหนด เป็นต้น สิ่งเหล่านี้เป็นการฝ่าฝืนต่อกฎจราจรทำให้เพิ่มอัตราความเสี่ยงต่อการเกิดอุบัติเหตุบนท้องถนนได้ ดังนั้นสิ่งที่ควรทำมากที่สุดสำหรับผู้ขับขี่คือ ผู้ขับขี่ควรปฏิบัติตามกฎจราจรอย่างเคร่งครัด เพื่อลดโอกาสในการเกิดอุบัติเหตุนั่นเอง

2. เมาแล้วขับ

เมาแล้วขับรถ เป็นอีกหนึ่งพฤติกรรมที่ทำให้เกิดอุบัติเหตุทางรถยนต์ เช่นกัน ดังนั้นหากเพื่อนๆ หรือใครก็ตามที่รู้ตัวว่าดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์จนมึนเมา ควรต้องพักการขับรถไว้ก่อน ควรหันมาใช้บริการขนส่งสาธารณะ หรือให้คนที่เราไว้วางไว้ใจมารับเราแทน เพราะการขาดสติ และมีอาการมึนเมานั้น ไม่ควรจะหันมาขับรถอย่างเด็ดขาด เพื่อความปลอดภัยของตัวเรา และผู้อื่น

5-Risky-Driving-Behaviors-Car-Accident

3. เล่นมือถือขณะขับรถ

มีหลายคนที่มักจะประมาทเวลาขับรถ โดยเฉพาะกับการเล่นโทรศัพท์มือถือขณะขับรถ เพราะคิดว่าขับรถมองทางสลับกับมองจอมือถือไปด้วยคงไม่เป็นไรหรอก แต่ความจริงแล้วนั้น พฤติกรรมนี้ถือเป็นสาเหตุที่ทำให้เกิดอุบัติเหตุอันดับต้น ๆ เช่นกัน เพราะเนื่องจากเราจดจ่อกับมือถือมากกว่าขับรถ การกระทำนี้ทำให้ลดความสามารถในการควบคุมรถยนต์ จนทำให้เกิดอุบัติเหตุได้ เช่น หากมีความจำเป็นต้องใช้โทรศัพท์ เราแนะนำว่าให้ใช้อุปกรณ์เสริมต่าง ๆ หรือจอดรถก่อนเพื่อคุยธุระให้เสร็จก่อนแล้วค่อยขับรถต่อไป

4. เอื้อมหยิบของในรถ

ไม่ว่าคุณจะมีความจำเป็นที่ต้องเอื้อมหยิบของในรถ ทั้งเบาะข้างๆ หรือเบาะหลัง ควรทำการจอดรถให้เรียบร้อยเสียก่อน อย่าเอื้อมตัวหรือมือไปหยิบของขณะที่กำลังขับรถเด็ดขาด เพราะแค่เสี้ยววินาทีที่เราหันไปมองของที่หยิบอยู่นั้น ก่อให้เกิดเหตุที่ไม่สามารถคาดฝันได้เช่นกัน อย่างไรก็ตาม ไม่ควรประมาท และควรจอดรถให้สนิทก่อนจะเอื้อมหยิบของ จะปลอดภัยที่สุด

5-Risky-Driving-Behaviors-Car-Accident

5. ไม่คาดเข็มขัดนิรภัย

แม้ว่าการไม่คาดเข็มขัดนิรภัยจะยังไม่ใช่สาเหตุหลักที่ทำให้เกิดอุบัติเหตุ แต่การคาดเข็มขัดนิรภัยก็เป็นสิ่งสำคัญมากๆ สำหรับผู้ขับขี่รถยนต์ทั้งหลายที่ไม่ควรละเลย ทางออกที่ดีที่สุด คือ การคาดเข็มขัดนิรภัยทุกๆ ครั้งก่อนออกเดินทางทั้งตัวผู้ขับขี่ และผู้โดยสาร เหตุผลที่ต้องคาดเข็มขัดนิรภัยก็เพื่อช่วยลดแรงกระแทกที่อาจเกิดกับตัวเราเมื่อเกิดอุบัติเหตุ โดยจะเป็นตัวฉุดรั้งไม่ให้เรากระเด็นออกจากเบาะ หรือตัวรถนั่นเอง

และทั้งหมดนี้คือ 5 พฤติกรรมเสี่ยงอุบัติเหตุ ที่ไม่ควรทำขณะขับรถที่ผู้ขับขี่ทุกคนควรรู้ เพื่อจะได้ช่วยกันลดความเสี่ยงการเกิดอุบัติเหตุบนท้องถนนได้ ที่สำคัญคือ การขับขี่อย่างปลอดภัย และมีสติ เคารพกฎจราจรหากใครอยากเพิ่มความอุ่นใจ สามารถ คลิกที่นี่ เพื่อซื้อประกันรถยนต์กับเว็บไซต์มาสิได้ง่ายๆ

ขอขอบคุณบทความดีๆ จาก www.masii.com

Drive-Safely-In-Flooding

ในช่วงนี้มีหลายพื้นที่ได้รับผลกระทบจากอิทธิพลของพายุโนอึล ซึ่งส่งผลให้หลายพื้นที่เกิดภัยน้ำท่วม มีน้ำท่วมสูง และเกิดน้ำท่วมขัง ต้องขับรถลุยน้ำท่วมตามที่เห็นในภาพข่าวกัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งต่างจังหวัด พายุถาโถมจนหลายเมือง หลายตำบลจมน้ำไปเรียบร้อยแล้ว ถึงขนาดต้องมีเจ้าหน้าที่รัฐเข้าไปส่งถุงยังชีพกัน เพราะว่าประชาชนติดอยู่ในบ้านไม่สามารถออกไปไหนได้

Drive-Safely-In-Flooding

ส่วนทางฝั่งคนกรุงเทพที่อยากจะร่วมด้วยช่วยกันเที่ยวเมืองไทย เพื่อฟื้นฟูเศรษฐกิจการท่องเที่ยวให้หายซบเซาจากพิษของโควิด 19 หากจะเดินทางไปพื้นที่ต่างจังหวัดในช่วงเวลานี้ ก็อย่าลืมติดตามข่าวสารดีๆ ว่าพื้นที่ไหนที่ฝนตกหนักน้ำท่วมสูงมาก “รอระบาย” ก็ควรจะหลีกเลี่ยง เพราะในตอนขับหรือหลังขับรถลุยน้ำท่วมแล้ว สามารถสร้างความเสียหายให้กับรถอันเป็นที่รักของคุณได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้าน้ำเข้าห้องเครื่องหรือห้องโดยสารแล้วละก็ ไม่แคล้วต้องเสียเงินซ่อมกันเป็นเรื่องใหญ่ได้

Roojai.com จึงอยากพาคุณไปดูวิธี “เอาตัวรอด” ให้กับรถของคุณเมื่อต้องเจอเส้นทางที่เปรียบเสมือนทะเลแบบนี้ จะต้องทำอย่างไร เพื่อให้รถของคุณขับผ่านน้ำท่วมได้โดยที่ไม่มีความเสียหายตามมา ตามไปดูกันเลย

ขับรถลุยน้ำท่วม ว่าแย่แล้ว ลุยฝนไปด้วย เครียดกว่าเดิมอีกสองเท่า

ช่วงนี้เราเข้าสู่หน้าฝนกันแบบเต็มตัวแล้ว ไม่ว่าจะเจอน้ำท่วมหรือไม่ แต่สิ่งที่ไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้แน่ๆ ก็คือสายฝนโปรยปราย ซึ่งในกรณีที่ไม่ได้ตกหนักมาก คุณก็ยังสามารถขับรถไปได้แบบชิลล์ๆ ไม่มีปัญหาอะไร แต่ถ้าเจอกับสายฝนโปรยปรายตกกระหน่ำเม็ดใหญ่ ๆ เปิดที่ปัดน้ำฝนเบอร์แรงสุดแล้วยังแทบไม่เห็นทาง วิสัยทัศน์ในการมองเห็นจะลดลงเป็นอย่างมาก แบบนี้ขับไปเครียดไปแน่นอน อีกทั้งมีความเป็นไปได้สูงมากที่ฝนตกหนักลักษณะนี้ จะทำให้คุณเจอกับน้ำท่วมด้วย เพราะน้ำมักจะระบายออกไปได้ไม่ทัน จนสุดท้ายถนนทุกสายกลายเป็นทะเลกรุงเทพดี ๆ นี่เอง

การขับรถภายใต้การมองเห็นที่จำกัด วิสัยทัศน์ไม่ดี จำเป็นต้องใช้สมาธิในการเพ่งท้องถนนเป็นอย่างมาก ยิ่งถ้าหากเจอน้ำท่วมซ้ำอีกด้วยแล้วล่ะก็ สามารถทำให้เครียดได้เลยทีเดียว เพราะมองทางก็ไม่เห็น จะขับต่อก็กลัว แต่จะหยุดรถกลางทางก็ไม่ได้ ดังนั้นคำแนะนำที่ดีที่สุดคือ พยายามอย่าขับรถฝ่าสายฝนที่ตกกระหน่ำไปไหนถ้าไม่จำเป็น รอจนฝนซาสักนิดแล้วค่อยเริ่มออกรถจะปลอดภัยกว่า หรือหาปั๊มน้ำมันใกล้ๆ เข้าไปพักรถก่อน เพื่อรอเวลาขับต่อไปนั่นเอง

อย่าลืมประเมินสถานการณ์

ในเมื่อหลีกเลี่ยงไม่ได้ก็คงต้อง “ลุยน้ำ” กันไป โดยสิ่งที่คุณควรเตรียมตัว เริ่มจากขั้นตอนการประเมินสถานการณ์ก่อนเลย ซึ่งถ้าหากว่าน้ำสูงเกินที่จะลุยไปได้ ยังไงก็ต้องจอดรอเพียงอย่างเดียวเท่านั้น โดยการประเมินสถานการณ์เบื้องต้นนั้น จะแบ่งออกเป็น 2 ส่วนก็คือ ประเมินความสูงของน้ำ และ ประเมินความเตี้ยของรถคุณ

ต้องเข้าใจก่อนว่ารถคันอื่นวิ่งได้ไม่ได้หมายความว่ารถคุณจะวิ่งได้ด้วย สำหรับรถที่ได้เปรียบมากกว่าในการขับลุยน้ำท่วม ก็จะเป็นรถกระบะยกสูงหรือรถยนต์อเนกประสงค์ SUV หรือ PPV ต่างๆ โดยจะมีระดับความสูงจากพื้นถึงใต้ท้องรถเฉลี่ยอยู่ที่ประมาณ 22 เซนติเมตร เปรียบเทียบกับรถเก๋งทั่วไป จะมีระดับความสูงจากพื้นถึงใต้ท้องรถอยู่ที่ประมาณ 14-15 เซนติเมตรเท่านั้นเอง ดังนั้นนอกจากคาดการณ์ว่าน้ำท่วมขังสูงแค่ไหนได้แล้ว ก็ต้องรู้ด้วยว่ารถของคุณมีระดับความสูงจากพื้นถึงใต้ท้องรถอยู่ที่เท่าไหร่อีกด้วย

Drive-Safely-In-Flooding

ขับรถลุยน้ำท่วม อย่างไรให้ปลอดภัยกับรถของคุณ

สำหรับระดับความสูงของน้ำท่วม ที่สามารถขับขี่และปลอดภัยอย่างแน่นอนก็คือ น้ำท่วมยังไม่ถึงใต้ท้องรถ หรือ ยังไม่ถึงขอบประตูรถ โดยข้อควรปฏิบัติให้รถลุยน้ำ ขับไปได้ มีดังนี้

  • ปิดแอร์

การเปิดแอร์เอาไว้จะทำให้พัดลมระบายความร้อนของหม้อน้ำทำงาน ซึ่งถ้าหากน้ำท่วมถึงพัดลมก็จะทำให้พัดลมตีน้ำกระจายไปทั่วห้องเครื่องได้ จึงเป็นสาเหตุที่ทำให้รถยนต์ดับ หรือถ้าเลวร้ายกว่านั้นอาจทำให้เกิดไฟฟ้าช็อตได้ ดังนั้นเมื่อมีความจำเป็นต้องขับรถในขณะน้ำท่วมก็ควรปิดแอร์ทุกครั้ง เพื่อป้องกันการเกิดปัญหาในภายหลัง

  • ใช้เกียร์ต่ำ

การขับรถด้วยการใช้เกียร์ต่ำ เป็นสภาวะที่เครื่องยนต์ดับได้ยากที่สุด เนื่องจากใช้รอบเครื่องยนต์ 1,500-2,000 รอบ/นาที  โดยสำหรับรถธรรมาดาก็จะหมายถึงการใช้เกียร์ 1 หรือ 2 เท่านั้น ส่วนรถเกียร์ออโต้ก็คือการขับด้วยเกียร์ L นั่นเอง

  • รักษาความเร็วคงที่

เมื่อใช้เกียร์ต่ำแล้วก็ควรรักษาความเร็วสม่ำเสมอด้วย ไม่เร่งเครื่องหรือเปลี่ยนความเร็วกะทันหัน เนื่องจากจะทำให้เกิดกระแสน้ำวิ่งไปกระทบกับฟุตพาท แล้วเกิดการตีกลับของกระแสน้ำเข้าสู่รถได้

  • ให้รถคันหน้านำทางให้

โดยการขับรถทิ้งระยะห่างจากรถคันหน้าประมาณ 50 เมตร เพื่อที่คุณจะได้เห็นว่ารถคันหน้าที่กำลังวิ่งบนเส้นทางเดียวกันกับคุณอยู่นั้น สามารถวิ่งได้อย่างปลอดภัยหรือไม่ มีหลุมหรือสิ่งกีดขวางต่าง ๆ หรือเปล่า เพื่อที่คุณจะได้หลีกเลี่ยงได้ทันเวลานั่นเอง

  • หากเครื่องดับห้ามสตาร์ทเครื่องใหม่เด็ดขาด

กรณีเลวร้ายที่สุดก็คือ เมื่อตัดสินใจขับรถตอนน้ำท่วมไปแล้ว เกิดรถดับกลางทาง สิ่งที่คุณควรทำคือการเข็นรถเข้าข้างทาง โดยพยายามหาพื้นที่สูงเข้าไว้ เพื่อลดความเสี่ยงไม่ให้คลื่นน้ำที่เกิดจากรถยนต์คันอื่นไหลเข้าสู่รถของคุณ โดยคุณต้องไม่พยายามสตาร์ทรถใหม่เด็ดขาด เนื่องจากเสี่ยงที่จะทำให้น้ำไหลเข้าสู่เครื่องยนต์และทำให้เกิดความเสียหาย

  • หลีกเลี่ยงการ ขับรถลุยน้ำท่วม ในพื้นที่ที่คุณไม่คุ้นเคย

กรณีที่เป็นการขับรถไปในพื้นที่คุ้นเคยหรือเส้นทางที่คุณใช้เป็นประจำ คุณจะสามารถประเมินสถานการณ์ได้ง่ายกว่า ว่าควรจะเสี่ยงขับรถลุยน้ำไปดีหรือไม่ เนื่องจากคุณจะรู้ว่าถนนเส้นนั้น ๆ เป็นเส้นที่น้ำท่วมขังเป็นระยะทางสั้นๆ หรือว่าท่วมยาวทั้งเส้นร่วมสิบกิโล รวมไปถึงการที่เคยเห็นสภาพถนนตอนที่น้ำไม่ท่วม ว่ามีตรงไหนต้องระวังหรือมีถนนช่วงไหนไม่ดี จะช่วยให้คุณสามารถขับขี่ได้อย่างปลอดภัยกว่า

แต่ด้วยความจำเป็นที่ทำให้คุณต้องเดินทางไปยังพื้นที่ที่ไม่คุ้นเคย แล้วยังต้องไปเสี่ยงกับการขับรถน้ำท่วมบนถนนที่คุณไม่คุ้นเคยมาก่อน คุณจะไม่รู้เลยว่ายิ่งขับไปน้ำจะยิ่งท่วมสูงขึ้นหรือว่าจะลดลงนั่นเอง รวมทั้งทางข้างหน้ามีการก่อสร้างทาง หรือถนนมีหลุมมีบ่ออย่างไรบ้าง คุณก็ไม่สามารถรู้ได้เลย ถ้าเป็นไปได้เราอยากแนะนำให้คุณแวะหลบฝนหลบน้ำที่ปั๊มน้ำมันก่อนจะปลอดภัยกว่า

Drive-Safely-In-Flooding

เมื่อผ่านพ้นเส้นทางลุยน้ำวิบากมาแล้วต้องทำอย่างไร

หลังจากที่คุณรอดจากสถานการณ์หลังขับรถลุยน้ำท่วม ก็อย่าเพิ่งรีบจอดรถลงไปหาซื้อของกินมาฉลอง เพราะว่ายังมีข้อควรปฏิบัติที่คุณควรรู้ หลังจากฝ่าน้ำท่วมมาได้ คือ

  • หลังจากที่เพิ่งขับพ้นช่วงถนนที่น้ำท่วมสูง ให้ขับต่อไปโดยใช้ความเร็วต่ำ และให้ทำการไล่น้ำออกจากคาลิเปอร์-ผ้าเบรก โดยการเหยียบเบรกเบาๆ ย้ำๆ ไปเรื่อยๆ ตลอดระยะเวลาที่ขับด้วยความเร็วต่ำอีกสักระยะ ซึ่งจะช่วยไล่น้ำและความชื้นจากเครื่องยนต์ได้
  • ไม่หยุดพักรถและดับเครื่องโดยทันทีหลังจากที่เพิ่งลุยน้ำท่วมมาเสร็จ เนื่องจากมีความเป็นไปได้ที่จะทำให้น้ำที่ค้างอยู่ที่ท่อไอเสียย้อนกลับเข้าไปได้ รวมทั้งความชื้นที่ยังมีอยู่อาจทำให้เครื่องยนต์เสียหายได้ด้วย ที่สำคัญอีกอย่างก็อย่าลืมเช็ครถหลังลุยน้ำท่วมด้วย ว่ามีอะไรผิดปกติหรือเปล่า

รถลุยน้ำได้ แต่ก็ใช่ว่าจะเป็นระดับน้ำสูง จะขับรถลุยน้ำ จำเป็นต้องใช้สมาธิอย่างสูง เพื่อที่จะประคองรถให้ฝ่าน้ำท่วมไปได้อย่างปลอดภัยทั้งรถและคุณ อีกทั้งยังมีโอกาสที่คุณจะเจอทั้งสายฝนกระหน่ำและน้ำท่วมในเวลาเดียวกัน ซึ่งทำให้คุณต้องใช้สมาธิจดจ่อในการขับรถมากกว่าเดิม การรู้เท่าทันและการเตรียมตัวที่ดี จะช่วยให้คุณสามารถประคับประคองสถานการณ์ หรือขับรถไปถึงจุดหมายปลายทางได้ง่ายยิ่งขึ้น ง่ายเหมือนซื้อประกันภัยรถยนต์ออนไลน์ ที่ Roojai.com ไม่ซับซ้อน ราคาดี และเชื่อใจได้ มาพร้อมตัวเลือกที่หลากหลาย สามารถปรับแต่งแผนกรมธรรม์ได้ด้วยตัวคุณเอง เลือกความคุ้มครองที่ตอบโจทย์คุณได้มากที่สุด ที่สำคัญผ่อนสบายๆ ผ่านบัตรเครดิตหรือเดบิตได้นานสูงสุดถึง 10 งวด คลิกเช็คราคาออนไลน์ได้ตลอด 24 ชม. เลย