10 รถมือสอง ที่คุณสามารถซื้อได้ในราคาของ "iPhone X"

เป็นที่ทราบกันแล้วนะครับว่า สำหรับ iPhone 8 / iPhone 8 Plus และ iPhone X ที่เพิ่งเปิดตัวใหม่ไปใน USA ตั้งแต่เมื่อคืนของวันที่ 13 กันยายน 2560 (ตามเวลาในประเทศไทย) ซึ่งมีคุณสมบัติและฟังก์ชั่นต่างๆ ที่เพิ่มมามากขึ้น (ซึ่งจะถูกใจคุณผู้อ่านหรือเปล่านั้น … ไม่แน่ใจ!)

อีกทั้งราคาของ iPhone 8 / iPhone 8 Plus และ iPhone X ที่ขยับเพิ่มขึ้นมามากขึ้นในทุกรุ่น ทำให้ผู้บริโภคต้องคิดหนักว่า ถ้าวางจำหน่ายในประเทศไทยแล้ว เมื่อตีราคาออกมาเป็นเงินไทยแล้ว ค่อนข้างสูงเลยทีเดียว (รุ่น Top ปาเข้าไปประมาณ 4 หมื่นบาทได้) จะคุ้มค่ากับการใช้งานหรือไม่ หรือนำเงินนี้ ไปซื้อสิ่งของอย่างอื่นดี?

Mazda-323-Astina

MR.CARRO ขอแนะนำ 10 รถมือสอง ที่คุณสามารถซื้อได้ในราคาของ “iPhone X” ซึ่งตามจริงแล้ว มีรถมือสองปีเก่าๆ (ตั้งแต่ยุค 60 เป็นต้นมา) ที่มีราคาถูกกว่า iPhone 8 / iPhone 8 Plus และ iPhone X อยู่มาก แต่เนื่องจากราคาที่ถูกมากๆ นั้น ก็ต้องใช้งบประมาณในการซ่อมที่มาก และใช้เวลาหาอะไหล่กันลำบากหน่อย

MR.CARRO จึงขอนำเสนอรถยนต์มือสอง ในช่วงประมาณยุค 80-90 ที่มีราคาตั้งแต่ 2 – 4 หมื่นบาท ที่มีความทนทาน ดูแลง่าย อะไหล่พอหาได้เยอะหน่อย จะมีรุ่นใดบ้าง … เชิญอ่านได้เลยครับ

Toyota-Corolla-AE92

1. Toyota Corolla 1.3 XL, GL, 1.6 SE Limited (EE90/AE92)

Toyota Corolla (โตโยต้า โคโรลล่า) รุ่นที่ถือได้ว่า มีอุปกรณ์มาตรฐานมากมายราวกับของวิเศษของ “โดเรมอน” ต่างกับรถในคลาสเดียวกัน จึงเป็นที่มาของฉายานี้ (แต่ชาวต่างประเทศได้ยินแล้ว งงน่าดู) เปิดตัวในไทยเมื่อเดือนธันวาคม 2530 มาพร้อมสโลแกน “เร้าใจทุกเส้นทาง ยุคหน้า TOYOTA” (คล้ายกับของญี่ปุ่น “Fun To Drive”)

ใช้เครื่องยนต์ขนาด 1.3 ลิตร รหัส 2E และเครื่องยนต์ขนาด 1.6 ลิตร รหัส 4A-F, รหัส 4A-F คาร์บูเรเตอร์คู่ ในรุ่น Sporty รวมไปถึงเครื่องยนต์ 1.6 ลิตร พลังแรงอย่างรหัส 4A-GE 130.5 แรงม้า ที่มาตอนไมเนอร์เชนจ์ ในรุ่น GTi

ราคาในตลาด แบบตามสภาพ มีเงิน 2 หมื่นกว่าบาท ก็สามารถซื้อรถรุ่นนี้มาขับได้แล้ว

Toyota-Corona-ST171

2. Toyota Corona 1.6 XL, GL / 2.0 GL, GLi (AT171/ST171)

Toyota Corona (โตโยต้า โคโรน่า) โฉมนี้เปิดตัวในไทยตั้งแต่ปี 2531 โดยโคโรน่ารุ่นนี้ ถือเป็นรถญี่ปุ่นรุ่นแรกในประเทศไทย (เครื่องยนต์ 2.0 ลิตร) ที่ใช้ระบบจ่ายน้ำมันเชื้อเพลิงแบบหัวฉีด EFI (Electronic Fuel Injection) แบบเดียวกับรถยุโรป

ใช้เครื่องยนต์ขนาด 1.6 ลิตร รหัส 4A-F, เครื่องยนต์ขนาด 2.0 ลิตร รหัส 3S-F คาร์บูเรเตอร์เดี่ยว 113 แรงม้า และเครื่องยนต์ขนาด 2.0 ลิตร รหัส 3S-FE หัวฉีด EFi 128 แรงม้า

ราคาในตลาด แบบตามสภาพ มีเงิน 2 หมื่นกว่าบาท ก็สามารถซื้อรถรุ่นนี้มาขับได้เช่นกัน

Honda-Civic-EF

3. Honda Civic 1.5 LX, LX-S / EX (EF)

Honda Civic (ฮอนด้า ซีวิค) รุ่นนี้เปิดตัวเมื่อต้นปี 2531 ชูจุดเด่นด้วยเทคโนโลยีการออกแบบรถให้เตี้ย แบน ลู่ลม และพัฒนาเครื่องยนต์ใหม่ เหมือนรถแข่ง Formula 1 รวมถึงระบบช่วงล่างแบบปีกนกอิสระ 4 ล้อ และเครื่องยนต์ทวินแคม 16 วาล์ว

ใช้เครื่องยนต์ขนาด 1.5 ลิตร 90 แรงม้า (และยังมีรุ่นพิเศษ LX-S เครื่องยนต์ขนาด 1.6 ลิตร คาร์บูเรเตอร์คู่ 105 แรงม้า) มีให้เลือกทั้งแบบเกียร์ธรรมดา 5 สปีด และเกียร์อัตโนมัติ 4 สปีด ราคาในตลาด แบบตามสภาพ มีเงิน 2 หมื่นบาทปลายๆ ก็สามารถซื้อรถรุ่นนี้มาขับได้เช่นกัน

Honda-Accord-CA

4. Honda Accord 2.0 LX / EX (CA)

Honda Accord (ฮอนด้า แอคคอร์ด) รุ่นนี้เปิดตัวเมื่อปี 2530 ซึ่งก็เซอร์ไพรส์ด้วยการสร้างยอดจองจนฮอนด้าผลิตขายไม่ทัน ชูจุดเด่นด้วยเทคโนโลยีการออกแบบรถให้เตี้ย แบน ลู่ลม และพัฒนาเครื่องยนต์ใหม่ 12 วาล์ว พ่วงระบบ Cross Flow อันลือชื่อของฮอนด้า รวมถึงระบบช่วงล่างแบบดับเบิลวิชโบนอิสระ 4 ล้อ … ในรุ่นไมเนอร์เชนจ์ ปรับปรุงหน้าตาใหม่ พร้อมเพิ่มล้อแม็กเข้ามาแทนที่กะทะล้อพร้อมฝาครอบล้อ

ใช้เครื่องยนต์ขนาด 2.0 ลิตร 106 แรงม้า มีให้เลือกทั้งแบบเกียร์ธรรมดา 5 สปีด และเกียร์อัตโนมัติ 4 สปีด ราคาในตลาด แบบตามสภาพ มีเงิน 2 หมื่นบาทกลางๆ ก็สามารถซื้อรถรุ่นนี้มาขับเท่ๆ ได้

Nissan-Sunny-B11

5. Nissan Sunny 1.3 / 1.5 GL (B11)

Nissan Sunny (นิสสัน ซันนี่) รถรุ่นยอดนิยมจากค่ายสยามกลการสมัยนั้น สำหรับ นิสสัน ซันนี่ FF เจเนอเรชั่นที่ 5 เปิดตัวตั้งแต่เดือนมกราคม 2526 ขายกันมาอย่างยาวนานถึงสิบกว่าปี ปรับโฉมไมเนอร์เชนจ์กันก็หลายครั้ง เป็นรถยอดนิยมมากในยุคนั้น ในโฉมนี้มาพร้อมสโลแกน “รถที่ไว้ใจได้ตลอดกาล”

ยุคแรก มีให้เลือกทั้งเครื่องยนต์ขนาด 1.3 ลิตร รหัส E13S 74 แรงม้า และเครื่องยนต์ขนาด 1.5 ลิตร รหัส E15S ส่งกำลังผ่านเกียร์ธรรมดา 5 สปีด ประจำการทั้งในรุ่นซีดาน 4 ประตู และคูเป้ ภายหลังจึงตัดออกไป

ราคาในตลาด แบบตามสภาพ ถ้าว่ากันตามตรง สภาพแบบต้องซ่อมทั้งคัน (แต่รถยังขับได้) เคยมีคนขายที่ราคา 9,500 บาท ก็ซื้อได้แล้ว แต่ตามสภาพแบบวิ่งได้ ใช้งานได้ปรกติ ราคา 1.5 – 4 หมื่นบาท ก็มีรถรุ่นนี้ให้เลือกซื้อเยอะแยะครับ

Nissan-Sentra-B13

6. Nissan Sentra 1.5 EX Saloon / 1.6 SuperSaloon e (B13)

Nissan Sentra (นิสสัน เซนทร้า) รุ่นที่ 2 ที่ขายในบ้านเรา เป็นรถยอดฮิตแท็กซี่ในยุคนั้นเลย เพราะสยามกลการ พยายามระบายรถล็อตใหญ่ ให้กับกลุ่มสหกรณ์แท็กซี่ ที่กำลังรีบหารถมาจดทะเบียนทำแท็กซี่มิเตอร์ (ป้ายทะเบียน 6ท) ในยุคแท็กซี่เปิดเสรีใหม่ๆ โดยในโฉมไมเนอร์เชนจ์ สังเกตได้จากชุดกระจังหน้าแบบใหม่ ชุดกันชนใหม่ และไฟท้ายเลนส์แบบใหม่ เป็นต้น

มาพร้อมเครื่องยนต์ขนาด 1.5 ลิตร รหัส GA15S 87 แรงม้า และขนาด 1.6 ลิตร รหัส GA16DE 110 แรงม้า ส่งกำลังผ่านเกียร์ธรรมดา 5 สปีด และเกียร์อัตโนมัติ 4 สปีด

ราคาในตลาด แบบตามสภาพ มีเงิน 3 หมื่นบาท ก็สามารถซื้อรถรุ่นนี้มาขับได้เช่นกัน

Nissan-NV

Nissan-NV-Van

7. Nissan NV Pickup 1.6 / NV AD Resort 1.6 SLX, SGX (Y10)

Nissan NV (นิสสัน เอ็นวี) หลายคนจะรู้กันบ้างไหมว่า “NV” นี่ย่อมาจากคำว่า “National Vehicle” หรือ “รถยนต์แห่งชาติ” ที่ทางสยามกลการตั้งใจให้เป็นเช่นนั้น ที่จะเน้นการผลิตรถยนต์นั่งขนาดกลาง 1600 ซีซี แต่กลายมาเป็นรูปแบบของรถ Pickup และรถแวน Nissaan NV AD Resort ที่หยิบยืมพื้นฐานมาจาก Nissan AD Van (และ Sunny California เวอร์ชั่นญี่ปุ่น) โดยเปิดตัวในเดือนกันยายน 2536

สำหรับ Nissan NV Pickup มีขายกันมาหลายโฉมมาก ทั้งแบบธรรมดาในยุคแรก หลังจากนั้นเป็น Queen Cab (ต่อมาคือ Q-Cab) ขยายพื้นที่ห้องโดยสารกว้างขึ้น เบาะปรับเอนนอนได้ ต่อมาภายหลังจึงกลายเป็นกระบะ Nissan Wingroad ไป

ทั้งสองแบบ ใช้เครื่องยนต์ขนาด 1.6 ลิตร รหัส GA16DS 95 แรงม้า และเครื่องยนต์ขนาด 1.6 ลิตร รหัส GA16DNE 110 แรงม้า ส่งกำลังผ่านเกียร์ธรรรมดา 5 สปีด และเกียร์อัตโนมัติ 4 สปีด (เพิ่มมาภายหลัง ทั้งในรุ่นกระบะ และรุ่นแวน AD Resort)

ราคาในตลาด แบบตามสภาพ มีเงิน 3 หมื่นบาท ก็สามารถซื้อรถรุ่นนี้มาขับได้เช่นกัน ส่วนรุ่นแวนราคาอาจจะแพงกว่านั้นหน่อย แต่ราคานี้ก็มี ถ้าสภาพรถเน่าจริงๆ

Mitsubishi-Lancer-E-Car

8. Mitsubishi Lancer 1.3 GL, EL, 1.5 GLX, GLXi, 1.6 GLX, GLXi (E-Car)

Mitsubishi Lancer (มิตซูบิชิ แลนเซอร์) เป็น Lancer อีกหนึ่งรุ่น ที่ขายดีมากในบ้านเรา ในปัจจุบันก็ยังได้รับความนิยมจากคนชอบแต่งรถ และรถรุ่นนี้ยังถือเป็นต้นกำเนิดของรุ่น Evolution อีกด้วย (ช่วงล่างดี เครื่องทนทาน หลังคาชอบผุ อะไหล่แพงนิดๆ) เปิดตัวในปี 2535 ในรุ่น 1.3 GL, 1.5 GLX, 1.6 GLXi (นำเข้า) และ 1.8 GTi (นำเข้า)

ต่อมาเมื่อปี 2538 Lancer E-Car ได้ยกเลิกการจำหน่าย 1.3 และ 1.8 เปลื่ยนระบบจ่ายเชี้อเพลิงในรุ่น 1.5 จากคาร์บูเรเตอร์ เป็นระบบหัวฉีด ECi-MULTI และนำรุ่น 1.6 มาประกอบในประเทศ โดยคงเหลือรุ่นย่อย คือ 1.5 GLXi และ 1.6 GLXi

และในปี 2539 Lancer E-Car ได้ปรับโฉมไมเนอร์เชนจ์ เปลื่ยนล้อแม็กลายใหม่ เปลื่ยนกันชนให้ยาวและหนาขึ้น รวมถึงเปลื่ยนกระจังหน้าใหม่ เปลื่ยนท่อร่วมไอดีในรุ่น 1.5 โดยตัวอักษรคำว่า ECi-MULTI จะเล็กลง และนำรุ่น 1.3 กลับมาเพื่อตอบสนองลูกค้าระดับล่าง โดยมีรุ่นย่อย อาทิ 1.3 EL, 1.5 GLXi และ 1.6 GLXi

ราคาในตลาด แบบตามสภาพ มีเงิน 3 หมื่นกว่าบาท ก็สามารถซื้อรถรุ่นนี้มาขับได้แล้ว

Mazda-323

Mazda-323-Astina

9. Mazda 323 1.6 GLX (BG) / 323 Astina 1.8 GT (BG)

Mazda 323 (มาสด้า 323) และ Mazda 323 Astina (มาสด้า 323 แอสติน่า) รุ่นยอดนิยม เปิดตัวในไทยเมื่อปี 2533 มีวิ่งเป็นแท็กซี่กันเพียบ รวมไปถึง มาสด้า 323 แอสติน่า 5 ประตูแฮทช์แบค ก็มีเป็นแท็กซี่หลายคันอยู่ ถือเป็นรถยอดนิยมสำหรับครอบครัว และวัยรุ่นสุดๆ โดยเฉพาะ มาสด้า 323 แอสติน่า ไฟป๊อปอัพ สามารถทำความเร็วได้มากกว่า 200 กม./ชม. ในตอนนั้นถือว่าไม่ธรรมดา! และโดดเด่นด้วยช่วงล่างหลังแบบปีกนกคู่สัมพันธ์ TTL

มาสด้า 323 ใช้เครื่องยนต์ขนาด 1.6 ลิตร รหัส B6 87 แรงม้า ส่งกำลังผ่านเกียร์ธรรรมดา 5 สปีด และเกียร์อัตโนมัติ 4 สปีด

ส่วนในรุ่น Astina ใช้เครื่องยนต์ขนาด 1.8 ลิตร รหัส BPD 140 แรงม้า (รุ่นไมเนอร์เชนจ์ ลดแรงม้าลงมาเหลือ 125 แรงม้า) ส่งกำลังผ่านเกียร์ธรรรมดา 5 สปีด

ราคาในตลาด แบบตามสภาพ มีเงิน 2 หมื่นกว่าบาท ก็สามารถซื้อรถรุ่นนี้มาขับได้เช่นกัน ส่วน Astina อาจจะต้องเพิ่มเงินมาหน่อย เพราะราคารถตลาดสภาพ ก็อยู่ที่ 3 หมื่นปลายๆ แล้วครับ

BMW-E30

10. อันสุดท้าย เผื่อคนอยากได้รถยุโรป … BMW 316 / 318i (E30)

BMW ซีรี่ส์ 3 ในยุคที่บริษัท ยนตรกิจ จำกัด เป็นผู้จำหน่าย เริ่มเผยโฉมในปี 2527 มีทั้งแบบ 2 ประตู และ 4 ประตู ในรุ่น 316, 316i, 318i และ 318iA เกียร์อัตโนมัติ ในช่วงท้ายๆ อายุตลาด ตัวรถภายนอกสวยสปอร์ต เท่ ท้าทาย แน่นหนา ภายในโอ่อ่า หรูหรา ถูกใจวัยรุ่นวัยเฒ่าทั้งหลายที่โปรดปรานการขับอวดกันเพิ่มขึ้นอีก

มาพร้อมเครื่องยนต์ขนาด 1.6 ลิตร รหัส M10 90 แรงม้า ส่งกำลังผ่านเกียร์ธรรมดา 4 สปีด และ 5 สปีด, เครื่องยนต์ 1.6 ลิตร รหัส M40 และเครื่องยนต์ขนาด 1.8 ลิตร รหัส M10 105 แรงม้า ทำความเร็วได้สูงสุดถึง 184 กม./ชม.

พอในรุ่นไมเนอร์เชนจ์ จึงเพิ่มเครื่องยนต์ขนาด 1.8 ลิตร รหัส M40 115 แรงม้า เข้ามา ส่งกำลังผ่านเกียร์ธรรมดา 5 สปีด และเกียร์อัตโนมัติ 4 สปีด

ราคาในตลาด แบบตามสภาพ มีเงิน 2 หมื่นกว่าบาท ก็สามารถซื้อรถรุ่นนี้มาขับได้เช่นกัน แต่ก็ต้องเตรียมงบไว้ปั้นต่อบานอยู่!

ส่วนถ้าใครอยากขายรถ สามารถขายคันเดิมกับ CARRO Express ได้ เรายินดีรับซื้อรถของคุณ ได้เงินไว เร็ว พร้อมปิดการขายได้ทันที แค่คลิก https://th.carro.co/sell-car/express หรืออยากตีราคารถก่อน สามารถ Inbox สอบถามรายละเอียดได้ที่ Facebook CARRO Thailand

หรือจะ Add Line สอบถามรายละเอียดได้ที่ @Carrothailand หรือคลิกที่นี่ —> เพิ่มเพื่อน

(บทความนี้สงวนลิขสิทธิ์)

Oil-Additive-Drama

เมฆ-มังกรบิน

จากกรณีของ “เมฆ มังกรบิน” ที่ออกมาท้าจะเผารถยนต์หรูของตัวเอง หาก “ผลิตภัณฑ์หัวเชื้อน้ำมันเครื่อง” ไม่ได้คุณภาพจริง โดยก่อนหน้านี้ได้ประกาศปิดโรงงาน จนเป็นกระแสสังคมที่ตอนนี้กำลังจับตามองกัน รวมไปถึงผลิตภัณฑ์ที่ “เมฆ มังกรบิน” ทำขายอยู่ในตอนนี้ด้วย

เมฆ-มังกรบิน

อีกฝั่งหนึ่ง ทางมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีสุรนารี จ.นครราชสีมา ออกแถลงการณ์ระบุว่า มีข้อความกล่าวอ้างว่า มีการนำผลิตภัณฑ์หัวเชื้อน้ำมันเครื่องที่ช่วยเคลือบป้องกันการสึกหรอ และช่วยเพิ่มความแรงของเครื่องยนต์ มาเข้าห้องแล็ปเพื่อทดสอบที่ ม.สุรนารี พร้อมกับมีใบรับรองว่าผลิตภัณฑ์ได้รับการทดสอบ โดยยืนยันว่ามหาวิทยาลัยไม่มีส่วนเกี่ยวข้องใดๆ ต่อการกล้าวอ้างเพื่อโฆษณาผลิตภัณฑ์ และขอให้ยุติคำกล่าวอ้าง

Oil-Addictive

ทำให้กลายเป็นดราม่าและถกเถียงกันขึ้นในกลุ่มของคนใช้รถ ว่า หัวเชื้อน้ำมันเครื่อง (Oil Additives) ดี หรือ ไม่ดี ? น่าใช้ หรือ ไม่น่าใช้ ?

Oil-Lubricant

การเปลี่ยนถ่ายน้ำมันเครื่อง ในแต่ละครั้ง ต้องเป็นไปตามที่ระบุไว้อยู่ในคู่มือการใช้รถ เพื่อประสิทธิภาพของเครื่องยนต์คงทนทานและใช้ได้ยาวนาน ซึ่งตลอดหลายสิบปีที่ผ่านมา มักจะมีโฆษณาผลิตภัณฑ์หัวเชื้อน้ำมันเครื่องยี่ห้อต่างๆ บ้างก็ว่าใส่เครื่องยนต์แล้วจะทนทาน ประหยัดน้ำมันเชื้อเพลิงขึ้น เครื่องยนต์เดินเรียบขึ้น เป็นต้น

ถ้าหากดีจริง ทางวิศวกรเครื่องยนต์ของบริษัทรถยนต์ต่างๆ คงต้องออกมาเสนอบริษัทรถยนต์ผลิตออกจำหน่าย หรือแนะนำให้ลูกค้าใช้

Engine-Flush

หัวเชื้อน้ำมันเครื่อง ในการเติมใส่เพียงครั้งคราว ก็จะไม่เกิดผลข้างเคียงอะไรมากนัก ช่วงแรกก็อาจรู้สึกได้ว่า รถมันเร่งดีขึ้น ควันลดลง เนื่องจากหัวเชื้อน้ำมันเครื่องบางยี่ห้อ อาจจะมีผสมสารคลอริเนเตท พาราฟิน หรือ คลอรีน ลงไป ซึ่งมีความลื่น แต่พอผสมกับกรีเซอรีน ให้ดูใส จนเป็นหัวเชื้อน้ำมันเครื่อง

เมื่อใส่ไปในเครื่องยนต์นานๆ อาจจะก่อให้เกิดฟรีคลอไรด์ และไฮโดรคลอริค เอซิด (Hydrochloric Acid) ที่จะกัด ยาง ซีล ปะเก็น อลูมิเนียม และเหล็ก คลอรีนทำให้เหนียว และลดการติดไฟ เหลือเป็นยางเหนียวหนืดๆ ในเครื่องยนต์

Engine

หากคุณอยากทดลองใช้ “หัวเชื้อน้ำมันเครื่อง” จริงๆ ก็ควรเลือกซื้อผลิตภัณฑ์ที่มีคุณภาพ และเชื่อถือได้ ถ้าจะให้ดีก็ควรจะมีผลการทดสอบยืนยันอย่างชัดเจนครับ ถ้าผลิตแบบใช้คนมานั่งกรอกใส่ขวดในโรงงาน ก็อาจจะเป็นอันตรายต่อเครื่องยนต์ของท่านได้

หากใครใช้แล้วกลัวเครื่องยนต์พัง ก็ถ่ายออกซะ แล้วใช้น้ำยาล้างเครื่องยนต์ (Flushing Oil) ก่อนเปลี่ยนถ่ายน้ำมันเครื่องของใหม่ลงไป

Engine

สุดท้ายนี้ขอบอกว่า การบำรุงรักษาเครื่องยนต์ที่ดี ใช้น้ำมันเครื่องที่มีคุณภาพดี ก็ไม่ต้องพึ่ง “วิตามิน” ที่อาจกลายเป็น “ยาพิษ” สำหรับเครื่องยนต์ได้นะครับ

ขอขอบคุณข้อมูลบางส่วนจาก Phithan-Toyota

ผ่อนรถไม่ไหว-ทำอย่างไร

รถยนต์ ถือเป็นปัจจัยสำคัญที่หลายคนต้องการ ด้วยเหตุผลที่แตกต่างกันไป อาทิเช่น ความจำเป็นในการเดินทางแทนการใช้ระบบขนส่งมวลชน ใช้ประกอบอาชีพ ทำมาหากิน หรือใช้งานในครอบครัว เป็นต้น ทำให้รถยนต์เป็นพาหนะที่คนส่วนใหญ่ต้องการไว้เป็นเจ้าของ และมีการเปลี่ยนใหม่อยู่เสมอ

แน่นอนว่าการเป็นเจ้าของรถยนต์ ย่อมมีรายจ่ายตามมาอยู่เสมอ ไม่ว่าจะเป็นค่าน้ำมัน ค่าสึกหรอ ค่าตรวจเช็คต่างๆ ค่าภาษีรถยนต์ประจำปี ค่า พรบ. ค่าประกันภัย ค่าชนเขา ฯลฯ เป็นต้น ซึ่งผู้ซื้อหลายคนมักมองข้ามค่าใช้จ่ายเหล่านี้ ถ้าคุณพิจารณาอย่างรอบคอบว่าพร้อมซื้อรถจริงๆ ปัญหา เช่น ผ่อนรถต่อไม่ไหว ก็จะไม่เกิดขึ้น แต่ถ้าเกิดปัญหาขึ้นแล้ว ก็ต้องหาทางแก้ไข

ผ่อนรถไม่ไหว-ทำอย่างไร

ความต้องการซื้อรถ มีทั้งความจำเป็นในการใช้งาน ส่วนใหญ่มักมีรถเพียงคันเดียว และซื้อด้วยเหตุผลมากกว่าอารมณ์ การตัดสินใจซื้อมักขึ้นอยู่กับงบประมาณเป็นอันดับแรก ซึ่งอาจจะเลือกได้ทั้งรถยนต์ใหม่ป้ายแดง และรถมือสอง ส่วนปัจจัยรองลงมา ก็อาจจะเป็นที่คุณสมบัติการใช้งานของรถ ยี่ห้อ บริการหลังการขาย และความชอบรูปตัวรถรุ่นนั้นๆ เป็นต้น

แต่เมื่อคุณมีเงินสดที่จะซื้อรถไม่พอ ทางออกในการเป็นเจ้าของรถก็มีอยู่หลายแบบ อาทิเช่น …

ผ่อนรถไม่ไหว-ทำอย่างไร

การเช่าซื้อ

ทางออกสำหรับคนที่เงินไม่พอ แต่อยากเป็นเจ้าของรถยนต์ สถาบันการเงินต่างๆ มีบริการให้เช่าซื้อรถทั้งสำหรับรถใหม่และรถใช้แล้ว ซึ่งผู้เช่าซื้อจะต้องชำระเงินเป็นงวดๆ ตามจำนวนเงิน พร้อมดอกเบี้ย และระยะเวลาที่กำหนด และมีหน้าที่รับผิดชอบดูแลรักษาตัวรถ กรรมสิทธิ์ของรถยนต์ จะยังไม่เป็นของผู้เช่าซื้อจนกว่าจะชำระเงินครบตามสัญญา จึงจะได้กรรมสิทธิ์ในทรัพย์สินหลังจากชำระครบ ไม่จำเป็นต้องรอการโอนและรับมอบใบคู่มือจดทะเบียนจากผู้ให้ผู้เช่าซื้อ

ส่วนวงเงินเช่าซื้อรถ​​ สำหรับรถใหม่ วงเงินส่วนใหญ่จะอยู่ประมาณ 75-80% ของราคารถยนต์ ส่วนที่เหลือผู้ซื้อจะต้องวางเงินดาวน์ และรถมือสอง วงเงินจะขึ้นอยู่กับสภาพรถ ระยะทาง อายุการใช้งาน และสภาวะเศรษฐกิจ โดยอัตราดอกเบี้ยของรถมือสองจะสูงกว่ารถใหม่ เพราะเมื่อเทียบกับรถใหม่แล้ว เพราะสถาบันการเงินที่ให้เช่าซื้อรถใช้แล้ว มีความเสี่ยงสูงกว่าหากต้องนำรถมือสองมาขายทอดตลาด เพราะขายยากกว่า

การคิดดอกเบี้ยส่วนใหญ่ จะคิดแบบเงินต้นคงที่ (Flat Rate) คำนวณจากเงินต้นทั้งจำนวนและระยะเวลาการผ่อนชำระทั้งหมด เพื่อกำหนดว่าในแต่ละเดือนจะต้องจ่ายดอกเบี้ยและผ่อนชำระเดือนละเท่าไร และหากทำการสำรวจเงื่อนไขการเช่าซื้อแล้วพบว่ามีผู้ให้เช่าซื้อบางรายเสนออัตราดอกเบี้ยแบบเงินต้นคงที่ (Flat Rate) แต่ผู้ให้เช่าซื้อรายอื่นใช้อัตราดอกเบี้ยแบบลดต้นลดดอก (Effective Rate) เราก็สามารถเปรียบเทียบได้ว่าใครถูกหรือแพงด้วยการเปลี่ยน Flat Rate เป็น Effective Rate ​

ผ่อนรถไม่ไหว-ทำอย่างไร

แต่ถ้ามีเหตุไม่สามารถผ่อนชำระต่อได้ โดยเฉพาะหลายงวดติดต่อกัน อาจโดนยึดรถและฟ้องจากผู้ให้เช่าซื้อ (ปัจจุบันผู้ให้เช่าซื้อจะยึดรถได้ก็ต่อเมื่อผู้เช่าซื้อผิดนัดชำระค่าเช่าซื้อ 3 งวดติดต่อกัน โดยผู้ให้เช่าซื้อยังต้องมีหนังสือบอกกล่าวผู้เช่าซื้อให้ใช้เงินรายงวดที่ค้างชำระ ภายในเวลาอย่างน้อยอีก 30 วัน นับแต่วันที่ผู้เช่าซื้อได้รับหนังสือ พอครบกำหนดแล้วผู้เช่าซื้อยังไม่ชำระเงิน ผู้ให้เช่าซื้อจึงจะยึดรถได้)*

(*ตามประกาศคณะกรรมการว่าด้วยสัญญา เรื่องให้ธุรกิจให้เช่าซื้อรถยนต์และรถจักรยานยนต์เป็นธุรกิจที่ควบคุมสัญญา พ.ศ. 2555 ในราชกิจจานุเบกษา)

ยกตัวอย่างเช่น ยอดเงินกู้ซื้อรถยนต์ 240,000 บาท อัตราดอกเบี้ยคงที่ 2.75% ผู้กู้ตกลงผ่อนจ่ายเดือนละ 10,600 บาท (แบ่งเป็นเงินต้น 10,000 บาท ดอกเบี้ย 600 บาท) จำนวน 24 งวด

ต่อมา ขึ้นปีที่ 2 ผู้กู้ต้องการปิดบัญชี ซึ่งผู้กู้ได้จ่ายเงินต้นและดอกเบี้ยไปแล้ว 12 เดือน ยังคงเหลืออีก 12 เดือนที่ยังค้างชำระ ซึ่งจะมีวิธีการคำนวณ ดังนี้

– เงินต้นของงวดที่เหลือ (10,000 x 12 เดือน) 120,000 บาท
– ดอกเบี้ยของงวดที่เหลือ (600 x 12 เดือน) 7,200 บาท

หักส่วนลดแก่ผู้เช่า 50% ของดอกเบี้ยงวดที่เหลือ (7200 x 50%) (3,600) บาท ดังนั้น คงเหลือเงินที่ต้องชำระคืน 123,600 บาท

ผ่อนรถไม่ไหว-ทำอย่างไร

ในแง่ของการจ่ายค่างวด ก็มีข้อควรคำนึงถึง ดังนี้

1. อย่าจ่ายน้อยๆ แต่นานๆ เพราะการเพิ่มเงินผ่อนต่อเดือนอีกเล็กน้อย โดยไม่กระทบกับค่าใช้จ่ายที่จำเป็นและการออมเผื่อฉุกเฉิน จะช่วยให้ประหยัดดอกเบี้ยและปลดหนี้ได้เร็วขึ้น​

2. อยากจ่ายดอกเบี้ยและผ่อนต่องวดน้อย ๆ วางเงินดาวน์มากๆ ช่วยได้ ถ้ายังไม่จำเป็นต้องรีบซื้อรถ ควรเก็บสะสมเงินดาวน์ไปเรื่อยๆ ดีกว่า เพราะยิ่งมีเงินดาวน์มาก (เช่น วางเงินดาวน์ 30% ของราคาตัวรถ) ก็จะช่วยให้เราจ่ายดอกเบี้ยน้อยลง

ผ่อนรถไม่ไหว-ทำอย่างไร

เมื่อผ่อนไม่ไหวจริงๆ ทางออกที่มี นั่นคือ

1. ขายดาวน์ เป็นการขายรถเพื่อให้ผู้เช่าซื้อใหม่มารับช่วงผ่อนต่อ โดยการเปลี่ยนชื่อสัญญา บางทีอาจต้องยอมเพิ่มเงินส่วนต่างให้กับผู้เช่าซื้อรายใหม่ คุณอาจจะขายในเกณฑ์เท่ากับที่คุณผ่อนมา แล้วลดราคาให้เจ้าของใหม่อีกนิดหน่อย แต่ข้อเสียก็มี เช่น มีค่าเปลี่ยนสัญญา และต้องมีคนค้ำประกัน รถบางรุ่นที่ดาวน์น้อย ราคาตกมากๆ ก็ยิ่งปล่อยออกยาก

2. ปล่อยให้สถาบันการเงินยึดรถ ก็มักจะนำไปขายต่อทั้งคัน ซึ่งมักต่ำกว่าราคาซื้อขาย จึงทำให้คุณต้องจ่ายส่วนต่างมากกว่ากรณีขายดาวน์แน่นอน และยังมีดอกเบี้ยจากการผิดสัญญา ฯลฯ แถมเสียประวัติเครดิตบูโรอีกครับ

3. ยืมเงิน (คนรอบข้าง) เพื่อมาปิดสัญญาเช่าซื้อ และขายต่อ เพื่อนำส่วนต่างมาใช้คืน เมื่อนำเงินไปปิดสัญญาแล้วนำรถไปขายต่อ ซึ่งอาจจะได้ส่วนต่างเป็นเงินเพิ่มก็นับว่าโชคดี แต่ส่วนใหญ่แล้วจะได้น้อยกว่าที่จ่ายไป เพราะรถราคาตกไปตามปี และสภาพการใช้งานแล้ว

ส่วนใครที่อยากขายรถ เพื่อลดปัญหาหนี้สิน CARRO เรารับซื้อรถของคุณ รถติดไฟแนนซ์เราก็รับซื้อ! สามารถเข้าไปเช็คราคา ตีราคาขายรถก่อนได้ โดยใส่ข้อมูลรถของคุณที่นี่เลย กับ CARRO Express > https://th.carro.co/sell-car/express หรือโทร. 02-508-8425

หรือใครจะ Inbox มาสอบถามก็ได้เช่นกัน ที่ Facebook CARRO Thailand หรือสะดวก Add Line ก็ที่ @Carrothai หรือคลิกที่นี่ครับ —> เพิ่มเพื่อน

ขอขอบคุณข้อมูลบางส่วนจาก:

  • ศูนย์คุ้มครองผู้ใช้บริการทางการเงิน (ศคง.)
  • ธปท.

Promotion-YarisAtiv

ติดตามโปรโมชั่นรถใหม่ ประจำเดือนกันยายน 2560 กับ CARRO Blog ได้ที่นี่

หลังจากผ่านงานของ BIG Motor Sale 2017 เมื่อช่วงเดือนสิงหาคม 2560 ที่ผ่านมา มีรถยนต์เปิดตัวใหม่ในงานหลายรุ่น อาทิเช่น Toyota Yaris Ativ ที่เปิดตัวครั้งแรกของโลก รวมไปถึง Chevrolet Trailblazer Z71 รุ่นท็อปใหม่ล่าสุด อีกทั้งยังมี Range Rover Velar ที่เอาใจเศรษฐีผู้ชอบรถ SUV สุดหรูราคาย่อมเยาว์จากอังกฤษ เป็นต้น

สำหรับในเดือนกันยายน เตรียมพบกับ Toyota Yaris Hatchback โฉมไมเนอร์เชนจ์ ในวันที่ 14 กันยายน

สำหรับโปรโมชั่นรถใหม่ ประจำเดือนกันยายน 2560 เชิญชมได้ด้านล่างครับ.

Toyota

Toyota-Hilux-Revo-Promotion-8-2017

เครื่องยนต์ GD จาก ไฮลักซ์ รีโว่ ยิ่งใช้…ยิ่งใช่

1. กรณีดาวน์ 5% คำนวณจากรุ่น สแตนดาร์ด แค็บ 2.4J ราคา 552,000 บาท
– มีรถยนต์โตโยต้าหรือรถยนต์ยี่ห้ออื่น กรณีเป็นผู้ถือกรรมสิทธิ์รถยนต์ สำเนาทะเบียนรถต้องตรงกับผู้เช่าซื้อ หากยังอยู่ระหว่างการผ่อนชำระ ต้องผ่อนชำระแล้ว 3 ปี ขึ้นไป
– ประวัติผ่อนชำระดี
– ยกเว้นรุ่นไฮลักซ์ รีโว่ ดับเบิ้ลแค็บขับเคลื่อน 4 ล้อ
– ไม่ต้องมีผู้ค้ำประกัน
2. ผ่อนสบายเริ่มต้น 3,999 บาท คำนวนจากโปรแกรม Sabuy:D รุ่น สแตนดาร์ด แค็บ 2.4J ราคา 552,000 บาท ดาวน์ 159,970 บาท (ดาวน์ 28.98%) ผ่อน 60 เดือน ดอกเบี้ย (3.30%) ผ่อน 3,999 บาท งวดที่ 1-59 และ 220,800 บาท งวดที่ 60
3. ประกันภัยชั้น 1 Exclusive Toyota Care 1 ปี โดยทุนประกันภัยไม่เกิน 80% ของมูลค่ารถ (ขึ้นอยู่กับรุ่นรถภายใต้เงื่อนไขของแคมเปญ) รวมบริการช่วยเหลือรถเสียฉุกเฉิน 24 ชม. ไม่รวม พ.ร.บ. บุคคลที่ 3
4. ต้องแจ้งผ่าน บจก. โตโยต้า อินชัวรันซ์โบรกเกอร์เท่านั้น
5. สำหรับผู้ซื้อ ที่ผ่านการอนุมัติตามมาตรฐานเงื่อนไข บ.โตโยต้า ลีสซิ่ง (ประเทศไทย) จำกัด
6. สำหรับลูกค้าที่จองและรับรถตั้งแต่วันที่ 1-30 กันยายน 2560 และไม่สามารถเปลี่ยนหรือทอนเป็นเงินสดได้
7. เงื่อนไขนี้เฉพาะผู้แทนจำหน่ายฯ ที่เข้าร่วมโครงการ
8. ยกเว้นรถรับจ้าง รถเช่า รถที่ซื้อขายภายใต้เงื่อนไขพิเศษอื่นๆ และรถขาย Fleet

Nissan

Nissan-Promotion-9-2017

จะกี่ฝนก็แฮปปี้เพราะโปรดีจากนิสสัน ข้อเสนอพิเศษ

ฟรี ประกันภัย 1 (3)

Note

ผ่อนสบาย 4,150 บาท (1)
ราคาเริ่มต้น 568,000 บาท (6)

Almera

ดาวน์ต่ำ 19,999 บาท (4)
ราคาเริ่มต้น 445,000 บาท (8)

X-Trail

ดอกเบี้ย 0% 48 เดือน (2)
ราคาเริ่มต้น 1,239,000 บาท (7)

Navara (Single Cab / King Cab)

ข้อเสนอมูลค่ารวม 80,000 บาท (5)

Navara (Sportech / BE)

ดอกเบี้ย 0% (2)
เพิ่มมูลค่ารถเก่า 10,000 บาท (10)

Sylphy (E85 Icon)

ดอกเบี้ย 0% 1 (2)

Teana

ดอกเบี้ย 0% 1 (2)

March (20 กม./ลิตร)

ดาวน์ต่ำ 4,999 บาท (4)
ราคาเริ่มต้น 400,000 บาท (9)

(1) สำหรับลูกค้าที่ซื้อรถผ่านโปรแกรม “Nissan Easy Pay” ผ่อนเริ่มต้นเพียง 4,150 บาท/เดือน (สำหรับงวดที่ 1-60) เงินดาวน์ 30% คำนวณจากรุ่น 1.2V CVT ราคา 568,000 บาท
(2) ดอกเบี้ย 0% March ดาวน์ 15% ผ่อน 48 เดือน, Teana, Navara D/Cab Sportech, Navara Black Edition ดาวน์ 25% ผ่อน 48 เดือน, Sylphy, X-Trail และ Almera ดาวน์ 30% ผ่อน 48 เดือน (เฉพาะรุ่นที่ร่วมรายการ)
(3) ฟรีประกันภัยชั้น 1 Nissan Premium Protection 1 ปี ไม่รวม พ.ร.บ. ทุนประกันภัย 80% ของมูลค่ารถ (เบี้ยประกันภัยเริ่มต้นที่ 15,577 บาท) ขึ้นกับรุ่นรถภายใต้เงื่อนไขของแคมเปญ ยกเว้น Teana
(4) ไม่สามารถใช้ร่วมกับข้อเสนอ “ดอกเบี้ย 0%” March ดาวน์ต่ำสุด 4,999 บาท (คำนวณจากส่วนลดเงินดาวน์ 35,001 บาท ที่ดาวน์ 10% รุ่น 1.2 S MT ราคา 400,000 บาท) Almera ดาวน์ต่ำสุด 19,999 บาท (คำนวณจากส่วนลดเงินดาวน์ 33,701 บาท ที่ดาวน์ 10% รุ่น 1.2E Sportech ราคา 537,000 บาท) เฉพาะรุ่นที่ร่วมรายการ
(5) เฉพาะรุ่น KC Sportech
(6) รุ่น 1.2V CVT
(7) รุ่น 2.0S
(8) รุ่น 1.2S MT
(9) รุ่น 1.2S MT
(10) เพิ่มมูลค่ารถเก่าเมื่อแลกซื้อรถใหม่ (Trade-in Bonus) 10,000 บาท

– เงื่อนไขพิเศษนี้สำหรับลูกค้าที่เช่าซื้อกับ บ. นิสสัน ลีสซิ่ง (ประเทศไทย) จก.
– สำหรับลูกค้าที่จองและรับรถภายในวันที่ 1-30 กันยายน 2560

Nissan-X-Trail-Promotion-8-2017

นิสสัน ชวนคุณไปล่าแสงใต้ที่นิวซีแลนด์ กับแคมเปญ “Start the Journey of Life with Nissan X-Trail” เพียงลงทะเบียนทดลองขับและออกรถนิสสันเอ็กซ์เทรล ก็ได้ลุ้นเดินทางไปล่าแสงใต้ที่ประเทศนิวซีแลนด์ทันที พิเศษ! สำหรับลูกค้าที่ทดลองขับและออกรถนิสสันเอ็กซ์เทรล รับทันทีสิทธิพิเศษมูลค่า 5,000 บาท พร้อมรับข้อเสนอพิเศษดอกเบี้ย 0% ถึง 30 กันยายนนี้เท่านั้น!

Nissan-Navara-Promotion-9-2017

นาวารา 190 แรงม้าให้โชค มูลค่ารวมกว่า 5 ล้านบาท

รายละเอียดข้อเสนอ นาวารา 190 แรงม้าให้โชค จำนวน 191 รางวัล มูลค่ารวมทั้งสิ้น 5,045,500 บาท

– ลุ้นรับสร้อยคอทองคำหนัก 1 บาท จำนวน 190 รางวัล
– ลุ้นรับกระบะ นาวารา Sportech ฟรี 1 คัน
– มูลค่ารวมกว่า 5 ล้านบาท
– ข้อเสนอพิเศษสูงสุด 80,000 บาท
– ฟรี ประกันภัยชั้น 1
– อุปกรณ์ตกแต่งราคาพิเศษ รุ่น ดับเบิ้ลแค็บ แพ็คเกจสุดคุ้ม 5,320.-(4) และ คิงแค็บ แพ็คเกจสุดคุ้ม 5,040.-

ระยะเวลา 1-30 กันยายน 2560

Honda

Honda-Promotion-9-2017

ให้คุณพาแม่เที่ยวได้ทุกที่ แฮปปี้กว่าที่เคย เพราะออกรถ Honda รุ่นใดก็ได้วันนี้ รับฟรี! บัตรน้ำมัน 4,000 บาท (ได้รับทันทีหรือไม่เกิน 60 วันหลังจากรับรถยนต์ ใช้เฉพาะปั้มน้ำมัน ปตท. เท่านั้น) พร้อมข้อเสนออื่นๆมากมาย พิเศษ! เมื่อทดลองขับรถยนต์ฮอนด้า รับฟรีหมอนรองคอ 2 in 1 ถึง 30 ก.ย. 2560

Honda-Promotion-9-2017

จองรถยนต์ฮอนด้ารุ่นใดก็ได้ ด้วยบัตรเครดิตที่รวมรายการ 5,000 บาท รับบัตรของขวัญฮอนด้า มูลค่า 1,000 บาท
พิเศษ สำหรับรถยนต์ฮอนด้า ซีอาร์-วี ใหม่, ฮอนด้า แอคคอร์ด และฮอนด้า แอคคอร์ด ไฮบริด รับบัตรของขวัญฮอนด้า มูลค่า 3,000 บาท

เมื่อรับรถยนต์ วันนี้ – 30 กันยายน นี้ และสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่โชว์รูมฮอนด้าทั่วประเทศ

Mazda

Mazda-Promotion-9-2017

Mazda Skyactiv Day วันพิเศษแห่งปี เพื่อยนตรกรรมสกายแอคทีฟ

จองรถมาสด้าทุกรุ่น รับ Active Camera มูลค่า 3,900 บาท*
พิเศษ! ดอกเบี้ยต่ำสุด 0% พร้อมรับ Mazda Care และ Mazda Premium Insurance

9-17 กันยายน นี้ เท่านั้น ที่โชว์รูมมาสด้าทั่วประเทศ

*ของมีจำนวนจำกัด
*เงื่อนไขเป็นไปตามที่บริษัทฯ กำหนด

Mitsubishi

Mitsubishi-Mirage-Attrage-Promotion-9-2017

ข้อเสนอสุดพิเศษ สำหรับมิตซูบิชิ มิราจ

ฟรี ประกันภัยชั้นหนึ่ง 3 ปี พร้อมกล้อง Action Camera รวมมูลค่าสูงสุด 51,000 บาท*
ฟรี รับประกันคุณภาพรถยนต์ (Diamond Warranty) นาน 5 ปี หรือ 100,000 กิโลเมตร (แล้วแต่ระยะใดจะถึงก่อน)**
ฟรี ค่าแรงเช็คระยะ 5 ปี หรือ 100,000 กิโลเมตร (แล้วแต่ระยะใดจะถึงก่อน)**
ฟรี บริการช่วยเหลือฉุกเฉิน 24 ชั่วโมง นาน 3 ปี*
1 – 30 ก.ย. 2560

เงื่อนไข:

*สำหรับลูกค้าที่จองและรับรถยนต์มิตซูบิชิ แอททราจ และมิตซูบิชิมิราจทุกรุ่น ตั้งแต่วันที่ 1 – 30 กันยายน 2560 รับฟรีเบี้ยประกันภัยชั้นหนึ่งไดมอนด์ โพรเทคชั่น พร้อมบริการช่วยเหลือฉุกเฉินตลอด 24 ชั่วโมง เป็นระยะเวลานาน 3 ปี มูลค่าสูงสุด 48,669 บาท สำหรับมิตซูบิชิแอททราจ และมูลค่าสูงสุด 47,238 บาท สำหรับมิตซูบิชิมิราจ ตามเงื่อนไขการรับประกันภัยและทุนประกันภัยที่ บริษัท มิตซูบิชิ มอเตอร์ส (ประเทศไทย) จำกัด กำหนด และ รับฟรีกล้อง Action Camera ระบบ 4K มูลค่า 3,990 บาท โดยเงื่อนไขการรับประกันกล้องดังกล่าวเป็นไปตามที่ บริษัท แบรนด์ ไอเดนติตี้ แอนด์ อินโนเวชั่น จำกัด กำหนด อนึ่ง ลูกค้าควรศึกษาวิธีการใช้งาน และข้อควรระวัง ที่ระบุไว้ในคู่มือการใช้งานกล้อง

**การรับประกันคุณภาพรถยนต์ (Diamond Warranty) 5 ปี หรือ 100,000 กิโลเมตร (แล้วแต่ระยะใดจะถึงก่อน) ระยะเวลาการรับประกันของชิ้นส่วนและอุปกรณ์แต่ละชนิดอาจแตกต่างกันตามที่ระบุไว้ในสมุดรับบริการและคู่มือการใช้รถ และรายการฟรีค่าแรงเช็คระยะนาน 5 ปี หรือ 100,000 กิโลเมตร (แล้วแต่ระยะใดจะถึงก่อน) มูลค่า 7,650 บาท อัตราค่าแรงที่นำมาคำนวณอ้างอิงจากอัตราค่าแรงกลาง บริการฟรีเฉพาะค่าแรงเช็คระยะตามที่กำหนดไว้ในบัตรตรวจเช็คระยะฟรีในสมุดรับบริการและคู่มือการใช้รถ ซึ่งรถยนต์ของลูกค้าจะได้รับการตรวจสอบและบำรุงรักษาตามรายการที่ระบุไว้ โดยลูกค้าสามารถเข้ารับบริการที่ศูนย์บริการมาตรฐานของผู้จำหน่ายมิตซูบิชิที่ได้รับการแต่งตั้งเท่านั้น

Mitsubishi-Promotion-9-10-2017

เพื่อเป็นการตอกย้ำถึงความพึงพอใจของลูกค้าของ มิตซูบิชิ เจ้าของรถยนต์ มิตซูบิชิ1 สามารถนำรถยนต์เข้ารับบริการที่ศูนย์บริการมาตรฐานของ มิตซูบิชิ มากกว่า 200 แห่งทั่วประเทศ เช็ครถยนต์ฟรี 21 รายการ พร้อมรับส่วนลดพิเศษ 10%1 สำหรับค่าอะไหล่ที่ร่วมรายการ รวมไปถึงเบรก โช๊คอัพ และเคมีภัณฑ์ เมื่อลูกค้านำรถยนต์เข้ารับบริการเช็คระยะ1 ทั้งนี้ ลูกค้าที่เข้ารับบริการตั้งแต่ 3,000 บาทขึ้นไป รับของที่ระลึกฟรีเป็น ไฟฉายฉุกเฉินอเนกประสงค์ มูลค่า 400 บาท โดยข้อเสนอพิเศษทั้งหมด มีผลตั้งแต่วันนี้จนถึงวันที่ 31 ตุลาคม 2560

นอกจากนี้ บริษัทฯ ยังมอบแคมเปญพิเศษให้กับลูกค้าใหม่ของ มิตซูบิชิ ฟรีกล้องแอคชั่น คาเมร่า พร้อม แพคเกจ 35531 ประกอบไปด้วย ประกันภัยชั้น 1 ฟรี 3 ปี และฟรีการรับประกันคุณภาพรถยนต์นาน 5 ปี2 พร้อมฟรีค่าแรงการเช็คระยะนาน 5 ปี2 ทั้งยังมีบริการช่วยเหลือตลอด 24 ชั่วโมงเป็นเวลานาน 3 ปี สำหรับผู้ซื้อรถยนต์ มิตซูบิชิ รุ่นใหม่ ทุกรุ่นทั้ง ปาเจโร สปอร์ต, ไทรทัน, แอททราจ และ มิราจ

1 เงื่อนไขเป็นไปตามบริษัทฯ กำหนด
2 5 ปีหรือ 100,000 กิโลเมตร แล้วแต่ระยะใดถึงก่อน

Isuzu

Isuzu-D-Max-Promotion-9-2017

อีซูซุดีแมคซ์ บลูเพาเวอร์ ซื้อง่าย… ทุกข้อเสนอ

(1) กรณีดาวน์ 5% / คำนวณจากรุ่นสเปซแค็บ เอส 1,900 ซีซี เกียร์ธรรมดา สีธรรมดา (2) ผ่อนเพียง 4,990 บาทต่อเดือน โดยคำนวณค่างวดต่อเดือนจากงวดที่ 1-59 สำหรับกรณีดาวน์ 28% ผ่อน 60 เดือน / อ้างอิงอัตราดอกเบี้ย ณ เดือน กันยายน 2560 / คำนวณจากรุ่นสเปซแค็บ เอส 1,900 ซีซี เกียร์ธรรมดา สีธรรมดา (3) ช่วยผ่อนในงวดแรก 5,000 บาท เงื่อนไขเป็นไปตามที่สถาบันการเงิน ที่ร่วมรายการกับบริษัทฯ กำหนด / รายการส่งเสริมการขายนี้ไม่รวมถึงรถรับจ้าง รถเช่า รถที่ซื้อภายใต้เงื่อนไขพิเศษอื่นๆ และรถที่ขายฟลีท / บริษัทฯ ขอสงวนสิทธิในการเปลี่ยนแปลงเงื่อนไขโดยมิต้องแจ้งให้ทราบล่วงหน้า / เฉพาะผู้จำหน่ายอีซูซุที่ร่วมโครงการ / ของแถมไม่สามารถเปลี่ยนเป็นเงินสดได้

Isuzu-D-Max-Promotion-9-2017

ลุยเหนือชั้น เต็มพลังออฟโรด ตั้งแต่ 1-30 ก.ย. 2560

(*) เงื่อนไขเป็นไปตามที่สถาบันการเงิน (บริษัท ตรีเพชรอีซูซุลิสซิ่ง จำกัด) ที่ร่วมรายการกับบริษัทฯ กำหนด / รายการส่งเสริมการขายนี้ไม่รวมถึงรถรับจ้าง รถเช่า รถที่ซื้อภายใต้เงื่อนไขพิเศษอื่นๆ และรถที่ขายฟลีท / บริษัทฯ ขอสงวนสิทธิในการเปลี่ยนแปลงเงื่อนไขโดยมิต้องแจ้งให้ทราบล่วงหน้า / สำหรับผู้ที่ซื้อรถปิกอัพอีซูซุ ดีแมคซ์ รุ่นขับเคลื่อน 4 ล้อ ทุกรุ่น /อ้างอิงอัตราดอกเบี้ย ณ เดือนกันยายน 2560 / เฉพาะผู้จำหน่ายอีซูซุที่ร่วมโครงการ / ของแถมไม่สามารถเปลี่ยนเป็นเงินสดได้

Isuzu-MU-X-Promotion-9-2017

เอกสิทธิ์พิเศษ เมื่อซื้อ ใหม่! อีซูซุมิว-เอ็กซ์ บลูเพาเวอร์ เงื่อนไขไฟแนนซ์สุดพิเศษดอกเบี้ยเพียง… 1.30% และเงื่อนไขพิเศษอื่นๆ วันนี้ – 31 ต.ค. 2560

*อัตราดอกเบี้ยพิเศษ 1.30% เมื่อซื้อรถ ใหม่! อีซูซุมิว-เอ็กซ์ บลูเพาเวอร์ เงื่อนไขไฟแนนซ์เป็นไปตามที่ บริษัท ตรีเพชรอีซูซุลิสซิ่ง จำกัด กำหนดอ้างอิงดอกเบี้ยเดือน กันยายน-ตุลาคม 2560

Suzuki

Suzuki-Promotion-9-2017

โปรโมชั่นสุดเร้าใจกับ Suzuki Hot Deal ลดร้อนแรง แซงทุกดีล พิเศษเฉพาะลูกค้าที่ทำการจองและรับรถยนต์ซูซูกิทุกรุ่น ระหว่างวันที่ 1 กันยายน – 31 ตุลาคม 2560 นี้ รับบัตรเติมน้ำมัน 5,000 บาท ฟรี

MG

MG-Promotion-9-2017

MG Mega Bonus โปรโมชั่นสุดคุ้มค่าที่ทำให้คุณเป็นเจ้าของรถ MG ได้ง่ายขึ้น พบกับข้อเสนอสุดพิเศษ รถยนต์ MG ทุกรุ่น ที่โชว์รูม MG พร้อมกันทั่วประเทศ วันนี้ – 30 ก.ย. 2560

Chevrolet

Chevrolet-Promotion-9-2017

เชฟโรเลต… ฝนนี้มีเซอร์ไพรส์ ดอกเบี้ย 0.99% พิเศษ ฟรีประกันชั้น 1 ทุกรุ่น อย่าพลาด ข้อเสนอเฉพาะคุณ ที่โชว์รูมเชฟโรเลต ทั่วประเทศ 1-30 ก.ย. 2560

Ford

Ford-Ranger-Promotion-8-2017

สุดคุ้ม! Ford Ranger Wildtrak ดาวน์เพียง 89,999 บาท หรือผ่อนเพียง 8,999 บาท/เดือน เริ่มผ่อนปีหน้า พร้อมฟรีประกันภัยชั้นหนึ่ง คุ้มได้อีก! จองรถฟอร์ดทุกรุ่นลุ้นส่วนลด 500,000 บาท วันนี้-17 ก.ย. ที่โชว์รูมฟอร์ดทั่วประเทศ

BMW

BMW-5-Series-Promotion-8-2017

The All-New BMW 5 Series มาพร้อมโหมดการขับขี่แบบ Adaptive และเทคโนโลยี Gesture Control ราคารวมแพคเกจ BSI STANDARD* เริ่มต้น 3.439 ล้านบาท

Nissan-Leaf

Nissan Leaf ใหม่ เจเนอเรชั่นที่ 2 ประหยัดขึ้นกว่าเดิม

             Nissan เปิดตัวรถยนต์ไฟฟ้ารุ่นใหม่ Nissan Leaf (นิสสัน ลีฟ) เจเนอเรชั่นที่ 2 “Simply Amazing” ครั้งแรกในโลกที่ญี่ปุ่น พร้อมเริ่มขายที่ญี่ปุ่นในวันที่ 2 ตุลาคมนี้ ก่อนส่งออกไปจำหน่ายทั่วโลกเช่นเคย

สำหรับ นิสสัน ถือเป็นผู้บุกเบิกในยานยนต์ไฟฟ้า ด้วยการเปิดตัว นิสสัน ลีฟ ซึ่งเป็นรถยนต์ไฟฟ้าคันแรกของโลก และเริ่มจำหน่ายในญี่ปุ่นตั้งแต่วันที่ 20 ธันวาคม 2010 ปัจจุบันมียอดขายที่มากกว่า 280,000 คัน ถือว่าเป็นรถยนต์ไฟฟ้าที่มียอดขายมากที่สุดในโลก ในยุคที่รถยนต์ไฟฟ้า กำลังจะมาแทนที่รถยนต์ที่ใช้น้ำมันเชื้อเพลิง!

Nissan-Leaf

Nissan Leaf ใหม่

Nissan-Leaf

Nissan-Leaf

รูปทรงภายนอก เน้นความสปอร์ต ลู่ลมขึ้น

นิสสัน ลีฟ ใหม่ ถูกออกแบบด้วยรูปโฉมสปอร์ต ตัวรถพัฒนาด้วย Concept “Advance Expression” มาพร้อมไฟหน้าแบบ LED ทรงบูมเมอแรง, กระจังหน้า V-Motion แบบ 3 มิติ และไฟท้ายทรงบูมเมอแรงแบบ LED คู่กับล้อแม็กขนาด 16 นิ้ว และ 17 นิ้ว (ในรุ่น G)

มาพร้อมมิติตัวถังยาว 4,480 มม. กว้าง 1,790 มม. สูง 1,540 มม. และระยะฐานล้อ 2,700 มม.

Nissan-Leaf

Nissan-Leaf

Nissan-Leaf

ห้องโดยสารภายใน พร้อมพื้นที่เก็บของกว้างขวาง

ห้องโดยสารออกแบบใหม่ตาม Concept “Gliding Wing” คอนโซลหน้ารูปแบบใหม่ เบาะนั่งเดินด้วยด้ายสีน้ำเงิน ส่วนความบันเทิง มาพร้อมชุดจอสัมผัสขนาด 7 นิ้ว รองรับระบบ Apple CarPlay และ NissanConnect ที่สามารถค้นหาข้อมูล Update ล่าสุด ของสถานีชาร์จไฟฟ้า ทั้งสถานที่ตั้ง หรือเวลาให้บริการ รวมทั้งการรอคิวชาร์จ และในระหว่างชาร์จไฟฟ้า เจ้าของรถสามารถดูปริมาณแบตเตอรี่ได้ผ่านสมาร์ทโฟน เป็นต้น พร้อมพื้นที่เก็บสัมภาระด้านท้ายที่มากถึง 435 ลิตร (วัดตามมาตรฐาน VDA)

Nissan-Leaf

นิสสัน ลีฟ คือ รถยนต์ที่ขับเคลื่อนด้วยพลังงานไฟฟ้า “100%” และมีอัตราการปล่อยมลพิษเป็น “0” พร้อมชูจุดเด่นอย่าง “นิสสัน อินเทลลิเจนต์ โมบิลิตี้ (Nissan Intelligent Mobility)” ทำให้ผู้ขับขี่มีความมั่นใจกับมุมมองรอบด้าน และสามารถตรวจจับวัตถุต่างๆ ที่อยู่รอบๆ ตัวรถได้ดีขึ้น ด้วยระบบต่างๆ อาทิเช่น

Nissan-Leaf

  • ระบบ ProPILOT ครั้งแรกของการแนะนำระบบขับอัตโนมัติ รวมถึงระบบ ProPILOT Park ที่สามารถนำรถยนต์เข้าจอดในซอง และการจอดรถริมฟุตบาท แบบอัตโนมัติ โดยที่คนขับนั่งเฉยๆ ไม่ต้องไปหมุนพวงมาลัยใดๆ

Nissan-Leaf

  • ระบบ e-Pedal ช่วยในการเร่งความเร็วและการเบรก โดยระบบจะทำงานร่วมกับระบบ Regenerative Braking ในการช่วยหยุดรถ อีกทั้งยังใช้ทดแทนระบบ Hill Start Assisted (HSA) ในการออกตัวบนทางลาดชันอีกด้วย

Nissan Leaf ใหม่ มาพร้อมมอเตอร์ไฟฟ้าชุดใหม่ แบบ EM57 ที่ให้แรงม้าสูงสุด 150 แรงม้า (PS) (110 กิโลวัตต์) (แรงม้าเพิ่มขึ้น 38% จากรุ่นแรก) ที่ 3,283-9,795 รอบ/นาที และแรงบิดสูงสุด 32.6 กก.-ม. (320 นิวตันเมตร) ที่ 0-3,283 รอบ/นาที

แบตเตอรี่ลิเธียม-ไอออน ขนาด 40 กิโลวัตต์/ชม. เพียงชาร์จ 1 ครั้ง สามารถเดินทางได้ระยะทางมากถึง 400 กิโลเมตร (ตามการทดสอบตามโหมด JC08 ของประเทศญี่ปุ่น)

Nissan-Leaf

Nissan-Leaf

ขับไปไหนก็หายห่วงเรื่องไฟหมด ด้วยจุดเติมพลังงานไฟฟ้าที่มากถึง 28,500 จุด (โดยประมาณ) ทั่วประเทศญี่ปุ่น (แบ่งเป็นสถานี Quick Change 7,108 จุด และสถานีขาร์จแบบธรรมดา 20,727 จุด) ใช้เวลาชาร์จประมาณ 40 นาที ก็ได้ปริมาณพลังงานไฟฟ้ามากถึง 80% หากชาร์จแบบ Quick Charge และใช้เวลาชาร์จ 8 ชั่วโมง (กำลังไฟ 6 กิโลวัตต์) สำหรับการชาร์จแบบธรรมดา

Nissan Leaf ใหม่ มีรุ่นย่อยให้เลือกทั้งหมด 3 รุ่นย่อย ได้แก่ S, X และ G พร้อมมีสีให้เลือกทั้งหมด 6 สี ในราคา 3,150,360-3,990,600 เยน

ขอบคุณภาพและข้อมูลจาก www.nissan.co.jp

10-Car-Equipment-Less-In-This-Time

รถยนต์ในปัจจุบัน มีเทคโนโลยีที่พัฒนาก้าวหน้าไปไกลจากในอดีตมาก อุปกรณ์ติดรถบางอย่าง ที่เคยจำเป็นในอดีต แม้ว่าในการใช้งาน จะต้องออกแรงกันเป็นหลัก แต่มันก็ให้ความทนทาน และไม่ต้องพึ่งพิงระบบไฟฟ้า ในการทำงาน

รถยุค 70 รถยุค 80 สิ่งของจำเป็นเหล่านี้ยังได้รับความนิยม แต่พอมาจนถึงรถยุค 90 จวบจนในปัจจุบัน อาจจะหมดความสำคัญ ถูก Disrupt ออกไปจนแทบจะไม่มี หรือหายไปจากในรถยนต์แล้ว ก็มีอยู่หลายอย่าง …

ทาง CARRO ขอรวบรวม 10 อุปกรณ์ติดรถ ที่กำลังจะสูญพันธ์ มาให้ท่านผู้อ่านได้ทราบกันครับ

10-Car-Equipment-Less-In-This-Time

1. กระจกมือหมุน

ถือเป็น 1 ในอุปกรณ์ติดรถที่สำคัญมาตั้งแต่อดีต “กระจกมือหมุน” อาศัยการทำงานแบบกลไกเป็นหลัก พอถึงในยุคที่มีกระจกไฟฟ้าแล้ว ก็จะเหลือแต่รถยนต์รุ่นล่างๆ ที่ยังติดตั้งกระจกหน้าต่างมือหมุนมาให้เป็นอุปกรณ์มาตรฐาน แม้จะดูว่าโบราณ และบางทีต้องเอี้ยวตัวไปเปิด (ฝั่งด้านคนนั่ง) ซึ่งไม่สะดวกเอาซะเลย

แต่ก็ได้เรื่องความทนทาน เวลาไม่ได้สตาร์ทรถ ก็ยังสามารถหมุนกระจกได้ รวมถึงเวลาฉุกเฉิน ก็ยังสามารถหมุนกระจกได้ และดูแลรักษาง่าย ใช้งานได้ยาวนาน จนกว่ารถจะพัง หรือรางหมุนกระจกด้านใน สนิมกินหมดซะก่อน

10-Car-Equipment-Less-In-This-Time

2. ที่จุดบุหรี่

ในอดีตรถยุคก่อนมักจะติดที่จุดบุหรี่ มาให้คู่กับที่เขี่ยบุหรี่ เพราะการสูบบุหรี่ในสมัยก่อนถือเป็นเรื่องธรรมดา แต่ช่วง 20 กว่าปีที่ผ่านมา ผู้คนเริ่มตระหนักถึงพิษภัยของบุหรี่มากขึ้น

ทำให้บรรดาค่ายรถต่างๆ เริ่มเปลี่ยนที่จุดบุหรี่ มาเป็นช่องเสียบปลั๊กไฟขนาด 12V พร้อมกับฝาพลาสติกปิดตรงจุดจ่ายไฟ แทนที่จุดบุหรี่ ส่วนที่เขี่ยบุหรี่ ก็เปลี่ยนเป็นที่เก็บเศษสตางค์ไปแทน

10-Car-Equipment-Less-In-This-Time

3. เกียร์ธรรมดา

รถเกียร์ธรรมดา ปัจจุบันยังได้รับความนิยมในประเทศแถบยุโรป เนื่องจากความทนทาน ประหยัด ขับในเมืองเล็กๆ หรือขึ้นเขาลงเขาได้สนุก ต่างจากประเทศในแถบเอเชีย ที่หลายประเทศรถติดอันดับโลก หรือรถติดมากๆ ในช่วงเวลาเร่งด่วน

ทำให้เกียร์ธรรมดา มีเฉพาะในรถรุ่นล่างๆ กับรถกระบะเท่านั้น เพราะการขับรถเกียร์ธรรมดา ผู้คนไม่นิยมแล้ว เนื่องจากขับค่อนข้างยาก สำหรับคนที่ยังไม่ชำนาญ และกรุงเทพฯ ขึ้นชื่อว่ารถติดอันดับต้นๆ ของโลก การขับรถเกียร์ธรรมดาตอนรถติดๆ ต้องเหยียบคลัทช์กันแทบตลอดเวลา เล่นซะขาซ้ายน่องโป่งข้างเดียวซะก่อน

10-Car-Equipment-Less-In-This-Time

4. วิทยุติดรถยนต์แบบ 1 DIN

DIN ย่อมาจาก Deutsches Institut fur Normung (ในภาษาอังกฤษ คือ German Institute for Standardization) ซึ่งอาจจะไม่ได้เกี่ยวข้องกับเครื่องเสียงโดยตรงนัก แต่ DIN มีกำหนดมาตรฐานของเครื่องเสียงของเยอรมนีเอาไว้ด้วย (มาตรฐาน “DIN 75490”) เลยกลายเป็นคำยอดฮิตสำหรับเรียกวิทยุติดรถยนต์ไป

วิทยุ 1 DIN หรือ EURO-DIN จะมีขนาดของวิทยุกว้าง 180 มม. สูง 50 มม. ราวๆ ประมาณนี้ บวกลบนิดหน่อย ในอดีตจะเป็นวิทยุ FM/AM พร้อมช่องใส่เทปคาสเซท หรือ CD แต่ในปัจจุบัน ก็ปรับเปลี่ยนเป็นช่องเสียบ USB และ AUX แทน

แต่วิทยุติดรถยนต์ปัจจุบัน แทบทั้งหมดในท้องตลาดจะเป็นแบบ 2 DIN มีทั้งแบบปุ่มกด และแบบจอสัมผัส หรือวิทยุรูปทรง Built-In เข้ากับตัวคอนโซลรถ จำหน่ายหรือติดตั้งมาจากโรงงาน ทำให้วิทยุติดรถ 1 DIN แบบเก่า ที่เคยนิยมมาตั้งแต่ในรถยุค 80 และรถยุค 90 เริ่มน้อยลงจากในรถยนต์รุ่นใหม่ที่ออกมาจากโรงงานมากขึ้นเรื่อยๆ

10-Car-Equipment-Less-In-This-Time

5. ยางอะไหล่แบบกระทะเหล็ก และล้อแม็ก

แม้ว่ายางอะไหล่แต่เดิมนั้น ส่วนใหญ่มักใช้แบบกระทะเหล็กขนาดเดียวกับล้อรถ แต่รถราคาแพงหน่อย ก็จะเป็นล้อแม็กลายเดียวกับที่ติดมากับตัวรถ

แต่เพราะยางอะไหล่ แค่ใช้งานชั่วคราว แต่การลดต้นทุน รวมถึงการเพิ่มเนื้อที่เก็บสัมภาระท้ายรถได้มากขึ้น บริษัทรถจึงเริ่มนิยมใช้ยาวหน้าแคบ และล้อกะทะเหล็กขนาดบาง สำหรับเป็นยางอะไหล่ แถมช่วยให้น้ำหนักด้านท้ายรถเบาลง

แต่ในปัจจุบัน ชุดปะยางสำเร็จรูป ที่กำลังมาแทนที่ยางอะไหล่ และได้รับความนิยมมากขึ้นเรื่อยๆ

10-Car-Equipment-Less-In-This-Time

6. คิ้วกันกระแทกรอบคัน

ในอดีต รถส่วนใหญ่มักนิยมประดับตัวรถ ด้วยคิ้วกันแทกบริเวณด้านหน้า ด้านข้างตัวรถ และด้านหลัง อาจจะทำจากวัสดุเช่น ยาง โครเมียม หรือสแตนเลส เป็นต้น เพื่อกันกระแทกเวลาเลี้ยวหรือเปิดประตู เพื่อป้องกันตัวถังเป็นรอยหรือโดนเบียด และดูสวยงาม หรูหรา

แต่ในปัจจุบัน รถส่วนใหญ่ไม่นิยมติดคิ้วกันกระแทกให้แล้ว เน้นการเล่นเส้นสายด้านข้างของตัวรถมากกว่า

10-Car-Equipment-Less-In-This-Time

7. เบรกมือ

ในอดีต เบรกมือนั้นมักติดตั้งอยู่บริเวณด้านใต้พวงมาลัยรถ เป็นก้านสำหรับดึงเข้า-ออก ดังเห็นได้จากรถกระบะในอดีตหลายๆ รุ่น หรือเบรกแบบใช้เท้าเหยียบ (รถอเมริกันสมัยก่อนนิยมใช้) พอช่วงประมาณต้นยุค 70 เป็นต้นมา เบรกมือเริ่มนิยมติดตั้งบริเวณระหว่างกึ่งกลางเบาะคู่หน้า พร้อมก้านดึงและปุ่มสำหรับกด เพื่อใช้ปลดล็อก

แต่ในปัจจุบัน รถหลายรุ่นเริ่มนิยมใช้เบรกมือไฟฟ้า เพราะใช้งานได้สะดวกมากยิ่งขึ้น แต่เบรกมือรถยนต์ในรูปแบบเก่า ยังคงมีติดตั้งอยู่แต่ก็เริ่มน้อยลงเรื่อยๆ

10-Car-Equipment-Less-In-This-Time

8. เสาอากาศไฟฟ้า

นับตั้งแต่ยุค 50 ที่วิทยุเริ่มแพร่หลายในรถยนต์ เสาอากาศไฟฟ้าก็ถือเป็น 1 ในออพชั่นที่รถยนต์หรูหราจากทั่วโลกนิยมติดตั้งมาให้บริเวณหน้ารถ หรือท้ายรถ จนถึงในยุค 2000 เสาอากาศไฟฟ้าในรถยนต์ก็เริ่มลดบทบาทลง

เนื่องจากมีการพัฒนาเสาอากาศแบบเป็นเส้นฝังอยู่ในกระจก รวมไปถึงมีเสาอากาศขนาดเล็ก (ซึ่งมีทั้งแบบเป็นยาง หรือแบบครีบหูฉลาม ติดตั้งบนหลังคา) มาแทนที่ เสาอากาศไฟฟ้าในรถยนต์รุ่นใหม่ๆ จึงค่อยๆ หายไป

10-Car-Equipment-Less-In-This-Time

9. กระจกมองข้าง ปรับจากภายในรถ

ในยุคที่กระจกมองข้างยังเป็นแบบธรรมด้า ธรรมดา ผู้ใช้รถต้องซื้อมาติดเอง (เพราะสมัยก่อน รถยนต์ส่วนใหญ่ ไม่มีกระจกมองข้างติดตั้งมาให้) เวลาจะปรับจะพับ ก็ใช้มือนี่ล่ะครับ ปรับกับกะระยะมุมมองเอา

ถ้ากระจกมองข้างติดบริเวณมุมล้อหน้า (ยอดฮิตในรถญี่ปุ่นช่วงยุค 60 ถึงต้นยุค 80) ก็ต้องทั้งกะทั้งเล็งเป็นพิเศษหน่อย ในช่วงปลายยุค 70 กระจกมองข้างปรับไฟฟ้า เริ่มเข้ามานิยมในรถยนต์รุ่นหรูหรา กับรถรุ่นท็อป ต่อมาจึงกลายเป็นอุปกรณ์มาตรฐานที่ติดรถกันไปแล้วทุกยี่ห้อ (บางรุ่น ก็มีแค่ปรับด้วยไฟฟ้าอย่างเดียว เวลาพับ ต้องใช้มือพับ)

เหลือแต่ในรถยนต์รุ่นล่างๆ ที่ยังใช้กระจกมองข้าง แบบมีก้านปรับจากภายในรถ แต่ก็มีให้เห็นน้อยลงเรื่อยๆ

10-Car-Equipment-Less-In-This-Time

10. ล้อแม็ก 13 นิ้ว และ 14 นิ้ว

ย้อนไปดูรถยุค 80 เป็นยุคที่ล้อแม็กติดรถ เริ่มมีให้เห็นกันมากขึ้น มากกว่าล้อกระทะเหล็กและฝาครอบล้อ โดยล้อแม็กในขณะนั้นส่วนมากก็จะเป็นลายแบบเรียบๆ ง่ายๆ หรือเน้นแนวเหลี่ยม ล้อซี่ลวด หรือล้อกล้วยเป็นหลัก และส่วนใหญ่มีขนาดแค่ 13 นิ้ว

ล้อแม็กยี่ห้อฮิตๆ หน่อยในยุคนั้น เท่าที่เห็นก็มี Tom’s, Enkai, Dunlop, Lenso, Speedstar, Bridgestone Zona, Watanabe, Hayashi, Kosei, Yachiyoda, RG, Rial, Cromodora หรือ BBS เป็นต้น

ทำให้ล้อแม็กขนาด 14 นิ้ว ยังมีติดรถเป็นอุปกรณ์มาตรฐานให้เห็นอยู่เฉพาะในรุ่นเล็กๆ และรุ่นย่อยล่างๆ เท่านั้น

ดูอุปกรณ์รถย้อนยุคแต่ละคันกันไปแล้ว ถ้าใครอยากเล่นรถยุค 70 รถยุค 80 รถยุค 90 ที่คนเล่นรถเก่าชอบ ก็ลองมาปรึกษาดูได้ครับ

หากช่วงนี้ใครต้องการซื้อรถมือสองคุณภาพเยี่ยม ผ่านการตรวจสภาพได้มาตรฐาน รับประกันพร้อมโอนทุกคัน หรือหารถมือสองรุ่นที่ต้องการ สามารถเข้ามาดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ CARRO Automall > https://th.carro.co/buy-car หรือโทร. 02-508-8690 หรือจะ Inbox มาสอบถามก็ได้เช่นกัน ที่ Facebook CARRO Automall – รถบ้านมือสอง ถ้าสะดวก Add Line ก็ที่ @carroautomall

ส่วนถ้าคุณอยากขายรถด่วน เพื่อไปซื้อรถคันใหม่ หรือรับเงินก้อนไปใช้สามารถขายรถคันเก่า หรือตีราคารถกับทาง CARRO ได้ ง่ายๆ ได้เงินไว! กับ CARRO Express เพียงแค่คลิก https://th.carro.co/sell-car/express หรือสามารถ Inbox มาขอรายละเอียดได้ที่ Facebook CARRO Thailand

หรือจะ Add Line สอบถามรายละเอียดได้ที่ @Carrothai หรือคลิกที่นี่ —> เพิ่มเพื่อน

10-Need-To-Change-In-Car

10 ชิ้นส่วนและอะไหล่รถ ที่ต้องเปลี่ยนประจำ

เป็นเรื่องธรรมดาของสรรพสิ่งในโลกใบนี้ อะไรก็ตามที่ใช้ไปนานๆ ย่อมมีการเสื่อมสภาพเป็นธรรมดา อุปกรณ์ต่างๆ ในรถยนต์ก็เช่นกัน ทุกชิ้นส่วนต่างก็มีระยะเวลาการใช้งาน หรือต้องเปลี่ยนถ่ายตามระยะทาง

Car-Maintenance

Carro ขอแนะนำถึง 10 ชิ้นส่วนและอะไหล่รถ ที่ต้องเปลี่ยนประจำนั้น มีอะไรบ้าง เชิญอ่านได้เลยครับ.

1.น้ำมันเครื่อง พร้อมไส้กรองน้ำมันเครื่อง

น้ำมันเครื่อง

น้ำมันเครื่อง พร้อมไส้กรองน้ำมันเครื่อง เมื่อถึงกำหนดควรเปลี่ยนถ่ายทุกครั้ง สำหรับระยะเวลาเปลี่ยนคือ ทุกๆ 5,000-10,000 กิโลเมตร (แล้วแต่ยี่ห้อ และประเภทของน้ำมันเครื่อง เช่น แบบธรรมดา แบบกึ่งสังเคราะห์ หรือแบบสังเคราะห์) หรือพบว่าน้ำมันเครื่องเป็นสีเริ่มดำ หรือเป็นตะกอนโคลน ก็สามารถเปลี่ยนก่อนได้เลย เพราะน้ำมันเครื่องเสื่อมสภาพแล้ว โดยเมื่อเปลี่ยนน้ำมันเครื่องแล้ว ก็ควรเปลี่ยนไส้กรองน้ำมันเครื่องไปพร้อมกันเลย

หากเป็นรถใหม่บางยี่ห้อ ทางศูนย์บริการจะแนะนำให้เปลี่ยนถ่ายน้ำมันเครื่องทุกๆ 6 เดือน และในส่วนของรถยนต์ที่ใช้น้อย เมื่อครบ 1 ปีแล้ว ไม่ว่าจะวิ่งมากี่กิโลเมตรก็ตาม ก็ควรเปลี่ยนถ่ายน้ำมันเครื่องเช่นกันครับ

การเปลี่ยนถ่ายน้ำมันเครื่องทุกครั้ง ต้องมีการจดบันทึก วันที่ เดือน ปี และเลขกิโลเมตร ไว้ด้วย เพื่อใช้เป็นการคำนวณกำหนดการเปลี่ยนถ่าย

2. แบตเตอรี่

แบตเตอรี่

แบตเตอรี่ ถ้าเป็นแบตเตอรี่แบบเปียก ควรเติมน้ำกลั่นให้ได้ระดับปกติอยู่เสมอ เพื่อให้แบตเตอรี่เก็บประจุไฟได้อย่างเต็มที่ ส่วนแบตเตอรี่ที่เป็นแบบแห้ง ก็สามารถใช้งานได้ตลอดอายุการใช้งาน ไม่ต้องดูแลรักษาอะไรใดๆ ส่วนใหญ่ระยะเวลาการเปลี่ยนจะอยู่ที่ 1.5 -3 ปี แล้วแต่ขนาด และการใช้งาน

3. ยางรถยนต์

ยางรถยนต์

ยางรถยนต์ อายุการใช้งานส่วนใหญ่ที่ควรเปลี่ยน คือ 2 ปี หรือ 50,000 กิโลเมตร แต่ถ้าเป็นยางที่คุณภาพสูงๆ จะมีอายุการใช้งานนานถึง 5-6 ปี นับตั้งแต่วันที่ผลิต หากความลึกของดอกยางที่น้อยลงมาก โดยดูจากจุด “สามเหลี่ยม” บริเวณขอบยาง หรือ สภาพโครงสร้างของยาง มีรอยแตกลายงาหรือไม่ ก็ควรเปลี่ยนยางเส้นใหม่ครับ เพื่อความปลอดภัยของคุณ

แต่ก็มีวิธียืดอายุการใช้งานยางให้ได้นานที่สุด (เพราะเปลี่ยนใหม่หมด 4 เส้น ก็ใช้เงินไม่ใช่น้อย) พยายามเลี่ยงถนนที่มีหลุมบ่อ สิ่งกีดขวาง ระวังกระแทกขอบถนน วัตถุมีคม และลูกระนาดชะลอความเร็ว ตรวจดูการสึกหรอของดอกยาง ดูแรงดันลมยาง และคอยตั้งศูนย์ล้อสม่ำเสมอ เป็นต้น

4. ผ้าเบรก

ผ้าเบรก

ผ้าเบรก ถือว่าเป็นชิ้นส่วนสำคัญ หากผ้าเบรกใกล้หมด จะมีเสียงดังเอี๊ยดๆ เกิดขึ้นขณะเหยียบเบรค หรือตอนรถออกวิ่งใหม่ๆ บ่งบอกว่าถึงเวลาเปลี่ยนได้แล้ว เพราะถ้าหากยังใช้ต่อ เหล็กของก้ามเบรกจะสีกับจานเบรก ทำให้จานเบรกเป็นรอยได้ ระยะเวลาในการเปลี่ยนประมาณ 40,000–70,000 กิโลเมตร

5. ไส้กรองอากาศ

ไส้กรองอากาศ

ไส้กรองอากาศ เป็นตัวสำคัญที่จะคอยกรองสิ่งสกปรกในอากาศก่อนเข้าเครื่องยนต์ ช่วยให้การเผาไหม้สมบูรณ์ ระยะเวลาในการเปลี่ยน 20,000 กิโลเมตร หรือ 1 ปี และควรเป่าทำความสะอาดทุกๆ เดือน

6. หัวเทียน

หัวเทียน

หัวเทียน ควรเปลี่ยนทุกๆ 40,000 กิโลเมตร เพื่อการจุดระเบิดที่ดีของเครื่องยนต์ หรือทุก 1 ปีก็ได้

7. สายพานไทม์มิ่ง

สายพานไทม์มิ่ง

สายพานไทม์มิ่ง ถือเป็นสายพานหลักสำหรับส่งกำลังเครื่องยนต์ หากสายพานเริ่มมีเสียงดังเอี้ยดอ๊าด ก็ควรเปลี่ยนได้ โดยสายพานไทม์มิ่ง ควรเปลี่ยนทุกๆ 100,000 กิโลเมตร เปลี่ยนความปลอดภัยของเครื่องยนต์

8. น้ำมันเกียร์ และไส้กรองน้ำมันเกียร์

น้ำมันเกียร์

น้ำมันเกียร์ และไส้กรองน้ำมันเกียร์ ระบบเกียร์ทุกระบบประกอบไปด้วยโลหะจำนวนมาก รวมไปถึงความร้อนสูง น้ำมันเกียร์ จะช่วยลดการสึกหรอของการทำงานภายในเกียร์ได้ โดยระยะเวลาในการเปลี่ยน ประมาณ 20,000 – 40,000 กิโลเมตร ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับรุ่นรถ และคำแนะนำของรถยนต์แต่ละยี่ห้อ

9. ยางใบปัดน้ำฝน

ใบปัดน้ำฝน

ยางใบปัดน้ำฝน ควรเปลี่ยนทุกๆ 1 ปี หรือเมื่อยางเสื่อมสภาพ กรอบแตก ปัดแล้วมีเสียงดัง หรือกวาดน้ำออกมาจากกระจกไม่หมด ปัดแล้วไม่เรียบ เป็นต้น

10. ระบบส่องสว่างและหลอดไฟต่างๆ

ไฟหน้า

ระบบส่องสว่างและหลอดไฟต่างๆ ทั้งภายนอกรถและภายในรถ ไม่มีระยะเปลี่ยนที่แน่นอน ส่วนใหญ่จะเปลี่ยนใหม่เมื่อหลอดขาดเท่านั้น

ถือเป็นเคล็ดลับในการดูแลรถยนต์ง่ายๆ ที่ทาง Carro นำมาฝาก ซึ่งทุกคนสามารถตรวจเช็คได้ หรือให้ช่างผู้ชำนาญตรวจเช็คก็ได้เช่นกัน เพื่อความปลอดภัยในการขับขี่และเดินทางของท่านครับ

ในช่วงที่ฝนตกกันเป็นประจำอยู่แทบทุกวันนั้น สิ่งที่สำคัญสิ่งหนึ่ง ที่ช่วยให้การขับรถตอนฝนตกของคุณเป็นไปอย่างราบรื่นนั่นคือ “ใบปัดน้ำฝน” อุปกรณ์ชิ้นเล็กๆ แต่มีความสำคัญไม่แพ้ส่วนอื่นๆ ของรถยนต์ ที่บางทีหลายคนอาจละเลยหรือมองข้ามไป

ยิ่งบ้านเราเมืองร้อน ยางปัดน้ำฝนโดนแดดมักเสื่อมสภาพไว บางทีก็กรอบ รถบางคันไม่ได้ใช้นานๆ พอเอาออกมาขับตอนฝนตก อ้าว ปัดน้ำฝน ปัดแล้วยางแข็ง ขูดกระจกเสียงดัง แถมปัดไม่เกลี้ยงอีก

ทาง MR.CARRO ขอแนะนำเคล็ดลับ ในการใช้งานและเลือกใช้ใบปัดน้ำฝนครับ

Check-Wiper-Your-Car

การเลือกซื้อใบปัดน้ำฝน

การเลือกซื้อใบปัดน้ำฝนที่ดี ควรเลือกขนาดตามแบบมาตรฐานที่ติดรถยนต์มาจึงจะดีที่สุด เพราะตรงตามมาตรฐานของผู้ผลิตรถยนต์เลือกใช้ หากนำใบปัดน้ำฝนขนาดเล็กกว่าที่ติดอยู่เดิม อาจทำให้รัศมีในการปัดน้ำฝนบนหน้ากระจกน้อยลง หากใบปัดน้ำฝนมีขนาดใหญ่มากไป ใบปัดจะเลยขอบกระจก ทำให้มีอายุการใช้งานสั้นลง

ที่สำคัญ ยางใบปัดน้ำฝนต้องผลิตจากวัสดุและเนื้อยาง (หรือซิลิโคน) ที่มีคุณภาพ ทนทานต่อสภาพอากาศร้อน โครงของใบปัดน้ำฝนทำจากโลหะ เพื่อป้องกันการกระพือจากแรงลมในขณะขับรถด้วยความเร็วสูง และช่วยเพิ่มน้ำหนักในการรีดน้ำจากกระจก แนบสนิทกับกระบังลมหน้า-หลัง

และอีกแบบที่นิยมกันในปัจจุบัน ก็จะเป็นแบบไร้โครง (Flat-Blade Wiper) โดยจะเป็นเนื้อยางชิ้นหนา สามารถกระจายแรงกดของใบปัดไปยังพื้นผิวกระจกได้เท่ากันทั้งชิ้น ต่างจากที่ปัดน้ำฝนแบบมีโครงก้านยึดจำนวนหลายจุด ส่งผลให้การกระจายแรงกดไม่เท่ากัน

Thick-To-Change-Wiper-By-Yourself

เช็คใบปัดน้ำฝนเสื่อมสภาพ

ใบปัดน้ำฝนที่เสื่อมสภาพแล้วเป็นอย่างไร? สังเกตได้จาก เนื้อยางเริ่มแข็งกรอบและมีรอยแตกฉีกขาด เวลาปัด มีเสียงปัดน้ำฝนเสียดสีกับกระจกเสียงดังครืดคราด ปัดแล้วรีดน้ำออกจากกระจกไม่หมด มีคราบน้ำ ละอองน้ำ เป็นม่านบนกระจก

Check-Wiper-Your-Car

วิธีดูแลใบปัดน้ำฝน

วิธีดูแลใบปัดน้ำฝน หากเป็นไปได้ หมั่นจอดรถในที่ร่ม เพื่อป้องกันแสงแดด ที่ทำให้ยางใบปัดน้ำฝนแข็งกรอบ เพราะยางต้องแนบกับกระจกที่รับความร้อน ควรยกก้านใบปัดน้ำฝนขึ้น และใช้ผ้าชุบน้ำ เช็ดตามแนวยาวของใบปัดน้ำฝน ถ้าเป็นไปได้ ควรใช้น้ำยาเช็ดกระจกให้ลื่นและเงา เพื่อเสริมให้ปัดน้ำฝนทำงานได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ

อ่านเพิ่มเติม : ที่ปัดน้ำฝนมีเสียง! เปลี่ยนใหม่ง่ายๆ ได้ด้วยตัวเอง

ในส่วนของหัวฉีดปัดน้ำฝนก็สำคัญ หากเกิดการอุดตัน ให้นำเข็มหมุดแหย่บริเวณรูฉีดน้ำ เพราะอาจจะเศษฝุ่นอุดตันอยู่ ทำให้น้ำไม่พุ่งออกมาเต็มที่ อีกทั้งหมั่นเติมน้ำแชมพูสำหรับไว้ฉีดล้างกระจกให้พร้อม เพื่อขจัดคราบสกปรกเวลาใช้งานปัดน้ำฝน

Check-Wiper-Your-Car

ถือเป็นเคล็ดลับที่คุณควรรู้ไว้ สำหรับในการดูแลรักษารถยนต์ของคุณครับ MR.CARRO ขอแนะนำให้คุณควรเปลี่ยนปัดน้ำฝน ทุกๆ 1 ปี เพื่อให้คุณขับขี่รถลุยฝนได้อย่างมั่นใจ

ส่วนใครที่อยากขายรถ หรือมีเพื่อนฝูงกำลังหาที่ขายรถอยู่ CARRO เรารับซื้อรถของคุณ สามารถเข้าไปเช็กราคา ตีราคาขายรถก่อนได้ โดยใส่ข้อมูลรถของคุณที่นี่เลย กับ CARRO Express > https://th.carro.co/sell-car/express หรือโทร. 02-508-8425

หรือใครจะ Inbox มาสอบถามก็ได้เช่นกัน ที่ Facebook CARRO Thailand หรือสะดวก Add Line ก็ที่ @Carrothailand หรือคลิกที่นี่ครับ —> เพิ่มเพื่อน

5-Secondhand-Cars-Not-Over-300000-Baht

5 รถมือสองราคาไม่เกิน 300,000 บาท ที่น่าเล่น

เมื่อคุณคิดจะตัดสินใจซื้อรถมือสองสักคันหนึ่ง ในวงเงิน 300,000 บาท ซึ่งก็มีตัวเลือกอยู่มากมายหลายรุ่น ทั้งรถแบรนด์ญี่ปุ่น รถยุโรป ให้เลือกมากมาย เป็นธรรมดาที่ผู้บริโภคจะหาคำตอบที่ดีที่สุดให้กับตัวเอง ทั้งจำนวนเงินในกระเป๋า ความคุ้มค่าต่อราคา และความชอบส่วนตัว

ราคาขายต่อในแต่ละรุ่นก็ไม่เท่ากัน ขึ้นอยู่กับว่าความนิยม กระแสของคนเล่นรถรุ่นนั้น ศูนย์บริการของรถรุ่นนั้นๆ หรือปัญหายอดฮิตของรถรุ่นนั้น ว่าชอบเสียจุดไหนบ้าง รวมไปถึงความยากง่ายในการหาอะไหล่ เป็นต้น

Carro ขอแนะนำรถยนต์มือสอง 5 รุ่น ในราคาไม่เกิน 300,000 บาท ที่น่าซื้อมาใช้ ให้ทุกท่านได้พิจารณากันครับ

1.Toyota Corolla Altis

Toyota-Corolla-Altis

สำหรับ Toyota Corolla Altis (โตโยต้า โคโรลล่า อัลติส) ในโฉม “หน้าแบน” นี้ เป็นถือเป็นรถที่ได้รับความนิยมมากมายจากแท็กซี่ หรือมวลชน เพราะขึ้นชื่อถึงเรื่องความทนทาน อะไหล่หาง่าย ช่างที่ไหนก็ซ่อมได้ เช่นเคย โดยย้อนกลับไปวันที่ 29 มกราคม 2551 เป็นวันที่เปิดตัว Corolla Altis รุ่นนี้ ภายใต้แนวคิด “Be Your Own Star” ที่พัฒนาใหม่หมดอย่างเป็นทางการ ห้องโดยสารกว้างขวาง หรูหรา ทันสมัย สะดวกสบายยิ่งกว่า พร้อมใช้พรีเซนเตอร์คนดังอย่าง “ออรัลโด บลูม”

มาพร้อมเครื่องยนต์ขนาด 1.6 ลิตร รหัส 3ZZ-FE 109 แรงม้า, เครื่องยนต์ขนาด 1.8 ลิตร รหัส 1ZZ-FE 132 แรงม้า และขนาด 2.0 ลิตร รหัส 3ZR-FE 145 แรงม้า มีให้เลือกทั้งเกียร์ธรรมดา 5 สปีด และเกียร์อัตโนมัติ 4 สปีด รองรับน้ำมันแก๊สโซฮอล์ E20 รวมไปถึงมีรุ่นใช้ก๊าซธรรมชาติ CNG ให้เลือก

พอไมเนอร์เชนจ์ ปี 2553 เปลี่ยนเครื่องยนต์ใหม่ ขนาด 1.6 ลิตร รหัส 1ZR-FE 109 แรงม้า, เครื่องยนต์ขนาด 1.8 ลิตร รหัส 2ZR-FBE 139 แรงม้า และขนาด 2.0 ลิตร รหัส 3ZR-FE 145 แรงม้า มีให้เลือกเกียร์ธรรมดา 6 สปีด, เกียร์อัตโนมัติ 4 สปีด และเกียร์อัตโนมัติ Super CVT-i 7 สปีด รองรับน้ำมันแก๊สโซฮอล์ E85 ส่วนรุ่นใช้ก๊าซธรรมชาติ CNG ยังใช้เครื่องเดิม รหัส 3ZZ-FE

อีกทั้งยังมีรุ่นพิเศษต่างๆ ออกมาสร้างสีสันในตลาดตามมาตลอดของอายุรถรุ่นนี้ ที่ขายมาจนถึงต้นปี 2557 … ขณะนี้มีราคาจำหน่ายในตลาดรถมือสอง อยู่ประมาณ 150,000 – 430,000 บาท

2.Toyota Wish

Toyota-Wish

Toyota Wish (โตโยต้า วิช) นี่ก็ถือว่าเป็นรถที่น่าใช้อีกรุ่น เหมาะสำหรับคนมีครอบครัวแล้ว เพราะมีเบาะนั่งถึง 6-7 ที่นั่ง เปิดตัวในไทยเมื่อเดือนพฤศจิกายน 2546 รูปทรงดูทันสมัย สไตล์สปอร์ตหรู มาพร้อมเครื่องยนต์ขนาด 2.0 ลิตร รหัส 1AZ-FE 150 แรงม้า ส่งกำลังผ่านเกียร์อัตโนมัติ 4 สปีด Super ECT + Sport Sequential

มีการปรับโฉมไมเนอร์เชนจ์ในปี 2548 แต่เนื่องจากกลุ่มตลาดที่ซ้ำซ้อนกับ Toyota Innova และยอดขายที่ตกมาก Wish จึงขายในไทยแค่โฉมนี้โฉมเดียวเท่านั้น …

โดย Wish ในตลาดรถมือสอง อยู่ที่ประมาณ 260,000 – 550,000 บาท

3. Honda Civic (FD)

Honda-Civic-FD

Honda Civic (ฮอนด้า ซีวิค) โฉม “FD” เจเนอเรชั่นที่ 8 เป็นรุ่นที่เรียกได้ว่า แต่งซิ่งแต่งสวยได้เลย เพราะรูปทรงช่างสวยและทันสมัยไม่เคยเปลี่ยน เปิดตัวในไทยเมื่อเดือนพฤศจิกายน 2548 ด้วยเทคโนโลยีล้ำสมัยแทบทุกด้าน ไม่ว่าจะเป็นแพลตฟอร์มใหม่ ระบบกันสะเทือนใหม่ เครื่องยนต์และระบบเกียร์พัฒนาใหม่ และห้องโดยสารกว้างขึ้น และระบบความปลอดภัยระดับแนวหน้า

มาพร้อมเครื่องยนต์ใหม่ 1.8 ลิตร i-VTEC 140 แรงม้า และเครื่องยนต์ขนาด 2.0 ลิตร i-VTEC 155 แรงม้า มีให้เลือกทั้งเกียร์ธรรมดา 5 สปีด และอัตโนมัติ 5 สปีด

ขณะนี้มีราคาจำหน่ายในตลาดรถมือสอง (โฉมแรก ก่อนรุ่นไมเนอร์เชนจ์) อยู่ประมาณ 250,000 – 390,000 บาท

4. Ford Focus

Ford-Focus

สำหรับคนที่ชื่นชอบรถแนวยุโรป สำหรับ Ford Focus (ฟอร์ด โฟกัส) ก็ถือเป็นตัวเลือกที่น่าสนใจ เปิดตัวในไทยเมื่อเดือนตุลาคม 2548 สำหรับแบบ 4 ประตูซีดาน และ 5 ประตูแฮทช์แบค ในเดือนกุมภาพันธ์ 2549 ยนตรกรรมระดับยุโรป ซึ่งตอนนั้นฟอร์ดคุยว่าออกแบบพัฒนาทางด้านวิศวกรรมจากเยอรมันเลยทีเดียว

มาพร้อมเครื่องยนต์ขนาด 1.8 ลิตร Duratec 125 แรงม้า และขนาด 2.0 ลิตร Duratec 145 แรงม้า ส่งกำลังผ่านเกียร์อัตโนมัติ 4 สปีด แบบ Sequential Sports Shift (SSS) รองรับน้ำมันแก๊สโซฮอล์ E10 และในรุ่นไมเนอร์เชนจ์ ยังรองรับน้ำมันแก๊สโซฮอล์ E20 เป็นรายแรกในไทยอีกด้วย

Ford Focus มีราคาจำหน่ายในตลาดรถมือสอง อยู่ประมาณ 140,000 – 300,000 บาท

5. BMW Series 3 (E46)

BMW-Series-3

อันนี้เหมาะสำหรับคนชื่นชอบรถเยอรมนีโดยเฉพาะ สำหรับ BMW Series 3 (E46) (บีเอ็มดับเบิลยู ซีรี่ส์ 3) โฉม “ไฟตก” (ปี 2000-2003) และ “ไฟยก” (ปี 2003-2007) เปิดตัวในไทยเมื่อปี 2543 ปรับโฉมไมเนอร์เชนจ์ในปลายปี 2545 แม้ว่าจะเป็นรถสิบกว่าปี ไปจนเกือบๆ 20 ปีแล้ว แต่ก็ยังคงความน่าใช้ เอาไว้อยู่อย่างเต็มเปี่ยม เป็นรถที่สวย ช่วงล่างดี ตัวถังเบา ปลอดภัย จะหรูก็ได้ สปอร์ตก็ลงตัว

ในไทย E46 มีให้เลือกหลายหลายมากจริงๆ ตั้งแต่แบบ 4 ประตูซีดาน, 2 ประตูคูเป้ รวมไปถึงรุ่นเปิดประทุน (จำได้ว่า รุ่นแวกอน ในบ้านเราก็มี) รวมไปถึงรุ่นพลังแรงอย่าง M3 ก็มี แต่คงไม่มีในราคาไม่เกินสามแสนแน่ๆ โดยราคานี้ จะมีเฉพาะรุ่น 318i, 318iA SE, 323i, 323iA SE, 325i หรือ 330i มากกว่าครับ

เครื่องยนต์มีให้เลือกทั้งรหัส M43 4 สูบ 8 วาล์ว, N42 4สูบ 16 วาล์ว (จะมีในรุ่นไฟยก), N46 4สูบ 16 วาล์ว (มาในโฉมไมเนอร์เชนจ์) , M52TU 6 สูบ และ M54 6 สูบ

โดย BMW Series 3 (E46) ในตลาดรถมือสอง อยู่ที่ประมาณ 210,000 – 500,000 บาท

Carro หวังว่า รถ 5 รุ่นที่เรานำเสนอ คงจะถูกใจท่านไม่มากก็น้อยครับ …

7-11-Fuel-Cell-Truck

เซเว่น อีเลฟเว่น ญี่ปุ่น หรือที่รู้จักกันดีในนาม “7-11” ร้านสะดวกซื่อที่มีสาขามากที่สุดในญี่ปุ่น (มากถึง 19,638 สาขาทั่วประเทศ) และมีสาขาอยู่ไปทั่วโลก และมีอยู่แทบทุกซอยในบ้านเรา

ได้จับมือกับ โตโยต้า ในการใช้รถบรรทุกแบบ Fuel Cell Truck ที่ใช้พลังไฮโดรเจนเป็นเชื้อเพลิงในการขับเคลื่อน ขนส่งผลิตภัณฑ์ต่างๆ ในอนาคต เพื่อต้อนรับสู่สังคม Low Carbon Society โดยลงนามในสัญญาไปแล้วเมื่อวันที่ 9 สิงหาคม 2560 ที่ผ่านมา

7-11-Toyota-Full-Cell-Truck

7-Eleven และ Toyota Full Cell Truck

ทั้งนี้ ทางโตโยต้า ได้นำเสนอรถบรรทุก ฮีโน่ เอฟซี (Hino FC = Fuel Cell) พื้นฐานจาก Hino Dutro พร้อมระบบขับเคลื่อนด้วยพลังงานไฮโดรเจน (FC Generators) ขนาด 600 ลิตร (3 ถัง) น้ำหนักรวม 7 กิโลกรัม และมอเตอร์ไฟฟ้า ให้แรงม้าสูงสุด 155 แรงม้า สามารถวิ่งได้ระยะทางมากถึง 200 กิโลเมตร ต่อการเติมหนึ่งครั้ง เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ลดก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์

7-11-Toyota-Full-Cell-Truck-Energy

แหล่งที่มาของพลังงาน

พร้อมใช้พลังงานจาก Power Supply ในการจ่ายกระแสไฟให้ระบบทำความเย็น และตู้แช่แข็งภายในรถ สำหรับขนส่งของสดและอาหาร พร้อมพัฒนาระบบแบตเตอรี่แบบชาร์จไฟได้ และสามารถใช้เป็นแบตเตอรี่ฉุกเฉินได้ กรณีเกิดภัยพิบัติ

7-11-Delivery-Hijet-Truck

รถขายของเคลื่อนที่ ของ 7-11 ในญี่ปุ่น

จากแหล่งข่าวของ Nihon Keizai ได้รายงานว่า ทางเซเว่นฯ มุ่งดำเนินธุรกิจควบคู่ไปกับความรับผิดชอบต่อสิ่งแวดล้อม ด้วยการลดการสร้างมลภาวะต่อสิ่งแวดล้อม พร้อมนำรถบรรทุกที่ใช้ระบบ Hybrid มาใช้งานในการขนส่งของบริษัทฯ มากขึ้น จากในปัจจุบันที่ 15% เป็น 20% ในปี 2020

7-11-EV-Car-Delivery
“COMS” by Toyota Auto Body รถพลังงานไฟฟ้าขนาดเล็ก ที่ 7-11 นำมาใช้ก่อนหน้า

สังคมคาร์บอนต่ำ (Low Carbon Society) เป็นการสรรสร้างสังคมของการลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ในทุกรูปแบบ หรือในกิจกรรมต่างๆ ที่เกิดจากการดำรงชีวิตปกติของมนุษย์ จากกระบวนการผลิตของโรงงานหรือภาคอุตสาหกรรมต่างๆ เพื่อจะได้อยู่ร่วมกันในสังคมที่มีคุณภาพชีวิตที่ดี

โดยเน้นให้ผู้คนในสังคมมีการเลือกใช้เทคโนโลยีหรือการพัฒนาเทคโนโลยีให้เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม ลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก ใช้พลังงานอย่างมีประสิทธิภาพ โดยไม่ทำให้เกิดค่าใช้จ่ายเพิ่ม

แหล่งที่มา :