volvo-s60

Review Volvo S60 – ซีดานเรียบหรู เอกลักษณ์เฉพาะในแบบวอลโว่

ซีดานเรียบหรู เอกลักษณ์เฉพาะในแบบวอลโว่ “ทุกชีวิตปลอดภัยในวอลโว่ …..สโลแกนที่อยู่ยงคงกระพันของรถยนต์จากประเทศสวีเดน แม้ช่วงหลังๆจะเงียบๆนิ่งๆแต่ก็ไม่ได้หายไปไหน

ยังคงทำตลาดในบ้านเราแบบค่อยเป็นค่อยไป แถมข่าวล่ามาเร็วก็คือเพิ่งจะมีการปรับโครงสร้างองค์กรการบริหารภายใน ซึ่งหลังจากนี้ก็น่าจะมีความชัดเจน และมีแนวทางตลาดออกมาแข่งขันกับคู่ต่อสู้ในกลุ่มเดียวกันได้อย่างสมน้ำสมเนื้อ

สำหรับผู้เขียนเองเพิ่งจะมีโอกาสได้สัมผัสและทดลองนั่งวอลโว่ ในรุ่น  S 60 T5 (220 HP) จริงๆในรุ่นนี้มีให้เลือกอีกหนึ่งตัวคือ S60 T4F (180HP) ความแตกต่างคือขนาดของเครื่องยนต์ แรงม้า ที่ในรุ่น S 60 T5  มาพร้อมเครื่องยนต์ที่ใหญ่กว่า  1969 ซีซี.แรงม้าอยู่ที่ 220 HP ขณะที่รุ่น S60 T4F มาพร้อมกับขุมพลัง 1596 ซีซี. 180 แรงม้า

ส่วนตัวเครื่องยนต์ของทั้งคู่รองรับเบนซิน สนนราคาในรุ่น  S 60 T5 อยู่ที่ 2,449,000 บาท

โดยรวมแล้วในความคิดเห็นของผู้เขียนเอง มองว่าในแง่ดีไซน์ภายนอกนั้นหากเทียบกับคู่แข่งในเซ็กเมนต์เดียวกัน แล้วผู้เขียนแอบเทใจให้กับคู่แข่งมากกว่า เพราะคู่แข่งอีก 2 แบรนด์อย่างบีเอ็มดับเบิลยู และเมอร์เซเดส-เบนซ์ในช่วงหลังๆมีการออกแบบรถให้ดูหนุ่มขึ้น สปอร์ตขึ้น

ขณะที่วอลโว่ นั้นแม้จะใส่ลูกเล่นหรือดีไซน์ใหม่แต่ก็ยังมีบุคลิกของผู้ใหญ่ใจดี สุขุม นุ่มลึกมากกว่า มาสำรวจภายในห้องโดยสาร แน่นอนว่ารถระดับนี้ ตัววัสดุอุปกรณ์ต่างๆนั้นค่อนข้างดูดี มีระดับ การดีไซน์หรือการออกแบบก็ไม่มากไปไม่น้อยไป ผู้เขียนเองแอบชอบใจกับภายในที่ดูสปอร์ต มากกว่าดีไซน์ภายนอกเสียอีก

โดยเฉพาะเบาะที่นั่งขนาดใหญ่โตในคู่หน้า นั่งสบาย โอบกระชับ การตัดเย็บเบาะที่นั่งดูใส่ใจในทุกรายละเอียด

เรียกว่าฝีมือกริ๊บจริงๆ ตรงแผงคอนโซลกลางยังเต็มไปด้วยสารพัดปุ่ม โดยมีหน้าจอสำหรับและเป็นที่ตั้งของระบบแอร์คอนดิชั่นที่มีระบบ Electronic Climate Control ช่วยรักษาอุณหภูมิในห้องโดยสารและยังสามารถปรับแยกกันได้ระหว่างคันขับและผู้โดยสารด้านหน้า ไล่ลงมาตรงกลางระหว่างเบาะคู่หน้าจะมีที่วางแก้ว ที่พักแขนซึ่งสามารถเก็บของต่างๆซึ่งในบริเวณนี้นี่เองที่จะมีช่องเสียบยูเอสบีซ่อนตัวอยู่

จุดเด่นหรือเทคโนโลยีที่วอลโว่พยายามนำเสนอในรถหลายๆรุ่นก็ถูกนำมาใส่ไว้ในรถรุ่นนี้เช่นเดียวกัน โดยเฉพาะเทคโนโลยี Sensus ที่จะรวบรวมความบันเทิงเริงใจทั้งหมดมาไว้ในระบบนี้ แถมยังสามารถเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตผ่านเทคโนโลยีนี้ได้อีกต่างหาก ซึ่งจุดนี้ผู้เขียนแอบเสียดายที่ยังไม่ได้ทดลองเล่นระบบดังกล่าว  โดยระหว่างการเดินทางมัวแต่ฟังเพลงจากวิทยุรวมไปถึงเปิดซีดีตามปกติ ก็เลยไม่ได้ทดสอบระบบดังกล่าวว่าเสถียรหรือใช้งานยากง่ายอย่างไร

อย่างไรก็ตามระบบเครื่องเสียงที่ติดตั้งมาค่อนข้างจะถูกใจ เปิดทีก็บูม บูม  ลื่นหูดีแท้ ช่วยให้การเดินทางไม่เงียบเหงาและไม่น่าเบื่อ โดยรวมในแง่ของดีไซน์ หากวัดเฉพาะภายนอกนั้น ตัวผู้เขียนมองว่าเป็นรถที่มีสไตล์เรียบหรู ไม่ได้ขี้ริ้วขี้เหร่ แต่ก็ไม่ได้ว้าว!!! ส่วนภายในนั้น ถูกใจผู้เขียนมากกว่าเพราะให้อารมณ์สปอร์ต ดูวัยรุ่น ล้ำสมัย เอาเป็นว่าใครที่อยากเป็นเจ้าของคงต้องไปทดลองขับกันดูว่าแท้จริงแล้วบุคลิกของรถรุ่นนี้เป็นอย่างไร จะถูกใจหรือไม่ จะหนุ่มหรือจะแก่ ก็ลองไปทดลองขับและสัมผัสกันได้ที่โชว์รูมวอลโว่ทั่วประเทศ

mercedes-benz-gle

Review Mercedes-Benz GLE-Class ครอสโอเวอร์หรู ราคาเริ่ด

ช่วงหลังๆ ดูเหมือนค่ายดาวสามแฉก จะมีรถรุ่นใหม่-ดีไซน์เก๋รๆ มาทำตลาดในบ้านเรามากขึ้น จากเดิมที่เน้นคลาส ซี-คลาส, อี-คลาส เอส-คลาส ทุกวันนี้ก็จัดเต็ม มีทั้งเอเอ็มจี, เอ, บี, ชี, ซีแอลเอ, ซีแอลเอส, อี, จีแอล, จีแอลเอ, จีแอลอี, เอ็ม, เอส, เอสแอลซี และวี เรียกได้ว่าครบ!!ตั้งแต่รถเก๋งคันเล็กดีไซน์พอเหมาะ ยันรถตู้ขนาดใหญ่ดีไซน์หรู ล่าสุดได้มีโอกาสสัมผัสกับรถในกลุ่มเอนกประสงค์ เอสยูวีหรือที่เบนซ์ให้คำนิยามว่าเป็นครอสโอเวอร์ ในรุ่น เมอร์เซเดส-เบนซ์ จีแอลอี 450 เอเอ็มจี คูเป้

แรกพบสบตากับเมอร์เซเดส-เบนซ์ จีแอลอี 450 เอเอ็มจี คูเป้ บอกเลยว่าโลโก้ดาวสามแฉกขนาดใหญ่นี่เตะตามาก ตัวกระจังหน้าเรื่อยไปจนถึงไฟหน้าทรงสปอร์ตแบบ  Avant-garde ไม่เพียงเท่านั้นไฟหน้ายังมาพร้อมเทคโนโลยีใหม่แบบเต็มรูปแบบ LED Intelligent Light System และเมื่อไล่ระดับสายตามมายังด้านข้างก็มีจุดดึงดูดสุดๆนั่นก็คือล้อแม็กของชุดแต่งเอเอ็มจีแบบ 22 นิ้ว 5 ก้านคู่ นี่ดูดุดัน เข้มมาก เมื่อสำรวจตรวจสอบมาถึงด้านหลังก็จะพบกับลิ้นสปอยเลอร์และแถบแถบโครเมียมที่ลาดยาว และไฟท้ายแอลอีดีซ้าย-ขวาก็ช่วยให้ดีไซน์ด้านหลังของรถคันนี้ดูไม่เทอะทะมากเกินไป

มาดูกันที่ภายใน สำหรับห้องโดยสารของ เมอร์เซเดส-เบนซ์ จีแอลอี 450 เอเอ็มจี คูเป้ โดยรวมค่อนข้างกว้างขวาง มีมิติการตกแต่งภายในที่ดูหรูหรา แต่แฝงความดุดันเล็กน้อย  โดยเฉพาะอย่างยิ่งเบาะหนังสีดำทรงสปอร์ต และเช่นเคยเบาะสามารถปรับให้เหมาะสมกับสรีระของเราได้ด้วยระบบไฟฟ้า และยังมีฟังก์ชั่นจดจำเหมือนดังเช่นรถรุ่นอื่นๆของเบนซ์ ส่วนพวงมาลัยเป็นแบบมัลติฟังก์ชั่นที่เต็มไปด้วยปุ่มต่างๆถึง 12 ปุ่มเพื่อเอื้อต่อการใช้งานง่าย และแอบเพิ่มลุกส์ให้ดูดุด้วยการหุ้มหนังให้ดูสปอร์ตไล่ระดับสายตามาที่แผงคอนโซล ที่มีลายไม้มาแซมๆ

และอย่างที่กล่าวไว้ รถคันนี้เป็นรถที่ดูหรูหรา แต่แอบดุในตัว ซึ่งความดุจะเป็นแบบผู้ใหญ่ ดูน่าเกรงขาม โดยแผงคอนโซลด้านหน้ามีจอแสดงผลขนาดใหญ่ 20.3 เซนติเมตร ที่จะช่วยเหลือผู้ขับขี่ทั้งการเป็นเนวิเกเตอร์,การต่อบลูธูท,การเปิดดูภาพถ่ายผ่านยูเอสบีหรือเอสดีการ์ด,การถอยจอดรถเพราะมีกล้องด้านหลังและยังมีกล้องแสดงภาพแบบ 360 องศาอีกด้วย

ส่วนความบันเทิงก็สามารถเชื่อมต่อระบบมัลติมีเดียในรูปแบบต่างๆทั้งอินเทอร์เน็ต,วิทยุ-ซีดีเพื่อฟังเพลง ซึ่งความโดดเด่นที่ผู้ขับขี่และผู้โดยสารที่ชอบฟังเพลงแบบดังๆเปิดแบบตูมๆอย่างเราก็ไม่ต้องห่วง เพราะรถคันนี้มาพร้อมระบบเสียงรอบทิศทางนั้นเอง

ส่วนคอนโซลตรงกลางที่คั่นระหว่างผู้ขับขี่และผู้โดยสาร นอกเหนือจากจะมีช่องเก็บของแล้ว ยังเป็นที่รวมของปุ่มอีกแล้ว โดยเป็นปุ่มปรับระบบช่วงล่างแบบต่างๆให้เหมาะสมกับสภาพท้องถนนที่ผู้ขับขี่จะต้องพบเจอ  จุดดึงดูดสายตาของรถคันนี้ที่ผู้ขับขี่หรือผู้โดยสารจะต้องมองอีกประการก็คือหลังคาซันรูฟขนาดใหญ่ สามารถเปิด-ปิดได้ด้วยระบบไฟฟ้า และด้วยสภาพอากาศร้อนๆแบบบ้านเรา ก็ไม่ต้องกังวลเพราะมีแผงบังแดดที่ทำงานด้วยระบบไฟฟ้าเช่นเดียวกัน เรียกว่ากดปุ๊ป มาปั๊ป และแผงดังกล่าวยังดูเนียนตาไม่ได้ดูแปลกแตกต่างไปกับตัวรถเลย

ลองมาดูพื้นที่ห้องโดยสารด้านหลังกันนิดหนึ่ง สำหรับตัวเบาะเป็นสีเดียวกับเบาะด้านหน้า ส่วนความกังวลใจว่าพื้นที่ด้านหลังจะเล็กไปไหม หรือ หากผู้โดยสารที่ตัวสูงใหญ่เข้ามานั่งแล้วจะดูอึดอัดไหม ก็ต้องบอกว่า อาจจะมีบ้างเล็กน้อยเพราะดีไซน์การออกแบบของตัวรถ ที่หลังคาโค้งลาดลงมา แต่โดยรวมๆก็ต้องบอกว่า นั่งได้ สบาย ไม่ได้รู้สึกติด หรือ อึดอัดมากเท่าไร และเมื่อเปิดดูฝากระโปรงรถเพื่อสำรวจพื้นที่จัดเก็บสัมภาระต่างๆก็ถือว่ากว้างขวาง เพียงพอกับมนุษย์ (ที่ชอบ) ขนได้อย่างแน่นอน

เรียกได้ว่าบอกเล่ากันพอหอมปาก หอมคอ ข้อมูลต่างๆโฟกัสเฉพาะดีไซน์การออกแบบและภายใน-ภายนอก หากจะสมรรถนะ หรือ การตอบสนองต่างๆสามารถอ่านรีวิวข้างเคียงได้ แต่โดยสรุปหากคุณผู้ชายที่กำลังมองหารถอเนกประสงค์ที่ขับแล้วดูหรูหรา แอบดุเล็กน้อย และรองรับไลฟ์สไตล์ทั้งการทำงานในเมือง และการขับขี่ท่องเที่ยวทั้งในแบบโสดๆ หรือแบบครอบครัวที่จะเดินทางไปที่ต่างๆในวันหยุดเสาร์-อาทิตย์ เจ้าเมอร์เซเดส-เบนซ์ จีแอลอี 450 เอเอ็มจี คูเป้ ก็ดูจะเป็นอีกหนึ่งทางเลือกที่น่าสนใจไม่น้อย ก็เอาเป็นว่า “เคาะ” หรือ “ดีล” ไปเลยสำหรับรถรุ่นนี้ สนนราคาสวยๆอยู่ที่ 7.99 ล้านบาทเท่านั้น!!!

Buy-Used-Car-Makes-Happy

“มือใหม่หัดซื้อรถมือสอง” คำนี้น่าจะเหมาะกับผู้ซื้อหน้าใหม่ ที่ตกลงปลงใจ และเห็นข้อดีต่างๆ ของการใช้รถมือสอง

3-Step-For-Buy-Used-Car

คำถามต่อมาที่ผู้ซื้อมักสงสัย คือ “จะซื้อรุ่นอะไรดี แล้วจะหาซื้อรถมือสองดีๆ ที่ไหนดี..?” หากเป็นมือใหม่ไม่รู้อะไรเลย มีความรู้สึกว่ายุ่งยาก ถ้าไม่มีคนแนะนำให้คำปรึกษาบางคนถอดใจเห็นว่ามันยากนักก็ซื้อป้ายแดงไปจบๆ แต่ถ้างบประมาณเป็นปัจจัยหลักที่จะซื้อรถสักคันมาใช้งานละ อยากให้ใจเย็นๆ ก่อน …

วันนี้ CARRO จะมาบอกถึงการหาและเลือกรถมือสองแบบเข้าใจง่าย ผู้ซื้อจะได้รถมือสองที่มีคุณภาพ คุ้ม!! ทุกบาททุกสตางค์ถูกใจ ทั้งสภาพรถและราคา

3-Step-For-Buy-Used-Car

1. เลือกประเภทรถให้เหมาะกับการใช้งาน

รถประเภทไหนที่จะตอบโจทย์การใช้งานในชีวิตประจำวัน ข้อนี้เป็นสิ่งแรก ที่ผู้ซื้อต้องถามตัวเองให้ชัดเจน ว่าอยากได้รถประเภทใด รถยนต์มือสองแต่ละประเภท แตกต่างที่การใช้งานและราคา!! ถ้าเลือกรถที่ไม่ตรงกับการใช้งาน ก็เหมือนใช้รถได้ไม่คุ้มกับเงินที่เสียไป การเลือกรถไม่ใช่แค่ชอบอย่างเดียว ต้องดูการใช้งานของเราด้วย

Tips :: ผู้ซื้อเป็นคนผู้ใช้รถประเภทไหน เดินทางไกลออกต่างจังหวัดบ่อยไหม หรือใช้รถแค่ในเมือง ลองไปดูประเภทรถที่จะเหมาะกับผู้ซื้อ

–  รถ Eco-Car :: เหมาะสำหรับใช้งานในเมือง รถติดๆ ประหยัดน้ำมันกว่ารถประเภทอื่น กินน้ำมันน้อยเพราะรถขนาดเล็ก แต่ด้วยเหตุนี้ทำให้ไม่เหมาะกับการโดยสารหลายๆ ท่าน อึดอัดไม่เหมาะสำหรับออกต่างจังหวัด หรือใช้รถความเร็วสูง

–  รถ Sedan :: รถเก๋งจะใหญ่ขึ้นมากว่า Eco-Car ห้องโดยสารจะนั่งสบายกว่า อัตราการกินน้ำมันมากกว่า ขับในเมืองก็คล่องตัวดีกว่า เมื่อเทียบกับรถกระบะ หรือ SUV

–  รถ SUV :: ด้วยความสูงและช่วงล่างที่ดูดีกว่ารถเก๋ง Sedan ทำให้เหมาะมากสำหรับขับเที่ยวต่างจังหวัด แต่อาจจะใหญ่เทอะทะเกินไปสำหรับขับในเมือง ผู้ขับต้องมีการปรับตัวกันบ้าง

–  รถกระบะ :: รถอเนกประสงค์ สำหรับการคนที่ต้องการขนของมากๆ ประหยัดกว่ารถ Sedan, SUV แต่เรื่องห้องโดยสารอาจนั่งไม่สบายเท่า

3-Step-For-Buy-Used-Car

2.  ช่องทางเจอรถมือสองคุณภาพคือ เว็บไซต์

หลังจากรู้แล้วว่าผู้ซื้อต้องการซื้อรถรุ่นอะไร ต่อมาก็คือการขั้นตอนที่เรียกว่า “ค้นหารถ” มีหลายวิธีไม่ว่าจะเป็น ซื้อรถมือสองต่อจากคนรู้จัก, ไปเดินดูจากผู้ประกอบการรถยนต์ใช้แล้ว (เต็นท์) ใกล้บ้านหรือข้อสุดท้ายน่าจะสะดวกและดีที่สุดคือค้นหาจาก Internet (Carro) ที่จะมีรถมือสองให้เลือกในทุกประเภทรถ ทุกยี่ห้อ สามารถหารถได้ตามปีรถที่ต้องการ เปรียบเทียบราคารถก็สามารถเลือกได้ ว่าอยากได้รถมือสองในงบประมาณเท่าไร จะช่วยให้ผู้ซื้อเจอรถมือสองที่ถูกใจ ตามงบประมาณที่ตั้งไว้

Tips :: เว็บไซต์ขายรถมือสองมีมากมายหลายเว็บไซต์ ซึ่งเว็บที่ดีจะต้องช่วยผู้ซื้อให้เจอรถที่มีคุณภาพ ช่วยตรวจสอบเบื้องต้นเกี่ยวกับรถก่อนจะได้ลงขาย ตรวจสอบมาตรฐานของรถและข้อมูลผู้ขาย ฟังก์ชั่นการใช้งานของเว็บไซต์ ต้องช่วยการเปรียบเทียบรถแต่ละคันในตลาด ที่ผู้ซื้อสนใจได้ดี

3-Step-For-Buy-Used-Car

3. ดูราคากลางที่สมเหตุสมผล

เมื่อผู้ซื้อได้ประเภทรถ รุ่นที่ต้องการ มีงบประมาณในใจ คำถามต่อมา คือ ราคากลางของรถรุ่นนั้นอยู่ที่เท่าไหร่?

การสำรวจราคากลางตลาด เป็นสิ่งที่สำคัญ เพื่อจะรู้ว่ารถรุ่นที่กำลังมองหานั้น ราคาควรจะอยู่ที่เท่าไหร่ การดูราคากลางต้องเปรียบเทียบรถที่ รุ่นเดียวกัน โฉมเดียวกัน ปีเดียวกัน เปรียบเทียบกับราคาหลายๆ คัน ก็จะเห็นว่ารถรุ่นนั้นราคาเฉลี่ยประมาณเท่าไร บางคันราคาแพงกว่าราคาตลาด อาจเพราะว่าเจ้าของไม่ได้ตั้งใจจะขายรถอยู่แล้ว บวกกับมั่นใจในสภาพรถของตน ขายได้ก็ขาย ขายไม่ได้ก็เก็บไว้ใช้ ไม่เดือดร้อนอะไร หรือมีอุปกรณ์ตกแต่งเพิ่มเติม ที่เปลี่ยนมาจากรถเดิม เช่น ล้อ ชุดแต่ง หรือเครื่องเสียง จึงทำให้ราคามีความแตกต่างกับรถคันอื่น

3-Step-For-Buy-Used-Car

Tips :: รถทุกคันมีราคาเสื่อมลดลงไปแต่ละปี แต่ละรุ่นองค์ประกอบที่จะทำให้รถ รุ่นเดียวกัน ปีเดียวกัน มีราคาแตกต่างกัน คือ

สภาพภายนอก สีรถ สภาพตัวถังมีผลต่อราคา รถที่ไม่เคยชนหนัก รักษาดูแลสีรถเป็นอย่างดี ราคาก็ย่อมแพงกว่ารถที่ไม่เคยดูแล

เลขไมล์ เป็นตัวที่บอกถึงการใช้งานของรถ ว่าเจ้าของรถใช้งานรถไปมากน้อยแค่ไหน เลขไมล์น้อย วิ่งน้อยก็ต้องราคาแพงกว่ารถที่เลขไมล์สูง

สภาพภายใน อีกปัจจัยที่ทำให้รู้ว่าเจ้าของรถใช้งานรถมากแค่ไหน รอยสกปรกจนเช็ดไม่ออก จอดรถตากแดดไว้เป็นประจำจนทำให้ภายในละลายสภาพแย่ ก็ส่งผลทำให้ราคารถไม่ดี

ราคาในใจของผู้ขาย ข้อนี้เป็นปัจจัยที่ไม่มีกฎตายตัว เจ้าของรถบางคันตั้งราคาไว้สูง เพราะคิดว่าตนเองดูแลรถเป็นอย่างดี รถบางคันราคาต่ำกว่าราคากลาง อาจเป็นเพราะเจ้าของต้องการรีบขาย

3-Step-For-Buy-Used-Car

ทั้ง 3 ขั้นตอนนี้ ช่วยให้ผู้ซื้อเจอรถรุ่นที่ต้องการ เหมาะสมกับการใช้งาน สภาพดี ในราคาที่สมเหตุสมผล หาได้ไม่ยาก เว็บไซต์ขายรถมือสองที่ดีต้องเป็นผู้ช่วยเบื้องต้นให้แก่ผู้ซื้อ ในส่วนของรถที่มาลงประกาศขาย มีข้อมูลถูกต้อง ใช้งานง่ายและข้อมูลเทคนิคการเลือกให้ผู้ซื้อ 

สำหรับใครที่อ่านจบแล้ว รู้สึกอยากขายรถคันเดิมแบบด่วนๆ เพื่อนำเงินไปซื้อรถมือสองในฝันคันใหม่ ปรึกษา CARRO หรือขายรถกับ CARRO ได้ครับ โดยได้ราคาที่คุณพอใจ พร้อมปิดการขายภายใน 24 ชั่วโมง เชิญเข้าไปกรอกรายละเอียดได้ที่ https://th.carro.co/sell-car/express หรือสอบถามรายละเอียดเพิ่มได้ใน Fanpage “CARRO Thailand” ครับผม

Carro-Review-Honda-City-CNG
ถ้าจะพูดถึง Honda City CNG (ฮอนด้า ซิตี้ ซีเอ็นจี) ที่เปิดตัวออกมาตอบรับความต้องการ ในช่วงเดือนสิงหาคม 2557 สำหรับกลุ่มลูกค้าที่ต้องการประหยัดเงินในกระเป๋า มีงบประมาณมีอยู่เพียงจำกัด ไม่อยากจ่ายเงินผ่อนกับดอกเบี้ยในแต่ละเดือนมาก การมองหา Honda City CNG มือสอง ก็ถือเป็นทางออกที่ดี
Review-Honda-City-CNG

แม้ว่าในช่วงหลัง ราคาน้ำมันเริ่มปรับลดลง (หรือว่า? คนไทยคงรับกันได้แล้ว กับเรื่องน้ำมันเบนซินแพงจนชินชา) ทำให้รถที่ติดตั้งก๊าซธรรมชาติ CNG เริ่มมีบรรดา Maker ผลิตออกจากโรงงานสู่ตลาดน้อยลงเรื่อยๆ จนในที่สุด Honda ก็เลิกผลิต Honda City CNG ไปในช่วงประมาณปลายปี 2559

แต่ถ้าคุณยังสนใจที่จะมองหา Honda City CNG มาใช้งาน เราขอแนะนำในรีวิวนี้ครับ.

Review-Honda-City-CNG

รูปลักษณ์ การดีไซน์ ของฮอนด้า ซิตี้ ซีเอ็นจี พูดง่ายๆ ก็คือ ฮอนด้า ซิตี้ ในรุ่นปกติ แตกต่างกันแค่รถรุ่นนี้ มีการติดตั้งพลังงานทางเลือกซีเอ็นจี ให้ลูกค้าได้เลือก และจะมีเพียงสเปคบางอย่างที่แตกต่างกันนิดหน่อย

โดยหน้าตาของซีตี้ ซีเอ็นจี ไฟหน้าจะเป็นแบบมัลติรีเฟลกเตอร์ ถ้าเป็นรุ่น S ให้สังเกตว่าจะเป็นสีดำ แต่ถ้าเป็นรุ่น V จะเป็นแบบโครเมียม ดูหรูหราขึ้นมาหน่อย เช่นเดียวกับกระจังหน้า และคิ้วกระโปรงด้านท้าย ถ้าเป็นรุ่น V จะเป็นแบบโครเมียม แต่ถ้ารุ่น S จะขึ้นอยู่กับสีรถแต่ละคัน

Review-Honda-City-CNG

และจุดที่บ่งบอกว่ารถรุ่นนี้คือซิตี้ ซีเอ็นจี ก็คือป้ายสัญลักษณ์ CNG ที่ติดตั้งอยู่ใกล้ๆ กับป้าย i-VTEC ตรงฝากระโปรงด้านหลังเหนือไฟท้าย ส่วนล้ออัลลอยรถคันนี้ เป็นแบบ 15 นิ้ว ดูดีตามมาตรฐาน

Review-Honda-City-CNG

มิติตัวรถ ยาว 4,440 มม. กว้าง 1,695 มม. สูง 1,471 มม. ระยะฐานล้อ 2,600 มม.

Review-Honda-City-CNG

Review-Honda-City-CNG

เปิดมาดูภายในห้องโดยสารสีเบจ ทำให้ดูกว้างขวาง โปร่ง โล่ง ส่วนการตกแต่งระหว่างรุ่นปกติและรุ่นท็อปต่างกันเพียงเล็กน้อย นอกจากนั้นแล้ว ตัวเรือนไมล์หรือหน้าจอแสดงผลนั้น ถ้าเป็นรุ่นท็อป จะเป็นสีฟ้า ที่แสดงข้อมูลผลการขับขี่ ดูง่าย ไม่ปวดตา แต่ถ้าเป็นรุ่นปกติจะเป็นสีส้ม

Review-Honda-City-CNG

Review-Honda-City-CNG

จุดที่แตกต่างกันอีกอย่างก็คือ พวงมาลัย ที่ดีไซน์ไม่เหมือนกัน แต่คุณสมบัติไม่ได้ต่างกัน สามารถปรับระดับระดับได้ 4 ทิศทาง ใกล้ๆ กันกับพวงมาลัย จะมีปุ่มสตาร์ทเครื่องยนต์อัจฉริยะ และยังมีปุ่มเลือกการขับขี่แบบน้ำมัน หรือแบบก๊าซซีเอ็นจี ซึ่งจะมีไฟแสดงสถานะการทำงานอยู่ว่าตอนนี้ใช้ระบบอะไร และยังมีไฟแสดงสถานะปริมาณก๊าซ CNG ให้ผู้ขับขี่ได้รับทราบ

Review-Honda-City-CNG

ส่วนเบาะของผู้ขับขี่ ก็ปรับ สูง-ต่ำ ตามความถนัดของแต่ละคนได้ ไม่ต้องห่วงเรื่องความสะดวกสบาย เพราะหากใครเคยนั่งฮอนด้า ซิตี้ ในรุ่นปกติยังไง รุ่นนี้ก็เป็นแบบนั้น โดยพื้นที่ห้องโดยสารด้านหน้ากว้างขวาง ทัศนวิสัยดี ส่วนพื้นที่เบาะด้านหลังก็นั่งสบายแม้ผู้โดยสารจะมีรูปร่างสูงใหญ่

และสิ่งที่หลายคนกังวลคือ พื้นที่เก็บของด้านหลัง เนื่องจากต้องกันพื้นที่ส่วนหนึ่งในการจัดเก็บถังก๊าซซีเอ็นจี งานนี้บอกเลยว่าไม่ต้องกังวล คุณยังสามารถที่จะขนสัมภาระต่างๆ ของคุณได้

Review-Honda-City-CNG

ส่วนอุปกรณ์ความบันเทิงต่างๆก็มีให้ทั้งวิทยุ, CD แบบ 1 แผ่น, MP3 และลำโพงอีก 4 ตัว สามารถเชื่อมต่อโทรศัพท์แบบบลูทูธได้ พร้อมกับมีช่องเชื่อมต่อ พวก USB/AUX หรือพวกอุปกรณ์ต่อพ่วงต่างๆ ได้

เอาเป็นว่าเฉพาะหน้าตา รูปลักษณ์ ทั้งภายนอกภายใน ถือว่าสวยงาม และครบครัน ตามมาตรฐานของฮอนด้า!

Review-Honda-City-CNG

ฮอนด้า ซิตี้ ซีเอ็นจี มาพร้อมเครื่องยนต์ขนาด 1.5 ลิตร แบบ 4 สูบ SOHC 16 วาล์ว i-VTEC รองรับทั้งน้ำมันเชื้อเพลิงและก๊าซ CNG โดยระบบน้ำมัน ให้แรงม้าสูงสุด 117 แรงม้า ที่ 6,000 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 146 นิวตัน-เมตร ที่ 4,700 รอบ/นาที

ส่วนระบบก๊าซ CNG ให้แรงม้าสูงสุด 102 แรงม้า ที่ 6,600 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 127 นิวตัน-เมตร ที่ 4,800 รอบ/นาที ระบบจ่ายเชื้อเพลิงเป็นแบบหัวฉีด ส่งกำลังผ่านเกียร์ CVT แบบใหม่ ที่ได้รับการพัฒนาภายใต้เทคโนโลยีเอิร์ธดรีม ขยายอัตราทดเกียร์ให้กว้างขึ้น พร้อมระบบ G-Design Shift ช่วยให้อัตราการใช้น้ำมันเชื้อเพลิงมีประสิทธิภาพ พร้อมอัตราเร่งที่ตอบสนองดียิ่งขึ้น และรองรับพลังงานทางเลือก E20

Review-Honda-City-CNG

ถังก๊าซ CNG มีความจุ 65 ลิตร ผลิตจากเหล็กคุณภาพสูง ทนทานต่อก๊าซแรงดันสูง และออกแบบจุดยึดถังก๊าซและโครงสร้างตัวถังแน่นหนาตามมาตรฐานความปลอดภัย พร้อมแผงกั้นถังก๊าซเพื่อแบ่งสัดส่วนพื้นที่ติดตั้งถังก๊าซและห้องสัมภาระด้านท้าย อีกทั้งช่วยป้องกันแรงกระแทกบริเวณห้องสัมภาระด้านท้าย

Review-Honda-City-CNG

สำหรับตำแหน่งหัวรับเชื้อเพลิง CNG ได้รับการออกแบบให้อยู่ใกล้กับจุดเติมน้ำมัน พร้อมลิ้นป้องกันการไหลย้อนกลับของก๊าซ มีสวิตช์เลือกปรับเปลี่ยนการใช้พลังงานได้ระหว่างน้ำมันและก๊าซ CNG พร้อมไฟแสดงสถานะการใช้และปริมาณก๊าซ โดยกล่องควบคุมอิเล็กทรอนิกส์ (ECU) จะทำหน้าที่ประมวลผลการจ่ายก๊าซและช่วยตัดการจ่ายก๊าซ CNG ได้อย่างแม่นยำ หากเกิดเหตุฉุกเฉินหรือระบบทำงานผิดปกติ และระบบกันสะเทือนหน้า-หลังที่ได้รับการออกแบบเฉพาะสำหรับระบบ CNG เพื่อการทรงตัวที่ดีมั่นคงในทุกการขับขี่ 

สำหรับจุดเติมของน้ำมัน และก๊าซธรรมชาติ CNG ที่อยู่ใกล้กัน ทั้งเติมแบบน้ำมันและแบบซีเอ็นจี เรื่องความปลอดภัยของซีเอ็นจีนั้น จุดนี้มองว่าหายห่วง เพราะรถระดับนี้ถูกดีไซน์และพัฒนามาหลายขั้นหลายตอนกว่าจะนำออกมาขายได้ แถมมีการรับประกันสร้างความอุ่นใจ ดีกว่าไปติดตั้งเอง และเสี่ยงต่อมาตรฐานหรือคุณภาพของถังหรือผู้ที่ติดตั้ง

ฮอนด้า ซิตี้ ซีเอ็นจี มีให้เลือก 3 รุ่นย่อย ได้แก่ S CNG MT, S CNG AT และ V CNG AT มีให้เลือกทั้งหมด 6 สี ได้แก่ สีขาวทาฟเฟต้า สีเงินอลาบาสเตอร์ (เมทัลลิก) สีดำคริสตัล (มุก) สีเทาโมเดิร์นสตีล (เมทัลลิก) สีแดงคาร์เนเลียน (มุก) และสีน้ำตาลโกลเด้น (เมทัลลิก)

หมายเหตุ:

– สีดำคริสตัล (มุก) และสีแดงคาร์เนเลียน (มุก) ตอนเป็นรถมือหนึ่ง ต้องเพิ่มเงินอีก 6,000 บาท
– รุ่น S CNG MT มี 3 สีให้เลือก คือ สีขาวทาฟเฟต้า, สีเงินอลาบาสเตอร์ (เมทัลลิก) และสีดำคริสตัล (มุก)
– รุ่น S CNG AT มี 4 สีให้เลือก คือ สีขาวทาฟเฟต้า, สีเงินอลาบาสเตอร์ (เมทัลลิก) สีดำคริสตัล (มุก) และสีเทาโมเดิร์นสตีล (เมทัลลิก)
– รุ่น V CNG AT มี 6 สีให้เลือก คือ สีขาวทาฟเฟต้า, สีเงินอลาบาสเตอร์ (เมทัลลิก), สีดำคริสตัล (มุก), สีเทาโมเดิร์นสตีล (เมทัลลิก), สีแดงคาร์เนเลียน (มุก) และสีน้ำตาลโกลเด้น (เมทัลลิก)

Review-Honda-City-CNG

ทัศนะความคุ้มค่าน่าใช้ โดย MR.CARRO …

ความคุ้มค่าตอนซื้อ

รุ่นนี้ในตลาดรถมือสอง ถือว่าได้รับความนิยมพอสมควร ไม่ว่าจะเป็นกลุ่มคนวัยทำงานใหม่ พ่อค้าแม่ค้า คนทำงานอาชีพอิสระ หรือบริษัทต่างๆ ที่ซื้อไว้ใช้งานเป็นรถประจำบริษัท เป็นรถรุ่นมีวิ่งให้เห็นกันเกลื่อนเมือง อีกทั้งยังเป็นรถ Honda เพียงรุ่นเดียวที่ติดตั้งก๊าซ CNG ออกมาจากโรงงาน ได้เปรียบในเรื่องรับประกันคุณภาพมาตรฐาน 3 ปี หรือ 1 แสนกิโลเมตร …

ความคุ้มค่าตอนใช้งาน

ถ้าคุณเป็นคนที่จำเป็นต้องใช้รถเยอะ ถือว่าคุ้มค่ามากๆ เพราะก๊าซธรรมชาติ CNG ยังไงก็ประหยัดกว่าใช้น้ำมันเบนซินอยู่แล้ว ตกเฉลี่ยกิโลเมตรละประมาณ 50 สตางค์ ขึ้นอยู่กับสภาพจราจร และการขับขี่ของแต่ละคน

ขณะที่จุดด้อยเท่าที่เห็น คือเรื่องของพื้นที่จัดเก็บสัมภาระด้านท้าย ที่ต้องยกเนื้อที่ส่วนหนึ่งให้กับถัง CNG และแน่นอน การมีถังก็ทำให้น้ำหนักรถเพิ่มขึ้น และต้องใช้เวลาเติมบ่อย กับเติมนาน นอกนั้นไม่มีอะไรมาก

และ สถานีบริการของเอ็นจีวี ที่ยังมีจำนวนไม่มากพอ (ถ้าเทียบกับ LPG หรือปั้มน้ำมันทั่วไป) ดังนั้นก่อนจะซื้อ ก็ลองสำรวจเส้นทางในการใช้รถใช้ถนนของตัวเองว่า มีสถานีรองรับหรือไม่อย่างไร เพราะอาจจะลำบากหน่อยเวลาขับรถในบางย่าน หรือขับรถออกต่างจังหวัด

ความคุ้มค่าตอนซ่อม

ตัวรถไม่จุกจิก ทนทาน ประหยัด ราคาอะไหล่ไม่แพง เตรียมงบไว้สำหรับดูแลตามปกติ ปีละ 5,000 – 10,000 บาท (กรณีดูแลรักษาทั่วไป ถ้ามีเช็คระยะใหญ่ ก็อาจจะต้องเตรียมเงินไว้เพิ่ม) ครับ

ความคุ้มค่าตอนขายต่อ

สำหรับ Honda City CNG โฉมปี 2014 – 2016 มีราคามือสองอยู่ที่ 300,000 – 380,000 บาท (เป็นราคาในตลาดรถปี 2564 โดยประมาณ และขึ้นอยู่กับปีรถ รุ่นย่อย กับ สภาพของตัวรถ)

Download Catalogue Honda City CNG คลิกที่นี่ >>> Honda-City-CNG-8-2014-Brochure

สำหรับใครที่อยากขายรถคันเดิม มาขายรถคันเดิมกับ CARRO Express สิ! Inbox มาขอรายละเอียดได้ที่ Facebook -> CARRO Thailand และ Add Line สอบถามรายละเอียดได้เช่นกัน ที่ @carrothai

แต่ถ้าหากช่วงนี้ใครอยากซื้อรถคันใหม่ มาใช้แทนที่รถคันเดิม CARRO Automall แหล่งรวมรถมือสองคุณภาพเยี่ยมผ่านระบบออนไลน์ พร้อมตอบโจทย์คุณด้วยคอนเซปต์ “click.buy.drive.” คุณสามารถจองรถออนไลน์ ได้ในเวลาเพียง 1 นาทีเท่านั้น!

รถทุกคันผ่านการตรวจสภาพแบบ Double Check และยังมีเทคโนโลยี “360 View & Sound Engine Analysis” ให้คุณเลือกชมรถยนต์เสมือนจริงออนไลน์รายแรกในไทย ทั้งภาพและเสียงในรูปแบบ 360 องศา พร้อมรับประกันคุณภาพรถนานถึง 2 ปี หรือ 20,000 กิโลเมตร! อีกทั้งยังการันตีความพึงพอใจ คืนเงินได้ภายใน 5 วันอีกด้วย! เรามีรถให้คุณเลือกชมเพียบ เปิดบริการทุกวัน ซื้อรถคุณภาพเยี่ยม ต้องที่ CARRO Automall สิ!

หรือถ้าหากสนใจรถรุ่นไหนอยู่ แต่ยังหาที่ถูกใจไม่ได้ เรายินดีหาให้! เพียงแค่กรอกเบอร์โทรศัพท์ ชื่อยี่ห้อ / รุ่นรถ ที่คุณต้องการก็ได้เช่นกันครับ อีกทั้งยังสามารถ Inbox เข้ามาสอบถามรายละเอียดได้ที่ Facebook -> CARRO Automall Official โทร. 02-508-8690 หรือทาง Line @carroautomall ครับ

mazda-2

Review Mazda 2 Eco Car สุดหรูทั้งดีไซน์ และขุมกำลังดีเซลแห่งอนาคต

มาสด้า 2 (Mazda2) หลายคนอาจจะรู้สึกผิดหวัง กับ ราคาเล็กน้อย กับ รถยนต์ที่บอกว่าเป็นรถอีโคคาร์ด้วยราคาค่าตัวที่ต้องซู๊ดดดดปากดังๆ เพราะถ้าเทียบราคา กับความเป็น อีโคคาร์แล้ว ต้องบอกว่ามาสด้า 2  ถือว่าค่อนข้างแพงเมื่อเทียบกับบรรดารถอีโคคาร์ทั่วไป ทั้ง  8 รุ่นในบ้านเรา

จุดเด่น จุดด้อยของรถคันนี้จะมีอะไร ลองไปดูกันเริ่มต้นที่รุ่นสแตนดานซ์  1.5 Skyactiv-D XD ราคาเริ่มต้นที่  6.75 แสน รุ่นกลาง 1.5 Skyactiv-D XD High ราคา 7.35 แสนบาท และรุ่นท๊อป 1.5 Skyactiv-D XD High Plus+ ราคา 7.90 แสนบาท

แต่ถ้ามองในเชิงเทคโนโลยีและความคุ้มค่ากับการนำเทคโนโลยีสกายแอคทีฟ  รวมทั้งการตัดสินใจน้ำเครื่อยนตฺดีเซลมาใส่ไว้ในเก๋งเล็กเป็นครั้งแรก หากจะชั่งน้ำหนักกับ เรื่อง “ราคา” ที่กระโดดไปสูงกว่าอีโคคาร์ทั่วแล้วถือว่า “รับได้”

หากจะมอง ให้ มาสด้า2 คันนี้ กระโดดขึ้นไปชกข้ามรุ่น เพราะถ้าเปรียบกับความเป็นรถยนต์นั่งขนาดเล็กเครื่องยนต์ดีเซลแล้ว โดยส่วนตัว คู่แข่งที่ ตรงตัวมากที่สุด เห็นจะเป็นรถจากฝั่งยุโรปอย่าง “มินิ” ที่ทั้งด้านประสิทธิภาพขุมพลังของเครื่องยนต์ อัตราสิ้นเปลืองถือว่าพอสูสี แต่หากจะดูที่ระดับราคากับความคุ้มค่าและอัตราสินเปลื้องแล้ว ต้องให้มาสด้า2 ที่ กินขาดด้วยราคาที่เป็นมิตรภาพที่จับต้องได้ง่ายกว่า เมื่อเทียบกับรถ “มินิ”

แต่อย่างที่บอก เมื่อเทียบกับรถญี่ปุ่นระดับเดียวกันตรงๆ นั้น ไร้คู่เเข่ง แต่หากจะเทียบกับความเป็น “อีโคคาร์” ถือว่า ราคาสูงโดดไปอยู่ในระดับ “ซิตี้ คาร์” เเม้ว่ารถคันนี้จะได้สิทธิประโยชน์ทางภาษี เข้าช่วยถึง 17% แล้วก็ตาม

สาเหตุที่ต้องยก ประเด็นเรื่องของ “ราคา” มาอยู่ในอันดับต้นๆ นั้น เพราะ ประเด็นนี้กลายเป็น “โจทย์” สำคัญที่มาสด้าจะต้องเร่งเเก้ เพื่อให้ลูกค้ากลุ่มเป้าหมายรับรู่ โปรดักส์ได้อย่างถูกต้องการวางราคา ขายของ มาสด้า 2 จะเห็นว่า มาสด้า ได้วางตำแหน่ง “ราคา” ตัวเองไว้ระดับ บี  คารื ระดับพรีเมี่ยม เเต่เอาเข้าจริง… ลูกค้าจะรับได้ กับ ความเป็นรถอีโคคาร์ ที่ราคากระโดด ขนาดนี้ได้หรือไม่คงต้องใช้เวลา…

ส่วนเรื่องรูปร่างหน้าตา การออกแบบของรถคันนี้ ถือว่าสวยสุด ด้วยดีไซน์โคโดะ หรือการออกแบบที่สะท้อนจิตวิญญานแห่งการเคลื่อนไหวก่อนหน้านี้เราประทับใจกับรถรุ่นพี่อย่าง มาสด้า3 ที่มีทั้งความโฉบเฉี่ยว ความสปอร์ต ดุดัน โฉบเฉียว หรูหรา แน่นอน เมื่อมาสด้า ทำตคลอดมาสด้า2 ความสวยสะดุดตา เรื่อนร่าง รถคันนี้ จำลองมาสด้า3  มาเหมือนพิมพ์เเกะ เพียงเเต่ดีไซน์และขนาด ที่ผ่านการย่อส่วนมาอย่างลงตัว… ทั้งรุ่น ซีดาน และ เเฮทช์เเบค

หากเทียบกับ มาสด้า2 โฉมก่อน ถือว่า มาสด้าสอบผ่าน โดยเฉพาะรุ่น ซีดาน ที่ ช่วงด้านท้ายที่ โดง ไม่สวยสมกับความโฉบเฉี่ยวของการออกแบบในตอนหน้าและด้านข้าง ซึ่งหากจำไม่ผิดมาได้ได้แก้ปัญหา เนื่องดังกล่าวด้ยการ ลดส่วนสูงในตอนท้ายของโมเดลเก่าลงมาเล็กน้อย เเละช่วยได้พอสมควร ส่วน เเฮชท์เเบค โมเดลก่อนหน้า เรื่องการออกแบบ เรียกง่ายๆ ว่า “ไม่สุด” ในการดีไซน์ลงไปอย่างสิ้นเชิง หรือหากจะเทียบบรรดา อีโคคาร์ แอทช์แบค ที่พอฟัดพอเหวี่ยงได้ น่าจะมี โตโยต้า ยารีส ทีอาร์ ตัวเเต่ง  ที่ถือว่าออกแบบ เน้นความโฉบเฉียวพอฟัดพอเหวี่ยง เพียงเเต่ขนาดตัวของ ยารีส ดีจะหนากว่ามาสด้า2 เล็กน้อย

ส่วนรุ่นซีดาน โหวตให้มาสด้า2  มาเหนือไร้คู่เเข่งการออกแบบภายนอก ขอติงในส่วนไฟเลี้ยวท้าย ที่ออกแบบมาต้องการความโฉบเฉียว เเต่เวลาขับตามหลัง อาจจะมองไฟเลี้ยวได้ไม่ชัดเจน  เพราะมีขนาดเล็ก เป็นเส้นด้านท้าย

ภายในห้องโดยสาร มาสด้าใช้โทนสีดำเข้าช่วยขับความดุดันแปละความสปอร์ตภายในห้องโดยสารเบาะหนังสไตลล์บัคเก็ตซีท ตัดด้วยเส้นด้านสีเเดง เดินตะเข็บคู่ มาตัด กับสีดำ สะดุดตา และกระชากอารมณ์ความสปอร์ตออกมา ทั้งเบาะนั่ง และบริเวณ คอลโซลด้านหน้า แต่น่าเสียดายเเทนที่ มาสด้า จะเดิน ดายสีเเดงตัวขอบ ที่บริเวณเเผงประตู และพวงมาลัยด้วย  น่าจะช่วยให้การเคลื่อนไหวของ อารมณ์ความเร้าใจ ในห้องโดยสานไม่ไหลลื่น … จากการเดินเส้นดาย

อีกหนึ่งสิ่งที่ดูขัดเเย้งคือแผงช่องเเเอร์ บริเวณคอบโซลหน้าฝั่งคนนั้ง ที่ออกแบบมาให้เป็นเเนวนอนยาว  มองผาดๆอาจจะได้ในเรื่องของความเรียบงาน แต่โดยส่วนตัวแล้ว มองว่า คามเรียบง่ายนี้ถูกกลื่น ไปด้วยความรู้สึกว่า “เชย” แถมปุ่มกดไฟพาทสาด (ไฟฉุกเฉิน)  ที่อยู่ในระนาบเดียวกับช่องเเอร์เเนวนอน นั้น ก็ถูกกลื่นหายไป

อุปกรณ์การใช้งานอื่นๆในห้องโดยสาร  แม้ว่า จะใส่มาเต็มแต่กลับกลายเป็นสิ่งที่ “เกิน” และไม่จำเป็นต้องมีก็ได้  ซึ่งช่วยเปลี่ยนองศา การมอง ด้วยHeads-up display หน้าจอแสดงความเร็ว ที่ด้านหลังพวงมาลัย  โดยส่วนตัวเเล้วรู้สึกว่า ไม่มีก็ได้ เเถมยังเเกะกะสายตา เพราะ เเค่เข็มไมลล์ที่หน้าปัดม์ บอกความเร็วนั้น เกินพอเเล้ว

สิ่งที่ต้องชม คือการนำ ปุ่มควบคุม Center Commander มาไว้ที่ ข้างๆ ผู้ขับ  ไม่ต้องเอื้อมมือไปสั่งการไกลนัก เพียงเเค่ความคุมหมุน ควบคุม คำสั่งต่างๆ   มีเหมือนเช่นเดียวกับรถหรูอย่าง บีเอ็มดับเบิลยู ส่วนระบบการทำงาน เพื่อใช้เเผนที่นำทางผ่านระบบ การติดต่อสื่อสาร MZD Connect นั้นไสามารถทำได้ ซึ่งลูกค้าจะต้องเข้าไปติดต่อกับทมางมาสด้าเพื่ออัพเดรสข้อมูล หรือ ของซื้อเพื่อรับโหลดข้อมูลการนำทางเข้าสู่ระบบอีกครั้ง เรียกว่า ถ้าลูกค้าอยากใช้ ก็ต้องเสียเงินเพิ่ม

ถึงตรงนี้ต้องบอกว่า สำหรับคนที่กำลังมองหารถ อีโคคาร์ หรือ บี คาร์ โดยยังไม่ตั้งธงในใจว่า เป็นรุ่นอะไร ลอ งช่างน้ำหนัก และเปรียบเทียบความต้องการกับเงินในกระเป๋า แต่หากตั้งธงมาแล้วว่า ต้องเป็นมาสด้า2 ลองสาระตะ… ความคุ้มค่า กับความต้องการแต่หากจะให้เเนะนำ แค่  รุ่นเริ่มต้น นั้นถือว่าน่าเพียงพอแล้ว

suzuki-ciaz

Review Suzuki Ciaz RS อีโค่คาร์ สปอร์ตพร้อมต่อกร “ยาริส”

ซีดาน ชื่อชั้นของรถ อีโคคาร์ จากค่าย ซูซูกิ ถือว่าถูกใจใครหลายคน โดยเฉพาะในรุ่น  สวิฟท์ ที่เปิดตัวมาก็สร้างปรากฏการณ์ยอดจองถล่มทลาย แม้จะรอนานแค่ไหนลูกค้าก็ยอมรอ ขณะที่รุ่น เซเลริโอ แม้จะไม่เปรี้ยงปร้างแต่ก็มีขายได้เรื่อยๆ และอีกหนึ่งรุ่นที่ได้รับความนิยมไม่แพ้รุ่นอื่นๆก็คือเซียส รถ อีโคคาร์ แบบ ซีดาน ที่มีจุดเด่นอยู่ที่ไซส์ตัวถังขนาดใหญ่

เพื่อมาต่อกรกับตลาดรถแบบประหยัด สู้กับ ยาริส ที่เป็นเจ้าตลาดของรถประเภทนี้  และล่าสุดในช่วงปลายปีที่แล้วค่ายซูซูกิ ก็จับเอาเซียสมาแต่งหล่อในรุ่นพิเศษ เซียส อาร์เอส ซึ่งความพิเศษของรถรุ่นนี้ที่แตกต่างจากรุ่นปกติ

ภายนอก

เริ่มตั้งแต่กระจังหน้าโครเมียม ไฟหน้าโปรเจคเตอร์ พร้อมไฟตัดหมอกคู่หน้า ตัวชุดแต่งอาร์เอสที่ให้มา ก็มีชุดสปอยเลอร์ที่ประกอบไปด้วย สเกิร์ตหน้า ,สเกิร์ตข้าง,สเกิร์ตหลัง และตัวสปอยเลอร์หลังสไตล์สปอร์ตพร้อมไฟเบรกดวงที่สาม ส่วนล้ออลูมิเนียมอัลลอยด์มีขนาด 16 นิ้ว และที่ขาดไม่ได้คือสัญลักษณ์ RS ที่บ่งบอกความเป็นรุ่นพิเศษรุ่นนี้ โดยรวมๆถ้าดูจากดีไซน์ภายนอกก็ถือว่าสปอร์ตขึ้นมาอีกนิด หล่อ-สวยขึ้นมาอีกหน่อย

ภายใน

โฉบเข้ามาดูภายในห้องโดยสารกันดูบ้าง มองจากตาเปล่าแล้วก็ต้องบอกว่ากว้างขวาง โอ่โถง ตัวเบาะ เช่นเดียวกับพวงมาลัยสามก้านก็หุ้มหนัง โดยพวงมาลัยสามารถควบคุมระบบเครื่องเสียงและเชื่อมต่อระบบเชื่อมต่อโทรศัพท์ไร้สายได้ ส่วนแผงหน้าปัดมาตรวัดตรงหน้าก็ดูง่าย สบายตา เพราะตัวเลขเป็นสีขาวเรืองแสง ทางด้านอุปกรณ์ความบันเทิงอะไรต่างๆครบครันมาก โดยระบบเครื่องเสียงมาพร้อมลำโพง 4ตัว เล่นได้ตั้งแต่วิทยุ,ซีดี,เอ็มพี3,AUX,USB และยังมีฟังก์ชั่น Suzuki Smart Connect  ที่ประกอบไปด้วยจอทัชสกรีน 7 นิ้ว รองรับระบบนำทางเนวิเกเตอร์ ,เอสดี การ์ด ,ระบบเชื่อมต่อโทรศัพท์ผ่านบลูธูท , และยังมีโปรแกรม Apple CarPlay ที่สามารถเชื่อมต่อสมาร์ทโฟน และยังสามารถสั่งงานด้วยเสียง หรือปลายนิ้วสัมผัสที่หน้าจอ สามารถดูแผนที่ หรือจะรับสายโทรเข้า โทรออก รับส่งข้อความ ฟังเพลงต่างๆได้

สลับมาที่ห้องโดยสารด้านหลัง โดยรวมถือว่ากว้างขวาง ไม่อึดอัด ตัวเบาะนั่งสบายไม่ว่าจะนั่ง สองคนหรือสามคน  พื้นที่วางขามีเหลือเหลือไม่ติดเบาะด้านหน้า และมีที่พักแขนพร้อมที่วางแก้ว ทำให้รวมๆแล้วที่วางแก้วในรถคันนี้มีมากถึง 8 จุด และที่โดดเด่นอีกประการคือพื้นที่เก็บสัมภาระท้ายรถที่จุของได้เยอะมาก อ่านจากข้อมูลสเปคพบว่าจุได้ถึง 565 ลิตร

เครื่องยนต์

ในส่วนของเครื่องยนต์สำหรับรถรุ่นนี้มาพร้อมกับความจุ 1,242 ซีซี . รหัส K12B 4 สูบ 16 วาล์ว กำลังสูงสุด 91 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 118 นิวตัน-เมตร ที่ 4,800 รอบต่อนาที มิติตัวรถ ความยาวอยู่ที่ 4,505 มม. ความกว้าง 1,730 มม. และความสูง 1,475 มม. โดยมีให้เลือก 3 สีด้วยกันคือแดง Ablaze Red Pearl  ,ขาว Snow White Pearl,ดำ Super Black Pearl เคาะราคาอยู่ที่ 675,000 บาท

เรียกได้ว่าเป็นรถที่คุ้มค่าคุ้มราคา ด้วยตัวอุปกรณ์อะไรต่างๆนาๆที่ใส่เข้ามากับราคาขนาดนี้ ใครที่งบน้อย หรือ เป็นวัยเริ่มต้นการทำงาน หรือ จะซื้อเป็นรถคันแรกของตัวเอง ก็ต้องบอกว่าซูซูกิ เซียส อาร์เอส น่าจะตอบโจทย์และคุ้มค่าที่สุด

อีโค่คาร์สปอร์ตกับจาก Suzuki

ถือเป็นรถที่ได้ทั้งรูปลักษณ์และอรรถประโยชน์ใช้สอยที่คุ้มค่าอย่างมาก โดยความโดดเด่นที่ต้องให้คะแนนก็ต้องยกให้ห้องโดยสารที่กว้างขวางโอ่อ่า และอุปกรณ์ตกแต่งที่ไม่มากไป ไม่น้อยไป ทำให้รถดูหล่อขึ้น หนุ่มขึ้น ส่วนอุปกรณ์ภายในที่ใส่เข้ามาแบบจัดเต็มและการตั้งราคาขายหลักหกแสนกว่าๆ ก็ยิ่งทำให้รถรุ่นนี้คุ้มค่าคุ้มราคามาก ฟันธง!!

3-Steps-For-Looking-Used-Car

ขั้นตอนต่างๆ ที่ผู้ซื้อต้องทำ เมื่อเจอรถยนต์มือสองคันที่ต้องการแล้ว

3-Step-For-Looking-Used-Car

เรามาทำความรู้จักกับประกาศขายรถยนต์มือสองบน Website ผู้ประกาศขายจะมี 2 ประเภท ได้แก่

– เจ้าของขายเอง (รถบ้าน)
– ผู้ประกอบการรถยนต์ใช้แล้ว (รถเต็นท์)

ผู้ขายทั้งสองประเภทการติดต่อสอบถามจะแตกต่างกันไม่มาก ขั้นตอนง่ายๆ จะต้องทำอะไร ยังไงบ้างไปดูกัน

3-Step-For-Looking-Used-Car

1. โทรสอบถามรายละเอียดรถเบื้องต้น

เมื่อเจอประกาศขายรถ รุ่น-ปีตามที่ต้องการ สภาพถูกใจ ราคาเหมาะสมกับราคาในใจของผู้ซื้อแล้ว ที่ประกาศขายจะมีเบอร์โทรติดต่อไว้ให้ เพื่อสอบถามรายละเอียดเบื้องต้นเกี่ยวกับรถ เช่น
– รถยังขายอยู่ไหมหรือขายไปแล้ว
– สอบถามข้อมูลเกี่ยวกับตัวรถเพิ่มเติม ที่มีนอกเหนือจากที่ผู้ขายให้ข้อมูลไว้ใน Website เช่นรถมีประกันเหลืออยู่ไหมอยู่ไหม?, ใช้งานแล้วกี่ปี ฯลฯ
– นัดเวลา, สถานที่เพื่อขอดูรถ (ในกรณีที่เป็นรถบ้าน) หรือถ้าเป็นรถของผู้ประกอบการรถยนต์ใช้แล้ว (รถเต็นท์) ก็นัดเวลาเข้าไปดูรถที่เต็นท์ได้เลย

Tips :: การสอบถามข้อมูลรถ ข้อหนึ่งที่ควรจะสอบถามเบื้องต้นกับผู้ขายในกรณีที่ผู้ซื้อต้องการกู้ไฟแนนซ์ ว่ารถคันนั้นจัดไฟแนนซ์ได้เท่าไร เพราะรถแต่ละคัน งบการจัดไฟแนนซ์ต่างกันขึ้นอยู่กับรุ่นและปีรถ เพื่อเป็นการประเมิน ความเป็นไปได้ของงบประมาณที่ผู้ซื้อมี และงบไฟแนนซ์ที่จัดให้ได้กับรถคันนั้น

3-Step-For-Looking-Used-Car

2. เจอรถจริง ดูสภาพรถ ตรวจเอกสาร

เมื่อไปเจอรถจริงก็เป็นขั้นตอนของการ “ตรวจสอบ” โดยการตรวจดูรถที่เราจะซื้อ ก็จะมีสองส่วน คือ

–  ฉลากรถมือสอง

ถ้าเป็นผู้ประกอบการรถยนต์มือสองหรือเต็นท์ สำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค (สคบ.) ได้ออกข้อบังคับการแสดงข้อมูลของรถมือสองที่จอดขายในเต็นท์ จำเป็นต้องระบุข้อมูลของรถ เครื่องยนต์ ปีจดทะเบียน เลขไมล์ ชื่อเต็นท์หรือชื่อผู้ขาย นี่คือสิ่งแรก ที่ผู้ซื้อต้องมองหา เมื่อไปเลือกซื้อรถมือสอง

3-Step-For-Looking-Used-Car

–  ตรวจดูสภาพรถที่จะซื้อดี

ส่วนสำคัญของการซื้อรถมือสอง คือขั้นตอนนี้เลยก็ว่าได้ การตรวจสภาพรถ จะตรวจภายนอกรถ สภาพสี สภาพตัวถัง (แชสซีส์) ตรวจสภาพภายในห้องโดยสาร ตรวจสภาพการใช้งานเครื่องยนต์ เลขไมล์ที่บอกถึงการใช้งานของรถ ไฟหน้าปัดแจ้งเตือนต่างๆ จะบอกปัญหาของรถได้ (ถ้ามี)

Tips :: สิ่งสำคัญที่สุดของการตรวจสภาพรถนี้คือ ตรวจภายนอกรถ โครงสร้างรถ และความหนาบางของสี ซึ่งปัจจุบันมีผู้ให้บริการตรวจสภาพรถยนต์ก่อนการซื้อขายรถ เป็นทางเลือกที่ดีสำหรับผู้ไม่มีประสบการณ์ หรือ “มือใหม่” จะเพิ่มความมั่นใจได้กับรถคันนั้นๆ

– ตรวจสอบเอกสารเกี่ยวกับตัวรถ

เอกสารยืนยันการเป็นเจ้าของรถคันนั้นๆ เอกสารบอกรายละเอียดการจดทะเบียน เอกสารการทำประกันภันรถยนต์ ไปจนถึงเอกสารบันทึกการเข้าตรวจเช็คจากศูนย์บริการการ มีเอกสารยืนยันต่างๆ ของตัวรถ ต้องมีให้ผู้ซื้อได้ตรวจสอบเพื่อป้องกันการได้รถเถื่อน หรือรถผิดกฎหมาย รถจำนำ ภายหลังการซื้อ-ขาย

Tips :: เอกสารสำคัญที่ต้องมีคือ เล่มทะเบียนรถ ถ้าเป็นเต็นท์ จะต้องมีใบมอบอำนาจ หรือเอกสารโอนลอย หรือสัญญาการซื้อขาย ต้องระบุได้ชัดเจน ถึงที่มาของการเป็นเจ้าของรถคันนั้นๆ

3-Step-For-Looking-Used-Car 3. เจรจาต่อรอง จ่ายสดลดได้ หรือจะฟรีดาวน์ ไฟแนนซ์มี

เมื่อถูกใจรถหลังจากที่ได้มาเห็นคันจริงๆ แล้วก็เข้าสู่ขั้นตอนการเจรจาต่อรอง ถึงเงื่อนไขราคาระหว่างผู้ซื้อกับผู้ขาย การชำระเงินผู้ซื้อจะชำระแบบไหน มี 2 แบบดังนี้

– จ่ายสดลดได้
Tips :: ในการซื้อรถมือสองช่วยการต่อรองราคาสุดท้าย ถ้าจะซื้อเงินสดบอกกับผู้ขายสิว่า “ถ้าจ่ายเงินสด ช่วยลดหน่อยได้ไหม..?” ส่วนใหญ่แล้วผู้ขายจะลดราคาให้ ลองเทคนิคนี้นำไปใช้ดู

3-Step-For-Looking-Used-Car

– จะขอไฟแนนซ์ เต้นท์ช่วยเต็มที่   
Tips :: ในกรณีที่ต้องมีการกู้ไฟแนนซ์ ผู้ขายแบบรถบ้าน จะไม่มีบริการหรือดูแลเรื่องการขอไฟแนนซ์ ถ้าผู้ซื้อเงินไม่พอ ต้องหามาเอง แต่ข้อดีของการไปซื้อรถกับเต็นท์นั้น จะดีกว่า มีโปรโมชั่นมากมายที่อำนวยความสะดวกแก่ผู้ซื้อเต็มที่ ทั้งฟรีดาวน์ ดาวน์ต่ำ หรือจะฟรีประกันภัย ฟรีค่าจัด ฟรีค่าโอน หรือมีของแถมติดรถให้ เป็นต้น

ขั้นตอนของการไปดูรถจริงมีใหญ่ๆ เป็น 3 ข้อนี้ แต่ละข้อจะมีเทคนิคเพื่อนำไปใช้ในการดูรถในสถานการณ์จริง ลองนำไปใช้กันดู รับรองว่าจะช่วยให้ผู้ซื้อได้รถที่ถูกใจแน่นอน!!

สำหรับใครที่อ่านจบแล้ว รู้สึกอยากขายรถคันเดิมแบบด่วนๆ เพื่อนำเงินไปซื้อรถมือสองในฝันคันใหม่ ปรึกษา Carro หรือขายรถกับ Carro ได้ครับ โดยได้ราคาที่คุณพอใจ พร้อมปิดการขายภายใน 24 ชั่วโมง เชิญเข้าไปกรอกรายละเอียดได้ที่ https://th.carro.co/sell-car/express หรือสอบถามรายละเอียดเพิ่มได้ใน Fanpage “Carro Thailand” ครับผม

toyota-camry-esport

Review Toyota Camry Esport หล่อ…เข้ม…กระชากใจ!!

สารภาพว่าแว่บแรกที่ได้เห็นโตโยต้า คัมรี่ เอสสปอร์ต คันสี่แดงจอดโชว์อยู่….ถึงกะร้องว้าว!!!

ไม่น่าเชื่อว่ารถในกลุ่มนี้ เซ็กเมนต์นี้จะถูกแต่งองค์ทรงเครื่องจากหนุ่มใหญ่ มาเป็นหนุ่มน้อยได้ แถมดูเป็นหนุ่มเข้ม กระเป๋าหนัก กระชากใจสาวน้อย สาวใหญ่ได้ไม่ยาก !!

ถามว่าอะไรมาดึงดูดใจให้เพ้อพร่ำพรรณนาขนาดนี้ ก็เอาเป็นว่ารถคันนี้โดดเด่นตั้งแต่กระจังหน้า ที่ไม่เหมือนกับรุ่นคัมรี่ในรุ่นปกติ โดยกระจังหน้าโครเมียมรมดำดูดุเข้ม แบบ Sport Type ส่วนไฟหน้าโปรเจคเตอร์รมดำเช่นเดียวกัน และที่ดูสวยเฉี่ยวคือไฟ Daytime Running Lights แบบ LED ไล่เลียงมาด้านข้างจะเห็นล้ออัลลอยขนาด 17 นิ้ว และเส้นสายการออกแบบที่ดูมีมิติ พอมาถึงบั้นท้ายก็จะเห็นไฟท้ายและสปอยเลอร์หลังแถมด้วยท่อไอเสียคู่ Dual Muffler ให้อารมณ์สปอร์ตสุดๆ

มาสำรวจภายในห้องโดยสารกันบ้าง แต่เดิมเมื่อเปิดประตูเข้ามาดูภายในของคัมรี่ในรุ่นปกติจะพบกับความหรูหรา สุขุม นุ่มลึก อะไรประมาณนั้น แต่พอมาเป็นคัมรี่ เอสสปอร์ต ก็แน่นอนว่ามันต้องสปอร์ต ดิบๆดุดัน ( แต่เอาจริงๆรู้สึกว่ามันกระด้างๆแข็งๆไม่สวยยังไงไม่รู้ ) โดยภายในของรถรุ่นนี้ที่โดดเด่นสุดคือเบาะหนังคู่หน้า ที่เป็นทูโทน ตะเข็บขาว ซึ่งตามปกติอะไรที่เป็นสปอร์ตๆเรามักจะเห็นตะเข็บด้ายแดง แต่รุ่นนี้เก๋กว่า ไม่เหมือนใครด้วยตะเข็บขาว!! ตัวเบาะเป็นหนังที่ออกแบบมาให้โอบกระชับ ไม่ลื่น นั่งสบาย มีระบบบันทึกตำแหน่งของผู้ขับขี่ พวงมาลัยปรับไฟฟ้าและกระจกมองข้าง ส่วนเบาะหลังก็กว้างขวาง นั่งสบาย และยังแยกพับ 60:40 ปรับใช้งานได้ใจชอบ

ความเป็นสปอร์ตของรถรุ่นนี้ยังไม่หมด โดยพวงมาลัยเป็นแบบหุ้มหนัง 3 ก้านทรงสปอร์ต  พร้อมสารพัดปุ่มควบคุม อาทิ ระบบควบคุมความเร็วอัตโนมัติ Cruise Control  ,ปุ่มควบคุมเครื่องเสียง จอแสดงผลข้อมูลการขับขี่ และระบบเชื่อมต่อ Hand-free ไร้สาย Bluetooth ,ระบบควบคุมการเปลี่ยนเกียร์ที่พวงมาลัย Paddle Shift นอกจากนั้นแล้วชุดแป้นเหยียบคันเร่งและเบรกก็เป็นแบบสปอร์ตเช่นเดียวกัน

ส่วนคอนโซลตรงกลางมีแอร์อัตโนมัติ อิสระแยกซ้าย-ขวา ไล่ลงมาจะเจอจอทัชสกรีน ขนาด 7 นิ้ว รองรับระบบนำทางและรองรับสมาร์ท จี บุ๊คของโตโยต้า นอกจากนั้นแล้วยังมีระบบเครื่องเสียงรองรับทั้งวิทยุ ซีดี ดีวีดี USB AUX Bluetooth และมีลำโพง 6 ตำแหน่ง ไม่เพียงเท่านั้นยังมี Wireless Charger ระบบชาร์จสมาร์ทโฟนแบบไร้สาย และที่เกือบจะลืมบอกไปในรุ่นนี้ก็คือ มีหลังคามูนรูฟเพิ่มความเก๋ไก๋เข้ามา

ถือเป็นข้อมูลแบบหอมปากหอมคอในแง่ของดีไซน์ ภายในภายนอก รวมไปถึงอุปกรณ์ต่างๆส่วนข้อมูลด้านสมรรถนะนั้น มาพร้อมกับรหัสเครื่องยนต์ 2AR-FE แบบ 4 สูบ แถวเรียง DOHC 16 วาล์ว Dual VVT-I ความจุกระบอกสูบ 2.5 ลิตร ให้กำลังสูงสุด 184 แรงม้า ที่ 6,000 รอบต่อนาที แรงบิดสูงสุด 235 นิวตัน-เมตร ที่ 4,100 รอบต่อนาทีและระบบส่งกำลังด้วยเกียร์อัตโนมัติ 6 สปีดพร้อมSequential Shift  โดยมีให้เลือกเป็นเจ้าของ 7 สี ได้แก่ Red Mica Metallic,Light Blue Mica Metallic,Dark Blue Mica Metallic, Diamond White,Silver Metallic ,Gray Metallic และ Attitude Black Mica
สนนราคาตอนเปิดตัวอยู่ที่ 1.639 ล้านบาท (ราคาหลังวันที่ 1 ม.ค. 2559 อาจจะปรับตามภาษีใหม่ )

โดยสรุปหากพูดถึงดีไซน์การออกแบบรูปลักษณ์หน้าตาก็ต้องบอกว่าถูกใจ เพราะดูกระชากวัยลงมาจากหนุ่มใหญ่มาเป็นหนุ่มน้อย แถมยังนำเข้ามาจากออสเตรเลีย ยิ่งทำให้ผู้ที่เป็นเจ้าของดูพราว์ด เพราะเป็นลิมิเต็ด อิดิชั่นอะไรประมาณนั้น แต่ที่ไม่ค่อยถูกใจเท่าไรคือภายในที่ดูดิบกระด้างไปหน่อย แต่ในแง่ความสะดวกนั่งสบายก็ต้องยกให้ ส่วนสมรรถนะจะเป็นอย่างไร จะตอบสนองถูกใจหรือไม่ก็ต้องลองไปทดลองขับกันดูที่โชว์รูมโตโยต้า!!

จากกระแสงานแสดงรถยนต์ประจำปี Motor Expo 2015 เป็นที่สนใจทั้งในส่วนโปรโมชั่นต่างๆ ที่ดึงความสนใจจากผู้ซื้อให้รีบตัดสินใจก่อนปีหน้าราคารถยนต์จะมีการเปลี่ยนแปลง รวมไปถึงรถรุ่นใหม่ที่ทำการเปิดตัวมากมายภายในงาน

แต่นอกจากรุ่นใหม่ๆ ที่ทำการเปิดตัวไปนั้นก็ยังมีรถรุ่นปัจจุบันที่ยังทำการตลาดขายดี เป็นที่นิยม ไม่ได้มีการเปลี่ยนแปลงโฉมใหม่ในงานครั้งนี้ราคาป้ายแดง ของรุ่นนั้นๆ ก็ยังแพงมาก!! แม้จะออกมาสักระยะแล้วก็ตาม
รถมือสองของรถยนต์รุ่นเหล่านั้น เป็นทางเลือกที่ดีและน่าสนใจมากๆ พราะรถรุ่นเหล่านั้นส่วนใหญ่เพิ่งออกมาจากศูนย์รถป้ายแดง ระยะเวลาการใช้งานรถยังน้อย การใช้งานอาจจะยังไม่มาก รถยังอยู่ในสภาพดี และที่สำคัญได้รถโฉมปีที่ยังไม่ตกรุ่น แต่ราคาถูกว่าที่จะไปออกรถป้ายแดงหลายบาท อันนี้คือสิ่งที่น่าสนใจ มาดูกันว่า รถมือสอง รุ่นไหนบ้างที่ถ้าคุณซื้อจะได้โฉมเดียวกับที่นำมาขายในงาน Motor Expo 2015 แต่ราคาถูกกว่า!!!!

1. Toyota Vios โฉมปี 2013  
ดูรถเพิ่มเติมที่นี่ ==>>  Toyota Vios 2013
ราคามือหนึ่งเริ่มต้นที่  560,000 บาท
ราคาเริ่มต้นใน Trusteecar.com  399,000 บาท (-161,000)
*ราคารถมือสองถูกกว่า -28.75%

รุ่นยอดนิยมจากค่ายโตโยต้า ที่ทำการเปลี่ยนโฉมครั้งใหญ่ไปเมื่อปี 2013 และได้รับความนิยมอย่างมาก ด้วยความเป็นรถ Sedan ขนาดกระทัดรัด คล่องตัวเหมาะมากสำหรับใช้งานในเมือง เครื่องยนต์ขนาด 1500 cc การใช้งานประหยัดน้ำมันอยู่ในเกณฑ์ที่ใช้ได้และด้วยเพราะเป็น Toyota ผู้ใช้งานจึงมั่นใจในเรื่องของอะไหล่ที่มีรองรับและราคาไม่แพง วีออสในโฉมปี 2013 ราคามือ 1 ป้ายแดงในปัจจุบันในรุ่น Option ต่ำที่สุดอยู่ที่ 560,000 บาท แต่ถ้าเป็นราคารถมือสองในตลาดเริ่มที่ 399,000 บาท ด้วยความที่เป็นรถตลาด ได้รับความนิยม ซื้อง่าย-ขายคล่อง ทำให้ราคามือสองในรุ่นนี้ยังไม่ตกมากนัก แต่ถ้าเลือกดีๆ ได้รถสภาพใหม่ ถือว่าคุ้มแน่นอนสำหรับรุ่นยอดนิยมรุ่นนี้

2. Nissan March โฉมปี 2011 
ดูรถเพิ่มเติมที่นี่ ==>>  Nissan March 2011

ราคามือหนึ่งเริ่มต้นที่  400,000 บาท
ราคาเริ่มต้นใน Trusteecar.com 198,000 บาท  (- 202,000)
*ราคารถมือสองถูกกว่า -50.50%

เจ้าตลาด Eco Car อีกหนึ่งรุ่นจากนิสสันที่เปิดตัวมานานตั้งแต่ปี 2011 และได้รับความนิยมจนสร้างกระแสแห่งตลาด Eco Car ในประเทศไทย ด้วยรูปทรง ที่น่าดูน่ารัก กระทัดรัด การออกแบบที่ได้รับการยอมรับมาแล้วทั่วโลกของ Nissan March รวมไปถึงจุดเด่นสำคัญคือความประหยัดน้ำมัน ทำให้รุ่นนี้ได้รับความนิยมอย่างมาก

March โฉมปี 2011 นี้ออกมาจำหน่ายในไทยเป็นครั้งแรก เพราะก่อนหน้านี้ March มีจำหน่ายเพียงในต่างประเทศเท่านั้น แม้จะออกมานานสักระยะ มีการออกรุ่น Minorchange มาแต่ว่ารูปลักษณ์เปลี่ยนไปไม่มากจากรุ่นแรก มีเพียงสีให้เลือกมากขึ้น ราคาป้ายแดงของรุ่นนี้อยู่ที่เกือบครึ่งล้านสำหรับ Ecocar ถือว่าราคาแรงเอาเรื่องอยู่เหมือนกัน หรือถ้าจะหันมามองเป็นมือสองที่ราคาเริ่มต้นอยู่ที่ประมาณเกือบ 2 แสนเท่านั้นเป็นราคาที่ถูกใจเงินในกระเป๋าไม่น้อยกับรถที่อาจใช้งานไม่ถึง 4 ปี

3.  Honda Civic FB โฉมปี 2012
ดูรถเพิ่มเติมที่นี่ ==>>  Honda Civic FB

ราคามือหนึ่งเริ่มต้นที่ 783,000 บาท
ราคามือสองเริ่มต้นที่  520,000  บาท (- 263,000)
*ราคารถมือสองถูกกว่า -33.58%

รถซีดานยอดนิยมจากค่าย Honda ที่ได้รับความนิยมมาอย่างยาวนาน จึงเป็นสิ่งที่ช่วยให้ความมั่นใจแก่ผู้ซื้อ ทำให้รุ่นนี้ขายดีอย่างต่อเนื่อง การออกแบบที่ร่วมสมัยดูสปอร์ตภายใต้ ความสะดวกสบายตามแบบมาตฐาน Honda รุ่นนี้จึงเป็นอีกหนึ่งรุ่นที่น่าซื้อมาใช้งานเป็นอย่างยิ่งทั้งแบบเครื่องยนต์ 1.8 หรือ 2.0
Civic โฉมปี 2012  นี้มีรหัสว่า Civic FB ราคาป้ายแดงตัว Option ต่ำสุดอยู่ที่เกือบ 8 แสนบาท แต่ถ้าลองไปเลือกเป็นรถมือสองในโฉมนี้ราคาเริ่มต้นจะอยู่ที่เพียง 5 แสนต้นๆ เท่านั้น คนที่ชอบ Civic การเลือกเป็นแบบรถมือสองเป็นทางเลือกที่น่าสนใจ แต่รุ่นนี้เปิดตัวมาได้ระยะหนึ่งแล้วและมีกระแสข่าวว่าปี 2016  นี้จะมีการเปิดตัวโฉมใหม่หมดของ Civic แต่ยังไม่มีการระบุวันที่แน่นอนจากค่ายผู้ผลิตในประเทศไทย เพราะฉะนั้นการซื้อฮอนด้า Civic โฉมปัจจุบันในตอนนี้มีโอกาสที่อาจตกรุ่นได้ไวกว่ารุ่นอื่น
4. Isuzu D-Max โฉมปี 2012
ดูรถเพิ่มเติมที่นี่ ==>>  Isuzu D-Max 2012ราคามือหนึ่งเริ่มต้นที่  590,000 บาท
ราคามือสองเริ่มต้นที่ 399,000 บาท (-191,000)
*ราคารถมือสองถูกกว่า -32.37%

Isuzu แบนด์เจ้าแห่งรถกระบะของเมืองไทย เพิ่งมีการเปิดตัวรุ่นใหม่ในหน้าเก่า Isuzu D-Max Ddi Bluepower ไปเมื่อไม่นานมานี้ แต่ไม่ได้มีการเปลี่ยนโฉมใหม่หมดมีเพียงเครื่องยนต์เท่าทั้นที่แตกต่างจากรุ่นก่อนๆ เพื่อให้สอดคล้องกับนโยบายภาษีรถยนต์ปี 2559 โฉมปี 2012 นี้ไม่ต่างกับรุ่นปัจจุบันมากนัก เป็นเหมือนเพียง Minor change ภายนอกเพียงเล็กน้อยเท่านั้น กับราคาป้ายแดงเริ่มต้นอยู่ที่เกือบ 6 แสนบาท Isuzu D-Max ในราคามือสองเริ่มต้นที่เพียง 4 แสนเท่านั้น เพราะฉะนั้นถ้าไม่ติดว่าเครื่องยนต์ จะต้องใหม่เหมือนตัวปัจจุบัน การที่ใช้ ดี-แม็ก มือสอง โฉมปี 2012 นี้เป็นทางเลือกที่จะช่วยให้ท่านประหยัดได้เป็นแสน และคาดว่า Isuzu จะยังทำตลาดกับรุ่นใหม่ที่เพิ่งเปิดตัวไปนี้ อีกสักระยัง เพราะฉะนั้น เลิกกังวลว่าเมื่อซื้อมาไม่นานจะตกรุ่นไปได้เลย

5. Nissan Almera โฉมปี 2014
ดูรถเพิ่มเติมที่นี่ ==>>  Nissan Almera

ราคามือหนึ่งเริ่มต้นที่  437,000 บาท
ราคามือสองเริ่มต้นที่  310,000 บาท  (-127,000)
*ราคารถมือสองถูกกว่า -29.06%

Eco Car อีกคันจาก Nissan ที่เผยโฉมมาหลัง Nissan March นิดหน่อย โดยนิสสันได้ปล่อยตัว Almera เผื่อเป็นทางเลือกสำหรับคนชอบรถ Sedan และประหยัดน้ำมันในแบบ Eco Car เพิ่งมีการเปิดตัว Minor change ไปเมื่อปี 2014 มีเพียงไฟหน้าเท่านั้นที่แตกต่างจากเดิมเล็กน้อย เครื่องยนต์และภายในจะคล้ายๆ กับนิสสัน มาร์ช แต่ดูหรูหราสปอร์ตมากว่า ป้ายแดงราคาอยู่ที่ 4 แสนต้นๆ แต่ถ้าเป็นรถมือสอง ราคาอยู่ที่ประมาณ 3 แสนต่างกันเป็นแสน รถเพิ่งเปิดตัวเมื่อไม่นานสภาพรถ ถ้าไม่เคยผ่านการชนมา จะสภาพดีมาก รุ่นนี้เป็นอีกรุ่นที่ น่าซื้อมือสองมาใช้จริง ๆ

“รถมือสองดีๆ ยังมีอีกเยอะ”
จะเห็นได้ว่าทั้ง 5 รุ่นยอดนิยมนี้ราคารถมือสอง ตกลงมาเป็นหลักแสน นั้นหมายความว่าจะประหยัดเงินไปได้เยอะ และยังได้รถที่ไม่ตกรุ่นอีกด้วยถ้าเลือกรถมือสอง ที่สภาพดีๆ แน่นอนว่ามีอีกมากในตลาด แต่อย่างไรก็ตามต้องขึ้นอยู่กับการตรวจสภาพรถ ก่อนที่จะตัดสินใจซื้อ ตัวเลือกรถมือสองมีให้เลือกมาก การได้ผู้เชี่ยวการในการดู ช่วยเลือก หรือตัดสินใจการซื้อรถมือสองเป็นปัจจัยหนึ่งที่จะช่วยให้ท่านได้รถที่ถูกใจ คุ้มค่าคุ้มราคา
mg-6

รีวิว MG6 ปรับลุคใหม่ หวังแจ้งเกิดให้ได้กับรถซีดานเมืองไทย

เริ่มจะได้เห็นรถแบรนด์เอ็มจีในบ้านเรามากขึ้น โดยเฉพาะในรุ่นน้องเล็กอย่าง เอ็มจี 3 ที่มีเอกลักษณ์ สไตล์สีสันสดใส ถูกใจวัยรุ่น อย่างไรก็ตามในรุ่นพี่ใหญ่ เอ็มจี 6 ที่เปิดตัวนำร่องทำตลาดก่อนกลับไม่ได้รับความนิยมมากเท่าไร ดังนั้นทางเอ็มจีจึงต้องมีการแต่งองค์ทรงเครื่องกันใหม่หวังเอาใจลูกค้าคนไทย และเพื่อกระตุ้นยอดขายรถในรุ่นนี้ให้คึกคักเหมือนรุ่นน้องบ้าง

ก่อนจะไปสัมผัสกับรถรุ่นใหม่ ก็ขอนำเสนอข้อมูลเทคนิคของเอ็มจี 6 กันก่อน โดยในรุ่นใหม่นี้มาพร้อมเครื่องยนต์เทอร์โบ ขนาด 1.8 ลิตร ที่ให้กำลังสูงสุถึง 161 แรงม้า (118 กิโลวัตต์) ที่ 5,500 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 215 นิวตัน-เมตรที่ 2,000-4,500 รอบ/นาที รองรับน้ำมันแก๊สโซฮอล์ E85 พร้อมกับเกียร์อัตโนมัติแบบ 6 สปีด DCT (Dual Clutch Transmission)

ทราบข้อมูลเทคนิคกันพอหอมปากหอมคอ ก็ได้เวลาไปสัมผัสกับเอ็มจี 6 ใหม่ โดยทันทีที่ได้เห็น แอบคิดเล็กน้อยว่า…เปลี่ยนตรงไหน!!! สารภาพว่าแว่บแรกคิดแบบนี้จริงๆ คือดูแล้วไม่ต่างจากรุ่นเดิมสักเท่าไร พอมาดูบั้นท้าย…ก็คล้ายคลึงแบบเดิมน่ะ และเพื่อคลายข้อสงสัยของตัวเองก็เลยเริ่มสำรวจอย่างถี่ถ้วนแบบใกล้ชิด

ว่าแล้วก็เริ่มตั้งแต่รูปลักษณ์หน้าตาด้านหน้ากันก่อน เมื่อมาดูใกล้ๆก็เริ่มเห็นจุดที่เปลี่ยนแปลง (เล็กน้อย) โดยไฟหน้าในรุ่นปรับโฉมใหม่ครั้งนี้เป็นแบบ Bi-Xenon HID ดูทันสมัยและมีประโยชน์ในแง่การส่องสว่างที่มากขึ้นและมุมด้านล่างลงมาเล็กน้อยของไฟหน้าจะมี Headlight Washer หรือระบบหัวฉีดน้ำล้างไฟหน้า อันนี้ถือว่าโอเคเลยเพราะจะช่วยทำความสะอาดและล้างไฟหน้า เพิ่มความปลอดภัยและส่องสว่าง

นอกจากนั้นสิ่งที่น่าสนใจในมุมมองด้านข้างนี้อีกอย่างคือลวดลายของล้อแมกซ์ ดูดุดันกว่ารุ่นเดิม เพราะตัวเดิมดูมีความอ่อนฉ้อยสวยงามไฉไลมาก พอมาถึงบั้นท้ายของรถคันนี้ สารภาพตามตรงๆ เลยว่าไม่ค่อยรักไม่ค่อยเลิฟเท่าไร พยายามจะเพ่งมองทั้งใกล้ทั้งไกล ก็ไม่ค่อยถูกใจกับดีไซน์บั้นท้าย มีความรู้สึกว่าไฟท้ายดูเล็กๆ ดูไม่บาลานซ์กับบอดี้รถยังไงไม่รู้ ยังดีที่มีสปอยเลอร์หลัง ไฟตัดหมอก และตัวท่อที่ปลายท่อเป็นสเตนเลสให้อารมณ์สปอร์ต ทำให้ดูดีขึ้นมาหน่อย เข้ามาสำรวจภายในกันดูบ้าง โดยมุมมองรวมๆ ถือว่ากว้างขวาง ยิ่งหากภายในเป็นสีเบจ ห้องโดยสารจะดูสว่าง โล่ง แต่เมื่อเลือกห้องโดยสารโทนสีดำ ก็จะให้อารมณ์สปอร์ต ตัววัสดุ อุปกรณ์ต่างๆหรือการประกอบดูดี สมราคา  ตัวเบาะของผู้ขับขี่สามารถปรับได้ด้วยระบบไฟฟ้า 6 ทิศทาง เช่นเดียวกับผู้โดยสารคู่หน้าหากเป็นรุ่นท็อปก็สามารถปรับไฟฟ้าด้วย ตัวเบาะแถวหลัง พนักพิงปรับได้ 60:40 พับราบเป็นแนวเดียวกันเพิ่มพื้นที่ในการจัดเก็บของได้มากขึ้น

พวงมาลัยของรถรุ่นนี้เป็นแบบมัลติฟังก์ชั่น ปรับได้ 4 ทิศทาง ตัวหน้าจอแสดงผลการทำงานด้านหน้ามองง่าย เรือนไมล์เรืองแสงสีขาวตัดกับสีแดง ไล่สายตามาตรงกลางห้องโดยสาร มีจอทัชสกรีนขนาด 7 นิ้วที่สามารถทำหน้าที่เป็นเนวิเกเตอร์ มีระบบนำทาง หรือจะโชว์ภาพจากกล้องหลัง หรือด้านความบันเทิงก็ทำได้หมดทั้งซีดี เอ็มพี3 วิทยุ รองรับ USB และ AUX มาพร้อมลำโพง 8 ตำแหน่ง และยังสามารถเชื่อมต่อบลูธูทกับระบบสมาร์ทโฟนได้ ไม่เพียงเท่านั้น พระเอกที่ทางเอ็มจีมีการพราว์ด ทู พรีเซ้นต์มากก็คือการพัฒนาระบบ inkaNet ที่เป็นระบบอัจฉริยะ เชื่อมต่อระหว่างรถกับเจ้าของรถ โดยจะเชื่อมต่อกันผ่านระบบโทรศัพท์ ทำให้เจ้าของรถได้รู้สถานะว่ารถเป็นอย่างไร อาทิ ปิดประตูสนิทไหม กำลังไฟพอหรือเปล่า หรือน้ำมันเหลือเท่าไร รวมไปถึงยังควบคุมการทำงานของรถได้ อาทิ สั่งล้อกหรือปลดล้อก ค้นหารถด้วยระบบ Find My Car อีกทั้งยังมีสามารถเตือนความผิดปกติของรถได้ โดยระบบจะแจ้งเตือนเข้ามาในเอสเอ็มเอส ยกตัวอย่างที่จะแจ้งเตือน ก็คือ รถมีการเคลื่อนที่ผิดปกติ หรือรถมีการสตาร์ทเครื่องยนต์อยู่

เรียกได้ว่าหาจุดขายมาพร้อมรบครั้งใหม่ ซึ่งผลการตอบรับจะเป็นอย่างไรก็ต้องคอยติดตามกันดู แต่ในแง่ภาพรวมๆหลังจากได้สัมผัสกับเจ้าเอ็มจี 6 ใหม่ก็ต้องบอกว่า ดีไซน์ภายนอกไม่ได้ขี้เหร่ แต่หากเทียบกับคู่แข่งอื่นๆที่มีอยู่ในตลาดแล้วก็อาจจะเป็นรองแน่นอน ส่วนเรื่องภายในก็ทำได้ดี แถมระบบต่างๆที่พยายามใส่เข้ามาก็ถือเป็นการเพิ่มแวลูให้รถรุ่นนี้ดูดีมากขึ้น เอาเป็นว่าลูกค้าที่ยังลังเลใจหรือยังไม่รู้จักกับแบรนด์นี้ ก็ลองเข้าไปแวะชมและทดลองขับกันได้ที่โชว์รูมของเอ็มจีทั่วประเทศ

โดยเอ็มจี 6 มีให้เลือก 5 สีได้แก่ สีขาว Arctic White, สีดำ, สีแดง, สีเงิน และสีเทา ส่วนในรุ่นฟาสต์แบ็ค มีสีพิเศษตัวถังขาว Arctic White หลังคาดำ เอาใจพวกชอบแต่งรถให้ดูเป็นสปอร์ต

สนนราคาของเอ็มจี 6 ใหม่ มีด้วยกัน 2 แบบให้เลือก คือฟาสต์แบ็ค (Fastback)
รุ่น 1.8 C 828,000 บาท
รุ่น 1.8 D 908,000 บาท
รุ่น 1.8 D Sunroof 938,000 บาท
รุ่น 1.8 X 1,008,000 บาท
และรุ่น 1.8 X Sunroof 1,038,000 บาท

ส่วนในรุ่น ซีดาน (Sedan) เริ่มต้นที่
รุ่น 1.8 C  818,000 บาท
รุ่น 1.8 D 898,000 บาท
รุ่น 1.8 D Sunroof 928,000 บาท
รุ่น 1.8 X 998,000 บาท
และรุ่น 1.8 X Sunroof 1,028,000 บาท

ถือเป็นความพยายามของเอ็มจี ที่ต้องการจะผลักและดัน เอ็มจี 6 ให้สามารถแจ้งเกิดในบ้านเรา แต่มุมมองรวมๆการดีไซน์แม้จะเป็นการปรับโฉมใหม่ แต่เมื่อนำไปเปรียบเทียบกับคู่แข่งในตลาดที่มีจุดแข็งทั้งในแง่ของแบรนด์ ดีไซน์ และแฟนเฉพาะกลุ่มแล้วก็ต้องถือว่าเป็นการบ้านที่หนักหนา อย่างไรก็ตามก็ต้องให้คะแนนความพยายาม โดยเฉพาะการนำเทคโนโลยีต่างๆ เข้ามาสวมใส่เพื่อเชื่อมต่อระหว่างผู้ขับขี่และรถ ก็ถือเป็นการอำนวยความสะดวกและให้เข้ากับไลฟ์สไตล์ของผู้คนในยุคนี้