Gasohol-91-Phased-Out-In-Thailand

กระทรวงพลังงาน เตรียมผลักดันการใช้แก๊สโซฮอล์ E20 ให้เป็นน้ำมันเบนซินพื้นฐานของประเทศ เพื่อช่วยยกระดับราคามันสำปะหลังและอ้อย คาดเริ่มประกาศใช้ E20 เป็นน้ำมันเบนซินหลัก และยกเลิกผลิตแก๊สโซฮอล์ 91 ในเดือนมิถุนายนนี้ ก่อนจะยกเลิกจำหน่ายในวัยที่ 1 กันยายน 2563

เมื่อวันที่ 15 มีนาคม 2563 นายสนธิรัตน์ สนธิจิรวงศ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน เปิดเผยว่า ได้เร่งรัดให้กรมธุรกิจพลังงาน เตรียมพร้อมที่จะให้น้ำมันแก๊สโซฮอล์ E20 เป็นน้ำมันพื้นฐานกลุ่มเบนซิน ได้ภายในมิถุนายนนี้ เพื่อยกระดับราคามันสำปะหลังและอ้อย ที่ปัจจุบันมีการนำมาใช้ผลิตเป็นเอทานอลคิดเป็นสัดส่วนประมาณร้อยละ 27 ของการผลิตเอทานอลทั้งหมด หลังจากก่อนหน้านี้ประกาศให้ดีเซล B10 เป็นน้ำมันดีเซลพื้นฐานเมื่อ 1 มกราคม 2563 เพื่อสนับสนุนราคาปาล์ม

ทั้งนี้ กรมธุรกิจพลังงานได้หารือกับน้ำมันของเอกชน เบื้องต้นสรุปที่จะกำหนดให้โรงกลั่นน้ำมันเลิกการผลิตน้ำมันแก๊สโซฮอล์ 91 ตั้งแต่ 1 มิถุนายน 2563 ก่อนจะยกเลิกการจำหน่ายหน้าปั๊มน้ำมัน มีผลภายในวันที่ 1 กันยายน 2563 เพื่อผลักดันให้น้ำมันแก๊สโซฮอล์ E20 เป็นน้ำมันเบนซินฐานของประเทศ

Gasohol-91-Phased-Out-In-Thailand

โดย น้ำมันแก๊สโซฮอล 91 คือ น้ำมันเชื้อเพลิงที่มาจากน้ำมันเบนซินไร้สารตะกั่ว มาผสมกับเอทานอล หรือเอทิแอลกอฮอล์ ซึ่งเป็นแอลกอฮอล์บริสุทธิ์ 99.5% ในอัตราส่วน 10 % จึงได้ออกมาเป็นน้ำมันแก๊สโซฮอลออกเทน 91 และยังคงคุณสมบัติในการใช้งานกับเครื่องยนต์ เช่นเดียวกับน้ำมันเบนซินออกเทน 91

นับตั้งแต่ภาครัฐ ประกาศยกเลิกน้ำมันเบนซิน 91 ไปในปี 2556 มาจนถึงน้ำมันแก๊สโซฮอล์ 91 ยกเลิกในปี 2563 แล้ว รถเก่า รถมือสองของใครหลายๆ คน ที่ไม่ได้รองรับน้ำมันแก๊สโซฮอล์ E20 จะมีปัญหาหรือไม่? ในการใช้งาน

มาดูกันว่า 3 ทางออกของรถเก่า ต้องทำอย่างไรกันบ้าง

Gasohol-91-Phased-Out-In-Thailand

1. เปลี่ยนชนิดน้ำมัน เป็นแก๊สโซฮอล์ 95 หรือจูนเครื่องยนต์ให้รองรับ E20/E85

หากน้ำมันรถคุณเป็นรถรุ่นเก่า (หลังปี 1995 ขึ้นไป หรือเครื่องยนต์หัวฉีด) MR.CARRO ขอแนะนำให้รถคุณใช้น้ำมันแก๊สโซฮอล์ 95 ทดแทน เนื่องจากยังคงมีการจำหน่ายตามปกติ และมีราคาที่สูงกว่าน้ำมันแก๊สโซฮอล์ 91 เพียงนิดเดียว แถมให้ประสิทธิภาพในการทำงานดีขึ้นด้วยซ้ำไป เนื่องจากมีออคเทนที่มากกว่า

น้ำมันแก๊สโซฮอล 95 คือ น้ำมันเชื้อเพลิงที่มาจากน้ำมันเบนซินไร้สารตะกั่ว มาผสมกับเอทานอล หรือเอทิแอลกอฮอล์ ซึ่งเป็นแอลกอฮอล์บริสุทธิ์ 99.5% ในอัตราส่วน 10 % เพื่อทดแทนสาร MTBE (Methyl Tertiary Butyl Ether) จึงได้ออกมาเป็นน้ำมันแก๊สโซฮอล ออกเทน 95 และยังคงคุณสมบัติในการใช้งานกับเครื่องยนต์ เช่นเดียวกับน้ำมันเบนซินออกเทน 95

Gasohol-91-Phased-Out-In-Thailand

บางคันอาจจะต้องการความประหยัด ก็สามารถไปติดกล่องจูนเครื่องยนต์ ให้สามารถรองรับ น้ำมันแก๊สโซฮอล E20 หรือ E85 ได้ การติดกล่องก็เพื่อจ่ายน้ำมันให้เพิ่มมากขึ้น ซึ่งแก๊สโซฮอล์ E85 ก็เป็นราคาน้ำมันที่ถูกที่สุดในเวลานี้ (15.29 บาท ณ วันที่ 20 มีนาคม 2563) ช่วยให้สามารถประหยัดเงินได้มาก

แต่ก็แลกกับการสิ้นเปลืองที่มากขึ้น และท่อน้ำมันที่เสื่อมสภาพไวขึ้นด้วย เพราะแอลกฮอลล์ สามารถกัดซึมเข้ารอยปริแตกของท่อน้ำมันได้มากกว่า และต้องเปลี่ยนหัวฉีดใหม่เพื่อลดการอุดตันอีกด้วย

Gasohol-91-Phased-Out-In-Thailand

2. ติดแก๊ส LPG

การติดแก๊ส LPG ในช่วงที่ราคาน้ำมันลดลงฮวบๆ แบบนี้ หลายคนอาจจะคิดว่าเพื้ยนหรือเปล่า? ติดแก๊สแล้วเวลาขายต่อ คนมองว่ารถต้องใช้งานเยอะแน่ๆ ราคาตก เครื่องยนต์ร้อนมากกว่าปกติ ต้องดูแลระบบแก๊ส หม้อต้ม เครื่องยนต์ ต้องตั้งวาล์ว เปลี่ยนซีลวาล์ว แหวนลูกสูบ ฯลฯ เร็วกว่ารถทั่วไป ต้องถ่ายน้ำมันเครื่องไวขึ้น แถวกลัวรถไฟไหม้ด้วย

แต่ที่จริงแล้ว การติดแก๊สก็มีข้อดีอยู่หลายอย่างเช่นกัน เช่น ราคาที่ถูกกว่าน้ำมันมาก (คุณคิดหรือ ว่าราคาน้ำมันจะลงต่ำแบบนี้ตลอดไป) รวมถึงให้ออคเทนเครื่องยนต์ที่มากกว่า (ประมาณออคเทน 105) ทำให้การเผาไหม้ที่สมบูรณ์กว่า

ซึ่งมันจะคุ้มค่ามาก ถ้าคุณเป็นคนที่ใช้รถเยอะๆ เมื่อหักลบรายจ่ายแล้ว การติดแก๊สรถยนต์ อาจทำให้คุณเหลือเงินส่วนต่างไว้ดูแลเครื่องยนต์อีกเยอะเลย ยังไงก็คุ้ม

Gasohol-91-Phased-Out-In-Thailand

3. เปลี่ยนเครื่องยนต์ใหม่

สำหรับรถยนต์รุ่นที่เก่ามากๆ จนน้ำมันไม่รองรับการใช้งานของเครื่องยนต์สักอย่าง อีกทั้งถังน้ำมันยังเป็นเหล็กอีก การเปลี่ยนเครื่องยนต์ก็ดูจะเป็นทางออกที่ดี ของคนที่ไม่ยึดกับกับการ “เน้นเดิมๆ” นัก หรือเครื่องยนต์ที่หาอะไหล่เริ่มยาก กำลังตก ถังน้ำมันแบบเหล็ก ไม่รองรับกับการเติมแก๊สโซฮอล์

เพราะเครื่องยนต์รถรุ่นใหม่ แม้ว่าจะเป็นของเก่าเซียงกงก็ตาม แต่ส่วนใหญ่ก็เป็นเครื่องยนต์ที่ใช้หัวฉีดในการจ่ายน้ำมัน มากกว่าเครื่องยนต์แบบเก่าที่ใช้ระบบคาร์บูเรเตอร์จ่าน้ำมัน ที่ต้องหาคนจูนเก่งๆ เพื่อให้มีประสิทธิภาพ และก็ให้กำลังเครื่องยนต์ กับการดูแลรักษาที่ง่ายกว่าเครื่องยนต์แบบเก่าๆ

ส่วนใครที่อยากขายรถเก่า เพื่อไปซื้อรถปีใหม่ขึ้น ที่รองรับน้ำมันแก๊สโซฮอล์ 95 หรือมีเพื่อนฝูงกำลังหาที่ขายรถอยู่ CARRO เรารับซื้อรถของคุณ สามารถเข้าไปเช็กราคา ตีราคาขายรถก่อนได้ โดยใส่ข้อมูลรถของคุณที่นี่เลย กับ CARRO Express > https://th.carro.co/sell-car/express หรือโทร. 02-508-8425

หรือใครจะ Inbox มาสอบถามก็ได้เช่นกัน ที่ Facebook CARRO Thailand หรือสะดวก Add Line ก็ที่ @Carrothailand หรือคลิกที่นี่ครับ —> เพิ่มเพื่อน

EV-Car-Thailand-From-Government

จะทำได้ไหม? หรือ ขายฝัน? เป็นสิ่งที่หลายคน กำลังคิดกันอยู่ ในระหว่างหาทางป้องกันตัวเองจากไวรัส COVID-19 ที่กำลังระบาดอยู่ในตอนนี้!

สำหรับ “รถยนต์ไฟฟ้า” ที่คณะกรรมการนโยบายยานยนต์ไฟฟ้าแห่งชาติ เตรียมชงมาตรการ “EV ประชารัฐ” ให้เจ้าของรถอายุ 10 ปี สามารถนำมาแลกซื้อรถยนต์ EV หรือ รถแบบ Plug-In Hybrid ได้ใหม่ โดยจะได้เงินสมทบมากถึง 1 แสนบาท ส่วนวินมอเตอร์ไซค์ รับซื้อรถเก่า 15,000 บาท ให้ค่าเปลี่ยนแบตเตอรี่อีก 30,000 บาท เคาะแคมเปญให้ดำเนินการภายในปี 2564-2566

คณะกรรมการนโยบายยานยนต์ไฟฟ้าแห่งชาติ (บอร์ดอีวี) เปิดประชุมนัดแรก มีรองนายกรัฐมนตรี สมคิด จาตุศรีพิทักษ์ เป็นประธาน พร้อมกระทรวงอุตสาหกรรม กระทรวงการคลัง กระทรวงคมนาคม กระทรวงพลังงาน และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง รวมถึงผู้ทรงคุณวุฒิในอุตสาหกรรมยานยนต์

ร่วมหารือในมาตรการผลักดันให้เกิดการผลิตและการใช้รถยนต์-รถบัส-จักรยานยนต์ไฟฟ้า อย่างแพร่หลายหวังลดปัญหามลพิษ และ PM 2.5 โดยวางเป้าหมายผลิตรถ EV ให้ได้ 30% จากกำลังผลิต 2.5 ล้านคัน/ปี ในปี 2030

หนึ่งในมาตรการเร่งด่วนที่นำเสนอคือ โครงการ EV ประชารัฐ ใช้ดำเนินการระหว่างปี 2564-2566 โดยให้สิทธิประโยชน์ คือ รับซื้อรถยนต์เก่า (อายุ 10 ปี) สูงสุด 100,000 บาท/คัน เพื่อนำเงินไปแลกเป็น รถยนต์ไฟฟ้าคันใหม่ หวังให้เกิดการซื้อ-ขาย รถ Plug-In Hybrid (ปลั๊กอินไฮบริด) (หรือ PHEV) 25,000 คัน และ EV พลังงานไฟฟ้า 100% จำนวน 25,000 คัน

EV-Car-Thailand-From-Government

ในกลุ่มรถจักรยานยนต์ใช้ชื่อแคมเปญ “วินสะอาด” ระยะเวลาดำเนินโครงการตั้งแต่ปี ค.ศ. 2020-2023 เป้าหมายคือผู้ขี่รถจักรยานยนต์รับจ้างที่มีเสื้อวินเป็นชื่อตนเอง จำนวน 53,000 คัน ให้เปลี่ยนมาใช้ รถจักรยานยนต์ อีวี

สำหรับสิทธิประโยชน์คือ รับซื้อรถเก่า (10 ปี) 15,000 บาท/คัน และชดเชยดอกเบี้ยส่วนต่าง 10,000 บาท/คัน ภายในระยะเวลา 3 ปี และค่าเปลี่ยนแบตเตอรี่ 30,000 บาท/คัน ภายในระยะเวลา 6 ปี

MG-ZS-EV

แม้ว่าจะเป็นแนวคิดที่ดี แต่หลายฝ่ายยังไม่มั่นใจว่า แนวคิดนี้จะเป็นไปได้หรือไม่ บางคนบอกนำรถอายุมากกว่า 20 ปี ไปแลกเลย น่าจะคุ้ม เนื่องจากรถยนต์ที่มีอายุมากกว่า 10 ปีหลายคัน ก็ยังมีสภาพที่ดีและสมบูรณ์ ดังนั้นการใช้แนวคิดนี้อาจไม่ถูกใจเท่าไหร่นัก

เนื่องจากรถยนต์ไฟฟ้าแทบทั้งหมดล้วนมีราคาที่สูงมาก ราคาหนึ่งล้านบาทขึ้นไป การลดภาษีรถยนต์ไฟฟ้า หรือภาษีแบตเตอรี่ อาจเป็นทางเลือกที่น่าสนใจกว่า ในการกระตู้น หรือเป็นแรงจูงใจให้คนมาใช้รถยนต์ไฟฟ้า อีกทั้งสถานีชาร์จ แบตเตอรี่ และระบบรองรับต่างๆ ยังไม่พร้อมแบบในหลายๆ ประเทศ จึงทำให้การผลักดันรถยนต์รถยนต์ไฟฟ้าในไทย เป็นเรื่องท้าทายอย่างยิ่ง!

แล้วคุณล่ะครับ คิดเห็นอย่างไรกันบ้าง?

แหล่งที่มาจาก:

Tesla-Teardown-Finds-Electronics-6-Years-Ahead-Of-Toyota-And-VW

Hideyoshi Kume ทีมข่าวจาก Nikkei xTech พร้อมกับทีม Nikkei Automotive Staff Writer ได้ทำการวิเคราะห์รถยนต์ Tesla Model 3 เพื่อตรวจสอบชิ้นส่วนต่างๆ โดยพบว่ามีเทคโนโลยีที่ล้ำหน้ากว่าของ Toyota และ Volkswagen ถึง 6 ปี!

คุณรู้หรือไม่? Toyota Motor และ Volkswagen ขายรถยนต์ได้ประมาณ 10 ล้านคันทุกปี แต่ในส่วนของ Tesla ภายใต้การกุมบังเหียนของ Elon Musk (อีลอน มัสก์) นั้น ในปี 2019 มียอดส่งมอบรถแค่ประมาณ 367,500 คัน แต่ถ้าเอาเทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกส์ของ Tesla มาวัดด้วยแล้ว บริษัททั้งสองยังสู้ Tesla ไม่ได้หลายปีเลยทีเดียว

Tesla-Model-3

โดยในปัจจุบัน Tesla Model 3 จัดได้ว่าเป็นรถยนต์ไฟฟ้าที่มีราคาคุ้มค่าที่สุดสำหรับผู้บริโภค (พูดง่ายๆ ก็คือถูกสุดนั่นเอง) โดยมีราคาเพียงแค่ 33,000 ดอลล่าร์สหรัฐฯ เท่านั้น

Tesla-Model-3-Nikkei-Tech

ความโดดเด่นของ Tesla ที่ค่ายรถจากญี่ปุ่นและยุโรป ยังไม่สามารถพัฒนาเท่าเทียมได้ นั่นคือ ชุดควบคุมส่วนกลางที่ชื่อ “Full Self-Driving Computer” หรือที่รู้จักในชื่อ Hardware 3 ซึ่งประกอบด้วยชิป AI ขนาด 260 ตร.ม. จำนวน 2 ตัว

Full-Self-Driving-Computer-Tesla

โดย Tesla พัฒนาชิปดังกล่าวขึ้นเอง พร้อมซอฟต์แวร์พิเศษที่ดีไซน์มาเพื่อเสริมความสามารถในการขับขี่อัตโนมัติ และระบบอินโฟเทนเมนท์ขั้นสูงในรถยนต์ ซึ่งถือเป็นหัวใจสำคัญของรถยนต์ไฟฟ้า Tesla เลยก็ว่าได้

โดยแพลตฟอร์มอิเล็กทรอนิกส์ชุดนี้ มาพร้อมคอมพิวเตอร์ที่ทรงพลัง ที่พร้อมรองรับการเก็บข้อมูลอย่างมากมายในรถยนต์ยุคอนาคต รวมไปถึงระบบขับเคลื่อนอัตโนมัติ ซึ่งคนในวงการอุตสาหกรรมต่างคาดว่าเทคโนโลยีดังกล่าวจะมีช่วงประมาณปี 2025 เป็นอย่างเร็วที่สุด

นั่นหมายถึง Tesla สามารถพัฒนาไปอย่างก้าวกระโดด และเอาชนะค่ายรถคู่แข่งในโลกที่เทคโนโลยีช้ากว่าถึง 6 ปี

Timeline-Tesla-Emergance

นับตั้งแต่ Tesla ได้นำระบบ Autopilot ขับรถแบบกึ่งอัตโนมัติมาใช้ในรถยนต์ Tesla Model S ปี 2014 ซึ่งก็สร้างความฮือฮาไปแล้วทั่วโลก เพราะเนื่องจากเทคโนโลยีจากความสามารถของกล้องรอบคัน และเรดาห์ที่มีรัศมี 16 ฟีต นี้ ยังมีได้แค่ในรถต้นแบบเท่านั้น ซึ่งทาง Tesla ได้เรียกว่า Hardware 1 เป็นระบบที่ช่วยเหลือผู้ขับขี่ให้ขับรถได้อย่างสะดวกสบายมากขึ้น (แต่มือของคุณ ก็ยังต้องควบคุมพวงมาลัย เท้าต้องพร้อมที่คันเร่ง และเบรก) ช่วยให้ขับรถได้อย่างมีเสถียรภาพ

แม้เวลาจะผ่านมาแล้วหลายปี แต่ในด้านเทคโนโลยีโดยรวมของ Tesla วิศวกรจากบริษัทผู้ผลิตรถยนต์ของญี่ปุ่นรายหนึ่ง ที่มีเพรียบพร้อมทั้งเงินตราและเทคโนโลยี ก็ยังต้องออกมาเอ่ยปากยอมรับว่า “เรายังทำแบบนี้ไม่ได้”

สำหรับใครที่ยังนึกไม่ออกว่า ขายรถที่ไหนดี? เอารถมาขายกับทาง CARRO สิ ลงประกาศขายรถฟรี เรารับซื้อรถมือสอง โดยได้ราคาที่คุณพอใจ พร้อมปิดการขายภายใน 24 ชั่วโมง! กับ CARRO Express แค่คลิก https://th.carro.co/sell-car/express หรือจะ Inbox สอบถามรายละเอียดได้ที่ Facebook CARRO Thailand

หรือจะ Add Line สอบถามรายละเอียดได้ที่ @Carrothailand หรือคลิกที่นี่ครับ —> เพิ่มเพื่อน

ขอขอบคุณเนื้อหาจาก

Why-Auto-Finance-Deny-Chevrolet

นับตั้งแต่ เจนเนอรัล มอเตอร์ส ประเทศไทย ประกาศยุติการจำหน่ายรถยนต์ Chevrolet (เชฟโรเลต) ในไทย ภายในสิ้นปี 2563 พร้อมกับขายโรงงานที่ จ.ระยอง ให้ Great Wall Motors (เกรท วอล มอเตอร์ส) จากจีน ซื้อศูนย์การผลิตรถยนต์และเครื่องยนต์ไป บวกกับการลดราคารถยนต์แบบลดกระหน่ำมากถึง 50% โดยเฉพาะ Captiva ใหม่ จนคนที่ซื้อรถรุ่นนี้ไปก่อนหน้านั้น รวมไปถึงผู้ประกอบการขายรถมือสอง ถึงกับต้องช้ำใจ และเรียกร้องให้บริษัทแม่ออกมาเยียวยาไปตามๆ กัน

ซึ่ง Chevrolet Captiva (เชฟโรเลต แคปติว่า) ตอนนี้ก็ได้ถูกจองถูกขายออกไปจนหมดเรียบร้อย! แถมยังมีการซื้อ-ขาย ใบจองกันอีกต่างหาก!

และจากเหตุการณ์ดังกล่าว ก็ทำให้บรรดาสถาบันทางการเงินหลายต่อหลายแห่ง ต่างออกมาเปลี่ยนแปลงนโยบาย ประกาศไม่รับทำสินเชื่อให้กับรถ Chevrolet กันในหลายเจ้า แต่ก็ยังมีบางเจ้าที่กำลังประชุมกับทางผู้ใหญ่ และรับทำให้แต่ยังไม่สามารถเปิดเผยอัตราดอกเบี้ยได้

MR.CARRO จะมาไขข้อสงสัย ว่าทำไมรถ Chevrolet ปิดตัวแล้ว ไฟแนนซ์ถึงไม่รับทำสินเชื่อให้ …

Chevrolet-Colorado-X-Cab

มูลค่าของตัวรถ …

สาเหตุหลักที่ทางบริษัทไฟแนนซ์ ไม่รับจัดไฟแนนซ์ให้กับรถ Chevrolet ที่ลดราคานั้น เนื่องมาจาก “มูลค่าของตัวรถ” ที่ถูกลดไปต่างจากมูลค่าเสื่อมราคาในแต่ละปีมาก

ด้านเต็นท์รถมือสอง

แม้ว่าเต็นท์รถมือสองที่ได้รับซื้อรถ Chevrolet เป็นจำนวนมากจะได้รับผลกระทบจากการปรับลดราคารถของทาง Chevrolet ไปด้วย แต่จากการสอบถามไปยังเต็นท์รถต่างๆ ของ CARRO นั้น พบว่าหลายเต็นท์ตอนนี้ยังคงรับซื้อรถ Chevrolet อยู่ แต่เจ้าของรถก็ต้องทำใจกับเรื่องราคารับซื้อเข้า เนื่องจากทางผู้ประกอบการรถมือสอง ก็ต้องแบกรับความเสื่ยงไปด้วยเช่นกัน

ความเห็นของบริษัทไฟแนนซ์

ด้าน นางกฤติยา ศรีสนิท ประธานคณะเจ้าหน้าที่ด้านธุรกิจสินเชื่อยานยนต์ ธนาคารกรุงศรีอยุธยา จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า กรุงศรี ออโต้ ได้หยุดการให้บริการสินเชื่อรถยนต์ Chevrolet ชั่วคราว และจะมีพิจารณานโยบายการให้บริการสินเชื่อกับลูกค้ากลุ่มดังกล่าว เมื่อมีความชัดเจนด้านการขายและการตลาดจาก GM ต่อไป ส่วนลูกค้าของ เชฟโรเลต ที่ใช้บริการสินเชื่อของบริษัทช่วงก่อนหน้านั้น ยังคงได้รับการสนับสนุนบริการเช่นเดิม

ส่วนนายป้อมเพชร รสานนท์ รองกรรมการผู้จัดการ ธุรกิจสินเชื่อรถยนต์ ธนาคารธนชาต กล่าวว่า ธนาคารจะยังเดินหน้าปล่อยสินเชื่อรถให้กับรถยนต์ยี่ห้อเชฟโรเลตต่อไปตามเงื่อนไขเดิมทุกประการ และไม่มีการปรับลดยอดวงเงินปล่อยสินเชื่อของตัวรถด้วย จึงไม่อยากให้ลูกค้า โดยเฉพาะผู้ประกอบการรถยนต์มือ 1 และ มือสองเป็นกังวล เงื่อนไขทุกอย่างยังเหมือนเดิม

All-New-Chevrolet-Captiva-2019

ซึ่งเท่ากับในเวลานี้ มีธนาคารธนชาตเพียงรายเดียว ที่ยังคงรับปล่อยสินเชื่อให้กับผู้ที่ซื้อรถ Chevrolet อยู่ในขณะนี้ และในกรณีที่เป็นรถมือสอง Chevrolet ทางบริษัทไฟแนนซ์หลายๆ ที่ ก็ยังคงงดปล่อยสินเชื่อด้วยเช่นกัน เนื่องจากจะต้องคำณวณยอดจัดกันใหม่

ถ้าคุณใช้รถ Chevrolet แล้วรู้สึกอยากขายรถ เพื่อไปซื้อรถยี่ห้อใหม่ เอารถมาขายกับทาง CARRO สิ ลงประกาศขายรถฟรี เรารับซื้อรถมือสอง โดยได้ราคาที่คุณพอใจ พร้อมปิดการขายภายใน 24 ชั่วโมง! กับ CARRO Express แค่คลิก https://th.carro.co/sell-car/express หรือจะ Inbox สอบถามรายละเอียดได้ที่ Facebook CARRO Thailand

หรือจะ Add Line สอบถามรายละเอียดได้ที่ @Carrothailand หรือคลิกที่นี่ครับ —> เพิ่มเพื่อน

แหล่งที่มาบางส่วนจาก:

Chevrolet-Thailand-Clearance

นับตั้งแต่ที่ GM ประเทศไทย ออกมาประกาศยุติการขายรถยนต์ Chevrolet (เชฟโรเลต) ในไทยหลังสิ้นสุดปี 2563 พร้อมขายโรงงานประกอบรถยนต์ และโรงงานประกอบเครื่องยนต์ที่จังหวัดระยอง ให้กับ เกรท วอล มอเตอร์ส ผู้ผลิตรถยนต์รายใหญ่ของจีน ทำให้มีการจับตากันว่า รถที่ยังมีอยู่ในสต็อกประมาณ 4,000 คัน เชฟโรเลตจะมีแนวทางจัดการอย่างไร

อ่านเพิ่มเติม >>> สรุป 5 ปัญหา ที่ GM ถึงต้องเลิกขายรถ Chevrolet ในไทย

All-New-Chevrolet-Captiva-2019

และนับตั้งแต่ช่วงบ่ายของเมื่อวานที่ผ่านมา ได้มีบรรดาพนักงานขายรถ (หรือ เซลล์ขายรถ) ของบางดีลเลอร์ที่จำหน่ายรถ Chevrolet ประกาศลดราคารถยนต์ในโชว์รูมกันทุกรุ่น ซึ่งที่น่าจะตะลึงที่สุดก็คือ “All-New Chevrolet Captiva” (เชฟโรเลต แคปติว่า) ประกาศลดราคาสูงสุดถึง 50% ด้วยกัน! ซึ่งเป็นรถยนต์ที่ผลิตในล็อตสุดท้าย อีกทั้งยังคงเงื่อนไขการรับประกันไว้ที่ 3 ปี หรือ 100,000 กิโลเมตร เช่นเดิม

สำหรับ Chevrolet Captiva ใหม่นั้น เป็นรถที่นำเข้ามาจากประเทศจีน แต่มียอดขายต่อเดือนที่ค่อนข้างน้อยมากสำหรับรถรุ่นใหม่หมด มียอดขายเพียงประมาณ 250 คัน/เดือน จึงถูกลดราคามากเป็นพิเศษ

ถ้าคุณอยากขายรถคันเดิม เพื่อไปซื้อรถ Chevrolet ที่กำลังลดกระหน่ำในตอนนี้ เอารถมาขายกับทาง CARRO สิ ลงประกาศขายรถฟรี เรารับซื้อรถมือสอง โดยได้ราคาที่คุณพอใจ พร้อมปิดการขายภายใน 24 ชั่วโมง! กับ CARRO Express แค่คลิก https://th.carro.co/sell-car/express หรือจะ Inbox สอบถามรายละเอียดได้ที่ Facebook CARRO Thailand

หรือจะ Add Line สอบถามรายละเอียดได้ที่ @Carrothailand หรือคลิกที่นี่ครับ —> เพิ่มเพื่อน

เท่าที่ทาง MR.CARRO รวบรวมข้อมูลมาได้จากในหลายดีลเลอร์ พบว่า มีการประกาศโปรโมชั่นลดราคาการขายรถ Chevrolet ด้วยกัน 13 รุ่น ดังนี้

All-New Chevrolet Captiva

  • 4×2 A/T LS 5 ที่นั่ง ลดราคาจาก 999,000 บาท เหลือ 499,000 บาท (หรือคิดเป็นส่วนลด 500,000 บาท)
  • 4×2 A/T LS 7 ที่นั่ง จาก 1,029,000 บาท เหลือ 529,000 บาท
  • 4×2 A/T LT จาก 1,099,000 บาท เหลือ 599,999 บาท
  • Ax2 A/T Premier จากราคา 1,199,000 บาท เหลือ 699,000 บาท

Chevrolet Trailblazer

  • 4×2 A/T LT ดีเซล จาก 1,144,000 บาท เหลือ 895,000 บาท (ลดลงจากเดิม 249,000 บาท)
  • 4×2 A/T LTZ ดีเซล จาก 1,279,000 บาท เหลือ 1,175,000 บาท
  • 4×4 A/T LTZ ดีเซล จาก 1,379,000 บาท เหลือ 1,275,000 บาท
  • 4×4 A/T Z71 ดีเซล จาก 1,399,000 บาท เหลือ 1,295,000 บาท

Chevrolet Colorado

  • 4×2 เอ็กซ์-แคป M/T LT Z71 ดีเซล จาก 699,000 บาท เหลือ 555,000 บาท
  • 4×2 เทรล บอส M/T1 ดีเซล จาก 589,000 บาท เหลือ 655,000 บาท
  • 4×2 เทรล บอส M/T2 ดีเซล จาก 899,000 บาท เหลือ 695,000 บาท
  • 4×2 ไฮคันทรี A/T ดีเซล จาก 998,000 บาท เหลือ 775,000 บาท
  • 4×4 ไฮคันทรี A/T ดีเซล จาก 1,068,000 บาท เหลือ 845,000 บาท

Chevrolet-Car-Clearance-Price

ล่าสุด MR.CARRO ได้ลองสอบถามข้อมูลไปยัง บริษัท เจนเนอรัล มอเตอร์ส (ประเทศไทย) และทาง บริษัท เชฟโรเลต เซลล์ ประเทศไทย จำกัด ได้รับเอกสารข่าวตามรายละเอียดด้านล่างนี้ ยืนยันว่าเป็นโปรโมชั่นจริงจากบริษัทแม่

Chevrolet-Hot-Deal-Sales-2020

Chevrolet-Hot-Deal-Sales-2020

จากการลดราคาแบบสุดๆ ก็สร้างปรากฏการณ์ให้ชาวโซเชี่ยลพูดถึงกันอย่างมาก และทำให้โชว์รูม Chevrolet ที่เคยเงียบเหงา กลับทะลักไปด้วยผู้คนที่สนใจมาดูรถ มาซื้อรถ กันเป็นแถว!

รถ Chevrolet รุ่นต่างๆ ที่ลดราคาอยู่ในขณะนี้ มีเสียงแตกออกเป็น 2 ฝ่าย ว่าน่าซื้อ หรือไม่น่าซื้อ เรามาดูกันว่าเพราะเหตุผลอะไรถึงคิดเช่นนั้น

Chevrolet-Car-Clearance-Price

น่าซื้อ เพราะ …

  • คุ้มค่าเสียยิ่งกว่าคุ้ม ถ้าซื้อ Captiva คันละ 5 แสน ใช้งานไปอีก 5 ปี ขายได้ 1-2 แสน ก็ถือว่าคุ้มค่ามากๆ เพราะได้รับประกัน 3 ปี 100,000 กิโลเมตร แถมศูนย์บริการก็ยังมี เพียงแต่รถใหม่ไม่มีขายเท่านั้นเอง
  • อะไหล่ก็ไม่ต้องกังวล มีแน่นอน เพราะบรรดา Supplier หรือ AcDelco ของทาง GM ก็ยังต้องผลิตอะไหล่ ส่งให้ GM ต่ออย่างน้อย 10 – 15 ปี
  • ในประเทศไทย รถ Chevrolet มีเกือบ 1 ล้านคัน ซึ่งก็ต้องมีใช้มีซ่อมในอนาคต แหล่งรายได้มหาศาลขนาดนี้ บรรดาผู้ผลิตอะไหล่ มีหรือจะไม่ตอบสนองความต้องการ
  • ในยุคที่การสั่งสินค้าออนไลน์ ง่ายหมด ถ้าหากเมืองไทยไม่มีอะไหล่ Captiva โฉมใหม่ ก็สามารถสั่งจากเวียดนามได้ หรือจากจีนได้ หรือตัว Colorado กับ Trailblazer หลายๆ อย่าง ก็สามารถใช้ร่วมกับ Isuzu ได้

ไม่น่าซื้อ เพราะ …

  • ซื้อมาแล้วราคารถตกฮวบฮาบแน่นอน บทเรียนมีให้เห็นมาแล้ว สำหรับรถหลายๆ รุ่นที่มีปัญหา หรือรถหลายๆ รุ่น ที่เคยมาขายในไทยแล้วลอยแพ เลิกกิจการไป
  • ปกติ Chevrolet ก็หาช่างอู่นอกซ่อมได้ยากแล้ว ยิ่ง GM ประกาศเลิกขาย ศูนย์บริการก็คงต้องหายไปด้วยส่วนหนึ่ง (ส่วนโชว์รูมไม่ต้องพูดถึง เปลี่ยนไปขายแบรนด์อื่นแน่นอน) การ Service ต่างๆ คงต้องรอกันนาน รวมถึงอะไหล่ก็น่าจะรอนานไปด้วย

อันนี้ก็ขึ้นอยู่กับวิจารณญาณของท่านแล้วล่ะครับ ว่ารถ Chevrolet ตอนนี้น่าซื้อหรือไม่ ซื้อมาไม่ว่าจะใช้เพียงแค่ไม่กี่ปี หรือจะใช้ยาวๆ ลองนั่งตัดสินใจดู แล้วสำรวจเงินในกระเป๋าด้วย ถ้าถูกใจก็จัดไปเลย!

แต่ MR.CARRO ขอแนะนำให้ซื้อเงินสดนะครับ เพราะถ้าคุณจะซื้อแบบผ่อน ถ้ามีรถตรงรุ่นตรงสีในสต็อคที่คุณอยากได้พอดี สามารถสั่งจองและรับรถได้เลย ส่วนมนุษย์เงินผ่อน จะต้องรอทางไฟแนนซ์สรุปก่อนว่าจะจัดไฟแนนซ์ได้ในรูปแบบไหน และในส่วนของของแถมติดรถนั้น ไม่มีนะครับ เพราะรถน่าจะเรียกได้ว่า ขายในราคาที่แทบไม่มีกำไรแล้ว

และใครที่ไปจองรถหลายๆ คัน เพื่อที่จะนำใบจองไปขายต่อ ทางบริษัทฯ ยังบอกอีกด้วยว่า ผู้ที่จอง อาจจะไม่ได้รถที่จองไว้ก็เป็นไปได้ ซึ่งทางบริษัทฯ จะคืนให้กรณีที่จองรถแล้วไม่ได้รับรถ และการจองนั้น ทางบริษัทฯ จะให้สิทธิ์เพียงท่านละหนึ่งคันเท่านั้น

Chevrolet-Colorado-2019

ค่าใช้จ่ายในการรับรถ Chevrolet ด้วยการซื้อเงินสด มีดังนี้

1. เงินค่าตัวรถ
2. ค่าจดทะเบียน
3. ค่ามัดจำป้ายแดง 4,000 บาท
4. ค่า VAT 7% คิดจากส่วนลด
5. ค่าประกันภัยชั้น 1 25,000 บาท

หมายเหตุ:

  • หากไม่ได้รับรถ คืนจองให้เต็มจำนวนทุกกรณี
  • เงินจอง สามารถเปลี่ยนรุ่นเปลี่ยนสีได้ทุกกรณี

แหล่งที่มาจาก:

5-Problems-GM-Withdraw-Sales-Chevrolet-In-Thailand

เชื่อว่าหลายๆ ท่าน คงได้ทราบข่าวกันไปแล้วนะครับ เกี่ยวกับ เจนเนอรัล มอเตอร์ส ประเทศไทย ประกาศยุติการจำหน่ายรถยนต์ Chevrolet (เชฟโรเลต) ในไทย ภายในสิ้นปี 2563 หลังจากที่ประกาศการยุติการทำตลาดรถ Holden (โฮลเด้น) ที่มีอายุมากกว่า 164 ปี ในออสเตรเลีย และนิวซีแลนด์ พร้อมขายโรงงานที่ จ.ระยอง ให้ Great Wall Motors (เกรท วอล มอเตอร์ส) จากจีน ซื้อศูนย์การผลิตรถยนต์และเครื่องยนต์ไป

แต่ทาง GM ยืนยันจะยังคงมีบริการหลังการขายและดูแลลูกค้าต่อไป อาทิ การรับประกันคุณภาพรถยนต์ การซ่อมบำรุง และการบริการต่างๆ ผ่านเครือข่ายของศูนย์บริการ ที่ได้รับการแต่งตั้งจากเชฟโรเลตทั่วประเทศ

“GM ทราบดีถึงผลกระทบที่จะมีต่อพนักงานและคู่ค้าของเราจากการตัดสินใจครั้งนี้ เราให้คำมั่นที่จะปฏิบัติต่อพนักงาน คู่ค้า และผู้ที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจของเราด้วยความเคารพ ตลอดระยะเวลาการปรับเปลี่ยนนี้” แอนดี้ ดันสแตน ประธานกรรมการตลาดเชิงกลยุทธ์ พันธมิตรและผู้แทนจำหน่าย จีเอ็ม อินเตอร์เนชั่นแนล โอเปอเรชั่นส์ กล่าว

“GM ได้ประเมินทางเลือกหลายทาง ในการรักษาเชฟโรเลตไว้ในตลาดประเทศไทย แต่ความเป็นจริงก็คือ หากไม่มีฐานการผลิตในประเทศไทยแล้ว ก็ไม่อาจที่จะแข่งขันในตลาดรถยนต์ประเทศไทยได้เลย” นายแอนดี้ กล่าว

GM-Chevrolet-Rayong-Plant

นายเฮกตอร์ บีจาเรียล ประธานกรรมการ จีเอ็ม ASEAN กล่าวว่า บริษัทสัญญาที่จะดูแลช่วยเหลือพนักงานและลูกค้า และจะปรับเปลี่ยนการดำเนินงานต่างๆ สำหรับลูกค้า พนักงาน ผู้จัดจำหน่ายรถยนต์เชฟโรเลต และผู้จัดหาวัตถุดิบหรือบริการให้เป็นไปด้วยความเรียบร้อย

“เราจะให้ความช่วยเหลือ และมอบแพ็คเกจเงินชดเชยให้กับพนักงานที่ได้รับผลกระทบทั้งหมด ในจำนวนที่มากกว่ากฎหมายแรงงานไทยกำหนด”

“เราให้คำมั่นสัญญาว่าจะดูแลและให้บริการลูกค้าของเราต่อไป ท่านเจ้าของรถยนต์เชฟโรเลตมั่นใจได้ว่า เราจะยังคงปฏิบัติตามการรับประกันคุณภาพรถยนต์ทุกคัน และให้บริการหลังการขายผ่านเครือข่ายของเราในประเทศไทย เชฟโรเลตจะร่วมมือกับผู้จัดจำหน่ายของเราอย่างใกล้ชิด โดยเราจะเสนอโอกาสในการปรับเปลี่ยนธุรกิจให้แก่ผู้จัดจำหน่าย ให้เปลี่ยนเป็นศูนย์บริการที่ได้รับการแต่งตั้งจากเชฟโรเลต” นายเฮกตอร์ กล่าว

นับตั้งแต่ “GM” (จีเอ็ม) ยักษ์ใหญ่แห่งอุตสาหกรรมยานยนต์โลก ที่ก้าวเข้ามาทำตลาดในเมืองไทยตั้งแต่ 1 มกราคม 2543 กับการขาย Chevrolet Zafira (เชพโรเลต ซาฟิร่า) เป็นประเดิม ซึ่งตลาดไทยเป็นที่ใครหลายๆ คน เรียกว่า “ปราบเซียน” เพราะยักษ์ใหญ่อย่าง GM ก็ยังเคยม้วนเสื่อกลับประเทศไปตั้งแต่ช่วงปลายยุค 70 ที่ผ่านมา ตั้งแต่การทำแบรนด์ Chevrolet หรือ Opel ก็ตาม

ก่อนจะกลับมาใหม่อีกครั้ง ในยุค 2000 โดยเข้ามาแทนที่รถแบรนด์เยอรมนีอย่าง Opel ที่เคยทำการตลาดโดยบริษัท พระนครยนตรการ ก่อนจะลอยแพเลิกขายไป

MR.CARRO จะมาสรุปสาเหตุให้อ่านกันว่า เพราะอะไร ถึงทำให้ GM ถึงต้องเลิกขายรถ Chevrolet ในไทย ใน 5 ปัญหาหลักๆ..

Chevrolet-Cruze

1. รถมีปัญหา

หากเราย้อนกลับไปดูข่าวที่เกิดขึ้นเมื่อหลายปีก่อน ตอนนั้น Chevrolet Cruze (เชฟโรเลต ครูซ) เป็นที่กล่าวขวัญอย่างมากถึงปัญหาของรถยนต์ที่ผู้บริโภคได้พบเจอ เริ่มกันตั้งแต่ เกียร์เปลี่ยนขึ้น-ลงกระตุก เกียร์ไม่ Kick-Down เกียร์กระตุกในช่วงเครื่องเย็น และในสภาวะรถติดเคลื่อนตัวช้า เบรก RF ค้าง กล่อง ECU พัง มอเตอร์ไดชาร์จมีปัญหา ส่งผลถึงแบตเตอรี่รถยนต์ หรือมีอาการไฟโชว์แบบไม่ทราบสาเหตุ เป็นต้น จนเป็นเรื่องต้องขึ้นศาลกันหลายยก จนทาง Chevrolet ต้องผลิต Cruze ขายกันมาแบบลดรุ่นย่อยลงมาเรื่อยๆ ยาวนานอยู่หลายปีก่อนที่จะเลิกผลิตไป

และในส่วนของ Chevrolet Sonic ในรุ่นเครื่องยนต์ขนาด 1.4 ลิตร และ 1.6 ลิตร ก็มีปัญหาตามมาไม่แพ้กัน อาทิเช่น เรื่องปั๊มน้ำ ปั๊มติ๊ก เรื่อง พบโค้ด 84 (คือ สัญลักษณ์ที่บ่งชี้การสั่งงานของสมองกล เกิดขึ้นเมื่อเครื่องยนต์ปรับเข้าสู่ภาวะเพื่อความปลอดภัย (Safe Mode) และทำการลดกำลังของเครื่องลง โดยส่วนใหญ่มีผลทำให้ไฟเตือนระบบ ABS ขึ้น) หรือเครื่องยนต์มีเสียงดัง คอยล์จุดระเบิดเสีย เป็นต้น

แม้ว่า Sonic จะเป็นรถที่มีคุณสมบัติน่าใช้มากๆ ก็ตาม แต่ด้วยปัญหาข้างต้น Sonic จึงต้องถูกเลิกขายตามกันไปอีกหนึ่งรุ่น

เนื่องจากมีรถที่มีปัญหากันอย่างมากในกลุ่มผู้ใช้รถยนต์ Chevrolet ที่เป็นกันในหลายรุ่น ส่งผลต่อความเชื่อมั่นของผู้บริโภคเป็นวงกว้าง จึงทำให้ยอดขายรถของ Chevrolet ตามตกไปด้วย

Chevrolet-Colorado-High-Country

2. รุ่นรถมีให้เลือกน้อยลงเรื่อยๆ

ตลาดรถ Chevrolet ในประเทศสหรัฐอเมริกา มีรถรุ่นใหม่ๆ ออกจำหน่ายอยู่หลากหลายแบบ แต่ตลาดในไทยนั้น มีแต่รถ Chevrolet ในไทย มีแต่ Modelรถที่ผลิตขายกันมาอย่างยาวนานแล้ว อาทิเช่น Chevrolet Colorado เปิดตัวเมื่อเดือนตุลาคม 2554 และ Chevrolet Trailblazer ที่เปิดตัวไปเมื่อ 21 มีนาคม 2555

ตามนโยบายการ Transformation หรือการปรับโครงสร้างการดำเนินธุรกิจของ GM เมื่อปี 2558 GM จะโฟกัสกับตลาดรถปิกอัพ และ SUV ซึ่งมีส่วนแบ่งทางการตลาดในประเทศไทยมากถึง 50%

จึงทำให้รถทั้ง 2 รุ่น ก็ยังคงขายกันมาจนถึงทุกวันนี้ แม้ว่าจะมีการปรับโฉม เล็กๆ น้อยๆ หรือเพิ่มรุ่นพิเศษกันทุกปี แต่ก็ไม่ช่วยให้ยอดขายกระเตื้องขึ้นมากนัก แต่ก็ไม่ถึงกับแย่ จนขายไม่ได้เลยสักคัน

ไพ่ใบสุดท้ายอย่าง Chevrolet Captiva ใหม่ ที่เปิดตัวไปเมื่อ 9 กันยายน 2562 ก็ถือว่ามาช้าเกินการณ์ อีกทั้งยังถูกรถยนต์คู่แข่ง (ที่ใช้พื้นฐานร่วมกันกับ Captiva) โหมกระหน่ำทั้งราคาและโปรโมชั่นอย่างหนัก จน Chevrolet Captiva ก็ไม่ได้ยอดขายเป็นไปตามที่คาด กลับต้องเล่นโปรโมชั่นลดราคากระหน่ำตามไปด้วย

ยอดขายรถ Chevrolet ในไทย ตั้งแต่ปี 2552 – 2562

  • ปี 2552 ยอดขาย 15,112 คัน
  • ปี 2553 ยอดขาย 20,026 คัน
  • ปี 2554 ยอดขาย 31,595 คัน
  • ปี 2555 ยอดขาย 75,457 คัน
  • ปี 2556 ยอดขาย 56,389 คัน
  • ปี 2557 ยอดขาย 25,799 คัน
  • ปี 2558 ยอดขาย 17,456 คัน
  • ปี 2559 ยอดขาย 14,931 คัน
  • ปี 2560 ยอดขาย 18,772 คัน
  • ปี 2561 ยอดขาย 20,313 คัน
  • ปี 2562 ยอดขาย 15,161 คัน

ที่มา: เจนเนอรัล มอเตอร์ส ประเทศไทย

GM-Chevrolet-And-Barack-Obama

3. ปัญหาจากบริษัทแม่

เนื่องจากปัญหาของ GM ในสหรัฐอเมริกาที่เคยมีปัญหาล้มละลาย จนต้องยื่นขอพิทักษ์ทรัพย์ต่อศาลล้มละลาย ในสมัยประธานาธิบดีบารัค โอบามา ของสหรัฐ โดยรัฐบาลสหรัฐฯ ในเวลานั้น ต้องเตรียมเงินทุนสำหรับการปรับเปลี่ยนบริษัท หลังจากที่ยอดขายของ GM ทรุดฮวบลงและราคาเชื้อเพลิงที่พุ่งขึ้น โดยสหรัฐฯ วางแผนปรับเปลี่ยนเงินกู้ 5 หมื่นล้านดอลลาร์เป็นหุ้นสัดส่วน 60% ในช่วงเดือนมิถุนายน 2009

ทำให้ทาง GM ต้องปรับโครงสร้างของบริษัท อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ รถแบรนด์ไหนในเครือที่ขายไม่ได้ ขายไม่ดี จะต้องถูกยุบหรือเลิกไป (เช่น Saturn, Pontiac, Oldsmobile และ Hummer ที่เลิกขายไปในเวลานั้น) และการจัดจำหน่ายรถยนต์ในต่างประเทศ เช่น ในยุโรป รัสเซีย เยอรมนี หรืออังกฤษ ซึ่งถ้ายอดขายในประเทศไหนไม่คุ้มค่าต่อการลงทุนหรือการผลิต ก็จะต้องถูกยุบ ขายกิจการ หรือยุติการขายไปด้วยเช่นกัน เหลือไว้แค่เพียงบริการหลังการขายเท่านั้น

แต่ถ้าหากปัญหาใหญ่อยู่ที่บริษัทแม่ใน USA การวางแผนธุรกิจต่างๆ ก็ย่อมส่งผลกระทบมายัง GM ประเทศไทย อย่างเลี่ยงไม่ได้ นับตั้งแต่ปี 2558 ก็มีนโยบายให้พนักงานลาออกโดยสมัครใจมากถึง 30% ของจำนวนพนักงานในไทยทั้งหมด พร้อมกับถอนตัวจากโครงการผลิตรถ Eco Car เฟส 2 และในปี 2562 ก็มีข่าว GM ประเทศไทย ประกาศเลิกจ้างทั้งพนักงานประจำและพนักงานชั่วคราวกะทันหัน ตกงานกว่า 300 อัตรา

Chevrolet-After-Sales-Service

4. บริการหลังการขาย

นี่ก็นับว่าเป็นปัญหาใหญ่ของผู้บริโภคที่บ่นกันมามาก เรื่องบริการหลังการขาย ช่างตรวจไม่ละเอียด ซ่อมไม่เก่ง บางครั้งหาสาเหตุ แยกแยะปัญหาไม่เจอ ซ่อมไม่จบ จนผู้บริโภคหลายคนรู้สึกเหนื่อยใจ อีกทั้งศูนย์บริการ มีการเปิดปิดบ่อย ทำให้ไม่เกิดการต่อเนื่องในการให้บริการในพื้นที่นั้นๆ หรือรถรุ่นเก่าๆ ต้องรออะไหล่นาน เป็นต้น

Chevrolet-Trailblazer-Test-Drive

5. ราคารถมือสองตกมาก

ราคาขายรถมือสองย่อมมีผลต่อยอดขายรถใหม่อย่างแน่นอน แต่รถยนต์ที่ผ่านการใช้งานทุกรุ่น ราคาตกก็เป็นเรื่องปกติ แต่รถหลายรุ่นที่มีปัญหาตามข้างต้นก่อนหน้า ความเชื่อมั่นของผู้ใช้งานก็ย่อมน้อยลงไป ซึ่งส่งผลไปถึงราคาขายต่อที่ถูกกดลงมากกว่าปกติอีกด้วย และล่าสุด มีข่าวว่าบริษัทไฟแนนซ์ ไม่รับจัดไฟแนนซ์ให้กับรถ Chevrolet ออกมาบ้างแล้ว

ถ้าคุณใช้รถ Chevrolet แล้วรู้สึกอยากขายรถ เพื่อไปซื้อรถยี่ห้อใหม่ เอารถมาขายกับทาง CARRO สิ ลงประกาศขายรถฟรี เรารับซื้อรถมือสอง โดยได้ราคาที่คุณพอใจ พร้อมปิดการขายภายใน 24 ชั่วโมง! กับ CARRO Express แค่คลิก https://th.carro.co/sell-car/express หรือจะ Inbox สอบถามรายละเอียดได้ที่ Facebook CARRO Thailand

หรือจะ Add Line สอบถามรายละเอียดได้ที่ @Carrothailand หรือคลิกที่นี่ครับ —> เพิ่มเพื่อน

ส่วนในประเทศไทยเอง ถ้าใครติดตามวงการยานยนต์อยู่เสมอๆ จะเห็นได้ว่า ทาง เชฟโรเลต เซลส์ ประเทศไทย นอกจากมีนายฝรั่งจะกุมหัวเรือใหญ่แล้ว ก็ยังมีบุคลากรที่เป็นคนไทยฝีมือดี จากหลากหลายวงการธุรกิจ เข้ามาดำรงตำแหน่งในฝ่ายขาย ฝ่ายการตลาด ฝ่ายประชาสัมพันธ์ ช่วยสร้างความสำเร็จให้กับแบรนด์ Chevrolet เป็นที่รู้จักของคนไทยอยู่ด้วยกันหลายคน อาทิ ชาติชาย สุวรรณเสวก, สมภพ ปฏิภานธาดา, ยอดชาย ซื่อวัฒนากุล, ชาญวิทย์ เขียวนาวาวงศ์ษา, ศศินันท์ ออลแมนด์, ณฐพร จิรมหาโภคา, จีรณัฐ แสงดี, อุณา ตัน หรือปิยะนุช จตุรภัทร์ เป็นต้น

Chevrolet-Colorado-Z71

รถยนต์ที่เคยจำหน่ายโดย Chevrolet ประเทศไทย มีกี่รุ่น? นับตั้งแต่ปี 2543 – 2563

Thailand-Car-Sales-Volume-2020

บริษัท โตโยต้า มอเตอร์ ประเทศไทย จำกัด แถลงสถิติการจำหน่ายรถยนต์ปี 2562 พร้อมคาดการณ์ตลาดรถยนต์ไทยปี 2563 ในเศรษฐกิจยุคลุง คาดยอดขายตลาดรถยนต์ไทยโดยรวม 940,000 คัน ลดลง 6.7% เมื่อเทียบกับปี 2562

Thailand-Car-Sales-Volume-2020

ยอดขายรถยนต์รวมในประเทศไทยปี 2562 ลดลง 3% โดยมียอดขายอยู่ที่ 1,007,552 คัน แต่อย่างไรก็ตาม ครั้งนี้ยังถือได้ว่าเป็นครั้งที่ 4 ในประวัติศาสตร์ของตลาดรถยนต์ไทย ที่มียอดขายถึงระดับหนึ่งล้านคัน ถึงแม้ว่าตลาดรถยนต์มีการหดตัวอย่างเห็นได้ชัดในช่วงครึ่งปีหลัง โดยเฉพาะอย่างยิ่งนับตั้งแต่เดือนกันยายนผ่านมา

Thailand-Car-Sales-Volume-2020

สถิติการขายรถยนต์ในประเทศปี 2562

 ยอดขายปี 2562 เปลี่ยนแปลง
เทียบกับปี 2561
ปริมาณการขายรวม 1,007,552 คัน -3.3%
รถยนต์นั่ง 398,386 คัน
-0.3%
รถเพื่อการพาณิชย์ 609,166 คัน -5.1%
รถกระบะ 1 ตัน (รวมรถกระบะดัดแปลง)
492,129 คัน -3.8%
รถกระบะ 1 ตัน (ไม่รวมรถกระบะดัดแปลง)
431,677 คัน
-3.4%

ส่วนแนวโน้มตลาดรถยนต์ของปี 2563 คาดการณ์ว่า ปีนี้นับเป็นปีที่ท้าทายอีกปีหนึ่ง ตลาดรถยนต์ยังคงเผชิญกับหลายปัจจัย จากความเชื่อมั่นของผู้บริโภคต่อภาวะเศรษฐกิจโลกที่ไม่แน่นอน และมาตรการควบคุมสินเชื่อรถยนต์ที่เข้มงวดมากขึ้น ดังนั้นจึงคาดการณ์ว่าตลาดรถยนต์รวมในประเทศ จะอยู่ที่ 940,000 คัน ลดลงประมาณ 7% เมื่อเทียบกับปี 2562 ที่ผ่านมา

Thailand-Car-Sales-Volume-2020

ประมาณการยอดขายรถยนต์ในประเทศปี 2563

ยอดขาย
ประมาณการปี 2563
เปลี่ยนแปลง
เทียบกับปี 2562
ปริมาณการขายรวม 940,000 คัน -6.7%
รถยนต์นั่ง 358,500 คัน -10.0%
รถเพื่อการพาณิชย์ 581,500 คัน -4.5%

แต่สำหรับยอดขายรถโตโยต้าในปี 2562 สามารถสร้างยอดขายเพิ่มขึ้น สวนทางกับสถานการณ์ตลาดที่หดตัวลง โดยโตโยต้า มียอดขายอยู่ที่ 332,380 คัน เพิ่มขึ้นประมาณ 6% ครองส่วนแบ่งการตลาด 33.0% เพิ่มขึ้นจากปีที่แล้ว 2.8 จุด

ปัจจัยหลักมาจากการเปิดตัวรถยนต์รุ่นใหม่ และรุ่นปรับปรุงใหม่ของรถยนต์นั่งอย่าง New Camry และ New Corolla Altis รวมไปถึงกิจกรรมส่งเสริมการขายของ Yaris และ ATIV ตลอดจนรถเพื่อการพาณิชย์ อย่าง Hilux Revo Z Edition, Commuter และ Majesty

Thailand-Car-Sales-Volume-2020

สถิติการขายรถยนต์ของโตโยต้าในปี 2562

ยอดขายปี 2562 เปลี่ยนแปลง
เทียบกับปี 2561
ส่วนแบ่งตลาด
ส่วนแบ่งตลาด
เติบโต (จุด)
ปริมาณการขายโตโยต้า 332,380 คัน +5.5% 33.0% +2.8
รถยนต์นั่ง 117,708 คัน +4.7% 29.5% +1.4
รถเพื่อการพาณิชย์ 214,672 คัน +5.9% 35.2% +3.6
รถกระบะ 1 ตัน (รวมรถกระบะดัดแปลง) 191,669 คัน +8.3% 38.9% +4.3
รถกระบะ 1 ตัน (ไม่รวมรถกระบะดัดแปลง) 165,452 คัน +9.6% 38.3% +4.5

สำหรับเป้าหมายของโตโยต้าในปี 2563 มีเป้าหมายการขายที่ 310,000 คัน ด้วยส่วนแบ่งการตลาดที่ 33.0% ลดลงประมาณ 7% เมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมา

Thailand-Car-Sales-Volume-2020

ประมาณการขายรถยนต์ของโตโยต้าในปี 2563

ยอดขาย เปลี่ยนแปลง
ประมาณการปี 2563
ส่วนแบ่งตลาด
เทียบกับปี 2562
ปริมาณการขายรวม 310,000 คัน -6.7% 33.0%
รถยนต์นั่ง 103,000 คัน -12.5% 28.7%
รถเพื่อการพาณิชย์ 207,000 คัน -3.6% 35.6%

ด้านการส่งออกรถในปี 2562 โตโยต้าส่งออกรถยนต์สำเร็จรูปจำนวน 264,775 คัน ลดลง 10% ทั้งนี้ปริมาณการผลิตสำหรับการขายภายในประเทศ และการส่งออก มีจำนวนรวมทั้งสิ้น 570,850 คัน ลดลง 3% สืบเนื่องจากเศรษฐกิจที่ไม่ดีในหลายภูมิภาค เช่น โอเชียเนีย อเมริกากลางและอเมริกาใต้

ปริมาณการส่งออกรถยนต์สำเร็จรูปและการผลิตของโตโยต้าปี 2562

ปริมาณ
ปี 2562
เปลี่ยนแปลง
เทียบกับปี 2561
ปริมาณการส่งออก 264,775 คัน -10%
ยอดผลิตรวมทั้งส่งออกและการขายในประเทศ 570,850 คัน -3%

สำหรับเป้าหมายการส่งออกรถยนต์สำเร็จรูปของโตโยต้าในปีนี้ คาดการณ์ไว้ว่าปริมาณการส่งออกจะอยู่ที่ 263,000 คัน ลดลงจากปีที่ผ่านมา 1% อันเนื่องมาจากสถานการณ์ทางด้านเศรษฐกิจในกลุ่มประเทศคู่ค้ายังไม่คลี่คลาย นอกจากนี้แผนการผลิตสำหรับการขายภายในประเทศ และการส่งออก จะอยู่ที่ 556,000 คัน ลดลง 3%

เป้าหมายการส่งออกรถยนต์สำเร็จรูปและการผลิตของโตโยต้าปี 2563

ปริมาณ
ปี 2563
เปลี่ยนแปลง
เทียบกับปี 2562
ปริมาณการส่งออก 263,000 คัน -1%
ยอดผลิตรวมทั้งส่งออกและการขายในประเทศ 556,000 คัน -3%

ส่วนถ้าใครอยากขายรถ เพื่อไปถอยรถ Toyota รุ่นใหม่ๆ ต้อนรับปี 2020 ลองมาขายคันเก่ากับ CARRO Express ดูสิ ได้เงินไว เร็ว พร้อมปิดการขายได้ทันที แค่คลิก https://th.carro.co/sell-car/express หรืออยากตีราคารถก่อน สามารถ Inbox สอบถามรายละเอียดได้ที่ Facebook CARRO Thailand

หรือจะ Add Line สอบถามรายละเอียดได้ที่ @Carrothailand หรือคลิกที่นี่ —> เพิ่มเพื่อน

สรุปตัวเลขยอดขายรถ ในเดือนธันวาคม 2562

ปริมาณการจำหน่ายรถยนต์ เดือนธันวาคม 2562

1. ตลาดรถยนต์รวม ปริมาณการขาย 89,285 คัน ลดลง 21.4%

อันดับที่ 1 โตโยต้า 29,487 คัน ลดลง 5.3% ส่วนแบ่งตลาด 33.0%
อันดับที่ 2 อีซูซุ 15,767 คัน ลดลง 28.1% ส่วนแบ่งตลาด 17.7%
อันดับที่ 3 ฮอนด้า 9,537 คัน ลดลง 28.2% ส่วนแบ่งตลาด 10.7%

2. ตลาดรถยนต์นั่ง ปริมาณการขาย 32,766 คัน ลดลง 18.7%

อันดับที่ 1 โตโยต้า 10,080 คัน เพิ่มขึ้น 9.4% ส่วนแบ่งตลาด 30.8%
อันดับที่ 2 ฮอนด้า 6,843 คัน ลดลง 26.1% ส่วนแบ่งตลาด 20.9%
อันดับที่ 3 มาสด้า 3,369 คัน ลดลง 27.7% ส่วนแบ่งตลาด 10.3%

3. ตลาดรถเพื่อการพาณิชย์ ปริมาณการขาย 56,519 คัน ลดลง 22.9%

อันดับที่ 1 โตโยต้า 19,407 คัน ลดลง 11.5% ส่วนแบ่งตลาด 34.3%
อันดับที่ 2 อีซูซุ 15,767 คัน ลดลง 28.1% ส่วนแบ่งตลาด 27.9%
อันดับที่ 3 มิตซูบิชิ 4,623 คัน ลดลง 22.8% ส่วนแบ่งตลาด 8.2%

4. ตลาดรถกระบะขนาด 1 ตัน (Pure Pick up และ รถกระบะดัดแปลง PPV) ปริมาณการขาย 45,025 คัน ลดลง 23.3%

อันดับที่ 1 โตโยต้า 17,128 คัน ลดลง 11.8% ส่วนแบ่งตลาด 38.0%
อันดับที่ 2 อีซูซุ 14,677 คัน ลดลง 27.2% ส่วนแบ่งตลาด 32.6%
อันดับที่ 3 มิตซูบิชิ 4,623 คัน ลดลง 22.8% ส่วนแบ่งตลาด 10.3%

ปริมาณการขายรถกระบะดัดแปลง ในตลาดรถกระบะขนาด 1 ตัน: 5,432 คัน
โตโยต้า 2,164 คัน – มิตซูบิชิ 1,355 คัน – อีซูซุ 768 คัน – ฟอร์ด 703 คัน –  เชฟโรเลต 298 คัน –  นิสสัน 144 คัน

5. ตลาดรถกระบะ Pure Pick up ปริมาณการขาย 39,593 คัน ลดลง 23.2%

อันดับที่ 1 โตโยต้า 14,964 คัน ลดลง 12.5% ส่วนแบ่งตลาด 37.8%
อันดับที่ 2 อีซูซุ 13,909 คัน ลดลง 25.9% ส่วนแบ่งตลาด 35.1%
อันดับที่ 3 ฟอร์ด 3,890 คัน ลดลง 21.2% ส่วนแบ่งตลาด 9.8%


สถิติการจำหน่ายรถยนต์ เดือนมกราคม – ธันวาคม 2562

1. ตลาดรถยนต์รวม ปริมาณการขาย 1,007,552 คัน ลดลง 3.3%

อันดับที่ 1 โตโยต้า 332,380 คัน เพิ่มขึ้น 5.5% ส่วนแบ่งตลาด 33.0%
อันดับที่ 2 อีซูซุ 168,215 คัน ลดลง 5.4% ส่วนแบ่งตลาด 16.7%
อันดับที่ 3 ฮอนด้า 125,833 คัน ลดลง 1.9% ส่วนแบ่งตลาด 12.5%

2. ตลาดรถยนต์นั่ง ปริมาณการขาย 398,386 คัน ลดลง 0.3%

อันดับที่ 1 โตโยต้า 117,708 คัน เพิ่มขึ้น 4.7% ส่วนแบ่งตลาด 29.5%
อันดับที่ 2 ฮอนด้า 96,154 คัน เพิ่มขึ้น 0.4% ส่วนแบ่งตลาด 24.1%
อันดับที่ 3 มาสด้า 96,154 คัน ลดลง 8.8% ส่วนแบ่งตลาด 11.7%

3. ตลาดรถเพื่อการพาณิชย์ ปริมาณการขาย 609,166 คัน ลดลง 5.1%

อันดับที่ 1 โตโยต้า 214,672 คัน เพิ่มขึ้น 5.9% ส่วนแบ่งตลาด 35.2%
อันดับที่ 2 อีซูซุ 168,215 คัน ลดลง 5.4% ส่วนแบ่งตลาด 27.6%
อันดับที่ 3 ฟอร์ด 49,842 คัน ลดลง 24.3% ส่วนแบ่งตลาด 8.2%

4. ตลาดรถกระบะขนาด 1 ตัน (Pure Pick up และ รถกระบะดัดแปลง PPV) ปริมาณการขาย 492,129 คัน ลดลง 3.8%

อันดับที่ 1 โตโยต้า 191,669 คัน เพิ่มขึ้น 8.3% ส่วนแบ่งตลาด 38.9%
อันดับที่ 2 อีซูซุ 153,170 คัน ลดลง 5.5% ส่วนแบ่งตลาด 31.1%
อันดับที่ 3 ฟอร์ด 49,841 คัน ลดลง 23.5% ส่วนแบ่งตลาด 10.1%

ปริมาณการขายรถกระบะดัดแปลง ในตลาดรถกระบะขนาด 1 ตัน : 60,452 คัน
โตโยต้า 26,217 คัน – มิตซูบิชิ 13,558 คัน – อีซูซุ 9,477 คัน – ฟอร์ด 6,355 คัน – เชฟโรเลต 3,091 คัน –  นิสสัน 1,754 คัน

5. ตลาดรถกระบะ Pure Pick up ปริมาณการขาย 431,677 คัน ลดลง 3.4%

อันดับที่ 1 โตโยต้า 165,452 คัน เพิ่มขึ้น 9.6% ส่วนแบ่งตลาด 38.3%
อันดับที่ 2 อีซูซุ 143,693 คัน ลดลง 3.9% ส่วนแบ่งตลาด 33.3%
อันดับที่ 3 ฟอร์ด 43,486 คัน ลดลง 21.7% ส่วนแบ่งตลาด 10.1%

ขอขอบคุณข้อมูลจาก:

Get-Driving-License-At-Saturday-Sunday

ข่าวดีที่มีทุกปี! กรมการขนส่งทางบก ร่วมกับภาคเอกชน เดินหน้า!!! จัดอบรมเสริมความรู้ให้แก่ผู้ขอรับใบอนุญาตขับรถยนต์ชนิดชั่วคราว เฉพาะผู้ที่ยังไม่เคยมีใบอนุญาตขับรถยนต์มาก่อน ในวันเสาร์-อาทิตย์ ประจำปี 2563 รวม 11 รุ่น ฟรี! ซึ่งเป็นโครงการที่ดำเนินการต่อเนื่องมาตั้งแต่ปี 2533 สมัครและอบรมที่ กรมการขนส่งทางบก จตุจักร เท่านั้น!

แต่ถ้าใครอยากจะเปลี่ยนรถใหม่ป้ายแดง แทนรถคันเก่าที่หัดขับ สามารถนำรถคันเดิมมาขายได้ที่ CARRO! เราขอแนะนำ CARRO Express พร้อมรับซื้อรถของคุณ! เพียงลงขายได้ที่ Link นี้เลยจ้า https://th.carro.co/sell-car/express หรืออยากตีราคารถก่อนขาย สามารถ Inbox สอบถามรายละเอียดได้ที่ Facebook CARRO Thailand

Driving-License

โดยใช้ระยะเวลา 2 วัน ดังนี้

  • วันเสาร์ อบรมให้ความรู้ด้านกฎหมายจราจรทางบก มารยาทในการขับรถ และเทคนิคการขับรถอย่างปลอดภัยในสถานการณ์ต่างๆ ก่อนเข้าทดสอบข้อเขียนระบบอิเล็กทรอนิกส์ (E-exam)
  • วันอาทิตย์ ทดสอบขับรถในสนามสอบมาตรฐานของกรมการขนส่งทางบก โดยผู้ผ่านการทดสอบ จะได้รับใบอนุญาตขับรถ มาตรฐานและระเบียบเดียวกับการขอรับใบขับขี่ในวันเวลาราชการ

ที่ผ่านมา ทางขนส่งฯ จัดอบรมแก่ผู้ขอรับใบอนุญาตขับรถทั้งในส่วนกลางและส่วนภูมิภาคทั่วประเทศแล้ว จำนวนกว่า 50,000 คน

Driving-License

DLT-Get-Driving-License-Saturday-Sunday-2020

สำหรับปี 2563 เฉพาะในกรุงเทพมหานคร กำหนดจัดอบรมเสริมความรู้ให้แก่ผู้ขอรับใบอนุญาตขับรถยนต์ ทั้งหมด 11 รุ่น ดังนี้

  • วันที่ 29 กุมภาพันธ์ – 1 มีนาคม 2563
  • วันที่ 21 – 22 มีนาคม 2563
  • วันที่ 25 – 26 เมษายน 2563
  • วันที่ 23 – 24 พฤษภาคม 2563
  • วันที่ 20 – 21 มิถุนายน 2563
  • วันที่ 18 – 19 กรกฎาคม 2563
  • วันที่ 8 – 9 สิงหาคม 2563
  • วันที่ 29 – 30 สิงหาคม 2563
  • วันที่ 26 – 27 กันยายน 2563
  • วันที่ 31 ตุลาคม – 1 พฤศจิกายน 2563 และ
  • วันที่ 14 – 15 พฤศจิกายน 2563

Driving-License

ผู้สมัครเข้าร่วมโครงการต้องมีอายุไม่ต่ำกว่า 18 ปีบริบูรณ์ ยังไม่เคยมีใบอนุญาตขับรถยนต์มาก่อน และยื่นใบสมัครล่วงหน้าด้วยตนเองที่ส่วนใบอนุญาตขับรถ อาคาร 4 ชั้น 2 กรมการขนส่งทางบก จตุจักร

โดยเตรียมหลักฐาน ได้แก่ บัตรประจำตัวประชาชน และใบรับรองแพทย์ฉบับจริง ที่มีอายุไม่เกิน 1 เดือน

อ่านเพิ่มเติม : สอบใบขับขี่รถยนต์และรถจักรยานยนต์ … ง่ายนิดเดียว

อ่านเพิ่มเติม : เอกสารที่ต้องเตรียมตอนไปต่อใบขับขี่ ปี 2563

Driving-License

ติดตามกำหนดการอบรมเพิ่มเติมได้ที่ กรมการขนส่งทางบก หรือสอบถามเพิ่มเติม โทร. 02-271-8888 ต่อ 4202-3

Mazda-Annual-Sales-Volume-In-Thailand

มาสด้า เซลส์ ประเทศไทย เผยความสำเร็จในการดำเนินธุรกิจประจำปี 2562 ที่ผ่านมา ยอดขายพุ่งสูงสุดเกือบ 6 หมื่นคัน Mazda2 (มาสด้า2) ยังคว้าแชมป์สองปีติดต่อกัน

มั่นใจปี 2563 ตลาดรถยนต์จะกลับมาคึกคักอีกครั้ง เน้นการบริหารงานแบบครบวงจร เตรียมเสริมทัพรถใหม่อีกเพียบ ทั้งรถเก๋ง รถอเนกประสงค์ รถครอสโอเวอร์ Mazda CX-30 และรถปิกอัพ รวมทั้งเทคโนโลยีใหม่ล่าสุด

มั่นใจปีนี้ยอดขายมากกว่า 60,000 คัน และครองส่วนแบ่งการตลาดมากกว่า 6%

ส่วนถ้าใครอยากขายรถ เพื่อไปถอยรถ Mazda รุ่นใหม่ๆ ต้อนรับปี 2020 ลองมาขายคันเก่ากับ CARRO Express ดูสิ ได้เงินไว เร็ว พร้อมปิดการขายได้ทันที แค่คลิก https://th.carro.co/sell-car/express หรืออยากตีราคารถก่อน สามารถ Inbox สอบถามรายละเอียดได้ที่ Facebook CARRO Thailand

หรือจะ Add Line สอบถามรายละเอียดได้ที่ @Carrothailand หรือคลิกที่นี่ —> เพิ่มเพื่อน

นายชาญชัย ตระการอุดมสุข ประธานบริหาร บริษัท มาสด้า เซลส์ (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า ตลาดรถยนต์ในปี 2562 ที่ผ่านมา ถูกคาดการณ์ว่ายอดรวมของอุตสาหกรรมรถยนต์น่าจะอยู่ที่ประมาณ 1 ล้านคัน ซึ่งเป็นตัวเลขที่ใกล้เคียงกับปี 2561 ซึ่งมียอดรวมอยู่ที่ 1.04 ล้านคัน แม้จะมีปัจจัยทั้งภายในและภายนอกเข้ามากระทบ แต่ท้ายที่สุดตัวเลขรวมก็ทะลุ 1 ล้านคัน (ประมาณการ) ซึ่งใกล้เคียงกับปีที่ผ่านมา

All-New-Mazda-CX-8-2019

ในส่วนของมาสด้าสามารถบรรลุยอดขายรวมได้สูงถึง 58,129 คัน ลดลงประมาณ 17.5% และครองส่วนแบ่งการตลาด 5.8% แบ่งออกเป็นรถยนต์นั่ง 46,704 คัน รถอเนกประสงค์จำนวน 5,736 คัน โดยเฉพาะการเปิดตัว CX-8 Crossover 7 ที่นั่ง ที่สามารถตอบโจทย์ลูกค้าแบบครอบครัวจนสร้างกระแสตอบรับเป็นอย่างดีจากลูกค้า รวมทั้งรถปิกอัพจำนวน 5,664 คัน และรถสปอร์ต MX-5 จำนวน 25 คัน

เนื่องจากตลาดรถยนต์ในปีที่ผ่านมามีการแข่งขันที่สูงมาก แม้ว่ามาสด้าจะส่งรถยนต์รุ่นใหม่ลงสู้ศึกในตลาดถึง 6 รุ่น แต่ทั้งหมดอยู่ในช่วงไตรมาสสุดท้ายของปี แต่กลับทำยอดขายได้เป็นกอบเป็นกำ สาเหตุสำคัญเกิดจากความมั่นใจของลูกค้าที่มีต่อตัวโปรดักซ์ทุกรุ่น การจัดกิจกรรมส่งเสริมการตลาดที่เข้าถึงกลุ่มเป้าหมายครอบคลุมในทุกพื้นที่ การสื่อสารแบรนด์สู่ความเป็นพรีเมียมที่ลูกค้าสัมผัสได้จริง ตลอดจนการดูแลเอาใจใส่ลูกค้าเป็นอย่างดี

ส่งผลให้ยอดขายรวมทะลุถึง 58,129 คัน สามารถครองส่วนแบ่งการตลาดสูงถึง 5.8%

All-New-Mazda-CX-8-2019

“ภาพรวมของภาวะเศรษฐกิจไทยปี 2562 ขยายตัวอยู่ที่ประมาณ 2.5% โดยรวมต้องบอกว่า “ดีขึ้น” แต่ยังต่ำกว่าศักยภาพที่ควรจะเป็น ปัจจัยสำคัญเกิดจากการเปลี่ยนแปลงทางการเมือง ซึ่งแม้ว่าจะจัดการเลือกตั้งได้ไปได้ด้วยดี แต่ก็ใช้เวลานานกว่าที่จะจัดการแต่งตั้งรัฐบาลเข้ามาบริหารประเทศ ทำให้โครงการสำคัญๆ ชะลอออกไป ไม่สามารถเดินต่อได้ จึงไม่มีกลไกมาช่วยส่งเสริม”

พร้อมกันนี้ นายชาญชัย ตระการอุดมสุข แสดงวิสัยทัศน์เกี่ยวกับแนวโน้มเศรษฐกิจไทยในปี 2563 ว่าเศรษฐกิจไทยในปีนี้มีแนวโน้มขยายตัวเพิ่มขึ้น ประมาณ 2.8 – 3.0% ค่าเงินและเศรษฐกิจอาจส่งผลกระทบต่ออุตสาหกรรมรถยนต์ หากค่าเงินบาทเฉลี่ยที่ 30/ดอลลาร์ฯ ในปีนี้จะกระทบสินค้าเกษตร รถยนต์ และท่องเที่ยว การผลิตอาจลดลงเป็นปีที่สองติดต่อกัน ด้านการท่องเที่ยว ปัญหานักท่องเที่ยวที่ลดลงจะกลับมาคึกคักมากขึ้น เพราะประเทศไทยยังถือเป็นประเทศเป้าหมายของนักท่องเที่ยว โดยเฉพาะนักท่องเที่ยวหลัก จากจีน อินเดีย ญี่ปุ่น เกาหลีใต้ อาเซียน รวมทั้งจากไทยเที่ยวไทย

The-All-New-Mazda3-2019

ประเด็นทางเศรษฐกิจไทย ปี 2563 จำเป็นต้องได้รับแรงหนุนจากภาครัฐเพื่อขับเคลื่อนเศรษฐกิจ อาทิ รัฐต้องออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจเพิ่มเติม การเร่งรัดเบิกจ่ายงบประมาณ รวมถึงการผ่อนคลายนโยบายทางการเงินและการคลัง การลงทุนโครงการของภาครัฐคือแรงขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทย โดยเฉพาะการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานที่อยู่ระหว่างก่อสร้าง อาทิ ท่าอากาศยาน ทางหลวงพิเศษ รถไฟรางคู่ รถไฟฟ้าในเมือง

ส่วนปัจจัยเสี่ยงที่อาจส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจไทยในปีนี้ คือ สถานการณ์ทางการเมืองของไทยและสถานการณ์การเมืองระหว่างประเทศ โดยเฉพาะเรื่องสงครามการค้าระหว่างประเทศ ส่งผลต่อการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลก รวมถึงส่งผลมาถึงเศรษฐกิจไทย ส่วนปัญหาภัยแล้ง อาจกระทบภาคการเกษตรและอุตสาหกรรมในห่วงโซ่ แต่จะส่งผลให้ราคาพืชผลทางการเกษตรทุกชนิดมีแนวโน้มดีขึ้น

Mazda2-2020

ตลาดรถยนต์ไทยในปี 2562 ยอดขายรวมทะลุ 1 ล้านคัน และที่สำคัญ มาสด้า2 ครองแชมป์เบอร์หนึ่งและตลาดรวมรถยนต์เก๋งมาสด้าครองอันดับ 3 อย่างถาวร ก้าวขึ้นครองอันดับหนึ่งของ B Car และ Eco Car เป็นปีที่สองติดต่อกัน

ล่าสุดการปรับโฉมของ New Mazda2 จะส่งผลให้มาสด้ายังคงรักษาแชมป์ในเซกเม้นต์นี้ต่อไป แม้ต้องเผชิญกับคู่แข่งรอบด้าน

ดังนั้น การแนะนำรถยนต์รุ่นใหม่เข้าสู่ตลาดอย่างต่อเนื่อง ส่งผลให้รถยนต์มาสด้า มียอดขายสะสมสูงถึง 2.6 แสนคัน ภายในระยะเวลาเพียง 5 ปี เท่านั้น

The-All-New-Mazda3-2019

สำหรับปี 2563 มาสด้ายังคงมุ่งมั่นเดินหน้าอย่างเต็มที่ในการสื่อสารวิสัยทัศน์ Sustainable Zoom-Zoom 2030 โดยยังคงเน้นเรื่อง “ความสนุกในการขับขี่” หรือ “Joy of Driving” ซึ่งเป็นพื้นฐานที่เราไม่เคยเปลี่ยน

โดยในปีนี้ Mazda Motor Corporation กำลังจะครบ 100 ปี ในวันที่ 30 มกราคม นี้ และทาง มาสด้า เซลส์ ประเทศไทย เตรียมจัดกิจกรรมไปพร้อมกันกับมาสด้าทั่วโลกตลอดทั้งปี 2020 และแน่นอนว่าเรากำลังเตรียมงานสำคัญเพื่อร่วมเฉลิมฉลองอย่างยิ่งใหญ่ เช่นเดียวกัน

นโยบายเกี่ยวกับผู้จำหน่าย การปรับปรุงโชว์รูมทั้งหมดคาดว่าจะแล้วเสร็จ 100% ภายในปีงบประมาณ 2562 นี้ กิจกรรมส่งเสริมการขายจะถูกยึดถือเป็นนโยบายหลักเพื่อให้ดีลเลอร์ทั่วประเทศดำเนินการ ทุกคนต้องออกไปเจอลูกค้าด้วยตัวเอง เน้นสร้างทีมงานให้แข็งแกร่ง และดูแลลูกค้าอย่างดีที่สุด

ด้านผลิตภัณฑ์ ปี 2563 เตรียมเปิดตัวรถยนต์รุ่นใหม่ โดยเฉพาะในกลุ่ม Crossover SUV และครอบคลุมทั้งรถยนต์นั่ง รถอเนกประสงค์ และรถปิกอัพ ตอบสนองความต้องการของกลุ่มลูกค้า ทั้งกลุ่มคนโสด คู่สมรส และกลุ่มครอบครัว ได้อย่างสมบูรณ์แบบ

ด้านอะไหล่และการขนส่ง มาสด้าปรับปรุงทั้งคุณภาพและราคาจนสามารถใกล้เคียงกับตลาด หรือบางชิ้นส่วนมีราคาที่ต่ำกว่าตลาด ด้านการจัดส่งอะไหล่ไปยังศูนย์บริการ มีบริการจัดส่ง 2 รอบต่อวัน สำหรับเขตกรุงเทพฯ และปริมณฑล และต่างจังหวัด 1 รอบต่อวัน

สรุปยอดจำหน่ายรถยนต์มาสด้า ประจำปี 2562 เปรียบเทียบกับปี 2561

ข้อมูลการขายรถ มกราคม – ธันวาคม 2561 มกราคม – ธันวาคม 2562 % เปลี่ยนแปลง
มาสด้า2 45,972 41,987 – 8.6
มาสด้า3 5,255 4,717 – 10.2
มาสด้า CX-3 3,536 1,971 – 44.2
มาสด้า CX-5 8,184 3,020 – 63.0
มาสด้า CX-8 n/a 745 n/a
มาสด้า BT-50 โปร 7,498 5,664 – 24.4
มาสด้า MX-5 30 25 – 16.6
ยอดรวม 70,475 58,129 – 17.5
CEO-Honda-Confident-Hybrid-Popular-More-EV-Car

แม้ว่าในโลกยุคปัจจุบัน “รถยนต์ไฟฟ้า” นับได้ว่าเป็นเทรนด์ของโลกที่มาพร้อมๆ กับยุค Disruption ของอุตสาหกรรมยักษ์ใหญ่หลายรูปแบบ หนึ่งในผู้ที่สร้างความโดดเด่นที่สุดในวงการรถยนต์ไฟฟ้า คงต้องยกให้กับเขา “Elon Musk (อีลอน มัสก์)” ที่เมื่อวานที่ผ่านมา ก็เพิ่งถอดสูท เต้นระบำส่ายเอว ในการเปิดโรงงานผลิตรถยนต์ไฟฟ้า Tesla (เทสล่า) ที่ประเทศจีน!

แต่เนื่องด้วยจากอุตสาหกรรมน้ำมัน และส่วนประกอบเกี่ยวเนื่องต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับเครื่องยนต์ ยังคงเป็นผลประโยชน์ชิ้นใหญ่ของบริษัทน้ำมัน และบรรดา Supplier ทั่วโลก

จึงให้บรรดาค่ายรถยนต์หลายค่าย ที่แม้ว่าจะมีเทคโนโลยีด้านรถยนต์ไฟฟ้าที่โดดเด่น และนำแสดงออกมาในรูปแบบรถ Concept Car (เรียกแบบไทยๆ ก็ รถต้นแบบ หรือ รถแนวคิด) ออกมาบ่อยๆ แต่ตัวเองก็ต้องพยายามปกป้องและผลักดัน ให้รถยนต์ที่ใช้เครื่องยนต์สันดาปด้วยเชื้อเพลิง อยู่ในตลาดรถยนต์ไปให้นานที่สุด

ถ้าเบื่อรถคันเดิม อยากเปลี่ยนไปใช้รถยนต์ไฟฟ้า มาขายรถคันเดิม กับ CARRO Express เพียงแค่คลิก https://th.carro.co/sell-car/express หรือสามารถ Inbox มาขอรายละเอียดได้ที่ Facebook CARRO Thailand

และทำไมล่ะ CEO Honda อย่าง Takahiro Hachigo (ทาคาฮิโระ ฮาจิโกะ) ถึงมองเทรนด์รถใหม่ คนนิยมรถไฮบริด มากกว่ารถ EV? MR.CARRO จะมาเล่าให้ฟังกัน …

https://s3-prod-europe.autonews.com/s3fs-public/styles/width_792/public/Honda%20CEO%20Takahiro%20Hachigo%20web.jpg

Takahiro Hachigo

ทาง Takahiro Hachigo CEO ของ Honda Motor Co. ประเทศญี่ปุ่น ได้ให้สัมภาษณ์กับทาง Auto News Europe ยังคงวางเป้าหมายในการผลิตรถยนต์ไฮบริด และขายรถยนต์ไฮบริดให้มากขึ้น และปรัชญาสำคัญของ Honda ก็ยังคงตั้งใจผลิตรถที่ประหยัดน้ำมันที่สุด ออกมาจำหน่ายเช่นเคย

แม้ว่าในปี 2030 นี้ Honda จะคาดหวังว่า ยอดขายรถยนต์ 2 ใน 3 เป็นรถยนต์ไฟฟ้า ไปตามวิสัยทัศน์ปี 2030 “Honda e:TECHNOLOGY” แล้วก็ตาม

แต่ CEO Honda ยังเชื่อว่ารถยนต์ไฮบริด (Hybrid) ยังคงเป็นเทรนด์ของรถใหม่อยู่ในเวลานี้ ไม่คิดว่ารถยนต์ไฟฟ้าเป็นกระแสหลักของวงการรถยนต์โลกในตอนนี้ และยังไม่เชื่อด้วยซ้ำไปว่า ลูกค้าส่วนใหญ่เวลานี้จะต้องการรถยนต์ EV จริงๆ หรือ?

เพราะบรรดาโครงสร้างพื้นฐาน (Infrastructure) ในหลายๆ ประเทศ รวมไปถึงกฎหมายบางอย่าง ยังคงไม่พร้อมรองรับต่อรถยนต์ไฟฟ้านัก รถยนต์ไฟฟ้า จึงอาจไม่ใช่รถที่ผู้คนส่วนใหญ่ในเวลานี้ต้องการ และทาง Honda เองคิดว่า เราก็ยังคงต้องพัฒนารถยนต์ EV กันต่อไป

ซึ่งทาง Honda เราพยายามเน้นปรับปรุงรถยนต์ไฮบริด ให้เครื่องยนต์ประหยัดน้ำมัน และใช้น้ำมันได้อย่างมีประสิทธิภาพมากที่สุด เพื่อให้สภาวะแวดล้อมของโลกอยู่ในภาวะที่มลพิษน้อยที่สุด พร้อมกับผ่านมาตรฐานไอเสียอันเข้มงวดให้ได้อีกด้วย

พอมองในส่วนของระบบขับเคลื่อนรถยนต์โดยไร้คนขับ (Autonomous Driving) ทาง CEO Honda เอง กล่าวถึงเรื่องนี้ด้วยเช่นกัน โดยบอกว่าเรามีการลงทุนไปถึงเรื่องนี้เช่นกัน รวมไปถึงการผลิตรถยนต์ที่ทำให้ผู้ขับขี่ เกิดอุบัติเหตุได้น้อยที่สุด หรือไม่เกิดขึ้นเลย

Honda-Accord-2019

หนึ่งในสิ่งที่ Honda ภูมิใจนำเสนอในรถหลายๆ รุ่น ที่เราได้เห็นกันในปัจจุบัน อาทิเช่น ระบบ “Honda Sensing” ที่ติดตั้งในรถยนต์รุ่น Civic และ Accord ซึ่งก็มีการใช้เรดาร์ ในการตรวจจับสิ่งกีดขวางด้านหน้า เพื่อช่วยผู้ขับขี่รถให้อยู่ในเลน รวมไปถึงการเบรกโดยอัตโนมัติ หากเข้าไปวัตถุด้านหน้ามากเกินไป เป็นต้น

แม้ว่าจะเป็นเทคโนโลยีที่ต้องใช้ต้นทุนการผลิตค่อนข้างสูง แต่ทาง Honda ก็จะพยายามพัฒนาฟังก์ชั่นเหล่านี้ ให้มีราคาที่ย่อมเยาว์ เพื่อจะได้ติดตั้งในรถทุกระดับได้ในอนาคต

https://www.synopsys.com/content/dam/synopsys/solutions/images/cs327718450-automotive-levels-infographic-v4.jpg.imgw.850.x.jpg

Levels of Driving Automation (แหล่งที่มา Synopsys.com)

เมื่อไหร่ก็ตามที่ไปถึงระดับ 3 ทาง Honda ก็คงต้องใช้ระบบ Advanced Driver Assistance Systems (ADAS) ที่ต้องมีค่าใช้จ่ายสูง ซึ่งทางเรายังคงคิดอยู่ว่า จะตัดสินใจนำระบบนี้ไปติดตั้งในรถรุ่นใดเป็นรุ่นแรก สำหรับระบบขับเคลื่อนรถยนต์โดยอัตโนมัตินี้

สำหรับรถยนต์ EV ในปี 2020 Honda จะเริ่มจำหน่าย Honda e ในญี่ปุ่น (เป็นรถยนต์ไฟฟ้า ที่มีรูปทรงคล้ายกับ Honda Civic รุ่นแรก) และจะดำเนินธุรกิจโดยมีวิสัยทัศน์ 2030 เป็นแนวทาง เพื่อตอบสนองผู้คนทั่วโลก นอกจากจะส่งมอบความสุขแล้ว ยังเพิ่มศักยภาพในการใช้ชีวิตให้กับผู้คนอีกด้วย

แหล่งที่มาจาก: