10-New-Normal-In-Automotive-Society

ในเวลานี้เราคงปฏิเสธไม่ได้แล้วล่ะครับว่า การแพร่ระบาดของ โควิด-19 ที่สร้างความเสียหาย และความเปลี่ยนแปลงไปทั่วโลกอย่างชนิดที่ว่า พลิกฝ่ามือเลยทีเดียว จนทำให้หลายธุรกิจต้องปรับตัวหนีตาโควิด-19 กันเป็นแถว

และอีกสิ่งที่ทำให้พฤติกรรมผู้คน ต้องถูกเปลี่ยนไปอย่างรวดเร็วและรุนแรงในเวลาสั้นๆ ก็กลายมาเป็น “New Normal” หรือ “ความปรกติใหม่” หรือ “ฐานวิถีชีวิตใหม่” ในแทบทุกๆ ด้าน เพื่อสุขอนามัยและห่างไกลจากเชื้อโรค ทั้งไลฟ์สไตล์ ธุรกิจ สาธารณสุข สั่งอาหาร ซื้อของ โอนเงิน หรือการทำงานจากที่บ้าน (Work From Home) เป็นต้น

บริษัทรถยนต์ ดีลเลอร์รถยนต์ และผู้ทำธุรกิจเกี่ยวกับรถยนต์ทั้งหลาย ก็ต้องปรับตัวตาม New Normal ไปด้วยเช่นกัน แต่จะมีอะไรบ้าง MR.CARRO สรุปมาเล่าให้ฟัง 10 อย่างด้วยกัน…

Carro-Express

1. ซื้อรถ – ขายรถ ที่บ้าน

ในยุคโควิด-19 ก่อนหน้านี้ทำให้หลายคนต้อง Work From Home อยู่บ้าน ลดเชื้อ เพื่อชาติ หรือต้องผันตัวมาทำอาชีพอิสระ ในช่วงที่ผ่านมาบริษัทรถยนต์ก็ต้องปรับตัว ด้วยการให้บริการลูกค้าถึงบ้าน ง่ายๆ ด้วยการลงทะเบียนผ่านระบบออนไลน์ หรือจะโทรไป จะใช้สื่อโซเชียลมีเดีย ติดต่อไปตามช่องทางการสื่อที่โชว์รูมรถแต่ละแห่งมี ก็ได้เช่นกัน

ไม่ว่าจะเป็นการ Test Drive รถยนต์ ก็จะมีการนำรถทดลองขับมาให้ลองกันถึงบ้าน หรือการจองรถ ซื้อรถ ถ้าลองแล้วถูกใจก็สามารถจองและซื้อได้เลย หรือจะผ่านระบบออนไลน์ก็ได้

ส่วนใครที่อยากจะขายรถคันเก่า เพื่อซื้อรถคันใหม่ ก็ง่ายนิดเดียว เพียงเข้าไปที่ “CARRO Express” กรอกรายละเอียดรุ่นรถ ปี เลขไมล์ ราคาที่คุณต้องการ และรูปรถของคุณ ก็สามารถขายรถออนไลน์ได้แล้ว ง่ายนิดเดียว

ทีนี้ก็รอการติดต่อกลับมาจากทางทีมงาน CARRO เพื่อตกลงราคาที่คุณพึงพอใจที่สุด ก่อนจะมาตรวจดูสภาพรถอีกที ถ้าคุณ OK ตกลง ก็พร้อมปิดการขาย ทำสัญญาซื้อขายรถ และรับเงินสดไปได้เลย

2. เปิดตัวรถออนไลน์

จากเหตุผลของการ Social Distrancing หรือการเว้นระยะห่างทางสังคม และหลีกเลี่ยงการแพร่ระบาดของโรค ทำให้หลายค่ายรถ ตัดสินใจเปิดตัวรถยนต์ออนไลน์

ที่ผู้สนใจสามารถติดตามการเปิดตัวรถรุ่นที่ตัวเองสนใจ ที่ไหนก็ได้ในโลก ขอให้มีแค่อินเตอร์เน็ตเข้าถึง และยังสามารถ Comment ร่วมกับผู้ติดตามคนอื่นๆ หรือถามคำถามสดๆ ผ่านระบบโซเชียลมีเดียได้อีกด้วย

10-New-Normal-In-Automotive-Society

3. บริการ Mobile Service

ต่อไปนี้ถ้ารถคุณเกิดมีปัญหาเล็กๆ น้อยๆ หรือต้องตรวจเช็ครถตามระยะ แค่อยู่ที่บ้าน หรือที่เกิดเหตุ ไม่ต้องขับรถไปที่โชว์รูม ก็สามารถรอทีมช่างมาตรวจเช็คได้ด้วยรถ Mobile Service เพียงแค่นัดล่วงหน้าเท่านั้น

4. รถมือสอง และรถใหม่ จะขายดีขึ้น

แม้ว่าจะมีผู้คนที่ได้รับผลกระทบจากโควิด-19 ตกงานเป็นจำนวนมาก กระทบต่อเศรษฐกิจ และการจับจ่ายใช้สอย แต่ก็ส่งผลให้รถมือสองราคาถูกๆ ขายดี และมีความต้องการมากขึ้น

เนื่องจากหลายคน พยายามหลีกเลี่ยงระบบขนส่งมวลชนบ้านเรา ถ้าไม่คุณภาพแย่ ไม่สะอาด เป็นแหล่งรวมเชื้อโรค หรือค่าโดยสาร ค่าใช้จ่ายในการเดินทางแพง เมื่อคำนวณกับการใช้รถยนต์ส่วนตัว แถมต้องแออัดเบียดเสียดกับคนเยอะๆ ยิ่งในหน้าฝนนี่ยิ่งแย่

ซึ่งส่งผลให้ตลาดรถมือสอง กับรถใหม่ หลังเศรษฐกิจพื้นจะขายดีขึ้น ด้วยเหตุผลดังกล่าว

10-New-Normal-In-Automotive-Society

5. Drive Thru และต่อใบขับขี่ออนไลน์ มาแรงขึ้น

ปกติ Drive Thru ก็มีอยู่แล้วในหลายประเภท ตั้งแต่เข้าร้านอาหาร Fast Food, ไปรษณีย์ไดร์ฟทรู ส่งของไม่ต้องลงรถ หรือเลื่อนล้อต่อภาษี ไม่ต้องลงรถ สะดวก ปลอดภัย ต่อไปนี้จะมีหลายกิจการมากขึ้น ที่จะใช้วิธีการปฏิบัตินี้

อีกทั้งการต่อใบขับขี่ออนไลน์ จองคิวออนไลน์ จะเริ่มเป็นที่นิยมมากขึ้น สำหรับผู้ที่ใบขับขี่รถหมดอายุไม่เกิน 1 ปี หรือผู้ต้องการต่ออายุใบขับขี่ล่วงหน้าไม่เกิน 90 วัน เพียงแค่ลงทะเบียนเข้ารับการอบรม ก่อนที่จะไปรับการทดสอบสมรรถภาพของร่างกาย และออกใบอนุญาตขับรถใหม่ได้ภายใน 90 วัน นับแต่วันที่ผ่านการอบรม

อ่านเพิ่มเติม : 5 ขั้นตอนต่อใบขับขี่ออนไลน์ กับกรมการขนส่งทางบก ในช่วงโควิด-19 ระบาด!

6. ความสะอาดต้องเป็นที่หนึ่ง

โชว์รูมรถยนต์ นอกจากสถานที่จะต้องดูกว้างขวาง หรูหราใหญ่โต เรื่องความสะอาดก็เป็นสิ่งที่ละเลยไม่ได้อีกต่อไป ต้องมีทั้งเจลแอลกฮอลล์ หรือเจลล้างมือบริการ มีหน้ากากอนามัย และเฟซชิลด์ รวมถึงมีจุดคัดกรอง ตรวจวัดอุณหภูมิร่างกาย ให้ตรวจสอบพนักงานก่อนเริ่มปฏิบัติงาน รวมไปถึงตรวจเช็คลูกค้า ก่อนเข้าใช้บริการ

และการทำความสะอาดอย่างสม่ำเสมอโดยเฉพาะจุดที่มีการสัมผัสบ่อยครั้ง และทำความสะอาดรถทดลองขับทุกครั้ง หลังเสร็จสิ้นการทดลองขับ และทำความสะอาดห้องบริการต่างๆ เป็นพิเศษ เช่น มุมเด็กเล่น ห้องละหมาด พร้อมทั้งมีการฉีดพ่นฆ่าเชื้อในศูนย์บริการเป็นประจำ

10-New-Normal-In-Automotive-Society

7. พ่นน้ำยาฆาเชื้อ เป็นเรื่องปกติ

การพ่นน้ำยาฆ่าเชื้อภายในรถ และในโชว์รูมรถ ที่ปกติตามโชว์รูมรถมักไม่ค่อยได้ทำ แต่ตอนนี้จะกลายเป็นมาตรฐานของรถยนต์ทุกแบรนด์ สำหรับผู้นำรถมาซ่อม หรือตรวจเช็คที่ศูนย์บริการ และเป็นแพคเกจของแถมสำหรับคนออกรถใหม่

8. จ่ายเงินแบบ Cashless

การจ่ายเงิน ไม่ว่าจะเงินจอง เงินดาวน์ เงินค่างวด หรือค่าซ่อมรถ ค่าประกันภัย ค่าบริการต่างๆ ต่อไปนี้ไม่ต้องหอบเงินมาเป็นปึกๆ อีกแล้ว เพียงแค่คุณมีบัตรเครดิต หรือจ่ายเงินผ่าน Mobile Banking ในสมาร์ทโฟน บริษัทรถทุกแห่งก็พร้อมรับเงินจากคุณ โดยไม่ต้องสัมผัสธนบัตรที่อาจปนเปื้อนไปด้วยเชื้อโรค

10-New-Normal-In-Automotive-Society

9. รถยนต์ไฟฟ้า คนสนใจมากขึ้น

หลังยุคโควิด-19 จะเป็นการเร่งให้รถยนต์ไฟฟ้าในบ้านเรา เฟื่องฟูกันมากขึ้น แม้ว่าอุตสาหกรรมยานยนต์โลกจะมียอดขายรถที่ตกฮวบฮาบไปทั่วโลก และดูถดถอยลงไปอย่างมาก แต่คนเริ่มตระหนักถึงมลพิษ และพลังงานสะอาด ที่ได้เห็นจากช่วงโควิด-19 ที่การใช้รถยนต์ลดลงเป็นอย่างมาก สภาพอากาศ สิ่งแวดล้อมไปในทางที่ดีขึ้น

10. คนขับรถเที่ยวกันมากขึ้น

ผลจากการ Social Distrancing ทำให้คนที่เคยขึ้นรถทัวร์ รถไฟ อาจไม่สะดวกในการเดินทาง หรือการท่องเที่ยวเป็นกลุ่มเล็ก อาจเปลี่ยนพฤติกรรมมาเป็นการขับรถยนต์ส่วนตัว ท่องเที่ยวกันในช่วงวันหยุดมากขึ้น

ที่สำคัญ CARRO ขอเป็นพลังใจให้ทุกคนก้าวข้ามความยากลำบาก ให้ผ่านพ้นหลังหมดช่วงวิกฤต COVID-19 จบสิ้น ซึ่งแต่ละคนอาจมีเรื่องราวมากมาย และประสบการณ์ที่เกิดขึ้น ให้ได้เล่าสู่กันฟังอย่างไม่รู้จบ

ส่วนถ้าใครอยากขายรถ เพื่อนำเงินไปใช้จ่ายในหลังหมดยุคโควิด-19 สามารถขายรถคันเก่ากับ CARRO Express ได้ เรายินดีรับซื้อรถของคุณ ได้เงินไว เร็ว พร้อมปิดการขายได้ทันที แค่คลิก https://th.carro.co/sell-car/express หรืออยากตีราคารถก่อน สามารถ Inbox สอบถามรายละเอียดได้ที่ Facebook CARRO Thailand

หรือจะ Add Line สอบถามรายละเอียดได้ที่ @Carrothailand หรือคลิกที่นี่ —> เพิ่มเพื่อน

Carro-Frank-How-To-Adjust-Seating-For-Driving

เวลารถติดนานๆ หรือขับรถทางไกล แน่นอนว่าผู้ขับขี่อาจจะต้องมีอาการปวดเมื่อย ปวดหลังขณะขับรถอยู่แล้ว สาเหตุก็มาจากท่านั่งในการขับรถของคุณนั่นเอง หากคุณเลือกท่านั่งขับรถที่ผิดวิธี อย่างเช่น ก้มหน้ามากเกินไป นั่งหลังงอ หรือนั่งเอียงตัว ก็จะส่งผลให้คุณปวดเมื่อยหลังจากการขับขี่ได้ งั้นเราลองมาปรับท่านั่งขับรถที่ถูกต้องกันดีกว่า รับรองนั่งสบาย แถมปลอดภัยระหว่างขับขี่อีกด้วยนะ ทำง่ายนิดเดียวครับ

How-To-Adjust-Seating-For-Driving

1. ปรับความห่างของเบาะให้พอดี

อันดับแรกคุณจะต้องปรับระยะห่างของเบาะกับเบรก และระยะห่างของคันเร่งให้พอดี โดยปรับเบาะให้เข่างอตัวเพียงเล็กน้อย เอาแบบสบายๆ ไม่ต้องเกร็งจนเกินไปนะครับ ส่วนระยะห่างการจับพวงมาลัยจะต้องพอดีเช่นกัน เพราะมันจะช่วยทำให้คุณจับพวงมาลัยได้ง่าย และปลอดภัยขณะขับรถนั่นเอง

2. อย่าลืมปรับความสูงของเบาะด้วย

ต่อมาให้ปรับความสูงของเบาะให้พอดีระดับสายตาด้วย อย่างเช่น ถ้าเราเป็นคนที่ตัวเล็กเวลามองอาจจะไม่ค่อยเห็นชัดก็ต้องเพิ่มความสูงของเบาะ แต่ถ้าเราคนที่ตัวสูงก็อาจจะต้องลดระดับความสูงของเบาะ เพื่อช่วยให้คุณมองเห็นเส้นทางง่ายขึ้น

3. ปรับพนักพิงให้พอดีกับแผ่นหลัง

หากคุณอยากนั่งให้สบายๆ และปลอดภัยขณะขับขี่ด้วย ก็ลองปรับพนักพิงเอน 110 องศาก่อนสิ! เพียงแค่ปรับให้พอดีกับแผ่นหลังของคุณ และเอามือไปวางบนพวงมาลัยได้ถนัด มันจะช่วยให้คุณไม่เกร็งขณะขับรถนั่นเอง ทั้งนี้เพื่อความสบายขึ้น เราสามารถปรับหัวเบาะ หรือหัวหมอนให้พอดีกับศีรษะคุณด้วย เวลาคุณเกิดเบรกกระทันหัน จะช่วยลดแรงกระแทกได้ดี และบรรเทาอาการปวดเมื่อยต้นคอ

How-To-Adjust-Seating-For-Driving

4. จับพวงมาลัย 3 และ 9 นาฬิกา

ถือว่าเป็นหัวใจหลักในการขับรถเลยล่ะ เพราะพวงมาลัยเป็นอุปกรณ์ในการควบคุมทิศทางของรถยนต์ กรณีที่คุณจับพวงมาลัยไม่ถูกวิธี จะทำให้คุณบังคับทิศทางยาก โดยแนะนำให้เราจับพวงมาลัยตำแหน่ง 3 และ 9 นาฬิกา จะช่วยให้หมุนพวงมาลัยได้เร็ว และไม่หลุดมือด้วย

5. ปรับกระจกข้างและกระจกหลัง

เพราะความปลอดภัยเป็นสิ่งสำคัญ ก่อนที่เราจะขับรถยนต์ก็ต้องปรับกระจกมองข้างและกระจกมองหลังให้ชัดเจน ถ้าเราปรับกระจกไม่พอดีกับตำแหน่งอาจจะทำให้คุณเสียหลักในการทรงตัว อีกทั้งอันตรายต่อตัวผู้ขับขี่ และผู้ใช้รถใช้ถนนร่วมกันด้วย

6. คาดเข็มขัดนิรภัยก่อนขับรถ

สุดท้ายก่อนออกเดินทาง เพื่อนๆ อย่าลืมคาดเข็มขัดนิรภัยกันด้วยนะครับ เพื่อความปลอดภัยขณะขับขี่ แถมไม่โดนเจ้าหน้าที่ตำรวจเรียกปรับด้วย เพียงแค่คุณดึงสายเข็มขัดนิรภัยมาพาดเฉียงไล่ลงมาที่สะโพก หลังจากนั้นก็ล็อกสายเข็มขัดนิรภัยให้แน่น แล้วตรวจสอบด้วยนะครับว่าสายเข็มขัดล็อคแน่นหรือไม่ มันจะช่วยป้องกันอุบัติเหตุบนท้องถนนได้ดีเลยล่ะ

หลังจากเราปรับท่านั่งขับรถให้ถูกวิธีแล้ว มันจะช่วยให้เราควบคุมการขับขี่ได้ดีขึ้น ไม่ว่าจะเป็นเวลาที่คุณจับพวงมาลัย เหยียบคันเร่ง เหยียบเบรก หรือวิสัยทัศน์ในการมองเห็น เป็นต้น ถือว่าสำคัญในการขับรถยนต์มากๆ เพราะนอกจากจะเพิ่มความปลอดภัยให้กับตัวคุณ ยังเพิ่มความสะดวกสบายขณะขับรถอีกด้วย แต่ถึงอย่างไรเพื่อนๆ ก็อย่าลืมทำประกันรถยนต์ด้วยนะ จะได้มีคนคอยช่วยดูแลทั้งรถทั้งคุณตลอดเส้นทาง มีเผื่อไว้ก่อน ย่อมอุ่นใจกว่าเนอะ!!

ขอบคุณข้อมูลจาก : frank.co.th ประกันที่รวดเร็ว เรียบง่าย และจริงใจกับคุณ

Carro-Priceza-Insurance-For-Secondhand-Car

ในกรณีที่คุณซื้อรถมือหนึ่งป้ายแดงคุณจะได้รับประกันชั้น 1 มากับรถของคุณด้วย แต่หากคุณซื้อรถยนต์มือสองมาแล้ว ในบ้างครั้งก็อาจจะไม่มีประกันภัยมาให้ด้วย ซึ่งหลายๆ คนก็คงเกิดคำถามที่ว่า แล้วจะซื้อประกันแบบไหนดีให้กับรถมือสองละ?

ในส่วนนี้แนะนำให้ลองดูหลายๆ ปัจจัยเป็นส่วนประกอบ ตั้งแต่ลักษณะการขับขี่ หรือการใช้งานรถของคุณ จนไปถึงสภาพและอายุของรถ หากเป็นไปได้การเลือกใช้ประกันภัยรถยนต์ชั้น 1 ก็ยังคงเป็นตัวเลือกที่เหมาะสมที่สุด

แต่หากคุณไม่สามารถซื้อประกันภัยรถยนต์ชั้น 1 ได้ ประกันภัยรถยนต์ชั้น 2+ ก็ถือเป็นอีกทางเลือกหนึ่งที่น่าสนใจไม่น้อย ที่นี้เรามาดูถึงเหตุผลกันบ้างดีกว่า ว่าทำไมถึงต้องเลือกใช้ประกันภัยรถยนต์ 2 ตัวนี้

Insurance-For-Secondhand-Car

ประกันภัยรถยนต์ชั้น 1

จะทำให้คุณสามารถขับขี่รถยนต์มือสองได้อย่างอุ่นใจมากขึ้น เนื่องจากประกันภัยชนิดนี้ถือได้ว่าเป็นประกันภัยที่ให้การคุ้มครองทั้งคนทั้งรถครอบคลุมมากที่สุดเลยก็ว่าได้ หากรถของคุณเกิดอุบัติเหตุ ไม่ว่าจะจากรถชนกัน รถชนริมฟุตบาท หรือแม้แต่เศษหินกระเด็นมาชนกระจกก็สามารถเรียกเครมได้ทุกกรณี หากมีการได้รับบาดเจ็บประกันภัยชนิดนี้ก็ให้ความดูแลทั้งกับตัวคุณ และคู่กรณีอีกด้วย

Insurance-For-Secondhand-Car

ประกันภัยรถยนต์ชั้น 2+

เป็นประกันภัยที่ให้การคุ้มครองเกือบเทียบเท่ากับประกันภัยรถยนต์ชั้น 1 เพียงจะประกันภัยชนิดนี้จะมีความแตกต่างกันตรงที่เมื่อเกิดอุบัติเหตุจะต้องมีคู่กรณีร่วมด้วย นั่นจึงทำให้ประกันภัยชนิดนี้ไม่ได้คุ้มครองอุบัติเหตุชนสิ่งอื่น ๆ เช่น เสาไฟฟ้า รั้ว ต้นไม้ กำแพง หรือการพลิกคว่ำ และหากเกิดอุบัติเหตุกับรถยนต์คุณจะต้องทราบถึงเลขทะเบียนรถของฝ่ายคู่กรณีด้วยเพื่อใช้แจ้งเครมประกันกับเจ้าหน้าที่

ดังนั้น หากจะเลือกซื้อประกันภัยรถยนต์ชั้น 2+ แนะนำให้คุณติดตั้งกล้องหน้า-หลังรถ และขับขี่อย่างระมัดระวังมากกว่าการทำประกันภัยรถยนต์ชั้น 1 ขึ้นมาเล็กน้อย

การทำประกันรถยนต์มือสองนั้น ก็ไม่ได้มีความแตกต่างจากการเลือกซื้อประกันภัยให้รถยนต์มือหนึ่งสักเท่าไร เพราะสุดท้ายแล้วคุณก็ต้องเลือกซื้อประกันภัยรถยนต์ตามความเหมาะสมกับประเภทรถ และลักษณะการขับขี่

ก่อนเลือกซื้อแนะนำให้คุณลองหาข้อมูลของบริษัทประกันภัยเอาไว้หลายๆ เจ้า ร่วมความถึงรีวิวต่างๆ จากผู้ใช้งานจริง เพื่อนำมาเปรียบเทียบถึงข้อดี-ข้อเสีย จะได้เลือกประกันภัยที่มีความคุ้มค่า และเหมาะกับคุณได้มากที่สุด ไม่ว่าจะเรื่องของค่าเบี้ยประกันภัยที่ต้องจ่าย ทุนประกันที่ให้ความคุ้มครอง ไปจนถึงรายละเอียดและเงื่อนไขของกรมธรรม์ ก็ล้วนแล้วแต่เป็นสิ่งที่คุณไม่ควรมองข้าม จะได้ไม่เกิดปัญหาตามมาแล้วมานั่งปวดหัวในภายหลัง

หากสนใจเปรียบเทียบประกันรถยนต์ คลิกที่นี่ เปรียบเทียบฟรี ทั้งเบี้ย ความคุ้มครอง ครบทุกรูปแบบในที่เดียว หรือสามารถติดตามข่าวสารได้ที่เพจ Pricezamoney เรามีแอดมินคอยให้คำแนะนำครับ

Carro-Roojai-Saving-Fuel-Even-In-A--Traffic-Jam

“น้ำมันก็เหลือน้อย รถก็ดันมาติดชนิดที่คุณไม่คาดคิดมาก่อน” เคยมั้ย ที่อยู่ในสถานการณ์แบบนี้ สถานการณ์ที่ตลอดเส้นทาง ฝนตก รถติด การจราจรไม่เป็นใจ แล้วที่คิดไว้ว่าน้ำมันที่เหลือในถัง “คงพอ” ให้ไปถึงปลายทาง กลับต้องมาคิดใหม่อีกครั้งว่าจุดหมายอาจจะต้องเปลี่ยนเป็นแวะเติมน้ำมันรถที่ปั๊ม และต้องใช้ วิธีแก้รถซดน้ำมัน เข้าไปช่วย

เงื่อนไขที่คุณจะทำได้ในตอนที่รถติด น้ำมันก็เหลือในถังไม่มาก แล้วต้องการให้รถประหยัดน้ำมัน อาจมีข้อจำกัดสักหน่อย เทคนิคพื้นๆ ที่ว่าของเยอะๆ ที่อยู่ในรถ ให้เอาออกไป ให้รถแบกน้ำหนักน้อยลงเพื่อช่วยประหยัดน้ำมัน หรือจะบอกให้ไปเปลี่ยนน้ำมันเครื่อง เป่ากรองอากาศ มันก็เหมือนเป็นการแก้ไขที่ปลายเหตุ ซึ่งนำมาใช้ไม่ได้กับสถานการณ์เร่งด่วนนี้

Saving-Fuel-Even-In-A--Traffic-Jam

สิ่งที่คุณสามารถทำได้ คือการปรับลักษณะการขับขี่ในขณะที่น้ำมันรถเหลือในถังเพียงน้อยนิดซะมากกว่า ให้ทุกหยดของน้ำมันที่เหลือถูกใช้อย่างคุ้มค่า ไปได้ไกลมากที่สุด ถึงจุดเติมน้ำมันรถที่ปลายทางและไม่ดับตายอยู่กลางถนน

Roojai.com จะพาคุณไปดูวิธีประหยัดน้ำมันรถที่จะช่วยให้รถของคุณไปได้ไกลกว่าเดิม โดยเฉพาะตอนที่รถติดหนักๆ คุณจะได้ไม่ต้องตกอยู่ในสถานการณ์น้ำมันรถหมด ต้องจอดตายอยู่กลางทาง วิธีการมีดังต่อไปนี้

Saving-Fuel-Even-In-A--Traffic-Jam

1. ปิดแอร์ ปิดเครื่องเสียง

ส่วนของอุปกรณ์ในรถยนต์ที่มีการใช้ไฟฟ้าจากแบตเตอรี่ มีผลโดยตรงต่ออัตราสิ้นเปลืองน้ำมัน โดยเฉพาะเครื่องปรับอากาศในรถ ยิ่งเปิดแรงมาก รถก็กินน้ำมันมาก ด้วยการทำงานของไดชาร์จที่ต้องทำหน้าที่ปั่นไฟเข้าไปในแบตฯ ให้เต็ม และการปิดแอร์จะเป็นการช่วยลดภาระของเครื่องยนต์ให้ไม่ต้องทำงานหนักเหมือนปกติ ส่งผลให้มีการดึงน้ำมันมาใช้สำหรับการเผาไหม้น้อยลง รถก็ใช้น้ำมันน้อยลง

และเช่นเดียวกัน ที่ส่วนของเครื่องเสียงภายในรถนั้นก็เป็นอีกส่วนของอุปกรณ์ใช้ไฟฟ้าในรถที่คุณสามารถเลือกปิดไม่ใช้งานได้ ช่วยให้ประหยัดน้ำมันได้อีกหน่อย ถึงแม้จะไม่มากถึงขั้นต้องว้าว! แต่มันก็อาจจะทำให้รถของคุณไปถึงจุดเติมน้ำมันรถและเลี่ยงไม่ต้องไปจอดกลางทางได้เหมือนกัน

Saving-Fuel-Even-In-A--Traffic-Jam

2. รถติดนาน ๆ ให้ใส่เกียร์ว่าง

บางคนด้วยความเคยชินก็เลือกที่จะใส่เกียร์ D ทิ้งไว้ทั้งที่รถยังติดอยู่วิ่งไปไหนไม่ได้ เพราะคิดว่าเดี๋ยวก็ไฟเขียวรถก็เลื่อนออกไป ไม่ต้องมานั่งเลื่อนเกียร์ไปมา ทว่าบ่อยครั้งสิ่งที่คาดไว้ไม่เป็นอย่างที่คิด รถเลื่อนไปได้นิดเดียวก็ติดอีกยาวๆ เผลอๆ คุณก็ใส่เกียร์ D ทิ้งไว้นานเกินไปด้วย จนทำให้เครื่องยนต์ทำงานหนักกว่าที่ควรจะเป็น ด้วยเหตุของการทำงานจากตัวเกียร์ ถ้าเกียร์มาอยู่ในตำแหน่งเกียร์ว่างหรือตัว N จะสามารถประหยัดน้ำมันรถได้มากกว่า

เพราะฉะนั้นเพื่อความประหยัดน้ำมันรถสูงสุด เมื่อคุณพิจารณาสภาพการจราจรแล้วว่าติดหนัก อย่าลืมเปลี่ยนเกียร์ให้ไปอยู่ในสถานะที่เหมาะสม ยิ่งบางคันที่มีระบบ Auto Hold ตัวรถช่วยเบรกไว้ให้อัตโนมัติ ไม่ต้องเหยียบเบรกค้างไว้ ยิ่งควรที่จะคอยปรับเลื่อนเกียร์ให้เหมาะ เพราะบางทีขับรถเพลิน ๆ อาจทำให้เข้าใจผิดว่าคุณเปลี่ยนเกียร์เป็น N ใส่เกียร์ว่างแล้ว แต่ที่จริงรถยังเร่งอยู่เบาๆ ที่เกียร์ D อยู่จากการทำงานของระบบนี้

Saving-Fuel-Even-In-A--Traffic-Jam

3. ค่อยๆ ออกตัว

เหยียบคันเร่งหนักๆ ให้รถออกตัวกระชากแรงๆ ก็ไม่ต่างกับการเร่งให้น้ำมันรถหมดเร็วขึ้น เพราะตัวเครื่องยนต์ต้องมีการดึงน้ำมันมาใช้เยอะกว่าปกติเพื่อตอบสนองการเหยียบคันเร่งแรง ๆ และนั่นอาจไม่เหมาะเท่าไรในยามที่น้ำมันทุกหยดมีค่า รถติดๆ แล้วน้ำมันรถใกล้หมด ดังนั้นการเลือกที่จะค่อยๆ เร่งออกตัวอย่างช้าๆ น่าจะเป็นทางเลือกที่ดีกว่าถ้าปลายทางท้ายสุดของคุณคือเรื่องความประหยัดเป็นที่ตั้งเหนือสิ่งอื่นใด

Saving-Fuel-Even-In-A--Traffic-Jam

4. เปลี่ยนเส้นทางใหม่

จะเปลี่ยนเพื่อให้ได้เจอปั๊มน้ำมันที่ใกล้ที่สุด หรือเพื่อหนีรถติดก็มีประโยชน์ด้วยกันทั้งนั้น ถ้าข้อแม้ของคุณเป็นเรื่องระดับของน้ำมันรถที่อยู่ในถังซึ่งใกล้จะหมด ควรเลือกใช้เส้นทางใหม่ถ้าเป็นไปได้ ที่สำคัญอาจต้องรีบตัดสินใจด้วยอย่าปล่อยทิ้งไว้จนน้ำมันรถใกล้หมด อาจจะเป็นการใช้แอปฯ เพื่อช่วยหาปั๊มน้ำมันรถที่ใกล้ที่สุดก่อนเพื่อแวะไปเติม แล้วค่อยกลับเข้าสู่เส้นทาง หรือหาเส้นทางใหม่เพื่อหนีรถติด ก็ได้ทั้งนั้น

อย่างไรก็ตาม ถ้าคุณไม่มีทางเลือก จำเป็นที่จะต้องอยู่บนเส้นทางที่รถติด คำแนะนำในข้อก่อนหน้าก็อาจเป็นทางเลือกที่ดีที่สุดในขณะที่คุณอยู่หลังพวงมาลัย

ทั้งหมดนี้ คือวิธีประหยัดน้ำมันยามรถติด เพียงปรับรูปแบบการขับขี่ของคุณเท่านั้น หลังจากแนะนำเทคนิคประหยัดน้ำมันรถไปแล้ว เราขอแนะนำเทคนิคประหยัดเบี้ยประกันรถยนต์บ้าง ถ้าคุณกำลังมองหาทางเลือกในการทำประกันรถยนต์ Roojai.com เสนอราคาที่คุ้มค่าที่สุดสำหรับผู้ขับขี่ปลอดภัย หากเจอที่อื่นถูกกว่า เราคืนเงิน 100% สามารถผ่อนชำระได้ผ่านบัตรเครดิตหรือบัตรเดบิต เช็คราคาออนไลน์ หรือปรับแผนความคุ้มครองเองได้ตามความเหมาะสมเลย

How-To-Install-Car-Camera

หลายคนที่ตัดสินใจซื้อ “กล้องติดรถยนต์” หรือ “กล้องหน้ารถ” (Dash Cam หรือ Car Camera) มาติดในรถตัวเองนั้น จุดประสงค์หลักเพื่อไว้ใช้บันทึกเรื่องราวตามท้องถนน เหตุการณ์ต่างๆ หรือแม้แต่ภาพประทับใจในระหว่างขับรถได้อีกด้วย อีกทั้งยังได้เป็นส่วนลดประกันภัยอีกต่างหาก

ซึ่งทุกวันนี้ก็มีกล้องหน้ารถให้เลือกกันเยอะมาก สารพัดแบรนด์ ตั้งแต่ราคาถูกๆ ไม่ถึงพันบาท ไปจนถึงราคาแพงหลักหมื่นบาท

แต่อาจจะยังไม่รู้ว่า จะต้องติดตั้งกล้องติดรถยนต์อย่างไรดี หรือเก็บสายไฟอย่างไร ไม่ให้สายไฟรกรุงรัง หรือกลัวใช้งานไม่ถูก มันไม่ยากอย่างที่คุณคิดเลยครับ MR.CARRO จะมาเล่าให้ฟัง

How-To-Install-Car-Camera

ก่อนอื่น เตรียมอุปกรณ์ต่างๆ เช่น ไขควง เทปพันสายไฟ กล้องติดรถยนต์ และกรรไกร เพื่อไว้ใช้งาน

How-To-Install-Car-Camera

เริ่มแรก เช็ดกระจกบานหน้า ในมุมที่คุณอยากติดตั้งกล้องติดหน้ารถยนต์ (แต่เราขอแนะนำว่า ให้ติดตั้งที่บริเวณกระจกมองหลัง เพราะเวลากล้องติดหน้ารถยนต์ถ่ายภาพออกมา จะเห็นได้ทั่วหน้ารถ และไม่บังสายตา) แล้วนำกล้องหน้ารถประกอบเข้ากับขาดูดกระจก ก่อนติดตั้งลงบนกระจก

จะต่อสายไฟไปที่จุดบุหรี่ตรงๆ แต่หลายคนอาจจะไม่ชอบ เพราะสายไฟจะดูรุงรังห้อยลงมา ก็สามารถเดินสายไฟซ่อนได้

วิธีง่ายๆ เริ่มต้นจากติดตั้งพันสายไฟไว้รอบกระจกมองหลัง (กันสายไฟกับกล้องหล่น) แล้วสอดสายไฟไว้ที่ขอบกระจก มาจนถึงเสา A หน้ารถ ถ้าไม่อยากปล่อยให้เห็นสายไฟ ก็ให้แกะพลาสติกตรงเสา A แล้วนำสายไฟเข้าไปข้างใน เพื่อความสวยงาม

How-To-Install-Car-Camera

ก่อนจะไล่สายไฟไปด้านล่างแผงคอนโซล ถึงมุมที่จุดบุหรี่

How-To-Install-Car-Camera

เมื่อทำเรียบร้อยแล้ว ก็ให้เปิดกล้อง พร้อมใส่ SD Card และตั้งค่ากล้องให้บันทึกตามที่ต้องการ ซึ่งเราขอแนะนำให้ตั้งค่าเป็นการบันทึกแบบวนทับ ไม่อย่างนั้นเวลาการ์ดเต็มแล้ว จะไม่สามารถบันทึกภาพได้

ง่ายๆ แบบนี้ คุณก็ทำเองได้เลยครับ!

ส่วนใครที่มีกล้องติดหน้ารถเรียบร้อยแล้ว แต่ยังไม่มีประกันภัยติดรถยนต์ไว้ ตอนนี้ Roojai.com ร่วมกับ CARRO จัดโปรประกันภัยรถ! เมื่อซื้อประกันภัยรถยนต์ รับทันที ผ่อน 10 งวด ไม่บล็อควงเงินบัตร ผ่อนผ่านบัตรเดบิตก็ได้ และถ้าหากมีกล้องติดหน้ารถด้วย ยังได้ส่วนลดเบี้ยประกันภัยเพิ่มอีก 10% คลิกที่นี่ได้เลยครับ (เงื่อนไขเป็นไปตามที่กำหนด)

ส่วนช่วงนี้ถ้าเกิดใครร้อนเงิน อยากขายรถด้วยวิธีที่ได้เงินเร็วไว ง่ายนิดเดียว เพียงนำรถมาขายกับ CARRO Express ได้เลย แค่คลิก https://th.carro.co/sell-car/express หรือ Inbox มาขอรายละเอียดได้ที่ Facebook CARRO Thailand เลยนะจ๊ะ

หรือจะ Add Line สอบถามรายละเอียดได้ที่ @Carrothailand คลิกที่นี่ครับ —> เพิ่มเพื่อน

Parking-Safety-Tips-For-Your-Car

ปัญหาการหาที่จอดรถไม่ได้สักที ยอมรับเลยว่าเป็นปัญหาที่คอยกวนใจให้กับเราได้ตลอดเวลาเลย จนบางครั้งก็อดไม่ได้ที่จะพึ่งพาไสยศาสตร์ให้ช่วยเราหาที่จอดรถให้ได้สักที แต่ก็ใช่ว่าทุกที่จอดรถที่เราจะเจอจะสร้างความสบายใจให้แก่เรา บางทีรถป้ายแดง หรือรถมือสอง ก็ต้องการความปลอดภัย หากเจอที่ที่ดูไม่เหมาะกับการจอดรถ ก็ขอเลือกไม่จอดดีกว่า รวมไปถึงอันตราย และการเสี่ยงต่อรถหายด้วย

ดังนั้นวันนี้ masii เลยมีเคล็ดลับมาบอกว่าที่จอดรถแบบไหนที่เราควรหลีกเลี่ยงบ้าง

Parking-Safety-Tips-For-Your-Car

ใต้ต้นไม้ใหญ่

หากอากาศร้อนระอุ หลายคนมักจะมองหาที่จอดรถใต้ต้นไม้ใหญ่เพราะต้นไม้สามารถให้ร่มเงากับรถของเราได้ แต่เพื่อนๆ ทราบกันไหมครับว่า การจอดรถใต้ร่มเงาของต้นไม้ใหญ่นั้น ต้องแลกกับความเสี่ยงที่กิ่งไม้ต่างๆ จะโค่นหักใส่รถของเราได้ ซึ่งอาจสร้างความเสียหายให้กับรถยนต์ และในช่วงหน้าฝนแบบนี้ หากเลี่ยงได้ทาง มาสิ แนะนำให้เลี่ยงไปก่อนเลยครับ

ที่มืดและเปลี่ยว

การเลือกจอดรถในที่มืดและเปลี่ยวนั้น รวมไปถึงการจอดรถห่างไกล และลับสายตานั้น ปฎิเสธไม่ได้ว่าเลยว่าการกระทำนี้เป็นการง่ายต่อการที่รถของเราจะหายจากการถูกโจรกรรมแน่ๆ และสิ่งของในรถอาจจะโดนขโมย หรืออาจจะโดนทุบกระจกก็เป็นไปได้ ดังนั้นวิธีที่ดีที่ในการเลือกจอดรถ ควรหาที่จอดที่เหมาะสม มีแสงสว่างพอเพียง อีกทั้งยังมีผู้คนพลุกพล่าน

Parking-Safety-Tips-For-Your-Car

ทางลาดชัน

มือใหม่ต้องฟังเลย เวลาเดินทางออกต่างจังหวัด อาจจะเห็นว่าไม่ค่อยจะมีรถวิ่งสักเท่าไรนั้น และมีเหตุจำเป็นต้องจอดข้างทาง สิ่งที่เพื่อนๆ ควรหลีกเลี่ยงไปก่อน คือ การจอดรถบนลาดชัด หรือบนเนินเขา ครับ เพราะว่านอกจากจะส่งผลต่อระบบเบรกรถของเราแล้ว ยังเสี่ยงต่อการรถไหลอีกด้วย สร้างความเสียหายให้กับรถของเรา และคนอื่นด้วย

และเมื่อเกิดอุบัติเหตุกับรถยนต์แล้ว ไม่ว่าจะเป็นทั้งมีคู่กรณี หรือไม่มีคู่กรณี การเลือกทำประกันรถยนต์ไว้จะช่วยคุ้มครองค่าใช้จ่าย และค่ารักษาพยาบาลให้เราได้ เรียกได้ว่าสร้างความอุ่นใจ และแบ่งเบาภาระค่าใช้จ่ายได้ หากใครสนใจประกันรถยนต์ คลิกที่นี่ เพื่อเปรียบเทียบเบี้ยประกันได้ทันที มีข้อมูลสงสัยโทร 02 710 3100 เรามีทีมงานคอยให้คำแนะนำครับ

ขอขอบคุณบทความดีๆ จาก www.masii.com

The-3-Best-SUV-Nissan-Mazda-MG

รถในระดับ B-SUV ป้ายแดงยอดนิยม นับว่าเป็นรถที่ยอดฮิตมากในบ้านเรา มีราคาค่าตัวอยู่ที่ 6 แสน ไปจนถึง 1 ล้านบาท ที่ขับเคี่ยวแข่งขันกันในตลาดรถยนต์อย่างดุเดือดกันมาหลายปี ถ้าไม่ติดว่าเจอโควิด-19 มาเสียก่อน เพราะตลาดกลุ่มนี้ ถือว่าเป็นกลุ่มใหญ่พอสมควร จนค่ายรถหลายค่าย ต่างพยายามเต็มที่เพื่อเอาใจลูกค้ากลุ่มนี้ให้ได้ ซึ่งมีทั้งนักศึกษา คนวัยเริ่มต้นทำงาน ไปจนกระทั่งแม่บ้าน คนครอบครัวขนาดเล็ก เป็นต้น

CARRO Thailand จึงขอนำรถ B-SUV ยอดฮิตในหมู่คนไทย ที่เพิ่งเปิดตัวสดใหม่ช่วงต้นปี 2020 ด้วยกัน 3 แบรนด์ 3 รุ่น อย่าง Nissan Kicks (นิสสัน คิกส์) ที่วางแผนจะเปิดตัวกันในเดือนมีนาคม และในงาน Motor Show 2020 แต่โควิด-19 มา งานเลยล่มซะก่อน, Mazda CX-30 (มาสด้า ซีเอ็กซ์-30) และ MG ZS (เอ็มจี แซดเอส) พร้อมตารางราคา และอัตราดอกเบี้ย มาเปรียบเทียบกันให้เห็น แบบช้าๆ ชัดๆ!

หากใครสนใจรุ่นไหนอยู่ ลองคำนวณงบประมาณที่มี แล้วเลือกดูว่า จะผ่อนกันแบบไหนได้เลย 

ถ้าคุณอยากขายรถด่วน เพื่อไปซื้อรถคันใหม่ หรือรับเงินก้อนไปใช้ในช่วงโควิด-19 สามารถขายรถคันเก่า หรือตีราคารถกับทาง CARRO ได้ ง่ายๆ ได้เงินไว! กับ CARRO Express เพียงแค่คลิก https://th.carro.co/sell-car/express หรือสามารถ Inbox มาขอรายละเอียดได้ที่ Facebook CARRO Thailand

หรือจะ Add Line สอบถามรายละเอียดได้ที่ @Carrothailand หรือคลิกที่นี่ —> เพิ่มเพื่อน

Nissan-Kicks-ePower-2020

Nissan Kicks e-Power 2020

ข้อดี : เป็นรถครอสโอเวอร์ไฮบริด ที่มาพร้อมจุดเด่นอย่างการใช้ระบบเครื่องยนต์สันดาปภายใน ไปปั่นกระแสไฟฟ้าให้กับแบตเตอรี่แบบลิเทียมไอออน และจ่ายไฟไปยังมอเตอร์ไฟฟ้าให้ขับเคลื่อนรถยนต์อีกที ซึ่งเป็นหลักการที่คล้ายกับรถยนต์ไฟฟ้า (BEV : Battery Electric Vehicle) แต่ไม่ต้องชาร์จไฟจากภายนอก เพิ่มความสะดวกในการใช้งาน เหมาะกับการขับรถทางไกล

ข้อด้อย : หลายคนอาจผิดหวังกับความประหยัด ว่าประหยัดได้เท่า Eco-Car และไม่มีระบบ Active Cooling ให้กับแบตเตอรี่รถยนต์ ซึ่งเมืองร้อน (มาก) อย่างบ้านเรา ควรจะเพิ่มระบบหล่อเย็นจุดนี้ แม้ว่าแบตเตอรี่จะถูกออกแบบมาให้ทนความร้อนได้สูงก็ตาม

รายละเอียดตัวรถ : เป็นรถแบบ SUV ที่นิสสันพัฒนามาจากรถต้นแบบอย่าง Nissan Kicks Concept โดยเปิดตัวตัวรถผลิตขายจริงมาตั้งแต่ช่วงปี 2016 เพื่อทำตลาดในอเมริกาใต้เป็นหลัก ตัวรถพัฒนาขึ้นบนแพลทฟอร์ม V แบบเดียวกับรถตระกูล Nissan Micra, Note, Pulsar หรือ Sylphy

ห้องโดยสารภายใน โดดเด่นด้วยการใช้สีทูโทนดำ – ส้ม (เฉพาะรุ่น VL) ด้วยแผงคอนโซล และเบาะหนัง พร้อมเชื่อมต่อกับโลกออนไลน์ได้ตลอดเวลา ด้วยเทคโนโลยีเชื่อมต่อสมาร์ทโฟนเข้ากับหน้าจอเครื่องเสียง ผ่าน Apple CarPlay พร้อมระบบนำทาง Navigation System ผ่าน Google Map กับระบบสั่งงานด้วยเสียง Voice Recognition ที่ใช้งานง่าย

แถมพื้นที่เก็บสัมภาระด้านท้ายมีความจุมากถึง 432 ลิตร และยังมีความลึกของห้องเก็บสัมภาระที่มากถึง 900 มม. โดยที่ยังไม่พับเบาะหลัง

เวลาขับยังมีระบบอัจฉริยะ ช่วยให้คนขับมองเห็นพื้นที่ข้างรถได้รอบทิศทาง ผ่านกล้อง 4 จุดรอบคัน จับภาพขณะเคลื่อนไหวจริง และนำไปประมวลผล แล้วแสดงผลเป็นภาพจากมุมสูงผ่านหน้าจอวิทยุ และทำงานร่วมกับเทคโนโลยีเตือนวัตถุเคลื่อนไหวรอบคัน Moving Object Detection (MOD) ตรวจจับและส่งสัญญาณเตือน เมื่อตรวจพบบุคคล หรือวัตถุที่กล้องรอบคันจับการเคลื่อนไหวได้ เพิ่มความปลอดภัยในการขับขี่

Nissan-Kicks-ePower-2020

อุปกรณ์มาตรฐานเด่นๆ :

  • หน้าจอ TFT Digital Meter ขนาด 7 นิ้ว บนมาตรวัด
  • พวงมาลัยมัลติฟังก์ชันทรง D-Shape
  • กุญแจรีโมทอัจฉริยะ Intelligent Key
  • ปุ่ม Push Start
  • กุญแจระบบ Immobilizer
  • ระบบปรับอากาศอัตโนมัติ
  • กระจกไฟฟ้ารอบคัน พร้อมระบบป้องกันการหนีบ Anti-jam Protection ด้านผู้ขับ
  • ที่วางแก้วตอนหน้า 2 ตำแหน่ง
  • ช่องวางขวดน้ำบริเวณแผงประตูหน้า-หลัง 4 ตำแหน่ง
  • กล่องเก็บของด้านหน้า
  • ไฟอ่านแผนที่ด้านหน้า
  • ไฟห้องสัมภาระด้านท้าย
  • ระบบปัดน้ำฝนด้านหน้าแบบตั้งเวลาหน่วง
  • ระบบไล่ฝ้ากระจกหลังแบบตั้งเวลา
  • ชุดระบบอินโฟเทนเมนท์ Nissan Connect จอทัชสกรีนขนาด 8 นิ้ว ลำโพง 6 ตำแหน่ง Bluetooth, USB, AUX-in, ฟังก์ชั่น Apple CarPlay สำหรับ iOS (เฉพาะรุ่น V และ VL)
  • ชุดเครื่องเสียงมาตรฐาน วิทยุ AM/FM, Bluetooth, USB, AUX-in และลำโพง 4 ตำแหน่ง (เฉพาะรุ่น S และ E)
  • เทคโนโลยร One-Pedal คันเร่งอัจฉริยะ
  • ระบบ Intelligent Cruise Control ควบคุมความเร็วอัตโนมัติ แบบแปรผัน พร้อมฟังก์ชั่นชลอความเร็วและรักษาระยะห่างตามรถคันหน้า
  • ระบบ Intelligent Forward Collision Warning ช่วยเตือนก่อนการชนด้านหน้า
  • ระบบ Intelligent Emergency Braking ช่วยวิเคราะห์ระยะห่างและความเร็วของรถยนต์ด้านหน้า เพื่อชะลอความเร็วหรือหยุดรถ ลดความเสียหายที่อาจเกิดจากอุบัติเหตุ
  • ระบบ Blind Spot Warning เตือนจุดอับสายตา
  • ระบบ Rear Cross Traffic Alert ช่วยเตือนในขณะถอยออก
  • ระบบ Intelligent Around View Monitor กล้องอัจฉริยะรอบทิศทาง พร้อมเทคโนโลยีตรวจจับและส่งสัญญาณเตือนเมื่อพบวัตถุหรือบุคคลที่เคลื่อนไหวจากกล้องรอบคัน หรือ Moving Object Detection
  • ระบบควบคุมเสถียรภาพการทรงตัวอัตโนมัติ Vehicle Dynamic Control
  • ระบบช่วยลดอาการโยนตัวบนทางขรุขระ Intelligent Ride Control
  • ระบบควบคุมเสถียรภาพขณะเข้าโค้ง Intelligent Trace Control
  • ถุงลมนิรภัย SRS 6 จุด ประกอบด้วยคู่หน้า, ข้าง และม่านข้างซ้าย-ขวา (รุ่น VL) และถุงลมนิรภัยคู่หน้า (ทุกรุ่น)
  • เข็มขัดนิรภัยคู่หน้าแบบดึงกลับและผ่อนแรงอัตโนมัติ Pretensioner and Load Limiter Seatbelts
  • จุดยึดเบาะนิรภัยสำหรับเด็กเด็กแบบ ISOFIX
  • ระบบเบรก ABS, EBD และ BA
  • กระจกมองหลังอัจฉริยะ Intelligent Rear View Mirror แสดงผลด้วยจอ LCD ที่แสดงภาพจากกล้องด้านหลังตัวรถ สามารถปรับเปลี่ยนการแสดงผลระหว่างจอแสดงภาพ หรือภาพสะท้อนแบบปกติจากกระจกได้
  • ระบบ Hill Start Assist ช่วยออกตัวขณะอยู่บนทางลาดชัน

Nissan-Kicks-e-POWER-ECO-Sticker

ECO Sticker ของ Nissan Kicks e-POWER 2020

เครื่องยนต์ : เป็นแบบเบนซินขนาด 1.2 ลิตร รหัส HR12DE (แบบเดียวกับใน Note e-Power) แบบ 3 สูบ DOHC 12 วาล์ว ให้แรงม้าสูงสุด  79 แรงม้า (PS) ที่ 6,000 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 103 นิวตัน-เมตร ที่ 3,600-5,200 รอบ/นาที ทำหน้าที่ปั่นกระแสไฟฟ้าไปยังแบตเตอรี่ลิเธียมไอออนขนาด 1.57 กิโลวัตต์-ชั่วโมง (kWh)

จากนั้นจึงป้อนพลังไปขับเคลื่อนมอเตอร์ไฟฟ้าแบบ AC Synchronous Motor รหัส EM57 เป็นลูกเดียวกับที่อยู่ใน Nissan Leaf ให้กำลังสูงสุด 129 แรงม้า (95 กิโลวัตต์) ที่ 4,000-8,992 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 260 นิวตัน-เมตร ที่ 500-3,008 รอบ/นาที

หากรวมพลังทั้งหมด ให้แรงม้าสูงถึง 129 แรงม้า ที่ 4,000 – 8,992 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 260 นิวตันเมตร ที่ 500 – 3,008 รอบ/นาที และอัตราสิ้นเปลืองเชื้อเพลิง 23.8 กม./ลิตร (ตาม Eco Sticker) หรือ 4.2 ลิตร/100 กม.

มิติตัวรถ : ยาว 4,290 มม. กว้าง 1,760 มม. สูง 1,615 มม. ระยะฐานล้อ 2,615 มม.

ราคาจำหน่าย : (Update ล่าสุด เดือนพฤษภาคม 2563)

  • รุ่น S ราคา 889,000 บาท
  • รุ่น E ราคา 949,000 บาท
  • รุ่น V ราคา 999,000 บาท (ราคาหลังโปรโมชั่น 1,049,000 บาท ปรับขึ้น 50,000 บาท)
  • รุ่น VL ราคา 1,049,000 บาท (ราคาหลังโปรโมชั่น 1,103,900 บาท ปรับขึ้น 54,900 บาท)

Mazda-CX-30-2020

Mazda CX-30 2020

ข้อดี : รูปทรงใหญ่ เพราะเป็นรถที่ใช้พื้นฐานเดียวกันกับ Mazda3 เพิ่มทางเลือกระหว่างรุ่น CX-3 และ CX-5 แต่ในบ้านเราถูกจับรวมมาในกลุ่ม B-SUV ด้วย ภายในนั่งกัน 4 คนสบายๆ แต่เบาะหลังอาจจะต้องปรับหน่อย สำหรับผู้ที่สูง 170 ซม. ขึ้นไป การขับขี่ที่ง่าย ให้ความรู้สึกเหมือนขับ Mazda3 เหมาะสำหรับครอบครัวขนาดกลาง หรือชอบที่ชื่นชอบรถ SUV แนวสปอร์ต

ความรู้สึกของการขับขี่ มีการเซ็ทช่วงล่างและโช๊คอัพ มาให้ใกล้เคียงกับใน Mazda3 นิ่มและนุ่ม ไม่ยวบไม่ยุบ (ถ้าไม่ใช้ความเร็วเข้าโค้งแรงๆ) แต่ว่าชิ้นส่วนชิ้นงานที่ใช้ไม่เหมือนกัน ยกเว้นระบบเบรก ที่ยกของ Mazda3 มาใช้ทั้งชุด แต่ปรับให้เหมาะสมกับความสูง และน้ำหนักของตัวรถมากกว่า พร้อมระบบ GVC Plus ที่ทำงานร่วมกันได้อย่างเหมาะสม

ผนวกกับพวงมาลัยให้น้ำหนักที่หนืดได้อย่างพอเหมาะ และประตูไฟฟ้าด้านหลัง ใช้งานได้อย่างดี เหมาะสำหรับขนจักรยานพับได้ พาลูกหลานไปปั่นกันในวันหยุด และมีที่เก็บสัมภาระด้านท้าย 430 ลิตร

ข้อด้อย : ความกว้างขวางอาจเป็นรอง เมื่อเทียบกับรถ SUV รุ่นอื่นๆ แต่นี่ก็ไม่ใช่ความคาดหวังของลูกค้าที่ซื้อ Mazda อยู่แล้ว กับเรื่องศูนยบริการ และราคาอะไหล่ในภายภาคหน้า และแอร์ด้านหลังไม่ค่อยเย็น หากขับรถขณะอากาศร้อนมาก ต้องเร่งแอร์ให้แรงขึ้น รวมถึงคนนั่งเบาะหลังอาจเวียนหัว หรือเมารถได้ เนื่องจากเบาะคู่หน้าขนาดใหญ่ ค่อนข้างทึบในมุมผู่นั่งด้านหลัง

รายละเอียดตัวรถ :All-New Mazda CX-30 เปิดตัวครั้งแรกในโลกเมื่อวันที่ 5 มีนาคม 2019 และเปิดตัวในไทยเมื่อ 6 มีนาคม 2563 ในช่วงที่โควิด-19 กำลังมา ซึ่งจะมาแทนที่เจ้า Mazda CX-3 นับเป็นเจเนอเรชั่นที่ 2 กับแนวคิด “Life’s Always On เติมชีวิตให้เต็มความหมาย” สง่างามด้วยดีไซน์จาก โคโดะ ออกแบบภายใต้คอนเซ็ปต์ “Less is More” เรียบง่ายแต่งดงาม มาพร้อมระบบควบคุมสมรรถนะการขับขี่อัจฉริยะขั้นสูง GVC PLUS

Mazda CX-30 มีให้เลือกด้วยกัน 3 รุ่นย่อย ได้แก่ 2.0 C, 2.0 S และ 2.0 SP กับสีที่มีให้เลือกทั้งหมด 7 สี ประกอบด้วย สีแดง โซล เรด คริสตัล (Soul Red Crystal), สีเทา แมชชีน เกรย์ (Machine Gray), สีเทา โพลีเมทัล เกรย์ (Polymetal Gray), สีขาว สโนว์เฟลก ไวท์ เพิร์ล (Snowflake White Pearl), สีเงิน โซนิค ซิลเวอร์ (Sonic Silver), สีดำ เจ็ท แบล็ก (Jet Black), สีน้ำเงิน ดีพ คริสตัล บลู (Deep Crystal Blue)

All-New-Mazda-CX-30-2020

อุปกรณ์มาตรฐานเด่นๆ :

  • ไฟหน้าโปรเจคเตอร์แบบ LED
  • ไฟส่องสว่างสําหรับการขับขี่เวลากลางวัน (Daytime Running Light) แบบ LED Signature
  • ระบบเสียง Premium Sound จาก BOSE รอบทิศทาง พร้อมลําโพง 12 ตําแหน่ง และ Sub-Woofer (เฉพาะรุ่น 2.0 SP)
  • หน้าจอกลาง Center Display ขนาด 8.8 นิ้ว รองรับระบบ Apple CarPlay และ Android Auto
  • ระบบปรับอากาศแบบอัตโนมัติ Dual Zone แยกอิสระซ้าย-ขวา พร้อมช่องแอร์ด้านหลัง
  • เบาะนั่งคนขับ ปรับด้วยไฟฟ้า 10 ทิศทาง (พร้อมปรับดันหลังไฟฟ้า Lumbar Support)
  • เบาะนั่งคนขับ พร้อมระบบบันทึกตำแหน่ง Memory Seat 2 ตำแหน่ง
  • ถุงลมนิรภัย 7 ตําแหน่ง (คู่หน้า 2 ตำแหน่ง, ด้านข้าง 2 ตำแหน่ง,ม่านนิรภัย 2 ตำแหน่ง และหัวเข่าคนขับ 1 ตำแหน่ง)
  • ประตูท้ายเปิด-ปิด ด้วยระบบไฟฟา
  • เซ็นเซอร์กะระยะ 4 จุด และกล้องมองหลัง
  • หลังคาซันรูฟแบบไฟฟ้า (เฉพาะรุ่น 2.0 SP)
  • ระบบควบคุมการเปลี่ยนเกียร์ที่พวงมาลัย (เฉพาะรุ่น 2.0 SP)
  • ระบบเบรกมือไฟฟ้า Electronic Parking Brake
  • ระบบ Auto Brake Hold
  • ระบบกุญแจ Smart Keyless Entry
  • ปุ่มสตาร์ทเครื่องยนต์ Push Start Button

และ … ระบบความปลอดภัย i-Activsense (เฉพาะรุ่น 2.0 SP)

  • ระบบแสดงภาพ 360 องศา รอบทิศทาง (360 ̊ View Monitor)
  • ระบบเตือนเมื่อมีรถในจุดอับสายตาขณะเปลี่ยนเลน ABSM (Advanced Blind Spot Monitoring)ระบบเตือนเมื่อมีรถในจุดอับสายตาขณะถอยหลัง RCTA (Rear Cross Traffic Alert)
  • ระบบควบคุมความเร็วรถอัตโนมัติ MRCC (Mazda Radar Cruise Control)
  • ระบบควบคุมความเร็วและพวงมาลัยตามรถคันหน้า CTS (Cruising & Traffic Support
  • ระบบเตือนการชนด้านหน้าและช่วยเบรกอัตโนมัติแบบ Advance หรือ Advanced SBS (Advanced Smart Brake Support)
  • ระบบช่วยเบรกและหยุดรถอัตโนมัติขณะถอยหลัง SBS-R (Smart Brake Support-Reverse)
  • ระบบช่วยหยุดรถเมื่อมีรถอยู่ในจุดอับสายตาขณะถอยหลัง SBS-RC (Smart Brake Support-Rear Crossing)
  • ระบบไฟหน้า LED อัจฉริยะ ALH (Adaptive LED Headlamps)
  • ระบบช่วยควบคุมรถให้อยู่ในเลน LAS (Lane-keep Assist System)
  • ระบบเตือนเมื่อรถเบี่ยงออกนอกเลน LDWS (Lane Departure Warning System)
  • ระบบช่วยเตือนเมื่อเหนื่อยล้าขณะขับขี่ DAA (Driver Attention Alert)

เครื่องยนต์ : เบนซินขนาด 2.0 ลิตร 4 สูบ DOHC 16 วาล์ว SkyActiv-G ให้แรงม้าสูงสุด 165 แรงม้า ที่ 6,000 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 213 นิวตัน-เมตร ที่ 4,000 รอบ/นาที ประหยัดน้ำมันสูงสุด 15.4 กม./ลิตร (ขับขี่โดยเฉลี่ย ในเมือง-นอกเมือง ประมาณ 10-12 กม./ลิตร)

ซึ่งเป็นเครื่องยนต์ ตัวเดียวกับที่วางอยู่ใน Mazda3 สามารถใช้กับน้ำมันแก๊สโซฮอล์ E85 ได้ ส่งกำลังผ่านเกียร์อัตโนมัติแบบ 6 สปีด รัศมีวงเลี้ยวแคบสุด 5.6 เมตร

มิติตัวรถ : ยาว 4,395 มม. กว้าง 1,795 มม. สูง 1,540 มม. ระยะฐานล้อ 2,655 มม. ระยะต่ำสุดจากพื้น 175 มม. ล้อแบบล้อแม็ก 16 นิ้ว และแบบ 18 นิ้ว

ราคาจำหน่าย : (Update ล่าสุด เดือนพฤษภาคม 2563)

  • รุ่น 2.0 C ราคา 989,000 บาท
  • รุ่น 2.0 S ราคา 1,099,000 บาท
  • รุ่น 2.0 SP ราคา 1,199,000 บาท

New-MG-ZS-2020

MG ZS 2020

ข้อดี : MG ZS 2020 เป็นรถในรูปแบบ B-SUV ที่มีราคาจำหน่าย ถูกที่สุดในตลาดไทยเวลานี้! นับตั้งแต่เปิดตัวมาในเดือนกันยายน 2560 เป็นต้นมา รวมไปถึงรุ่นที่ใช้พลังงานไฟฟ้าเพียวๆ อย่าง MG ZS EV (เอ็มจี แซดเอส อีวี) ที่เปิดจำหน่ายไปเมื่อ 20 มิถุนายน 2562 ก็คงไม่ต้องพูดว่ากระแสตอบรับดีแค่ไหน ดูได้จากยอดการผลิต ZS ที่มากถึง 30,000 คันเข้าไปแล้ว (ยอด ณ เดือนมกราคม 2563)

เป็นรถยอดนิยมมากของคนมีครอบครัวเล็กๆ พ่อบ้าน แม่บ้าน ใช้งานได้อเนกประสงค์ ด้วยรูปทรงที่สวย ใหญ่ สง่าเหมือนรถ SUV จากยุโรป ทั้งภายนอกและภายใน สวย นั่งสบาย เรียกได้ว่าออพชั่น คุ้มราคามากๆ วัสดุการประกอบภายในถือว่าใช้ได้ รวมถึงการแก้ปัญหาของศูนย์บริการ และบริการหลังการขายดีกว่าแต่ก่อนมาก

ข้อด้อย : เครื่องยนต์อาจแรงไม่ทันใจใครบางคน ให้อัตราสิ้นเปลืองเชื้อเพลิงโดยเฉลี่ย เฉลี่ย​ 10-13​ กม./ลิตร กับชื่อเสียงของ MG ZS ของโฉมที่ผ่านมากับการมีปัญหา ต้องเคลมกันยกใหญ่ ขึ้นยานแม่กันหลายคัน ส่วนศูนย์บริการที่อาจจะยังไม่มาก การหาอะไหล่เทียบ (ในอนาคตที่ไม่ได้เข้าศูนย์บริการ) ก็ต้องรอดูกันต่อไป รวมไปถึงราคาขายต่อในตลาดรถมือสอง ที่ไม่ใช่รถตลาด ราคาอาจตกมากหน่อย

รายละเอียดตัวรถ : เป็นรถ MG ที่ใช้เทคโนโลยีการเชื่อมต่ออัจฉริยะใหม่ล่าสุด i-SMART ที่นับเป็นครั้งแรกของคนขับรถ สามารถควบคุมฟังก์ชั่นต่างๆ ภายในรถด้วยการสั่งการผ่านเสียงภาษาไทย รวมถึงรองรับการใช้งานได้ทุกรูปแบบ สอดคล้องกับยุคอินเตอร์เน็ตในทุกสรรพสิ่งหรือ IoT (Internet of Things)

พร้อมระบบ Emergency Call โทร-ส่งข้อความ-ระบุพิกัดรถไปยังเบอร์โทรที่ตั้งค่าไว้ เมื่อถุงลมนิรภัยทำงาน, ระบบ Smart Connect เชื่อมต่ออินเตอร์เน็ท เพื่อใช้งานระบบอินโฟเทนเมนท์ รวมถึงระบบนำทางและรายงานการจราจรแบบ Real-Time และระบบ Smart Check ช่วยตรวจสอบสถานะของรถ และช่วยเตือนเมื่อมีสถานะผิดปกติ ล็อค-ปลดล็อคประตู ค้นหารถด้วยระบบ Find My Car ช่วยค้นหาศูนย์บริการ รวมถึงบันทึกการดูแลรักษารถตามระยะผ่าน MG Mobile Application เรียกได้ว่าเป็นจุดเด่นของรถรุ่นนี้ทีเดียว ซึ่งฟังก์ชั่นในราคารถหลักล้านเหล่านี้ เหมาะสำหรับคุณผู้หญิงมาก

มาพร้อมช่วงล่าง Euro Tuning Suspension ที่ให้การทรงตัวดีเยี่ยม ผสานกับระบบช่วงล่างหน้าแบบ MacPherson Strut พร้อมเหล็กกันโคลงและช่วงล่างหลังแบบ Torsion Beam ที่ช่วยให้การควบคุมขับขี่ได้ลงตัวมากขึ้น

New MG ZS มี 3 รุ่นย่อย ได้แก่ รุ่น C+, D+ และรุ่นสูงสุดคือ X+ พร้อมสีตัวถังทั้งหมด 4 สี คือ สีขาว Arctic White, สีแดง Scarlet Red, สีเงิน Silver Metallic และ สีดำ Black Knight

New-MG-ZS-2020

อุปกรณ์มาตรฐานเด่นๆ :

  • กระจังหน้าปรับแบบใหม่
  • ชุดไฟหน้าแบบ LED Projector พร้อมฟังก์ชั่นเปิด-ปิดอัตโนมัติ (เฉพาะรุ่น X+)
  • ไฟส่องสว่างสำหรับการขับขี่เวลากลางวัน (Daytime Running Lights) ทรงใหม่
  • ไฟตัดหมอกหน้า (ยกเว้นรุ่น C+)
  • กระจกมองข้างพับ และปรับไฟฟ้า พร้อมไฟเลี้ยว แบบพับอัตโนมัติ
  • ราวหลังคา (ยกเว้นรุ่น C+)
  • ล้ออัลลอยลายใหม่ ขนาด 17 นิ้ว (เฉพาะรุ่น X+)
  • หลังคา Panoramic Sunroof (เฉพาะรุ่น X+)
  • ภายในรถโทนสีดำ พร้อมเบาะผ้าสีดำ (เฉพาะรุ่น C+)
  • ภายในรถโทนสีน้ำตาล และดำ พร้อมเบาะหนังสังเคราะห์ (เฉพาะรุ่น D+ และ X+)
  • มาตรวัดดิจิทัลขนาด 7 นิ้วแบบ Digital Multi-Function Display แบบใหม่ (เฉพาะรุ่น D+ และ X+)
  • จอกลางแบบทัชสกรีนขนาด 10 นิ้ว จัดวางแบบกึ่งลอยตัว รองรับการเชื่อมต่อสมาร์ทโฟนผ่าน Apple CarPlay พร้อมฟังก์ชั่น Smart Check, Smart Command และ Smart Connect
  • ระบบควบคุมความเร็วอัตโนมัติ (Cruise Control) (ยกเว้นรุ่น C+)
  • ช่องต่อ USB สำหรับผู้โดยสารด้านหลัง
  • ระบบปรับอากาศแบบดิจิทัล
  • ระบบกรองอากาศเพื่อกรองฝุ่นขนาดเล็กในระดับ PM 2.5
  • เบาะผู้ขับปรับไฟฟ้า 6 ทิศทาง (เฉพาะรุ่น X+)
  • กุญแจรีโมท Smart Key
  • ปุ่ม Push Start
  • กล้องมองภาพแสดงผล 360 องศา รอบคัน Around View Monitor (เฉพาะรุ่น X+), กล้องมองภาพถอยหลัง (เฉพาะรุ่น D+)
  • สัญญาณเตือนระยะถอยหลัง
  • เบรกมือไฟฟ้า Electronic Parking Brake
  • ระบบหน่วงเวลาการดับไฟหน้า เมื่อดับเครื่องยนต์ Follow Me Home Light
  • จุดยึดเบาะนิรภัยสำหรับเด็กแบบ ISOFIX
  • ถุงลมนิรภัยคู่หน้า, ถุงลมนิรภัยด้านข้าง (ยกเว้นรุ่น C+), ม่านถุงลมนิรภัย (เฉพาะรุ่น X+)
  • ระบบกุญแจนิรภัย Immobilizer
  • ระบบโครงสร้างตัวถังนิรภัย FSF (Full Space Frame)
  • ระบบเบรกมือไฟฟ้า EPB (Electronic Parking Brake)
  • ระบบป้องกันการไหลของรถโดยไม่ต้องเหยียบเบรกค้าง AVH (Auto Vehicle Hold)
  • ระบบป้องกันล้อล็อก ABS พร้อมระบบกระจายแรงเบรก EBD
  • ระบบเสริมแรงเบรกด้วยอิเล็กทรอนิกส์ EBA (Electronic Brake Assist)
  • ระบบควบคุมการทรงตัว SCS (Stability Control System)
  • ระบบควบคุมการเบรกในขณะเข้าโค้ง CBC (Curve Brake Control)
  • ระบบป้องกันล้อหมุนฟรี และควบคุมการลื่นไถล TCS (Traction Control System)
  • ระบบช่วยการออกตัวบนทางลาดชัน HAS (Hill Start Assist System)
  • ระบบควบคุมความเร็วรถขณะลงทางลาดชัน HDC (Hill Descent Control System)
  • ระบบตรวจสอบความผิดปกติของลมยาง TPMS (Tire Pressure Monitor System) (เฉพาะรุ่น X+)
  • ระบบสัญญาณไฟแจ้งเตือน เมื่อมีการเบรกฉุกเฉิน ESS (Emergency Stop Signal)
  • ระบบจำกัดความเร็ว ASL (Active Speed Limit) (ยกเว้นรุ่น C+)

เครื่องยนต์ : เบนซินขนาด 1.5 ลิตร รหัส 15S4C แบบ 4 DOHC สูบ 16 วาล์ว VTi – TECH ให้แรงม้าสูงสุด 114 แรงม้า ที่ 6,000 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 150 นิวตัน-เมตร ที่ 4,500 รอบ/นาที

ส่งกำลังผ่านเกียร์อัตโนมัติแบบ CVT 8 สปีด ทุกรุ่น ระบบพวงมาลัย แร็คแอนด์พิเนียน ควบคุมด้วยไฟฟ้า (EPS) สามารถปรับโหมดพวงมาลัยได้ถึง 3 โหมด คือ โหมด City สำหรับการขับขี่ในเมือง, โหมด Standard สำหรับการขับขี่ทั่วไป และโหมด Sport สำหรับการขับขี่สไตล์สปอร์ต ให้รัศมีวงเลี้ยวแคบสุด 5.6 เมตร

มิติตัวรถ : ยาว 4,323 มม. กว้าง 1,809 มม. สูง 1,628 มม. (รุ่น C+) 1,653 มม. (รุ่น D+ และ X+) ระยะฐานล้อ 2,585 มม. ล้อแบบอัลลอยขนาด 16 นิ้ว และ 17 นิ้ว (X+)

ราคาจำหน่าย : (Update ล่าสุด เดือนพฤษภาคม 2563)

  • รุ่น C+ ราคา 689,000 บาท
  • รุ่น D+ ราคา 739,000 บาท
  • รุ่น X+ ราคา 799,000 บาท

ตารางผ่อนดาวน์ Nissan Kicks e-POWER 2020 ใหม่

Nissan-Kicks-e-POWER-2020-ตารางผ่อนดาวน์

โปรโมชั่น Nissan Kicks e-POWER 2020 ใหม่

Nissan-Kicks-ePower-2020

All-New Nissan Kicks รุ่น V

  • ราคาช่วงเปิดตัว 999,000 บาท
  • อัตราดอกเบี้ยพิเศษ 1.69%* (เงินดาวน์ 25%, ผ่อนนาน 48 เดือน)
  • ฟรี ประกันภัยชั้นหนึ่ง Nissan Premium Protection 1 ปี*
  • ฟรี รับประกันระบบ e-POWER 5 ปี รับประกันแบตเตอรี่ลิเธียมไอออน 10 ปี**
  • ฟรี ไส้กรองแอร์แบบพรีเมียม “Nissan Premium Air-Con filter”

* ข้อเสนอนี้สำหรับลูกค้าที่เช่าซื้อกับบริษัท นิสสัน ลีสซิ่ง (ประเทศไทย) จำกัด เท่านั้น

** รับประกันระบบรถยนต์ e-POWER เป็นระยะเวลา 5 ปี หรือ ระยะทาง 100,000 โลเมตร (นับตั้งแต่วันที่ส่งมอบ) แล้วแต่ระยะใดถึงก่อน และ รับประกันแบตเตอรี่ลิเธียมไอออน เป็นระยะเวลา 10 ปี หรือ ระยะทาง 200,000 กิโลเมตร (นับตั้งแต่วันที่ส่งมอบ) แล้วแต่ระยะใดถึงก่อน โดยเป็นขยายการรับประกันแบตเตอรี่ลิเธียมไอออนเพิ่มเติม ภายในปีที่ 6-10 จาก ปีที่ 5 โดยเพิ่มระยะทางจาก 100,000 กิโลเมตรเป็น 200,000 กิโลเมตร โดยลูกค้าสามารถเปลี่ยนแบตเตอรี่เนื่องจากความเสียหาย ได้ 1 ครั้ง

All-New Nissan Kicks รุ่น VL

  • ราคาช่วงเปิดตัว 1,049,000 บาท
  • อัตราดอกเบี้ยพิเศษ 1.69%* (เงินดาวน์ 25%, ผ่อนนาน 48 เดือน)
  • ฟรี ประกันภัยชั้นหนึ่ง Nissan Premium Protection 1 ปี*
  • ฟรี รับประกันระบบ e-POWER 5 ปี รับประกันแบตเตอรี่ลิเธียมไอออน 10 ปี**
  • ฟรี ไส้กรองแอร์แบบพรีเมียม “Nissan Premium Air-Con filter”

* ข้อเสนอนี้สำหรับลูกค้าที่เช่าซื้อกับบริษัท นิสสัน ลีสซิ่ง (ประเทศไทย) จำกัด เท่านั้น

** รับประกันระบบรถยนต์ e-POWER เป็นระยะเวลา 5 ปี หรือ ระยะทาง 100,000 โลเมตร (นับตั้งแต่วันที่ส่งมอบ) แล้วแต่ระยะใดถึงก่อน และ รับประกันแบตเตอรี่ลิเธียมไอออน เป็นระยะเวลา 10 ปี หรือ ระยะทาง 200,000 กิโลเมตร (นับตั้งแต่วันที่ส่งมอบ) แล้วแต่ระยะใดถึงก่อน โดยเป็นขยายการรับประกันแบตเตอรี่ลิเธียมไอออนเพิ่มเติม ภายในปีที่ 6-10 จาก ปีที่ 5 โดยเพิ่มระยะทางจาก 100,000 กิโลเมตรเป็น 200,000 กิโลเมตร โดยลูกค้าสามารถเปลี่ยนแบตเตอรี่เนื่องจากความเสียหาย ได้ 1 ครั้ง

ตารางผ่อนดาวน์ Mazda CX-30 2020 ใหม่

Mazda-CX-30-2020-ตารางผ่อนดาวน์

ตารางผ่อนดาวน์ MG ZS 2020 ใหม่

MG-ZS-2020-ตารางผ่อนดาวน์

ในเวลานี้ ใครที่อยากขายรถ เพื่อซื้อรถใหม่ ต้อนรับปีใหม่นี้ ต้องนึกถึงเรา CARRO! เพียงแค่คลิก https://th.carro.co/sell-car/express หรือสามารถ Inbox มาขอรายละเอียดได้ที่ Facebook CARRO Thailand จ้า แค่นี้การเปลี่ยนรถใหม่ของคุณ ก็ง่ายขึ้นแล้ว

5-Things-Stop-Engine-Overheat

ในช่วงหน้าร้อน ปี 2563 แบบนี้ เจออากาศร้อนอบอ้าว แดดจ้า ท่ามกลางการอยู่บ้าน ลดเชื้อ เพื่อชาติ จากโควิด-19 ที่เรายังต้องเฝ้าระวังแล้ว ยังต้องระวังกับค่าไฟที่พุ่งพรวด และยังต้องระวังกับเหงื่อแตก กับรถยนต์ที่พังในช่วงหน้าร้อนด้วยครับ

แม้ว่าในเวลานี้ Social Distrancing จะถูกคลายลงไปบ้างแล้วก็ตาม ทำให้คนแห่กันออกมาใช้บริการระบบขนส่งมวลชนมากขึ้น หลายคนจึงเลี่ยงที่จะไม่อยากไปแออัดกับคนเยอะๆ จึงเลือกที่จะขับรถไปทำงาน หรือไปทำธุระในที่ต่างๆ ดังนั้น สภาพรถของคุณจึงต้องพร้อมเสมอ สำหรับการใช้งานในช่วงหน้าร้อนนี้

MR.CARRO จะมาบอกถึง 5 สิ่งใน “เครื่องยนต์” ที่ต้องดูแลเป็นพิเศษ! ถ้าลืมอาจเครื่องพังได้! ครับ.

5-Things-Stop-Engine-Overheat

1. หม้อน้ำ

อุปกรณ์ที่ช่วยในการระบายความร้อนของเครื่องยนต์ นั่นคือ “หม้อน้ำ” ซึ่งหม้อน้ำปกติจะอยู่ในสภาพที่ดี บริเวณฝาหม้อน้ำ ต้องไม่มีคราบน้ำ หรือน้ำสนิมดันออกมาเวลาเครื่องยนต์ร้อนมากๆ นั่นแสดงว่าหม้อน้ำรถคุณ หรือเครื่องยนต์คุณอาจจะมีปัญหา

คุณจะต้องตรวจสอบในส่วนต่างๆ อาทิเช่น ฝาหม้อน้ำ ซึ่งจะควบคุมอุณหภูมิและแรงดันของน้ำภายในหม้อน้ำให้คงที่ ฝาหม้อน้ำที่ดีต้องไม่เป็นสนิม สปริงด้านในฝาต้องยุบตัวและคืนตัวได้ ขอบยางรอบๆ ไม่แตกไม่ขาด ถ้าหากฝาหม้อน้ำเสีย หรือหมดสภาพการใช้งาน อาจเกิดการดันของน้ำออกมาได้ในขณะที่เครื่องยนต์มีความร้อนมากๆ จนโอเวอร์ฮีทได้

ตัวหม้อน้ำเหล็ก (ทองเหลือง) หรืออะลูมิเนียม ต้องไม่มีการปริ รั่วซึม หรือแตก ส่วนหม้อน้ำที่ทำจากพลาสติก (รถยุคใหม่ๆ มักจะใช้หม้อน้ำประเภทนี้ เพราะลดต้นทุนในการผลิต) วิธีการตรวจสภาพดูควรดูจาก 3 จุด ฝาบน ตรงกลาง ฝาล่าง และส่วนแผงรังผึ้งตรงกลาง ที่ไม่ได้เชื่อมต่อเป็นชิ้นเดียวกันแบบหม้อน้ำเหล็ก

ปกติแล้ว หม้อน้ำพลาสติกจะมีอายุการใช้งานประมาณ 3-5 ปี ฝาพลาสติกอาจแตก อาจะมีน้ำรั่วออกตามตะเข็บ ทำให้หม้อน้ำรั่วได้ ถ้ามีสิ่งสกปรกติดบริเวณครีบแผงรังผึ้งมาก ก็เอาที่ฉีดน้ำฉีดทำความสะอาดก็ได้

หากน้ำยาหล่อเย็นในหม้อน้ำ จะสีอะไรก็แล้วแต่ ล้วนมีอายุประมาณ 2 ปี ก็ควรถ่ายน้ำในหม้อน้ำ ล้างหม้อน้ำ และการเติมน้ำยาหล่อเย็นของใหม่เข้าไปเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงานของหม้อน้ำ และป้องกันสนิมภายในหม้อน้ำด้วย อ่อ! ไม่ควรเติมน้ำประปาแทนน้ำยาหล่อเย็นนะครับ เพราะจะทำให้เกิดตะกรันในหม้อน้ำ ไปอุดทางเดินน้ำได้เช่นกัน

2. พัดลมระบายความร้อน

สภาพของพัดลมระบายความร้อน นั้น จะดีหรือไม่ดีต้องดูตอนที่สตาร์ทรถอยู่กับที่แล้วเปิดแอร์ ดูว่าลมยังพัดแรงหรือไม่ หรือตอนจอดรถติดไฟแดง และรู้สึกว่าแอร์ไม่เย็น ถ้าเก่ารถมาก เจ้าของรถหลายคันนิยมไปติดพัดลมระบายความร้อนเพิ่ม เพื่อให้การระบายความร้อนทำได้ดียิ่งขึ้น รวมถึงทำให้แอร์รถเย็นขึ้นด้วย

สภาพของตัวใบพัดนั้น ต้องไม่หักหรือโกร่ง และเมื่อทำงานความเร็วรอบในการหมุนของพัดลมต้องคงที่สม่ำเสมอ หากแรงลมเบาก็ควรซ่อมหรือเปลี่ยน

5-Things-Stop-Engine-Overheat

3. ท่อยางต่างๆ

ท่อยางเหล่านี้ก็เป็นสิ่งสำคัญ เพราะว่าเป็นตัวกลางที่คอยส่งน้ำหล่อเย็นไปยังเครื่องยนต์และมายังหม้อน้ำ ซึ่งปกติความร้อนเครื่องยนต์ค่อนข้างมาก และมีแรงสั่น แรงดันในระบบ ยิ่งถ้าเป็นรถติดแก๊สแล้ว ท่อยางต่างๆ จะเสื่อมสภาพไว แข็งกรอบ มีรอยแตกลายงา อาจทำให้น้ำยาหล่อเย็นรั่วออกมาได้

วิธีเช็คท่อยางต่างๆ เพียงใช้มือบีบเบาๆ หากท่อยางสภาพยังดีก็จะมีการคืนตัวได้ไว

4. สายพาน – ปั้มน้ำ

สายพาน และ ปั้มน้ำ ที่หลายคนอาจจะไม่ได้คิด แต่สองชิ้นนี้ก็มีส่วนสำคัญในการระบายความร้อนของเครื่องยนต์ ตัวสายพานต้องตึง ไม่มีแตกลายงาหรือเสียงดังเวลาขับ ถ้าสายพานขาด ก็จะทำให้ปั้มน้ำไม่ทำงานไปด้วย สายพานต่างๆ ควรเปลี่ยนใหม่ทุก 40,000 – 60,000 กิโลเมตร และไม่ควรตั้งสายพานตึงจนเกินไป เพราะจะทำให้ลูกปืนปั้มน้ำทำงานหนัก และพังซะก่อน

ส่วนตัวปั้มน้ำ จะทำหน้าที่หมุนเวียนน้ำจากเครื่องยนต์ไปหม้อน้ำ แล้วไหลกลับมาที่เครื่อง การทำงานของปั๊มน้ำ จะอาศัยแรงจาก เครื่องยนต์มาหมุนผ่านสายพาน โดยมีลูกปืนมารองรับในการหมุน ปกติปั้มน้ำมีอายุการใช้งานอยู่ที่ 200,000 – 250,000 กิโลเมตร

ส่วนใหญ่ปั้มน้ำจะรั่ว 2 จุดหลักๆ คือ บริเวณซีลแกนปั๊มน้ำ และ ช่องระบายอากาศ (รูหายใจ) และอย่าลืมดูสภาพลูกปีนด้วย ว่ามีสึกมีแตกหรือไม่

ถ้าหากปั้มน้ำมีอาการรั่ว ซึม หรือมีเสียงดังจากอาการลูกปีนสึกหรือแตกแล้ว รีบเปลี่ยนเถอะครับ

5-Things-Stop-Engine-Overheat

5. วาล์วน้ำ

วาล์วน้ำ ก็เป็นอีกสิ่งหนึ่งที่ห้ามพลาด เพราะเป็น “ตัวกลาง” ในการควบคุมระบบน้ำหล่อเย็นระหว่างหม้อน้ำกับเครื่องยนต์ เมื่ออุณหภูมิได้ที่ (เกิน 80 องศา) วาล์วน้ำก็จะเปิดทางเดินน้ำหล่อเย็นเองโดยอัตโนมัติ แต่ถ้าอุณหภูมิต่ำกว่านั้น วาล์วน้ำก็จะไม่เปิดให้น้ำไหลผ่าน เพื่อให้เครื่องยนต์มีอุณหภูมิที่ร้อนได้ที่ น้ำก็จะไหลเวียนผ่านไปยังผนังเสื้อสูบ และระบายความร้อนได้เต็มที่

ตามปกติแล้ว วาล์วน้ำรถยนต์ จะมีอายุการใช้งานประมาณ 150,000 กม. ก็ควรเปลี่ยนใหม่ วิธีเช็คว่าวาล์วน้ำเสียหรือยัง ให้ขับรถไปสักพัก แล้วจอดรถเปิดฝากระโปรง เอามือจับบริเวณท่อยางหม้อน้ำที่เข้า-ออก เครื่องยนต์ ถ้าวาล์วน้ำปกติ จะต้องร้อนทั้งสองเส้น แต่ถ้าเส้นใดเส้นหนึ่ง “เย็น” แสดงว่า วาล์วน้ำเสีย

รถหลายคันที่เครื่องยนต์มีปัญหาเรื่องความร้อน หรือรถเก่าๆ ที่ติดแก๊ส มักจะถอดวาล์วน้ำออก เพื่อลดปัญหาเครื่องยนต์โอเวอร์ฮีท แต่นั่นก็ไม่ใช่วิธีการที่ดีเท่าไหร่ (ไม่งั้นวิศวกรผู้ออกแบบเครื่องยนต์รถ เขาจะใส่มาทำไม!) เพราะจะทำให้เครื่องยนต์ความร้อนขึ้นช้า น้ำก็จะวนแค่รอบๆ ปั้มน้ำ ไปไม่ทั่วทุกกระบอกสูบของเครื่องยนต์

อาจทำให้น้ำหล่อเย็นหาย น้ำมันเครื่องหาย ถึงขั้นฝาสูบโก่งได้ และเครื่องยนต์สึกหรอ กินน้ำมันมากขึ้น

ทางที่ดี เช็คสภาพรถของคุณให้พร้อมไว้ดีกว่า ไม่งั้นเวลาใช้รถแล้วรถมาจอดเสียข้างทาง ตากแดดร้อนๆ คงไม่สนุกเป็นแน่

ถ้าหากคุณร้อนเงินในเวลานี้ เพราะโดนโควิด-19 เล่นงาน สามารถมา “ขายรถ” หรือรับเงินก้อนไปใช้ ในยุคโควิด-19 ได้ง่ายๆ กับ CARRO มั่นใจ! ปลอดภัน  และฟรี! ไม่มีค่าใช้จ่ายใดๆ ทั้งสิ้น พร้อมปิดการขายภายใน 24 ชั่วโมง! กับ CARRO Express เพียงแค่คลิก https://th.carro.co/sell-car/express หรือสามารถ Inbox มาขอรายละเอียดได้ที่ Facebook CARRO Thailand

หรือจะ Add Line สอบถามรายละเอียดได้ที่ @Carrothailand หรือคลิกที่นี่ ขายรถด่วน! —> เพิ่มเพื่อน

How-To-Wake-Up-Sleeping-Car

ในช่วงที่ไวรัสโควิด-19 ระบาด นอกจากหลายคนจะต้องทำงานที่บ้านเป็นหลัก ตามนโยบาย “อยู่บ้าน หยุดเชื้อ เพื่อชาติ” และ Social Distrancing ทำให้รถยนต์ที่มีอยู่อาจจะไม่ค่อยได้ใช้งาน หรือไม่ได้ใช้งานเลย นั่นอาจไม่ใช่สิ่งที่ดีนักเพราะขึ้นชื่อว่า “เครื่องจักร” แล้ว ควรหาโอกาสให้รถของคุณได้ขับเคลื่อนชิ้นส่วนต่างๆ บ้าง ไม่งั้นชิ้นส่วนต่างๆ อาจเสื่อมสภาพ หรือใช้งานไม่ได้ซะก่อน

ปัญหาหลักๆ ของรถที่จอดนานๆ นับเดือน นับปี จนหลายสิ่งไม่สามารถใช้การได้ ก็มีอาทิเช่น รถแบตหมด, ยางแบน, เบรกติด, น้ำมันเครื่องพร่อง หรือเสื่อมสภาพ หรือน้ำมันในถังบูด เป็นต้น

MR.CARRO จะมาอธิบายถึงวิธีคืนชีพรถจอดทิ้งไว้นาน ต้องตรวจเช็คอะไรบ้าง พร้อมประเมินค่าใช้จ่ายซ่อมเปลี่ยนอะไหล่ ซึ่งใครที่ต้องไปทำงานต่างจังหวัดหรือต่างประเทศ ก็สามารถนำมาปรับใช้ได้เช่นกัน มาฟังจากปากช่างกันเลยครับ …

How-To-Wake-Up-Sleeping-Car

1. แบตเตอรี่รถยนต์

รถจอดทิ้งไว้นาน รถแบตหมดอาการแบบนี้ จะเห็นชัดเมื่อสัญลักษณ์แสดงการใช้งาน (หรือ ตาแมว) จะมีสีขาว ซึ่งถ้าแบตเสื่อมก็จะเก็บไฟไม่อยู่ ไม่มีประจุ แต่ถ้าแบตเตอรี่ยังดีอยู่ ที่สามารถพ่วงเพื่อสตาร์ทได้

โดยทั่วไปแบตเตอรี่มีอายุการใช้งานประมาณ 2 ปี แต่ถ้าคุณใช้งานรถยนต์สม่ำเสมอ แบตเตอรี่ไม่ว่าจะเป็นแบบกึ่งแห้ง หรือแบบเติมน้ำ ก็สามารถมีอายุการใช้งานได้ยาวถึง 4 ปีเลยทีเดียว

อาการรถแบตหมดก็อาจทำให้ผู้ใช้รถบางคนสงสัย ว่าไม่ได้ใช้งานเลย แต่แบตหมดได้อย่างไร ความจริงแบตเตอรี่ก็ยังคงมีการจ่ายกระแสไฟฟ้าไปเลี้ยงระบบอิเล็กทรอนิกส์อยู่ เช่น ระบบกันขโมย, นาฬิกา, วิทยุ หรือกล่องสมองกลของรถยนต์

หรือสังเกตได้จากเวลาไม่ได้ติดเครื่อง เมื่อเปิดกระจกไฟฟ้าจะทำงานได้ช้าลง ไฟต่างๆ ไม่สว่าง หรือวิทยุฟังตอนไม่ได้ติดเครื่อง พอจะสตาร์ทอีกครั้งกลับสตาร์ทไม่ติด

งานนี้คือแบตรถยนต์หมดประจุ ก็ต้องมีการพ่วงเพื่อสตาร์ท ซึ่งถ้าปล่อยให้แบตหมดแล้วพ่วงอยู่บ่อยๆ ก็จะทำให้แบตเตอรี่เสื่อมได้ครับ

แบตเตอรี่รถยนต์ราคาเท่าไหร่ และมีกี่แบบ ดูได้จากรายละเอียดตามนี้ครับ (เป็นราคาแบตเตอรี่โดยประมาณ รวมทั้งราคาแบตรถเก๋ง และราคาแบตรถกระบะ ทั้งแบบกึ่งแห้ง และแบบแห้ง)

  • แบตเตอรี่กำลังไฟ 35 แอมป์ เหมาะกับรถที่มีเครื่องยนต์ขนาด 600 – 1,000 ซีซี ราคาประมาณ 1,400 – 1,800 บาท
  • แบตเตอรี่กำลังไฟ 40 แอมป์ เหมาะกับรถที่มีเครื่องยนต์ขนาด 1,300 – 1,600 ซีซี ราคาประมาณ 1,600 – 2,000 บาท
  • แบตเตอรี่กำลังไฟ 45 แอมป์ เหมาะกับรถที่มีเครื่องยนต์ขนาด 1,300 – 1,600 ซีซี ราคาประมาณ 1,600 – 2,000 บาท
  • แบตเตอรี่กำลังไฟ 50 แอมป์ เหมาะกับรถที่มีเครื่องยนต์ขนาด 1,300 – 2,500 ซีซี ราคาประมาณ 1,800 – 2,400 บาท
  • แบตเตอรี่กำลังไฟ 55 แอมป์ เหมาะกับรถที่มีเครื่องยนต์ขนาด 1,300 – 2,500 ซีซี ราคาประมาณ 2,000 – 2,200 บาท
  • แบตเตอรี่กำลังไฟ 65 แอมป์ เหมาะกับรถที่มีเครื่องยนต์ขนาด 2,000 – 3,000 ซีซี ราคาประมาณ 2,200 – 2,600 บาท
  • แบตเตอรี่กำลังไฟ 70 แอมป์ เหมาะกับรถที่มีเครื่องยนต์ขนาด 2,500 – 3,000 ซีซี ราคาประมาณ 2,200 – 2,600 บาท
  • แบตเตอรี่กำลังไฟ 75 แอมป์ เหมาะกับรถที่มีเครื่องยนต์ขนาด 2,000 – 3,000 ซีซี ราคาประมาณ 2,400 – 2,800 บาท
  • แบตเตอรี่กำลังไฟ 90 แอมป์ เหมาะกับรถกระบะ หรือรถที่มีขนาดเครื่องยนต์ 2,500 – 3,000 ซีซี ราคาประมาณ 2,900 – 3,100 บาท
  • แบตเตอรี่กำลังไฟ 100 แอมป์ เหมาะกับรถกระบะหรือรถที่มีเครื่องยนต์ขนาด 2,500 – 3,000 ซีซี ราคาประมาณ 3,000 – 3,500 บาท

เพื่อช่วยยืดอายุแบตเตอรี่ MR.CARRO แนะนำให้สตาร์ทเครื่องยนต์รถไว้สักประมาณ 10 นาที หรือมากว่า อย่างน้อยสัปดาห์ละ 2 ครั้ง จะได้ช่วยยืดอายุแบตเตอรี่ครับ

How-To-Wake-Up-Sleeping-Car

2. น้ำมันเครื่อง

น้ำมันเครื่องรถยนต์ นี่ก็นับว่าเป็นส่วนสำคัญ ซึ่งก็รวมไปถึงของเหลวอื่นๆ ด้วย เช่น น้ำมันเบรก, น้ำมันเกียร์, น้ำมันคลัทช์, น้ำมันเฟืองท้าย, น้ำมนพวงมาลัยเพาเวอร์ ซึ่งก็ควรทำการตรวจเช็คไปด้วยพร้อมกันทีเดียว

ตามปกติแล้ว ชนิดของนํ้ามันเครื่อง ให้ระยะทางในการใช้งานไม่เท่ากัน เช่น นํ้ามันเครื่องธรรมดา (Synthetic) กำหนดการเปลี่ยนถ่าย 5,000–7,000 กิโลเมตร นํ้ามันเครื่องกึ่งสังเคราะห์ (Semi Synthetic) 7,000–10,000 กิโลเมตร และนํ้ามันเครื่องสังเคราะห์ (Fully Synthetic) 10,000–15,000 กิโลเมตร หรือในบางยี่ห้อ บางชนิด อาจระบุถึงอายุการใช้งานได้มากกว่านั้นก็ตาม

แต่เพื่อให้เครื่องยนต์ทำงานได้อย่างเต็มที่ ก็ควรเปลี่ยนถ่ายนํ้ามันเครื่องธรรมดา ทุกๆ 6 เดือน น้ำมันเครื่องกึ่งสังเคราะห์ ทุก 6-9 เดือน และน้ำมันเครื่องสังเคราะห์ ประมาณ 1 ปี เป็นต้น

เพราะน้ำมันเครื่องนั้นมีการเสื่อมสภาพ การจอดรถทิ้งไว้นานๆ นอกจากจะมีเศษผงต่างๆ จากการเสียดสีในเครื่องยนต์แล้ว อาจมีน้ำ หรือมีความชื้นปะปนอยู่จนน้ำมันเครื่องเสื่อมสภาพได้

น้ำมันเครื่องรถยนต์ ยังแบ่งเป็นเกรดต่างๆ และตัวเลขต่างๆ ที่ผู้ใช้สามารถเลือกใช้กับรถ (โดยดูได้จากในคู่มือรถ ว่าแนะนำให้เครื่องยนต์ใช้กับน้ำมันเครื่องเกรดอะไรได้บ้าง) เริ่มต้นจาก

ค่าน้ำมันเครื่อง

ปัจจุบัน “SN” คือค่าน้ำมันเครื่องที่สูงสุด กำหนดโดย API (American Petroleum Institute Standard) หรือสถาบันปิโตรเลียมแห่งประเทศสหรัฐอเมริกา เพื่อเป็นมาตรฐานของน้ำมันเครื่องทั่วโลก โดยค่า SN ให้มาตรฐานประหยัดเชื้อเพลิงที่ดีขึ้น รองรับน้ำมันแก๊สโซฮอล์ E85 ประกาศใช้เมื่อเดือนตุลาคม 2010

มาตรฐาน API หากเป็นน้ำมันเครื่องยนต์เบนซินจะขึ้นต้นด้วย “S” (Spark Ignition) เช่น API SN ส่วนเครื่องยนต์ดีเซลจะขึ้นต้นด้วย “C” (Compression Ignition) เช่น API CJ-4 เป็นต้น

ตัวเลขค่าความหนืด

ตัวเลขนี้ คือค่ามาตรฐานน้ำมันเครื่องของสมาคมวิศวกรรมยานยนต์ หรือ Society of Automotive Engineers (SAE) ของสหรัฐอเมริกา ที่แสดงถึงค่าความหนืดหรือความข้นใสของน้ำมันเครื่อง โดยกำหนดเป็นชุดตัวเลขระบุอุณหภูมิสูงและต่ำ เช่น 5W-30, 10W-40, 15W-40 หรือ 20W-40 เป็นต้น ซึ่ง W นั้นหมายถึง “Winter” นั่นเอง

สามารถแยกออกได้ดังตัวอย่างด้านล่างจ้า …

  • W = สามารถคงความข้นใสไว้ได้ต่ำกว่า -30 องศาเซลเซียส โดยไม่เป็นไข
  • 5W = สามารถคงความข้นใสไว้ได้ถึง -30 องศาเซลเซียส โดยไม่เป็นไข
  • 10W = สามารถคงความข้นใสไว้ได้ถึง -20 องศาเซลเซียส โดยไม่เป็นไข
  • 15W = สามารถคงความข้นใสไว้ได้ถึง -10 องศาเซลเซียส โดยไม่เป็นไข
  • 20W = สามารถคงความข้นใสไว้ได้ถึง 0 องศาเซลเซียส โดยไม่เป็นไข

ชุดเลขตัวที่สอง เช่น “40” บอกถึงค่าความหนืดของน้ำมันเครื่องรถยนต์ที่มีตั้งแต่ 60, 50, 40, 30, 20, 10 และ 5 โดยตัวเลขน้อยคือความหนืดน้อย ส่วนความหนืดมาก ตัวเลขก็มากตามไปด้วย ซึ่งตัวเลขนี้ผลต่อการหล่อลื่น และช่วยลดการสึกหรอของเครื่องยนต์ โดยความหนืดที่เหมาะสมสำหรับเครื่องยนต์ทั่วไปในบ้านเรา อยู่ที่ 20-40

ยิ่งถ้าเป็นรถเก่าๆ ก็ควรใช้น้ำมันเครื่องรถยนต์ตัวเลขความหนืดสูงๆ ไว้ หรือบรรทุกหนัก หรือใช้ความเร็วสูงบ่อยๆ ควรเพิ่มค่าความหนืดให้มากขึ้นกว่าตามที่คู่มือระบุ

ราคาน้ำมันเครื่อง ตามปกติรถยนต์มักใช้กันอยู่ที่ประมาณ 3-6 ลิตร มีราคาอยู่ตั้งแต่ 350 – 2,400 บาท ขึ้นอยู่กับเกรด ค่าความหนืด รวมถึงชนิดของน้ำมันเครื่อง

How-To-Wake-Up-Sleeping-Car

3. ยางรถยนต์

เป็นปกติรถของรถยนต์ที่จอดนานๆ เป็นเดือนหรือเป็นปี มักจะยางแบนเพราะน้ำหนักรถยนต์ทั้งหมด กดลงที่บริเวณยางจุดเดิม ทำให้ลมยาง “ซึม” ออกมา จนยางไม่คืนตัว เกิดการยุบตัวของโครงสร้างยางส่วนหน้า ทำให้โครงยางเสียรูป ไม่กลม เมื่อนำรถยนต์ไปขับขี่ภายหลัง อาจทำให้เกิดอาการสั่นและมีเสียงดังผิดปกติได้

เมื่อคุณรู้ว่าต้องจอดรถนาน แนะนำให้เช็คลมยาง เติมลมยางมากกว่าปกติประมาณ 5-10 ปอนด์/ตร.นิ้ว หรือเอารถไปขับสัก 5-10 กิโลเมตรหน่อย เพื่อให้ยางได้หมุน เปลี่ยนจุดรับน้ำหนักบ้าง หรือถ้าต้องจอดรถนานๆ ก็หาสามขา หรือแม่แรง มายกรถไว้ทั้ง 4 ล้อเลยครับ

สำหรับยางรถยนต์ในบ้านเรา ถ้าเป็นยางรถเก๋ง ที่นิยมก็มีกันตั้งแต่ขนาด 12 นิ้ว ไปจนถึงขนาด 22 นิ้ว หลากหลายยี่ห้อทั้งแบบผลิตในไทย และแบบนำเข้าจากต่างประเทศ มีราคาตั้งแต่เส้นละประมาณ 1,000 บาท ไปจนถึง 23,000 บาท

ส่วนยางรถกระบะ ในบ้านเรานิยมกันตั้งแต่กระทะเหล็กขนาด 13 นิ้ว ไปจนถึงแบบที่เป็นล้อแม็กแต่ง ขนาด 22 นิ้ว หลากหลายยี่ห้อทั้งแบบผลิตในไทย และแบบนำเข้าจากต่างประเทศ มีราคาตั้งแต่เส้นละประมาณ 1,600 บาท ไปจนถึง 12,000 บาท

ทางที่ดี อย่าลืมดูระบบเบรกด้วย ว่าเบรกติด เบรกขึ้นสนิมหรือเปล่า ระบบแอร์ มีน้ำยาแอร์รั่ว หรืออะไรตันในระบบแอร์หรือไม่ และอย่าลืมดูภายในห้องเครื่องยนต์ด้วย เผื่อจะเป็นบ้านของคุณหนูๆ ที่ไม่ได้รับเชิญมาอยู่ในรถของคุณ

ถ้าหากคุณคิดว่าสภาพรถตอนนี้ จอดทิ้งไว้นานต้องมีค่าใช้จ่ายซ่อมเปลี่ยนอะไหล่หรือของเหลวเยอะ ก็สามารถ “ขายรถ” คันเดิม เพื่อไปซื้อรถคันใหม่ หรือรับเงินก้อนไปใช้ ในยุคโควิด-19 ได้ง่ายๆ

เพียงขายรถคันเก่ากับ CARRO ได้ ง่ายๆ ได้เงินไว! และฟรี! ไม่มีค่าใช้จ่าย พร้อมปิดการขายภายใน 24 ชั่วโมง! กับ CARRO Express เพียงแค่คลิก https://th.carro.co/sell-car/express หรือสามารถ Inbox มาขอรายละเอียดได้ที่ Facebook CARRO Thailand

หรือจะ Add Line สอบถามรายละเอียดได้ที่ @Carrothailand หรือคลิกที่นี่ ขายรถด่วน! —> เพิ่มเพื่อน

Carro-Roojai-How-To-Take-Care-Of-Unused-Car

ช่วงที่ ไวรัส โคโรนา (COVID-19) กลายเป็นสิ่งที่น่ากลัว ทุกคนต้องปรับตัวเองกับคำว่า “Social Distancing” เว้นระยะห่างจากบุคคลทั่วไป หลายคนก็ต้องทำงานจากที่บ้าน (Work From Home) อยู่แต่บ้านไม่ค่อยได้ไปไหน ซึ่งรถของคุณก็จะไม่ค่อยได้ใช้งานไปโดยปริยาย ต้องจอดรถไว้นานควรทำอย่างไร ต้องดูแลยังไงให้รถพร้อมใช้งานได้ตลอดเวลา

Roojai.com ไม่ได้เป็นห่วงรถคุณแค่เรื่องประกันภัยเพียงอย่างเดียว เราก็อยากให้คุณไม่เกิดปัญหาในการใช้งานรถด้วย ยิ่งในสภาวะเช่นนี้ รถไม่ค่อยได้ใช้งาน ต้องจอดรถทิ้งไว้นาน ๆ ย่อมส่งผลให้ตัวรถเกิดปัญหา แล้วพอจะใช้ทีก็ต้องมานั่งซ่อมที แบบนี้ไม่ดีแน่! ควรทำอย่างไรไปดูกันเลย

จอดรถไว้นานควรทําอย่างไร ในช่วงที่ โคโรนา เป็นภัย

How-To-Take-Care-Of-Unused-Car

1. หมั่นดูแลรถให้สะอาดอยู่เสมอ

ไม่ได้ใช้รถนานๆ บางทีคราบขี้นก ยางต้นไม้หยดใส่รถแต่ว่าคุณไม่รู้ ต้องหมั่นตรวจสอบอยู่เสมอ ถ้ามีคราบมีรอยเมื่อเห็นให้ล้างออกโดยทันทีก่อนที่ตัวคราบนั้น ๆ จะเข้าไปทำลายสีรถของคุณ ล้างไม่ออก ขัดยังไงก็ไม่หลุด เป็นเหมือน “ตราบาป” ติดรถของคุณไปตลอด

How-To-Take-Care-Of-Unused-Car

2. หาที่จอดรถที่เหมาะสม

คำว่า “เหมาะสม” ในที่นี้บริบทของมันใช่เพียงแค่ว่าจอดรถในที่ร่มไม่โดนแดดไม่โดนฝนเท่านั้น แต่พื้นที่โดยรอบของที่จอดรถและตำแหน่งการจอดนั้น ไม่ควรเป็นพื้นที่รกร้างที่อาจมีสัตว์นานาชนิดแอบใช้รถของคุณเป็นที่พักผ่อนได้ เช่น หนูหรืองู จอดรถนาน ๆ ไม่ได้ใช้ทุกวันตรงจุดนี้ต้องระวังให้ดี

How-To-Take-Care-Of-Unused-Car

3. หมั่นเปิดฝากระโปรงบ่อยๆ

ใต้ฝากระโปรงอาจเป็นแหล่ง “มั่วสุม” ของพวกหนูซึ่งมันอาจนำความพินาศมาสู่รถคุณได้ เข้าไปกัดสายไฟจนขาด นำอาหารไปกินแล้วทิ้งไว้ในห้องเครื่องเป็นขยะ ซึ่งถ้าไม่คอยเปิดเช็กฝากระโปรง ปิดสนิททิ้งไว้เป็นอาทิตย์บอกเลยว่า “บันเทิงแน่นอน” เปิดมาดูที รถของคุณอาจจะสตาร์ทไม่ติดหรือเห็นเศษขยะสะสมมากมายที่พวกมันมาแทะกัดแล้วทิ้งไว้ให้ดูต่างหน้า การเปิดฝากระโปรงทิ้งไว้หรือคอยเปิดบ่อย ๆ สามารถช่วยได้ เพื่อไม่ให้พวกสัตว์ต่าง ๆ เห็นว่าในห้องเครื่องของรถคุณเป็นที่หลบภัยของมันนั่นเอง

How-To-Take-Care-Of-Unused-Car-4

4. 3-4 วัน สตาร์ทรถสักที

บางคนอาจแนะนำว่าให้สตาร์ทรถสัปดาห์ละครั้งก็ได้ แต่เราอยากให้ความถี่ในการสตาร์ทรถของคุณมากขึ้นสักหน่อย เป็นสัก 3-4 วันให้เครื่องยนต์และระบบต่าง ๆ ของตัวรถได้ทำงาน ทั้งระบบไฟ ระบบแอร์ และอื่น ๆ รอบคัน สตาร์ททิ้งไว้สัก 10-15 นาทีให้ไฟได้ชาร์ทเข้าแบตฯ ไว้บ้าง หรือจะให้ดีกว่านั้นสตาร์ททั้งทีก็ขับวนรอบหมู่บ้านสักรอบสองรอบ ก็จะยิ่งช่วยให้ระบบช่วงล่างของรถได้ทำงานบ้างได้ด้วยอีกต่างหาก

How-To-Take-Care-Of-Unused-Car

5. เติมลมให้ “แข็งขึ้น” สักเล็กน้อย

รถไม่ค่อยได้ขับ จอดทิ้งไว้นาน ๆ ขับอุ่นเครื่องแต่ในหมู่บ้านไม่ได้เอาออกไปไหน เพื่อรักษาสภาพยางรถยนต์ของคุณให้ยังดีอยู่เสมอก็ควรเติมลมยางให้แข็งกว่าปกติสักหน่อย เพิ่มขึ้นสัก 5 ปอนด์จากมาตรฐานก็สามารถช่วยให้ตอนที่น้ำหนักเมื่อกดทับยางตอนจอดนิ่งนาน ๆ ไม่เสียรูป ใช้งานได้อีกยาวๆ

สำคัญไปกว่านั้นต้องหมั่นตรวจเช็กแรงดันลมยางอย่างสม่ำเสมอด้วย ไม่ควรปล่อยให้ลมยางอ่อนจนยางแบนล้อเกือบติดพื้น นอกจากมันจะไม่ดีกับสภาพยางของรถคุณแล้ว ตอนจะขับใช้งานทีก็อาจต้องถอดล้อไปเติมลมยาง เสียเวลาซ่อมอีกต่างหาก วัดลมยางบ่อย ๆ พอเห็นว่าเริ่มอ่อนก็ขับไปเติมไว้นี่แหละดีที่สุด

How-To-Take-Care-Of-Unused-Car

6. อย่ามองข้ามของเหลวของเครื่องยนต์

แม้ว่าคุณจะไม่ค่อยได้ใช้รถบ่อย ๆ ก็ตาม แต่เชื่อว่าคงไม่มีใครปลื้มหลอกถ้าจะขับทีต้องซ่อมที ดังนั้นเรื่องของเหลวในส่วนต่าง ๆ ของเครื่องยนต์คือสิ่งที่มองข้ามไม่ได้ ควรหมั่นตรวจเช็กให้อยู่ในระดับที่ตัวรถต้องการอยู่เสมอ ไม่ว่าจะเป็นระบบหล่อเย็น น้ำมันเครื่อง น้ำมันเกียร์ น้ำมันเบรก ฯลฯ ต้องเช็กให้ดีทุกส่วน

How-To-Take-Care-Of-Unused-Car

7. ถอดขั้วแบตเตอรี่

ถ้ารู้ว่าจะไม่ค่อยได้สตาร์ทรถนาน ๆ หลายสัปดาห์หรือเป็นเดือน ถอดขั้วแบตฯ ไปเลยน่าจะดีกว่า เพราะต้องไม่ลืมว่าแม้รถจะไม่ได้สตาร์ทแต่ระบบต่าง ๆ ของรถที่ต้องใช้ไฟยังทำงานอยู่ ซึ่งหมายความว่าตัวแบตฯ ก็ต้องจ่ายไฟ แล้วถ้าไม่ได้สตาร์ทรถชาร์จไฟก็อาจทำให้แบตฯ “เกลี้ยง” ได้ พอตอนจะสตาร์ทก็สตาร์ทไม่ติด ทางที่ดีถ้ารู้ว่าจะไม่ได้ใช้รถนาน ๆ ให้ถอดขั้วแบตฯ ออกเลยดีที่สุด

โคโรนา ไวรัสอาจทำให้หลาย ๆ คนต้องปรับตัว ซึ่งคนใช้รถ จอดรถไว้นานควรทำอย่างไร ทั้งหมดน่าจะเป็นคำตอบให้กับทุกคนแล้ว และถึงแม้รถจะจอดไว้ไม่ได้ใช้นาน ๆ เรื่องประกันภัยรถยนต์ก็ยังคงเป็นสิ่งที่ทุกคนต้องมี เพื่อให้ตอนที่ใช้รถก็จะสามารถขับขี่ได้อย่างมั่นใจ เพราะอุบัติเหตุสามารถเกิดขึ้นกับทุกคนได้ อันตรายไม่น้อยกว่า ไวรัส โคโรนา (COVID-19) ซึ่งสามารถซื้อประกันโควิดออนไลน์ เบี้ยต่ำ คุ้มครองสูง กับเราได้แล้ววันนี้ เลือกทำประกันไว้อุ่นใจกว่า