Trick-To-Choose-Secondcand-Car-And-Cost

ในช่วงสถานการณ์วิกฤตอย่างโควิด-19 หรือเชื้อไวรัสโคโรนาที่กำลังแพร่กระจายไปทั่วโลกแบบนี้ แน่นอนว่าเพื่อนๆ คนไหนที่ปกติต้องอาศัยระบบขนส่งสาธารณะในบ้านเมืองเราตอนนี้ คงปฎิเสธกันไม่ได้ว่าได้รับผลกระทบจากวิกฤตนี้อย่างเต็มๆ จนเพื่อนๆ หลายคนให้ความสนใจกับการซื้อรถยนต์มือสองสภาพดีๆ มาขับใช้เป็นการส่วนตัวแทน

แบบนี้ Masii เลยมีเกร็ดความรู้เล็กๆ น้อยๆ มาฝากเพื่อนๆ ชาว CARRO กันว่า หากซื้อรถมือสองเราต้องมีค่าใข้จ่ายอะไรบ้างนะ

เลือกซื้อรถมือสอง ต้องมีค่าใช้จ่ายอะไรบ้าง

โดยปกติแล้วเพื่อนๆ สามารถซื้อรถมือสองได้ 2 รูปแบบคือ เงินสด และไฟแนนซ์ ทั้งนี้ทั้งนั้นจะขึ้นอยู่ความสะดวกของเพื่อนๆ เลย รวมไปถึงการเลือกซื้อทั้งสองแบบจะมีค่าใช้จ่ายที่แตกต่างกันออกไปด้วย เพื่อไม่ให้เป็นการเสียเวลา เรามาดูกันดีกว่าว่าเราจะต้องมีค่าใช้จ่ายอะไรบ้างนะ

Trick-To-Choose-Secondcand-Car-And-Cost

ซื้อรถด้วยเงินสด

แม้เราจะเก็บเงิน หรือหาเงินสด และเงินก้อน มาซื้อรถมือสองให้จบไปเลยรวดเดียว เพราะไม่อยากจะมีค่าใช้จ่ายหรือผ่อนชำระเพิ่มเติม แต่อย่าลืมนะครับ ยังมีอีกหลายส่วนที่เพื่อนๆ ต้องเตรียมรับมือไว้เลย สำหรับค่าใช้จ่ายดังต่อไปนี้

  • ค่ารถยนต์ – ค่าใช้จ่ายตรงนี้เป็นเรื่องปกติ โดยเป็นราคาตามที่ได้ตกลงการซื้อขายไว้
  • ค่าภาษีมูลค่าเพิ่ม 7% – ราคารถมือสองที่เราซื้อไปนั้นยังไม่ใช่ราคาสุทธินะครับ ต้องเพิ่มค่าใช้จ่ายสำหรับภาษีมูลค่าเพิ่ม 7% ไปด้วย
  • ค่าโอนรถ – เป็นค่าใช้จ่ายที่ทางกรมขนส่งทางบกจะเรียกเก็บ
  • ค่าประกันรถยนต์ – เพื่อความอุ่นใจ การเลือกทำประกันรถยนต์จะช่วยความคุ้มค่าให้เราได้

Trick-To-Choose-Secondcand-Car-And-Cost

ซื้อรถแบบผ่อนด้วยไฟแนนซ์

สำหรับการเลือกซื้อรถด้วยวิธีนี้ เป็นวิธีที่ได้รับความนิยมอย่างมากในปัจจุบัน เพราะเราไม่ต้องหาเงินก้อนมาจ่ายทีเดียว แต่เลือกเป็นวิธีการผ่อนชำระไปในแต่ละเดือน ทั้งนี้ก็จะมีค่าใช้จ่ายที่แตกต่างจากการเลือกซื้อรถมือสองด้วยเงินสดอยู่เล็กน้อย ดังต่อไปนี้

  • ค่างวด – ค่าใช้จ่ายที่เราต้องใช้จ่ายสำหรับผ่อนค่ารถมือสองของเราในแต่ละเดือน และเพิ่มค่าภาษีมูลค่าเพิ่มเติม 7% ไปด้วย
  • ดอกเบี้ย – ดอกเบี้ยรถมือสองจะถูกคิดตามสภาพรถที่เราเลือกซื้อมา ทั้งรุ่น ปี และยี่ห้อ โดยปกติส่วนมากดอกเบี้ยจะอยู่ที่ประมาณ 7% หรือตามเงื่อนไขของแต่ละบริษัท

เพียงเท่านี้เพื่อนๆ ก็สามารถทราบถึงรายละเอียดสำหรับค่าใช้จ่ายของการเลือกซื้อรถมือสองแล้ว รวมไปถึงการเลือกทำประกันรถยนต์ เน้นย้ำว่ารถมือสองที่เราซื้อมาก็สามารถทำประกันรถยนต์ได้เช่นกัน คลิกที่นี่ เพื่อเช็กเบี้ยประกันได้ทันที หากมีข้อมูลสงสัยอยากสอบถามเรื่องประกันรถยนต์ สินเชื่อรถ โทร 02 710 3100

ขอขอบคุณบทความดีๆ จาก www.masii.com

Carro-How-To-Prep-Your-Car-For-Long-Term-Storage

ในช่วงเวลาที่ไวรัสโควิด-19 กำลังระบาดในบ้านเราและในทั่วโลก ซึ่งก่อให้เกิดผลร้ายมหาศาลทั้งทรัพย์สินและชีวิต เศรษฐกิจก็ได้รับผลกระทบอย่างหนัก เนื่องจากประชากรทั่วโลกไม่ได้ไปมาหาสู่กัน ทำให้การเดินทางนั้นหยุดชะงัก

ในแง่ดีของเวลานี้คือ ได้มีเวลาใช้ชีวิตที่ผ่อนคลายมากขึ้น ไม่ต้องเดินทางไกลไปทำงาน อีกทั้งในบ้านเรายังมีนโยบาย “อยู่บ้าน หยุดเชื้อ เพื่อชาติ” ทำให้ผู้คนส่วนใหญ่ไม่ได้เดินทางไหน นอกจากอยู่บ้าน Work From Home หรือดูหนังฟังเพลง รถยนต์จากที่เคยใช้งานประจำ ก็ต้องจอดรถทิ้งไว้นานนับสัปดาห์ หรือนานเป็นเดือน

ขึ้นชื่อว่าเครื่องจักรแล้ว ถ้าไม่ได้ใช้งานๆ ไม่เป็นผลดีแน่นอน MR.CARRO จะมาเสนอ 5 วิธี ดูแลรถจอดไว้นาน ช่วง “อยู่บ้านเพื่อชาติ” ครับ.

1. ดูแลแบตเตอรี่ สตาร์ทรถบ้าง

การจอดรถทิ้งไว้เป็นระยะเวลานานๆ นับสัปดาห์หรือนับเดือน โดยไม่ได้สตาร์ทเครื่องยนต์เลย ส่งผลให้แบตรถยนต์เสื่อมสภาพไว และแบตเตอรี่รถหมดได้ อย่าลืมว่าระบบอิเล็กทรอนิกส์ต่างๆ ในรถ เช่น วิทยุ หรือสัญญาณกันขโมย ยังต้องใช้ไฟจากแบตเตอรี่หล่อเลี้ยงการทำงานอยู่ตลอดเวลา แม้จะไม่ได้สตาร์ทรถก็ตาม

เพื่อป้องกันรถแบตหมด ควรสตาร์ทรถบ้าง อย่างน้อยๆ ทุกๆ 2 วัน หรือทุกอาทิตย์ ติดเครื่องทิ้งไว้ครั้งละประมาณ 10-15 นาที หรือเอารถออกไปขับให้ได้ระยะทางหลายๆ กิโลเมตรสักหน่อย เพื่อชาร์จไฟเข้าแบตเตอรี่ เพื่อให้ชิ้นส่วนต่างๆ ภายในรถได้เคลื่อนไหวบ้าง ไม่งั้นพอจะใช้งาน แบตรถยนต์หมด ต้องเสียเวลามาจัมพ์แบตเตอรี่อีก

How-To-Prep-Your-Car-For-Long-Term-Storage

2. เติมลมยาง

รถที่ถูกจอดทิ้งไว้นานๆ น้ำหนักของรถจะกดให้ยางจุดที่รับน้ำหนักนั้นแบนลง และอาจจะเสียรูปได้ ถ้ารถไม่ได้ขับ ก็เติมลมยางให้แข็งไว้ก่อน ถ้าสงสัยว่ารถคุณแรงดันลมยางกี่ปอนด์ ให้ดูได้จากสติ๊กเกอร์ที่ติดอยู่ตรงเสาประตูข้างคนขับ หรือในคู่มือการใช้รถ ตรวจเช็คลมยางอาทิตย์ละครั้ง เพื่อรักษาลมยางให้อยู่ในระดับที่เหมาะสม

หมั่นเติมลมยางรถยนต์ และเติมลมยางกระบะอยู่เสมอ ให้พร้อมใช้งาน แต่ถ้าคิดว่าไม่ได้ใช้รถนานจริงๆ ก็หาแม่แรง หรือสามขามายกรถไว้เลยก็ได้ ป้องกันยางเสียสภาพ

3. จอดรถในที่เหมาะสม และล้างรถบ้าง

เมืองไทยขึ้นชื่อว่าแดดร้อนสุดๆ นี่ล่ะที่จะทำให้วัสดุส่วนที่เป็นยาง หนัง หรือพลาสติกต่างๆ รอบคันรถ กรอบแตกเสื่อมสภาพได้ และยังทำลายสีรถ แลกเกอร์ที่เคลือบไว้ลอก ทำให้สีซีดได้ จึงควรเก็บรถไว้ในที่ร่ม ถ้ามีผ้าคลุมรถก็คลุมซะ แล้วหาโอกาสล้างรถบ้าง เพื่อรักษาสีรถ

และควรหลีกเลี่ยงการจอดใต้ต้นไม้ใหญ่ เช่น ต้นมะม่วง ต้นจามจุรี ต้นไทร ต้นโพธิ์ หรือต้นหูกวาง ฯลฯ เนื่องจากกิ่งไม้ ฝัก เมล็ด หรือยางไม้ อาจหักหรือหล่นมาโดนรถ รวมไปถึงขี้นกด้วย และการจอดในบริเวณพงหญ้าและจุดทิ้งขยะ ก็มีโอกาสที่มด แมลงสาบ จิ้งจก หรือหนู บุกยึดส่วนต่างๆ ของรถคุณได้

How-To-Prep-Your-Car-For-Long-Term-Storage

4. อย่าดึงเบรกมือ

รถที่จอดนานๆ ไม่ควรดึงเบรกมือค้างไว้ เพราะเบรคอาจติดได้ และอาจเจอปัญหาขยับรถไม่ได้ หากต้องการไม่ให้รถไหล ใช้บล็อก หรือวัสดุอื่นที่ไม่ทำความเสียหายกับยางรถยนต์วางไว้แทน

5. ถ่ายน้ำมันเครื่อง เติมน้ำมันให้เต็มถัง

น้ำมันเครื่องที่ใช้งานมาแล้ว มักมีสิ่งปนเปื้อน เศษเหล็กเศษผงต่างๆ ในอ่างน้ำมันเครื่อง และมีสภาพเป็นกรด อาจทำลายชิ้นส่วนในเครื่องยนต์ได้ ถ้าจอดรถนานนับเดือนขึ้นไป ลงทุนถ่ายน้ำมันเครื่องใหม่ดีกว่า

และอย่าลืม หาโอกาสเติมน้ำมันให้เต็มถังไว้ เพราะป้องกันความชื้นที่จะกลั่นตัวเป็นหยดน้ำได้ และช่วยป้องกันการเกิดสนิมภายในถังน้ำมัน (กรณีรถรุ่นเก่าๆ ที่ถังน้ำมันเป็นแบบโลหะ)

และนี่ก็คือ “เคล็ดไม่ลับ” ในการดูแลรถยนต์ช่วง “อยู่บ้าน หยุดเชื้อ เพื่อชาติ” นะครับ!

หากช่วงนี้ ใครกำลังอยากขายรถคันเดิมอยู่ สามารถขายรถคันเดิมของคุณกับทาง CARRO ดูได้ โดยได้ราคาที่ดีที่สุด รับประกันความพึงพอใจ พร้อมปิดการขายภายใน 24 ชั่วโมง! กับ CARRO Express แค่คลิก -> https://th.carro.co/sell-car/express หรือจะ Inbox มาขอรายละเอียดได้ที่ Facebook -> CARRO Thailand และ Add Line สอบถามรายละเอียดได้เช่นกัน ที่ @carrothai

และอีกหนึ่งบริการใหม่! CARRO Automall แหล่งรวมรถมือสองคุณภาพเยี่ยม ผ่านการตรวจสภาพแบบ Double Check รับประกันพร้อมโอนทุกคัน ฟรี! ค่าจัดโอน มีให้เลือกชมเพียบ ซื้อรถ คลิก -> https://th.carro.co/taladrod/allcar/carro 

หรือสนใจรถรุ่นไหนอยู่ แต่หาไม่ได้ สามารถสั่งตามออเดอร์ได้ที่นี้ > https://th.carro.co/buy-car หรือโทร. 02-508-8690 อีกทั้งยัง Inbox เข้ามาสอบถามก็ได้เช่นกันได้ที่ Facebook -> CARRO Automall – รถบ้านมือสอง หรือทาง Line เชิญเลยครับที่ @carroautomall

Carro-Roojai-Prevent-Air-Your-Car-From-Virus

ว่าด้วยเรื่องของการดูแล แอร์รถยนต์ ให้สะอาดสดชื่น นับเป็นอีกหนึ่งข้อสำคัญที่ผู้ใช้รถหลาย ๆ คนละเลย ทั้งที่ความจริงแล้วด้วยระบบปิดของห้องโดยสาร ส่วนของแอร์นี่แหละคือปัจจัยหลักในเรื่องความสะอาดของอากาศภายในรถที่คนในรถต้องสูดเข้าไป และคงไม่ดีแน่ถ้าในส่วนนี้สกปรก สูดฝุ่นละอองเข้าไปทุกวันๆ

Roojai.com อยากชวนให้ทุกคนมาดูแลอากาศในรถให้ดีขึ้น ยิ่งในปัจจุบันอากาศภายนอกต่างล้อมรอบด้วยมหันตภัยมากมายในอากาศ ไม่ว่าจะมาจากฝุ่น PM2.5 หรือแม้กระทั้ง ไวรัสโควิด-19 และเมื่อการอยู่ในรถอาจจะปลอดภัยกว่าด้วยซ้ำ รู้อย่างนี้แล้วก็มาทำให้อากาศในรถคุณน่าอยู่ขึ้นด้วยแอร์รถยนต์ที่สะอาดมากขึ้นกันดีกว่า

อากาศสะอาดของ แอร์รถยนต์ เริ่มต้นได้ง่าย ๆ ด้วยเรื่องของ “กรองแอร์”

ระบบแอร์รถยนต์ จะมีส่วนของกรองแอร์ฯ หรือที่เรียกว่า “Car air filter” อยู่ในส่วนของระบบแอร์ ทำหน้าที่กรองลมแอร์ที่ออกมาจากระบบให้สะอาดที่สุด ช่วยกรองเศษฝุ่นละอองและสิ่งสกปรกต่าง ๆ ขนาดเล็กที่อาจหลุดเข้ามาจากระบบทำความเย็น ไม่ให้ออกไปถึงในห้องโดยสารผ่านช่องลมแอร์ และคุณต้องสูดมันเข้าไป

Prevent-Air-Your-Car-From-Virus

อย่างไรก็ตามเมื่อรถผ่านการใช้งาน กรองแอร์ทำหน้าที่กรองเศษฝุ่นทุกวัน แน่นอนว่าย่อมมีเศษสิ่งสกปรกตกค้างอยู่ในส่วนของกรองแอร์สะสมเป็นจำนวนมาก และเมื่อมากขึ้น ความสามารถในการดักจับฝุ่นของตัวกรองก็จะลดลงตามไป จนสุดท้ายเศษฝุ่นสกปรกเหล่านั้นก็จะหลุดเข้าไปในห้องโดยสารในท้ายที่สุด อีกทั้งยังเป็นอีกเหตุผลที่ทำให้ลมแอร์ไม่แรง แอร์รถยนต์ไม่เย็น ได้ด้วยจากสาเหตุที่เศษสิ่งสกปรกไปบังลมแอร์ให้ผ่านออกมาได้ยากกว่าปกตินั่นเอง

อาจจะมีคำถามว่า กรองแอร์ ควรเปลี่ยนตอนไหนดี ต้องบอกเลยว่า ส่วนของกรองแอร์ไม่สามารถทำความสะอาดได้ แต่ข่าวดีก็คือ มันสามารถถอดเปลี่ยนใหม่ได้เลย ราคาไม่กี่บาท ในรถทั่วไปจะเปลี่ยนกรองแอร์ทุก ๆ 20,000 กิโลเมตร แต่ตัวเลขนี้ไม่ได้การันตีตายตัว เพราะคุณสามารถเปลี่ยนมันก่อนได้โดยเฉพาะรถบางคันที่ต้องใช้เส้นทางที่มีฝุ่นควันหรือถนนลูกรังบ่อย ๆ ซึ่งเป็นเหตุทำให้ตัวกรองแอร์สกปรกหรือตันเร็วกว่า

Prevent-Air-Your-Car-From-Virus

วิธีที่จะช่วยให้อากาศในรถสะอาดและสดชื่นมากขึ้น

หลังจากที่ทำให้จุดเริ่มต้นของอากาศภายในห้องโดยสารสะอาดแล้ว ยังมีอีกหลาย ๆ วิธีที่จะช่วยให้ในรถคุณสดชื่นและสะอาดขึ้นได้อีก ดังนี้

ติดตั้ง เครื่องฟอกอากาศ ในรถ

บางทีฝุ่นหรือสิ่งสกปรกทางอากาศไม่ได้มาจากทางช่องแอร์เพียงอย่างเดียว การเปิดกระจกหรือเปิดประตูบางจังหวะก็ทำให้สิ่งสกปรกและฝุ่นควันเข้าไปได้แล้ว การมีเครื่องฟอกอากาศในรถติดไว้ก็จะช่วยทำให้อากาศในรถสะอาดได้ อีกทั้งเครื่องฟอกอากาศบางรุ่นก็ยังสามารถฆ่าเชื้อไวรัสที่เป็นอันตรายต่อคนได้ด้วย หาซื้อมาติดไว้ในรถของคุณ ยังไงก็มีแต่ข้อดี

Prevent-Air-Your-Car-From-Virus

ทำความสะอาดภายในห้องโดยสารอยู่เสมอ

ง่าย ๆ ไม่ยุ่งยาก เพียงนำผ้าชุบน้ำบิดหมาด ๆ หมั่นคอยลูบฝุ่นที่ติดอยู่ตามส่วนต่าง ๆ ของรถอยู่เสมอ ทั้งเบาะนั่ง คอนโซลหน้า แผงประตู และดูดฝุ่นพรมพื้นรถร่วมด้วย เพียงแค่นี้ก็จะช่วยให้อากาศในรถที่คุณสูดหายใจเข้าไปสะอาดขึ้นอย่างรู้สึกได้แน่นอน

เปิดประตูจอดรถตากแดดไล่กลิ่นอับ

กลิ่นอับสะสมตลอดการใช้รถมาอย่างยาวนาน สะอาดขึ้นได้ง่าย ๆ แค่จอดรถเปิดประตูทิ้งไว้กลางแดด วิธีพื้นฐานง่าย ๆ ว่าด้วยความร้อนช่วยฆ่าเชื้อรา และถ้ารถของคุณไม่เคยทำมันเลยก็ควรลองทำสักหน่อย เพื่อบรรยากาศที่ดีกว่าในรถของคุณเอง

Prevent-Air-Your-Car-From-Virus

ล้างแอร์รถยนต์

ในส่วนของตู้แอร์รถยนต์ แม้จะไม่ใช่ปัจจัยหลักในเรื่องของความสะอาดของสภาพอากาศภายในห้องโดยสาร แต่ก็มีผลทำให้ฝุ่นละอองเล็ดลอดเข้ามาในห้องโดยสารได้ ดังนั้น การล้างแอร์รถยนต์ ตามระยะที่ใช้รถก็เป็นอีกสิ่งหนึ่งที่คุณมองข้ามไม่ได้

อย่าเปิดกระจก หรือเปิดประตูไว้นาน ๆ

การเปิดกระจกหรือเปิดประตูเพียงไม่นานก็ทำให้ฝุ่นควันต่าง ๆ เข้ามาในรถของคุณได้อย่างรวดเร็ว เลี่ยงได้ก็ควรเลี่ยงที่จะเปิดทั้งกระจกหรือประตูรถทิ้งไว้ ยิ่งถ้าไปจอดเปิดประตูหรือเปิดกระจกขับรถย่านที่มีฝุ่นมาก ๆ จะสังเกตเห็นได้เลยว่าในรถของคุณจะมีฝุ่นเกาะเต็มในทันที นี่แค่ที่ตาเห็นนะ ไม่นับรวมที่ยังมองไม่เห็นอีก

เพียงเท่านี้ แอร์รถยนต์ ของคุณก็จะช่วยมอบอากาศที่บริสุทธิ์ให้กับรถคุณได้แล้ว ดูแลกรองแอร์ของรถให้ดีพร้อมกับนำเทคนิคที่จะช่วยให้อากาศในรถของคุณสะอาดขึ้นไปใช้ แค่นี้สภาพอากาศในรถคุณก็ดีขึ้นได้แล้ว มาดูแลพื้นที่ส่วนตัวอย่างบนรถของคุณให้ปลอดภัยที่สุดกันดีกว่า

ยิ่งในตอนนี้อากาศที่ไหนก็ไว้ใจไม่ได้ด้วย ยิ่งต้องระวังเป็นพิเศษ เหมือนกับอุบัติเหตุที่ไม่รู้จะเกิดขึ้นกับรถคุณเมื่อไร เลือกทำประกันก็ต้องดูที่น่าเชื่อถือ มั่นใจได้ในคุณภาพบริการ เลือกใช้ประกันรถออนไลน์จาก Roojai.com รู้ใจกว่า ประหยัดกว่า เช็คราคาออนไลน์ได้ตลอด 24 ชม. และหากใครสนใจประกันโควิดออนไลน์ ราคาดี คุ้มครองสูง คลิกดูข้อมูลได้เลย https://www.roojai.com/covid/

ขณะขับรถ การเกิดอุบัติเหตุเป็นสิ่งที่คาดเดาไม่ได้ ทุกวินาทีมีความเสี่ยงทั้งนั้น เพราะฉะนั้นการเลือกรถเพื่อมาใช้งานในชีวิตประจำวัน ให้ได้ระดับมาตฐานความปลอดภัยของรถจึงเป็นสิ่งที่ไม่ควรมองข้าม จะให้หวังเชื่อจากผู้ผลิตข้างเดียวก็เชื่อไม่ได้ทั้งหมด รวมถึงการดูค่าการทดสอบมาตรฐานความปลอดภัย ก็ยังจำเป็นที่จะต้องดูจากสถาบันที่เป็นกลาง

เนื่องจากความปลอดภัยนั้นสำคัญ ทำให้ตั้งแต่อดีตมาจนถึงปัจจุบัน ค่ายรถต่างๆ ทุ่มทุนกันพัฒนาเทคโนโลยีต่างๆ ออกมามากมาย บางอย่างนั้นอาจใช้กันจนเป็นเรื่องสามัญไปแล้ว จนไม่รู้ว่า อุปกรณ์ชนิดนี้ ใครคนนั้น? เป็นผู้คิดค้นมันขึ้นมา

วันนี้ MR.CARRO จะมานำเสนอ 5 สิ่งแรกในรถยนต์ที่เกี่ยวกับระบบความปลอดภัย ที่ต่อมารถทุกค่ายต่างต้องนำมาใช้กันหมด มาดูกันว่ามีอะไรกันบ้าง

5-World-First-Safety-Equipment-In-Car

1. เข็มขัดนิรภัย

เข็มขัดนิรภัย เป็นอุปกรณ์สามัญประจำรถยุคใหม่ ที่ทุกคันจะต้องมี เพราะสามารถปกป้องชีวิตของผู้บาดเจ็บและเสียชีวิตได้อย่างมาก

นับตั้งแต่การคิดค้นของ George Cayley วิศวกรชาวอังกฤษช่วงกลางศตวรรษที่ 19 แต่ก็ยังไม่ได้ต่อยอดอะไร มาจนถึงปี 1946 Dr. C. Hunter Shelden แห่ง Huntington Memorial Hospital ในเมือง Pasadena รัฐแคลิฟอเนีย จึงเริ่มทำการศึกษาถึงการติดตั้งเข็มขัดนิรภัยในรถ ต่อมาในปี 1949 รถยนต์ยี่ห้อ Nash และ Ford ในปี 1955 จึงมีการนำเสนอ “เข็มขัดนิรภัย” ในรูปแบบของอุปกรณ์ติดตั้งเพิ่มเติม

จากนั้นในปี 1958 SAAB ผู้ผลิตรถยนต์จากสวีเดน จึงเริ่มติดตั้งในรถรุ่น GT 750

5-World-First-Safety-Equipment-In-Car

Nils Bohlin วิศวกรของวอลโว่ และผลงานที่ “เปลี่ยนโลก” ของรถยนต์

ต่อมาในปี 1959 เข็มขัดนิรภัย 3 จุด (Three-Point Safety Belt) จึงถือกำเนิดขึ้นเป็นครั้งแรกด้วยแนวคิดของ Nils Bohlin วิศวกรของวอลโว่ ที่ศึกษาการอุบัติเหตุมามากถึง 28,000 เคส ก่อนจะมาพัฒนาเข็มขัดนิรภัยแบบ 3 จุด ติดตั้งเป็นอุปกรณ์มาตรฐานในรุ่น Amazons และ PV544 สำหรับตลาดสแกนดิเนเวีย

หลังจากที่วอลโว่ได้ยกเลิกสิทธิบัตรที่เป็นเจ้าของเข็มขัดนิรภัย 3 จุดลง ทำให้ผู้ผลิตรถยนต์ทั่วโลกๆ ต่างนำนวัตกรรมชิ้นนี้มาใช้เพื่อความปลอดภัยของผู้ขับขี่ และพัฒนาต่อยอดเป็นเข็มขัดนิรภัยแบบที่เราใช้กันในปัจจุบัน

5-World-First-Safety-Equipment-In-Car

1.ถุงลมนิรภัยด้านคนขับ / ผู้โดยสาร 2.ถุงลมนิรภัยบริเวณเข่า 3.ถุงลมนิรภัยด้านข้าง 4.ม่านนิรภัย

2. ถุงลมนิรภัย

การขับรถในสมัยก่อน คนขับและผู้โดยสารมักได้รับบาดเจ็บและเสียชีวิต เพราะมาจากการถูกพวงมาลัยกระแทกอัดหน้าอก หรือแผงคอนโซลหน้ากระแทก

Airbag หรือ ถุงลมนิรภัย เริ่มผลิตออกมามีลักษณะเป็นถุงที่เต็มไปด้วยอากาศ ผลิตขึ้นอย่างช้าที่สุดในช่วงต้นปี 1941 ต่อมาในปี 1951 วอลเตอร์ ลินเดอเรอ วิศวกรชาวเยอรมัน ได้ทำการออกแบบถุงลมนิรภัยขึ้น และยื่นขอจดสิทธิบัตรของเยอรมันหมายเลขที่ # 896312 เมื่อ 6 ตุลาคม 1951 ซึ่งออกเมื่อวันที่ 12 พฤศจิกายน 1953 ประมาณสามเดือนหลังจากที่ชาวอเมริกัน John Hetrick ได้ขอสิทธิบัตรของสหรัฐอเมริกา หมายเลขที่ # 2649311 ก่อนหน้านี้เมื่อ 18 สิงหาคม 1953 แต่ก็ยังใช้ในเชิงพาณิชย์ไม่ได้

ทางฝั่งญี่ปุ่นในปี 1964 Yasuzaburou Kobori ก็ได้เริ่มพัฒนาถุงลมนิรภัยขึ้นเช่นกัน ด้วยระบบ “Safety Net”

จนกระทั่งปี 1971 จึงได้ทดลองนำมาติดตั้งในรถ Ford ติดตั้งในกลุ่มของรถยนต์ทดลองที่เรียกว่า Experimental Fleet of Car

5-World-First-Safety-Equipment-In-Car

หลังจากนั้น GM จึงริเริ่มนำถุงลมนิรภัย มาใช้อย่างจริงจังในรถตัวเองเป็นเจ้าแรกๆ ของโลก โดยเรียกถุงลมนิรภัยว่า ACRS (Air Cushion Restraint System) และติดตั้งครั้งแรกใน 1973 Chevrolet Impala ก่อนที่จะติดตั้งเป็นอุปกรณ์มาตรฐานพิเศษ ในรถ Oldsmobile, Buick และ Cadillac

ในอดีต ถุงลมนิรภัยยังมีราคาแพงมาก จึงมีการติดตั้งให้เฉพาะรถยนต์ในรุ่น Top เท่านั้น ก่อนจะเงียบหายไปและเริ่มมาพัฒนากันใหม่ในช่วงปลายๆ ยุค 80 โดยรถยุโรปรุ่นแรกๆ ที่มีถุงลมนิรภัยติดตั้งให้ คือ Mercedes-Benz S-Class (W126) รุ่นปี 1981 และ Ford ที่เริ่มติดตั้งแต่มาตรฐานสามัญครั้งแรก (คือติดตั้งในรถทุกรุ่น ไม่ใช่เฉพาะรถหรูๆ อีกต่อไป) ได้แก่รถรุ่น Ford Escort (Mk5)

หลังจากนั้นก็ใช้เวลานานกว่า 20 ปีได้ กว่าที่ถุงลมนิรภัย จะกลายมาเป็นอุปกรณ์มาตรฐานสามัญ ที่ต้องมีในรถทุกคัน เป็นสิ่งที่อยากได้ แต่ไม่อยากใช้ รวมไปถึงการคิดค้นถุงลมนิรภัยในจุดต่างๆ เพิ่มอีกด้วย เช่น ถุงลมนิรภัยด้านข้าง (มีครั้งแรก ในรถ Volvo 850 ปี 1995) ถุงลมนิรภัยบริเวณเข่า (มีครั้งแรก ในรถ KIA Sportage ปี 1995) ม่านนิรภัย (มีครั้งแรก ในรถ BMW ซีรี่ส์ 5 และ ซีรี่ส์ 7 ปี 1997) หรือแม้กระทั่งถุงนิรภัยสำหรับคนเดินเท้า เมื่อเกิดการชนจากภายนอก (มีครั้งแรก ในรถ Volvo V40 ปี 2012)

5-World-First-Safety-Equipment-In-Car

3. ระบบเบรก ABS

นับตั้งแต่ระบบเบรกในรถยนต์ของเรา เริ่มตั้งแต่ใช้ระบบดรัมเบรกกันเป็นหลัก ต่อมาจึงเริ่มหันมาใช้ดิสก์เบรกหน้า (ติดตั้งเป็นอุปกรณ์มาตรฐานครั้งแรกในปี 1950 ในรถ Chrysler Crown และ Town & Country) จนกระทั่งรถหลายรุ่น เริ่มใช้ระบบดิสก์เบรก 4 ล้อ ที่เพิ่มความปลอดภัยและมั่นใจในการขับขี่มากขึ้น

แต่ดิสก์เบรก 4 ล้อ เวลาเบรกในที่ลื่น บนพื้นน้ำ หรือเบรกกะทัน รถมักจะประสบกับปัญหา “ล้อล็อคตาย” ทำให้เกิดอุบัติเหตุอยู่บ่อยๆ จึงมีการวิจัยและพัฒนา “ระบบเบรก ABS” ขึ้นมา โดย Mercedes-Benz S-Class (W116) เป็นผู้ริเริ่มการใช้ระบบเบรก ABS เป็นเจ้าแรกของโลกในปี 1978 ซึ่งได้ Bosch เป็นผู้ผลิตอุปกรณ์ชิ้นนี้ให้

ซึ่งภายหลัง ระบบเบรก ABS ก็กลายเป็นอุปกรณ์มาตรฐานที่รถทั่วโลกต้องมีให้ อีกทั้งยังพัฒนาต่อยอดไปเป็นระบบต่างๆ อีกด้วย เช่น ระบบ EBD (ระบบควบคุมการกระจายแรงเบรก), ระบบ ESP / ESC (ระบบควบคุมเสถียรภาพการทรงตัว) และระบบ BA (ระบบเสริมแรงเบรก) เป็นต้น

Audi-Quartz

4. ไฟหน้าโปรเจคเตอร์ / ไฟตาเพชร

ไฟหน้าโปคเจคเตอร์ ยอดฮิตสุดๆ สำหรับรถสมัยนี้ ที่เราเห็นกันจนชินไม่ใช่เรื่องแปลกตาอะไร

ต้นกำเนิดของมันครั้งแรกอยู่ในรถ Audi Quartz ซึ่งเป็นรถต้นแบบของ Audi ที่ออกแบบโดย Pininfarina ในปี 1981 ภายหลังจึงเริ่มใช้เป็นอุปกรณ์มาตรฐานครั้งแรกในรถรุ่น BMW 7 Series (E32) เมื่อปี 1986 และในส่วนของไฟหน้ารถที่มีไฟ Projector แบบคู่เป็นครั้งแรกของโลก คงต้องยกให้กับ Nissan Silvia (S13) ที่ผลิตขึ้นโดย Ichikoh

ส่วนต้นกำเนิดของ “ไฟตาเพชร” ที่ช่วยให้แสงสว่างสะท้อนออกมาได้มากขึ้น ขับรถได้อย่างปลอดภัยขึ้น กับแผ่น Refector แบบใสทำมุมต่างๆ แบบ Palabora (ภาคตัดกรวย) ภายในโคมไฟ เริ่มใช้ครั้งแรกในรถ Austin Maestro ปี 1983 ซึ่งพัฒนาขึ้นโดย Lucas-Carello แต่ก็รูปแบบของไฟ ก็ยังเป็นแบบโคมแก้วอยู่

Honda-Accord-CB-JDM

มาจนถึงปี 1989 ทาง Honda จึงได้เริ่มใช้ชุดไฟหน้าแบบมัลติรีเฟล็กเตอร์ (หรือแบบเคลียร์เลนส์) ซึ่งพัฒนาโดย Stanley ใช้โคมแบบพลาสติก ที่ให้ความสว่างมากขึ้นกว่าเดิมเป็นเท่าตัว ในรถรุ่น Honda Accord หรือที่บ้านเรารู้จักกันในรุ่น “Accord ตาเพชร” นั่นเอง!

5-World-First-Safety-Equipment-In-Car

5. พนักพิงศีรษะ

พนักพิงศีรษะ เริ่มคิดค้นพัฒนาเมื่อปี 1921 โดย Benjamin Katz แต่ก็ไม่ได้ต่อยอด ต่อมาในปัจจุบัน อุปกรณ์ชิ้นนี้ ที่หลายคนอาจจะเฉยๆ เพราะว่ามันมีติดตั้งมากับเบาะนั่งอยู่แล้ว แต่รถเก่าๆ สมัยก่อน ไม่มีนะครับ!

พนักพิงศีรษะ มีใช้กันจริงๆ จังๆ ก็ในยุค 70 ที่ผ่านมานี่เอง เนื่องจากทาง National Highway Traffic Safety Administration (NHTSA) ได้บังคับให้รถทุกคันที่ขายในสหรัฐอเมริกา หลังจากวันที่ 1 มกราคม 1969 เป็นต้นไป ต้องติดตั้งพนักพิงศีรษะมาเป็นอุปกรณ์มาตรฐาน

ส่วนถ้าใครอยากขายรถ สามารถขายคันเดิมกับ CARRO Express ได้ เรายินดีรับซื้อรถของคุณ ได้เงินไว เร็ว พร้อมปิดการขายได้ทันที แค่คลิก https://th.carro.co/sell-car/express หรืออยากตีราคารถก่อน สามารถ Inbox สอบถามรายละเอียดได้ที่ Facebook CARRO Thailand

หรือจะ Add Line สอบถามรายละเอียดได้ที่ @Carrothailand หรือคลิกที่นี่ —> เพิ่มเพื่อน

แหล่งที่มาบางส่วนจาก:

5-Popular-Ambulance-Cars-In-Thailand

ในยุคที่โควิด-19 (COVID-19) กำลังระบาดหนักทั่วโลกในขณะนี้ ซึ่งส่งผลกระทบต่อระบบสาธารณสุขแลระบบเศรษฐกิจในตอนนี้ โดยอุปกรณ์ทางการแพทย์ต่างๆ นับว่าเป็นสิ่งที่จำเป็นอย่างยิ่งสำหรับแพทย์และพยาบาล เพื่อช่วยเหลือชีวิตผู้ป่วยให้ได้ดีที่สุด อุปกรณ์ทางการแพทย์ จึงต้องควรมีไว้ให้พร้อมทุกสถานการณ์

แต่นอกจากนั้น หากมีผู้ป่วยอยู่นอกสถานที่ล่ะ จะได้อย่างไร คำตอบคือ ต้องมี “รถพยาบาล” ที่มีอุปกรณ์ทางการแพทย์พร้อม และเครื่องมือเวชภัณฑ์ต่างๆ ที่พร้อมใช้งานุกสถานการณ์ ดังนั้น หากเรามีรถพยาบาลที่มีคุณภาพดี พร้อมปฏิบัติทุกภารกิจของระบบการแพทย์ฉุกเฉินเป็นไปอย่างเต็มประสิทธิภาพและเกิดประโยชน์สูงสุด

มาดูกันว่า ในบ้านเรา ทั้งหน่วยงานสาธารณสุขและโรงพยาบาล นิยมใช้รถพยาบาลรุ่นไหนกันนั้น MR.CARRO จะขอยกตัวอย่างรถพยาบาลที่น่าสนใจ มาเล่าให้ฟัง 5 รุ่นด้วยกัน …

Volkswagen-Type-2-Ambulance-Car

1. Volkswagen Type 2

Volkswagen Type 2 (โฟล์คสวาเกน ที1 หรือ โฟล์ค ตู้) รุ่นแรก T1 หรือ “โฟล์คตู้หน้าวี” ใช้กระจกรถรอบคันแบบ Split Windows อยู่ในสายการผลิตตั้งแต่ปี 1950-1967 ได้ถูกนำเข้ามาในไทยด้วยกันหลายรูปแบบ ซึ่งหนึ่งในนั้นก็รวมไปถึงรถพยาบาลด้วย

Volkswagen-Type-2-Ambulance-Car

ซึ่งจุดเด่นของรถพยาบาลรุ่นนี้คือ เป็นรถที่ผลิตขึ้นมาเป็นพิเศษ ด้านบนหลังคาจะมีไฟสัญลักษณ์พยาบาล พร้อมไซเรน และสัญลักษณ์ตราพยาบาลข้างตัวรถ มีกระจกกั้นระหว่างห้องโดยสารกับคนขับ มีเก้าอี้สำหรับพยาบาล และเตียงพยาบาลพร้อม

ความสำเร็จของรถพยาบาล Volkswagen Type 2 รุ่นแรก T1 นี้ ทำให้หลังจากนั้น ในบ้านเราจึงมีการนำเข้า และดัดแปลงรถพยาบาลของ Volkswagen มาใช้กันอีกตั้งแต่รหัสรุ่น T2, T3, T4 และรุ่นปัจจุบันอย่าง T5

Volvo-960-Ambulance-Car

2. Volvo 960

ด้านค่าย Volvo ในอดีตมาพร้อมสโลแกน “ทุกชีวิตปลอดภัยในวอลโว่” ก็เริ่มรุกตลาดรถพยาบาลในบ้านเราด้วย Volvo 245 GL Station Wagon เครื่องยนต์ขนาด 1.9 ลิตร โดยโรงพยาบาลที่สั่งรถรุ่นนี้มาใช้ มักจะเป็นโรงพยาบาลของ “คริสเตียน” ต่างๆ ทำให้รถรุ่นนี้จึงไม่ค่อยมีให้เห็นนัก

ต่อมาก็จะเป็นรถยอดนิยมของโรงพยาบาลหน่อย อย่าง Volvo 960 (วอลโว่ 960) ที่ดัดแปลงจากรุ่น Station Wagon ขยายฐานล้อยาวเป็นพิเศษ ทำเป็นรถพยาบาลโดย Nilsson ประเทศสวีเดน จัดซื้อโดยกระทรวงสาธารณสุข จากโครงการเงินกู้ ระหว่างกระทรวงการคลัง กับธนาคาร Skandinaviska Enskilda Banken ของสวีเดน เพื่อพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานของสถานบริการสาธารณสุขทั่วประเทศ เมื่อปี 2538-2539 ทั้งหมด 98 คัน

ภายในมีอุปกรณ์การแพทย์ครบครัน มีชุดทำคลอด 1 ชุด เพื่อใช้ทำคลอดฉุกเฉิน มีห้องพยาบาลกว้างขวางยืนได้ บุคลากรปฏิบัติงานได้สะดวกมาก มีระบบกันกระเทือนและความปลอดภัยสูงมาก จำนวน 98 คัน ที่ใช้งานไปได้ไม่นาน สุดท้ายก็ปลดระวางหมด

Honda-Stepwgn-Spada-Ambulance-Car

3. Honda Stepwgn Spada

หลายคนคงงงว่า Honda (ฮอนด้า) มีรถพยาบาลด้วยหรือเนี่ย! คำตอบก็คือ “มีครับ” โดยเป็นการนำ Honda Stepwgn Spada (ฮอนด้า สเตปแวกอน สปาด้า) ที่ดัดแปลงเป็นรถพยาบาล จำนวน 10 คัน โดย กองทุนฮอนด้าเคียงข้างไทย ภายใต้มูลนิธิฮอนด้าประเทศไทย โดย บริษัท ฮอนด้า ออโตโมบิล (ประเทศไทย) จำกัด พร้อมมอบให้กับสถาบันการแพทย์ฉุกเฉินแห่งชาติ (สพฉ.) เมื่อวันที่ 26 ตุลาคม 2555

สำหรับ Honda Stepwgn Spada มาพร้อมเครื่องยนต์ขนาด 2.0 ลิตร i-VTEC 150 แรงม้า ส่งกำลังผ่านเกียร์อัตโนมัติ CVT

Toyota-Hilux-Revo-Ambulance-Car

4. Toyota Hilux Vigo / Hilux Revo

Toyota Hilux Vigo และ Toyota Hilux Revo (โตโยต้า ไฮลักซ์ วีโก้ และ โตโยต้า ไฮลักซ์ รีโว่) นับว่าเป็นรถพยาบาลที่ได้รับความนิยมอย่างแพร่หลายมาก โดยเฉพาะรถกู้ภัย อาสากู้ภัย ต่างนิยมใช้งานกันเป็นอย่างยิ่ง

Toyota-Hilux-Revo-Ambulance-Car

ทั้งในด้านความทนทาน แข็งแรง ราคาไม่แพง สามารถซื้อเครื่องมือปฐมพยาบาลติดรถได้

Toyota-Commuter-Ambulance-Car

5. Toyota Commuter

Toyota Commuter (โตโยต้า คอมมิวเตอร์) เป็นรถพยาบาลที่ได้รับความนิยมตลอดกาล จากโรงพยาบาลชั้นนำหลายๆ แห่ง รวมไปถึงโรงพยาบาลของรัฐ ต่างนิยมใช้งานกันเป็นอย่างยิ่ง ทั้งในด้านความทนทาน แข็งแรง อะไหล่หาง่าย ซ่อมง่าย และสามารถติดตั้งเครื่องมือพร้อมเวชภัณฑ์ต่างๆ ที่จำเป็นในเหตุฉุกเฉินได้มาก ซึ่งก็มีบริษัทและอู่หลายแห่ง ที่รับดัดแปลงรถตู้รุ่นนี้เป็นรถพยาบาลโดยเฉพาะ

สำหรับช่วงนี้ หากใครที่เกิดอาการฉุกเฉินวิกฤต บาดเจ็บ ป่วยฉุกเฉิน หรือ ผู้ป่วยโควิด-19 รอเตียงอยู่ที่บ้าน สายด่วนไม่มีคนรับสาย รถพยาบาลมารับช้า สามารถโทรไปขอความช่วยเหลือได้ที่ สถาบันการแพทย์ฉุกเฉินแห่งชาติ (สพฉ.) เบอร์โทรสายด่วน 1669 ศูนย์เอราวัณ นะครับผม ไม่เสียค่าใช้จ่ายใดๆ ทั้งสิ้น พร้อมช่วยหาเตียงสำหรับผู้ป่วยโควิด-19 ฉุกเฉิน เฉพาะเคสเร่งด่วน เพื่อให้บริการได้ทันเวลา

ส่วนเคสโควิด-19 ที่ยังไม่แสดงอาการ หรืออาการไม่รุนแรง ขอความร่วมมือแจ้งเรื่องได้ที่สายด่วน 1330 และ 1668 ซึ่งจะให้ความช่วยเหลือผู้ป่วยโควิด-19 ทุกกรณีเช่นกัน

ส่วนถ้าใครอยากขายรถ เพื่อนำเงินไปใช้จ่ายในยุค COVID-19 ระบาด สามารถขายคันเก่ากับ CARRO Express ได้ เรายินดีรับซื้อรถของคุณ ได้เงินไว เร็ว พร้อมปิดการขายได้ทันที แค่คลิก -> https://th.carro.co/sell-car/express หรือจะ Inbox มาขอรายละเอียดได้ที่ Facebook -> CARRO Thailand และ Add Line สอบถามรายละเอียดได้เช่นกัน ที่ @carrothai

และอีกหนึ่งบริการใหม่! CARRO Automall แหล่งรวมรถมือสองคุณภาพเยี่ยม ผ่านการตรวจสภาพแบบ Double Check รับประกันพร้อมโอนทุกคัน ฟรี! ค่าจัดโอน มีให้เลือกชมเพียบ ซื้อรถ คลิก -> https://th.carro.co/taladrod/allcar/carro 

หรือสนใจรถรุ่นไหนอยู่ แต่หาไม่ได้ สามารถสั่งตามออเดอร์ได้ที่นี้ > https://th.carro.co/buy-car หรือโทร. 02-508-8690 อีกทั้งยัง Inbox เข้ามาสอบถามก็ได้เช่นกันได้ที่ Facebook -> CARRO Automall – รถบ้านมือสอง หรือทาง Line เชิญเลยครับที่ @carroautomall

แหล่งที่มาจาก:

Carro-Rabbit-Finance-How-To-Choose-City-Car

สำหรับพนักงานเงินเดือน หรือผู้ที่ต้องใช้ชีวิตในเมืองใหญ่ๆ บางครั้งการเดินทางด้วยขนส่งสาธารณะอาจจะไม่ตอบโจทย์เสมอไป การมีรถยนต์ไว้ใช้ส่วนตัวในบางครั้งอาจจะตอบโจทย์มากกว่า แล้วจะเลือกรถยนต์ขับในเมืองยังไงดีล่ะ? วันนี้เรามีคำตอบ

ขับรถยนต์ในเมือง

1. เลือกเครื่องยนต์ไม่ใหญ่ หรือเน้นแบบไฮบริด

โดยปรกติแล้ว การขับรถในเมืองจะไม่มีโอกาสขับด้วยความเร็วมากนัก ดังนั้นการเลือกรถยนต์ที่มีเครื่องยนต์ขนาด 1.5-2.0 ลิตร ก็ถือว่ากำลังพอเหมาะแล้ว อีกทั้งยังช่วยในเรื่องของการประหยัดน้ำมันได้อีกด้วย หรือถ้างบถึง อาจจะเลือกเครื่องยนต์แบบไฮริด ที่ให้ระบบการตอบสนองที่ดีกว่า ช่วยเรื่องในการออกตัวเพราะใช้มอเตอร์ไฟฟ้าช่วยขับเคลื่อนในความเร็วต่ำ และยังขับเคลื่อนได้แม้ดับเครื่องยนต์

ขนาดรถก็สำคัญ

สำหรับขนาดรถที่พอเหมาะที่จะขับในเมือง เราจะแนะนำขนาดที่ไม่เกิน 4.6 เมตร เพราะการใช้งานรถที่มีขนาดตัวรถใหญ่เกินไป คุณอาจพบปัญหาเรื่องการเข้าออกลานจอดรถลำบาก จะกลับรถทำอะไรก็ไม่สะดวก ดังนั้นการเลือกขนาดรถที่กะทัดรัดจะช่วยแก้ปัญหาเรื่องนี้ และช่วยให้เกิดความคล่องตัวในการขับขี่มากกว่านะ

2. เช็กฟังก์ชั่นรถก่อนซื้อเสมอ

ปฎิเสธไม่ได้เลยว่าทุกวันนี้ฟังก์ชั่นรถนั้นพัฒนาไปมาก ดังนั้นการเลือกฟังก์ชั่นให้เหมาะสมจึงจำเป็นมาก เช่น เทคโนโลยีความบันเทิง ระบบการเชื่อมต่อทางไกลเพื่อช่วยเหลือยามขับขี่ ฟังก์ชั่นช่วยฟอกอากาศสำหรับวิกฤตฝุ่น PM2.5 หรือแม้แต่ที่นั่งในห้องโดยสารที่มีการออกแบบให้นั่งสบายมากขึ้นแม้มีพื้นที่จำกัด รวมไปถึงระบบความปลอดภัยที่ครบถ้วนให้คุณอุ่นใจได้ทุกการเดินทาง ในราคาที่เหมาะสม คุ้มค่าและน่าใช้งาน

ขับรถยนต์ในเมือง

3. ระบบความปลอดภัยครอบคลุม

อุบัติเหตุอาจไม่สามารถเลี่ยงได้ในการขับขี่ โดยเฉพาะกับในเมืองที่เต็มไปด้วยรถยนต์คันอื่นๆ เพื่อป้องกันอุบัติเหตุทั้งจากคุณเผอเรอ หรือเหตุสุดวิสัย การเลือกรถยนต์ที่มีความอัจฉริยะของระบบความปลอดภัยขั้นสูง เช่น เบรกหยุดเองอัตโนมัติ, ถุงลมนิรภัยที่ทำงานได้ตามสถานการณ์จริง หรือมีฟังก์ชั่นต่างๆ ที่ช่วยในการขับขี่ อย่าง การส่งเสียงร้องเมื่อท้ายรถใกล้ขนกับกำแพง หรือมองหลังรถได้จากกล้องหลังรถ ก็นับว่าจำเป็นมากสำหรับยุคนี้

4. คนไม่เยอะ 5 ที่นั่งก็พอ

การเลือกซื้อรถขนาด 7 ที่นั่ง จะเหมาะในกรณีที่คุณมีครอบครัวใหญ่ แต่ถ้าไม่ใช่ นอกจากจะตัวรถอาจจะเทอะทะโดยไม่จำเป็นแล้ว ยังเสี่ยงที่จะทำให้คุณพกของไว้ท้ายรถเกินความจำเป็น เป็นที่มาของการเปลืองน้ำมันอีกด้วยนะ

ซื้อรถใหม่ ขับในเมืองทั้งที ไม่ใช่แค่เช็กรถก่อนซื้อเท่านั้น แต่การเลือก เช็กราคาประกันรถยนต์ ก็สำคัญไม่แตกต่างกัน และใครที่มองหาการเปรียบเทียบ เช็กราคาประกันรถยนต์ต่างๆ สามารถติดต่อ rabbit finance ได้เลย

แน่นอนว่าก่อนที่เราจะนำรถไปขับขี่บนท้องถนน จำเป็นต้องมีใบขับขี่กันเสียก่อนแล้ว รู้ไหมครับว่าเวลาไป “สอบใบขับขี่ เราต้องเตรียมอะไรไปบ้าง” วันนี้แฟรงค์มิตรรักนักขับได้รวบรวมมาบอกคุณแล้ว

เอกสารที่ต้องเตรียมตอนไปสอบใบขับขี่

5-Tricks-For-Get-Driving-License

1.ใบเอกสารการจองอบรม

ก่อนจะไปสอบใบขับขี่ แฟรงค์แนะนำให้จองคิวอบรมก่อนนะครับ โดยสามารถเข้าไปจองได้ที่ DLT e-Booking ได้เลยครับ เมื่อจองเสร็จแล้วเราจะได้เป็นไฟล์ Ticket ที่จะบอกรายละเอียด ชื่อ ที่อยู่ รวมถึงวัน – เวลาในการอบรมของเรามา ให้เราปรินท์ใบนี้แล้วนำไปในวันสอบใบขับขี่ด้วยนะครับ

2. บัตรประชาชนตัวจริง

ต้องเป็นบัตรประชาชนตัวจริงนะครับ ใช้สำเนาไม่ได้นะ โดยต้องใช้บัตรที่ชื่อและใบหน้าในบัตรยังชัดเจน ไม่เลือนด้วยนะครับ

3.ใบรับรองแพทย์

เนื่องจากผู้ขอใบขับขี่ต้องเป็นผู้ที่ไม่มีโรคประจำตัวที่เป็นอันตรายขณะขับรถ และไม่เป็นคนวิกลจริตหรือจิตฟั่นเฟือน โดยเราจะต้องนำหลักฐานใบรับรองแพทย์ที่มีผู้รับรองกำหนด และตราประทับสถานพยาบาลชัดเจน มาด้วยในวันสอบใบขับขี่ โดยที่ใบรองแพทย์จะต้องมีอายุไม่เกิน 1 เดือนด้วยนะครับ

5-Tricks-For-Get-Driving-License

4.ใบอนุญาตขับรถฉบับเดิม (ในกรณีที่ไปต่อใบขับขี่)

อันนี้เฉพาะคนที่มีใบขับขี่อยู่แล้ว และต้องการไปต่อใบขับขี่นะครับ คนที่ไม่เคยมีหรือต้องการไปทำใบขับขี่ใบแรกไม่ต้องนะ

5. เตรียมความรู้สำหรับสอบใบขับขี่ไปด้วยนะ

เพราะเมื่อถึงวันสอบ เราจะต้องผ่านการทดสอบมากมาย ทั้งการอบรมเบื้องต้น การทดสอบสมรรถภาพร่างกาย สอบภาคทฤษฎีและปฏิบัติ

ถ้าใครกังวล กลัวว่ายังเตรียมความรู้ไม่แน่นพอ ก็สามารถอ่าน ข้อสอบใบขับขี่ 2563 สำหรับรถยนต์และมอไซค์ ฉบับอัปเดต! เตรียมความพร้อมได้นะครับ ไปถึงจะได้สอบผ่านฉลุย และที่สำคัญ ต้องทำ “ประกันรถยนต์” จาก Frank.co.th ไว้ดูแลด้วยนะครับ

Trick-To-Get-Secondhard-Car-For-You

สำหรับใครที่มองหารถยนต์สภาพดี คุณภาพไม่มีที่ติ นอกเหนือจากรถยนต์มือหนึ่งป้ายแดงแล้ว รถยนต์มือสองก็ตอบโจทย์ได้ไม่แพ้ใครเหมือนกันนะครับ แถมยังมีราคาที่ประหยัดกว่า เรื่องของคุณภาพก็แทบจะไม่ต่างกับมือหนึ่งมากนัก

เทคนิคง่ายๆ ซื้อรถมือสองให้คุ้ม

แต่แน่นอนว่าการซื้อรถมือสองนั้นมีเงื่อนไข และการตรวจสอบ การตรวจเช็กสภาพรถก็เป็นเรื่องที่สำคัญไม่แพ้ใครเลยด้วยนะ เพราะถ้าเราเจอคนขายที่ไว้ใจได้ก็ถือว่าโชคดีของเรา แต่หากเจอกับมิจฉาชีพ คงไม่ใช่เรื่องที่น่ายินดีสักเท่าไร ดังนั้น Masii เลยมีเทคนิคการเลือกซื้อรถมือสองแบบง่ายๆ มาฝากเพื่อนๆ ชาว CARRO กันครับ

Trick-To-Get-Secondhard-Car-For-You

ราคาต้องเหมาะสม

สำหรับรถมือสองนั้นต้องยอมรับก่อนว่ามีหลากหลายราคาเอามากๆ ให้เราเลือกได้อย่างอิสระ และเหตุที่ทำให้รถมือสองนั้นมีราคาที่แตกต่างกันออกไปก็เพราะยี่ห้อรถ รุ่นรถ รวมไปถึงเลขไมล์ และสภาพรถที่ใช้งานมา ดังนั้นเราก็ต้องเลือกดูยี่ห้อ รุ่น ให้เหมาะสมกับเรทราคาที่เราตั้งไว้ สภาพต้องดี

ใครๆ ก็อยากได้รถสภาพดีๆ ทั้งนั้น ไม่ว่าจะเป็นรถมือหนึ่ง หรือรถมือสอง แต่ถ้าหากเลือกมองราคาถูกไว้ก่อน กลับได้รถมือสองมาในสภาพที่ไม่โอเค ต้องคอยไปเสียค่าซ่อมตามหลัง แบบนี้ก็ไม่ต่างอะไรกับการเลือกซื้อรถมือหนึ่ง ทางที่ดีเราควรเช็กสภาพรถมือสองอย่างละเอียดให้ครบถ้วน ถ้าไม่มั่นใจก็ลองให้ผู้เชี่ยวชาญ หรือมีความรู้มาตรวจดูจะดีที่สุด

ดูรถหลายๆ คัน

ต้องมีความใจเย็นในการเลือกซื้อรถมือสอง ค่อยๆ ตัดสินใจไปทีละขั้นตอน และถ้าหากมีเวลา ให้เราลองเปรียบเทียบรถมือสองที่เราต้องการดูแต่ละที่ และเก็บข้อมูลเพื่อประกอบตัดสินใจอีกครั้ง

Trick-To-Get-Secondhard-Car-For-You

เลือกแหล่งซื้อที่น่าเชื่อถือ

ใช่ว่าเราจะซื้อรถมือสองที่ไหนก็ได้นะครับ บางที่อาจจะมาอยู่ในรูปแบบมิจฉาชีพ หลอกหลวงเรา นำเสนอโดยการให้ราคาที่พิเศษกับเรา แต่ที่แท้อาจจะเลือกรถยนต์ที่ย้อมแมวมาขายให้กับเรา ดังนั้น การเลือกซื้อผ่านบริษัทที่ได้รับความน่าเชื่อถือจะช่วยให้เราอุ่นใจได้รถมือสองที่คุณภาพดีแน่นอน ต่อให้ซื้อรถยนต์มือสองแล้ว การทำประกันรถยนต์ก็เป็นสิ่งสำคัญไม่แพ้กัน หากเกิดอุบัติเหตุใดๆ บนท้องถนน ประกันจะช่วยดูแลคุ้มครองเราอยู่ คลิกที่นี่ เพื่อเช็กเบี้ยประกันรถยนต์ได้ทันที

มีข้อมูลสงสัยอยากสอบถาม โทรเข้ามาที่ 02 710 3100 เรามีทีมงานคอยให้คำตอบอยู่ครับ

ขอขอบคุณบทความดีๆ จาก www.masii.com

5-Ways-Prevent-Mouse-And-Cockroach-In-Your-Car

อีกหนึ่งปัญหาของคนที่ต้องจอดรถไว้นอกบ้าน หรือตามสถานที่กลางแจ้งเป็นประจำ หลายคนมักเจอ หนูเข้ารถ หนูกัดสายไฟรถ หรือมีแมลงสาบเข้าไปซ่อนตามมุมต่างๆ ของรถ ที่สร้างความเสียหาย กับการกัดสายไฟในรถ ส่งกลิ่นเหม็นๆ ไม่พึงประสงค์ ทั้งอึทั้งฉี่ เผลอๆ มันวิ่งโผล่มาทักทายที่ขาคุณ ตอนกำลังขับรถอยู่อีกต่างหากๆ!

นับได้ว่าเป็นเรื่องสยองขวัญในจิตใจคุณ และสร้างความเสียหายให้กับรถยนต์คุณโดยไม่น้อยเลยทีเดียว และยังต้องใช้เงินในการซ่อมแซมรถ จากปัญหาดังกล่าวอีกไม่น้อย และยังเสียความรู้สึกอีกด้วย ว่าจะต้องเจออีกหรือไม่ ในกรณีที่กำจัดได้ไม่หมด

MR.CARRO จะมาแนะนำ 5 วิธี ป้องกันกองทัพหนู และแมลงสาบ บุกยึดรถยนต์ของคุณครับ!

5-Ways-Prevent-Mouse-And-Cockroach-In-Your-Car

1. รู้ถึงต้นตอของปัญหา

สาเหตุที่หนูและแมลงสาบ สามารถบุกเข้ามาในรถได้ มีอยู่หลากหลายปัจจัย อาทิ

– จอดรถในพื้นที่เสี่ยง เช่น ใกล้ท่อระบายน้ำ ใกล้ถังขยะ ที่เป็นแหล่งรวมหนูและแมลงสาบสารพัดชนิด เห็นรถของคุณเป็นที่พักพิง หรือมีรูผุ แตกปริส่วนใดส่วนหนึ่ง ที่พวกนี้สามารถเข้ามาซ่อนได้บริเวณท่อแอร์ หรือรางน้ำฝน
– ชอบกินอาหารในรถ และทำหล่นตามส่วนต่างๆ ในรถ เลอะเทอะ หรือไม่ได้นำออกไปทิ้งนอกรถ ก็เป็นการเชิญแขกที่ไม่ได้รับเชิญเข้ามาได้ ทั้ง มด หนู แมลงสาบ

5-Ways-Prevent-Mouse-And-Cockroach-In-Your-Car

2. หมั่นทำความสะอาดรถบ่อยๆ

การทำความสะอาดรถนับเป็นทางออกที่ดี และป้องกันแขกที่ไม่ได้รับเชิญเหล่านี้ด้วย โดยเฉพาะบริเวณพื้นรถ พรมปูพื้น ตามซอกต่างๆ ที่เก็บของข้างประตู หรือในแผงฟิวส์ด้านข้างประตูรถบางรุ่น ซอกระหว่างเบาะที่นั่ง และห้องเครื่องยนต์ เพราะหนู และแมลงสาบ สามารถเข้าไปซ่อนทำรังได้ ควรใช้เครื่องดูดฝุ่นในการดูดเพื่อความง่ายต่อการทำความสะอาด

5-Ways-Prevent-Mouse-And-Cockroach-In-Your-Car

3. ไล่แขกไม่ได้รับเชิญ

เมื่อคุณพบเจอหนู หรือแมลงสาบ ใกล้ๆ ที่คุณจอดรถ สามารถใช้ลูกเหม็น หรือแอมโมเนียไปวางตามที่คุณจอดรถ เพื่อไล่หนู หรือจะใช้ยาเบื่อหนู และกาวดักหนูวางไว้แทนก็ได้ หรือจะเลี้ยงแมวไว้แถวๆ ที่จอดรถก็ได้ เพราะกลิ่นของแมวหนูมักกลัว

ส่วนถ้าเจอในรถ หรือในห้องเครื่องยนต์ นำน้ำผสมกับพริกป่นฉีดเข้าไปบริเวณที่เจอรอยเท้าหนูเข้ามาเยอะๆ ก็ฉีดเน้นเข้าไปตรงนั้น หากจอดรถในบ้านที่มีแสงสว่าง สามารถเปิดฝากระโปรงรถทิ้งไว้ได้ เพราะสัตว์พวกนี้ไม่ชอบที่สว่างๆ นัก

ส่วนการไล่แมลงสาบ นอกจากจะใช้ยาฆ่าแมลงฉีดตามจุดต่างๆ แล้ว ลองใช้ “ใบเตย” ไว้ในรถดู เพราะกลิ่นของใบเตยช่วยไล่แมลงสาบได้ แต่ต้องเช็ดให้แห้ง เพราะอาจกลายเป็นอาหารของแมลงไปซะได้

4. ปิดรูทุกจุด

ตามห้องเครื่องหรือส่วนต่างๆ ของตัวรถ อาจจะมีรูหรือช่องที่หนู กับ แมลสาบ เล็ดลอดเข้ามาได้ เมื่อพบเจอช่องที่คาดว่าสามารถเข้ามาได้ ก็จัดการอุดมันไว้ซะ หรือใช้แผ่นฟิวเจอร์บอร์ด มาล้อมรถซะเลย

5-Ways-Prevent-Mouse-And-Cockroach-In-Your-Car

5. ประกันชั้น 1 จ่าย ไม่ต้องห่วง

สำหรับกรณีที่รถของคุณโดนหนูกัดสายไฟในรถ แล้วประกันภัยจะรับผิดชอบหรือไม่? คำตอบคือ “รับครับ” แต่เฉพาะคนที่ทำประกันภัยชั้น 1 เอาไว้เท่านั้นนะครับ โดยต้องเสียค่าใช้จ่ายในเรื่องของของค่าเสียหายส่วนแรก (Excess) และพร้อมกับถ่ายรูปมุมที่มีปัญหาเก็บไว้เป็นหลักฐาน แล้วแจ้งให้กับเจ้าหน้าที่ประกันภัยทราบ ถ้าคุณทำประกันภัยรถยนต์ชั้นอื่น ก็เตรียมตัวเสียเงินตามระเบียบ

นี่ล่ะครับ 5 วิธีกำจัดหนูและแมลงสาบในรถของคุณอย่างง่ายๆ ที่ควรลองทำดู แต่ทางที่ดี ก็ควรหาที่จอดรถในที่ที่เหมาะสม และพยายามไม่กินอะไรจนหกเลอะเทอะในรถนะครับ เป็นดีที่สุด

สำหรับใครที่ยังนึกไม่ออกว่า ขายรถที่ไหนดี? เอารถมาขายกับทาง CARRO สิ ลงประกาศขายรถฟรี เรารับซื้อรถมือสอง โดยได้ราคาที่คุณพอใจ พร้อมปิดการขายภายใน 24 ชั่วโมง! กับ CARRO Express แค่คลิก https://th.carro.co/sell-car/express หรือจะ Inbox สอบถามรายละเอียดได้ที่ Facebook CARRO Thailand

หรือจะ Add Line สอบถามรายละเอียดได้ที่ @Carrothailand หรือคลิกที่นี่ครับ —> เพิ่มเพื่อน

Why-Pearl-Color-Expensive-More-Other-Colors

ถ้าจะให้ย้อนกลับในอดีต “รถสีขาว” เป็นรถที่คนส่วนใหญ่มักไม่นิยมกัน เพราะจะมองเป็นรถบริษัท หรือรถสำหรับใช้งานในหน่วยงานต่างๆ อีกทั้งการดูแลรักษาที่ค่อนข้างยุ่งยาก มองเห็นคราบสกปรกได้ง่าย และสีขาวจะหมองไว เปลี่ยนสีไปเป็นออกเหลืองๆ บวกกับเวลาซ่อมสี จะสังเกตได้ง่ายว่าสีบนพื้นผิวรถไม่เท่ากัน จึงต้องจ่ายค่าทำสีมากกว่าเดิม คนจึงไม่นิยมกันเท่าไหร่

ผิดกับทางฝั่งญี่ปุ่น “รถสีขาว” ได้รับความนิยมอย่างสูงมาตั้งแต่ในอดีต ที่ภายหลังพัฒนาจากสีขาวธรรมดาๆ ให้มาเป็น “สีเมทัลลิค” (Metallic) หรือ “สีมุก” (Pearl) อีกด้วย ซึ่งเพิ่มความสวยงามกว่าเดิมเป็นเท่าตัว ดูมีเปล่งประกายเวลาสะท้อนกับแสงแดด

แต่วันนี้ MR.CARRO จะมาเล่าให้ฟัง ว่าทำไม “สีขาวมุก” หรือสีพิเศษบางสี ราคาถึงต้อง “จ่าย” เพิ่มแพงกว่า

Why-Pearl-Color-Expensive-More-Other-Colors

กรรมวิธีการผลิตสีรถยนต์ โดยทั่วไปแล้วจะมีอยู่ 3 แบบ คือ

1. Solid Color – คือ การพ่นสีตัวถังแบบทั่วไป มีต้นทุนไม่แพง เนื้อสีจะมันวาวในระดับหนึ่ง แต่ก็ไม่สะท้อน ออกเรียบๆ ทึบๆ โดยพ่นสีเพียงแค่ชั้นเดียว มักนิยมในรถรุ่นพื้นฐาน หรือรถกระบะส่งของ เป็นต้น

2. Metallic Color – เป็นสีผสมผงโลหะ ที่เรียกว่า Metallic ปกติเเล้วตัวสีไม่มีความเงางาม แต่จะพ่นแล็กเกอร์เคลือบอีกหนึ่งชั้น เพื่อให้เกิดความเงางาม แวววาว ดูสีมีเม็ดประกาย และป้องกันผงโลหะเหล่านั้นหลุดร่อน

3. Pearl Color – มีขั้นตอนการพ่นสีหลายชั้น เช่น สีขาวมุก สีดำมุก ก็ต้องพ่นสีขาวธรรมดาก่อน แล้วเคลือบเงาด้วยการพ่นสีเมทัลลิก ทับเนื้อสีขาว ซึ่งอาจจะต้องพ่นกันหลายครั้งเพื่อให้เกิดประกายมุก แวววาว ซึ่งจะต่างจากสีอื่นที่สามารถผสมสี แล้วพ่นทีเดียวได้เลย แล้วจึงค่อยพ่นสีเคลือบเงาทับเป็นขั้นตอนสุดท้ายจนเงางามเวลาสะท้อนเเสงเกิดประกายมุก

Why-Pearl-Color-Expensive-More-Other-Colors

ในบ้านเรา ผมจำได้ว่ารถสีขาวมุก เริ่มบูมแรกๆ ในช่วงเมื่อสิบกว่าปีที่แล้วที่ทาง Honda ทำ Honda Jazz (ฮอนด้า แจ๊ซ) ออกมาขายพร้อมกับสีขาวมุก และเป็นที่นิยมอย่างมาก จนรถยนต์หลายๆ ยี่ห้อ ต้องทำสีขาวมุกออกมาขายกันเป็นแถว เลยยิ่งทำให้รถสีขาวมุกได้รับความนิยม จนกลายเป็นสีมาตรฐานที่มีให้เลือกในรถหลายยี่ห้อจนถึงทุกวันนี้ และก็มีผู้คนนิยมจำนวนมาก แม้ว่าจะต้องจ่ายเงินเพิ่มจากปกติ 6,000 – 15,000 บาท ก็ตาม

Why-Pearl-Color-Expensive-More-Other-Colors

แต่การใช้รถสีขาวมุกแล้ว การดูแลรักษารถที่ดีก็มีส่วนสำคัญในสีรถมีความสดใสยาวนาน วิธีง่ายๆ คือการล้างรถที่ถูกวิธี ไม่จอดรถตากแดดจัดๆ เป็นเวลานาน หรือจอดรถตากน้ำค้าง ตากฝน หรือใต้ต้นไม้ที่มีน้ำยาง เช่น มะม่วง แค่นี้สีรถของคุณ ไม่ว่าจะเป็นสีธรรมดา สีเมทัลลิก หรือสีมุก ก็พร้อมให้คนมาชื่นชมแล้วล่ะครับ

The-All-New-Mazda3-2019

สำหรับใครที่ยังนึกไม่ออกว่า ขายรถที่ไหนดี? เอารถมาขายกับทาง CARRO สิ ลงประกาศขายรถฟรี เรารับซื้อรถมือสอง โดยได้ราคาที่คุณพอใจ พร้อมปิดการขายภายใน 24 ชั่วโมง! กับ CARRO Express แค่คลิก https://th.carro.co/sell-car/express หรือจะ Inbox สอบถามรายละเอียดได้ที่ Facebook CARRO Thailand

หรือจะ Add Line สอบถามรายละเอียดได้ที่ @Carrothailand หรือคลิกที่นี่ครับ —> เพิ่มเพื่อน