Chevrolet-Thailand-20-Years-In-Business

นับตั้งแต่การประกาศของ บริษัท เจนเนอรัล มอเตอร์ส ประเทศไทย ประกาศยุติการจำหน่ายรถยนต์ Chevrolet (เชฟโรเลต) ในไทย ภายในสิ้นปี 2563 และขายโรงงานประกอบรถยนต์ รวมถึงโรงงานผลิตเครื่องยนต์ที่ จ.ระยอง ให้ Great Wall Motor (เกรท วอลล์ มอเตอร์) จากจีน ซื้อศูนย์การผลิตรถยนต์และเครื่องยนต์ไป ก็ทำให้ผู้คนในวงการยานยนต์ ตะลึงกันไปตามๆ กัน

สำหรับ บริษัท เชฟโรเลต เซลส์ (ประเทศไทย) จำกัด ก่อตั้งเมื่อวันที่ 1 มกราคม 2543 ก็ล้วนมีทั้งเรื่องราวอันน่ายินดี และเรื่องราวที่น่าผิดหวัง ตามประสาบริษัทที่ทำธุรกิจ ก็ย่อมมีทั้งสิ่งที่ถูกใจลูกค้า ตัวแทนจำหน่าย บริษัทอะไหล่ ปะปนกันไป ซึ่ง Chevrolet ก็จะอยู่ในหัวใจของคนไทยหลายๆ คน ตลอดไปอย่างแน่นอน …

MR.CARRO ขอนำเสนอเรื่องราวอันน่าโดดเด่น ของ GM และ Chevrolet ในประเทศไทย ในรอบ 20 ปี (2543 – 2563) ให้ทุกท่านได้อ่านกัน

1. เปิดตัวครั้งแรก ในงาน Motor Show 2000

Chevrolet กลับมาเปิดตัวอย่างเป็นทางการอีกครั้ง หลังจากที่แบรนด์ Opel (โอเปิล) ถูกเลิกขายในบ้านเราไป โดยเปิดตัวอย่างเป็นทางการในงาน Bangkok Interational Motor Show 2000 ครั้งนั้น Chevrolet ได้นำรถมาโชว์อยู่หลากหลายรุ่น อาทิ รถต้นแบบ YGM-1, Chevrolet Zafira, Chevrolet Cavalier, Chevrolet Lumina และ Chevrolet Blazer

Chevrolet-Zafira

2. เปิดตัว Chevrolet Zafira

Chevrolet Zafira (เชฟโรเลต ซาฟิร่า) เป็นการบุกเบิกตลาดรถยนต์อเนกประสงค์รายแรกของประเทศไทย หรือ Compact MPV แบบ 5 ประตู เปิดตัวเมื่อเดือนกุมภาพันธ์ 2543 ใช้ทั้งเครื่องยนต์เบนซินขนาด 1.8 ลิตร รหัส X18XE ECOTEC 115 แรงม้า ใน 2 รุ่นย่อย ได้แก่ 1.8 GL และ 1.8 CD

ต่อมาในปี 2544 เพิ่มรุ่นย่อยใหม่ 2.2 CDX ใช้เครื่องยนต์ขนาด 2.2 ลิตร รหัส Z22SE ECOTEC 145 แรงม้า และเปลี่ยนรหัสใหม่ในเครื่องยนต์ขนาด 1.8 ลิตร ทุกรุ่นย่อย เป็นรหัส Z18XE ECOTEC 123 แรงม้า ส่งกำลังผ่านเกียร์อัตโนมัติ 4 สปีด และมีรุ่นย่อย รุ่นพิเศษต่อเนื่อง จนเลิกผลิตไปในปี 2548

อ่านเพิ่มเติม >>> ประวัติ Chevrolet Zafira ในไทย

Chevrolet-Optra

3. เปิดตัว Chevrolet Optra

Chevrolet Optra (เชฟโรเลต ออพตร้า) ใช้พื้นฐานเดียวกันกับ Daewoo Lacetti โดยตัวรถได้สำนัก Pininfarina เป็นผู้ออกแบบ และ GMDAT บริษัทในกลุ่ม GM ใช้เวลาพัฒนากว่า 30 เดือน เปิดตัวในไทยเมื่อปี 2546 ใช้เครื่องยนต์รหัส Z16XE ขนาด 1.6 ลิตร ให้กำลังสูงสุด 107 แรงม้า และรหัส Z18XE ขนาด 1.8 ลิตร ให้กำลังสูงสุด 121 แรงม้า

ในปี 2548 ปรับโฉมไมเนอร์เชนจ์ พร้อมเปิดตัวรุ่น Estate และในวันที่ 26 กรกฏาคม 2550 Chevrolet Optra ได้ปรับโฉมไมเนอร์เชนจ์อีกครั้ง ที่มาพร้อมรุ่นใช้ก๊าซ CNG ให้เลือก ในยุคน้ำมันแพง

อ่านเพิ่มเติม >>> ประวัติ Chevrolet Optra ในไทย

4. เปิดตัว Chevrolet Lumina

Chevrolet เริ่มนำเข้ารถหรูในราคาไม่แพงจากออสเตรเลีย อย่าง Chevrolet Lumina (เชฟโรเลต ลูมิน่า) ใช้เครื่องยนต์ V6 ขนาด 3.8 ลิตร 206 แรงม้า และต่อมานำเข้ารุ่นเครื่องยนต์ V6 ขนาด 3.6 ลิตร 255 แรงม้า แต่ก็ไม่ได้รับความนิยมมากนัก

Chevrolet-Colorado-Z71

5. เปิดตัว Chevrolet Colorado

กระโดดลงมาเล่นตลาดรถกระบะอย่างเต็มตัว กับ Chevrolet Colorado (เชฟโรเลต โคโลราโด) ในปี 2547 ที่ผลิตจากโรงงานของ GM ใน จ.ระยอง เป็นการออกแบบร่วมกันระหว่าง GM กับ Isuzu ซึ่งของ Isuzu นั่นก็คือตัว D-Max นั่นเอง รุ่นนี้ใช้เครื่องยนต์ Commonrail ต่อมาในปี 2549 เปลื่ยนเป็น เครื่องยนต์ CTI ทั้ง 2.5 ลิตร 116 แรงม้า และ 3.0 ลิตร 146 แรงม้า พร้อมเพิ่มเครื่องยนต์ 3.0 ลิตร CTI Max VGS Turbo 163 แรงม้า

ในช่วงปลายปี 2550 มีการปรับโฉมไมเนอร์เชนจ์ใหม่ พร้อมรุ่นติดก๊าซ CNG ออกมาจำหน่ายในปี 2551 และในปี 2553 ได้มีการปรับโฉมไมเนอร์เชนจ์อีกรอบ

Chevrolet-Aveo

6. เปิดตัว Chevrolet Aveo

หลังจากที่ Chevrolet เห็นว่าตลาดรถเก๋งของตนน่าจะไปได้สวย จึงเจาะตลาดรถ Sub-Compact ด้วยการส่ง Chevrolet Aveo (เชฟโรเลต อาวีโอ) ออกมาจำหน่ายในเดือนสิงหาคม 2549 ในแบบเครื่องยนต์ขนาด 1.4 ลิตร 94 แรงม้า พร้อมปรับเครื่องยนต์ให้รองรับน้ำมันแก๊สโซฮอล์ E20 ได้

ก่อนจะปรับโฉมไมเนอร์เชนจ์ ด้วยรุ่นเครื่องยนต์ขนาด 1.6 ลิตร 102 แรงม้า ในช่วงปลายปี 2552 และรุ่นติดตั้งก๊าซ CNG ในปี 2554

อ่านเพิ่มเติม >>> ประวัติ Chevrolet Aveo ในไทย

Chevrolet-Captiva-Centennial-White-Edition

7. เปิดตัว Chevrolet Captiva

นับเป็นรถรุ่นที่ Chevrolet ขายในบ้านเรามายาวนานที่สุดอีกหนึ่งรุ่น สำหรับ Chevrolet Captiva (เชฟโรเลต แคปติวา) เป็นรถยนต์ SUV ขนาดกลางแบบ 7 ที่นั่งของ Chevrolet ที่พัฒนาขึ้นโดยศูนย์ออกแบบของ GM ในเมืองอินชอน ประเทศเกาหลีใต้ เปิดตัวเมื่อเดือนมีนาคม 2550 ใช้เครื่องยนต์ดีเซลขนาด 2.0 ลิตร CRDi 150 แรงม้า และเครื่องยนต์เบนซินขนาด 2.4 ลิตร 142 แรงม้า ก่อนจะเปลี่ยนเครื่องยนต์ขนาด 2.4 ลิตร 165 แรงม้า ในปี 2552

ในปี 2554 จึงปรับโฉมไมเนอร์เชนจ์ และในปี 2555 จึงใช้เครื่องยนต์ขนาด 2.4 ลิตร Commonrail Turbo 163 แรงม้า และพัฒนาให้รองรับน้ำมันแก๊สโซฮอล์ E85 ได้ ในปี 2557

อ่านเพิ่มเติม >>> ประวัติ Chevrolet Captiva ในไทย

Chevrolet-Cruze

8. เปิดตัว Chevrolet Cruze

Chevrolet เปิดตัว Chevrolet Cruze (เชฟโรเลต ครูซ) ที่เป็นแบบ Global Compact Car หรือ รถคอมแพกต์ซีดานระดับโลก ที่ตอบสนองความต้องการของลูกค้าทั่วทุกมุมโลก มาขายในไทยเมื่อวันที่ 23 พฤศจิกายน 2553 ใช้ขุมพลังขนาด 1.6 ลิตร 109 แรงม้า และขนาด 1.8 ลิตร 141 แรงม้า และดีเซลขนาด 2.0 ลิตร Commonrail Diesel Turbo 150 แรงม้า

มีการปรับโฉมในเดือนมีนาคม 2556 และในเดือนสิงหาคม 2558 ก่อนจะเลิกขายไป

อ่านเพิ่มเติม >>> ประวัติ Chevrolet Cruze ในไทย

9. เปิดตัวโรงงานผลิตเครื่องยนต์ Duramax

GM ประเทศไทย เปิดศูนย์การผลิตเครื่องยนต์ที่จังหวัดระยอง โดยผลิตเครื่องยนต์ Duramax 4 สูบ ขนาด 2.5 ลิตร และ 2.8 ลิตร ในปี 2554 ด้วยมูลค่า 6,000 ล้านบาท

Chevrolet-Colorado-2014

10. เปิดตัว Chevrolet Colorado ใหม่

ในวันที่ 5 ตุลาคม 2554 Chevrolet เปิดตัว Chevrolet Colorado (เชฟโรเลต โคโลราโด) เจเนอเรชั่นที่ 2 อย่างยิ่งใหญ่ ชิ้นส่วนหลายอย่างยังใช้ร่วมกับ Isuzu D-Max ได้ ยกเว้นเครื่องยนต์ เกียร์ และส่วนประกอบของตัวถังกับภายในรถ

มาพร้อมเครื่องยนต์ดีเซลขนาด 2.5 ลิตร Duramax 150 แรงม้า และ 2.8 ลิตร Duramax 180 แรงม้า เป็นการเริ่มต้นโครงการใหม่ครั้งยิ่งใหญ่ที่สุดในรอบ 100 ปี ของ Chevrolet

Chevrolet-Trailblazer

11. เปิดตัว Chevrolet Trailblazer ใหม่

ในวันที่ 21 มีนาคม 2555 Chevrolet เปิดตัว Chevrolet Trailblazer (เชฟโรเลต เทรลเบลเซอร์) อย่างยิ่งใหญ่ ชิ้นส่วนหลายอย่างยังใช้ร่วมกับ Isuzu MU-X ได้ ยกเว้นเครื่องยนต์ เกียร์ และส่วนประกอบของตัวถังกับภายในรถ ที่ GM ใช้ประเทศไทยเป็นฐานหลักในการผลิต Trailblazer เพื่อส่งขายไปกว่า 60 ประเทศทั่วโลก

มาพร้อมเครื่องยนต์ดีเซลขนาด 2.5 ลิตร Duramax 150 แรงม้า และ 2.8 ลิตร Duramax 180 แรงม้า พร้อมระบบส่งกำลังแบบเกียร์ธรรมดา 5 สปีด และอัตโนมัติ 6 สปีด

Chevrolet-Sonic

12. เปิดตัว Chevrolet Sonic

สำหรับ Chevrolet Sonic (เชฟโรเล็ต โซนิค) เป็นรถยนต์ Sub-Compact ที่มาทดแทนรุ่น Aveo เปิดตัวช่วงปลายเดือนกรกฎาคม 2555 ซึ่งมีทั้งแบบ Northback 4 ประตู และแบบ Hatchback 5 ประตู ให้เลือก

ใช้ขุมพลัง 4 สูบรุ่นใหม่ของจีเอ็ม รหัส A14FXR ขนาด 1.4 ลิตร 100 แรงม้า และต่อมาอัพเกรดเครื่องยนต์เป็นขนาด 1.6 ลิตร 115 แรงม้า รองรับเชื้อเพลิงแก๊สโซฮอล์ E85 แต่สุดท้ายก็เลิกขายไป

อ่านเพิ่มเติม >>> ประวัติ Chevrolet Sonic ในไทย

Chevrolet-Spin

13. เปิดตัว Chevrolet Spin

จัดเป็นรถที่มาไวไปไว สำหรับ Chevrolet Spin (เชฟโรเลต สปิน) รถ MPV 7 ที่นั่ง ที่ Chevrolet หวนกลับมาทำตลาดอีกครั้งในเดือนมีนาคม 2556 โดยนำเข้ามาจากอินโดนีเซีย ใช้ขุมพลัง 1.5 ลิตร 107 แรงม้า ส่งกำลังผ่านเกียร์อัตโนมัติ 6 สปีด พร้อมระบบ Driver Shift Control

14. ปรับโครงสร้างบริษัท

เมื่อ GM ในสหรัฐอเมริกาเจอวิกฤต ล้มละลาย นับตั้งแต่ปี 2552 บริษัทในเครือ GM ทั่วโลก ก็ถูกผลกระทบไปอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ จนต้องปรับลดคนงานมากถึง 30% พร้อมลดการผลิต เปลี่ยนทีมผู้บริหารกันค่อนข้างบ่อย ล่วงมาจนถึงการประกาศยุติกิจการในไทยในเดือนกุมภาพันธ์ 2563

All-New-Chevrolet-Captiva-2019

15. เปิดตัว Chevrolet Captiva

เจเนอเรชั่นที่ 2 ของ Chevrolet Captiva (เชฟโรเลต แคปติวา) ที่เปิดตัวในไทยเมื่อเดือนตุลาคม 2562 นับว่าเป็นรถ Chevrolet รุ่นสุดท้ายที่เปิดตัวในไทย มาพร้อมเครื่องยนต์ขนาด 1.5 ลิตร Turbo 143 แรงม้า

Carro Express ขายรถกับคาร์โร อยากขายรถ ขายรถด่วน

สำหรับใครที่อยากขายรถคันเดิม มาขายรถคันเดิมกับ CARRO Express สิ! Inbox มาขอรายละเอียดได้ที่ Facebook -> CARRO Thailand และ Add Line สอบถามรายละเอียดได้เช่นกัน ที่ @carrothai

Carro Automall / คาร์โร ออโต้มอลล์

แต่ถ้าหากช่วงนี้ใครอยากเปลี่ยนรถคันใหม่ มาใช้แทนที่รถคันเดิม CARRO Automall แหล่งรวมรถมือสองคุณภาพเยี่ยมผ่านระบบออนไลน์ พร้อมตอบโจทย์คุณด้วยคอนเซปต์ “click.buy.drive.” คุณสามารถจองรถออนไลน์ ได้ในเวลาเพียง 1 นาทีเท่านั้น!

รถทุกคันผ่านการตรวจสภาพแบบ Double Check มากกว่า 200 จุด และยังมีเทคโนโลยี “360 View & Sound Engine Analysis” ให้คุณเลือกชมรถยนต์เสมือนจริงออนไลน์รายแรกในไทย ทั้งภาพและเสียงในรูปแบบ 360 องศา พร้อมรับประกันคุณภาพรถนานถึง 2 ปี หรือ 20,000 กิโลเมตร! อีกทั้งยังการันตีความพึงพอใจ คืนเงินได้ภายใน 5 วันอีกด้วย! เรามีรถให้คุณเลือกชมเพียบ เปิดบริการทุกวัน ซื้อรถคุณภาพเยี่ยม ต้องที่ CARRO Automall สิ!

หรือถ้าหากสนใจรถรุ่นไหนอยู่ แต่ยังหาที่ถูกใจไม่ได้ เรายินดีหาให้! เพียงแค่กรอกเบอร์โทรศัพท์ ชื่อยี่ห้อ / รุ่นรถ ที่คุณต้องการก็ได้เช่นกันครับ อีกทั้งยังสามารถ Inbox เข้ามาสอบถามรายละเอียดได้ที่ Facebook -> CARRO Automall Official โทร. 02-508-8690 หรือทาง Line @carroautomall ครับ

Carro-Not-Forget-If-Double-Parking

อะไรเอ่ย หายากกว่าค่าผ่อนรถ คำตอบก็คือ “ที่จอดรถ” นั่นเองครับ ค่าผ่อนรถถ้าเรามีการวางแผนการเงินที่ดี ไม่สุรุ่ยสุร่าย ยังไงก็มีเงินผ่อนรถแน่ๆ

แต่ที่จอดรถนี่สิครับ บางทีวนแล้ววนอีก วนจนตาลาย ก็ยังหาที่จอดรถไม่เจอซักที ทางเลือกที่เหลืออยู่ก็คือต้อง “จอดซ้อนคัน” แต่การจอดรถซ้อนคันนั้นมีอะไรต้องคำนึงและห้ามลืมบ้าง วันนี้เพนกวิน Frank ได้นำมาเสนอคุณแล้ว

Not-Forget-If-Double-Parking

1. คำนึงถึงระยะห่าง

ถ้าเราจอดรถในซองที่มีเส้นแบ่งชัดเจนก็คงไม่เป็นปัญหา แต่การจอดซ้อนคันมันไม่มีเส้นแบ่งเป็นสัญลักษณ์ให้เรา แล้วเราจะทำยังไงดีล่ะ ถ้าใครกังวล แฟรงค์ขอแนะนำให้คุณ “เว้นระยะห่างให้มากกว่าปกติ” โดยแฟรงค์แนะนำให้มีพื้นที่ว่างอย่างน้อยหนึ่งช่วงรถ ที่ต้องทำอย่างนี้ก็เพื่อความปลอดภัย และอำนวยความสะดวกกรณีต้องมีการเคลื่อนย้ายรถด้วย

2. ดูทำเลที่จอดรถซ้อนคันของเราด้วย

การจอดรถซ้อนคัน ใช่ว่าจะจอดที่ไหนก็ได้นะครับ เพราะถ้าเราจอดไม่ดูทำเลอาจกลายเป็นว่าไปขวางทางเข้าออกของคนอื่น หรือดันไปจอดในที่ที่มีความลาดชันมากจนอาจเกิดอุบัติเหตุรถไหลไปชนคันอื่นได้ ดังนั้น เราต้องดูทำเลที่จอดให้ดีๆ นะครับ ห้ามลาดชัน ห้ามขวางทาง จำให้มั่น

Not-Forget-If-Double-Parking

3. จอดรถให้สามารถเคลื่อนย้ายได้

เพราะการจอดรถซ้อนคัน เราต้องคำนึงถึงรถคันที่เราไปซ้อนด้วยครับ ดังนั้น เราต้องจอดรถให้ดี เพื่อให้สามารถเคลื่อนย้ายรถได้สะดวก โดยแฟรงค์แนะนำให้คุณทำตามดังนี้ครับ

1. ตั้งล้อให้เป็นแนวตรง ก่อนที่จะดับเครื่องและลงจากรถ ให้เราหมุนพวงมาลัยให้เป็นแนวตรงก่อนครับ เพื่อที่เวลาคนจะมาเคลื่อนย้ายรถเราจะได้เข็นเป็นเส้นตรง ไม่เบี้ยวไปชนรถคันอืนๆ
2. เข้าเกียร์ N หรือเกียร์ว่าง เพื่อให้รถสามารถเคลื่อนย้ายได้ ห้ามใส่เกียร์ P เด็ดขาดนะครับ
3. เอาเบรกมือลง หลายคนเคยชินกับการจอดรถโดยยกเบรกมือขึ้น แต่ถ้าเราจอดรถซ้อนคัน ต้องห้ามเอาเบรกมือขึ้นเด็ดขาดครับ

4. ทิ้งเบอร์ติดต่อไว้ซักหน่อย

สุดท้ายแล้วเผื่อไว้สำหรับกรณีฉุกเฉิน ให้เราลองเขียนข้อความชื่อ พร้อมเบอร์ติดต่อแนบไว้หน้ากระจกรถของคุณ หากเกิดปัญหาอะไรขึ้น ก็จะมีคนติดต่อคุณได้นั่นเองครับ

และนี่ก็คือสิ่งที่ห้ามลืมเมื่อจอดรถซ้อนคัน ที่จะช่วยให้การจอดรถซ้อนคันของคุณปลอดภัยขึ้นอย่างแน่นอนครับ แต่ไม่ว่าจะปลอดภัยแค่ไหน เปอร์เซนต์การเกิดอุบัติเหตุก็ยังคงไม่เป็นศูนย์อยู่ดี ดังนั้น อย่าลืมทำประกันรถยนต์จาก www.frank.co.th ไว้ดูแลคุณนะครับ

If-You-Car-License-Plate-Lost

อยู่ๆ กลับพบว่าแผ่นป้ายทะเบียนรถของเราหลุดหายไปตั้งแต่ตอนไหนไม่รู้ ไม่รู้จะทำอย่างไรต่อนี้ ก็อย่าเพิ่งตกใจกันไปนะครับทุกคน หากใครที่เจอเหตุการณ์แบบนี้ แต่ไม่รู้จะทำอย่างไรดี ให้ มาสิ เป็นคนให้คำตอบเองดีกว่าทุกคน

ป้ายทะเบียนรถหาย รับมืออย่างไรดี

สำหรับเพื่อนๆ ที่เป็นเจ้าของรถยนต์ที่ทำป้ายทะเบียนหายไป เราสามารถยื่นขอรับแผ่นป้ายทะเบียนรถทดแทนได้ที่สำนักงานขนส่งที่รถยนต์ของเรานั้นอยู่ในความรับผิดชอบ โดยไม่ต้องเป็นต้องแจ้งความใดๆ ก่อนเลย แต่จะมีค่าธรรมเนียมอยู่ที่แผ่นป้ายละ 100 บาท ค่าคำขอ 5 บาท และเราจะได้รับแผ่นป้ายทะเบียนรถภายใน 15 วันหลังยื่นขอดำเนินการ โดยระหว่างนี้ เพื่อนๆ สามารถใช้ใบเสร็จที่เราได้รับมา เพื่อยืนยันแทนแผ่นป้ายทะเบียนรถเป็นการชั่วคราวได้เช่นกันครับ

If-You-Car-License-Plate-Lost

เอกสารที่ใช้สำหรับยื่นขอรับป้ายทะเบียนใหม่

  • คู่มือจดทะเบียนรถฉบับจริง
  • บัตรประจำตัวประชาชนฉบับจริงของเจ้าของรถ

ขอเพิ่มเติมนิดนึงว่าถ้าหากเจ้าของรถยนต์ไม่สะดวก หรือไม่สามารถมาดำเนินการด้วยตนเองได้ เราสามารถมอบอำนาจให้บุคคลอื่นมาทำเรื่องขอรับป้ายทะเบียนใหม่แทนได้ โดยเพียงต้องมีหนังสือมอบอำนาจพร้อมกับสำเนาบัตรประจำตัวประชาชนผู้รับมอบอำนาจติดมาแสดงด้วยครับ

และขอทิ้งท้ายเรื่องสำคัญไว้อีกนิดหนึ่งก่อนจากกัน เมื่อป้ายทะเบียนรถยนต์หาย ห้ามทำแผ่นป้ายทะเบียนรถขึ้นเองโดยเด็ดขาดครับ เพราะจะถือว่ามีความผิดตามพระราชบัญญัติรถยนต์ พ.ศ. 2522 ฐานใช้แผ่นป้ายทะเบียนที่มีลักษณะไม่ถูกต้องตามที่กำหนดในกฎกระทรวง มีโทษปรับสูงสุดไม่เกิน 2,000 บาท

หวังว่าเกร็ดความรู้ตรงนี้จะมีประโยชน์ไม่มากก็น้อยสำหรับทุกคนกันนะครับ ส่วนเรื่องของความปลอดภัยบนท้องถนน การเลือกทำประกันรถยนต์ก็ช่วยเพิ่มความอุ่นใจให้เราได้ หากกรณีเกิดอุบัติเหตุขึ้นมา ก็มีประกันคอยคุ้มครองให้เรา คลิกที่นี่ เพื่อเลือกทำประกันรถยนต์ มีข้อมูลสงสัยโทร 02 710 3100 เรามีทีมงานคอยให้คำตอบอยู่ครับ

ขอขอบคุณบทความดีๆ จาก www.masii.com

5-best-selling-kei-car-in-japan

จากการจัดอันดับของ JADA สมาพันธ์ผู้ค้ารถยนต์แห่งประเทศญี่ปุ่น (Japan Automobile Dealers Association) “ญี่ปุ่น” ถือเป็นประเทศที่มียอดขายรถที่มากติดอันดับโลก (ในปี 2019 มียอดขาย และจดทะเบียนรถในประเทศมากถึง 5,234,166 คัน!) เนื่องจากรถเก่ามีค่าตรวจสภาพ ค่าซ่อม ภาษีรถยนต์ และค่าประกันภัยที่สูงขึ้นเรื่อยๆ ทำให้ผู้คนนิยมใช้รถยนต์แค่ไม่กี่ปีก็ขายรถ แล้วซื้อคันใหม่

อ่านเพิ่มเติม >>> 10 อันดับ รถที่ขายดีที่สุดในญี่ปุ่น ประจำปี 2019

แต่ในส่วนของรถ Kei Car (K-Car) นั้น หมายถึง Keijidōsha (軽自動車) หรือ รถขนาดเล็ก ซึ่งเป็นรถที่ได้รับความนิยมมากในญี่ปุ่น ตั้งแต่ช่วงหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 มียอดขายที่ถือว่าสูงมากๆ ต่อปี ด้วยอัตราภาษีที่ต่ำ หาที่จอดรถได้ง่าย รับกับถนนขนาดไม่ใหญ่นักของญี่ปุ่น (ซึ่งหากใครที่ซื้อรถยนต์ในญี่ปุ่น หากไม่มีที่จอด ซื้อไม่ได้นะจะบอกให้)

คุณสมบัติคร่าวๆ ของรถ K-Car หลักๆ ก็จะมีความยาวตัวรถที่ไม่เกิน 3.4 เมตร กว้างไม่เกิน 1.48 เมตร สูงไม่เกิน 2 เมตร มีเครื่องยนต์ขนาดไม่เกิน 660 ซีซี และแรงม้าไม่เกิน 64 แรงม้า และมีขายเฉพาะในญี่ปุ่นเท่านั้น แต่บ้านเราก็นิยมเอาเข้ามามาก ในช่วงรถจดประกอบกำลังบูม

ส่วนถ้าใครกำลังอยากขายรถคันเดิม เพื่อไปซื้อรถใหม่ป้ายแดงมาใช้ ลองมาขายกับ CARRO Express ดูสิ ได้เงินไว เร็ว พร้อมปิดการขายได้ทันที แค่คลิก https://th.carro.co/sell-car/express หรืออยากตีราคารถก่อน สามารถ Inbox สอบถามรายละเอียดได้ที่ Facebook CARRO Thailand

MR.CARRO ขอรวบรวมข้อมูล 5 อันดับ รถ Kei Car (K-Car) ขายดีที่สุดในญี่ปุ่น ประจำปี 2019 มาให้ทุกท่านได้อ่านกันต่อ..

Honda-N-Box-2020

1. Honda N-Box จำนวน 253,500 คัน

Honda N-Box (ฮอนด้า เอ็นบ็อกซ์) ถือเป็นรถ K-Car ที่ขายดีที่สุดในปี 2019 เลยก็ว่าได้ นับตั้งแต่เปิดตัวมาตั้งแต่เดือนกันยายน 2017 และปรับโฉมเล็กน้อยในปี 2019 ก็ยังขายดีอย่างต่อเนื่อง 3 ปีติดต่อกัน! โดยเป็นรถ Kei Car ที่คล้ายกับรถ MPV นิยมกันสำหรับคนมีครอบครัว ไปจนถึงรุ่นใหญ่ อายุ 40-50 ปี ซึ่งมีให้เลือกทั้ง N-Box และ N-Box Custom เอาใจวัยรุ่น

ขุมพลังมาพร้อมเครื่องยนต์เบนซินขนาด 658 ซีซี รหัส S07B ให้แรงม้าสูงสุดอยู่ที่ 58 แรงม้า ที่ 7,300 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 65 นิวตัน-เมตร ที่ 4,800 รอบ/นาที

และรุ่นเครื่องยนต์ Turbo ให้แรงม้าสูงสุดเป็น 64 แรงม้า ที่ 6,000 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 104 นิวตัน-เมตร ที่ 2,600 รอบ/นาที ส่งกำลังผ่านเกียร์อัตโนมัติ CVT อีกทั้งยังมีระบบขับเคลื่อน 4 ล้อ ให้เลือก

Daihatsu-Tanto-2020

2. Daihatsu Tanto จำนวน 175,292 คัน

Daihatsu Tanto (ไดฮัทสุ แทนโต) นี่ก็ถือว่าเป็นรถ K-Car ที่ขายดีของ Daihatsu นับตั้งแต่เปิดตัวมาในปี 2003 จวบจนถึงปัจจุบันที่เป็นเจเนอเรชั่น 4 แล้ว โดยเพิ่งเปิดตัวเมื่อเดือนกรกฎาคม 2019 ก็สามารถทำยอดขายขึ้นมายืนอันดับ 2 ได้แล้ว ซึ่งรุ่นนี้พัฒนาขึ้นบนพื้นฐานของ DNGA หรือ Daihatsu New Global Architecture ที่นำแนวคิดมาจาก Toyota นั่นเอง มีจุดเด่นอย่างประตูด้านหลังเป็นแบบบานเลือนไฟฟ้า

ขุมพลังมาพร้อมเครื่องยนต์เบนซินขนาด 658 ซีซี รหัส KF ให้แรงม้าสูงสุดอยู่ที่ 52 แรงม้า ที่ 6,900 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 60 นิวตัน-เมตร ที่ 3,600 รอบ/นาที

และรุ่นเครื่องยนต์ Turbo ให้แรงม้าสูงสุดเป็น 64 แรงม้า ที่ 6,400 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 100 นิวตัน-เมตร ที่ 3,600 รอบ/นาที ส่งกำลังผ่านเกียร์อัตโนมัติ CVT อีกทั้งยังมีระบบขับเคลื่อน 4 ล้อ ให้เลือก

Suzuki-Spacia-2020

3. Suzuki Spacia จำนวน 166,389 คัน

Suzuki Spacia (ซูซูกิ สปาเซีย) เป็นรถ K-Car เจเนอเรชั่นที่ 2 ด้วยรูปทรงแนวยอดนิยม ชูจุดเด่นอย่างประตูด้านหลังแบบบานเลื่อนไฟฟ้า จากค่าย Suzuki นี่ก็ติดอันดับต้นๆ ของเรื่องขายดีมาโดยตลอด นับตั้งแต่โฉมไมเนอร์เชนจ์ออกมาในเดือนกันยายน 2017 เน้นกลุ่มคนมีครอบครัว แม่บ้าน และวัยรุ่นขึ้นมาหน่อย หรือหนุ่มวัยเพิ่งทำงานก็ต้องเล่นรุ่น Spacia Custom

ขุมพลังมาพร้อมเครื่องยนต์เบนซินพลัง Hybrid ขนาด 658 ซีซี รหัส R06A ให้แรงม้าสูงสุดอยู่ที่ 52 แรงม้า ที่ 6,500 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 60 นิวตัน-เมตร ที่ 4,000 รอบ/นาที

และรุ่นเครื่องยนต์ Turbo Intercooler ให้แรงม้าสูงสุดเป็น 64 แรงม้า ที่ 6,000 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 98 นิวตัน-เมตร ที่ 3,000 รอบ/นาที ทั้ง 2 รุ่นส่งกำลังผ่านเกียร์อัตโนมัติ CVT พร้อมมอเตอร์ไฟฟ้าขนาด 3.1 แรงม้า อีกทั้งยังมีระบบขับเคลื่อน 4 ล้อ ให้เลือก

Nissan-Dayz-2020

4. Nissan Dayz จำนวน 157,349 คัน

Nissan Dayz (นิสสัน เดย์) รถทรงกล่องสุดน่ารัก ในรูปโฉมใหม่ล่าสุด เจเนอเรชั่นที่ 2 เปิดตัวไปเมื่อเดือนเมษายน 2019 ที่ผ่านมา สรางยอดขายได้น่าประทับใจ และยังเป็นคู่แฝดของ Mitsubishi eK อีกด้วย โดยรถรุ่นนี้ เน้นเจาะกลุ่มตลาดผู้หญิงมากกว่า มีให้เลือกถึง 3 แบบ นั่นคือ ได้แก่ Dayz, Dayz Highway Star และ Bolero

ขุมพลังมาพร้อมเครื่องยนต์เบนซินขนาด 659 ซีซี รหัส BR06 ให้แรงม้าสูงสุด 52 แรงม้า ที่ 6,400 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 60 นิวตัน-เมตร ที่ 3,600 รอบ/นาที ส่วนรุ่น S-Hybrid จะเพิ่มมอเตอร์ไฟฟ้าขนาด 2 กิโลวัตต์ เข้ามาด้วย

และรุ่นเครื่องยนต์ Turbo Hybrid ให้แรงม้าสูงสุด 64 แรงม้า ที่ 5,600 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 100 นิวตัน-เมตร ที่ 2,400-4,000 รอบ/นาที ส่งกำลังผ่านเกียร์อัตโนมัติ CVT อีกทั้งยังมีระบบขับเคลื่อน 4 ล้อ ให้เลือก

Daihatsu-Move-2020

5. Daihatsu Move จำนวน 122,835 คัน

Daihatsu Move (ไดฮัทสุ มูฟ) รถ K-Car รุ่นยอดนิยมของไดฮัทสุ นับตั้งแต่ออกมาในปี 1995 จนถึงปัจจุบันนับเป็นเจเนอเรชั่นที่ 6 ที่ออกมาตั้งแต่เดือนธันวาคม 2014 และปรับโฉมไมเนอร์เชนจ์ในเดือนสิงหาคม 2017 ก็ช่วยให้ยอดขายยังสามารถสู้กับรถ Kei Car รุ่นอื่นๆ ได้ในเวลานี้ ยังมีทั้งรุ่นเพื่อครอบครัวอย่าง Move และรุ่นเอาใจคนวัยทำงาน รักการแต่งรถ ชอบความสปอร์ตอย่าง Move Custom

ขุมพลังมาพร้อมเครื่องยนต์เบนซินขนาด 658 ซีซี รหัส KF ให้แรงม้าสูงสุด 52 แรงม้า ที่ 6,800 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 60 นิวตัน-เมตร ที่ 5,200 รอบ/นาที

และรุ่นเครื่องยนต์ Turbo สำหรับรุ่น Custom ให้แรงม้าสูงสุด 64 แรงม้า ที่ 6,400 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 92 นิวตัน-เมตร ที่ 3,200 รอบ/นาที ส่งกำลังผ่านเกียร์อัตโนมัติ CVT อีกทั้งยังมีระบบขับเคลื่อน 4 ล้อ ให้เลือก

MR.CARRO หวังว่า 5 อันดับ รถ Kei Car (K-Car) ขายดีสุดในญี่ปุ่นที่นำมาเสนอนั้น น่าจะกระตุ้นต่อมอยากได้กันน่าดูเลย แต่น่าเสียดาย ที่บ้านเราภาษีรถนำเข้ายังถือว่าสูง ปกติแล้วในญี่ปุ่น รถเหล่านี้ราคาอยู่ที่ประมาณ 1-2 ล้านเยน แต่เมื่อมาถึงไทยแล้ว รวมภาษีต่างๆ ราคาอยู่ที่ประมาณ 1 ล้านกว่าบาท ซึ่งคนไทยส่วนใหญ่ ก็ต้องฝันไปก่อนละกัน หรือจะไปเล่นรถ K-Car ที่เป็นรถจดประกอบเก่าจากญี่ปุ่นก็ได้

ซึ่งถ้าใครอยากขายรถตอนนี้ หรือกำลังตัดสินใจจะซื้อรถป้ายแดงอยู่พอดี แต่งบไม่พอ!  มาขายรถกับ CARRO Express สิ! หรือจะ Inbox มาขอรายละเอียดได้ที่ Facebook -> CARRO Thailand และ Add Line สอบถามรายละเอียดได้เช่นกัน ที่ @carrothai

และอีกหนึ่งบริการใหม่! CARRO Automall แหล่งรวมรถมือสองคุณภาพเยี่ยม ผ่านการตรวจสภาพแบบ Double Check รับประกันพร้อมโอนทุกคัน ฟรี! ค่าจัดโอน มีให้เลือกชมเพียบ เปิดบริการทุกวัน อยากซื้อรถคุณภาพเยี่ยม มาซื้อกับ CARRO Automall สิ!

หรือสนใจรถรุ่นไหนอยู่ แต่หาไม่ได้ สามารถสั่งตามออเดอร์ได้ที่นี้ > https://th.carro.co/buy-car หรือโทร. 02-508-8690 อีกทั้งยัง Inbox เข้ามาสอบถามก็ได้เช่นกันได้ที่ Facebook -> CARRO Automall – รถบ้านมือสอง หรือทาง Line เชิญเลยครับที่ @carroautomall

หมายเหตุ : ข้อมูลรถ K-Car 5 อันดับข้างต้นนี้ เป็นข้อมูลที่ Update ณ เดือนมกราคม 2563 เมื่อเวลาผ่านไป ราคาและอันดับดังกล่าวอาจมีการเปลี่ยนแปลงได้

แหล่งที่มาจาก :

10-Best-Selling-Cars-In-Japan

เป็นที่ทราบกันดีว่า “ญี่ปุ่น” เป็นประเทศที่มีอุตสาหกรรมยานยนต์อยู่ในอันดับต้นๆ ของโลก และมีแบรนด์รถยนต์ที่ขายรถยนต์มากเป็นอันดับต้นๆ ของโลกด้วยเช่นกัน รวมถึงในประเทศตัวเอง ญี่ปุ่นก็ยังนับได้ว่ามียอดขายรถที่มากติดอันดับโลก (ในปี 2019 มียอดขาย และจดทะเบียนรถในประเทศมากถึง 5,234,166 คัน! ซึ่งถ้าจะนับแค่ Toyota เจ้าเดียว ก็ปาเข้าไป 1,547,173 คันแล้ว!)

เนื่องจากรถยนต์ในญี่ปุ่นนั้น มีอายุการใช้งานที่ไม่มากนัก เพียงไม่กี่ปี จากอัตราภาษีที่ปรับสูงขึ้นเรื่อยๆ ตามอายุรถและค่าซ่อมรถที่ค่อนข้างแพง จึงทำให้มีการกระตุ้นยอดขายรถใหม่ไปในตัวตลอด แล้วรถใหม่ก็มีราคาจำหน่ายที่ไม่แพงมาก ผนวกกับค่าครองชีพของคนญี่ปุ่น ที่สูงเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว ก็สามารถซื้อรถยนต์คันใหม่ได้ไม่ยาก ยอดขายรถจึงค่อนข้างสูงหลายแสนคันต่อเดือน

ส่วนถ้าใครกำลังอยากขายรถคันเดิม เพื่อไปถอยรถใหม่ต้อนรับปี 2020 ลองมาขายกับ CARRO Express ดูสิ ได้เงินไว เร็ว พร้อมปิดการขายได้ทันที แค่คลิก https://th.carro.co/sell-car/express หรืออยากตีราคารถก่อน สามารถ Inbox สอบถามรายละเอียดได้ที่ Facebook CARRO Thailand

MR.CARRO ขอรวบรวมข้อมูล 10 อันดับ รถที่ขายดีที่สุดในญี่ปุ่น (ตามการจัดอันดับของสมาพันธ์ผู้ค้ารถยนต์แห่งประเทศญี่ปุ่น JADA (Japan Automobile Dealers Association) ซึ่งรถยนต์แบบ K-Car จะถูกจับแยกออกไปต่างหาก) ประจำปี 2019 มาให้ทุกท่านได้ทราบครับ.

Toyota-Prius-2020

1. Toyota Prius จำนวน 125,587 คัน

Toyota Prius (โตโยต้า พรีอุส) พูดไปแล้วก็แทบไม่น่าเชื่อเหมือนกัน ว่า Prius จะสามารถครองแชมป์รถขายดีที่สุดในญี่ปุ่นประจำปี 2019 ได้ ซึ่งสวนทางกับยอดขายทั่วโลกที่ร่วงลง จน Toyota แทบจะคิดว่าเลิกผลิตไปเลยดีมั้ย? นับตั้งแต่เปิดตัวเมื่อปี 1997 ด้วยรูปทรงที่สุดแหวกแนว มาพร้อมระบบขับเคลื่อนแบบ Hybrid AWD-i ขับสี่ล้อไฟฟ้า E-four ที่เป็นเทคโนโลยีใหม่

ติดตั้งเครื่องยนต์ Hybrid ขนาด 1.8 ลิตร รหัส 2ZR-FXE ให้แรงม้าสูงสุด 98 แรงม้า ที่ 5,200 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 142 นิวตัน-เมตร ที่ 3,600 รอบ/นาที พร้อมมอเตอร์ไฟฟ้าให้กำลังสูงสุด 72 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 162 นิวตัน-เมตร

Nissan-Note-2020

2. Nissan Note จำนวน 118,472 คัน

Nissan Note (นิสสัน โน๊ต) อาจจะไม่ประสบความสำเร็จในบ้านเรามากนัก แต่ในญี่ปุ่น รถรุ่นนี้ถือว่าขายดีมากเป็นอันดับต้นๆ ของทางนิสสันเลยทีเดียว สำหรับ Note รุ่นนี้ ยังมีตัวรุ่น e-Power พร้อมมอเตอร์ไฟฟ้าที่ใช้การชาร์จด้วยเครื่องยนต์ ที่ในบ้านเราก็จะมีโอกาสได้ใช้กันด้วย และยังมีตัวแต่งจัดเต็มอย่าง NISMO และ Autech ให้เลือกด้วย

มาพร้อมเครื่องยนต์เบนซินขนาด 1.2 ลิตร รหัส HR12DE ให้แรงม้าสูงสุด 79 แรงม้า ที่ 5,400 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 103 นิวตันเมตรที่ 3,600-5,200 รอบ/นาที ส่งกำลังผ่านเกียร์อัตโนมัติ CVT

ส่วนรุ่น NISMO (ที่ไม่ใช่ตัวขุมพลัง e-Power) ใช้เครื่องยนต์ขนาด 1.6 ลิตร รหัส HR16DE ให้แรงม้าสูงสุด 140 แรงม้า ที่ 6,400 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 163 นิวตัน-เมตร ที่ 4,800 รอบ/นาที โดยจะจับคู่กับเกียร์ธรรมดา 5 สปีด

และในรุ่น e-Power นั้น มาพร้อมเครื่องยนต์ขนาด 1.2 ลิตร รหัส HR12DE-EM57 ให้แรงม้าสูงสุด 79 แรงม้า ที่ 5,400 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 103 นิวตัน-เมตร ที่ 3,600-5,200 รอบ/นาที พ่วงมอเตอร์ไฟฟ้าให้กำลังสูงสุด 109 แรงม้า และแรงบิดสูงสุด 254 นิวตัน-เมตร ส่งกำลังผ่านเกียร์อัตโนมัติ CVT

Toyota-Sienta-2020

3. Toyota Sienta จำนวน 110,880 คัน

Toyota Sienta (โตโยต้า เซียนต้า) เจนเนอเรชั่นที่ 2

เจนเนอเรชั่นที่ 2 รถยอดนิยมของคุณแม่บ้าน และคนเพิ่งมีครอบครัว สำหรับเวอร์ชั่นไมเนอร์เชนจ์ญี่ปุ่นเปิดตัวไปในปี 2018 ปรับปรุงรูปโฉมใหม่ดูสปอร์ตยิ่งขึ้น และมีสีทูโทนให้เลือก พร้อมกับเพิ่มรุ่นเบาะนั่งแบบ 2 แถว 5 ที่นั่ง จากเดิมที่มีเฉพาะรุ่น 3 แถว 6 ที่นั่ง และ 7 ที่นั่ง กับระบบความปลอดภัย Toyota Safety Sense

เครื่องยนต์นั้นมีทั้งแบบเบนซิน และแบบไฮบริดให้เลือก โดยเครื่องยนต์เบนซินขนาด 1.5 ลิตร รหัส 2NR-FKE ให้แรงม้าสูงสุด 109 แรงม้า ที่ 6,000 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 136 นิวตัน-เมตร ที่ 4,400 รอบ/นาที ส่งกำลังผ่านเกียร์อัตโนมัติ Super CVT-i

และเครื่องยนต์ไฮบริดขนาด 1.5 ลิตร รหัส 1NZ-FXE ให้แรงม้าสูงสุด 74 แรงม้า ที่ 4,800 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 111 นิวตัน-เมตร ที่ 3,600-4,400 รอบ/นาที และมอเตอร์ไฟฟ้าที่ให้กำลังสูงสุด 61 แรงม้า แรงบิดสงสุด 169 นิวตัน-เมตร ส่งกำลังด้วยเกียร์อัตโนมัติ E-CVT

Toyota-Corolla-2020

4. Toyota Corolla จำนวน 104,406 คัน

Toyota Corolla (โตโยต้า โคโรลล่า) ต้องบอกได้ว่าลุคของ Corolla ใหม่ เจเนอเรชั่นที่ 12 นี้ ฉีกความอนุรักษ์นิยมเดิมๆ เรียบๆ เรื่อยๆ ของ Corolla Axio ทิ้งไปได้หมดจริงๆ สำหรับเวอร์ชั่นญี่ปุ่นที่ดูเปรี้ยวสุดๆ เจาะกลุ่มคนรุ่นใหม่ วัยทำงาน และยังมีรุ่น 5 ประตู Sport Hatchback ออกมาขายเช่นเคย

ขุมพลังของทั้งรุ่น Sedan และ Sport มีให้เลือก 2 รุ่นตั้งแต่เครื่องยนต์เบนซินขนาด 1.2 ลิตร Turbo รหัส 8AR-FTS ให้แรงม้าสูงสุด 116 แรงม้า ที่ 5,200-5,600 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 185 นิวตัน-เมตร ที่ 1,500-4,000 รอบ/นาที ส่งกำลังด้วยเกียร์ธรรมดา 6 สปีด แบบ iMT และเกียร์อัตโนมัติ CVT ที่สามารถล็อคอัตราทดได้ 10 สปีด

แบบเบนซินเพียวๆ ขนาด 1.8 ลิตร รหัส 2ZR-FAE ให้แรงม้าสูงสุด 140 แรงม้า ที่ 6,200 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 170 นิวตัน-เมตร ที่ 3,900 รอบ/นาที ส่งกำลังผ่านเกียร์อัตโนมัติ CVT

ส่วนขุมพลัง Hybrid ยกมาจาก Prius ขนาด 1.8 ลิตร รหัส 2ZR-FXE ให้แรงม้าสูงสุด 98 แรงม้า ที่ 5,200 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 142 นิวตัน-เมตร ที่ 3,600 รอบ/นาที พร้อมมอเตอร์ไฟฟ้าขนาด 72 แรงม้า ให้กำลังสูงสุดรวมทั้งระบบอยู่ที่ 122 แรงม้า ส่งกำลังผ่านเกียร์อัตโนมัติ E-CVT

Toyota-Aqua-2020

5. Toyota Aqua จำนวน 103,803 คัน

Toyota Aqua (โตโยต้า อควา) เคยนำเข้ามาขายในไทยในชื่อ Prius C (พรีอุสซี) เมื่อปี 2555 แต่ด้วยราคาที่สูงลิบ (1.33 ล้านบาท) จึงขายแทบไม่ได้จนต้องเลิกขายไป แต่ Aqua เป็นรถที่เคยขายดีที่สุดในญี่ปุ่น เมื่อปี 2014 แม้ว่าในปัจจุบันจะตกลงมาเป็นอันดับ 5 ก็ตาม โดยโฉมปัจจุบันเป็นตัวไมเนอร์เชนจ์ตั้งแต่ในปี 2017

ใช้ขุมพลังเครื่องยนต์ขนาด 1.5 ลิตร รหัส 1NZ-FXE ให้แรงม้าสูงสุด 74 แรงม้า ที่ 4,800 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 111 นิวตัน-เมตร ที่ 3,600-4,400 รอบ/นาที พร้อมมอเตอร์ไฟฟ้าขนาด 61 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 169 นิวตัน-เมตร ส่งกำลังผ่านเกียร์อัตโนมัติ E-CVT

Nissan-Serena-2020

6. Nissan Serena จำนวน 92,956 คัน

Nissan Serena (นิสสัน เซเรนา) รถ MPV ยอดนิยมสุดๆ ของคนญี่ปุ่นอีกหนึ่งรุ่น เพราะเคยติดอันดับรถขายดีที่สุดในญี่ปุ่นเมื่อปี 2018 ที่ผ่านมา กับการไมเนอร์เชนจ์ไปในช่วงปี 2019 มีให้เลือกทั้งแบบกึ่ง Hybrid และแบบ e-Power ที่นำเทคโนโลยีจาก Note มาใช้ และยังมีระบบขับเคลื่อนกึ่งอัตโนมัติ (ProPilot) เป็นรุ่นแรกในญี่ปุ่น

เครื่องยนต์ยังคงเป็นแบบเบนซินขนาด 2.0 ลิตร รหัส MR20DD ให้แรงม้าสูงสุด 150 แรงม้า ที่ 6,000 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 200 นิวตัน-เมตร ที่ 4,400 รอบ/นาที จับคู่มอเตอร์ไฟฟ้ารหัส SM24 ขนาด 2.6 แรงม้า ในแบบกึ่งไฮบริด เป็นระบบชดเชยกำลัง (Idling Stop) และชาร์จไฟกลับเมื่อยกคันเร่งออก รวมถึงช่วยเพิ่มแรงบิด ให้เครื่องยนต์ทำงานน้อยลงบางเวลา อัตราสิ้นเปลืองเฉลี่ย 17.2 กม./ลิตร

และในรุ่น e-Power นั้น มาพร้อมเครื่องยนต์ขนาด 1.2 ลิตร รหัส HR12DE-EM57 ให้แรงม้าสูงสุด 84 แรงม้า ที่ 6,000 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 103 นิวตัน-เมตร ที่ 3,200-5,200 รอบ/นาที พ่วงมอเตอร์ไฟฟ้าให้กำลังสูงสุด 136 แรงม้า และแรงบิดสูงสุด 320 นิวตัน-เมตร ส่งกำลังผ่านเกียร์อัตโนมัติ CVT ส่วนอัตราสิ้นเปลืองเฉลี่ยอยู่ที่ 26.2 กม./ลิตร

Toyota-Roomy-2020

7. Toyota Roomy จำนวน 91,650 คัน

Toyota Roomy (โตโยต้า รูมมี่) รถยอดนิยม รูปทรงแบบ Tall Boy ที่มาแทน Toyota bB (โตโยต้า บีบี) รุ่นก่อนหน้า ที่ยังมีคู่แฝด ในชื่อ Toyota Tank อีกด้วย เปิดตัวในปี 2016 เป็นรถที่นั่งได้ 5 ที่นั่ง ส่งกำลังด้วยเกียร์อัตโนมัติ CVT และมีระบบขับเคลื่อนสี่ล้อให้เลือก

ติดตั้งเครื่องยนต์เบนซินขนาด 1.0 ลิตร รหัส 1KR-FE ซึ่งให้แรงม้าสูงสุด 69 แรงม้า ที่ 6,000 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 92 นิวตัน-เมตร ที่ 4,400 รอบ/นาที
และในรุ่น Turbo Intercooler รหัส 1KR-VET ให้แรงม้าสูงสุด 98 แรงม้า ที่ 6,000 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 140 นิวตัน-เมตร ที่ 2,400-4,000 รอบ/นาที แรงเทียบเท่าเครื่องยนต์ขนาด 1.5 ลิตรที่ไม่มี Turbo

Toyota-Voxy-2020

8. Toyota Voxy จำนวน 88,012 คัน

Toyota Voxy (โตโยต้า วอกซี่) สำหรับเจเนอเรชั่นที่ 3 ของรถ MPV ขายดีฝั่ง Toyota อย่าง Voxy นับตั้งแต่เปิดตัวมาในปี 2017 ก่อนจะปรับโฉมไมเนอร์เชนจ์ในปี 2017 และยังมีคู่แฝดร่วมรุ่นอย่าง Noah และ Esquire ที่ในบ้านเราก็มีคนนำเข้ามาขายกันหลายคัน พร้อมติดตั้งระบบความปลอดภัยล่าสุดอย่าง Toyota Safety Sense C

เครื่องยนต์นั้นมีทั้งแบบเบนซิน และแบบไฮบริดให้เลือก โดยเครื่องยนต์เบนซินขนาด 2.0 ลิตร รหัส 3ZR-FAE ให้แรงม้าสูงสุด 152 แรงม้า ที่ 6,100 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 193 นิวตัน-เมตร ที่ 3,800 รอบ/นาที ส่งกำลังผ่านเกียร์อัตโนมัติ Super CVT-i

และเครื่องยนต์ไฮบริดขนาด 1.8 ลิตร รหัส 2ZR-FXE ให้แรงม้าสูงสุด 99 แรงม้า ที่ 5,200 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 142 นิวตัน-เมตร ที่ 4,000 รอบ/นาที และมอเตอร์ไฟฟ้าที่ให้กำลังสูงสุด 82 แรงม้า แรงบิดสงสุด 207 นิวตัน-เมตร ส่งกำลังด้วยเกียร์อัตโนมัติ E-CVT

Honda-Freed-2020

9. Honda Freed จำนวน 85,596 คัน

Honda Freed (ฮอนด้า ฟรีด) แม้ว่าจะเปิดตัวเจเนอเรชั่นที่ 2 ไปตั้งแต่ปี 2016 ที่ผ่านมา แต่กระแสตอบรับยังแรงต่อเนื่อง หนึ่งเดียวของฮอนด้า ที่ติดโผขายดีเป็นอันดับ 9 ในปี 2019 ที่ผ่านมา นับเป็นรถ Minivan MPV ขนาดเล็กที่ใช้พื้นฐานร่วมกับ Honda Fit และ Grace (หรือ Honda Jazz กับ City ในไทย) มีจำหน่ายทั้งรุ่น 5 ที่นั่ง และ 7 ที่นั่ง

ขุมพลังมีให้เลือกทั้งเบนซินและ Hybrid เริ่มจากเครื่องยนต์เบนซิน ขนาด 1.5 ลิตร DOHC i-VTEC ให้กำลังสูงสุด 129 แรงม้า ที่ 6,600 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 153 นิวตัน-เมตร ที่ 4,600 รอบ/นาที ส่งกำลังผ่านเกียร์อัตโนมัติ CVT

ในส่วนของเครื่องยนต์ Hybrid ทำงานคู่กันระหว่างเครื่องยนต์เบนซิน Atkinson Cycle ขนาด 1.5 ลิตร i-VTEC + ระบบ Hybrid แบบ Sport Hybrid i-DCD ให้แรงม้าสูงสุด 110 แรงม้า ที่ 6,000 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 134 นิวตัน-เมตร ที่ 5,000 รอบ/นาที พร้อมมอเตอร์ไฟฟ้าขนาด 29.5 แรงม้า ส่งกำลังผ่านเกียร์อัตโนมัติแบบคลัทช์คู่ 7 สปีด

Toyota-Vitz-2020

10. Toyota Vitz จำนวน 81,554 คัน

Toyota Vitz (โตโยต้า วิซ) น้องเล็กของ Toyota ที่เป็น Yaris ในตลาดโลก (แต่ในบ้านเรา กลับได้ Yaris เวอร์ชั่นจีนมาแทน) เพิ่งปรับโฉมโมเดลเชนจ์ไปเมื่อเดือนตุลาคม 2019 ที่ผ่านมา สามารถไต่ยอดขายได้เป็นไปอันดับ 10 ถือว่าน่าพอใจมากสำหรับรถเปิดตัวใหม่หมาดๆ เพราะในปี 2020 นี้ ยอดขายอันดับต้องพุ่งสูงขึ้นกว่านี้แน่นอน

โดยโฉมนี้ใช้แพลตฟอร์มใหม่อย่าง TNGA-B มาในรูปแบบสปอร์ต ภายในขับขี่ง่าย ใช้งานฟังก์ชั่นต่างๆ ได้ง่าย พร้อมระบบความปลอดภัยอย่าง Toyota Safety Sense ทุกรุ่นส่งกำลังด้วยเกียร์อัตโนมัติ Super CVT-i

เริ่มต้นด้วยเครื่องยนต์เบนซินขนาด 1.0 ลิตร รหัส 1KR-FE ให้แรงม้าสูงสุด 69 แรงม้า ที่ 6,000 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 92 นิวตัน-เมตร ที่ 4,300 รอบ/นาที

แบบเบนซินขนาด 1.5 ลิตร รหัส 1NR-FKE ให้แรงม้าสูงสุด 99 แรงม้า ที่ 6,000 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 121 นิวตัน-เมตร ที่ 4,400 รอบ/นาที ส่วนเครื่องยนต์รหัส 1NR-FE มี ให้แรงม้าสูงสุด 95 แรงม้า และแรงบิดสูงสุด 119 นิวตัน-เมตร

ส่วนขุมพลัง Hybrid มีขนาด 1.5 ลิตร รหัส 1NZ-FXE ให้แรงม้าสูงสุด 74 แรงม้า ที่ 4,800 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 111 นิวตัน-เมตร ที่ 3,600-4,400 รอบ/นาที พร้อมมอเตอร์ไฟฟ้าขนาด 61 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 169 นิวตัน-เมตร ส่งกำลังผ่านเกียร์อัตโนมัติ E-CVT

MR.CARRO หวังว่า 10 อันดับ รถขายดีสุดในญี่ปุ่นที่นำมาเสนอนั้น น่าจะถูกใจใครหลายๆ คนนะครับ ซึ่งถ้าใครอยากขายรถตอนนี้ หรือกำลังตัดสินใจจะซื้อรถป้ายแดงอยู่พอดี แต่งบไม่พอ! ขายรถคันเดิมของคุณกับทาง CARRO ดูได้ ลงประกาศขายรถฟรี โดยได้ราคาที่คุณพอใจ พร้อมปิดการขายภายใน 24 ชั่วโมง! กับ CARRO Express แค่คลิก https://th.carro.co/sell-car/express หรือจะ Inbox สอบถามรายละเอียดได้ที่ Facebook CARRO Thailand

และ Add Line สอบถามรายละเอียดได้เช่นกัน ที่ @Carrothailand คลิกที่นี่ —> เพิ่มเพื่อน

หมายเหตุ : ข้อมูลรถ 10 อันดับข้างต้นนี้ เป็นข้อมูลที่ Update ณ เดือนมกราคม 2563 เมื่อเวลาผ่านไป ราคาและอันดับดังกล่าวอาจมีการเปลี่ยนแปลงได้

แหล่งที่มาจาก :

What-Is-Glass-Coating

เคลือบแก้วรถยนต์คืออะไร ราคาเท่าไหร่..คำตอบอยู่ที่นี่

หนึ่งในปัญหาและความกังวลของคนที่รักรถนั่นก็คือ กลัวว่ารถยนต์สุดรักจะมีริ้วรอย ไม่ว่าจะเป็นรอยขีดข่วนจากการใช้งาน รอยเบียด รอยขนแมว หรือรอยที่เกิดจากอุบัติเหตุเล็กๆ น้อยๆ แต่นั่นทำให้เจ้าของรถต้องจิตตกและกังวลอยู่ไม่น้อย แถมยังต้องเสียเวลาไปซ่อมทำสีรถใหม่อีก

วันนี้ Roojai.com ประกันรถยนต์ออนไลน์รูปแบบใหม่ สามารถเลือกราคาเบี้ยประกันรถยนต์ได้เองผ่านเว็บไซต์ มีเรื่องราวดี ๆ มาแนะนำกันอีกเช่นเคย ซึ่งปัญหารถเป็นรอยมีวิธีป้องกันที่อยากจะแนะนำคือการนำรถไปเคลือบแก้วนั่นเอง เรามาทำความรู้จักกับการเคลือบแก้วรถยนต์กัน

What-Is-Glass-Coating

การเคลือบแก้วรถยนต์ (Glass Coating) คือ การเคลือบชั้นผิวของสีรถยนต์ สภาพเหมือนกับกระจกเงาใสที่มีความแข็งและหนา บนชั้นของ Clear Lacquer (ชั้นเคลือบตัวถังรถที่มาจากโรงงาน) เหนือชั้นสีของตัวรถ ซึ่งระดับความหนาของชั้นเคลือบจะมีระดับที่แตกต่างกัน โดยมีหลายระดับราคาและคุณภาพ (ตั้งแต่ 1 – 9 H) รวมถึงการให้บริการของแต่ละร้านอีกด้วย ซึ่งในสารเคลือบแก้วจะมีส่วนผสมของซิลิกา หรือ SI ที่เป็นชื่อทางวิทยาศาสตร์ เป็นสารสำคัญที่ทำให้สารเคลือบแก้วมีความแข็งแรง ไม่บดบังและหักเหแสง ทำให้สีรถไม่เปลี่ยน ยังคงสีเดิมทำให้ดูเหมือนใหม่ตลอดเวลา

ประโยชน์ของการเคลือบแก้ว คือป้องกันรถจากรอยขนแมว สะเก็ดหิน กิ่งไม้เกี่ยว และรอยขีดข่วนได้มากกว่าชั้นเคลือบตัวถังรถที่มาจากโรงงาน รวมทั้งลดการเกิดรอยด่างบนสีตัวถังรถที่เกิดจากคราบต่าง ๆ ทำให้ตัวถังรถยังมีความสดใสและเงางามอยู่เสมอ

เคลือบแก้วต่างจากเคลือบสีรถธรรมดาตรงไหน? อธิบายง่าย ๆ ว่า การเคลือบสีปกติจะเป็นการเคลือบสีระยะสั้น เมื่อใช้ไปนาน ๆ สีก็จะเริ่มซีดจาง ชั้นผิวจะบางและป้องกันรอยขีดข่วนได้น้อย แต่ถ้าเป็นเคลือบแก้ว ชั้นของผิวเคลือบจะหนาและแข็งกว่า ป้องกันรอยขีดข่วนและรักษาสภาพชั้นสีตัวถังได้ดีกว่า รวมทั้งมีความแวววาวมากกว่า และแน่นอนว่าเคลือบแก้วรถยนต์ย่อมมีราคาที่สูงกว่าอยู่พอสมควร

โดยการทำเคลือบแก้วนั้น ไม่ได้วัดกันที่ความหนาของการเคลือบว่าหนากี่ไมครอน (Micron) ตามที่เข้าใจกันมา เพราะที่จริงแล้วจะพิจารณาจากความแข็งแกร่งของสารที่นำมาใช้เคลือบแก้วเป็นหลัก รวมทั้งต้องดูคุณสมบัติเกี่ยวกับการปกป้องสีจริงของรถที่ออกมาจากโรงงานว่า สารที่ใช้เคลือบนั้นสามารถป้องกันสีจากแสงแดดได้หรือไม่ หรือเป็นเพียงแค่สารเคลือบชั้นผิวทั่วไป ที่ต้องถามเยอะ เพราะราคาค่าเคลือบแก้วรถยนต์โดยทั่วไปมีราคาหลักหมื่น เมื่อจ่ายเงินแล้วควรได้การป้องกันและความคุ้มค่ากลับมาด้วย

What-Is-Glass-Coating

การเคลือบแก้วรถยนต์มีกี่แบบ? หากแบ่งตามเทคนิคและวิธีการเคลือบแก้ว จะแบ่งออกเป็น 2 แบบ ดังนี้

การเคลือบแก้วแบบทา เป็นวิธีการเคลือบแบบดั้งเดิม ที่ยังคงใช้มาถึงปัจจุบัน ก่อนการทาสารเคลือบแก้ว ต้องมีการปรับผิวสีรถให้พร้อมก่อนการลงสารเคลือบ ทำให้วิธีแบบนี้จำเป็นต้องอาศัยช่างที่มีความชำนาญเป็นพิเศษ เพราะต้องทาสารเคลือบแก้วให้ทั่วพื้นผิวตัวถังรถยนต์ ต้องไม่บางและไม่หนาจนเกินไป เพื่อให้เกิดการยึดติดผิวสีและมีความหนาที่เหมาะสม

การเคลือบแก้วแบบพ่น เป็นการเคลือบแก้วที่ได้รับความนิยมในปัจจุบัน ถูกพัฒนามาจากแผนกพ่นสีรถยนต์ในโรงงานประกอบรถยนต์ ซึ่งมีวิธีการพ่นเช่นเดียวกับการพ่นสีรถยนต์ ทำให้สารเคลือบกระจายตัวไปบนพื้นผิวรถได้อย่างทั่วถึงและครอบคลุม มีการระเหยได้รวดเร็วโดยที่ไม่ต้องเช็ดของเหลวออก ซึ่งวิธีการเคลือบแบบนี้จะทำให้เกิดความคงทน มีความเงางาม สีตัวถังรถดูฉ่ำตลอดเวลา เป็นวิธีที่ได้มาตรฐานในการเคลือบแก้วรถยนต์มากที่สุด

เคลือบแก้ว ราคาเท่าไร? ราคาของการเคลือบแก้วรถยนต์มีหลายราคาตั้งแต่หลักพันไปถึงหลักแสนบาท ขึ้นอยู่กับผู้ให้บริการและผลิตภัณฑ์ที่นำมาใช้เคลือบ ซึ่งแบ่งออกเป็นหลายเกรดอีกเช่นกัน ถ้าจะแบ่งกลุ่มและราคาคงจะต้องอ่านกันตาแฉะ เอาเป็นว่าขอสรุปเอาไว้คร่าว ๆ อ้างอิงตามคุณภาพระดับมาตรฐานแล้วกัน

ราคาเคลือบสีรถ (ราคาแต่ละศูนย์ไม่เท่ากัน รวมทั้งราคาแพ็คเกจเคลือบต่างกัน)

ขนาดตัวถังรถ ราคา (บาท)
S, M, L 300-700
XL, XXL 500-900

ราคาเคลือบแก้วรถยนต์ (ราคาแต่ละศูนย์ไม่เท่ากัน รวมทั้งราคาแพ็คเกจเคลือบต่างกัน)

ขนาดตัวถังรถ ราคา (บาท)
S 15,000-30,000
M 20,000-35,000
L 25,000-40,000
XL 30,000-40,000
XXL 30,000-45,000

ทีนี้จะเห็นว่าราคามีความแตกต่างกัน เจ้าไหนราคาถูกหรือแพงเกินไป ต้องดูที่ความน่าเชื่อถือกันอีกด้วย ตอนนี้ไม่ยาก ลองค้นหาใน Google ก็จะมีชื่อศูนย์เคลือบแก้วขึ้นมามากมาย ควรเลือกศูนย์ที่มีชื่อเสียง เลือกใช้ผลิตภัณฑ์ที่มีคุณภาพ ซึ่งตรงนี้เช็คได้ไม่ยาก รวมทั้งต้องดูบริการหลังการขายควบคู่กันไปด้วย เพราะหากมีปัญหาเกี่ยวกับการเคลือบแก้ว จำเป็นจะต้องกลับไปแก้ไขที่ศูนย์เดิมที่ให้บริการ เนื่องจากถ้าเปลี่ยนร้าน ตัวน้ำยาที่ใช้อาจจะเป็นคนละยี่ห้อ จะทำให้สารเคลือบตัวถังรถมีปัญหาได้

โดยปกติแล้วราคาของการเคลือบแก้วจะมีราคาที่สูงกว่าการเคลือบสีธรรมดา เพราะการเคลือบแก้วจะมีรายละเอียดและขั้นตอนการทำมากกว่า ต้นทุนสูงกว่า ทำให้เป็นข้อสังเกตว่าถ้าราคาเคลือบแก้วสูงกว่าเคลือบแบบธรรมดาเพียงเล็กน้อย มีโอกาสที่จะได้รับการเคลือบที่ไม่ได้มาตรฐานก็เป็นได้ นอกจากนี้ เมื่อเคลือบแก้วรถยนต์แต่ละครั้ง จำเป็นจะต้องนำรถไปบำรุงรักษาทุก 6 เดือน จึงควรดูเรื่องของระยะเวลาการรับประกันเอาไว้ด้วย เพราะจะเป็นการการันตีคุณภาพของศูนย์ว่ามีคุณภาพและมาตรฐานการบริการเพียงใด

ทิ้งท้ายเอาไว้อีกสักนิด เผื่อคุณลูกค้าจะนำรถไปเคลือบแก้ว ต้องรู้จักวิธีการดูแลรักษาเอาไว้ด้วย ซึ่งก็ไม่ยาก เพียงแค่ล้างรถตามปกติ สามารถลงแว็กซ์เคลือบเงาได้ตามปกติ แต่ควรที่จะหลีกเลี่ยงการขัดสีรถด้วยเครื่องขัดสีรถแบบรอบสูงหรือการขัดด้วยน้ำยาขัดสีรถแบบที่มีส่วนผสมของผงขัด หรือ Compound เพราะจะทำให้สารที่เคลือบอยู่หลุดออกมาได้ด้วยเช่นกัน

และเพื่อความอุ่นใจ หากรถคุณเกิดอุบัติเหตุเล็ก ๆ จนทำให้เกิดรอยความเสียหายบนรถที่คุณรัก Roojai.com ประกันรถออนไลน์แนะนำว่า คุณควรหาประกันดีๆ ไว้ดูแล และพร้อมช่วยเหลือคุณ 24 ชม.

เช็คราคาประกันรถออนไลน์คลิก https://bit.ly/34raJcM

Siang-Kong-And-Car-Parts

ในการเดินทางจากบ้านเกิดของ “คนจีน” เข้ามายังอุษาคเนย์นั้น มีมานานหลายร้อยปีจนกระทั่งหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 ก่อนที่ประเทศจีนจะเป็นคอมมิวนิสต์ในปี 2492 มีคนจีนอพยพเข้ามาอาศัย และทำมาหากินอยู่ในแผ่นดินไทยมากพอสมควรเลยทีเดียว

เมื่อมาถึงสยามแล้ว ต่างคนก็ต่างประกอบอาชีพที่ตัวเองถนัด หรือมีญาติพี่น้องทำกันอยู่แล้ว บ้างก็หาโอกาสกระจายไปอยู่ตามจังหวัดต่างๆ ที่มีทางรถไฟผ่าน หรือมีการค้าขายที่สามารถตั้งตัวเป็นพ่อค้าคนกลางได้

Siang-Kong-And-Car-Parts

แต่ในมุมเล็กๆ ของย่าน Chinatown ของกรุงเทพฯ อีกมุมหนึ่ง ที่เรียกว่า “เซียงกง” หรือเรียกเพี้ยนไปเป็นคำว่า “เชียงกง” จะมีกลุ่มคนจีนที่ประกอบอาชีพค้าขายอะไหล่รถยนต์เก่า ขายจักรยานเก่า ตั้งแต่ช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 สิ้นสุดลง เนื่องจากมีรถที่ใช้ในสงครามปลดประจำการอยู่มาก จนธุรกิจขยายตัวต้องมีการนำเข้าอะไหล่จากประเทศญี่ปุ่น ซึ่งอะไหล่ใช้แล้วยังนำไปสร้างรถตุ๊กตุ๊ก รถอีแต๋น ได้อีกด้วย

MR.CARRO จะมาพูดถึง “เซียงกง” ครับ ว่าทำไม จากชื่อเทพ ถึงได้มาเป็นชื่อย่านขายอะไหล่รถเก่ากัน

Siang-Kong-And-Car-Parts

คำว่า เซียงกง มาจากภาษาจีนแต้จิ๋ว คำว่า 仙公 ถ้าแปลเป็นไทย ก็แปลว่า “ปู่เทวดา” ((เซียง) แปลว่า = เซียน ส่วน (กง) = แปลว่า ปู่ หรือสาธารณะ) เป็นชื่อของศาลเจ้าเซียงกงเกง (仙公宮) ที่ตั้งอยู่ถนนทรงวาด ใกล้เคียงกับซอยวานิช 2

ประวัติของศาลเจ้าเซียงกงเกง สร้างขึ้นเมื่อประมาณปี 2414 โดยชาวจีนฮกเกี้ยนที่อพยพเข้ามาในกรุงเทพฯ ร่วมกันสร้างศาลเจ้า และได้นำรูปปั้นของท่านจากมณฑลฮกเกี้ยน มาประดิษฐาน ณ ที่แห่งนี้

Siang-Kong-And-Car-Parts

ภาพจาก ลุงอ้า สุวิทย์ วงศ์รุจิราวาณิชย์

เนื่องจากในย่านรอบๆ ของศาลเจ้าเซียงกงเกง มีร้านขายของเก่า ขายอะไหล่รถยนต์ รถจักรยาน และอะไหล่เครื่องจักรต่างๆ มาก เมื่อคนจะไปซื้ออะไหล่ ก็มักจะเรียกติดปากกันว่า “ไปเซียงกง” ซึ่งคนในย่านนั้นรู้ว่าไปแถวๆ ศาลเจ้าแห้งนี้ พอนานๆ ไปเข้า คนส่วนใหญ่ จึงตีความหมายไปเป็นไปย่านซื้อขายอะไหล่รถเก่าไปแทน โดยน้อยคนนักที่จะนึกถึงชื่อ “เซียงกง” ในชื่อของศาลเจ้า นอกเสียจากว่าเป็นคนที่อยู่ในย่านนั้น

Siang-Kong-And-Car-Parts

และเมื่อในย่านไชน่าทาวน์ เริ่มมีความแออัดมากขึ้น จึงมีการย้ายเซียงกงออกไปเปิดกันใหม่ในย่านชานเมืองจุดต่างๆ เช่น เซียงกงรังสิต เซียงกงสวนหลวง, เซียงกงพระราม 3, เซียงกงบางนา, เซียงกงบางพลี หรือแม้กระทั่งในต่างจังหวัดก็มี

Siang-Kong-And-Car-Parts

สำหรับอะไหล่รถยนต์ที่มีขายตามเซียงกงในย่านต่างๆ โดยมากก็จะมีทั้งหน้าตัด ท้ายตัด แก้มข้าง ประตู ช่วงล่าง โช็คอัพ เครื่องยนต์ เกียร์ เพลาขับ หลังคา หลังคาซันรูฟ แผงคอนโซล พวงมาลัย เบาะนั่ง ท่อไอเสีย ล้อแม็ก ส่วนใหญ่จะนำเข้ามาจากญี่ปุ่น เพราะเป็นรถพวงมาลัยขวาเหมือนกัน และมีรุ่นที่ขายในบ้านเราเยอะ ซึ่งในญี่ปุ่นรถยนต์ถ้าเกิดอุบัติเหตุส่วนใหญ่มักไม่ซ่อม เพราะค่าใช้จ่ายแพง รวมถึงอายุการใช้งานของรถที่น้อย อะไหล่ที่แยกชิ้นส่วนขายส่วนใหญ่จึงมีสภาพที่ดี ราคาไม่แพงนัก

Siang-Kong-And-Car-Parts

แต่บางส่วนก็มีการนำเข้ามาจากสิงคโปร์ ไต้หวัน ฮ่องกง หรือไกลหน่อยอย่างสหรัฐอเมริกาก็มี

และนี่อาจเรียกได้ว่าเป็นหนึ่งในคำภาษาแต้จิ๋ว ที่คนไทยรู้จักกันดีอีกหนึ่งคำ ที่จากชื่อศาลเจ้า กลายมาเป็นคำไทยโดยมีความหมายไปในทางธุรกิจ รวมไปถึงการเปรียบเปรยเกี่ยวกับของเก่า อะไหล่เก่า อีกด้วย!

ส่วนถ้ารถใครที่ใช้บริการอะไหล่จากเซียงกงบ่อยแล้ว อยากขายรถคันเดิมเพื่อเปลี่ยนรถคันใหม่ สามารถมาขายได้ที่ CARRO Express คลิกที่นี่ https://th.carro.co/sell-car/express หรือจะ Inbox มาขอรายละเอียดได้ที่ Facebook CARRO Thailand ครับ

แหล่งที่มาบางส่วนจาก:

10-Bridges-From-Surname-In-Thailand

คุณเคยสังเกตหรือไม่ว่า เวลาขับรถไปไหนมาไหน มักจะมีชื่อถนน ชื่อสะพาน ที่หลายคนอาจสงสัย ว่ามันมีที่มาอย่างไร?

นับตั้งแต่ในอดีตที่บ้านเราเริ่มจะสร้างถนน สร้างสะพานข้ามคลองต่างๆ กันอย่างจริงจังในรัชกาลที่ 4, รัชกาลที่ 5 มาจนถึงปัจจุบัน ก็จะมีการใช้พระนาม นาม หรือชื่อ-นามสกุล ของสามัญชน หรือบุคคลสำคัญ ที่อาจจะเป็นผู้บริจาคที่ดินอุทิศให้ หรือบริจาคเงินอุทิศให้ เพื่อประโยชน์ของประชาชนโดยทั่วไปในการสัญจร หรือดำรงอยู่ในตำแหน่งหน่วยงานที่รับผิดชอบในการสร้าง

หากใครที่อยากขายรถคันเดิม แบบได้เงินเร็วไว ไม่ต้องเสียเวลาประเมินราคาขายเอง หรือต้องรอจนกว่าจะมีคนมาซื้อรถได้ Carro ขอแนะนำ Carro Express เรารับซื้อรถทุกแบบ ได้ที่ Link นี้ครับ https://th.carro.co/sell-car/express หรืออยากตีราคารถอีกครั้ง สามารถ Inbox สอบถามรายละเอียดได้ที่ Facebook CARRO Thailand

เวลาผ่านไปยาวนาน จนอาจทำให้คนลืมเลือนไปถึงที่มาที่ไปได้ Mr.Carro ขอนำความรู้ใหม่ๆ มาฝากกัน

สะพานเนาวจำเนียร

1. สะพานเนาวจำเนียร

สะพานเนาวจำเนียร เป็นสะพานข้ามคลองบางหลวงในทางหลวงแผ่นดินสายกรุงเทพฯ-นครปฐม (ปัจจุบัน คือ ช่วงถนนอินทรพิทักษ์ บรรจบกับถนนเพชรเกษม) ตั้งชื่อตามนามสกุลของนายมงคล เนาวจำเนียร ซึ่งเป็นผู้อำนวยการก่อสร้างสะพานนี้

นายมงคล เนาวจำเนียร (2447 – 2533) สำเร็จการศึกษาวิชาวิศวกรรมโยธาจากประเทศอังกฤษ เดิมนายมงคลรับราชการในกรมรถไฟ ต่อมาย้ายไปปฏิบัติราชการที่กรมทางหลวง และได้เป็นผู้อำนวยการก่อสร้างสะพานนี้

สะพานภาณุพันธุ์

2. สะพานภาณุพันธุ์

สะพานภาณุพันธุ์ เป็นสะพานที่อยู่ในย่าน Chinatown เป็นสะพานที่ข้ามคลองรอบกรุง ช่วงคลองโอ่งอ่างหรือคลองบางลำพู ตั้งอยู่ปลายสุดของถนนเยาวราช ตัดกับถนนพีระพงษ์ ถนนจักรเพชร และถนนมหาไชย

สร้างขึ้นเมื่อปี 2442 โดยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว พระราชทานนามให้ว่า “สะพานภาณุพันธุ์” เพื่อเป็นเกียรติแก่สมเด็จพระราชปิตุลาบรมพงศาภิมุข เจ้าฟ้าภาณุรังษีสว่างวงศ์ กรมพระยาภาณุพันธุวงศ์วรเดช องค์ผู้ทรงเป็นสมเด็จพระอนุชา อันเนื่องจากพระองค์ทรงประทับอยู่ ณ วังบูรพาภิรมย์ ที่อยู่ใกล้เคียง และเป็นต้นราชสกุล “ภาณุพันธุ์”

โดยระยะแรกเป็นสะพานโครงเหล็กเช่นเดียวกับสะพานในยุคนั้น ต่อมาในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว ได้โปรดเกล้าฯ ให้สร้างสะพานขึ้นใหม่ โดยมีโครงสร้างของคอนกรีตเสริมเข้าไป แต่ยังคงชื่อเดิมไว้

ปัจจุบัน ได้ขึ้นทะเบียนเป็นโบราณสถานระดับชาติ โดยอยู่ในความดูแลของกรุงเทพมหานคร ตั้งแต่ปี 2547

สะพานเดชาติวงศ์

3. สะพานเดชาติวงศ์

สะพานเดชาติวงศ์ เป็นสะพานที่ข้ามแม่น้ำเจ้าพระยา เชื่อมถนนพหลโยธิน ที่หลักกิโลเมตรที่ 340 ก่อนเข้าสู่ใจกลางเมืองนครสวรรค์ ซึ่งกรมทางหลวงได้เริ่มก่อสร้างในปี 2485 และเปิดให้ใช้งานครั้งแรกในปี 2493

ซึ่งชื่อของสะพานนั้น มาจากนามสกุลของ พันตรี หม่อมหลวงกรี เดชาติวงศ์ อธิบดีกรมทางหลวงในสมัยนั้น

ในปัจจุบัน สะพานเดชาติวงศ์จะเปิดใช้งานเพียง 2 สะพาน คือ สะพานเดชาติวงศ์ 2 และ 3 ส่วนสะพานเดชาติวงศ์ 1 ทางจังหวัดนครสวรรค์เปิดไว้เป็น สะพานประวัติศาสตร์ ใช้ในการจัดงานต่างๆ ของจังหวัด หรือเปิดให้ใช้งานได้ในกรณีฉุกเฉิน เป็นต้น

สะพานธนะรัชต์

4. สะพานธนะรัชต์

สำหรับสะพานธนรัชต์ มาจากนามสกุลของ จอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ อดีตนายกรัฐมนตรี สร้างขึ้นเมื่อปี 2503 หลังจากเกิดไฟไหม้เมืองราชบุรี ซึ่งเคยเกิดเหตุไฟไหม้ใหญ่ด้วยกันถึง 2 ครั้ง ในปี 2499 และปี 2503

จอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ จึงมีคำสั่งให้สร้างสะพานธนะรัชต์ขึ้น และเปิดใช้ในปี 2504 เนื่องจากตอนที่เกิดเหตุไฟไหม้ รถดับเพลิงเข้าไปยังพื้นที่ได้ลำบาก ไม่สามารถเข้าดับไฟได้ทันที รวมถึงเรือดับเพลิงซึ่งลอยลำเรืออยู่ริมแม่น้ำแม่กลอง ก็ไกลจากที่เกิดเหตุ

สะพานติณสูลานนท์

5. สะพานติณสูลานนท์

สะพานติณสูลานนท์ เป็นสะพานคอนกรีตที่ยาวที่สุดในประเทศไทย มีความยาวของสะพาน 2 ช่วงแรก 940 เมตร และ 1,700 เมตร ตามลำดับ รวมเป็น 2,640 เมตร ก่อสร้างขึ้นในสมัย ฯพณฯ พลเอกเปรม ติณสูลานนท์ ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี

ในปี 2524 โดยรัฐบาลในยุคนั้น มีนโยบายพัฒนาจังหวัดสงขลา และ อำเภอหาดใหญ่ ให้เป็นเมืองหลัก โดยกรมทางหลวงเป็นเจ้าของโครงการ และบริษัทจากประเทศไต้หวัน เป็นผู้ก่อสร้าง เปิดใช้เมื่อวันที่ 9 ธันวาคม 2527

ตัวสะพานอยู่ใน อ.เมืองสงขลา และ อ.สิงหนคร โดยเชื่อมเกาะยอ 2 ด้าน ระหว่างฝั่งบ้านน้ำกระจาย อ.เมืองสงขลา และบ้านเขาเขียว อ.สิงหนคร ถือเป็นส่วนหนึ่งของทางหลวงแผ่นดินหมายเลข 408 ซึ่งเชื่อมต่อระหว่างทางหลวงแผ่นดินหมายเลข 414 กับทางหลวงแผ่นดินหมายเลข 407 (สงขลา-หาดใหญ่) ชาวจังหวัดสงขลานิยมเรียกสะพานนี้ติดปากว่า “สะพานป๋าเปรม” “สะพานติณ” หรือ “สะพานเปรม” นับเป็นสถานที่ท่องเที่ยวแห่งหนึ่งที่ขึ้นชื่อของจังหวัด

สะพานสารสิน

6. สะพานสารสิน

สะพานสารสิน เป็นสะพานที่เชื่อมระหว่างจังหวัดพังงากับจังหวัดภูเก็ต ตั้งชื่อตามนามสกุลของ นายพจน์ สารสิน ซึ่งขณะนั้นดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการกระทรวงพัฒนาการแห่งชาติ เริ่มสร้างครั้งแรกตั้งแต่ปี 2494 โดยให้บริษัทรับเหมาก่อสร้างมาสร้าง แต่มีปัญหาจึงหยุดไป

ต่อมาในปี 2508 จึงได้เริ่มลงมือก่อสร้างอีกครั้งโดยบริษัท Christiani & Nielsen (Thailand) Ltd. มีความยาวทั้งหมด 660 เมตร เปิดใช้งานได้ในวันที่ 7 กรกฎาคม 2510 ใช้งบประมาณทั้งหมด 28,770,000 บาท

สะพานวุฒิกุล

7. สะพานวุฒิกุล

สะพานวุฒิกุล เป็นสะพานข้ามแม่น้ำปิง ที่ อ.วังเจ้า จังหวัดตาก ในเส้นทางหลวงหมายเลข 104 ต่อเชื่อมทางหลวงหมายเลข 1 ตั้งเพื่อเป็นเกียรติแก่ นายอุทัย วุฒิกุล อธิบดีกรมทางหลวงท่านที่ 10 เป็นนายช่างใหญ่ผู้ควบคุมงาน

ตัวสะพานได้รับการสร้างใหม่อีกครั้งในปี 2496 โดยใช้สะพานโค้งคอนกรีตเสริมเหล็กแบบเดิม ช่วงประมาณ 50 เมตรเช่นเดิม เป็นแต่ว่าตัวตอม่อได้รับการออกแบบใหม่ เป็นตอม่อวางอยู่บนกลุ่มเสาเข็มแทน

ส่วนการก่อสร้างสะพานโค้งช่วง 50 เมตร มีเทคนิคพิเศษโดยการอัดแรงดันที่ยอดโค้ง ซึ่งก็เป็นวิธีช่วยลดแรงถีบของโค้งและบิดตัวพื้นสะพานให้โก่งขึ้น ช่วยให้คานรับพื้นสะพานรับน้ำหนักน้อยลง

สะพานพิบูลสงคราม

8. สะพานพิบูลสงคราม

สะพานพิบูลสงคราม แน่นอนเลยว่ามาจาก จอมพล ป.พิบูลสงคราม อดีตนายกรัฐมนตรีของไทยแน่นอน เป็นสะพานข้ามคลองบางซื่อ บนถนนประชาราษฏร์สาย 1 ซึ่งคาดว่าถือกำเนิดขึ้นพร้อมๆ กับถนนสายนี้

สำหรับสะพานแห่งนี้ ตั้งอยู่ใกล้กับอดีตที่ทำงานของ จอมพล ป.พิบูลสงคราม ที่เคยสังกัดอยู่ นั่นคือ กองพลทหารปีนใหญ่ต่อสู้อากาศยาน (หรือ กรม ปตอ.)

สะพานเปี่ยมพงศ์สานต์

9. สะพานเปี่ยมพงศ์สานต์

สะพานเปี่ยมพงษ์สานต์ เป็นสะพานคอนกรีต ที่สร้างข้ามแม่น้ำระยองใกล้ๆ กับสะพานไม้ รถยนต์สามารถแล่นไปมาได้ เริ่มสร้างประมาณปี 2495 – 2497

ผู้ที่มีบทบาทสำคัญในการสร้างสะพานนี้ก็คือ นายเสวตร เปี่ยมพงศ์สานต์ ในขณะนั้นดำรงตำแหน่งเป็นรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง และเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฏรจังหวัดระยอง เพื่อเป็นเกียรติแก่ นายเสวตร เปี่ยมพงศ์สานต์ จึงตั้งชื่อสะพานนี้ว่า “สะพานเปี่ยมพงศ์สานต์”

สะพานเกิ๊ทเช

10. สะพานเกิ๊ทเช (Gottsche)

หลายคนงงแน่ ทำไมในไทย ถึงมีชื่อสะพานแปลกๆ แบบนี้ด้วย?

สะพานเกิ๊ทเช อยู่บนถนนทางรถไฟสายเก่าปากน้ำ ตรงแยกปากซอยถนนศิริราษฎร์ศรัทธา ซอย 1 ที่คอสะพานทั้งฝั่งซ้าย-ขวา จะมีแผ่นป้ายโลหะเล็กๆ (วงกลมในภาพ) ฝั่งซ้ายสลักอักษรไทยว่า ที.เอ. เกิ๊ทเช / 14-5-2425 / 1-1-2474 ส่วนที่ฝั่งขวา สลักเป็นอักษรอังกฤษว่า T.A. GOTTSCHE / 14-8-1882 / 1-4-1931

ย้อนไปเมื่อครั้งเริ่มมีการเดินรถไฟสายปากน้ำเมื่อ ร.ศ.112 หรือปี 2436 มีนายกลผู้ควบคุมรถไฟคนแรก เป็นชาวเดนมาร์ก ชื่อ T.A. Gottsche เป็นอดีตนายทหารคุมป้อมผีเสื้อสมุทร ได้เริ่มเข้าทำงานในบ้านเราเมื่อ 14-5-2425 และเกษียณอายุเมื่อ 1-1-2474 เป็นเวลาที่ทำงานในประเทศไทย 50 ปีเต็ม มีภรรยาเป็นคนไทยชาวปากน้ำ

ต่อมาได้รับพระราชทานชื่อและตำแหน่งเป็น ขุนบริพัตรโภคกิจ และได้รับนามสกุลพระราชทานเป็น คเชศะนันทน์ เนื่องจากคุณความดีที่ท่านทำไว้ให้ชาวปากน้ำ

เหล่าชาวบ้านจึงร่วมแรงร่วมใจกันสร้างสะพานเล็กๆ บริเวณใกล้ๆ บ้านพักของท่าน แล้วเรียกสะพานนี้ว่า สะพานเกิ๊ทเช

บางคนเห็นเวลาบนแผ่นโลหะระหว่างเวลาไทย กับเวลาฝรั่ง มันไม่ตรงกัน คือ เวลาที่เริ่มเข้ามาทำงาน ของไทยสลักว่า 14-5-2425 แต่ของฝรั่งสลักว่า 14-8-1882

ส่วนเวลาที่เกษียณของไทยสลักว่า 1-1-2474 ส่วนของฝรั่งสลักว่า 1-4-1931 จะเห็นว่าตรงตัวเลขหลักกลางที่เป็นตำแหน่งของเดือนมันไม่ตรงกัน นั่นเป็นเพราะแต่ก่อนเรานับเอาเดือนเมษายน (เดือนที่ 4) เป็นเดือนแรกของปีไทย เดือนที่สลักของไทยกับของฝรั่งก็เลยเหลื่อมกันอยู่ จริงแล้วมันคือเดือนเดียวกั

อันนี้แถมให้ …

สะพานพรหมโยธี

11. สะพานพรหมโยธี

สะพานแห่งนี้หลายคนลืมเลือนกันไปหมดแล้ว สำหรับ “สะพานพรหมโยธี” เป็นสะพานข้ามคลองสามเสน อยู่ช่วงระหว่างถนนราชวิถี และถนนดินแดง เป็นสะพานที่คาดว่าน่าจะมีในช่วงที่ จอมพล ป. พิบูลสงคราม สร้างทางด้วยดินลูกรังจากปลายถนนราชวิถีตัดกับถนนราชปรารภ ไปตามถนนดินแดง และสร้างต่อไปจนถึงบริเวณโรงเรียนพร้อมพรรณในปัจจุบัน

มีที่มาจากนามสกุลของ หลวงพรหมโยธี หรือ มังกร พรหมโยธี อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงกลาโหม และอดีตรัฐมนตรี

สะพานปรีดี-ธำรง

12. สะพานปรีดี-ธำรง

สะพานแห่งนี้ เป็นการนำชื่อ และ นามสกุล ของ 2 บุคคลมารวมกัน โดยเป็นสะพานคอนกรีตข้ามแม่น้ำป่าสัก เข้าเกาะเมืองอยุธยา แห่งแรก สร้างขึ้นเมื่อปี 2483 สะพานยาว 168.60 เมตร สร้างเสร็จและเปิดใช้เมื่อวันที่ 14 กรกฎาคม 2486 ซึ่งตรงกับวันเกิดของ จอมพล.ป พิบูลสงคราม นายกรัฐมนตรีในขณะนั้น

โดยมอบหมายให้นาวาเอก ถวัลย์ ธำรงนาวาสวัสดิ์ รัฐมนตรีกระทรวงยุติธรรมมาเป็นประธานพิธีเปิดสะพาน นายกรัฐมนตรีให้ชื่อสะพานนี้ว่า “สะพานปรีดี-ธำรง” เพื่อเป็นอนุสรณ์แก่ชาวอยุธยา ที่ได้เป็นผู้บริหารประเทศทั้งสองคน คือ นายปรีดี พนมยงค์ และพลเรือตรี หลวงธำรงนาวาสวัสดิ์

Carro Express ขายรถกับคาร์โร อยากขายรถ ขายรถด่วน

สำหรับใครที่อยากขายรถคันเดิม ไปซื้อรถยนต์คันใหม่มาใช้ในช่วงนี้ มาขายรถกับทาง Carro Express สิ! คลิกเลยที่ https://th.carro.co/sell-car/express รับรองได้เงินเร็ว ไว ทันใจแน่นอน!

CARRO Automall

ส่วนใครสนใจจะซื้อรถมือสอง Carro แหล่งรวมรถมือสองคุณภาพเยี่ยมผ่านระบบออนไลน์ คุณสามารถจองรถได้ในเวลาเพียง 1 นาทีเท่านั้น! พร้อมคำนวณสินเชื่อและค่างวด ได้ภายในเว็บไซต์ทันที!

ซึ่ง Carro เรามีรถให้คุณเลือกมากมาย รถทุกคันผ่านการตรวจสภาพโดย Carro Certified อย่างละเอียดแบบ Double Check มากกว่า 160 จุด, การันตีคืนเงินภายใน 5 วัน, รับประกันเครื่องยนต์และเกียร์ 1 ปี, รับประกันไม่กรอไมล์ และไม่ประสบอุบัติเหตุหนัก ไฟไหม้ หรือน้ำท่วม พร้อมรับประกันคุณภาพรถ 1 ปี หรือ 30,000 กิโลเมตร!

อีกทั้งยังมีเทคโนโลยี “360 View & Sound Engine Analysis” เลือกชมรถยนต์เสมือนจริงออนไลน์รายแรกในไทย ทั้งภาพและเสียงในรูปแบบ 360 องศา รวมถึงมีเทคโนโลยีสนับสนุนฝ่ายขาย ทั้ง Digital Device ที่เชื่อมต่อกับ Digital Screen นำเสนอสิ่งที่ลูกค้าต้องการ และจัดการเรื่องเอกสารให้กับลูกค้าให้ตั้งแต่ต้นจนจบ บวกกับ Online Viewing Service ที่ลูกค้าสามารถวิดีโอคอล ตรวจสภาพรถยนต์คันที่สนใจได้แบบเรียลไทม์ ซื้อรถคุณภาพเยี่ยม ต้องที่ Carro สิ!

หรือถ้าหากคุณสนใจรถรุ่นไหนอยู่ แต่ยังหาที่ถูกใจไม่ได้ เรายินดีหาให้! เพียงกรอกชื่อ-เบอร์โทรศัพท์ และรถที่คุณสนใจ ไว้ที่ “รับการแจ้งเตือน” เมื่อมีรถที่คุณต้องการ Carro จะรีบติดต่อไปยังคุณทันที สอบถามรายละเอียดได้ที่ Facebook -> Carro Thailand โทร. 02-460-9380 หรือทาง Line @carrothai

แหล่งที่มาบางส่วนจาก:

New-Year-Car-Care-Resolutions

หลังจากพักผ่อนอย่างหนำใจในช่วงหยุดยาวปีใหม่กันแล้ว บางคนเลือกที่จะพักผ่อนอยู่บ้าน บางคนเลือกขับรถยนต์ออกไปเดินทางท่องเที่ยว แต่พอกลับมาถึงที่พักของเรากลับพบมองว่ารถยนต์ของเรานั้นสกปรกและสภาพดูไม่ได้เลย แบบนี้เราต้องทำอย่างไรให้กลับมาสะอาดเหมือนเดิมนะ

ดังนั้น เพื่อให้รถยนต์คันคู่โปรด คู่ใจของเรากลับมาสวยงาม เหมือนวันที่แรกที่เราซื้อรถยนต์ masii เลยนำเคล็ดลับวิธีการดูแลง่ายๆ ให้คงสภาพใหม่เอี่ยมพร้อมใช้งานอยู่ตลอดเวลามาฝากกันจ้า

กลับมาดูแลรถให้เหมือนใหม่ ต้อนรับปีใหม่กัน

New-Year-Car-Care-Resolutions

ยาง

ยางรถยนต์เป็นส่วนที่สำคัญมากส่วนหนึ่ง นอกจากจะช่วยให้เราสามารถขับขี่รถยนต์ได้ลื่นไหลและนุ่มนวล อีกทั้งยังช่วยในเรื่องของความปลอดภัยให้เราอีกด้วยนะ ซึ่งวิธีดูแลยางนั้นสามารถทำได้ง่ายดาย เพียงหมั่นเช็กและเติมลมยางให้สม่ำเสมอ เติมลมให้พอดี แค่นี้ก็ช่วยป้องกันการสึกหรอของยางได้ดี และคงสภาพรถยนต์ให้เหมือนใหม่ได้

น้ำมันเครื่อง

น้ำมันเครื่องก็เป็นส่วนสำคัญไม่แพ้กับยางรถยนต์ เพราะว่าน้ำมันเครื่องมีหน้าที่หล่อลื่น และช่วยระบายความร้อน แต่หลายๆ คนมักจะไม่สนใจในการถ่ายเปลี่ยนน้ำมันเครื่องกัน ถ้าหากยิ่งทิ้งไว้นานจะยิ่งทำให้เครื่องยนต์เสื่อมสภาพด้วยนะ

ทำความสะอาด

ฤกษ์งามยามดีต้อนรับต้นปี 2020 ด้วยการล้างรถยนต์ทำความสะอาดกันเถอะ นอกจากภายนอกรถยนต์ของเราที่ดูสะอาด สบายตาแล้ว ภายในรถก็ควรดูสะอาด ไม่ให้ฝุ่นเข้ามากระจายตัวอยู่ทั่วภายในเรา โดยหลักๆ วิธีการดูแลจะประกอบไปด้วย

  • ใช้เครื่องดูดฝุ่นทำความสะอาด
  • ผ้าชุบน้ำหมาดๆ ทำความสะอาด
  • ใช้ผลิตภัณฑ์ช่วยทำความสะอาด

New-Year-Car-Care-Resolutions

เข้าศูนย์คาร์แคร์

วิธีที่รวดเร็วและสบายใจเราได้มากที่สุด คงหนีไม่พ้นสำหรับการนำรถยนต์ของเราเข้าไปทำความสะอาดที่คาร์แคร์ เพราะคาร์แคร์จะช่วยดูแลรถยนต์ของเราให้สะอาดสะอ้านเหมือนใหม่ อีกทั้งยังสามารถตรวจเช็กสภาพของรถยนต์ของเราได้อีกด้วยนะคะ

จริงๆ แล้วการทำประกันก็ช่วยเพิ่มความอุ่นใจให้เราเสมอทุกๆ การเดินทางได้เช่นกันนะคะ ถ้าเกิดอุบัติเหตุอะไรขึ้นมาอย่างน้อยประกันก็ช่วยคุ้มครองค่าใช้จ่ายเบื้องต้น คลิกที่นี่ เพื่อเช็กเบี้ยประกันได้ทันที มีข้อมูลอยากสอบถามโทรเข้ามาที่ 02-710-3100

ขอขอบคุณบทความดีๆ จาก www.masii.com

How-Do-You-Care-A-Black-Car

รถสีดำ ถือเป็นสีที่ได้รับความนิยมมากของคนไทย เพราะดูหรู ดูแพงกว่ารถสีอื่นๆ แต่ใช่ว่าจะรถยนต์สีดำจะดูแลแบบไหนก็ได้นะครับ หากดูแลผิดวิธี อาจเกิดรอยเด่นชัด จนดูโทรมแทนที่จะดูหรูก็เป็นได้

งั้นวันนี้ เราขอแนะนำ 5 วิธีง่ายๆ ดูแลรถสีดำให้เงางามสวยน่าขับขี่กัน

Review-Toyota-Vios-Gen3

รอยขนแมว ศัตรูร้ายของรถสีดำ

หลายคนอาจคิดว่าถึงรถยนต์สีดำสกปรกก็เห็นไม่ชัดเจนเท่ากับสีอื่นๆ อาจจะไม่จำเป็นต้องดูแลสีรถยนต์มากมายก็ได้ แต่จริงๆ แล้ว
ศัตรูตัวร้ายของรถสีดำก็คือรอยขีดข่วน ที่เราเรียกกันว่า “รอยขนแมว” นั่นเอง ซึ่งเกิดจากการดูและรถที่ผิดวิธี งั้นวิธีดูแลอย่างถูกวิธีมีอะไรบ้าง ไปดูกัน

1. เป่าฝุ่น ปัดฝุ่นให้หมดก่อนจะเช็ด

เริ่มการดูแลรถยนต์สีดำด้วยการเป่าหรือปัดฝุ่นให้หมด เพราะการเช็ดทั้งๆ ที่ยังไม่ได้เป่าฝุ่นหรือกรวดออกก่อนนั้น จะทำให้ฝุ่นและกรวดที่อยู่บนรถครูดไปกับผิวรถ จนทำให้เกิดรอยขนแมวที่เช็ดไม่ออกบนตัวรถ ดังนั้น ต้องเป่าฝุ่น ปัดฝุ่นให้หมดก่อนจะเช็ดนะครับ

2. ใช้น้ำชโลมรอบคันก่อนล้าง

แม้จะปัดฝุ่นออกไปแล้ว แต่อาจมีคราบโคลนที่แห้งกรังยังอยู่ โดยให้เราใช้สายยางฉีดน้ำให้รอบคันไปเรื่อยๆ เพื่อล้างฝุ่นและคราบโคลนออกไปนะครับ ในบริเวณที่คราบติดแน่นกว่าส่วนอื่น เทคนิคคือ ให้ฉีดแนวแทยง คราบโคลนจะหลุดง่ายขึ้นครับ

Washing-Car-And-Hot-Brakes

3. ผสมน้ำยาล้างรถกับน้ำอุ่น

ถึงขั้นตอนการทำความสะอาดดูแลรถยนต์สีดำแล้วครับ โดยให้เราล้างถังที่เราใช้ผสมน้ำยาก่อนหนึ่งรอบนะครับ เพื่อล้างเศษกรวดเศษหินที่อยู่ในถังออกไปก่อน ไม่อย่างนั้นที่ทำมาตั้งแต่ข้อ 1 นี่เสียเปล่าเลยนะครับ

จากนั้นให้นำน้ำยาล้างรถโดยเฉพาะผสมกับน้ำอุ่น ไม่ควรใช้สบู่ หรือน้ำยาล้างจานนะครับ เพราะอาจมีส่วนผสมบางอย่างที่ทำลายสีรถของเราได้

4. อย่าปล่อยให้รถแห้งเอง

เมื่อเราล้างและดูแลรถสีดำเรียบร้อยแล้ว อย่าปล่อยให้รถแห้งเองนะครับ เพราะการปล่อยให้รถแห้งเองจะทำให้เกิดรอยคราบน้ำที่ผิวรถ ให้เราใช้ผ้าไมโครไฟเบอร์ หรือผ้านวมเช็ดรถ เช็ดทำความสะอาดรถให้แห้งนะครับ

MG-HS-2019

5. เคลือบแว๊กซ์ เคลือบแก้ว

ถือเป็นขั้นกว่าของการดูแลรถสีดำครับ เพราะการเคลือบแว๊กซ์ หรือการเคลือบแก้ว จะทำให้รถของเรา ดูสีดำเงางามเหมือนเพิ่งออกมาจากศูนย์เลย และยังช่วยปกป้องรถของเรา จากรอยขีดข่วนได้ดีในระดับหนึ่งเลยครับ

โดยถ้าใครนิยมเคลือบแว๊กซ์ ให้เราใช้เคลือบอย่างน้อยอาทิตย์ละครั้ง แต่ถ้ามีทุนหน่อย ก็ลงทุนเคลือบแก้วไปเลยก็ดีครับ

และนี่ก็คือ วิธีดูแลรถสีดำให้เงางามเหมือนใหม่ เพียงทำตามวิธีที่เรานำมาเสนอ รับรองว่า รถสีดำสุดรักของเรา จะสวยงามเหมือนใหม่เลยครับ

ขอบคุณข้อมูลดีๆ จาก Frank.co.th ประกันที่รวดเร็ว เรียบง่าย และจริงใจกับคุณ