ขับรถเที่ยวไทยแก้ปีชง ต้องที่ไหน

ขับรถเที่ยวไทยแก้ปีชง ต้องที่ไหน ?

ด้วยความที่ปีนี้ตรงกับปีกุน (ปีหมู) ตามความเชื่อของชาวจีนจะถือในเรื่องของปีชง คนที่เกิดในช่วงปีชงจะต้องทำบุญเสริมดวงชะตาให้เป็นสิริมงคล และหากใครกำลังมองหาสถานที่แก้ปีชงกับ 5 สถานที่แก้ปีชงในไทย อยากพาครอบครัวออกเที่ยว อ่านตามนี้เลย

1. วัดมังกรกมลาวาส กรุงเทพ

วัดจีนย่านเยาวราช สถานที่แก้ชงยอดฮิตอันดับหนึ่งในกรุงเทพ เป็นวัดจีนแต้จิ๋วที่มีศิลปะสวยงาม ภายในวัดจะเป็นที่ประดิษฐานพระพุทธเจ้า พระโพธิสัตว์ และเทพเจ้าที่สำคัญของชาวจีน เทพเจ้าไท้ส่วยเอี้ย, เทพเจ้าไฉ่ซิ้งเอี๊ยะ, เทพเจ้าเฮ่งเจีย และพระเมตไตรยโพธิสัตว์ หรือแม่กวนอิมผู่สัก

วิธีการบูชาบริเวณด้านหน้าวัดจะมีที่สำหรับจุดธูป เทียน ถวายดอกไม้ และอื่น ๆ ไว้ให้แล้ว แต่ถ้าอยากจะเตรียมของไหว้เพิ่มเติมก็สามารถนำมาถวายได้นะ เช่น ส้มมงคล  ขนมจันอับ ขนมเปี๊ยะ ขนมถ้วยฟู หรือน้ำมันตะเกียง เปิดทุกวัน ตั้งแต่เวลา 06.00-18.00 น.

2. วัดมังกรบุปผาราม จันทบุรี

ขับรถเที่ยวไทยแก้ปีชงแนะนำอีกที่ คือ วัดมังกรบุปผาราม จังหวัดจันทบุรี จะอยู่ตรงบริเวณ อ.แหลมสิงห์ เป็นวัดคู่บ้านคู่เมืองของคนไทยเชื้อสายจีนมายาวนาน แวะสักการะวิหารท้าวจตุโลกบาลทั้งสี่  มีซุ้มประตูทางเข้าตามศิลปะแบบจีน และวงเวียนน้ำพุอันสวยงาม และวิหารกวนซีอิมผ่อสัก วิหารตี่จั่งอ้วงผ่อสัก พระกวนอิมปางพันมือพันตา และพระโพธิสัตว์ต่างๆ คนปีชงร่วมสามารถมาทำบุญ เพื่อเสริมโชคชะตาให้กับชีวิตได้

ส่วนวิธีการไหว้จะเรียงลำดับทั้งหมด 17 จุด ซึ่งทางวัดได้เรียงลำดับตัวเลขไว้ตามจุดต่าง ๆ ให้แล้ว เชื่อว่าถ้าไหว้ครบทุกจุดจะได้รับพลังบุญยิ่งใหญ่ ช่วยแก้เคล็ด เสริมบารมี จึงเหมาะมากกับคนที่เกิดปีขาลที่ชงเรื่องของเคราะห์กรรม จะช่วยเปลี่ยนร้ายให้กลายเป็นดี

ทั้งนี้ทางวัดยังมีพิธีทำบุญถือศีลอีกด้วยนะ ใครที่อยากจะมานั่งสมาธิ หรือกำลังอยู่ในช่วงถือศีล ก็หาเวลาไปไหว้กันได้

3. วัดวิหารจีนห้วยบง เชียงใหม่

สำหรับคนที่กำลังจะขับรถออกเที่ยวเหนือ เที่ยวแก้ปีชงวัดห้วยบง อำเภอพร้าว จังหวัดเชียงใหม่ได้เช่นกัน ทั้งวัดสร้างด้วยสถาปัตยกรรมจีน อยู่บนทำเลไหล่เขา หากมองลงไปจะเห็นวิวธรรมชาติสวยงาม

ส่วนตรงบริเวณบันไดทางขึ้นจะมีรูปปั้นสิงโต 2 ตัวขนาดใหญ่คอยคุ้มครอง ด้านภายในจะประดิษฐานองค์ปุงเถ่ากง-ม่า เจ้าแม่กวนอิม ไฉ่ซิงเอี้ย ฮั่วท้อเซียนซือ เฮี้ยงเทียนเซียงตี่ และเทพเจ้าต่างๆ

รวมถึงพระพุทธรูปที่วางเรียงกันยาวอีกหลายองค์  จึงเป็นวัดที่มองแล้วสวยสะดุดตามาก บริเวณรอบนอกวิหารจะค่อนข้างกว้าง สะอาด และเงียบสงบ เหมาะมากกับผู้ที่ต้องการมานั่งสมาธิ เปิดทุกวัน ตั้งแต่ 08.00-17.00 น.

4. ศาลเจ้าปึงเถ่ากงม่า ขอนแก่น

พาเที่ยวอีสานบ้างกับขับรถไหว้แก้ชง ณ ศาลเจ้าปึงเถ่ากงม่า อำเภอเมือง จังหวัดขอนแก่น เชื่อกันว่าเป็นเทพเจ้าแห่งการค้าขาย ช่วยคุ้มครองให้อยู่เย็นเป็นสุข ร่ำรวยเงินทอง หยิบจับอะไรก็ไม่ติดขัด แนะนำให้ลองมากราบไหว้กันสักครั้ง

สามารถนำมาถวายเป็นพวก หมู เป็ด ไก่ ไข่ต้ม ขนม ผลไม้ กระดาษเงิน กระดาษทอง และน้ำชา เพื่อให้มีอยู่ มีกิน ค้าขายเจริญรุ่งเรือง ติดต่อเจรจาเป็นไปอย่างราบรื่น หรือจะเติมน้ำมันพืชในตะเกียงของศาลเจ้า ช่วยให้ชีวิตรุ่งเรืองยิ่งขึ้น

5. ศาลเจ้าจุ้ยตุ่ย ภูเก็ต

นอกจากขับรถลงทางใต้สัมผัสกับทะเลชายหาดสวย อย่าลืมแวะไหว้ศาลเจ้าจุ้ยตุ่ย หรือจุ้ยตุ่ยเต้าโบ้เก้ง ในอำเภอเมือง จังหวัดภูเก็ต นิยมนำสิ่งของ เครื่องใช้ ข้าวสาร น้ำมันมะพร้าว ขนมลูกเต๋า ขนมเปี๊ยะ ดอกไม้ ธูปเทียน มาถวายในศาล พร้อมกราบไหว้เจ้าแม่กวนอิม และทำพิธีสะเดาะเคราะห์ สามารถขอพรด้านสุขภาพเป็นหลัก และที่วัดแห่งนี้ยังขึ้นชื่อของยาจีนรักษาโรค จะมีรายละเอียดบอกสรรพคุณของยาจีนสามารถนำกลับต้มที่บ้านได้ด้วย

และทั้งหมดก็เป็น 5 สถานที่น่าขับรถเที่ยวแก้ปีชงทั่วไทย หากกำลังวางแพลนเที่ยวหยุดยาว หรือมีโอกาสขับรถเที่ยวแต่ไม่รู้จะไปไหน ก็สามารถเดินทางตามรอยพิกัดที่เล่ามานี้ได้เช่นกัน

ขอบคุณข้อมูล Frank.co.th

rabbit finance x Carro | เผย 4 เทคนิค วิธีเลือกซื้อประกันรถยนต์ให้รถมือสอง

รถมือสองควรซื้อประกันรถยนต์ประเภทไหนดี ?

เศรษฐกิจไม่ดี ที่บ้านมีฐานะพอมีพอกิน อยากมีรถสักคัน จะไปถอยรถใหม่ป้ายแดงเลยคงจะไม่ไหว งานนี้คงต้องไปซื้อรถมือสองแทนซะและ ว่าแต่ซื้อรถมือสองอย่างนี้ควรซื้อประกันรถยนต์หรือไม่ ? แล้วประกันรถยนต์ก็มีหลายแบบ หลายประเภท รถมือสองแบบนี้ควรซื้อประกันรถอันไหนดี?

ใครที่มีคำถามในส่วนนี้อยู่ละก็ วันนี้เราจะมาบอกเคล็ดลับการเลือกประกันรถยนต์สำหรับรถมือสองมาฝาก จะต้องซื้อประกันตัวไหน ตามไปดูพร้อมกันเลยค่ะ

ตั้งงบสำหรับซื้อประกันรถยนต์

จะทำประกันรถยนต์ต้องดูเรื่องงบของเราเป็นหลัก

อย่างแรกเรามาคุยกันก่อนค่ะ ว่าหลักๆ แล้วเราต้องดูอะไรในการตัดสินใจเลือกทำประกันรถยนต์ให้กับรถมือสองกันบ้าง ซึ่งเราสามารถเเบ่งเป็น 4 ข้อหลักๆ ดังนี้ค่ะ

1. เรื่องงบสำหรับประกันรถยนต์

อย่างแรกเลยที่เราต้องดูก็คือ เรื่องงบในส่วนของประกันรถยนต์ ในเมื่อเราซื้อรถยนต์มือสอง งบของเราก็คงไม่สูงมากใช่ไหมคะ เพราะฉะนั้นเรื่องงบสำหรับการซื้อประกันรถเราก็ต้องมาคิดให้ถี่ถ้วน

ทั้งเรื่องความคุ้มครอง ควรเลือกความคุ้มครองของกรมธรรม์ประกันรถยนต์อันไหนถึงจะเหมาะกับรถยนต์ของเรา และสไตล์การขับรถของเรา เพื่อให้เกิดความคุ้มค่าที่สุด

และอีกสิ่งที่ห้ามลืมเลยก็คือ เรื่องเบี้ยประกันที่เราต้องเสีย เพราะคุณต้องจ่ายเบี้ยประกันไปอีกหลายปีนะคะ

ซื้อประกันรถยนต์ ช่วยดูแลคุ้มครองเรา

พรบ. ประกันภาคบังคับ ความคุ้มครองไม่ครอบคลุมเท่าประกันรถยนต์

2. อย่าลืม พรบ.

ปกติแล้วรถยนต์ทุกคันจะต้องมี “ประกันภัยพระราชบัญญัติคุ้มครองผู้ประสบภัยจากรถ” หรือที่เราคุ้นชื่อกันคือ “พรบ.” ซึ่ง พรบ. นี้ ก็คือเป็นประกันภัยภาคบังคับ ที่ผู้มีรถทุกคนจะต้องทำ หากไม่ทำหรือไม่มีการต่ออายุ จะมีโทษทางกฎหมาย อาจได้รับโทษปรับสูงสุดถึง 10,000 บาท

ซึ่ง พรบ. นี้จะให้การชดใช้เงินจำนวนหนึ่งกับบุคคลภายนอกที่ได้รับความเสียหายที่เกิดกับชีวิต ร่างกาย หรือทรัพย์สินของบุคคลภายนอก อันเนื่องจากการกระทำของผู้เอาประกันภัย

ในเมื่อเรามี พรบ. ประกันภัยภาคบังคับแล้วที่พอจะคุ้มครองได้บ้างส่วนหนึ่ง ดังนั้นความคุ้มครองส่วนที่เหลือที่คุณคิดว่า พรบ. ไม่ครอบคลุมก็ค่อยทำประกันรถยนต์มาช่วยคุ้มครอง

สภาพรถช่วยเราตัดสินใจซื้อประกันรถยนต์ได้

สภาพรถของเราเหมาะกับประกันรถยนต์ประเภทไหน

3. รถมีสภาพอย่างไร

มาถึงขั้นตอนที่เราต้องประเมินแล้วค่ะว่ารถยนต์มือสองของเรา เหมาะกับประกันรถยนต์ชั้นไหน โดยปกติแล้วประกันรถยนต์มีด้วยกัน 5 แบบ ได้แก่ ประกันรถยนต์ชั้น 1, ประกันรถยนต์ชั้น 2+, ประกันรถยนต์ชั้น 2, ประกันรถยนต์ชั้น 3+ และ ประกันรถยนต์ชั้น 3

ซึ่งประกันรถยนต์แต่ละประเภทก็มีความคุ้มครอง และเบี้ยประกันรถยนต์ที่ต่างออกไป โดยประกันรถยนต์ที่ให้ความคุ้มครองสูงสุด และเบี้ยประกันที่แพงที่สุด ก็คือ ประกันรถยนต์ชั้น 1 รองลงมาก็เป็นประกันรถยนต์ชั้น 2+ และไล่ลงมาตามลำดับ

เมื่อเราพอจะทราบรายละเอียดความคุ้มครองและเบี้ยประกันแบบคร่าวๆ แล้ว ทีนี้เรามาดูสภาพรถยนต์ของเรากันดีกว่า

  • รถมือสองสภาพนางฟ้า

ถ้ารถมือสองของคุณยังมีสภาพนางฟ้า ผ่านการใช้งานเพียงไม่เท่าไหร่ เครื่องยนต์ยังพร้อมใช้งาน ดูแล้วไม่น่ามีปัญหา บอกเลยงานนี้ต้องจัดประกันรถยนต์ชั้น 1 เพราะความคุ้มครองประกันนี้มีความเหมาะสม เปรียบเทียบประกันดีๆ รับรองได้ประกันรถชั้น 1 ในราคาเบี้ยที่คุ้มค่าค่ะ

  • รถมือสองไม่ใหม่มาก แถมมีงบน้อย

หากรถของคุณมีสภาพที่ไม่ใหม่มาก แต่ก็ไม่เก่าเกินไป สภาพรถผ่านการใช้งานมาพอสมควร ถ้ารถของคุณมีสภาพเช่นนี้ แนะนำให้ทำประกันรถยนต์ ชั้น 2+, ประกันรถยนต์ชั้น 2, ประกันรถยนต์ชั้น 3 หรือประกันรถยนต์ชั้น 3+ ก็ย่อมได้

ฝีมือการขับรถช่วยเราตัดสินใจซื้อประกันรถยนต์ได้

ทักษะการขับรถก็เป็นตัวตัดสินให้เราเลือกประกันรถยนต์ได้

4. ฝีมือการขับรถ

อย่างถัดไปที่ต้องดูก็คือ ฝีมือการขับรถของเรา หากคุณมีความเชี่ยวชาญในการขับรถมาก เรียกว่าน้อยครั้งมากที่จะเกิดอุบัติเหตุ แนะนำให้ทำประกันรถยนต์ที่มีความคุ้มครองไม่สูงมาก เบี้ยประกันไม่สูงมาก เป็นการประหยัดเงินไปได้ส่วนหนึ่งเลยค่ะ

แต่ถ้าคุณไม่มั่นใจในฝีมือการขับรถ มักเกิดอุบัติเหตุอยู่บ่อยครั้ง ถ้าอย่างงี้ต้องจัดประกันที่ให้ความคุ้มครองสูง ซึ่งความคุ้มครองสูงขนาดนี้เบี้ยประกันก็สูงตามไปด้วย เพื่อตอบโจทย์การขับขี่ของคุณนั่นเอง

ทั้ง 4 ปัจจัยที่กล่าวไปล้วนเป็นเหตุผลที่ช่วยให้คุณตัดสินใจทำประกันรถสำหรับรถมือสองโดยเฉพาะ ซึ่งถ้าคุณยังตัดสินใจเลือกซื้อประกันรถยนต์สำหรับรถมือสองไม่ได้ละก็ ทางเราแนะนำประกันรถยนต์ชั้น 2+ ก็เป็นประกันที่ให้ความคุ้มครองที่ครอบคลุม แถมเบี้ยประกันก็เอื้อมถึง รับรองประกันชั้นนี้ตอบโจทย์รถมือสองแน่นอนค่ะ

Driving-Reverse-Technique

ขับรถถอยหลัง สิ่งที่มือใหม่หัดขับ ต้องหมั่นฝึกซ้อมเยอะๆ …

เวลาขับรถไปไหนมาไหน คุณเคยสังเกตรถยนต์รอบข้างของคุณบ้างไหมว่า เรามีลักษณะ ท่าทางการขับรถเป็นแบบไหน … จริงอยู่ที่เวลาขับรถไปข้างหน้า ใครๆ ก็ขับได้ไม่ยาก ใช้เวลาไม่นานก็ทำความคุ้นเคยแล้ว

แต่ถ้าหากเป็นการขับรถถอยหลัง เวลาจะจอดรถล่ะ? อันนี้สิ เวลาผมไปตามศูนย์การค้า (ในลานจอดรถ) ด้วยแล้ว เห็นการถอยรถเข้าซองของหลายคนแล้ว รู้สึกเก้ๆ กังๆ อย่างบอกไม่ถูก กะระยะไม่พ้นบ้างล่ะ ถอยไปเบียดกับเสา หรือเบียดกับรถที่จอดอยู่บ้างล่ะ กลายเป็นเกิดปัญหา ต้องเสียเวลาและเสียเงินไปอีก

ทีนี้เรามาดูกันครับว่า ขับรถถอยหลังอย่างไร ถึงจะปลอดภัยทุกสถานการณ์ …

Driving-Reverse-Technique

เราควรรู้ตั้งแต่ต้นว่า จะถอยหลังเป็นแนวตรงอย่างเดียว หรือจะต้องเลี้ยวซ้ายหรือเลี้ยวขวาด้วย ถ้า ต้องถอยเป็นแนวตรงอย่างเดียว ใช้มือขวาจับพวงมาลัยในตำแหน่ง 12 ถึง 3 นาฬิกา แล้วแต่ความถนัดของแต่ละคน

ถ้าจะต้องเลี้ยวไปทางซ้ายมือของตัวรถ ก็ต้องหมุนพวงมาลัยไปทางซ้ายหรือทวนเข็มนาฬิกา ให้จับพวงมาลัยด้านขวาล่าง คือตำแหน่ง 3 ถึง 5 นาฬิกา ถ้าจะต้องเลี้ยวไปทางขวาของตัวรถ จับพวงมาลัยที่ตำแหน่ง 10 ถึง 12 นาฬิกา เพื่อให้หมุนพวงมาลัยได้มาก โดยไม่ต้องขยับมือ

ถ้าแน่ใจว่าต้องเลี้ยวมุมแคบ ให้ใช้ฝ่ามือกดพวงมาลัยไว้ขณะหมุน นิ้วมือทุกนิ้วเหยียดตรงหมด เพื่อให้หมุนพวงมาลัยแบบวนได้ถนัด

Driving-Reverse-Technique

กรณีของรถรุ่นเก่า ที่ไม่มีกล้องมองภาพถอยหลัง เริ่มแรกให้ตั้งลำรถให้ดี ใช้มือซ้ายเข้าเกียร์ถอยหลัง แล้วมองไปที่กระจกมองข้าง ซ้าย-ขวา และกระจกมองหลัง ดูว่ามีสิ่งกีดขวางอยู่หรือไม่ แต่อย่ามองค้าง! จากนั้น ยกแขนซ้ายไปวางที่เบาะหลัง ด้านพนักพิงศีรษะคนนั่ง เอาฝ่ามือโอบด้านข้างพนักพิงศีรษะไว้ แล้วหันศีรษะไปด้านหลังให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ เพื่อให้สามารถมองด้านท้ายของรถได้มากที่สุด ถอยรถอย่างช้าๆ ด้วยความระมัดระวัง

ส่วนแขนขวาก็หมุนพวงมาลัยไปด้วย เมื่อคืนพวงมาลัยให้ตรง ก็ต้องหมุนให้เร็วกว่าปกติหน่อย รถจึงจะเข้าอยู่ในตำแหน่งที่เราต้องการ

ส่วนรถที่ไม่มีพวงมาลัยเพาเวอร์ ซึ่งพวงมาลัยค่อนข้างหนัก ต้องออกแรงหมุนพวงมาลัยด้วยมือทั้งสองข้าง ไม่ต้องเอาแขนซ้ายไปวางที่พนักพิงศีรษะ แต่ขณะถอยและเลี้ยว ก็ยังต้องหันศีรษะไปทางด้านหลังให้มากที่สุดอยู่ดี เพื่อความปลอดภัย

Driving-Reverse-Technique

ส่วนรถที่มีกล้องมองภาพถอยหลัง ก่อนจะถอยรถ ให้มองไปที่กระจกมองข้าง ซ้าย-ขวา และกระจกมองหลังว่า มีสิ่งกีดขวางอยู่หรือไม่ จากนั้นใช้มือซ้ายเข้าเกียร์ถอยหลัง แล้วค่อยๆ ถอยช้าๆ ดูภาพจากในจอบนแผงคอนโซลไปด้วย โดยอย่ามองค้าง! ให้สลับด้วยการหันศีรษะไปมองด้านท้ายด้วย เพื่อความปลอดภัยอีกขั้น ถอยรถอย่างช้าๆ ด้วยความระมัดระวัง

หากมีเซ็นเซอร์ถอยหลังด้วย ก็จะช่วยให้จอดรถได้อย่างมั่นใจมากขึ้น (เพราะยิ่งใกล้กับสิ่งกีดขวางเมื่อไหร่ เสียงเตือนก็จะดังถี่ขึ้นเรื่อยๆ)

ส่วนการถอยรถในท่านั่งขับปกติ มองเพียงแค่กระจกมองข้าง และกระจกมองหลังสลับกันไป หลายคนทำวิธีแบบนี้ ถือว่า “ผิด” นะครับ เพราะนี่เป็นวิธีขับรถถอยหลังของคนขับรถสิบล้อ หรือคนขับรถเมล์ครับ เพราะเขาไม่สามารถมองไปด้านหลังได้ นอกจากพึ่งกระจกมองข้างทั้งสองด้าน หรือกระจกมองหลังเท่านั้น ดังนั้น คนขับรถสิบล้อ หรือคนขับรถเมล์ จึงไม่ถอยรถแต่เพียงลำพัง แต่จะต้องมีผู้ช่วยลงไป “ให้สัญญาณ” ตอนกำลังถอยรถอยู่ด้วยเสมอ

Driving-Reverse-Technique

ส่วนวิธีจอดรถ ที่นิยมปฏิบัติในต่างประเทศ คือ การขับรถเอาหน้าเข้าไปจอดด้านในเลย และถอยหลังออกเมื่อต้องการออกจากช่องจอด แต่ที่ไม่สามารถทำได้ในบ้านเราได้ เพราะพื้นที่จอดรถมันแคบ ยิ่งเวลาไปตามห้างสรรพสินค้าส่วนใหญ่ในบ้านเรา (ที่ไม่ใช่แบบลานจอดรถกลางแจ้ง) การเอาหน้ารถเข้าบางทีก็ลำบาก ต้องตีวงกว้างๆ อีก จึงนิยมถอยหลังเอาหน้ารถออกมากกว่า

เมื่อคุณเจอที่จอดรถว่างแล้ว หากคุณจะนำรถเข้าไปจอด ควรเปิดไฟเลี้ยวบอก ให้คนที่ขับรถตามมาได้รู้ มองกระจกมองข้าง กระจกมองหลัง แล้วก็ค่อยๆ ขับรถเข้าไปจอด ส่วนตอนออกรถก็ค่อยๆ ถอยรถอย่างช้าๆ ออกไปจนพ้นช่องจอดรถ ไม่ต้องเปิดไฟฉุกเฉินนะครับ เขาเห็นแต่ไกลแล้วว่าเรากำลังถอยรถ และยังมีไฟถอยหลังให้เห็นอีก

Driving-Reverse-Technique

เอาละครับ เมื่อทราบถึงวิธีการถอยรถ เพื่อจอดรถอย่างถูกต้องแล้ว ก็ควรปฏิบัติกันตามนี้นะครับ โดยเฉพาะเหล่า “มือใหม่” ทั้งหลาย ต้องฝึกฝนกันให้มากๆ เพราะการขับรถถอยหลัง ต้องเก็บประสบการณ์กันมากพอสมควร

6-สิ่งต้องมีในรถ-ที่จะทำให้ชีวิตคุณดีขึ้น!

ของที่ต้องมีบนรถ ชีวิตจะดีขึ้น!

เพราะเวลาที่เราต้องใช้ไปบนท้องถนนในแต่ละวันนั้นกินเวลารวมกันแล้วก็หลายชั่วโมง ยิ่งถ้าคุณทำงานในเขตเมืองย่านธุรกิจ และมีบ้านอยู่ชานเมือง หรือเป็นอาชีพที่ต้องเดินทางอยู่เป็นประจำ เช่น เซลล์ หรือวิศวกรที่ขับไปดูไซต์งาน ระยะเวลาที่อยู่บนรถก็อาจจะนานกว่านั้นมาก จนรถอาจจะกลายเป็นหลังที่ 3 (รองจากที่พักอาศัยจริงๆ และที่ทำงาน) ไปซะแล้ว

ดังนั้น การเตรียมของที่จำเป็นให้พร้อมสำหรับการใช้ชีวิตอยู่บนรถจึงเป็นเรื่องสำคัญอย่างหนึ่งที่ไม่ควรมองข้ามไป วันนี้ Carro ได้พี่หมี GoBear จะมาบอกว่า “6 สิ่งต้องมีในรถ ที่จะทำให้ชีวิตคุณดีขึ้น!” กันค่ะ

1. เอกสารสำคัญต่างๆ

เอกสารสำคัญบางอย่างก็ควรพกติดรถไว้เสมอนะคะ เพราะเมื่อเกิดอุบัติเหตุขึ้น เอกสารเหล่านี้จะเป็นสิ่งจำเป็นในการให้ข้อมูลต่อตำรวจ และบริษัทประกันค่ะ

1) เล่มทะเบียน ควรถ่ายเอกสารหน้าเจ้าของรถกับหน้าที่เราทำการต่อภาษีล่าสุดเก็บไว้ ไม่ควรเก็บตัวจริงไว้กับรถเนื่องจากหากรถหายหรือถูกขโมย เล่มทะเบียนก็จะหายไปด้วย หากมีเจ้าหน้าที่ขอดูแล้วเราไม่มีสำเนาแสดงต่อเจ้าหน้าที่ อาจถูกยึดรถไว้ชั่วคราวเพื่อตรวจสอบ หรือต้องเสียค่าปรับตามพระราชบัญญัติรถยนต์ พ.ศ. 2522 อีกด้วยค่ะ

2) กรมธรรม์ประกันภัย หรือสำเนาการประกันภัยรถยนต์ที่คุณซื้อไว้ เพราะหากเกิดอุบัติเหตุขึ้นมาไม่ว่าเราจะขับไปชนหรือมีอีกฝ่ายมาชนเราก็ตาม นี่คือเอกสารจำเป็นที่ต้องใช้ค่ะ โดยควรเอาเก็บไว้ในที่ๆหาได้ง่ายจะได้หาเจอยามต้องใช้จริงค่ะ

3) ใบอนุญาตขับขี่ นี่ก็สำคัญสุดๆ ควรมีติดรถไว้เช่นกันค่ะ บางคนทำกระเป๋าสตางค์หาย หรือลืมพกไปด้วยบ่อยๆ ก็ใช้วิธีใส่ไว้ในรถนี่แหละ เพราะไม่รู็ว่าเราจะเจอด่านตรวจหรือโดนเรียกขอดูเมื่อไหร่ พกไว้อุ่นใจกว่าแน่นอน

อย่างไรก็ตามอธิบดีกรมขนส่งทางบก ได้แจ้งว่ากำลังทำแอปพลิเคชั่นใบขับขี่ดิจิตัลเพื่อให้ประชนชนสามารถโหลดมาใช้แทนใบขับขี่ได้ โดยจะผูกเข้ากับเบอร์โทรศัพท์ 1 ใบต่อ 1 เลขหมาย  เตรียมเริ่มใช้งานกลางเดือนมกราคม 2562 นี้ ก็ต้องคอยดูกันต่อไปค่ะ ว่าผลจะเป็นเช่นไร หากใช้งานจริงจะได้ผลดีหรือไม่

 

2. แบตเตอรีสำรองหรือ Power Bank

ถึงแม้ว่าเราจะสามารถชาร์จมือถือได้จากที่จุดบุหรี่ในรถก็จริง แต่การชาร์จมือถือในรถนั้นก็มีข้อควรระวังอยู่ นั่นคือกระแสไฟที่จ่ายมาอาจไม่สม่ำเสมอเท่าที่ควร ทำให้เกิดไฟกระชาก ส่งผลเสียทั้งกับแบตเตอรีรถยนต์

ซึ่งอาจทำให้อายุการใช้งานของแบตเตอรีสั้นลง รถสตาร์ทติดยาก และแบตโทรศัพท์มือถือของเราเองด้วย ส่วนช่องเสียบ USB นั้นแทบไม่ต้องพูดถึงเลยค่ะ เพราะกระแสไฟที่จ่ายผ่านทางนี้มีน้อยมาก ถ้าชาร์จโทรศัพท์เครื่องใหญ่หน่อยหรือแท็บเล็ตจะเห็นได้ว่าตัวเลขแบตแทบไม่กระดิกขึ้นมาเลย จึงเหมาะกับการเสียบ USB เพื่อฟังเพลงมากกว่าค่ะ

ดังนั้น การชาร์จจากพาวเวอร์แบงค์ จึงปลอดภัยกว่าแน่นอน แต่ทั้งนี้ก็ไม่ควรวางพาวเวอร์แบงค์ทิ้งไว้ในรถนานๆเช่นกัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อเพื่อนๆต้องจอดรถตากแดดเป็นเวลานาน เพราะอาจเกิดการระเบิดได้ค่ะ

 

3. เงินเหรียญ

การมีเงินเหรียญติดรถไว้ช่วยให้คุณอุ่นใจได้อย่างไม่น่าเชื่อค่ะ เพราะไม่ว่าจะขึ้นทางด่วน เติมลมยาง ให้ทิปเด็กพนักงานเฝ้าที่จอดรถ ซื้อพวงมาลัยหรือกล้วยแขกกลางสี่แยก หรือแม้กระทั่งล้างรถจากตู้แบบหยอดเหรียญก็ตาม นอกจากเศษเหรียญเหล่านี้แล้ว เพื่อนๆยังอาจพกแบงค์ย่อยๆ อย่างแบงค์ยี่สิบ หรือ ห้าสิบติดรถไว้บ้างก็ดีนะคะ แต่อย่าลืมเอาออกจากรถให้เรียบร้อยเวลาไปใช้บริการคาร์แคร์ล่ะ เดี๋ยวที่เก็บเอาไว้หายหมดจะหาว่าไม่เตือน

 

4. มินต์

ใช่ค่ะ อ่านไม่ผิดหรอก “มินต์” เนี่ยแหละ เพราะกลิ่นที่ดีจะช่วยเพิ่มความมั่นใจ ไม่ว่าจะเป็นในรถหรือกลิ่นปากก็ตาม คุณอาจพกลูกอมรสมินต์ปราศจากน้ำตาลไว้ในที่เก็บของหน้ารถหากกังวลเรื่องกลิ่นปาก ส่วนในรถที่เรามักจะเอาการบูรแขวนในรถนั้นอาจไม่ใช่ทางเลือกที่ดีนัก เพราะการบูรมีสารที่มีคุณสมบัติในการดูดความชื้น เมื่อระเหิดจะไปเกาะตรงช่องของเครื่องปรับอากาศ พอสะสมมากๆมากเข้าจะทำให้ช่องตัน คอมเพรสเซอร์แอร์ทำงานหนักมากขึ้น อาจถึงขั้นแอร์พังได้ค่ะ ถ้าหากคุณอยากให้อากาศในรถหอมสดชื่นแล้วล่ะก็อาจใช้เป็นน้ำหอมปรับอากาศรถยนต์กลิ่นมิ้นท์แทนได้ค่ะ

 

5. ชุดปฐมพยาบาล และอุปกรณ์ซ่อมรถ

เพราะเหตุฉุกเฉินไม่คาดฝันอาจเกิดขึ้นได้ทุกเวลา ดังนั้นคุณควรจะมีชุดปฐมพยาบาลติดรถไว้เผื่อในกรณีที่ต้องห้ามเลือก ทำแผล ไปจนถึงชุดยาสามัญประจำบ้านที่สามารถพกไว้ได้ เช่น ยาแก้ท้องเสีย ยาแก้ปวด ยาลดไข้

อย่างไรก็ตามหากเป็นประเภทยาต้องสังเกตด้วยนะคะ ว่าสีและกลิ่นของยามีการเปลี่ยนแปลงไปหรือไม่ ยาบางประเภทต้องเก็บอยู่ในขวดหรือซองสีชาเท่านั้น ไม่เหมาะกับการเก็บในที่ที่มีแดดจ้า โดยเฉพาะหากเราต้องจอดรถจากแดดเป็นกิจวัตร อาจทำให้ยาเสื่อมคุณภาพได้ ควรมีการเอามาตรวจเช็คอยู่เป็นประจำ

นอกจากนี้ยังอาจเพิ่มของกินอื่นๆที่เราคิดว่าจำเป็น เช่น น้ำเปล่า อาหารแห้งอาหารเพิ่มพลังงาน  ของขบเคี้ยวต่างๆติดไว้ สำหรับคนที่เป็นโรคกระเพาะด้วยก็ดีค่ะ

ในส่วนของอุปกรณ์ซ่อมรถนั้น สิ่งของที่จำเป็นต้องมีติดรถไว้ก็มีตั้งแต่ สายพ่วงแบตเตอรี่รถยนต์ ไฟฉาย ป้ายสามเหลี่ยมสะท้อนแสง ชุดปั๊มลมและอุดยางรั่วฉุกเฉิน ยางอะไหล่ สลิงหรือเชือกสำหรับลากรถ เป็นต้น

 

6. เพลย์ลิสต์เพลงโปรดของคุณ

เชื่อไหมค่ะว่า เพลง เป็นสิ่งหนึ่งที่ช่วนบรรเทาความตึงเครียดได้เป็นอย่างดี และยังมีประโยชน์ที่คุณคาดไม่ถึงเมื่อฟังขณะขับรถได้อีกด้วย โดยมีงานวิจัยการฟังเพลงขณะขับรถจากมหาวิทยาลัย Groningen มหาวิทยาลัยเก่าแก่ที่สุดในเนเธอร์แลนด์ระบุว่า อาสาสมัครอายุตั้งแต่ 19-25 ปีจำนวน 47 คน ได้รับคำสั่งให้เลือกเพลงที่จะนำมาฟังขณะขับรถด้วยตนเอง โดยทำการทดลองทั้งสิ้น 3 รอบ รอบแรกขับไปพร้อมกับเปิดเพลงเสียงดัง รอบที่สองเปิดเพลงเสียงดังปานกลาง และรอบสุดท้ายขับรถโดยไม่เปิดเพลงเลย

พบว่า  อาสาสมัครทุกคนเมื่อฟังเพลงขณะขับรถจากเพลย์ลิสต์ที่ตนเลือกเอง (ทั้งป๊อบ ร็อค แจ๊ส คลาสสิค ฯลฯ) จะมีปฏิกิริยาตอบสนองต่อสภาพถนนไม่ว่าจะขณะที่มีการจราจรคับคั่งในเขตเมืองหรือการขับรถทางไกลได้อย่างรวดเร็วมากกว่ารอบที่ขับรถโดยไม่เปิดเพลง โดยวัดจากอัตราการเต้นต่อหัวใจ ซึ่งเสียงเพลงที่เปิดไว้ขณะขับรถนั้นทำหน้าที่เป็นตัวช่วยให้สมองตื่นตัว ไม่รู้สึกเบื่อ และยังช่วยให้มีสมาธิในการขับรถได้ดีขึ้นอีกด้วยค่ะ

เป็นอย่างไรกันบ้างค่ะ สำหรับ 6 สิ่งที่ต้องมีในรถ ที่ทางพี่หมี GoBear แนะนำกันไป มีข้อไหนที่ตรงใจเพื่อนๆบ้างไหมค่ะ ซึ่งสิ่งสำคัญที่สุดที่เราต้องมีทุกครั้งขณะขับรถก็คือ “สติ” นั่นเอง อย่างไรก็ตาม การทำประกันรถยนต์ไว้ก็เป็นตัวช่วยหนึ่งที่จะช่วยให้เราอุ่นใจได้เมื่ออุบัติเหตุหรือเหตุการณ์ไม่คาดฝันขึ้นได้ค่ะ

ขอบคุณข้อมูลจาก GoBear

ส่วนลดประวัติดีของประกันรถยนต์-คืออะไร-ทำไมต้องรู้

รู้ไว้ไม่เสียหาย อะไรคือ ส่วนลดประวัติดีของประกันรถยนต์

พูดถึงประกันรถยนต์ แน่นอนว่าการรู้จริง รู้รอบ รู้ลึก โดยเฉพาะส่วนลดประวัติดี หรือ No Claim Bonus ย่อสั้น ๆ ว่า NCB ซึ่งเป็นส่วนลดที่มอบให้กับผู้ซื้อประกันที่ไม่มีแจ้งเคลม และขับขี่ปลอดภัยมาตลอด เอาจริง ๆ ส่วนลดประวัติดีนั้นเหมือนกับการให้รางวัลคนทำดีล่ะครับ ขับดีก็ต้องได้ส่วนลดดี ๆ ถูกไหม ?

 

ทำอย่างไรถึงจะได้ส่วนลดประวัติดี ?

พูดง่าย ๆ เพียงแค่คุณขับดีไม่มีเคลม ไม่มีประวัติการเคลมว่าเป็นฝ่ายผิด หรือเกิดอุบัติเหตุจากการกระทำของคู่กรณีหรือบุคคลภายนอกที่ขับมาชนคุณ ซึ่งคุณจะต้องแจ้งบริษัทฯ ได้ว่า “ผู้ก่อเหตุคือใคร” เพื่อให้บริษัทเรียกร้องค่าเสียหายได้นั้นเอง

และการที่จะรับส่วนลดประวัติดีได้อย่างต่อเนื่องคุณจะต้องซื้อประกันรถยนต์กับบริษัทฯ ที่เดิมเท่านั้นนะครับ หรือตามภาษากฎหมายที่ว่าความคุ้มครองต่ออายุเท่านั้น ถึงจะได้รับส่วนลดนี้ซึ่งช่วยแบ่งเบาภาระค่าใช้จ่ายไปได้มากโขเลยล่ะค่ะ

 

คำนวณค่าเบี้ยส่วนลดประวัติดียังไง?

สำหรับส่วนลดประวัติดีจะคำนวณจากเบี้ยประกันภัยของปีที่ผ่านมา เช่น

  • เบี้ยประกันภัยสำหรับกรมธรรม์ปีที่ผ่านมาเป็นเงิน 13,000 บาท แต่เบี้ยประกันภัยของปีที่ต่ออายุเป็นเงิน 10,000 บาท
  • กรณีที่ผู้ซื้อประกันได้ส่วนลดประวัติดี 20% ก็จะได้ส่วนลดเท่ากับ 2,000 บาท ซึ่งคำนวณส่วนลดประวัติดี 20% ของ 10,000 บาท ไม่ใช่คำนวณจากเบี้ยประกันของปีที่ผ่านมา

อย่างไรก็ดี ส่วนลดประวัติดีของคุณจะเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ตามปีที่คุณใช้ประกันภัย ซึ่งมีส่วนลดสูงสุด 50% แต่มีข้อแม้ว่าคุณจะต้องซื้อประกันจากบริษัทฯ จากที่เดิมอย่างต่อเนื่องนะคะ

 

อธิบายกันอีกทีว่าส่วนลดประวัติดีแบ่งออกเป็น ดังนี้

  • ขั้นที่ 1 ลด 20% เมื่อไม่มีการเคลมรถยนต์ในปีแรก
  • ขั้นที่ 2 ลดเพิ่มอีก10% จากปีที่แล้วเป็น 30% เมื่อไม่มีการเคลมใน 2 ปีติดต่อกัน
  • ขั้นที่ 3 ลดเพิ่มอีก10% จากปีที่แล้วเป็น 40% เมื่อไม่มีการเคลมใน 3 ปีติดต่อกัน
  • ขั้นที่ 4 ลดเพิ่มอีก10% จากปีที่แล้วเป็น 50% เมื่อไม่มีการเคลมใน 4 ปีติดต่อกัน หรือมากกว่านั้น

ทั้งนี้ในการให้ส่วนลดประวัติดีนั้นอาจจะขึ้นอยู่กับโปรโมชั่นของแต่ละบริษัทฯ ประกันด้วยล่ะครับ เป็นไงบ้างค่ะ เข้าใจส่วนลดประวัติดีมากขึ้นใช่ไหมครับ

ขอบคุณข้อมูลจาก Frank.co.th

รถสตาร์ทไม่ติด

รถสตาร์ทไม่ติด พยายามบิดกุญแจยังไงก็สตาร์ทไม่ได้

หลาย ๆ คนที่มีรถอาจเคยประสบเหตุการณ์เช่นนี้หลายต่อหลายครั้ง และถ้าหากเป็นเวลาเร่งรีบด้วยแล้ว ยิ่งทำให้หงุดหงิดใจแน่นอน สำหรับปัญหาหลักของอาการสตาร์ทไม่ติด ส่วนมากจะมาจาก 4 สาเหตุ นั่นก็คือ

1. รถสตาร์ทไม่ติด เพราะแบตเตอรี่เสื่อม

อาการแบตเตอรี่เสื่อมเพราะตัวแบตไม่สามารถเก็บประจุไฟฟ้าไว้ได้นาน มีการรั่วไหลของแบตจนหมดในระยะเวลาอันสั้น อาการเสื่อมก็มีหลายระดับไม่เท่ากัน เสื่อมน้อยก็อาจจอดทิ้งเกิน 8 ชม. ขึ้นไปเริ่มสตาร์ทยาก ถ้าแบตเสื่อมมากเพียงแค่ 2-3 ชม. ก็อาจสตาร์ทรถไม่ติดเลย สัญญาณเตือนอาการแบตเสื่อมเบื้องต้นคือ รถเริ่มสตาร์ทยาก มีเสียงแชะ ๆ ลากยาวกว่าจะสตาร์ทติด หลังการจอดรถทิ้งไว้ แก้ปัญหาเบื้องต้นคือขอพ่วงแบตกับคันอื่น

2. รถสตาร์ทไม่ติด เพราะไดชาร์จเสื่อม

หากไดชาร์จเสื่อมไม่มาก เมื่อจอดทิ้งเอาไว้แล้วสตาร์ทรถไม่ติดเช่นกัน แก้ปัญหาเบื้องต้นด้วยการพ่วงแบต แต่เราเช็กไดชาร์จเสื่อมได้ง่าย ๆ โดยให้รถสตาร์ททิ้งไว้สักครู่ แล้วถอดขั้วแบตออกสักหนึ่งข้าง หากรถดับทันทีหรือมีอาการไฟตก รถกระตุก ชัดเจนว่าสาเหตุจากไดชาร์จเสื่อม เพราะหน้าที่ของไดชาร์จคือปั่นกระแสไฟเลี้ยงรถยนต์และชาร์จเก็บเข้าแบตเตอรี่ หากถอดขั้วแบตออกไฟจากไดชาร์จก็ยังเลี้ยงระบบไฟรถได้คือยังปรกตินั่นเอง

รถสตาร์ทไม่ติด
3. รถสตาร์ทไม่ติด เพราะมอเตอร์สตาร์ทเสื่อม

หากสตาร์ทรถไม่ติดเลย ลองพ่วงแบต หรือนำแบตเตอรี่ลูกใหม่มาเปลี่ยนก็ไม่หาย แต่เข้าไปดูที่แผงหน้าปัดก็มีไฟติด สตาร์ทแล้วยังมีเสียงแชะ ๆ (หรือเงียบสนิทก็ได้) ให้พุ่งเป้าไปที่มอเตอร์สตาร์ทมีปัญหา เตรียมควักเงินในกระเป๋ามากกว่าปรกติแน่นอน เพราะต้องพึ่งรถลาก หรือบริการซ่อมนอกสถานที่

4. รถสตาร์ทไม่ติด เพราะระบบไฟฟ้ารถมีปัญหา

ความจริงแล้วระบบไฟฟ้ารถมีปัญหานั้นเกิดยากสักหน่อย แต่ก็เป็นไปได้ อาการก็ดูง่าย ๆ ว่าบิดกุญแจแล้วไฟที่แผงหน้าปัดไม่มีอะไรขึ้นเลย หากก่อนหน้านี้จอดทิ้งรถไว้นาน ๆ มีกรณีหนูเข้ามากัดสายไฟมาแล้ว
เมื่อเกิดปัญหารถสตาร์ทไม่ติดก็อย่าลืมตรวจเช็คปัญหาของรถยนต์ให้ครบถ้วนนะคะ และทางที่ดีอย่าลืมดูแลรักษารถยนต์ให้พร้อมใช้งานอยู่เสมอ ถ้าหากว่าคุณไม่ต้องการเป็นกังวลในเรื่องของรถยนต์สตาร์ทไม่ติด สามารถใช้บริการเช่ารถยนต์กับ Drivemate ได้ทันทีเพราะเรามีรถยนต์คุณภาพไว้คอยให้บริการ

อ้างอิงข้อมูลจาก : car.kapook.com,

Shopping-Tire-For-Nation

ช็อปช่วยชาติ 2561 – 2562 เลือกยางรถยนต์แบบไหน ถึงจะได้ลดหย่อนภาษี

สินค้า-ช็อปช่วยชาติ

เป็นที่รู้กันละครับว่า เศรษฐกิจตอนนี้ มันช่างฝืดเคืองเสียยิ่งกะไร การจับจ่ายใช้สอยก็ไม่คล่องตัวเอาซะเลย รัฐบาลโดยกระทรวงการคลัง จึงต้องหามาตรการต่างๆ ออกมากระตุ้นเศรษฐกิจ หนึ่งในนั้นก็คือ “ช็อปช่วยชาติ” ที่ทำต่อเนื่องกันมาหลายปี

โดยในปีนี้ เริ่มขึ้นในระหว่างวันที่ 15 ธ.ค. 2561 – 16 ม.ค. 2562 ซึ่งปีนี้เงื่อนไขการซื้อของ มีการเปลี่ยนแปลงต่างจากปีที่แล้วมากพอสมควร มีอะไรบ้าง เรามาดูกัน …

Tire

เงื่อนไขแรก การซื้อสินค้าตั้งแต่วันที่ 15 – 31 ธันวาคม 2561 ใช้ลดหย่อนภาษีปี 2561 เท่านั้น หากคุณซื้อสินค้าบริการตั้งแต่ 1 มกราคม – 16 มกราคม 2562 ใช้ลดหย่อนภาษีปี 2562 (สามารถใช้สิทธิ์เพียงปีใดปีหนึ่ง 15,000 บาท หรือเลือกใช้สิทธิทั้ง 2 ปีภาษีรวมกัน แต่ต้องไม่เกิน 15,000 บาท)

เงื่อนไขที่สอง ปีนี้กำหนดสินค้าเอาไว้แค่ 3 หมวด เท่านั้น ได้แก่ ยางรถยนต์, หนังสือ (รวม E-Book) และสินค้า OTOP (โอทอป) อย่างอื่นไม่ร่วมด้วยนะครับ

ทีนี้ เรามาดูกันว่า จะเลือกยางรถยนต์อย่างไร ให้ได้ลดหย่อนภาษีคืน และคุ้มค่าเงินคุณ …

ซื้อยางรถยนต์แบบไหน ถึงจะได้ลดหย่อนภาษี?

คูปองยาง-ช็อปช่วยชาติ

คูปองยาง สำคัญ! ถ้าไม่มี ลดหย่อนภาษีไม่ได้!

ต้องเป็นยางรถยนต์, ยางรถจักรยานยนต์, ยางจักรยาน หรือยางประเภทใดก็ได้ ที่ผลิตในประเทศไทยเท่านั้น และต้องเป็นยางที่มีส่วนผสมยางพาราภายในประเทศเท่านั้น และต้องซื้อจากผู้ประกอบการที่จดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่ม ซึ่งได้ซื้อวัตถุดิบยางจากการยางแห่งประเทศไทย

โดยยางที่เข้าข่ายลดหย่อนภาษีนั้น ต้องมีคูปองจากสรรพากรมาพร้อมกับยางด้วย จำไว้เลยนะครับว่า ถ้าไม่มีคูปอง คุณจะไม่สามารถนำไปลดหย่อนภาษีได้ ซึ่งคูปอง 1 ใบ ต่อล้อยาง 1 เส้น โดยค่าบริการเปลี่ยน หรือซ่อมยางรถยนต์ ไม่สามารถนำมาลดหย่อนภาษีได้

สำหรับยางรถยนต์ และยางรถจักรยานยนต์ จริงๆ แล้ว เกือบทุกยี่ห้อผลิตในประเทศไทย แต่จะมีแค่ยี่ห้อ Otani, Maxxis, Deestone, ND Rubber และ IRC เท่านั้น ที่เข้าร่วมในโครงการ “ช็อปช่วยชาติ” นี้

ตารางลดหย่อนภาษี-ช็อปช่วยชาติ

เงินได้สุทธิ, อัตราภาษี และค่าลดหย่อน (ภาพจาก https://taxteller.blogspot.com/)

หลักฐานที่ใช้ยื่นลดหย่อนภาษี

คุณต้องมีใบกำกับภาษีแบบเต็มรูป ตามมาตรา 86/4 แห่งประมวลรัษฏากร ซึ่งจะต้องมีการระบุข้อความดังนี้

1. คำว่า “ใบกำกับภาษี” ต้องเห็นได้เด่นชัด

2. ชื่อ ที่อยู่ และเลขประจำตัวผู้เสียภาษีอากรของผู้ประกอบการจดทะเบียนที่ออกใบกำกับภาษี

3. ชื่อ ที่อยู่ ของผู้ซื้อสินค้าหรือผู้รับบริการ

4. หมายเลขลำดับของใบกำกับภาษี และหมายเลขลำดับของเล่ม (ถ้ามี)

5. ชื่อ ชนิด ประเภท ปริมาณ และมูลค่าของสินค้าหรือของบริการ

6. จำนวนภาษีมูลค่าเพิ่มที่คำนวณจากมูลค่าของสินค้าหรือของบริการ โดยให้แยกออกจากมูลค่าของสินค้าหรือ ของบริการให้ชัดแจ้ง

7. วัน เดือน ปี ที่ออกใบกำกับภาษี

8. ข้อความอื่นที่อธิบดีกำหนด เช่น คำว่าเอกสารออกเป็นชุด สำเนาใบกำกับภาษี ฯลฯ

กรมสรรพากร-ช็อปช่วยชาติ

ถ้าหากใครที่กำลังจะเปลี่ยนยางรถยนต์ในช่วงนี้ ถือเป็นโอกาสอันดี แต่ก็ต้องเลือกยางรถยนต์ที่อยู่ในเงื่อนไขที่กำหนดด้วยนะครับ เดี๋ยวเลือกผิดไป หรือเลือกร้านที่ไม่ได้ร่วมกับทางช็อปช่วยชาติ ไม่ได้ลดหย่อนภาษีคืนนะครับ จะบอกให้ …

สำหรับผู้ที่มีข้อสงสัย สามารถสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ศูนย์สารนิเทศสรรพากร โทร. 1161 หรือที่ http://www.rd.go.th/ กรมสรรพากร เต็มที่ เต็มใจ ให้ประชาชน

Car-Pawn-For-Sale

รถหลุดจำนำ ราคาถู้กถูก แต่ขับแล้ว ไม่รู้จะโดนตำรวจจับเมื่อไหร่!!!

Car-Pawn-For-Sale

“รถหลุดจำนำ” ที่หลายต่อหลายคน เห็นมีการประกาศลงขายในกลุ่ม Facebook มากมายนั้น ราคามันช่างเย้ายวนใจเหลือเกิน! กับรถที่สภาพยังดูใหม่ บางคันมีเอกสารด้วย แต่ประกาศขาย ในราคาที่ถูกอย่างเหลือเชื่อ!!!

ใช่ครับ แต่ … เพราะถ้ารถโอนได้ปกติ ราคาขายคงไม่ใช่แบบนี้แน่ๆ ขนาดรถย้อมแมว หรือรถอุบัติเหตุมาทำใหม่ ยังขายไม่ได้ราคาแบบนี้เลย

เรามารู้กันดีกว่าครับว่า รถหลุดจำนำ คือรถอะไร ประเภทไหน และถูกกฎหมายหรือไม่ …

Car-Pawn-For-Sale

รถหลุดจำนำ คือ รถที่เจ้าของรถมีปัญหาด้านการเงิน จึงเอารถไปจำนำกับคนที่รับจำนำ หรือปล่อยตามบ่อน โดยทำสัญญากันเพียงแค่โอนลอย และต้องจ่ายดอกเบี้ยไปเรื่อยๆ จนกว่าจะไถ่ถอนคืนได้ทั้งหมด เหมือนเราเอาของไปเข้าโรงรับจำนำนั่นล่ะครับ พอเจ้าของรถไม่มาไถ่ถอนตามเวลาที่กำหนด รถยนต์คันนั้นจะกลายเป็นรถหลุดจำนำทันที พ่อค้าที่จำนำรถไว้ก็เอารถมาขายทอดตลาดอีกที

หรือ รถหลุดจำนำชื่อบุคคล มีเอกสารหน้าเล่ม กับสัญญารับจำนำ หรือ รถที่ถูกขโมยมา

คนที่ซื้อรถหลุดจำนำมาใช้ จะเรียกได้ว่า เป็นรถที่ผิดกฎหมายก็ไม่เชิง คือสามารถซื้อได้ขายได้ แต่แทบจะร้อยทั้งร้อย ไม่สามารถโอนได้ แม้ว่าพ่อค้าจะรับจำนำรถที่มีเอกสารถูกต้อง

Car-Pawn-For-Sale

โดยหลักแล้ว รถหลุดจำนำ จะมีเอกสารดังกล่าวนี้

  • สำเนาหน้าเล่มทะเบียนรถยนต์
  • สำเนาบัตรประชาชนของเจ้าของรถ
  • สำเนาทะเบียนบ้านของเจ้าของรถ
  • เอกสารโอนลอยรถยนต์ (เจ้าของรถเซ็นชื่อไว้เรียบร้อย)
  • เอกสารมอบอำนาจ (เจ้าของรถเซ็นชื่อไว้เรียบร้อย)

Car-Pawn-For-Sale

เพราะรถหลุดจำนำรถส่วนใหญ่ มัก “ติดไฟแนนซ์” ยังผ่อนไม่หมด กรรมสิทธิ์การเป็นเจ้าของรถ (ในเล่มทะเบียน) ก็ยังเป็นของไฟแนนซ์อยู่ การต่อ พ.ร.บ. หรือการทำประกันภัยต่างๆ ก็คงไม่ได้อย่างแน่นอน เพราะมีแค่รถ และกุญแจที่เป็นของเราเท่านั้น โดยกรรมสิทธิ์การเป็นเจ้าของรถและชื่อผู้ครอบครองยังเป็นของเจ้าของคนเดิมอยู่

บางคันแจ๊คพอต ดันเป็นรถที่ถูกขโมยมา หรือนำซากรถมาสวมทะเบียน เพื่อให้ตามจับได้ยาก โดยใช้รถที่มีสี รุ่น และปีเดียวกัน มาสวมทะเบียน และมีการดัดแปลงเลขตัวถังให้ตรงกัน เอาทะเบียนรถคันอื่นมาสวม ดังที่เป็นข่าวเรื่อง “รถฝาแฝด” อยู่บ่อยๆ นั่นล่ะครับ

Car-Pawn-For-Sale

รถฝาแฝด รุ่นเดียวกัน สีเดียวกัน และทะเบียนเหมือนกัน!

คนที่ซื้อรถหลุดจำนำไป ก็ต้องรับความเสี่ยงให้ได้ครับ เพราะเหมือนเอาของที่ยังผ่อนไม่หมดไปขายต่อ ถ้าไฟแนนซ์และตำรวจตามรถจนเจอ ก็จะโดนยึดรถ ถ้ามีการฟ้องร้อง หรือมีคนแจ้งรถหายไว้ (ในกรณีที่เป็นรถถูกขโมยมา) คนที่ซื้อไป อาจจะโดนข้อหารับของโจรไปอีกกระทง

และยังเสี่ยงต่อการเป็นเหยื่อแก๊งต้มตุ๋นที่ขายรถพวกนี้ รู้กันกับคนมีสีไว้ล่วงหน้าอยู่แล้ว อาจถูกตำรวจไปตามยึดรถ หลังจากซื้อมาขับเพียงไม่กี่เดือน พร้อมข่มขู่เอาเงินคุณก็ได้ หากคุณไม่ยอมก็จะถูกจับดำเนินคดี จนต้องยอมจ่ายไป

Car-Pawn-For-Sale

รถฝาแฝด ไม่ใช่เรื่องบังเอิญ แต่มันคือเรื่องจริง!

ทางที่ดี อย่าไปเล่นเลยครับรถประเภทนี้ ถึงจะราคาถูกมากๆ ก็เถอะ ได้ไม่คุ้มเสียหรอกครับท่าน

ซื้อรถทั้งที เราควรจะวางแผนทางการเงินดีๆ มีน้อยใช้น้อย มีมากใช้น้อย เหลือเก็บใช้หนี้ (แบบที่คุณน้าวีระ ธีรภัทร ชอบพูดในรายการวิทยุบ่อยๆ นั่นละครับ) ซื้อรถที่มีเอกสาร มีเล่มทะเบียนถูกต้องตามกฎหมายจะดีกว่า ไม่ว่าจะเป็นรถมือหนึ่ง หรือรถมือสอง ก็ตาม …

ถ้าคุณอยากซื้อ-ขายรถแบบปลอดภัย ไม่ต้องกังวลเรื่องรถหลุดจำนำ CARRO เรารับซื้อรถของคุณ สามารถเข้าไปเช็กราคา ตีราคาขายรถก่อนได้ โดยใส่ข้อมูลรถของคุณที่นี่เลย กับ CARRO Express > https://th.carro.co/sell-car/express หรือโทร. 02-508-8425

หรือใครจะ Inbox มาสอบถามก็ได้เช่นกัน ที่ Facebook CARRO Thailand หรือสะดวก Add Line ก็ที่ @Carrothailand หรือคลิกที่นี่ครับ —> เพิ่มเพื่อน

ขอขอบคุณภาพประกอบจาก สวพ.91

ล้างอัดฉีด....หรือ....ล้างรถแบบธรรมดา-อันไหนดี

“ล้างอัดฉีด” ต่างหรือดีกว่ากันอย่างไร กับการล้างรถปกติ

วันนี้มีบทความดีๆ ที่จะมาพูดถึงเกี่ยวกับการล้างรถมาฝากทุกคนกันค่ะ เพราะการล้างรถเป็นอีกหนึ่งกิจกรรมสุดโปรดของใครหลายคน แต่กลับกันอีกหลายคนก็อาจถอนใจ.. เฮือกใหญ่ๆ ก็ได้ การออกไปล้างรถหลายคนอาจเคยผ่านตากับร้าน “ล้างอัดฉีด” อาจคงสงสัยว่ามันต่างกัน หรือดีกว่ากันอย่างไร กับการล้างรถแบบปกติ

เมื่อรถสกปรกคนส่วนมากก็จะล้างรถแบบปกติ ตามร้านล้างรถทั่วไปที่เราเห็น โดยที่จะไม่เข้าไปเกี่ยวข้องกับห้องเครื่องยนต์ เพราะอาจเกิดปัญหากับระบบไฟของตัวรถได้ ทำให้หลายคนสงสัยว่า แล้วการล้างอัดฉีดจะเกิดผลเสียต่อเครื่องยนต์หรือไม่

ล้างอัดฉีด ล้างรถปกติ

ซึ่งจริงๆ แล้วเราก็ไม่ควรฉีดน้ำแบบแรงๆ หรือฉีดน้ำล้างห้องเครื่องโดยเด็ดขาด เพราะจะทำให้ระบบไฟฟ้าพัง และได้รับความเสียหายจากเครื่องฉีดน้ำแรงดันสูงเข้าไปทำให้ระบบไฟฟ้าอาจจะรวนหรือเสียหาย ซึ่งทางที่ดีที่สุด คือ ล้างสีดูดฝุ่นก็เพียงพอแล้ว

นอกจากนี้การเลือกร้านล้างรถที่ได้มาตรฐานก็จะเป็นการถนอมรถยนต์สุดรักของคุณอีกด้วย โดยปกติ ร้านล้างรถ ที่มีคุณภาพจะไม่ล้างห้องเครื่องโดยใช้เครื่องฉีดน้ำแรงดันสูง แต่จะใช้ผลิตภัณฑ์เพื่อขจัดคราบในห้องเครื่องแทน ทิ้งไว้สักครู่ แล้วใช้แปรงขัดถูเพื่อทำความสะอาด จากนั้นใช้น้ำจากสายยางแรงดันธรรมดาล้างออกให้สะอาด

แต่สำหรับคนที่เพิ่งนำรถไปลุยโคลนลุยฝุ่นมา แล้วต้องการอยากจะ ล้างอัดฉีด เพียงแค่ อัดล้างฉีดที่ใต้ท้องรถ ซุ้มล้อ ฯลฯ อย่างเดียวก็เพียงพอแล้ว ห้ามฉีดน้ำล้างห้องเครื่องโดยเด็ดขาด และข้อควรระวังคือ ไม่ควรล้างห้องเครื่องในขณะที่เครื่องยนต์ร้อนอยู่ ถือว่าอันตรายเป็นอย่างมาก ฉะนั้น ควรปล่อยให้เครื่องยนต์เย็นลงสักพักก่อนแล้วค่อยล้างห้องเครื่อง

ข้อมูลจาก Drivemate

Drivemate คือทุกจุดหมายเรื่องรถของคุณ หากคุณต้องการเช่ารถยนต์ไม่ว่าจะเพื่อการท่องเที่ยว การใช้รถเพื่อทำธุระสำคัญหรือต้องการใช้รถเพื่อโอกาสสำคัญอื่นๆ สามารถใช้บริการเช่ารถยนต์ผ่านทางแอปพลิเคชันหรือเว็ปไซต์ของ Drivemate

สิ่งที่คุณควรทำ-เมื่อจอดรถยนต์ทิ้งไว้!

มีรถยนต์ แต่จอดทิ้งไว้ ควรทำอย่างไร?

ความจำเป็นในการใช้งานรถของแต่ละคนไม่เหมือนกัน สำหรับบางคนที่ใช้งานรถยนต์แทบทุกวันก็คงไม่มีปัญหาอะไร เพราะว่าถ้ารถเกิดปัญหาอะไรขึ้น คุณจะรู้ได้ในทันที และสามารถส่งรถไปซ่อมก่อนจะนำมาขับอีกครั้ง แต่สำหรับรถยนต์ที่ไม่ค่อยได้ใช้งาน หากรถเกิดมีปัญหาขึ้น หรือมีอะไรเสีย คุณก็คงจะไม่ทราบว่ารถเป็นอะไร เพราะแทบจะไม่ได้ใช้รถเลย

ซึ่งการจอดรถทิ้งนานๆ หลายเดือน มีความเสี่ยงสูงที่จะทำให้รถยนต์ของคุณเกิดปัญหาขึ้นได้ ทำให้เวลานำกลับมาขับใช้งานใหม่ รถอาจจะเกิดอาการสั่นทั้งคัน จนอาจทำให้คุณตกใจ และคิดว่ารถเสีย เครื่องยนต์พัง ฯลฯ

แท้จริงแล้วสาเหตุหนึ่งที่ทำให้รถของคุณสั่นทั้งคัน เกิดจากยางรถยนต์นั่นเอง เพราะน้ำหนักของตัวรถจะกดทับยางรถยนต์ทั้ง 4 เส้น ในมุมเดิมเป็นระยะเวลานาน จนทำให้ยางเกิดการเปลี่ยนรูปทรง ไม่กลม เสียทรง แถมโครงสร้างยางยังเสียหาย และยุบอีกด้วย

จอดรถทิ้งไว้

แต่ถ้าคุณไม่อยากให้เหตุการณ์แบบนี้เกิดขึ้น ก่อนจะจอดรถทิ้งไว้ ให้คุณนำรถไปเติมลมยางเผื่อเอาไว้จากปกติที่เติมสัก 5 – 10 ปอนด์ และถ้าพอมีเวลาคุณควรไปขยับรถเดินหน้า-ถอยหลังบ้าง อาทิตย์ละ 2 – 3 ครั้งก็ยังดี เพื่อกระจายน้ำหนัก และเปลี่ยนมุมการกดทับไปยังจุดอื่นๆ บ้างนั่นเอง

ซึ่งการจอดรถที่ไว้นาน มันก็จะมีผลเสียเกิดขึ้นกับรถของคุณอย่างแน่นอน ถ้าต้องนำกลับมาใช้อีกครั้ง คุณควรที่จะหาเวลาเพื่อมาตรวจเช็กสภาพรถด้วย เช่น แบตเตอรี่ ของเหลวภายในรถ ฯลฯ และถ้าคุณอยากรู้วิธีเช็กรถเบื้องต้นสำหรับรถที่ไม่ค่อยได้ใช้งาน อ่านต่อ คลิก

แต่ถ้ารถที่ไม่ได้ใช้งาน คุณควรแจ้งกับกรมการขนส่งทางบกทุกแห่งทั่วประเทศ ซึ่งการดำเนินการไม่ยุ่งยาก มีความสะดวก และรวดเร็ว จะได้ไม่โดนการเรียกเก็บภาษีประจำปี เพราะเมื่อไม่ชำระภาษีรถเกิน 3 ปี ทะเบียนจะถูกระงับทันที โดยมีขั้นตอนตามนี้

กรณีแจ้งว่าไม่ได้ใช้งานรถ สามารถทำได้ใน 2 กรณี ได้แก่

1. แจ้งไม่ใช้รถชั่วคราว มีอายุ 2 ปี สำหรับรถชำรุด แต่สามารถซ่อมแซมเพื่อกลับไปใช้งานต่อได้
2. แจ้งไม่ใช้รถตลอดไป สำหรับรถหายหรือชำรุดจนไม่สามารถซ่อมแซมได้

ส่วนเอกสารที่ต้องใช้ มีดังนี้

1. ใบคู่มือจดทะเบียนรถ
2. สำเนาทะเบียนบ้าน และสำเนาบัตรประจำตัวประชาชน
3. แผ่นป้ายทะเบียนรถ
4. แบบคำขอแจ้งไม่ใช้รถ กรอกรายการและลงลายมือชื่อ
5. หนังสือมอบอำนาจและบัตรประชาชนผู้รับมอบอำนาจ (ถ้ามี)

ขั้นตอนการดำเนินการ มีดังนี้

1. ยื่นคำขอแจ้งไม่ใช้รถ พร้อมหลักฐาน และแผ่นป้ายทะเบียนรถ
2. ชำระค่าธรรมเนียม
3.รั บใบเสร็จรับเงิน และใบคู่มือจดทะเบียนรถ

จอดรถทิ้งไว้

อัพเดต กรมการขนส่งทางบก ได้ขยายช่องทางการรับชำระภาษีรถ เพื่ออำนวยความสะดวกแก่ประชาชนด้วยการชำระภาษีรถทั่วประเทศไทย

และในส่วนของ พ.ร.บ.รถยนต์ ได้ขยายช่องทางเพิ่มขึ้น เช่น การรับชำระผ่านห้างสรรพสินค้าบิ๊กซี 13 สาขา, ห้างเซ็นทรัลรามอินทรา, ศูนย์การค้าพาราไดซ์พาร์ค ในวันเสาร์-อาทิตย์ เวลา 09.00-18.00 น.

การรับชำระภาษีรถที่ศูนย์บริการร่วมคมนาคม เชิงสะพานสมเด็จพระเจ้าตากสินได้ทุกวันจันทร์-ศุกร์ ตั้งแต่เวลา 08.30-15.30 น.

การรับชำระภาษีรถผ่านระบบอินเทอร์เน็ต ที่เว็บไซต์ www.dlte-serv.in.th, ชำระภาษีรถผ่าน ตรอ., ผ่านเคาน์เตอร์เซอร์วิส เซเว่นอีเลฟเว่น กว่า 8,000 แห่งทั่วประเทศ

และชำระภาษี บนมือถือผ่านเครือข่าย AIS ซึ่งเจ้าของรถตาม พ.ร.บ.รถยนต์ และ พ.ร.บ.การขนส่งทางบกสามารถชำระภาษีรถได้ล่วงหน้า 3 เดือน ก่อนหมดเขตอายุภาษี และหากต้องการสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ ที่ Call Center 1584.

อ้างอิง กรมขนส่ง