What-Car-Can-Use-Diesel-B20-Oil

ในยุคที่น้ำมันดีเซลบ้านเรา มีการพัฒนาคุณภาพไปจากแต่ก่อนมาก ซึ่งก็มีผลดีต่อรถยนต์ ช่วยให้การทำงานของเครื่องยนต์มีประสิทธิภาพมากขึ้น ระบบเผาไหม้ดีขึ้น รวมไปถึงยังช่วยลดมลภาวะของสิ่งแวดล้อมอีกด้วย

ในขณะเดียวกันก็มีผู้ค้นคิดน้ำมันดีเซลแบบ “Bio Diesel” (ไบโอดีเซล) ขึ้นมา ซึ่งเป็นการนำสารอินทรีย์ต่างๆ เช่น น้ำมันพืช น้ำมันสัตว์ น้ำมันปาล์ม หรือสาหร่าย มาผ่านกระบวนการทางเคมีที่เรียกว่า Transesterifcation โดยทำปฏิกิริยากับแอลกอฮอล์ (Ethanol หรือ Methanol) และมีด่างเป็นตัวเร่งปฏิกิริยา เช่น โซเดียมไฮดรอกไซด์ (NaOH) จะได้ผลิตผลเป็น Ester และผลิตภัณฑ์ผลพลอยได้ Glycerol ซึ่งเราจะเรียกชนิดของ Bio Diesel แบบ Ester นี้ ตามชนิดของแอลกอฮอล์ที่ใช้ในการทำปฏิกิริยา ซึ่งมีคุณสมบัติที่เหมือนกับน้ำมันดีเซลมากที่สุด

ปัจจุบันน้ำมันดีเซลในบ้านเรา จึงมีทั้งแบบธรรมดา และแบบไบโอดีเซล B5, B7 และแบบ B10 เป็นน้ำมันดีเซลเกรดมาตรฐานของประเทศไทย

ส่วน น้ำมันดีเซล B20 ก็คือ น้ำมันที่มีส่วนผสมของไบโอดีเซล ประเภทเมทิลเอสเตอร์ของกดไขมัน (B100) ในอัตราส่วนร้อยละ 20 โดยปริมาตรนั่นเอง

ข้อดีของน้ำมันดีเซล B20 คือ ช่วยลดการสึกหรอของปั๊มเชื้อเพลิงในเครื่องยนต์ และการจุดระเบิดของเครื่องยนต์ง่ายขึ้น แถมยังไม่มีสารอะโนมาติกส์ ซึ่งเป็นสารก่อมะเร็ง และช่วยลดปัญหาฝุ่นละอองขนาดเล็ก หรือ PM 2.5 ได้ถึง 10% อีกด้วย

แต่รถยนต์เครื่องยนต์ดีเซล ก็ไม่ใช่ทุกรุ่นที่สามารถใช้น้ำมันดีเซล B20 นี้ได้ เพราะอาจจะทำให้หัวฉีด ท่อทางเดินน้ำมัน หรือไส้กรองน้ำมัน เสื่อมสภาพเร็วกว่าปกติ … แล้วมีรถรุ่นไหนบ้างล่ะ ที่ค่ายรถออกมารองรับว่าสามารถใช้น้ำมันดีเซล B20 ได้? มาดูกัน

Toyota-Hilux-Revo-Diesel-B20

Toyota

รถยนต์กระบะ Toyota Fortuner (โตโยต้า ฟอร์จูนเนอร์) และ Toyota Hilux Revo (โตโยต้า ไฮลักซ์ รีโว่) รุ่นใหม่ ที่ผลิตตั้งแต่ปี 2558 เป็นต้นไป มีทั้งหมดจำนวน 41 รุ่น สามารถใช้น้ำมัน B20 ได้ โดยไม่มีเงื่อนไข

ยี่ห้อ รุ่น / แบบ รหัสเครื่องยนต์ มาตรฐานมลพิษ ปี ค.ศ. ที่ผลิต / นำเข้า / รุ่นปี
Toyota Hilux / GUN123R-BTMLYT 1GD-FTV EURO4 2015 เป็นต้นไป
Toyota Hilux / GUN126R-BTFXHT 1GD-FTV EURO4 2015 เป็นต้นไป
Toyota Hilux / GUN126R-CTFMHT 1GD-FTV EURO4 2015 เป็นต้นไป
Toyota Hilux / GUN136R-CTFMHT 1GD-FTV EURO4 2015 เป็นต้นไป
Toyota Hilux / GUN136R-DTTHHT 1GD-FTV EURO4 2015 เป็นต้นไป
Toyota Hilux / GUN126R-DTFHHT 1GD-FTV EURO4 2015 เป็นต้นไป
Toyota Hilux / GUN126R-DTTHHT 1GD-FTV EURO4 2015 เป็นต้นไป
Toyota Hilux / GUN112R-BTMLYT 2GD-FTV EURO4 2015 เป็นต้นไป
Toyota Hilux / GUN122R-BTFXYT 2GD-FTV EURO4 2015 เป็นต้นไป
Toyota Hilux / GUN120R-BTTXHT 2GD-FTV EURO4 2015 เป็นต้นไป
Toyota Hilux / GUN122R-BTFXYT3 2GD-FTV EURO4 2015 เป็นต้นไป
Toyota Hilux / GUN120R-BTTXHT3 2GD-FTV EURO4 2015 เป็นต้นไป
Toyota Hilux / GUN122R-CTFXYT 2GD-FTV EURO4 2015 เป็นต้นไป
Toyota Hilux / GUN120R-CTTLHT 2GD-FTV EURO4 2015 เป็นต้นไป
Toyota Hilux / GUN122R-CTFLYT 2GD-FTV EURO4 2015 เป็นต้นไป
Toyota Hilux / GUN122R-CTFSYT 2GD-FTV EURO4 2015 เป็นต้นไป
Toyota Hilux / GUN122R-CTFMYT 2GD-FTV EURO4 2015 เป็นต้นไป
Toyota Hilux / GUN135R-CTFLHT 2GD-FTV EURO4 2015 เป็นต้นไป
Toyota Hilux / GUN135R-CTFSHT 2GD-FTV EURO4 2015 เป็นต้นไป
Toyota Hilux / GUN135R-CTFMHT 2GD-FTV EURO4 2015 เป็นต้นไป
Toyota Hilux / GUN135R-CTTSHT 2GD-FTV EURO4 2015 เป็นต้นไป
Toyota Hilux / GUN135R-CTTMHT 2GD-FTV EURO4 2015 เป็นต้นไป
Toyota Hilux / GUN125R-CTFSHT 2GD-FTV EURO4 2015 เป็นต้นไป
Toyota Hilux / GUN122R-DTFLYT 2GD-FTV EURO4 2015 เป็นต้นไป
Toyota Hilux / GUN120R-DTTLHT 2GD-FTV EURO4 2015 เป็นต้นไป
Toyota Hilux / GUN122R-DTFSYT 2GD-FTV EURO4 2015 เป็นต้นไป
Toyota Hilux / GUN135R-DTFLHT 2GD-FTV EURO4 2015 เป็นต้นไป
Toyota Hilux / GUN135R-DTFSHT 2GD-FTV EURO4 2015 เป็นต้นไป
Toyota Hilux / GUN135R-DTFMHT 2GD-FTV EURO4 2015 เป็นต้นไป
Toyota Hilux / GUN135R-DTTSHT 2GD-FTV EURO4 2015 เป็นต้นไป
Toyota Hilux / GUN135R-DTTMHT 2GD-FTV EURO4 2015 เป็นต้นไป
Toyota Hilux / GUN125R-DTFSHT 2GD-FTV EURO4 2015 เป็นต้นไป
Toyota Hilux / GUN122R-BTMXYT 2GD-FTV EURO4 2015 เป็นต้นไป
Toyota Hilux / GUN122R-BTMXYT3 2GD-FTV EURO4 2015 เป็นต้นไป
Toyota Hilux / GUN122R-CTMXYT 2GD-FTV EURO4 2015 เป็นต้นไป
Toyota Hilux / GUN122R-CTMSYT 2GD-FTV EURO4 2015 เป็นต้นไป
Toyota Hilux / GUN122R-CTMLYT 2GD-FTV EURO4 2015 เป็นต้นไป
Toyota Hilux / GUN122R-CTMMYT 2GD-FTV EURO4 2015 เป็นต้นไป
Toyota Hilux / GUN122R-DTMLYT 2GD-FTV EURO4 2015 เป็นต้นไป
Toyota Hilux / GUN122R-DTMSYT 2GD-FTV EURO4 2015 เป็นต้นไป
Toyota Fortuner / GUN156R-STTMHT 1GD-FTV EURO4 2015 เป็นต้นไป
Toyota Fortuner / GUN166R-STTMHT 1GD-FTV EURO4 2015 เป็นต้นไป
Toyota Fortuner / GUN155R-STTMHT 2GD-FTV EURO4 2015 เป็นต้นไป
Toyota Fortuner / GUN165R-STTMHT 2GD-FTV EURO4 2015 เป็นต้นไป
Toyota Fortuner / GUN165R-STTSHT 2GD-FTV EURO4 2015 เป็นต้นไป
Toyota Fortuner / GUN165R-STFSHT 2GD-FTV EURO4 2015 เป็นต้นไป

รถยนต์กระบะ Toyota Fortuner และ Toyota Hilux รุ่นเก่า ตั้งแต่เดือนสิงหาคมปี 2554 ถึงปี 2558 จำนวน 24 รุ่น สามารถใช้น้ำมัน B20 ได้ แต่มีเงื่อนไขว่า ถ้าหากมีการเติมน้ำมัน B20 บ่อยๆ และใช้งานในพื้นที่ที่มีอุณหภูมิต่ำกว่า 20 องศาเซลเซียส ต้องติดต่อศูนย์จำหน่ายรถโตโยต้า เพื่อขอรับคำแนะนำเพิ่มเติม

ยี่ห้อ รุ่น / แบบ รหัสเครื่องยนต์ มาตรฐานมลพิษ ปี ค.ศ. ที่ผลิต / นำเข้า / รุ่นปี
Toyota Hilux / KUN26R-URMSYT 1KD-FTV EURO4 สิงหาคม 2011 – 2015
Toyota Hilux / KUN36R-URMSYT 1KD-FTV EURO4 สิงหาคม 2011 – 2015
Toyota Hilux / KUN16R-PRASYT 1KD-FTV EURO4 สิงหาคม 2011 – 2015
Toyota Hilux / KUN26R-PRASYT 1KD-FTV EURO4 สิงหาคม 2011 – 2015
Toyota Hilux / KUN26R-PRMSYT 1KD-FTV EURO4 สิงหาคม 2011 – 2015
Toyota Hilux / KUN36R-PRASYT 1KD-FTV EURO4 สิงหาคม 2011 – 2015
Toyota Hilux / KUN36R-PRMSYT 1KD-FTV EURO4 สิงหาคม 2011 – 2015
Toyota Hilux / KUN15R-TRMDHT 2KD-FTV EURO4 สิงหาคม 2011 – 2015
Toyota Hilux / KUN15R-URMDHT 2KD-FTV EURO4 สิงหาคม 2011 – 2015
Toyota Hilux / KUN15R-URMSHT 2KD-FTV EURO4 สิงหาคม 2011 – 2015
Toyota Hilux / KUN25R-URMSHT 2KD-FTV EURO4 สิงหาคม 2011 – 2015
Toyota Hilux / KUN35R-URASHT 2KD-FTV EURO4 สิงหาคม 2011 – 2015
Toyota Hilux / KUN35R-URMDHT 2KD-FTV EURO4 สิงหาคม 2011 – 2015
Toyota Hilux / KUN35R-URMSHT 2KD-FTV EURO4 สิงหาคม 2011 – 2015
Toyota Hilux / KUN15R-PRMDHT 2KD-FTV EURO4 สิงหาคม 2011 – 2015
Toyota Hilux / KUN15R-PRMSHT 2KD-FTV EURO4 สิงหาคม 2011 – 2015
Toyota Hilux / KUN25R-PRMSHT 2KD-FTV EURO4 สิงหาคม 2011 – 2015
Toyota Hilux / KUN35R-PRASHT 2KD-FTV EURO4 สิงหาคม 2011 – 2015
Toyota Hilux / KUN35R-PRMDHT 2KD-FTV EURO4 สิงหาคม 2011 – 2015
Toyota Hilux / KUN35R-PRMSHT 2KD-FTV EURO4 สิงหาคม 2011 – 2015
Toyota Fortuner / KUN51R-NKASYT 1KD-FTV EURO4 สิงหาคม 2011 – 2015
Toyota Fortuner/ KUN61R-NKASYT 1KD-FTV EURO4 สิงหาคม 2011 – 2015
Toyota Fortuner / KUN60R-NKASHT 2KD-FTV EURO4 สิงหาคม 2011 – 2015
Toyota Fortuner / KUN60R-NKMSHT 2KD-FTV EURO4 สิงหาคม 2011 – 2015

All-New-Isuzu-D-Max-V-Cross

Isuzu

ตามที่กรมธุรกิจพลังงาน กระทรวงพลังงานได้มีมาตรการในการเพิ่มสัดส่วนการใช้น้ำมัน ไบโอดีเซลสำหรับภาคการขนส่งให้มากขึ้น เพื่อเป็นการช่วยเหลือเกษตรกรผู้ปลูกปาล์มน้ำมันโดยมีเป้าหมายในการสร้างสมดุลปาล์มน้ำมันทั้งระบบของประเทศ โดยได้ออกประกาศเมื่อวันที่ 24 ตุลาคมที่ผ่านมา กำหนดให้น้ำมันไบโอดีเซล B10 เป็นน้ำมันดีเซลพื้นฐาน เกรดมาตรฐานใหม่ของประเทศไทย แทนน้ำมันไบโอดีเซล B7 ที่รถรุ่นเก่าและรถยุโรปที่ยังไม่สามารถใช้ B20 สามารถใช้ได้

ในขณะที่น้ำมันไบโอดีเซล B20 ยังคงเป็นน้ำมันทางเลือกสำหรับรถรุ่นใหม่ๆ ในตลาด น้ำมันดีเซลพื้นฐานเกรดมาตรฐานใหม่นี้จะมีผลบังคับใช้ในสถานีบริการน้ำมันทั่วประเทศตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม ปีหน้า

ปัจจุบันรถอีซุซุ ทั้งรถปิกอัพ รถอเนกประสงค์ และรถบรรทุกขนาดกลางและขนาดใหญ่ทุกคันที่ผลิตจากโรงงานสามารถรองรับการใช้น้ำมันไบโอดีเซลได้ถึง B20 ดังนั้นเมื่อภาครัฐมีการกำหนดการใช้น้ำมันดีเซลพื้นฐานเกรดมาตรฐานใหม่คือ B10 แทน B7 นั้น อีซูซุจึงไม่มีปัญหาแต่อย่างใด รถอีซูซุทุกรุ่นสามารถใช้น้ำมัน B10 ได้

แต่เพื่อความมั่นใจของลูกค้าและการใช้งานของรถในระยะยาว จึงอยากแนะนำให้ลูกค้านำรถเข้าศูนย์บริการมาตรฐานอีซูซุอย่างสม่ำเสมอตามระยะที่กำหนดเพื่อการบำรุงรักษาอย่างเหมาะสม

รถยนต์กระบะ Isuzu D-Max (อีซูซุ ดีแมคซ์) รุ่นตั้งแต่ปี 2555-2562 จำนวน 20 รุ่น สามารถใช้น้ำมัน B20 ได้ภายใต้คำแนะนำและการตรวจสอบ รวมถึงการเปลี่ยนชิ้นส่วนเมื่อจำเป็นโดยศูนย์บริการมาตรฐานอีซูซุ

ยี่ห้อ รุ่น / แบบ รหัสเครื่องยนต์ มาตรฐานมลพิษ ปี ค.ศ. ที่ผลิต / นำเข้า / รุ่นปี
Isuzu D-Max 4JJ1-TCX EURO4 2019
Isuzu D-Max RZ4E-TC EURO4 2019
Isuzu D-Max 4JJ1-TCX EURO4 2018
Isuzu D-Max RZ4E-TC EURO4 2018
Isuzu D-Max 4JJ1-TCX EURO4 2017
Isuzu D-Max RZ4E-TC EURO4 2017
Isuzu D-Max 4JJ1-TCX EURO4 2016
Isuzu D-Max RZ4E-TC EURO4 2016
Isuzu D-Max 4JJ1-TCX EURO4 2015
Isuzu D-Max 4JK1-TCX EURO4 2015
Isuzu D-Max 4JK1-TC EURO4 2015
Isuzu D-Max 4JJ1-TCX EURO4 2014
Isuzu D-Max 4JK1-TCX EURO4 2014
Isuzu D-Max 4JK1-TC EURO4 2014
Isuzu D-Max 4JJ1-TCX EURO3 2013
Isuzu D-Max 4JK1-TCX EURO3 2013
Isuzu D-Max 4JK1-TC EURO3/EURO4 2013
Isuzu D-Max 4JJ1-TCX EURO3 2012
Isuzu D-Max 4JK1-TCX EURO3 2012
Isuzu D-Max 4JK1-TC EURO3 2012

รถยนต์กระบะ Isuzu MU-X รุ่นปี 2557-2562 จำนวน 12 รุ่น สามารถใช้น้ำมัน B20 ได้ ภายใต้คำแนะนำและการตรวจสอบรวมถึงการเปลี่ยนชิ้นส่วนเมื่อจำเป็นโดยศูนย์บริการมาตรฐานอีซูซุ

ยี่ห้อ รุ่น / แบบ รหัสเครื่องยนต์ มาตรฐานมลพิษ ปี ค.ศ. ที่ผลิต / นำเข้า / รุ่นปี
Isuzu MU-X 4JJ1-TCX EURO4 2019
Isuzu MU-X RZ4E-TC EURO4 2019
Isuzu MU-X 4JJ1-TCX EURO4 2018
Isuzu MU-X RZ4E-TC EURO4 2018
Isuzu MU-X 4JJ1-TCX EURO4 2017
Isuzu MU-X RZ4E-TC EURO4 2017
Isuzu MU-X 4JJ1-TCX EURO4 2016
Isuzu MU-X RZ4E-TC EURO4 2016
Isuzu MU-X 4JJ1-TCX EURO4 2015
Isuzu MU-X 4JK1-TCX EURO4 2015
Isuzu MU-X 4JJ1-TCX EURO4 2014
Isuzu MU-X 4JK1-TCX EURO4 2014

Nissan-Navara-Diesel-B20

Nissan

Nissan Navara (นิสสัน นาวารา) รองรับการใช้งานน้ำมันไบโอดีเซล B20 ได้แล้ว โดยต้องเป็นเครื่องยนต์ดีเซล YD ของรถกระบะ D23 ทุกรุ่น (รถ D23 ที่จำหน่ายตั้งแต่กันยายน 2557) ถูกออกแบบให้รองรับการใช้ B20 ได้ แต่เพื่อให้รถยนต์มีสมรรถนะที่ดีและพร้อมสำหรับการใช้งานอยู่เสมอ ต้องปฏิบัติตามมีคำแนะนำดังต่อไปนี้

– เปลี่ยนไส้กรองน้ำมันเชื้อเพลิงทุก 18 เดือน หรือ ระยะ 30,000 กม แล้วแต่ระยะใดถึงก่อน เพื่อประสิทธิภาพการทำงานที่ดีของไส้กรองน้ำมันเชื้อเพลิง เนื่องจากน้ำมัน B20 มีส่วนผสมที่อาจทำให้เกิดการอุดตันได้ง่ายกว่าเมื่อเทียบกับน้ำมันทั่วไป

– ควรตรวจเช็คระยะทุกๆ 6 เดือน หรือ 10,000 กม เมื่อระยะใดถึงก่อน ที่ศูนย์บริการนิสสันที่ได้รับการแต่งตั้งอย่างเป็นทางการทั่วประเทศ

– ตรวจเช็คสภาพของรถให้อยู่ในสภาพที่สมบูรณ์อยู่เสมอ และควรใช้อะไหล่แท้ของนิสสันทุกครั้งเมื่อทำการเปลี่ยน เพื่อรักษาสมรรถนะที่ดีและการใช้งานที่ยาวนาน

– การใช้รถควรจะอยู่ในบริเวณที่มีอุณหภูมิสูงกว่า 16 องศาเซลเซียส เพราะในสภาวการณ์ที่ต่ำกว่าอุณหภูมิดังกล่าว อาจทำให้เกิดไขขึ้นในน้ำมันที่จะส่งผลกระทบต่อการทำงานของเครื่องยนต์

– หากพบว่าเครื่องยนต์มีอาการผิดปกติ กรุณาติดต่อศูนย์บริการนิสสันทันที

– เติมน้ำมันจากสถานีบริการน้ำมันที่ได้มาตรฐานซึ่งได้รับการรับรองจากกรมธุรกิจพลังงานเท่านั้น

วิธีการตรวจสอบรุ่นรถยนต์ Nissan Navara ที่รองรับน้ำมันไบโอดีเซล B20

Nissan-Navara-B20

1. ตรวจสอบรหัสโมเดลและรหัสเครื่องยนต์ที่บริเวณห้องเครื่องยนต์ด้านคนขับ

1) ตรวจสอบรหัสโมเดล 18 หลัก
โดยดูรหัสตำแหน่งที่  8 / 9 / 10
จะต้องระบุว่าเป็น  D / 2 / 3
2) ตรวจสอบรหัสเครื่องยนต์ ต้องระบุว่าเป็น YD25DDTi

2. หากรหัสทั้ง 2 จุด ตรงกับข้อมูลข้างบน แสดงว่ารถยนต์ของท่านรองรับน้ำมันไบโอดีเซล B20

[ตัวอย่างเช่น]
MODEL = CVL4LZLD23ICP-DBFQ
ENGINE = YD25DDTi

Mitsubishi-Diesel-B20

Mitsubishi

ท่านสามารถตรวจสอบรุ่นรถ Mitsubishi ที่รองรับน้ำมันไบโอดีเซล B20 ด้านล่างนี้

รุ่นรถยนต์ รหัสเลขเครื่องยนต์
มิตซูบิชิ ปาเจโร สปอร์ต* เครื่องยนต์ที่ขึ้นต้นด้วยรหัสเลขเครื่องยนต์ 4N15 และ 4D56
มิตซูบิชิ ไทรทัน* 1. เครื่องยนต์ที่ขึ้นต้นด้วยรหัสเลขเครื่องยนต์ 4N15
2. เครื่องยนต์ที่ขึ้นต้นด้วยรหัสเลขเครื่องยนต์ 4D56 ยกเว้น แบบรหัสรุ่น KA4TNCNMFRU และ KA4TNENMFRU

* รถยนต์ Mitsubishi Triton (มิตซูบิชิ ไทรทัน) และ Mitsubishi Pajero Sport (มิตซูบิชิ ปาเจโร สปอร์ต) เครื่องยนต์ที่ขึ้นต้นด้วยรหัสเลขเครื่องยนต์ 4M41 ไม่รองรับการใช้น้ำมันไบโอดีเซล B20

คำแนะนำการใช้น้ำมันไบโอดีเซล B20 กับรถยนต์มิตซูบิชิที่รองรับ

  • การใช้น้ำมันไบโอดีเซล B20 ในบริเวณที่มีอุณหภูมิต่ำกว่า 16 องศาเซลเซียส อาจส่งผลกระทบต่อการทำงานของเครื่องยนต์ ดังนั้น ก่อนการใช้งานกรุณาขอคำแนะนำจากศูนย์บริการมิตซูบิชิที่ได้รับการแต่งตั้งอย่างเป็นทางการลูกค้าจะต้องใช้น้ำมันที่ได้รับการรับรองมาตรฐานจากกรมธุรกิจพลังงานเท่านั้น

รายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับน้ำมันดีเซล B20 สามารถดูได้ที่ กรมธุรกิจพลังงาน กระทรวงพลังงาน

วิธีที่ 1 เช็กด้วยตนเอง จากเอกสารประจำรถยนต์

1.1 เช็กจากสมุดรายการจดทะเบียน

1.2 เช็กจากสมุดคู่มือการใช้รถ

กรณี 1 เลขเครื่องยนต์ ขึ้นต้นด้วยรหัส 4N15 รองรับการใช้น้ำมันไบโอดีเซล B20

กรณี 2 เลขเครื่องยนต์ ขึ้นต้นด้วยรหัส 4D56 รองรับการใช้น้ำมันไบโอดีเซล B20 *ยกเว้น แบบรหัสรุ่น KA4TNCNMFRU และ KA4TNENMFRU ที่ไม่รองรับการใช้น้ำมันไบโอดีเซล B20

หรือ วิธีที่ 2 เช็กผ่านระบบ กรอก แบบรหัสรุ่น เพื่อความมั่นใจ

กรอกรายละเอียดรหัสรุ่นได้ที่ – https://www.mitsubishi-motors.co.th/th/b20

Mazda-BT-50-Pro-Double-Cab

Mazda

Mazda เสริมทัพปิกอัพพันธุ์แกร่ง BT-50 PRO เพื่อรองรับการใช้น้ำมันดีเซล B20 หวังให้ลูกค้ามาสด้าได้มีส่วนร่วมในการช่วยเหลือเกษตรกรไทยเติมน้ำมันดีเซล B20 ตามนโยบายภาครัฐ

Mazda ในฐานะผู้จำหน่ายรถปิกอัพรุ่น BT-50 PRO ที่ใช้เครื่องยนต์ดีเซล จึงออกประกาศแผนในการศึกษา พัฒนาในทันทีเพื่อดำเนินการอัพเกรดอุปกรณ์ในรถปิกอัพมาสด้า ให้สามารถรองรับน้ำมันดีเซล B20 สำหรับลูกค้าที่จองซื้อรถปิกอัพ BT-50 PRO ที่เริ่มผลิตตั้งแต่เดือนมกราคม ปี 2563 สามารถเติมน้ำมันดีเซล B20 ได้โดยไม่ส่งผลกระทบต่อเครื่องยนต์ สมรรถนะของรถ และอัตราสิ้นเปลืองน้ำมันแต่อย่างใด

B20compatibility

Ford

รถยนต์ Ford ที่ติดตั้งเครื่องยนต์ ดีเซล 2.0 ลิตร ทั้งเทอร์โบเดี่ยวและเทอร์โบคู่ รองรับการใช้น้ำมันไบโอดีเซล

การใช้ไบโอดีเซล

รถของคุณเหมาะสำหรับการใช้งานไบโอดีเซลที่ผสมไม่เกิน 20% (B20) คุณจะได้รับสมรรถนะและความทนทานของเครื่องยนต์ในแบบที่ยอมรับได้โดยใช้ B20 โดยการปฏิบัติตามแนวด้านล่างนี้
อย่าเติมเชื้อเพลิงที่มีไบโอดีเซลที่มีการผสมเกินกว่า 20% ในถังเชื้อเพลิง

หมายเหตุ:  อย่าใช้น้ำมันดิบ ไขมันหรือเศษไขมันสัตว์จากการประกอบอาหาร เนื่องจากสารเหล่านี้ไม่ใช่ไบโอดีเซล

หมายเหตุ:  หากรถของคุณประสบปัญหาน้ำมันเชื้อเพลิงกลายเป็นไขที่อุณหภูมิต่ำ โปรดพิจารณาใช้น้ำมันดีเซลยี่ห้ออื่นหรือน้ำมันดีเซลที่มีสารไบโอดีเซลในปริมาณที่ต่ำกว่าเดิม

หมายเหตุ:  เราไม่แนะนำให้ใช้สารเติมแต่งต่างๆ เพื่อป้องกันไม่ให้น้ำมันเชื้อเพลิงกลายเป็นไข

Chevrolet-Trailblazer

Chevrolet

เชฟโรเลต ประเทศไทย ได้ประกาศว่ารถกระบะ Colorado และรถอเนกประสงค์ Trailblazer สามารถรองรับการใช้น้ำมันไบโอดีเซล B20 ได้แล้ว

ส่วนรถบรรทุกขนาดใหญ่ที่สามารถใช้น้ำมันดีเซล B20 ได้ มียี่ห้อ Hino, Isuzu, MAN, Scania, UD Trucks และ Volvo Trucks

ถ้าคุณตัดสินใจอยากขายรถคันเดิม เพื่อไปซื้อรถคันใหม่ หรือรับเป็นเงินก้อนไปใช้ สามารถขายรถคันเดิมกับ CARRO ได้ ง่ายๆ ได้เงินไว! กับ CARRO Express เพียงแค่คลิก https://th.carro.co/sell-car/express หรือสามารถ Inbox มาขอรายละเอียดได้ที่ Facebook CARRO Thailand

หรือจะ Add Line สอบถามรายละเอียดได้ที่ @Carrothailand หรือคลิกที่นี่ครับ —> เพิ่มเพื่อน

แหล่งที่มา: เนื้อหาบางส่วนจาก

unnamed

รถยนต์ส่วนมากที่ทุกคนเห็นนั้น ส่วนใหญ่จะเป็นสีขาวเป็นหลัก เพราะสีขาวเป็นสีที่ยอดฮิตสำหรับทุกคน และสามารถขายในตลอดรถยนต์มือสองได้ในราคาดี แต่รู้หรือหากเราดูแลรถไม่ถูกวิธี อาจจะทำให้สีขาวนั้นเหลืองหมองไม่สวยงาม สภาพรถยนต์ของคุณดูเก่า และขายได้ในราคาที่ถูก SIAMCARDEAL.COM จึงมีเทคนิคการดูแลรถสีขาวมาฝากกันครับ

หลีกเลี่ยงการตากแดด
⦁ หลีกเลี่ยงการจอดรถตากแดด
สีขาวจะเสื่อมสภาพได้อย่างรวดเร็ว หากจอดกลางแดดเป็นเวลานานๆ ทำให้เกิดคราบหมอง เหลือง ได้เร็วกว่าสีอื่น ทางที่ดีควรหาที่จอดไว้ในที่ร่มทั้งที่บ้าน และที่ทำงาน เพื่อป้องกันไม่ให้กระทบกับแสงแดดโดยตรง ซึ่งถือเป็นวิธีที่ดีที่สุดที่ช่วยให้รถไม่หมองเร็ว

ล้างรถอย่างน้อยสัแดาห์ละครั้ง
⦁ ล้างรถอย่างน้อยสัปดาห์ละครั้ง
จริงๆแล้วข้อนี้สำคัญกับทุกสี เนื่องจากจะเป็นการช่วยล้างคราบสกปรกต่างๆ เช่น มูลนก, โคลน, คราบน้ำมัน และอื่นๆออกไป ก่อนที่จะทำให้ชั้นผิวสีเสียหาย แต่สำหรับรถสีขาวนั้น ควรแยกฟองน้ำออกเป็น 2 ส่วน คือ ฟองน้ำสำหรับล้างตัวถังส่วนบนและตัวถังส่วนล่าง เนื่องจากส่วนล่างของรถสกปรกกว่ามาก การใช้ฟองน้ำร่วมกันจะทำให้เกิดคราบจางๆบนตัวถังได้ ซึ่งรถสีขาวจะเห็นได้ชัดกว่าสีอื่น

เช็ดรถให้แห้งและสะอาด
⦁ เช็ดรถให้แห้งและสะอาด
เมื่อล้างเสร็จแล้ว ไม่ควรปล่อยให้รถแห้งเอง ทางที่ดีควรใช้ผ้าไมโครไฟเบอร์หรือผ้าชามัวร์สำหรับเช็ดรถโดยเฉพาะ เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดรอย และต้องมั่นใจว่าเช็ดจนแห้งทุกจุด เพราะตัวถังสีขาวจะเห็นคราบน้ำได้ยาก อาจทำให้เป็นรอยด่างได้

⦁ เคลือบสีรถเป็นประจำ
ควรให้น้ำยาเคลือบสีรถเป็นประจำอย่างน้อยเดือนละครั้ง เพื่อช่วยให้ผิวรถเกิดฟิล์มบางๆเคลือบเอาไว้ ช่วยชลออาการเกิดคราบเหลือง และที่สำคัญควรเลี่ยงน้ำยาเคลือบที่มีส่วนผสมของ ‘คานูบ้า’ เนื่องจากจะยิ่งเป็นการทำให้รถเหลืองเร็วกว่าปกติ

เคลือบสีรถเป็นประจำ

⦁ ใช้ดินน้ำมันล้างรถ
การใช้ดินน้ำมันล้างรถ ถือเป็นวิธีที่ได้รับความนิยมเพิ่มขึ้นอย่างมาก เนื่องจากสามารถดึงคราบสกปรกออกจากตัวรถได้เป็นอย่างดี และจะช่วยให้คืนความเงางามของสีรถกลับมาได้อีกด้วย

คำแนะนำข้างต้น สามารถนำไปใช้ได้กับรถทุกสี อาจจะดูง่าย และธรรมดาไปบ้าง แต่ถ้าหากเราปฎิบัติเป็นประจำ ก็จะสามารถช่วยยืดอายุของสีรถยังคงสดใสอย่างยาวนาน และน่ามองตลอดเวลา หากต้องการหาโปรโมชั่นรถยนต์ใหม่ป้ายแดงอย่าลืมนึกถึง SIAMCARDEAL.COM

ขอบคุณภาพจาก www.freepik.com

5-Ways-To-Save-Insurance-Premium

เป็นที่ทราบกันดีว่า ประกันภัยชั้น 1 มักจะแถมมาให้กับรถป้ายแดงแทบจะทุกคันอยู่แล้ว เรียกว่าเป็นมาตรฐานเลยก็ว่าได้ ซึ่งถือว่าเป็นความคุ้มครองที่มีให้อย่างครบถ้วน ไม่ว่าจะเป็น เราชนเขา เขาชนเรา หรือเกิดจากสิ่งที่เหนือความคาดหมาย เช่น ภัยธรรมชาติ ภัยจากก่อการร้าย เป็นต้น

แต่พอหลังจากที่ประกันภัยชั้น 1 หมดอายุแล้ว ถ้าเราต้องการจะต่ออายุใหม่ ก็ต้องเตรียมเงินไว้จ่ายค่าเบิ้ยประกันนับหมื่นบาทเลยทีเดียว ซึ่งหลายคนในเศรษฐกิจฝืดเคืองแบบนี้ มีรายจ่ายสารพัด นอกจากค่าผ่อนรถแล้ว รายจ่ายในการทำประกันภัยรถ ก็ยังจำเป็นต้องทำอีกด้วย (สำหรับคนที่เพิ่งซื้อรถได้ไม่นาน หรือเพิ่งมือใหม่หัดขับ มีไว้มันก็อุ่นใจน่ะ)

Mr.Carro จึงขอแนะนำวิธีทำประกันภัยชั้น 1 อย่างไร ให้ถูกกว่าปกติสูงสุดถึง 50% ครับ.

5-Ways-To-Save-Insurance-Premium

1. ส่วนลดเบี้ยประกันรถจากประวัติดี

อันนี้ถือเป็นรางวัลของคนที่ขับรถดี ไม่มีเคลมครับ (ซึ่งบริษัทประกันภัยก็ชอบด้วย ฮา…) จึงมีส่วนรถเบี้ยประกันสำหรับประวัติการขับรถดี มีทั้งหมด 4 ขั้นตอน

– ขั้นแรก ลด 20% เมื่อไม่มีการเคลมในปีแรก
– ขั้นที่ 2 ลด 30% เมื่อเมื่อไม่มีการเคลมใน 2 ปีติดต่อกัน
– ขั้นที่ 3 ลด 40% เมื่อเมื่อไม่มีการเคลมใน 3 ปีติดต่อกัน
– ขั้นที่ 4 ลด 50% เมื่อเมื่อไม่มีการเคลมใน 4 ปีติดต่อกัน หรือมากกว่านั้น

แต่ถ้าเกิดว่า เราเกิดเป็นฝ่ายผิดหรือประมาท (พูดง่ายๆ คือ ขับรถไปชนคน หรือสิ่งของ นั่นล่ะ) ส่วนลดเบี้ยประกันของคุณ ก็จะลดลงตามขั้นไป

2. เลือกทุนประกันรถยนต์ที่เหมาะสม

การเลือกทุนประกันรถยนต์ครับ ล้วนมีผลต่อเบี้ยประกันเช่นกัน ซึ่งจะมีโปรแกรมคำนวณอัตโนมัติ จากนักคณิตศาสตร์ประกันภัย ให้ได้ทุนประกันที่เหมาะสมที่สุดอยุ่ที่ 80% ของราคารถยนต์ในปีแรก และจะคำนวณเป็น 90% ของทุนประกันปีก่อนหน้าไปเรื่อยๆ ซึ่งช่วงราคานี้ สามารถเพิ่มขึ้นหรือลดลงได้ตามการคำนวณ เพราะทุนประกันมาก ก็ต้องจ่ายค่าเบื้ยประกันมากตามไปด้วย

แต่ไม่สามารถเลือกทุนประกันให้สูงเกินมูลค่ารถได้นะครับ เพราะว่ารถทุกคันมันมีค่าเสื่อมจากการใช้งานครับ ซึ่งมูลค่ารถยนต์จะลดลงเรื่อยๆ ปีละ 10% หรือตามราคากลางรถยนต์ในปีนั้นๆ

3. เพิ่มค่า Excess Fee ช่วยลดค่าเบี้ยได้

ค่า Excess Fee ถือเป็นค่าเสียหายส่วนแรกในกรณีเกิดอุบัติเหตุแล้วเป็นฝ่ายผิด หรือไม่มีคู่กรณี ซึ่งปกติจะอยู่ที่ครั้งละ 1,000 บาท แต่หากมั่นใจว่าเราคนขับรถดี ไม่ชนบ่อยๆ การเลือกประกันภัยที่มีค่าเสียหายส่วนแรกสูงๆ (ประมาณ 2,000 – 5,000 บาท) ก็ช่วยประหยัดค่าเบี้ยประกันได้เช่นกัน

4. ระบุชื่อคนขับรถ

การระบุชื่อและอายุของผู้ขับขี่ (ว่าใครเป็นคนขับรถคันนี้แน่นอน) ก็ลดเบี้ยประกันภัยชั้น 1 ได้เช่นกัน โดยอัตราค่าเบี้ยประกันที่ลดลง มีลักษณะเป็นลำดับขั้นตามอายุของผู้เอาประกัน โดยหากระบุผู้ขับขี่ 2 คน ให้ยึดผู้ที่มีอายุน้อยสุดเป็นหลัก ดังนี้

– อายุ 18-24 ปี ได้ส่วนลด 5%
– อายุ 25-35 ปี ได้ส่วนลด 10%
– อายุ 36-50 ปี ได้ส่วนลด 15%
– อายุ 50 ปีขึ้นไป ได้ส่วนลด 20%

5. เลือกซ่อมอู่นอกก็ได้

บางกรณีที่รถคุณมีแค่รอบเฉี่ยวชนเล็กๆ น้อยๆ ก็ไม่จำเป็นต้องเคลมเพื่อเข้าศูนย์บริการอย่างเดียวก็ได้ ลองเลือกอู่ซ่อมรถที่ไว้ในได้ และเป็นพันธมิตรกับบริษัทประกันภัยที่คุณจะทำอยู่ดู เพราะการเลือกประกันแบบซ่อมอู่ ช่วยประหยัดค่าเบี้ยประกันได้ 10-30% ทีเดียว

ลองเลือกดูตามความเหมาะสมนะครับ แล้วคุณจะได้ขับรถอย่างสบายใจ และประหยัดเงินอีกด้วยครับ

Symbols-On-Car-Mirror

คุณเคยสังเกตกันหรือไม่ว่า บนกระจกรถทุกคัน จะต้องมีสัญลักษณ์ต่างๆ ที่พิมพ์ลงบนเนื้อกระจกเลย นับตั้งแต่กระจกบานหน้า กระจกบานข้าง บานหลัง เป็นต้น

หลายคนอาจจะไม่ได้สนใจ แต่กระจกเหล่านี้ ล้วนมีผลต่อการดูรถมือสองได้ด้วยเช่นกัน และยังมีประโยชน์ ในการตรวจสอบมาตรฐานของกระจกชนิดนั้นๆ ด้วย ว่าได้มาตรฐาน ได้ผ่านการรับรองจากองค์กรทั้งในไทย หรือในระดับนานาชาติหรือไม่ …

Mr.Carro จะมาอธิบายให้ฟังครับว่า สัญลักษณ์บนกระจกรถ หมายถึงอะไรบ้าง …

Symbols-In-Car-Mirror

สำหรับรถยนต์ที่ขายในบ้านเรา นับตั้งแต่ 30 กว่าปีที่ผ่านมาแล้ว จะสังเกตได้ว่า กระจกรถยนต์ที่ได้มาตรฐาน จะต้องผ่านการตรวจสอบจาก สมอ. (สำนักงานมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม) และมีสัญลักษณ์รับรองมาตรฐาน มอก. เท่านั้น

มอก.

รวมไปถึงสัญลักษณ์ “TIS” (Thai Industrial Standard) และ TIS 2602-2556 (2013) สำหรับกระจกนิรภัยรถยนต์ ทั้งเทมเปอร์และลามิเนต

ซึ่งถ้าเป็นรถที่ผลิตในไทย ต้องมีประทับตรา อย่างน้อยๆ 3 อย่างนี้ แน่นอนครับ

แล้วถ้าเป็นรถที่ผลิตในญี่ปุ่น หรือรถแบรนด์ญี่ปุ่นที่ผลิตในไทยล่ะ?

JIS

Logo JIS แบบเก่า และ แบบปัจจุบัน

JIS (Japanese Industrial Standards) เป็นมาตรฐานอุตสาหกรรม ของประเทศญี่ปุ่น ที่ก่อตั้งขึ้นโดยหน่วยงานที่ชื่อว่า Japan Industrial Standards Committee (JISC) ภายใต้กระทรวงเศรษฐกิจ การค้า และอุตสาหกรรมของประเทศญี่ปุ่น นับตั้งแต่ปี 1949 เป็นการกำหนดและพัฒนามาตรฐานของ JIS ให้ได้คุณภาพตามที่กำหนดแก่ผู้ผลิตรายต่างๆ

แล้วถ้าเป็นรถที่ผลิตในยุโรป หรือรถแบรนด์ยุโรปที่ผลิตในไทยล่ะ?

European-Standard

สำหรับรถยุโรป บนกระจกรถยนต์ทุกรุ่น ก็จะใช้เป็นมาตรฐาน EEC (European Standard) ตามมาตรฐานยุโรป ที่สามารถแยกย่อยออกเป็นประเทศต่างๆ ได้ดังนี้

E1 Germany
E2 France
E3 Italy
E4 Netherlands
E5 Sweden
E6 Belgium
E7 Hungary
E8 Czech Republic
E9 Spain
E10 Yugoslavia
E11 United Kingdom
E12 Austria
E13 Luxembourg
E14 Switzerland
E16 Norway
E17 Finland
E18 Denmark
E19 Romania
E20 Poland
E21 Portugal
E22 Russian Federation
E23 Greece
E24 Ireland
E25 Croatia
E26 Slovenia
E27 Slovakia
E28 Belarus
E29 Estonia
E31 Bosnia and Herzegovina
E32 Latvia
E34 Bulgaria
E37 Turkey
E40 The former Yugoslav Republic of Macedonia
E42 European Community
E43 Japan
E45 Australia
E46 Ukraine
E47 South Africa
E48 New Zealand
E49 Cyprus
E50 Malta
E51 Republic of Korea
E52 Malaysia
E53 Thailand

แล้วถ้าเป็นรถที่ผลิตในจีน หรือรถแบรนด์จีนที่ผลิตในไทยล่ะ?

CCC-Mark

ของทางจีน จะเป็นมาตรฐาน CCC Mark หรือ China Compulsory Certification Mark ครอบคลุมสินค้าอุตสาหกรรม ที่ผลิตในประเทศจีน และสินค้าที่จะผลิตส่งเข้าไปขายในจีน โดยผู้ผลิต ผู้จำหน่าย หรือผู้นำเข้าต้องมีใบรับรองกำกับ พร้อมติดเครื่องหมาย CCC Mark จึงจะนำสินค้านั้นๆ ขายในจีนได้

โดยเริ่มใช้ตั้งแต่วันที่ 1 พฤษภาคม 2002 และมีผลตั้งแต่วันที่ 1 สิงหาคม 2003 เป็นต้นไป

แล้วถ้าเป็นรถที่ผลิตใน USA หรือรถแบรนด์ USA ที่ผลิตในไทยล่ะ?

ANSI-Logo

ANSI (American National Standard Institute) หรือ สถาบันมาตรฐานแห่งชาติของสหรัฐอเมริกา ใช้ในการกำหนดมาตรฐานอุตสาหกรรมต่างๆ ซึ่งก่อตั้งมาตั้งแต่ปี 1918

TSG-AGC-Glass

และในส่วนของ “TSG” (Thai Safety Glass) ต่อมาเปลี่ยนชื่อเป็น “AGC” คือชื่อบริษัทผู้ผลิตกระจกรถยนต์กลุ่ม Asahi จากประเทศญี่ปุ่น ที่ร่วมลงทุนกับคนไทยตั้งแต่ปี 2517 ต่อมาในปี 2548 ทางญี่ปุ่นจึงเข้าถือหุ้นเต็ม 100% และเปลี่ยนชื่อบริษัทใหม่เป็น AGC Automotive (Thailand)

Saint-Gobain-Sekurit

และบริษัท Saint-Gobain Sekurit (เเซง-โกเเบ็ง ซีคิวริท) ก็เป็นบริษัทผู้ผลิตกระจกรถยนต์เช่นเดียวกัน โดยเริ่มทำธุรกิจในไทยตั้งแต่ 2540 เน้นธุรกิจกลุ่มวัสดุนวัตกรรม และกลุ่มผลิตภัณฑ์ก่อสร้าง ก่อนจะผลิตกระจกรถยนต์ OEM และจำหน่ายในปี 2541

กระจกรถยนต์ทั้ง 2 ยี่ห้อ ที่ออกจากโรงงานประกอบรถยนต์ จะมีการประทับตราโลโก้ยี่ห้อรถยนต์ตามที่บริษัทรถยนต์สั่งผลิตเท่านั้น ส่วนกระจกที่ส่งขายตามร้านกระจกรถยนต์ทั่วไป จะไม่มีการประทับตรายี่ห้อรถยนต์ เนื่องจากติดปัญหาในเรื่องลิขสิทธิ์ แต่สินค้าทั้ง 2 ยี่ห้อ จะได้มาตรฐาน OEM เหมือนกันทั้งหมด

และกระจกรถยนต์ในปัจจุบันทั้งหมด จะเป็นกระจกนิรภัยแบบเทมเปอร์ (Tempered Glass หรือ T/P) หรือที่เรียกทั่วไปว่า “กระจกอบ” เป็นกระจกที่นิยมใช้เป็นกระจกนิรภัย เพราะแตกจะแตกเป็นเกล็ดเล็กๆ คล้ายเม็ดข้าวโพด และไม่มีคม จึงเกิดอันตรายน้อย

แหล่งที่มา :

Emergency-Repair-Radiator-In-Forest

ช่วงนี้ก็เป็นหน้าฝนนะครับ แต่การเดินทางของคนเรานั้น ยังจำเป็นอยู่เสมอ ซึ่งบางคนอาจจะมีความจำเป็นต้องเข้าป่า ไม่ว่าจะเข้าไปเที่ยวช่วงหน้าฝน เข้าไปส่งของอุปโภคบริโภคให้หมู่บ้านบนเขา หรือเหตุผลใดก็แล้วแต่ สิ่งที่สำคัญ คือ “สภาพรถต้องพร้อม” อยู่เสมอ

แต่บางทีเหตุการณ์ไม่คาดคิดก็อาจเกิดขึ้นได้เสมอ เช่น รถต้องลุยน้ำในลำธารที่มีน้ำไหลเชี่ยว ดันใบพัดหม้อน้ำแตกแล้วไปโดนรังผึ้งหม้อน้ำ หรือไปกระแทกกับก้อนหิน โดนหม้อน้ำรั่วระหว่างอยู่ในป่า อุปกรณ์ เครื่องมือในการซ่อมก็ไม่มี แล้วจะมีวิธีการแก้ปัญหาได้อย่างไร

Mr.Carro ขอแนะนำวิธีแก้ เมื่อหม้อน้ำรั่วรถในป่าครับ.

Emergency-Repair-Radiator-In-Forest

กรณีต้องขับรถลุยน้ำในลำธารที่เชี่ยวกราก ถ้าคุณสามารถหลีกเลี่ยงได้ ควรหลีกเลี่ยง แต่ถ้าหลีกเลี่ยงไม่ได้ ให้ขับรถผ่านลำธารไปด้วยความระมัดระวัง และใช้ความเร็วที่เหมาะสม หรือถ้าคุณมีผ้า หรือกระสอบ นำมาปิดบริเวณกระจังหน้ารถเพื่อกันแรงดันน้ำ ก็จะช่วยให้ปลอดภัยมากขึ้น

สมมติว่า ถ้าถูกกระแสน้ำตีเอาใบพัดแตก แล้วกระทบกับหม้อน้ำรังผึ้งรั่วขึ้นมา จะทำอย่างไร?

E-Pox-E5-Steel-Filler

การเดินทางเข้าป่า หรือถิ่นทุรกันดาร นอกเหนือจากของกินของใช้ส่วนตัวที่นำติดรถไปแล้ว ควรนำอะไหล่บางอย่างติดรถไปด้วย ถ้ายิ่งรู้ว่าจะต้องขับรถลุยน้ำด้วยแล้ว ควรเตรียมใบพัดหม้อน้ำ กับ E-Pox E5 Steel Filler (หรือ อีพ็อกซี่ปะเหล็ก) ในรูปแบบหลอด ก็มีความจำเป็นอย่างยิ่ง

Emergency-Repair-Radiator-In-Forest

ในการแก้ปัญหา ต้องถอดหม้อน้ำออกเพื่อทำการซ่อมแซม สำรวจดูว่า มีรอยรั่วมากน้อยเพียงใด เมื่อพบรอยรั่วแล้ว ใช้ไขควงแบนกดบริเวณที่เป็นรังผึ้งให้ราบลง เพื่อให้เห็นเพียงช่องน้ำผ่านของรังผั้ง

จากนั้น ตัดช่องน้ำผ่านบริเวณที่เป็นจุดรอยรั่วออก แล้วใช้คีมพับปลายของช่องน้ำผ่านทั้ง 2 ด้านให้แน่น หากมีหลายจุดที่รั่ว ก็ทำลักษณะเดียวกัน กรณีที่มีกาว E-Pox E5 Steel Filler ติดมาด้วย ก็ทำการผสมกาวตามสัดส่วนที่กำหนด แล้วทาปิดบริเวณที่พับปล่อยจนกว่ากาวจะแห้ง หากไม่มีกาวก็ไม่เป็นไร แต่ควรพับบริเวณที่ช่องน้ำผ่านให้แน่น

จากนั้นทำการทดสอบการรั่ว โดยการเป่าลมเข้าไปในหม้อน้ำทางช่องเติมน้ำ ซึ่งต้องใช้มือปิดบริเวณท่อนต่อท่อยางหม้อน้ำบนและล่างเสียก่อน หากพบว่ายังมีลมออกมา แสดงว่ายังมีรอยรั่วอยู่ ก็ต้องหาจุดกันอีกครั้ง

Emergency-Repair-Radiator-In-Forest

เปลี่ยนใบพัดหม้อน้ำถ้ามีสำรองมาหรือถ้าไม่มีติดมา หากใบพัดหักเพียงใบหนึ่งหรือสองใบ ก็ยังใช้งานต่อไปได้ชั่วคราว เมื่อใส่หม้อน้ำเสร็จแล้วเต็มน้ำให้เต็ม สตาร์ทเครื่องแล้วเติมน้ำเข้าไปอีกครั้งให้เต็มสังเกตดูหากน้ำไม่ยุบก็ OK เดินทางต่อได้ แต่ควรดูเกจ์ความร้อนบ่อยๆ เพื่อความไม่ประมาท

เพียงเท่านี้ คุณก็ไม่ต้องกินข้าวลิงในป่าแล้ว …

ขอขอบคุณเนื้อหาบางส่วนจาก :

  • คุณจาลึก เอี่ยมเจริญ
3-Tips-To-Reduce-Noise-In-Car

ใครที่ขับรถเก่าๆ รถ Retro หรือรถกระบะยุคเก่าๆ หน่อย จะรู้ซึ้งกันดีว่า เวลาขับรถ ยิ่งวิ่งเร็วเท่าไหร่ ไม่ว่าจะเป็นเสียงลม เสียงเครื่องยนต์ เสียงยาง ต่างเล็ดลอดเข้ามาในห้องโดยสารดังแข่งพอๆ กับ เสียงจากวิทยุที่เปิดในรถเลยทีเดียว

หลายคนอาจะรู้สึกไม่เป็นปลื้มนัก เพราะวัสดุดูดซับเสียงตามจุดต่างๆ ทีติดรถมานั้น ย่อมเสื่อมสภาพไปตามเวลา หรือแม้แต่รถใหม่เองก็เป็นได้เช่นกัน แต่จะมีวิธีแก้ได้หรือเปล่า สำหรับคนรักความสงบ (เวลาขับรถ) ทั้งหลายมักสงสัยกัน …

Mr. Carro ขอแนะนำ 3 วิธีลดเสียงดังในห้องโดยสาร ไม่จำเป็นต้องต้องจ่ายแพง! ครับ.

1. Damp (แดมป์) พื้นรถ-ประตูรถ

3-Tips-To-Reduce-Noise-In-Car

การ Damp รอบคัน ด้วยวัสดุซับเสียง (Sound Deadening) ถือว่าได้รับความนิยมมากที่สุด โดยต้องถอดรื้อเบาะนั่งและพรมปูพื้นในรถออก เพื่อติดตั้งแผ่นซับเสียงลงบนพื้นตัวรถ ตรงผนังซุ้มล้อ และผนังกั้นระหว่างห้องเครื่องยนต์ รวมไปถึงบริเวณด้านในของแผงประตูรถทั้ง 4 บาน

ซึ่งแผ่นกันเสียงก็มีให้เลือกหลายแบบ เริ่มตั้งแต่เนื้อยาง สามารถติดตั้งได้เลย โดยไม่ต้องทากาว หรือจะเป็นแผ่นกันเสียงชนิดฟองน้ำ เป็นเนื้อโฟม เนื้อนุ่ม ติดตั้งได้รอบคันรถ

ซึ่งจริงๆ แล้ว การติดตั้งแผ่น Damp สามารถทำเองก็ได้ แต่ก็ต้องใช้เวลามาก เพราะต้องถอดอุปกรณ์ภายในรถออก แต่ถ้าไม่อยากเหนื่อยก็ให้ร้านเครื่องเสียง หรือร้านประดับยนต์ทำให้ ค่าใช้จ่ายก็มีอยู่ตั้งแต่หลักพันต้นๆ ไปจนถึงหลักหมื่น ขึ้นอยู่กับจำนวนที่ติดตั้งด้วย

2. เปลี่ยน หรือเสริมยางขอบประตู

3-Tips-To-Reduce-Noise-In-Car

ขอบประตู เป็นจุดสำคัญที่ทำให้เสียงภายนอกสามารถเล็ดลอดเข้ามาในห้องโดยสารได้ ยิ่งในรถเก่าๆ ที่ยางขอบประตู หรือยางกระดูกงูขอบประตูเสื่อมสภาพ เสียงก็ลอดเข้ามาได้มากกว่า หากยางขอบประตูรถคุณเก่าแล้ว แนะนำให้เปลี่ยนเส้นใหม่ ซึ่งก็ควรเลือกให้เหมือนหรือคล้ายกับของเดิม เพื่อตัดปัญหาเมื่อติดตั้งไปแล้ว ประตูรถปิดไม่ได้ หรือปิดไม่สนิทอีก

ถ้ายางขอบประตูใหม่อยู่ แต่มีเสียงเล็ดลอดเข้ามา ก็สามารถเลือกติดตั้งยางกันเสียงเพิ่มเติมได้ ซึ่งจะเป็นการติดคนละตำแหน่งกับยางขอบประตูเดิม ก็จะช่วยลดเสียงได้มากขึ้น

3.พ่นซุ้มล้อ

3-Tips-To-Reduce-Noise-In-Car

ปัจจุบันมีสเปรย์สำหรับพ่นใต้ซุ้มล้อ (Rubberized Undercoating) โดยวัสดุที่พ่น จะเป็นน้ำยาสีดำคล้ายยาง ที่สามารถป้องกันเสียงจากล้อเข้ามายังโดยสารได้ในระดับหนึ่ง วิธีทำก็ง่ายๆ เพียงพ่นไปยังที่ด้านในของซุ้มล้อทั้ง 4 ข้าง แล้วปล่อยให้แห้งประมาณ 30 นาที

แต่ถ้าคุณมีงบประมาณมากหน่อย ก็อาจจะจัดแบบ Sound Clad พ่นทั้งซุ้มล้อทั้งใต้ท้องรถไปเลย ก็ได้เช่นกัน

Old-Car-Over-7-Years-With-Insurance

ปัจจุบันนี้ รถมือสองในบ้านเราก็จัดได้ว่ามีจำนวนมาก (ซึ่งย้อนเวลาไปหลายปีก่อน รถพวกนี้ก็คือรถใหม่นั่นล่ะ) ซึ่งก็มีหลายคันที่อายุเกิน 7 ปีขึ้นไปแล้ว โดยปกติแล้วถ้าซื้อมาใช้ตั้งแต่ตอนยังเป็นป้ายแเดง ก็จะมีประกันภัยชั้น 1 ติดรถมาด้วย ซึ่งโดยปกติ ถ้าคุณต่อประกันภัยชั้น 1 กับบริษัทเดิมอย่างต่อเนื่อง และมีประวัติที่ดี ก็อาจจะต่อประกันภัยชั้น 1 ได้นานถึง 10 ปี หรือมากกว่านั้นก็ยังได้ …

ข้อดีและข้อเสียของประกันภัยชั้น 1 อย่างที่รู้ๆ กัน นั่นคือ ให้ความคุ้มครองมาก เช่น กรณีรถถูกชนแล้วหนี ซึ่งประกันภัยประเภทอื่นไม่คุ้มครอง แถมยังได้ส่วนลดทุกปี ถ้าคุณใช้รถเก๋งมือสองแบบ Compact Car ทั่วไป บางทีจ่ายค่าเบี้ยประกันไม่ถึง 1 หมื่นบาท ด้วยซ้ำ ถ้าประวัติการเคลมของคุณมีน้อยๆ นะ แต่ค่าเบี้ยประกันภัยที่ค่อนข้างสูงเช่นกัน

Old-Car-Over-7-Years-With-Insurance

แต่รถมือสองหลายคัน อาจจะไม่ได้ต่อประภันภัยชั้น 1 มานานแล้ว เมื่อเราไปซื้อรถมือสองมาจากรถบ้าน หรือรถเต็นท์ แล้วอยากที่จะทำประกันภัยชั้น 1 ก็ลำบากซะแล้ว เพราะบริษัทประกันภัย จะรับทำประกันภัยชั้น 1 กับรถยนต์ที่อายุไม่เกิน 7 ปีเท่านั้น

ประกันภัยชั้น 2+ และ 3+ จึงเกิดขึ้นมาเพื่อรองรับจุดนี้ เหมาะสำหรับรถมือสองที่มีอายุเกิน 4 ปีขึ้น ไป เพราะอะไร? ลองดูคุณสมบัติกัน …

Old-Car-Over-7-Years-With-Insurance

ความคุ้มครองประกันภัยรถยนต์ชั้น 2+

ประกันรถยนต์ชั้น 2+ ให้ความคุ้มครองใกล้เคียงกับประกันชั้น 1 ต่างกันเพียงคุ้มครองแค่อุบัติเหตุ ที่เกิดจากการชนของ “รถยนต์” เท่านั้น (ซึ่ง ถ้ามีมอเตอร์ไซค์ หรือพาหนะอื่นๆ มาชน จะไม่ได้รับความคุ้มครอง) ราคาเบี้ยประกันไม่แพงมาก เหมาะสำหรับคนที่มีเคลมน้อยๆ

สำหรับความคุ้มครอง แยกออกมาได้เป็นข้อๆ ดังนี้

– ความเสียหายต่อตัวรถ เฉพาะกรณีชนกับพาหนะทางบก
– ชีวิตและร่างกายบุคคลภายนอก รวมถึงผู้โดยสารในรถยนต์เอาประกันภัย
– ทรัพย์สินบุคคลภายนอก
– การประกันอุบัติเหตุส่วนบุคคล ค่ารักษาพยาบาล และการประกันตัวผู้ขับขี่
– การสูญหายและไฟไหม้ตัวรถ
– ภัยธรรมชาติ หรือ ภัยก่อการร้าย

Old-Car-Over-7-Years-With-Insurance

ความคุ้มครองประกันภัยรถยนต์ชั้น 3+

ประกันรถยนต์ชั้น 3+ ถือว่าคุ้มค่ามาก เหมาะสำหรับรถเก่าๆ หรือคนที่ไม่ได้ขับรถบ่อยๆ เท่าไหร่ เพราะเป็นประกันภัยที่เน้นจ่ายเฉพาะเราขับไปชนคนอื่นเป็นหลัก อีกทั้งถ้ารถคุณมีประวัติดี ไม่เคยเคลม เวลาต่อประกันภัย ก็ยังได้ส่วนลดประวัติอีกด้วย และเบี้ยประกันภัยก็ไม่แพงมาก

สำหรับความคุ้มครอง แยกออกมาได้เป็นข้อๆ ดังนี้

– ความเสียหายต่อตัวรถ เฉพาะกรณีชนกับพาหนะทางบก
– ชีวิตและร่างกายบุคคลภายนอก รวมถึงผู้โดยสารในรถยนต์เอาประกันภัย
– ทรัพย์สินบุคคลภายนอก
– การประกันอุบัติเหตุส่วนบุคคล ค่ารักษาพยาบาล และการประกันตัวผู้ขับขี่

ก็ขึ้นอยู่กับความต้องการของคุณแล้วล่ะครับ ถ้าจะเลือกทำประกันภัยแบบไหน เอาตามงบที่มี หรือเอาตามเงื่อนไขความคุ้มครอง ล้วนแล้วดีทั้งหมดครับ

—–

ขอขอบคุณภาพประกอบจาก จส.100

5-Ways-if-You-Forget-Key-Car

ความขี้ลืมของคนเรานั้น เกิดขึ้นได้เสมอ บางทีเรื่องที่กำลังนึกคิดอยู่ไม่ทันไร อ้าว! ลืมไปซะแล้วว่าต้องทำอะไรบ้าง สิ่งเหล่านี้มีให้เห็นอยู่เสมอ ไม่เว้นแม้แต่การลืมกุญแจรถก็เช่นกัน บางทีก็อาจจะทำหล่นในรถ หรือทำหล่นตามสถานที่ต่างๆ …

แต่เมื่อคุณลืมกุญแจรถ หรือ กุญแจรีโมท ขึ้นมาแล้ว จะต้องทำอย่างไรบ้าง มาดูกันครับ

5-Ways-If-You-Forget-Key-Car

1. ตั้งสติ

พยายามตั้งสติ นึกก่อนว่าเราไปลืมไว้ตรงไหน หรือจุดใด หรือเปล่า อย่าเพิ่งตกใจ ค่อยๆ คิดก่อน

2. กุญแจสำรอง

ตามปกติแล้ว รถทุกคันจะมีกุญแจสำรองมาให้ 1 ดอก หรือบางคน อาจจะไปทำกุญแจสำรองเพิ่มมากกว่า 1 ดอก ก็มี ถ้าเกิดคุณขับรถออกไปทำธุระที่ไม่ไกลจากบ้านนัก กลับไปเอากุญแจสำรองมาไขก่อนดีกว่า หรือวันหลังถ้ากลัวลืมอีก ก็ลงทุนปั้มกุญแจสำรองอีก 1 ดอก พกติดตัวไว้ในกระเป๋าสตางค์เลยก็ได้

5-Ways-If-You-Forget-Key-Car

ภาพจาก thaicop.blogspot.com

3. ตามช่างกุญแจ หรือบริการช่วยเหลือฉุกเฉิน

ถ้าเกิดลืมกุญแจขณะจอดรถอยู่ในที่ย่านชุมชน ลอง Search หาช่างกุญแจในมือถือดู หรือเดินหาดูว่าตรงไหนมีช่างกุญแจอยู่บ้างหรือเปล่า เพราะช่างกุญแจหลายคนมีทักษะในการเปิดประตูรถได้ (ซึ่งบางคน สามารถใช้เพียงคลิปหนีบกระดาษ ไขสะเดากุญแจได้แล้ว!) หรือมีกุญแจพิเศษ (กุญแจผี) ที่สามารถไขเปิดประตูรถได้

ถ้าเป็นรถรุ่นปีใหม่ๆ หน่อย มักจะมีบริการช่วยเหลือฉุกเฉินอยู่ ก็สามารถโทรติดต่อเพื่อขอความช่วยเหลือได้ เพราะอาจจะมีเครื่องมือที่สามารถสะเดาะกุญแจได้ ที่สำคัญ ต้องสอบถามเรื่องราคาก่อน ไม่เช่นนั้น อาจจ่ายแพงกว่าที่คิด

ถ้าหากรถรถคุณมีตัวล็อคประตูแบบเงี่ยงที่สามารถงัดขึ้นได้ อาจจะลองใช้ลวดตะขอ หรือเชือกเส้นเล็กๆ ผูกเป็นห่วงที่ปลาย แล้วสอดเข้าไปตรงที่ขอบยางของประตูรถ ให้ห่วงหรือตะขอเกี่ยว เข้ากับ ตัวล็อคแล้วงัดขึ้นมา

4. โทรแจ้งตำรวจ หรือสถานีวิทยุเพื่อสังคม

กรณีที่รอบๆ ตัวที่รถและคุณอยู่ ไม่มีช่างกุญแจ ก็ลองโทรหาตำรวจ 191 หรือสายด่วน บก. 02 โทร. 1197 หรือแจ้งไปที่ Fanpage “ตำรวจจราจรโครงการพระราชดำริ กองบังคับการตำรวจจราจร” หรือเบอร์โทรของโครงการ โทร. 02-354-6324 ตำรวจจราจรในพระราชดำริ ดู เพราะมีตำรวจช่างจราจรช่วยท่านได้

หรือโทรไปยังรายการวิทยุเพื่อสังคม อย่างเช่น สวพ.91 (โทร. 1644) และ จส.100 (โทร. 1137) ดู เพราะอาจจะมีคนขับรถแท็กซี่ หรือคนที่มีทักษะในการสะเดาะกุญแจฟังอยู่ อาจจะเป็นจิตอาสา มาช่วยเหลือคุณในยามยากได้

5-Ways-If-You-Forget-Key-Car

5. ทุบกระจก

ถ้ากรณีที่ลืมกุญแจไว้ในรถ แล้วดันมีความจำเป็นเร่งด่วน หรือว่ามีเด็กเล็กๆ ติดอยู่ในรถด้วย บางทีการ “ทุบกระจกรถ” ก็อาจจะเป็นทางเลทอกสุดท้ายที่ต้องทำ

ในกรณีที่ต้องการทุบกระจก ให้เลือกทุบที่บริเวณกระจกหูช้างบานหลัง (ซึ่งเป็นกระจกที่ทำไว้ สามารถให้กระจกบานหลังลงได้มากที่สุด) แค่พอเอื้อมมือไปปลดล็อคประตูรถได้ ครับ

ทางที่ดี กุญแจรถถือว่าเป็นสิ่งสำคัญมาก เมื่อขับรถแล้วดับเครื่องยนต์แล้ว พยายามพกกุญแจรถติดตัว ใส่กระเป๋ากางเกงไว้ก่อนเลย เพื่อป้องกันการลืมไว้ในรถ หรือไปลืมไว้ที่ไหนอีกครับผม

หากช่วงนี้ ใครกำลังอยากขายรถคันเดิมอยู่ สามารถขายรถคันเดิมของคุณกับทาง CARRO ดูได้ โดยได้ราคาที่ดีที่สุด รับประกันความพึงพอใจ พร้อมปิดการขายภายใน 24 ชั่วโมง! กับ CARRO Express แค่คลิก -> https://th.carro.co/sell-car/express หรือจะ Inbox มาขอรายละเอียดได้ที่ Facebook -> CARRO Thailand และ Add Line สอบถามรายละเอียดได้เช่นกัน ที่ @carrothai

และอีกหนึ่งบริการใหม่! CARRO Automall แหล่งรวมรถมือสองคุณภาพเยี่ยม ผ่านการตรวจสภาพแบบ Double Check รับประกันพร้อมโอนทุกคัน ฟรี! ค่าจัดโอน มีให้เลือกชมเพียบ ซื้อรถ คลิก -> https://th.carro.co/taladrod/allcar/carro 

หรือสนใจรถรุ่นไหนอยู่ แต่หาไม่ได้ สามารถสั่งตามออเดอร์ได้ที่นี้ > https://th.carro.co/buy-car หรือโทร. 02-508-8690 อีกทั้งยัง Inbox เข้ามาสอบถามก็ได้เช่นกันได้ที่ Facebook -> CARRO Automall – รถบ้านมือสอง หรือทาง Line เชิญเลยครับที่ @carroautomall

How-Engines-Lose-Oil-Lubricants

ปกติของรถยนต์ที่เราใช้กันอยู่ทุกวันนี้ ก็ควรหมั่นตรวจสอบดูแลรักษาบ้างอย่างน้อยอาทิตย์ละหนึ่งครั้ง เพื่อดูว่ามีส่วนใดผิดปกติหรือบกพร่องบ้างหรือไม่ หลายๆ คน ขับรถเป็นอย่างเดียว ดูแลรักษารถไม่เป็นเลยก็มี

เครื่องยนต์ของรถ ก็จัดเป็นสิ่งสำคัญมากเช่นกัน ปกติระดับน้ำมันเครื่อง เวลาเราใช้ไปมันก็จะมีลดลงไปบ้างอยู่แล้ว จากการเผาไหม้หรือเสียดสีกับเหล็กภายในเครื่องยนต์ แต่บางกรณีเล่นหายกันแบบหมดไวมาก เหมือนโดนดูดเลย บางคนกว่าจะรู้ตัวอีกที น้ำมันเครื่องขาด น้ำมันเครื่องแห้ง ส่งผลตามมาถึงขั้นเครื่องยนต์พัง ได้ยกเครื่องใหม่เลยทีเดียว

สาเหตุอะไรบ้าง ที่ทำให้น้ำมันเครื่องหาย มาดูกันครับ …

1. เครื่องยนต์สึกหรอมาก

How-Engines-Lose-Oil-Lubricants

เครื่องยนต์สึกหรอมาก ส่งผลให้การเผาไหม้ภายในเครื่องยนต์ หรือในกระบอกสูบไม่สมบูรณ์ กำลังเครื่องยนต์ตก ควรดูว่ากระบอกสูบ ลูกสูบ และแหวนลูกสูบ สภาพเป็นอย่างไรบ้าง ถ้าสึก หลวม กร่อน หรือไหม้ หรือไหลไปผสมกับเชื้อเพลิง ก่อให้เกิดปัญหาควันขาว ก็ควรเปลี่ยนใหม่

2. ซีลต่างๆ มีการรั่วซึม

How-Engines-Lose-Oil-Lubricants

ลองก้มไปดูใต้ท้องรถ หลังจากจอดรถเสร็จแล้วซิว่า มีหยดน้ำมันเครื่องสีน้ำตาลดำๆ ลงมาที่พื้นบ้างหรือไม่ ถ้ามี ลองดูตามซีลยางต่างๆ เช่น ซีลหน้าเครื่อง ซีลท้ายเครื่อง ฝาเครื่อง หรือประเก็นต่างๆ ของเครื่องยนต์ เมื่อเครื่องยนต์ทำงาน จะเกิดความร้อนและแรงดัน ทำให้น้ำมันเครื่องถูกดันผ่านปะเก็น ซีล โอริงต่างๆ ถ้าเจอจุดรั่วซึมแล้ว ก็รีบขับรถเข้าอู่เปลี่ยนใหม่เถอะ

3. วาล์วสึก วาล์วยัน

How-Engines-Lose-Oil-Lubricants

อะไรที่เกี่ยวกับวาล์วทั้งหลายแหล่ เช่น ก้านวาล์ว ร่องนำวาล์ว ยางหมวกวาล์ว (หรือ ยางตีนวาล์ว) รถยนต์ของใครที่ใช้แก๊ส LPG มักจะเป็นกันไว 2-3 ปี ก็ต้องเปลี่ยนแล้ว เพราะแก๊ส LPG มีความร้อนสูง ซีลต่างๆ เสื่อมเร็วกว่าพวกใช้น้ำมัน

ถ้าชิ้นส่วนวาล์วหมดสภาพ หรือยางแข็งตัวแล้ว ก็ควรเปลี่ยนซะใหม่ เพราะทำให้เครื่องยนต์เผาไหม้ได้ไม่เต็มที่ อาจทำให้น้ำมันเครื่องไหลผ่านเข้าไปในกระบอกสูบได้ วิธีแก้ก็เปลี่ยนใหม่ซะ แต่บางอาการก็อาจจะต้องจ่ายมากหน่อย เช่น วาล์วรั่ว

ทางที่ดี ถ้าคุณใช้รถมือสองอายุหลายปีแล้ว อย่าลืมตรวจเช็คน้ำมันเครื่องสัปดาห์ละครั้งนะครับ อย่างน้อยๆ ก็กันไว้ดีกว่าแก้ครับ

ขอขอบคุณภาพจาก อู่เรืองยนต์

รถ-EV-ของเล่นคนรวย-จริงหรือ

หลายคนคงยังจำกันได้ว่า “รถ EV” เริ่มเป็นที่รู้จักกันจริงๆ ในบ้านเราก็ช่วงประมาณยุค 90 ได้ แต่ในยุคนั้นยังเป็นเทคโนโลยีที่มีอยู่ในรถต้นแบบ และรถทดลองวิจัยเท่านั้น ซึ่งรถต้นแบบ หลายต่อหลายรุ่นที่ใช้พลังงานไฟฟ้า ก็ได้ถูกนำมาโชว์ในบ้านเราหลายครั้งหลายครา

จากปัญหาสภาพการจราจรในกรุงเทพฯ ยังเต็มไปด้วยรถยนต์ที่ใช้น้ำมัน และรถก็ติดมากขึ้นเรื่อยๆ แถมยังมีรถเมล์เก่าๆ ที่วิ่งปล่อยควันดำโขมง สิ่งแวดล้อมและสุขภาพของคนเมืองจะย่ำแย่ลงเรื่อยๆ รวมไปถึงการใช้น้ำมันที่มากขึ้นเรื่อยๆ รถยนต์ไฟฟ้า จึงมีคนเริ่มนำเข้ามาขายอย่างจริงจัง (เท่าที่จำได้ จะเป็น Nissan Leaf ที่มีผู้จำหน่ายอิสระ นำเข้ามาขาย) เมื่อเกือบๆ 10 ปีที่ผ่านมานี้

แต่รถ EV ก็เป็นได้แค่ของเล่นคนรวยเท่านั้น จริงหรือ?

EV-Car-Is-Richman-Toy

ราคาของรถ EV ในยุคแรกๆ ที่ผลิตออกมาจากโรงงานยังคงมีราคาแพงมาก และบวกภาษีเข้าไปเยอะ จนผู้ซื้อรถยนต์คันใหม่เข้าถึงได้ยากมาก ในขณะที่ผู้ใช้รถยนต์คันเดิม ก็ไม่เกิดแรงจูงใจให้เปลี่ยนรถมาเป็นรถ EV ได้อย่างที่ต้องการ ไหนจะต้องมีที่ชาร์จ หาสถานีชาร์จ ระยะเวลาในการชาร์จ ระยะทางในการวิ่ง ค่าบำรุงรักษา ค่าเปลี่ยนแบตเตอรี่อีก ฯลฯ

ในช่วงที่รถยนต์ไฟฟ้าขนาดเล็ก 2ที่นั่ง อย่าง “FOMM” (ฟอมม์) เปิดตลาดในบ้านเราเมื่อปลายปีที่ผ่านมา ก็สร้างความฮืฮอาได้พอตัวทีเดียว

แต่ด้วยราคาที่ตั้งไว้ 599,900 บาท ที่ถึงแม้จะมีส่วนลด 100,000 บาท จำนวนจำกัด เหลือ 499,900 บาท (ราคา ณ วันที่ 15 ก.ค. 2562) เนื่องด้วยเพราะความเป็นรถขนาดเล็ก ก็อาจจะยังทำให้ผู้คนส่วนใหญ่ ยังลังเลในการตัดสินใจซื้ออยู่

แต่พอเมื่อ MG ได้เปิดตัว MG ZS EV ใหม่ ในราคา 1,190,000 บาท ซึ่งเป็นรถ SUV Crossover ซึ่งให้คุณสมบัติในการใช้งานที่ค่อนข้างหลากหลายกว่า ก็ทำเอาสั่นสะเทือนวงการรถยนต์กันพอสมควร เพราะราคาที่ว่ามานี้ ขนาดมนุษย์เงินเดือน ก็สามารถเข้าถึง เป็นเจ้าของได้แล้ว

เราจึงถือว่ารถ EV ในยุคอนาคตข้างหน้านี้ ไม่ใช่ของเล่นคนรวยอีกต่อไป

ความประหยัด และสมรรถนะของรถ EV

EV-Car-Is-Richman-Toy

รถ EV ชูคุณสมบัติความประหยัดมาเป็นที่หนึ่งเลย และในแง่ของการรักษาสิ่งแวดล้อม

อย่างเช่นรถยนต์ไฟฟ้า FOMM ใช้กำลังไฟฟ้าเท่ากับหม้อชาบู หรือ 2,000 วัตต์ โดยชาร์จเพียง 6-7 ชั่วโมง ก็สามารถวิ่งได้ระยะทางถึง 166 กิโลเมตร เฉลี่ยค่าใช้จ่ายเพียง 30 สตางค์/กม. เท่านั้น แถมยังทำความเร็วได้สูงสุด 80 กม./ชม.

และในส่วนของ MG EV ZS หากชาร์จผ่าน MG Home Charger ใช้เวลาชาร์จไฟจาก 0-100% ใช้เวลาเพียง 6.5 ชั่วโมง ให้ระยะทางขับเคลื่อนสูงสุด 337 กิโลเมตร ต่อการชาร์จเต็มหนึ่งครั้ง ถือได้เวลาสะดวกและประหยัดมากๆ

และยังสามารถเร่งจาก 0-50 กม./ชม. ได้ภายในเวลา 3.1 วินาที และ 0-100 กม./ชม. ประมาณ 8-9 วินาที … นี่ระดับเดียวกับรถสปอร์ต ที่ใช้น้ำมันชัดๆ!

การชาร์จไฟ

EV-Car-Is-Richman-Toy

สำหรับการชาร์จไฟของรถ EV นั้น ก็มีอยู่หลายรูปแบบ วิธีการชาร์จก็เหมือนกับที่เราใช้ในรถ Plug-In Hybrid นั่นล่ะครับ อาทิเช่น

แบบ Normal Charge ชาร์จธรรมดา ซึ่งจะใช้ไฟบ้านในการชาร์จ ใช้เวลาชาร์จประมาณ 4-6 ชั่วโมง ซึ่งจะมีชุดสายไฟที่แถมมาให้กับรถด้วย ซึ่งเป็นการชาร์จแบบ AC Charging หรือกระแสสลับ ใช้หัวชาร์จและเต้ารับแบบ Type 2

แบบ Double Speed Charge ผ่านเครื่องชาร์จแบบ Wall Box (อุปกรณ์ที่ติดตั้งพิเศษ สำหรับชาร์จโดยการเสียบจากปลั๊กไฟในบ้าน มีความปลอดภัยสูง) ใช้เวลาประมาณ 5-6 ชั่วโมง เช่นกัน

ส่วนแบบ Quick Charge เน้นความรวดเร็ว เพราะเป็นการชาร์จด้วยระบบไฟฟ้ากระแสตรง DC Charging ใช้หัวชาร์จและเต้ารับแบบ FF กินเวลาประมาณ 30-60 นาที ส่วนใหญ่จุดชาร์จ จะอยู่ตามสถานที่ต่างๆ หรือตามห้างสรรพสินค้าต่างๆ ที่เริ่มมีการให้บริการกันหลายที่แล้ว

ความประหยัด กับ ความสิ้นเปลือง

EV-Car-Is-Richman-Toy

ในเรื่องของความประหยัด รถ EVถือว่าตอบโจทย์ได้ดีทีเดียว ตัดรายจ่ายในเรื่องของเหลวในเครื่องยนต์ไปแทบทั้งหมด ค่าน้ำมันก็ไม่มี อีกทั้งไม่ได้ใช้ระบบเกียร์ ไม่ต้องมีหม้อน้ำ และระบบน้ำหล่อเย็น เพราะใช้เพียงมอเตอร์ไฟฟ้าเพียงอย่างเดียว ให้กำลังมหาศาลตามกระแสไฟที่จ่ายให้กับมอเตอร์ ยิ่งเร่งมากก็ยิ่งแรงมาก เพราะไม่ต้องรอรอบเครื่อง เหมือนกับเครื่องยนต์ปกติ ให้อัตราเร่งที่ดีมากๆ

แต่ค่าใช้จ่ายจะไปหนักเอาตรงที่รถคุณแบตเตอรี่เสื่อม หรือระบบ Inverter เสื่อม ซึ่งค่าใช้จ่ายตรงนี้ก็ถือว่าหนักอยู่พอสมควรทีเดียว เพื่อกระตุ้นให้เป็นแรงจูงใจในคนใช้รถยนต์ไฟฟ้า บรรดาค่ายรถยนต์หลายค่าย ก็จึงขยายระยะเวลารับประกันแบตเตอรี่ เป็น 8 ปีบ้าง 10 ปีบ้าง รวมไปถึง Inverter ก็มีการรับประกัน ทำให้คนใช้รู้สึกอุ่นใจได้มากขึ้น

แหล่งที่มาของพลังไฟฟ้า เหลือเฟือ!

EV-Car-Is-Richman-Toy

ถ้าพูดถึงรถยนต์ที่ใช้น้ำมัน แหล่งพลังงานก็ต้องพึ่งพาน้ำมันเป็นหลัก (อาจจะมีอย่างอื่นผสมเข้ามาด้วย เช่น แก๊สโซฮอล์ หรือ ไบโอดีเซล ที่มีส่วนผสมอื่นเข้ามา เช่น น้ำมันพืช ไขมันสัตว์ น้ำตาล มันสำปะหลัง อ้อย ปาล์ม มะพร้าว ถั่วเหลือง สบู่ดำ หรือสาหร่าย เป็นต้น) หากเป็นพลังงานไฟฟ้า จะมีแหล่งกำเนิดที่สะอาด และไม่มีวันหมด เช่น แสงอาทิตย์, ลม, น้ำจากเขื่อน หรือการรีไซเคิลขยะมาทำไฟฟ้า เป็นต้น

EV-Car-Is-Richman-Toy

บทสรุป

บางคนอาจจะบอกว่า รถยนต์ไฟฟ้าถึงจะดีแค่ไหน ถ้าราคาที่เอื้อมไม่ถึง แม้ว่าในตอนนี้ ก็เป็นได้แค่ของเล่นคนรวย หรือเศรษฐีรักษ์โลก … โดยคนส่วนใหญ่อาจจะมองว่าใช้รถไฮบริด ก็ประหยัดน้ำมันและถือว่าลดการใช้พลังงานได้เช่นกัน และข้อจำกัดของสถานีชาร์จ ที่ยังเป็นปัญหา และกำลังเร่งขยายจุดติดตั้งสถานีชาร์จกันอยู่

แต่จากปัญหาด้านพลังงาน ด้านสิ่งแวดล้อม ทำให้ในอนาคตข้างหน้านี้ รถยนต์ไฟฟ้า ซึ่งเป็นพลังงานสะอาด คงเป็นรถยนต์รุ่นหลักของทุกค่ายรถบนโลกใบนี้อย่างแน่นอน

เพราะยิ่งเทคโนโลยีของแบตเตอรี่ยิ่งก้าวหน้าเท่าใด ให้ระยะทางในการวิ่งได้มากเท่าไหร่ รถยนต์ไฟฟ้าก็ยิ่งเป็นที่นิยม เมื่อคนนิยมเยอะ ยอดการผลิตก็มากขึ้น ต้นทุนการผลิตก็ถูกลง จนเป็นที่จับต้องได้ของคนทั่วไป ไม่ใช่ของเล่นคนรวยอย่างแน่นอน …

ถ้าคุณตัดสินใจอยากขายรถคันเดิม เพื่อไปซื้อรถคันใหม่ หรือรับเป็นเงินก้อนไปใช้ สามารถขายรถคันเดิมกับ Carro ได้ ง่ายๆ ได้เงินไว! กับ Carro Express เพียงแค่คลิก https://th.carro.co/sell-car/express หรือสามารถ Inbox มาขอรายละเอียดได้ที่ Facebook Carro Thailand

หรือจะ Add Line สอบถามรายละเอียดได้ที่ @Carrothailand หรือคลิกที่นี่ครับ —> เพิ่มเพื่อน