Washing-Car-And-Hot-Brakes

คนใช้รถหลายคนอาจไม่รู้! ว่าอาการพวงมาลัยสั่น โดยเฉพาะเวลาเหยียบเบรก ซึ่งเกิดมาจากจานเบรกคดนั้น นอกจากจะมีอาการจากผ้าเบรกจับจานเบรกไม่สม่ำเสมอ จานเบรกเริ่มบาง หรืออาจจะเป็นที่ยางสึกไม่เท่ากันทั้งเส้น

แต่สิ่งที่หลายคนไม่รู้ และมักชอบปฎิบัติ หลังจากการขับรถใช้งานต่อเนื่องมานานหลายชั่วโมง หรือขับรถขึ้นเขา ลงเขา ใช้งานเบรกมาอย่างหนัก นั่นก็คือ “ล้างรถ” พอตัดสินใจขับรถเข้าคาร์แคร์ ว่าจะล้างรถให้สะอาดซะหน่อย เด็กล้างรถก็ไม่รู้ ฉีดน้ำล้างล้อรถ ทำให้น้ำแรงดันสูงอัดเข้าไปในจานเบรกอย่างแรง จนดิสก์เบรกเกิดอาการ “จานเบรกคด” ขึ้นมา …

ทำไมจานเบรกถึงคดได้ งงมาก ทั้งๆ ที่แค่ฉีดน้ำใส่ เดี๋ยว Mr.Carro จะเล่าให้ฟัง …

Washing-Car-And-Hot-Brakes

การเกิดจานเบรคคด ก็คือ เกิดจากการเปลี่ยนแปลงอุณหภูมิอย่างเฉียบพลัน ซึ่งการขับรถมาเป็นเวลานานๆ หลายชั่วโมง (โดยเฉพาะขับรถทางยาวๆ หรือขับรถขึ้น-ลง ทางชันๆ ที่ต้องใช้เบรกมาก) ทำให้จานเบรกมีความร้อนสะสมมากกว่าปกติ เมื่อเจอที่ฉีดน้ำแรงดันสูงฉีดล้างล้อรถ แล้วทะลุซี่ล้อไปโดนกับจานดิสก์เบรกที่ร้อนจัดอยู่ เมื่อเจอกับน้ำเย็นๆ ทันที ก็อาจทำให้จานเบรคคดงอได้

Washing-Car-And-Hot-Brakes

แต่ถ้าคุณอยากล้างรถที่เพิ่งผ่านการใช้งานมาหมาดๆ จริงๆ ก็ขอแนะนำให้ล้างตัวถังรถไปก่อน ลองเอามืออังดูที่บริเวณล้อรถดูก่อน ว่ามีไอร้อนที่แผ่ออกมาจากดิสก์เบรก มากหรือน้อย ถ้าไม่มีแล้ว นั่นล่ะ ถึงจะค่อยฉีดน้ำล้างล้อได้เต็มที่

Washing-Car-And-Hot-Brakes

แต่ถ้าเลี่ยงไม่ได้ ก็ล้างแค่บริเวณด้านนอกของล้อก็ได้ พยายามอย่าฉีดน้ำเข้าไปถูกจานดิสก์เบรก โดยใช้วิธีเปิดน้ำแบบไม่ต้องแรง ล้างเฉพาะบริเวณวงล้อรอบนอกก็พอ เพื่อให้เหมือนกับการขับรถลุยฝน ที่มีละอองน้ำกระเซ็นโดนจานเบรคอย่างสม่ำเสมอ จะช่วยให้ความร้อนบริเวณจานเบรกค่อยๆ ลดลง

วิธีปฎิบัติง่ายๆ แค่นี้ คุณก็ทำได้ครับ อีกทั้งยังยืดอายุจานเบรกของรถ ให้ใช้งานได้อีกยาวนานอีกด้วย

ขึ้นชื่อว่า “หนู” แล้ว ในบริบทของภาษาไทย ก็มีอยู่หลายความหมาย ตั้งแต่ หนูที่เป็นสัตว์ตระกูลฟันแทะ มีตั้งแต่ หนูท่อ, หนูหริ่ง, หนูขาว, หนูนา และหนูเลี้ยง เช่น แฮมสเตอร์ หรือคำที่ไว้เรียกเด็กๆ อายุน้อยกว่าว่าเป็น “คุณหนู” หรือจะเป็นคำที่ไว้เรียกคนในวงการการเมือง อย่าง “เสี่ยหนู” อนุทิน ชาญวีรกูล ก็ได้เช่นกัน …

แต่หนูที่เราจะพูดถึงกันในวันนี้ คือ “หนูบ้าน” หรือ “หนูท่อ” ครับ ที่เป็นตัวสร้างความเดือดร้อนไปทั่ว ทั้งสกปรกและอันตราย อีกทั้งกรณีรถยนต์ที่เกิดไฟไหม้หลายต่อหลายครั้ง หรือสตาร์ทไม่ติด ไฟเดินไม่ครบทั้งระบบ ก็มีสาเหตุมาจากหนูกัดสายไฟ ในห้องเครื่องยนต์นี่ล่ะครับ

MR.CARRO จะมาบอกเคล็ดไม่ลับ ของวิธีป้องกันหนูมากัดสายไฟในรถกันครับ …

Protect-Your-Car-From-Rats-And-Mice

บางคนจอดรถ ในพื้นที่ที่มีที่ทิ้งเศษอาหาร กองขยะ ซึ่งเป็นแหล่งที่หนูชุกชุมอยู่แล้ว ภายในห้องเครื่องยนต์มีพื้นที่เป็นซอกมุมหลายส่วน อีกทั้งฉนวนสายไฟในรถ ยังทำมาจากวัสดุที่มีส่วนผสมของธรรมชาติ นั่นคือ “ถั่วเหลือง” ซึ่งจัดว่าเป็นของโปรดของคุณหนูๆ เลยล่ะ

วิธีป้องกันแบบเบสิก ก็เริ่มต้นด้วย ใช้กาวดักหนู หรือยาเบื่อหนู มาวางไว้ที่บริเวณใต้ท้องรถ หรือบริเวณรอบๆ รถ เพื่อให้หนูโดนของพวกนี้ก่อน

Protect-Your-Car-From-Rats-And-Mice

เครื่องยนต์เขรอะแบบนี้ หนูชอบมาก!

เปิดฝากระโปรงรถเอาไว้เสมอ เวลาจอดรถตรงบริเวณที่มักโดนหนูกัดสายไฟบ่อยๆ เพราะหนูมักจะไม่ชอบที่สว่างๆ นัก รวมถึงพยายามทำความสะอาดห้องเครื่องยนต์ ไม่ให้มีกลิ่นหนูหรือกลิ่นสาปต่าางๆ หรือหาแผ่นอะไรก็ได้มาปิดไว้บริเวณใต้ท้องรถ ในจุดที่หนูเข้ามาได้

หรือจะนำน้ำผสมกับพริกป่น ใส่กระบอกฉีดน้ำ ฉีดเข้าไปในบริเวณห้องเครื่อง ตรงที่หนูชอบเข้าไปซุกตัว หรือจะใช้น้ำมันสน (หาซื้อได้ตามร้านวัสดุก่อสร้าง) ชุบเศษผ้าวางไว้ตามจุดที่หนูอยู่ หากเกรงว่ากลิ่นน้ำมันจะแรงไป ให้ผสมน้ำมันกับเกล็ดการบูร เพื่อกลิ่นจะได้ไม่ฉุนเกินไป

Protect-Your-Car-From-Rats-And-Mice

ต้นยี่โถ (ภาพจาก WeKnow.in.th)

ถ้าเน้นแนวธรรมชาติ ก็ใช้ไม้ยี่โถ วางไว้บริเวณใต้ท้องรถก็ได้ เพราะกลิ่นของต้นไม้ชนิดนี้ ไม่ถูกประสาทการรับกลิ่นของหนูเลย แต่ต้องเปลี่ยนไม้ยี่โถราว 3 เดือนครั้ง เพราะกลิ่นจะจางลง แต่ถ้าหาไม่ได้ ก็ลองใช้น้ำมันสะระแหน่ น้ำมันระกำ น้ำมันไพล น้ำมันยูคาลิปตัส กลิ่นจำพวกยาหม่อง น้ำมันมวย เนื่องจากหนูมีประสาทรับกลิ่นที่ไวมาก เพราะหนูมักไม่ชอบกลิ่นหอม

หรือเลี้ยงแมว หรือหมา (ต้องเป็นตัวที่จับหนูเก่งๆ ด้วยนะ) ไว้คอยไล่จับหนู

กรณีหนูกัดสายไฟในรถ แล้วต้องการเคลมประกันภัย

Protect-Your-Car-From-Rats-And-Mice

ส่วนรถใครที่เกิดความเสียหายจากการที่หนูกัดสายไฟในห้องครื่องยนต์แล้ว หากมีทำประกัยภัยชั้น 1 ไว้ ก็สามารถเคลมประกันได้ครับ เเพราะถือเป็นอุบัติเหตุอย่างหนึ่ง ซึ่งไม่ได้จำกัดเฉพาะการเฉี่ยวชนเท่านั้น โดยเจ้าของรถอาจต้องจ่ายค่าเสียหายส่วนแรก หรือค่า Excess ซึ่งยังไงก็คุ้มกว่าจ่ายเงินซ่อมเองทั้งหมดอยู่ดี

ในกรณีที่ต้องการเคลมประกัน เนื่องจากถูกหนูกัดสายไฟ ให้ถ่ายรูปรอยเท้าหนู และร่องรอยความเสียหายรอบๆ และไม่ควรทำความสะอาดจุดเสียหายจนกว่าเจ้าหน้าที่ประกันภัยจะออกใบเคลมให้ แล้วค่อยแจ้งบริษัทประกันภัยเคลมต่อไป

แต่ทางที่ดี ถ้ารู้ว่าจุดไหนหนูเยอะ พยายามหลีกเลี่ยงในการจอดรถ แต่ถ้าเลี่ยงไม่ได้ ก็ลองทำตามวิธีที่ว่ามาข้างต้นเถอะครับ …

สำหรับใครที่อยากขายรถคันเดิมตอนนี้ หรือกำลังตัดสินใจจะซื้อรถป้ายแดงอยู่พอดี แต่งบไม่พอ!  มาขายรถกับ CARRO Express สิ! หรือจะ Inbox มาขอรายละเอียดได้ที่ Facebook -> CARRO Thailand และ Add Line สอบถามรายละเอียดได้เช่นกัน ที่ @carrothai

และอีกหนึ่งบริการใหม่! CARRO Automall แหล่งรวมรถมือสองคุณภาพเยี่ยม ผ่านการตรวจสภาพแบบ Double Check รับประกันพร้อมโอนทุกคัน ฟรี! ค่าจัดโอน มีให้เลือกชมเพียบ เปิดบริการทุกวัน อยากซื้อรถคุณภาพเยี่ยม มาซื้อกับ CARRO Automall สิ!

หรือสนใจรถรุ่นไหนอยู่ แต่หาไม่ได้ สามารถสั่งตามออเดอร์ได้ที่นี้ > https://th.carro.co/buy-car หรือโทร. 02-508-8690 อีกทั้งยัง Inbox เข้ามาสอบถามก็ได้เช่นกันได้ที่ Facebook -> CARRO Automall – รถบ้านมือสอง หรือทาง Line เชิญเลยค่ะที่ @carroautomall

ขอขอบคุณข้อมูลบางส่วนจาก

CarroxGobear-May

เมื่อเพื่อนๆซื้อรถมาแล้ว สิ่งจำเป็นที่เพื่อนๆต้องทำเลยก็คือการหาอู่ซ่อมรถที่ไว้วางใจได้ ซึ่งจะเป็นผู้คอยดูแลรถยนต์ของเพื่อนๆ ทั้งการดูแลรถยนต์ ตรวจเช็กรถยนต์ประจําปี และการซ่อมแซมในรายละเอียดปลีกย่อยต่างๆ

หลายๆคนน่าจะเคยสงสัย และไม่แน่ใจว่าควรจะเลือกส่งรถซ่อมกับอู่ทั่วไปแถวบ้าน หรือส่งรถเข้าศูนย์บริการซ่อมดี พี่มีแนะนำเลยว่า ให้ดูจุดประสงค์การซ่อมรถ งบประมาณของเพื่อนๆ แล้วเลือกว่าแบบไหนจะเหมาะกว่ากัน เพราะอู่ซ่อมรถทั่วไปกับศูนย์ซ่อมรถก็มีข้อดีที่แตกต่างกันไป ไปดูกันเลยครับ ว่าแบบไหนถึงจะเหมาะกับรถยนต์ของคุณ

ศูนย์ซ่อมรถ เลือกแบบไหนดี

ข้อดีของศูนย์ซ่อมรถ

 

  1. ไม่ละเมิดเงื่อนไขการรับประกันแน่นอน

 

ถ้าหากเพื่อนๆซื้อรถยี่ห้อนั้นๆมา แล้วนำไปเข้าศูนย์ซ่อมรถของรถยี่ห้อนั้นๆ ก็แทบไม่ต้องคิดมากเรื่องการรับประกันเป็นโมฆะเลยครับ เพราะแน่นอนว่า ศูนย์ซ่อมรถจะทำการซ่อมรถได้มาตรฐานแบรนด์ แล้วถ้าหากเกิดอะไรขึ้นมา ศูนย์จำหน่ายรถก็ไม่สามารถอ้างได้ว่าเป็นเพราะเพื่อนๆเอารถไปซ่อมที่อู่ซ่อมรถอื่นนั่นเอง

 

  1. เข้าใจเทคโนโลยี ใหม่ๆของรถ

โดยในปัจจุบัน รถยี่ห้อต่างๆล้วนแข่งกันออกเทคโนโลยีล้ำใส่เข้ามาในรถไปเรื่อยๆ ทำให้ถ้าหากรถของเพื่อนๆเป็นรถรุ่นใหม่ๆ การหาอู่ซ่อมรถที่เป็นศูนย์ซ่อมของแบรนด์เองก็จะอุ่นใจได้มากกว่า เพราะศูนย์ซ่อมเหล่านี้จะรู้ไส้รู้พุงถึงระบบรถยนต์แบรนด์ของตัวเองเป็นอย่างดี ถ้าหากเพื่อนๆนำรถยนต์รุ่นใหม่ๆไปซ่อมที่อู่ทั่วไป ช่างก็อาจจะไม่ได้มีความรู้หรืออัพเดตเพียงพอ ทันต่อเทคโนโลยีใหม่ๆเหล่านี้ครับ

 

  1. ขายต่อได้ราคาดี

นั่นเป็นเพราะเวลาเพื่อนๆจะขายต่อรถยนต์ จะต้องมีการเช็กประวัติการดูแลรถยนต์อย่างละเอียดและดูว่าเพื่อนๆนำรถไปซ่อมที่ไหนบ้าง หากรถเพื่อนๆมีประวัติว่าซ่อมที่ศูนย์ซ่อมของแบรนด์มาตลอด ก็ถือว่าเป็นประวัติที่ดีและเชื่อใจได้ ทำให้ราคาขายรถยนต์มือสองสูงขึ้นไปอีกครับ

 

  1. ราคาคุ้มค่าคุณภาพ

หลายๆคนอาจเข้าใจผิดว่า การนำรถส่งเข้าศูนย์ซ่อมจะต้องมีราคาแพงกว่าอู่ซ่อมรถทั่วไปแน่นอน เพราะดูมีความโปรมากกว่า ราคาที่สูงกว่านิดหน่อยนี้ทำให้เพื่อนๆได้คุณภาพการบริการที่ได้มาตรฐาน อาจจะดีกว่าการนำไปซ่อมที่อู่ทั่วไปแล้วรถเสียบ่อยๆจนต้องกลับมาซ่อมใหม่เรื่อยๆ นะครับ

ศูนย์ซ่อมรถ เลือกแบบไหนดี

ข้อดีของอู่ซ่อมรถ

  1. ค่าแรงถูกกว่า

นี่คือข้อได้เปรียบสำคัญของการนำรถเข้าอู่ซ่อมรถทั่วไปเลยนะครับ ด้วยความที่ค่าแรงถูกกว่าทำให้เพื่อนๆเสียค่าใช้จ่ายน้อยกว่า แต่เพื่อนๆก็จะต้องคอยดูให้ดีว่าทางอู่ใช้อะไหล่ น้ำมัน และไส้กรองของแท้ โดยยอมจ่ายราคาเต็มสำหรับสิ่งของเหล่านี้ แล้วได้ประโยชน์สำหรับค่าแรงที่ถูกลงจะดีกว่านั่นเองครับ การใช้บริการอู่ซ่อมรถทั่วไปจึงเหมาะกับงานดูแลรถยนต์ที่ไม่ได้ซับซ้อนมากนัก อู่ที่ไหนก็สามารถทำได้

 

  1. การรับประกันไม่เป็นโมฆะเสมอไป

มักมีหลายๆคนที่กลัวว่าการนำรถเข้าอู่ซ่อมรถทั่วไปแทนการเข้าศูนย์ซ่อมจะทำให้การรับประกันเป็นโมฆะทันที แต่นั่นไม่ใช่เรื่องจริงครับ ถ้าหากเพื่อนๆ เพียงแค่ให้อู่เหล่านี้ช่วยเปลี่ยนถ่ายน้ำมันเครื่องหรือไส้กรอง อันเป็นงานเล็กๆน้อยๆ ก็จะไม่มีผลกระทบต่อการรับประกันรถยนต์แต่ละอย่างใดครับ

 

  1. มีอู่ซ่อมรถเฉพาะด้าน

นี่ก็เป็นอีกข้อดีที่ศูนย์ซ่อมรถอาจจะทำไม่ได้ เพราะศูนย์ซ่อมรถโดยทั่วไปจะมีมาตรฐานในการซ่อมที่เป็นแบบแผนเดียวกันหมด หากเพื่อนๆต้องการซ่อมรถ ที่ต้องใช้ความเชี่ยววชาญเฉพาะด้าน ในบางครั้งศูนย์ซ่อมรถก็อาจจะทำไม่ได้ แต่อู่บางแห่งอาจมีการบอกกันปากต่อปากว่าที่นี่เชี่ยววชาญด้านนี้เป็นพิเศษ สามารถเลือกใช้อู่เหล่านี้ได้เช่นกันครับ

 

ดังนั้นแล้ว ก่อนที่เพื่อนๆจะเลือกอู่ซ่อมรถ ก็ให้ดูว่าจุดประสงค์การซ่อม คุณภาพ และงบประมาณแบบไหนถึงจะเหมาะกับรถยนต์ของเพื่อนๆนั่นเองครับ หากเพื่อนๆเลือกอู่ซ่อมรถได้แล้วแต่ยังไม่รู้ว่าจะเลือกประกันรถยนต์ของอะไรดี ก็เข้ามาที่เว็บไซต์โกแบร์เพื่อเลือกประกันรถยนต์ออนไลน์ได้เลยนะครับ

“ปัญหา” ของคนไทยส่วนใหญ่ในเวลานี้ คือ “รายจ่าย” มากกว่า “รายได้” เนื่องจากค่าเงินที่เฟ้อขึ้นทุกปี ทำให้รายได้ในแต่ละปี ค่าแรง หรือโบนัสต่างๆ ขึ้นตามกันไปไม่ทัน จนหลายคน “ติดกับดักทางการเงิน” กันเป็นแถว ซึ่งส่วนหนึ่งก็ขาดการวางแผนทางการเงินด้วยล่ะครับ

ยิ่งโควิด-19 มา เศรษฐกิจแทบทุกสาขาอาชีพถูกทำลายกันถ้วนหน้า คนถูกลดเงินเดือน ถูก Leave Without Pay ถูกเลิกจ้างชั่วคราว ถูกเลิกจ้างถาวรเป็นจำนวนมาก ทำให้ไม่สามารถหาเงินมาผ่อนรถได้ทัน ก็อาจจะโดนยึด หรือต้องปล่อยไฟแนนซ์ยึดไป เป็นที่ทราบกันดีว่า หากคุณค้างค่างวดเกิน 3 เดือนติดต่อกัน มีผลให้สัญญาเช่าซื้อรถสิ้นสุดลง ไฟแนนซ์มีสิทธิ์ยึดรถเราได้โดยชอบตามกฎหมาย แล้วก็จะเอารถของเราไปขายทอดตลาด

หลายๆ ไฟแนนซ์ เลยให้โอกาสกับคนผ่อนรถ ด้วยการ “ปรับโครงสร้างหนี้” เพื่อให้คนที่ผ่อนรถไม่ไหว หรือจะเหตุสุดวิสัยอะไรก็แล้วแต่ MR.CARRO จะมาอธิบายให้ฟัง ว่าการปรับโครงสร้างหนี้ คืออะไร ถ้าทำแล้วจะได้ประโยชน์อะไร มีข้อดี ข้อเสียตรงไหนบ้าง และดอกเบี้ยคุณต้องจ่ายเพิ่มหรือไม่ มาดูกัน …

Debt-Restructuring-Your-Car

ข้อดีของการปรับโครงสร้างหนี้ คือ ช่วยยืดเวลาให้คุณ ในการหาเงินมาชำระหนี้ออกไปได้ในกรณีที่คุณใช้หนี้ไม่ทันตามสัญญาที่ได้ตกลงกันไว้

แต่! เมื่อคุณขายรถล้างหนี้ ขายรถทอดตลาดแล้ว ยังไม่พอล้างหนี้ทั้งหมด (เนื่องจากราคารถที่ขายทอดตลาด ก็ค่อนข้างถูกมากจริงๆ) บวกกับค่าใช้จ่ายอื่นๆ ค่าขาดประโยชน์, ค่าติดตามทวงถาม, ค่าครอบครองรถขณะรอขายทอดตลาด เป็นต้น คุณก็จะต้องจ่ายหนี้เพิ่ม! ถ้าไม่จ่ายก็โดนยื่นฟ้องร้อง บวกกับมีประวัติค้างชำระกับเครดิตบูโร และทำธุรกรรมกับสถาบันการเงินไม่ได้ เป็นต้น

ส่วนข้อเสียก็จะมีตรงที่ว่า สถาบันการเงินจะรวมยอดหนี้คงค้างของคุณมาคิดใหม่ พร้อมกับบวกค่าปรับ ค่าเสียเวลาติดตาม และดอกเบี้ยเพิ่มเติมเข้าไป ตรงนี้ล่ะที่คุณต้องเตรียมเงินให้จ่ายมากขึ้นกว่าเดิม

Debt-Restructuring-Your-Car

เงื่อนไขการปรับโครงสร้างหนี้ มีดังนี้

(ซึ่งในแต่ละที่ อาจมีเงื่อนไขแตกต่างกันไปบ้าง โปรดสอบถามไฟแนนซ์ หรือสถาบันการเงินของท่านอีกครั้ง)

1. รถยนต์ต้องจดทะเบียนรถยนต์ และต่อภาษีประจำปี จนถึงปีปัจจุบัน
2. มีการผ่อนชำระค่างวดมาไม่น้อยกว่า 12 งวด
3. ระยะเวลาขั้นต่ำที่สามารถขยายได้ คือ 48 งวด และสูงสุด โดยรวมกับสัญญาเดิม ไม่เกิน 96 งวด
4. อัตราดอกเบี้ยขึ้นอยู่กับระยะเวลา ที่ต้องการขยาย ตามที่บริษัทฯ กำหนด
5. ต้องชำระค่างวดค้างและค่าเบี้ยปรับ รวมถึงค่าใช้จ่ายคงค้าง อื่นๆ ก่อนทำการปรับปรุงโครงสร้างหนี้
6. มีผู้ค้ำประกันทุกกรณี
7. แนบสำเนากรมธรรม์ประกันภัยรถยนต์ชั้น 1 (อายุกรมธรรม์คงเหลือไม่น้อยกว่า 6 เดือน)
8. นำรถมาถ่ายรูปตัวรถ ถ่ายรูปหมายเลขเครื่อง-หมายเลขตัวถัง

Debt-Restructuring-Your-Car

การปรับโครงสร้างหนี้ จะทำให้หนี้ระหว่างเจ้าหนี้กับลูกหนี้ ยังไม่เป็นหนี้เสีย ถือเป็นการให้โอกาสในการผ่อนชำระ ไฟแนนซ์เองก็ไม่ต้องเสียเวลา เสียค่าใช้จ่ายฟ้องร้องคดีแพ่ง เสียเวลาเอารถมาจอดแช่จนโทรม เพื่อรอขายทอดตลาด แถมได้เก็บดอกเบี้ยจากคุณเพิ่มอีก

ส่วนฝ่ายคุณก็จะได้บริหารเงินให้ลงตัว ในการจ่ายหนี้ และมีเวลาผ่อนได้มากขึ้น (แต่ดอกเบี้ยก็สูงขึ้นไปด้วย) และไม่ต้องเสียรถที่คุณผ่อนไปมากแล้ว นับว่าเป็นผลดีกับทั้งสองฝ่าย

ซึ่งมันก็อาจจะดีสำหรับคนที่กำลังถังแตก ในยุคเศรษฐกิจย่ำแย่กันทั้งโลกครับ …

ส่วนถ้าใครอยากขายรถ เพราะได้รับผลกระทบจากโควิด-19 เพื่อนำเงินไปใช้จ่ายในช่วงนี้ สามารถขายคันเก่ากับ CARRO Express ได้ รวดเร็ว! เรายินดีรับซื้อรถของคุณ พร้อมปิดการขายได้ทันที รถติดไฟแนนซ์เราก็รับซื้อ แค่คลิก -> https://th.carro.co/sell-car/express หรือจะ Inbox มาขอรายละเอียดได้ที่ Facebook -> CARRO Thailand และ Add Line สอบถามรายละเอียดได้เช่นกัน ที่ @carrothaiและอีกหนึ่งบริการใหม่! CARRO Automall แหล่งรวมรถมือสองคุณภาพเยี่ยม ผ่านการตรวจสภาพแบบ Double Check รับประกันพร้อมโอนทุกคัน ฟรี! ค่าจัดโอน มีให้เลือกชมเพียบ ซื้อรถ คลิก -> https://th.carro.co/taladrod/allcar/carro 

หรือสนใจรถรุ่นไหนอยู่ แต่หาไม่ได้ สามารถสั่งตามออเดอร์ได้ที่นี้ > https://th.carro.co/buy-car หรือโทร. 02-508-8690 อีกทั้งยัง Inbox เข้ามาสอบถามก็ได้เช่นกันได้ที่ Facebook -> CARRO Automall – รถบ้านมือสอง หรือทาง Line เชิญเลยครับที่ @carroautomall

Carro-How-To-Use-Automatic-Transmission

รถเกียร์อัตโนมัติ หรือ รถเกียร์ออโต้ เริ่มเป็นที่รู้จักและนิยมใช้งานในรถยนต์ กันมาตั้งแต่ในช่วงยุค 50 ที่แพร่หลายมาจากในรถอเมริกัน ก่อนจะแพร่หลายมายังในรถยุโรปและรถญี่ปุ่น ซึ่งในบ้านเราเริ่มจะรู้จัก “เกียร์อัตโนมัติ” กันตั้งแต่ในยุค 60 จากรถอเมริกัน แต่ที่มีแพร่หลายมากขึ้น ก็เริ่มกันตั้งแต่ในช่วงประมาณยุค 80 ที่รถญี่ปุ่นรุ่นท็อปๆ เริ่มติดตั้งมาให้

แต่ยุคปัจจุบัน จากสภาพจราจรที่ติดขัดอย่างหนัก รวมไปถึงระบบเกียร์ เทคโนโลยีที่ทันสมัยมากขึ้น ใช้งานได้ง่ายมากขึ้น ก็กลายเป็นเรื่องธรรมดาสามัญไปแล้ว จนคนรุ่นใหม่ เวลาเรียนขับรถส่วนใหญ่ ก็หัดจากรถเกียร์อัตโนมัติกัน

แต่บางคนก็อาจจะละเลยถึงความสำคัญของตำแหน่ง “เกียร์อัตโนมัติ” หรือ “เกียร์ออโต้” ไป Mr.Carro จะมาอธิบายให้ฟังกันครับ …

How-To-Use-Automatic-Transmission

เกียร์อัตโนมัติในปัจจุบัน แบ่งออกได้เป็น 2 ประเภทใหญ่ๆ นั่นคือ เกียร์อัตโนมัติแบบมีลำดับขั้น (ซึ่งก็มีแยกออกไปอีก ทั้งแบบต้องกดปุ่มเปลี่ยนเกียร์ ตามยาว และแบบ Gate-Type หรือแบบขั้นบันได ที่ไม่มีปุ่มให้กด แต่ใช้วิธีเลื่อนไปตามตำแหน่งต่างๆ ตามรอยหยัก) และเกียร์อัตโนมัติแบบ CVT ซึ่งในการเรียกตำแหน่งเกียร์ ก็ยังคงใช้ชื่อเรียกตำแหน่งเกียร์เหมือนกัน

ตำแหน่ง P (Parking)

ตำแหน่ง P (Parking) ใช้สำหรับจอดรถแบบล็อคล้อ ไม่ต้องการให้รถเคลื่อน หรือ จอดบนทางลาดชัน

ตำแหน่งเกียร์ P จะอยู่ด้านบนสุด ควรใช้ต่อเมื่อรถจอดดับเครื่องเรียบร้อยแล้ว เพราะจะเป็นการล็อคล้อไว้ไม่ให้รถเคลื่อนได้ และถ้าจะจอดบนทางลาดชัน ก็ใช้ตำแหน่งเกียร์ P นี้เช่นกัน ทางที่ดีควรดึงเบรกมือไว้ด้วย เพื่อป้องกันเกียร์เสียหาย กรณีที่ถูกชนท้าย และควรใช้ต่อเมื่อจอดรถในตำแหน่งที่ไม่มีรถกีดขวางอยู่ครับ (เพราะคนอื่นจะเข็นรถคุณไม่ได้!)

ตำแหน่ง R (Reverse)

ตำแหน่ง R (Reverse) คือ เกียร์ถอยหลัง

ตำแหน่งเกียร์ R แล้ว ชื่อก็บอกอยู่แล้ว ว่าเป็นเกียร์ถอยหลัง เมื่อใช้เกียร์ตำแหน่งนี้ รถก็จะถอยหลังได้เองอย่างช้าๆ โดยที่เรานั้นไม่ต้องเหยียบคันเร่ง ระหว่างถอย คุณก็เตรียมวางเท้าขวาเอาไว้ที่แป้นเบรกตลอดเวลา

หากคุณจะเปลี่ยนเกียร์จากตำแหน่ง P มาตำแหน่ง R จะต้องเหยียบเบรกก่อน แล้วกดปุ่มปลดล็อคบริเวณหัวเกียร์ด้วย แต่หากเป็นรถใช้เกียร์แบบขั้นบันได ก็เหยียบเบรกแล้วเลื่อนคันเกียร์ไปด้านข้าง ก็เข้าเกียร์ R ได้แล้ว

ตำแหน่ง N (Neutral)

ตำแหน่ง N (Neutral) คือ เกียร์ว่าง

ตำแหน่งเกียร์ N ไว้สำหรับจอดรถชั่วคราว เช่น จอดรถติดไฟแดง เป็นต้น และการจอดรถที่ใส่เกียร์ในตำแหน่ง N นี้ รถก็ยังสามารถเข็นไปมาได้ ซึ่งเหมาะจะใช้ในกรณีการจอดรถในห้าง หรือริมถนนมาก

ตำแหน่ง D (Drive)

ตำแหน่ง D (Drive) หรือ เกียร์ขับ

เมื่อเราทำการเปลี่ยนเกียร์มาที่ D แล้ว รถจะไหลไปอย่างช้า เมื่อคุณเหยียบคันเร่ง รถจะเริ่มทำความเร็ว แล้วเปลี่ยนเกียร์ไปตามรอบเครื่องให้เองโดยอัตโนมัติ เริ่มตั้งแต่เกียร์ 1 ไปจนเกียร์ 10 ที่นับว่าเป็นเกียร์ที่สูงสุด ในรถเกียร์อัตโนมัติยุคปัจจุบัน ถือเป็นตำแหน่งเกียร์หลักๆ ในการขับรถไปข้างหน้า

ตำแหน่ง L (Low)

ตำแหน่ง L (Low) ใช้ในการขับรถขึ้น-ลงเนินที่ค่อนข้างชัน

ตำแหน่งเกียร์ L หรือ D2 จะใช้ขับรถขึ้น-ลงทางชัน เช่น ในลานจอดรถ หรือทางขึ้น-ลง ภูเขา เป็นต้น ซึ่งรถจะไม่มีการปรับอัตราทดเกียร์ให้ หรือเวลาที่ต้องการแรงเบรกจากเครื่องยนต์

ตำแหน่ง S (Sport) หรือ B (Brake)

ตำแหน่ง S (Sport) หรือ B (Brake) อันนี้หลายคนอาจไม่คุ้นเคย เพราะมีมาไม่นานนี้ สำหรับตำแหน่ง S ไว้ใช้สำหรับเร่งแซง ลากรอบได้สูง และในส่วนของ B นั้น ใช้เพื่อขับรถขึ้น-ลงทางชัน การทำงานเหมือนกับเกียร์ L ครับ

How-To-Use-Automatic-Transmission

เป็นยังไงบ้างครับ สำหรับรายละเอียดของตำแห่งเกียร์ที่ทาง Mr.Carro นำมาอธิบายในครั้งนี้ ซึ่งในครั้งหน้า เราจะขอนำเสนอเกี่ยวกับรายละเอียดต่างๆ ของรถยนต์เกียร์อัตโนมัติกันเพิ่มเติมครับ

ถ้าคุณตัดสินใจอยากขายรถคันเดิม เพื่อไปซื้อรถคันใหม่ หรือรับเป็นเงินก้อนไปใช้ สามารถขายรถคันเดิมกับ Carro ได้ ง่ายๆ ได้เงินไว! กับ Carro Express เพียงแค่คลิก https://th.carro.co/sell-car/express หรือสามารถ Inbox มาขอรายละเอียดได้ที่ Facebook Carro Thailand

หรือจะ Add Line สอบถามรายละเอียดได้ที่ @Carrothailand หรือคลิกที่นี่ครับ —> เพิ่มเพื่อน

4 วิธีเช็กสภาพยางรถยนต์

ก่อนฤดูฝน คุณตรวจเช็คสภาพยางรถยนต์กันแล้วหรือยัง?

ใกล้เข้าฤดูฝนแล้ว บางพื้นที่มีฝนตกลงมาอย่างต่อเนื่อง ทำให้พื้นถนนมีความลื้น ลำบากต่อการกับขี่รถด้วยความเร็ว ดังนั้นสิ่งที่ควรเตรียมพร้อมต้อนรับหน้าฝน คือ การตรวจเช็คสภาพยางรถยนต์ ตั้งแต่อายุยาง ดอกยาง ลมยาง เพราะหากยังฝืนขับรถบนถนนที่ลื่นหรือเปียกฝน อาจจะเสี่ยงเกิดอันตรายกับรถยนต์และตัวของคุณเอง วันนี้ Carro จะพาไปเช็คสภาพยางรถยนต์ ก่อนขับลุยหน้าฝน กันนะคะ

พอเข้าหน้าฝน อย่างแรกที่น่าห่วงก็คือ การขับขี่รถยนต์บนห้องถนน มักจะเสี่ยงต่อการเกิดอุบัติเหตุ ต่อผู้ใช้รถใช้ถนน และยิ่งเมื่อฝนตกแล้วการมองเห็นของผู้ขับขี่จะลดลง จะเพิ่มความยากให้กับการขับขี่ มองไม่เห็น หลุม บ่อ และแอ่งน้ำ

4 วิธีเช็กสภาพยางรถยนต์

ตรวจเช็คลมยาง

ควรเช็คสภาพลมยาง เดือนละ 1 ครั้ง และในช่วงหน้าฝนหรือก่อนออกเดินทางไปที่ไกลๆ ที่ต้องลุยถนนเปียก ดังนั้นควรเติมลมยางเผื่อไว้อีกประมาณ 1-2 ปอนด์ เพื่อให้ยางแข็งและรีดน้ำได้ดี แต่อย่าลืมเช็คลมขณะที่ยางเย็น

4 วิธีเช็กสภาพยางรถยนต์

เปลี่ยนยางรถยนต์

โดยเฉพาะอย่างยิ่งในตำแหน่งล้อหน้าจะเกิดการสึกผิดปกติของดอกยางง่ายที่สุด ดังนั้น เพื่อให้ยางมีอายุการใช้งานได้นาน ควรสลับตำแหน่งยาง อยู่เสมอควรสลับตำแหน่งทุก 10,000 กม

4 วิธีเช็กสภาพยางรถยนต์

ตรวจสอบสภาพของดอกยาง

ควรสังเกตความลึกของดอกยางรถยนต์ ไม่ควรต่ำกว่า 3 มิลลิเมตร ซึ่งความลึกของดอกยางใหม่จะมีความลึกประมาณ 8 – 9 มิลลิเมตร หรือไม่อาจใช้ไม้ขีดไฟทิ่มลงไปในร่อง ยางรถยนต์ ถ้าคุณเห็นหัวไม้ขีดสีแดง ก็หมายความว่าดอกยางเหลือน้อยเกินไปที่จะใช้งานต่อไป

4 วิธีเช็กสภาพยางรถยนต์

อายุของยางรถยนต์

โดยทั่วไปรถยนต์จะถึงเวลาเปลี่ยนยางใหม่เมื่อยางถูกใช้งานไปแล้ว 5 ปี ประมาณ 50,000 – 80,000 กิโลเมตรขึ้นไป ยางควรได้รับการตรวจสอบอย่างละเอียดโดยผู้เชี่ยวชาญอย่างน้อยปีละครั้ง แต่ถ้ารถไม่ค่อยได้ใช้งานหรือวิ่งระยะไกล ดอกยางยังแน่นและไม่มีการสึกหรอ ก็สามารถใช้ยางต่อไปได้ บางคันสามารถใช้งานได้ถึง 10 ปี

วิธีขับรถลุยฝน ให้ปลอดภัย ห่างไกลอุบัติเหตุ

  1. ควรขับรถด้วยความเร็วไม่เกิน 60 กิโลเมตรต่อชั่วโมง
  2. เปิดที่ปัดน้ำฝน โดยปรับระดับความเร็วให้เหมาะสมกับความแรงและปริมาณฝนที่ตกลงมา
  3. เว้นระยะห่างจากรถคันด้านหน้าประมาณ 10-15 เมตร
  4. เปิดไฟต่ำตลอดทางการขับรถ
  5. หลีกเลี่ยงการขับรถลุยแอ่งน้ำ
  6. ไม่ควร’ เปิดไฟฉุกเฉิน แต่ควรเปิดไฟตัดหมอกหน้า-หลัง

สุดท้ายนี้ หากเช็คลมยางละสภาพรถยนต์เรียบร้อยแล้ว อย่าประมาทในการขับขี่รถยนต์ เพื่อป้องกันอุบัติเหตุบนท้องถนน และหากต้องการขายรถยนต์ใหม่ป้ายแดง สามารถเช็คโปรโมชั่นของแต่ละค่ายได้ที่ siamcardeal.com เราพร้อมให้คำแนะนำ และให้โปรโมชั่นที่ดีที่สุดกับคุณ

5-Things-To-Use-Manual-Transmission

ในอดีต รถเกียร์ธรรมดา จัดได้ว่าเป็นรถธรรมดาสามัญ ที่มีอยู่ในบ้านเราทั่วไป (และทั่วโลก) ไม่ใช่ของแปลกอะไร และคนที่ขับรถเป็นกันแทบทุกคนในอดีต ต่างก็เรียนหัดขับรถจากรถเกียร์ธรรมดากันทั้งนั้น

ซึ่งเกียร์ธรรมดา ก็จะมีแยกออกไปได้อีก ทั้ง เกียร์บริเวณคอพวงมาลัย หรือ “เกียร์คอ” มักจะมีเฉพาะในรถรุ่นเก่ามากๆ หรือรถตู้ในอดีตบางรุ่น ที่คนเล่นรถ Retro Car ชอบรถเก่า ยังคงถวิลหา และเกียร์บริเวณแผงคอนโซลกลาง หรือ “เกียร์กระปุก” ที่ปัจจุบัน จะมีให้เลือกกันทั้ง 5 สปีด และ 6 สปีด

มาจนถึงในโลกยุคปัจจุบัน ที่เทคโนโลยีของรถเกียร์อัตโนมัติก้าวล้ำไปมาก และปัญหารถติดที่มากขึ้นเรื่อยๆ ทำให้รถยนต์เกียร์ธรรมดา “แทบถูกลืม” ไปจากคนใช้รถยุคใหม่ โดยมีเหลือไว้เฉพาะในรถกระบะ รถตู้ รถสปอร์ต หรือรถเก๋ง กับรถ Eco-Car รุ่นถูกสุดเท่านั้น

หากใครอยากที่จะลองขับเกียร์ธรรมดาให้คล่อง และเกียร์ไม่พังไว ต้องอ่าน 5 สิ่งนี้กันก่อน …

5-Things-To-Use-Manual-Transmission

1. อย่ากระแทก หรือเข้าเกียร์แรงๆ

คุณเคยสังเกตคนขับรถเมล์ เวลาเข้าเกียร์ไหมล่ะ? เสียงดังครืดคราดมาเลย นั่นเป็นเพราะเฟืองซินโครเมชในเกียร์สึก ทำให้เกียร์เข้ายาก อันเนื่องมาจากการเข้าเกียร์ไม่ตรงร่องบ้างล่ะ เข้าเกียร์แรงๆ บ้างล่ะ

การเข้าเกียร์ที่ถูกต้อง คือ ควรใช้ “ข้อมือ” ช่วย จะช่วยให้เข้าเกียร์ตามตำแหน่งที่เยื้องกันได้ง่าย เช่น จาก 2-3, 4-5 หรือ 5-4, 3-2 เป็นต้น อย่าเกร็งแขนและข้อมือ เพราะจะเข้าเกียร์ผิดตำแหน่ง หรือเข้าเกียร์ได้ยาก

ยิ่งเกียร์ธรรมดาในรถรุ่นใหม่ๆ เข้าง่ายกว่ารถสมัยก่อนมาก แถมคลัทช์ก็นิ่ม (ถ้าคลัทช์แข็งๆ ก็จะประมาณรถกระบะ) แต่สิ่งสำคัญที่ควรจำไว้ เวลาขับรถบนถนน “ห้ามมองเกียร์” นะครับ!

5-Things-To-Use-Manual-Transmission

2. เลี้ยงคลัทช์ให้ดี เครื่องจะไม่ดับ

เป็นเรื่องที่คนขับรถเกียร์ธรรมดาตอนหัดขับ เป็นกันทุกคน นั่นคือ “ออกตัวแล้วเครื่องดับ” ไม่ใช่เรื่องแปลกหรอกครับ ผมเองก็เคยทำเช่นนี้

คือเรื่องแบบนี้ต้อง “ทำความคุ้นเคย” กับรถ และหมั่น “ฝึกฝน” บ่อยๆ แรกๆ อาจจะยาก แต่บ่อยครั้งเข้าเดี๋ยวก็ชิน เพื่อออกรถให้นุ่นนวล มีจังหวะ ไม่ออกตัวกระชาก จับระยะการปล่อยคลัทช์ให้สัมพันธ์กันกับคันเร่ง ซึ่งในรถแต่ละรุ่น ระยะคลัทช์ตื้นลึกไม่เท่ากัน

บางคนบอก ถ้ากลัวออกตัวแล้วเครื่องดับ ก็ให้เหยียบคันเร่งลึกๆ แช่คลัทช์ไว้แล้วค่อยๆ ถอนคลัทช์ก่อนออกตัวรถ ซึ่งก็ทำได้ แต่มันก็จะกินน้ำมัน หรือหากถอนคลัทช์เร็วไป รถอาจพุ่งไปข้างหน้าได้ครับ

5-Things-To-Use-Manual-Transmission

3. รถติดบนทางชัน ต้องใช้เบรกมือ

การขับรถเกียร์ธรรมดา แล้วต้องจอดคาบนทางชัน เป็นอะไรที่ทำให้มือใหม่ เหงื่อตกเหงื่อแตกกันมาก นั่นคือ “รถติดบนสะพาน” หรือบนลานจอดรถในห้าง หลายคนกลัวตอนออกตัว แล้วรถจะไหลไปชนกับคันหลัง

ไม่ต้องกลัวครับ กรณีรถติดอยู่บนคอสะพาน ให้ดึงเบรกมือไว้ก่อนเลย พอจังหวะจะออกตัว ให้เหยียบคลัทช์ เข้าเกียร์ 1 ค่อยๆ เหยียบคันเร่ง แล้วค่อยๆ ปล่อยคลัทช์ จนรู้สึกว่ารถเริ่มออกตัวได้ ก็ค่อยๆ ปลดเบรกมือลง

5-Things-To-Use-Manual-Transmission

4. อย่าเลี้ยงคลัทช์จนเคยชิน

บางคนติดนิสัยชอบเหยียบคลัทช์แช่ไว้นานๆ แต่การวางเท้าไว้ที่คลัทช์นานๆ นั้น ไม่เป็นผลดีนัก เพราะเหมือนมีน้ำหนักกดไว้อยู้ ทำให้คลัทช์นั้นทำงานตลอด จะทำให้คลัทช์สึกหรอเร็ว และรถกินน้ำมันมากขึ้น

ทางที่ดี เมื่อเข้าเกียร์ เหยียบคลัทช์ ออกตัวรถเรียบร้อยแล้ว ควรวางขาไว้ที่ “แป้นพักเท้า” บริเวณมุมซ้ายสุดนะครับ (แบบในรูป) เพื่อความสบายของเท้า และจะช่วยตรึงและดันให้ร่างกายให้แนบสนิท ติดกับตัวเบาะ ทำให้ขับรถได้สบายขึ้น ไม่เมื่อยขาท่อนบน และช่วยให้กล้ามเนื้อแผ่นหลัง รับแรงสั่นสะเทือนจากช่วงล่างของรถน้อยลง เมื่อนั่งนานๆ จะได้ไม่ปวดหลัง และปวดขาท่อนบน

5-Things-To-Use-Manual-Transmission

5. เปลี่ยนเกียร์ที่ความเร็วเหมาะสม

การเปลี่ยนเกียร์ที่เหมาะสม คุณควรศึกษาจากคู่มือรถของคุณดูก่อนนะครับว่า เขาออกแบบให้เกียร์แต่ละเกียร์นั้น ทำความเร็วสูงสุดได้เท่าไหร่ ช่วงความเร็วที่เหมาะสมในการเปลี่ยนเกียร์ อยู่ที่เท่าไหร่ ซึ่งในรถแต่ละรุ่นไม่เท่ากัน แต่ถ้าใครไม่มีคู่มือรถ ก็อาศัยดูวัดรอบ หรือถ้าไม่มีวัดรอบ ก็อาศัยเงี่ยหูฟังเสียงเครื่องยนต์คำรามเอา ว่าดังพอที่จะเปลี่ยนเกียร์ถัดไปได้หรือยัง

เรื่องกำลังของรถก็มีส่วน หากขับรถเกียร์ธรรมดา เครื่องเบนซิน ก็อาจจะใช้รอบเครื่องที่สูงหน่อย แล้วค่อยเปลี่ยนเกียร์ (เพราะหากเปลี่ยนเกียร์ตอนรอบเครื่องต่ำ รถก็จะสั่นและอืด กับกินน้ำมันมากขึ้น) ส่วนถ้าใครขับรถเกียร์ธรรมดา เครื่องดีเซล ก็สามารถเปลี่ยนในรอบต่ำได้เลย เพราะเครื่องยนต์ดีเซล จะมีแรงบิดที่ค่อนข้างสูง

5-Things-To-Use-Manual-Transmission

สำหรับใครที่ยังไม่คุ้นเคยกับรถ เพื่อความคุ้นเคย ควรฝึกจำตำแหน่งเกียร์ให้ดีก่อน ด้วยการลองเข้าเกียร์แต่ละจังหวะ (ห้ามสตาร์ทรถนะครับ) เพราะตำแหน่งเกียร์ในรถยุโรป เกียร์ “R” จะอยู่ตำแหน่งเดียวกับเกียร์ “1” ในรถหลายๆ รุ่น หลายคนอาจไม่คุ้นเคย ใส่เกียร์ผิด! (ด้วยเหตุนี้ รถหลายรุ่น จึงออกแบบมาให้มีสลักสำหรับดึงขึ้นบริเวณคันเกียร์ เพื่อป้องกันการเข้าเกียร์ R)

อย่าลืม! ใส่เกียร์ว่างทุกครั้งเวลาจอดรถ และเมื่อขึ้นไปนั่งขับรถ ให้ขยับเกียร์ก่อนเลย ว่าอยู่ที่เกียร์ว่างหรือเปล่า ทำให้เป็นนิสัย เพื่อป้องกันการสตาร์ทรถแล้ว รถกระชากไปข้างหน้าได้ แค่นี้คุณก็ขับรถเกียร์ธรรมดาได้อย่างสนุกแล้วล่ะครับ

สำหรับใครที่อยากขายรถคันเดิมตอนนี้ หรือกำลังตัดสินใจจะซื้อรถป้ายแดงอยู่พอดี แต่งบไม่พอ!  มาขายรถกับ CARRO Express สิ! หรือจะ Inbox มาขอรายละเอียดได้ที่ Facebook -> CARRO Thailand และ Add Line สอบถามรายละเอียดได้เช่นกัน ที่ @carrothai

และอีกหนึ่งบริการใหม่! CARRO Automall แหล่งรวมรถมือสองคุณภาพเยี่ยม ผ่านการตรวจสภาพแบบ Double Check รับประกันพร้อมโอนทุกคัน ฟรี! ค่าจัดโอน มีให้เลือกชมเพียบ เปิดบริการทุกวัน อยากซื้อรถคุณภาพเยี่ยม มาซื้อกับ CARRO Automall สิ!

หรือสนใจรถรุ่นไหนอยู่ แต่หาไม่ได้ สามารถสั่งตามออเดอร์ได้ที่นี้ > https://th.carro.co/buy-car หรือโทร. 02-508-8690 อีกทั้งยัง Inbox เข้ามาสอบถามก็ได้เช่นกันได้ที่ Facebook -> CARRO Automall – รถบ้านมือสอง หรือทาง Line เชิญเลยครับที่ @carroautomall

Beware-Your-Side-Mirror-From-Motorcycle

อีกเรื่องหนึ่งเลยของคนขับรถในกรุงเทพฯ หรือตามหัวเมืองใหญ่ๆ ที่นอกจากเผชิญกับรถติดแล้ว ยังต้องมาเจอเหล่านักบิด หรือ “มอเตอร์ไซค์” ทั้งหลาย เบียด ปาด แทรก ขึ้นมาด้านข้างตัวรถเป็นประจำ ซึ่งเป็นเรื่องปกติ วิ่งถนนแคบๆ แล้วรถติดๆ ด้วยนะ รู้สึกได้เลย

บางทีก็เกิดการกระทบกระทั่งขึ้นมา เช่น แฮนด์รถจักรยานยนต์ เฉี่ยวกระจกมองข้าง! ถ้าไม่มากก็แค่เฉี่ยวกระจกมองข้างเป็นรอยถลอก หรืองอไปข้างหน้า ถ้าหนักหน่อยก็หักทั้งยวงเลย

ก็คงได้แต่ทำใจ เพราะ 99.99% ของมอเตอร์ไซค์ที่มาเฉี่ยว มักจะไม่รับผิดชอบ ไปเลย! … Mr.Carro ขอนำเสนอวิธีขับรถ ที่ได้มาจากผู้คร่ำหวอดในวงการนักข่าวสายรถจักรยานยนต์มานาน แนะนำวิธีเลี่ยงไม่ให้มอเตอร์ไซค์เฉี่ยวกระจกมองข้าง ได้มากที่สุดครับ …

วิธีที่ 1

Beware-Your-Side-Mirror-From-Motorcycle

เวลาขับรถ พยายามขับรถให้อยู่จุดกึ่งกลาง ระหว่างเส้นแบ่งเลนจราจรมากที่สุด พยายามอย่าชิดเส้นขอบทางไปด้านซ้าย-ขวา มากเกินไป

เพราะเวลามอเตอร์ไซค์จะแทรกเข้ามาด้านข้างตัวรถของเรา เขาจะค่อยๆ ขี่ไปได้อย่างไม่ลำบากนัก (เพราะถ้าเขาซิกแซก ซอกแซกลำบาก ไปๆ มาๆ แฮนด์อาจมากระแทก โดนกระจกมองข้างรถของเราแทน!)

วิธีที่ 2

Beware-Your-Side-Mirror-From-Motorcycle

เมื่อคุณจอดรถติดไฟแดง หรือติดอะไรก็แล้วแต่ พยายาม “อย่า” จอดรถติดเสมอกับกระจกมองข้างรถคันด้านข้างๆ ให้จอดรถเหลื่อมกันไว้ บวกกับเว้นระยะห่างจากคันหน้าไว้ เพราะมอเตอร์ไซค์ที่ขี่มา มักจะพยายามหาวิธีแทรก เกิดไปเจอรถจอดติดกันสองคัน กระจกมองข้างอยู่มุมเสมอกันพอดี บางทีหลบกระจกมองข้างรถอีกคันได้ แต่กลับไปเฉี่ยวกระจกมองข้างรถอีกคันแทน!

ถ้าโดนเฉี่ยวแล้ว เรียกประกันภัยอย่างไร?

Beware-Your-Side-Mirror-From-Motorcycle

อย่างแรก คือ ต้องแจ้งบริษัทประกันภัย กับแจ้งความกับตำรวจไว้ และแจ้งเคลมบริษัทประกันรถยนต์ทันทีที่เกิดเหตุ (กรณี เช่น กระจกมองข้างหัก) ถ้ามีหลักฐาน เช่น ป้ายรถทะเบียนรถมอเตอร์ไซค์คันที่เฉี่ยว ภาพจากกล้องหน้ารถ ภาพจากกล้องวงจรปิด ก็เตรียมไว้เป็นหลักฐาน

เมื่อเจ้าหน้าที่รับแจ้งสอบถามข้อมูลการเกิดเหตุเบื้องต้นแล้ว จะส่งเจ้าหน้าที่มาดู ณ จุดเกิดเหตุ เช่น ถ้าจุดนั้นมีติดตั้งกล้องวงจรปิด เจ้าหน้าที่ก็จะติดต่อตำรวจเพื่อขอดูกล้องวงจรปิดช่วงเกิดเหตุ ถ้าเห็นป้ายทะเบียนรถจักรยานยนต์ ก็เป็นโอกาสที่จะทำให้พนักงานสอบสวนสามารถออกหมายเรียกเจ้าของรถจักรยานยนต์คันนั้นมาสอบสวน เข้าสู่กระบวนการติดตามผู้กระทำความผิด หรือทำให้รถยนต์เสียหายต่อไป

ทั้งนี้ เอกสารเคลมที่บันทึกของพนักงานสอบสวน สามารถระบุป้ายทะเบียน หรือรายละเอียดอื่นๆ ของรถคู่กรณี ได้ครบถ้วน ทั้งหมวดตัวอักษรและหมวดจังหวัด จะมีประโยชน์ที่ประกันภัยจะละเว้นไม่เรียกเก็บค่าเสียหายส่วนแรกตามเงื่อนไขของ คปภ. ในข้อที่ระบุไว้ว่า ความเสียหายต่อตัวรถยนต์ กรณีถูกคู่กรณีเฉี่ยวชนและไม่สามารถระบุรายละเอียดของคู่กรณีได้ ต้องเสียค่าเสียหายส่วนแรก (ค่า Excess) เฉพาะกรณีนี้ต่อเหตุการณ์ๆ ละ 1,000 บาท สำหรับการประกันภัยรถยนต์ประเภท 1

ถ้าหากเป็นประกันภัยรถยนต์ประเภท 2 + หรือ 3+ จะคุ้มครองเฉพาะเวลาโดนมอเตอร์ไซค์เฉี่ยว แล้วคุณสามารถ “จำหมายเลขทะเบียนได้” เพราะจะไม่ได้ถือว่า เป็นการถูกเฉี่ยวชนแล้วหลบหนี แต่ประเภท 2 + หรือ 3+ จะไม่คุ้มครองการถูกมอเตอร์ไซค์ชนแล้วหลบหนี

รู้แบบนี้แล้ว ก็ลองไปปฏิบัติใช้ดู แต่ทางที่ดี ก็ต้องระวังมอเตอร์ไซค์มาเฉี่ยว อยู่ดีละครับ!

ถ้าคุณตัดสินใจอยากขายรถคันเดิม เพื่อไปซื้อรถคันใหม่ หรือรับเป็นเงินก้อนไปใช้ สามารถขายรถคันเดิมกับ Carro ได้ ง่ายๆ ได้เงินไว! กับ Carro Express เพียงแค่คลิก https://th.carro.co/sell-car/express หรือสามารถ Inbox มาขอรายละเอียดได้ที่ Facebook Carro Thailand

หรือจะ Add Line สอบถามรายละเอียดได้ที่ @Carrothailand หรือคลิกที่นี่ครับ —> เพิ่มเพื่อน

รถยนต์แบบไหนที่ควรทำประกันชั้น 3

ทุกวันนี้อุบัติเหตุสามารถเกิดขึ้นได้ทุกที่ ทุกเวลา โดยเฉพาะอุบัติเหตุที่เกิดบนท้องถนน หากคุณขับรถประมาท ขาดสติในการขับรถละก็ อุบัติเหตุทางรถก็สามารถเกิดขึ้นกับคุณได้เลยค่ะ ดังนั้นการทำประกันรถยนต์จึงเป็นเหมือนหลักประกันป้องกันความปลอดภัยให้กับคุณ แต่ทุกวันนี้เศรษฐกิจมันไม่ดีจะเอาเงินไปลงกับประกันรถยนต์คงไม่ไหว ดังนั้นบริษัทประกันจึงมีประกันชั้น 3 ที่เบี้ยประกันราคาถูกที่สุด เพื่อตอบโจทย์คนที่อยากมีประกันรถและอยากได้ประกันรถที่ราคาถูกนั่นเอง

ว่าแต่รถยนต์แบบไหนควรทำประกันชั้น 3 ล่ะ เรามาดูกันดีกว่าว่ารถยนต์แบบไหนควรซื้อประกันรถชั้น 3

6 ลักษณะรถยนต์ที่เหมาะกับประกันชั้น 3

รถยนต์ที่ไม่ค่อยใช้งาน ควรทำประกันรถประเภทไหน

  1. ถยนต์ที่ไม่ค่อยได้ใช้งาน

หากคุณมีรถยนต์อยู่ในบ้าน แต่ไม่ค่อยได้ใช้งาน มักจะจอดทิ้งไว้อยู่ที่บ้าน นานๆทีจะเอารถคันนี้ออกมาใช้ บอกเลยว่ารถยนต์คันนี้ควรทำประกันรถยนต์ชั้น 3 ด้วยเหตุผลที่ว่า รถยนต์คันนี้นานๆทีจะใช้งาน ไม่ค่อยได้ขับรถไปไหน แต่ใช่ว่ารถที่ไม่ใช้งานจะไม่เกิดอุบัติเหตุขึ้นเลย ดังนั้นเราควรทำประกันรถยนต์เอาไว้ เพื่อเป็นหลักประกันความปลอดภัยให้กับรถยนต์ของคุณ และคู่กรณีของคุณ

  1. รถเก่า

รถเก่าที่ว่า ส่วนใหญ่แล้วจะต้องมีอายุการใช้งานไม่เกิน 7 ปี ซึ่งอายุการใช้งานของรถยนต์ขนาดนี้ ประกันรถยนต์ชั้น 1 ไม่รับคุ้มครองแน่นอนค่ะ เพราะระบุไว้ในเงื่อนไขของประกันรถยนต์ชั้น 1 ไว้ชัดเจน ว่าไม่รับรถยนต์ที่มีอายุเกิน 7 ปีขึ้นไป ดังนั้นหากคุณมีรถยนต์ที่อายุการใช้งานมากกว่า 7 ปีขึ้นไป แนะนำให้ทำประกันรถยนต์ชั้น 3 เลยค่ะ

ซึ่งถ้าพูดตามหลักความเป็นจริงแล้ว ส่วนใหญ่คนที่มีรถเก่าก็มักไม่ค่อยได้ใช้ จะจอดทิ้งไว้อยู่ที่บ้าน โอกาสที่จะเฉี่ยวชนก็น้อย เกิดอุบัติเหตุก็น้อย ดังนั้นประกันที่เหมาะกับรถเก่าก็คือ ประกันรถยนต์ชั้น 3 นั่นเอง

  1. คนที่ขับรถเชี่ยวชาญ

หากคุณมั่นใจในทักษะการขับรถของตัวเองอยู่ในระดับหนึ่งแล้ว ผ่านการขับรถมานานหลายปี เรียกว่าเชี่ยวชาญเลยก็ว่าได้ ไม่เฉี่ยว ไม่ชน เกิดอุบัติเหตุที่เกี่ยวข้องกับรถยนต์น้อยมาก แต่อย่างที่บอกไปข้างต้นค่ะ ว่าอุบัติเหตุสามารถเกิดขึ้นได้ทุกเมื่อ ดังนั้นเราต้องทำประกันรถยนต์เพื่อความปลอดภัยเป็นหลัก ซึ่งประกันรถยนต์ที่เหมาะกับผู้ที่ขับรถอย่างเชี่ยวชาญ ก็คือ ประกันรถยนต์ชั้น 3

สภาพแวดล้อมบ้านก็มีส่วนในการเลือกทำประกันรถ

  1. สภาพแวดล้อมของบ้าน

สภาพแวดล้อมของบ้านก็มีส่วนให้เราเลือกทำประกันรถยนต์เช่นกัน หลายคนคงไม่เข้าใจใช่ไหมคะว่าทำไมสภาพแวดล้อมบ้านเกี่ยวอะไรกับการเลือกซื้อประกันรถยนต์ บอกเลยว่าเกี่ยวเต็มๆ หากสภาพแวดล้อมบ้านของคุณเป็นพื้นที่เสี่ยงเกิดอุทกภัย เสี่ยงเกิดอัคคีภัย เสี่ยงต่อภัยธรรมชาติต่างๆ คุณควรทำประกันรถยนต์ที่ให้ความคุ้มครองแบบจัดเต็ม

แต่ถ้าบ้านของคุณไม่ได้อยู่ในพื้นที่เสี่ยงภัยธรรมชาติ แนะนำให้ทำประกันรถยนต์ชั้น 3 ก็พอค่ะ เพราะประกันชั้น 3 ไม่ได้คุ้มครองในส่วนของความเสียหายจากภัยธรรมชาติ ดังนั้นเราไม่จำเป็นต้องทำประกันรถยนต์ที่ให้ความคุ้มครองในส่วนของภัยธรรมชาติ เพื่อเป็นการประหยัดในส่วนของเบี้ยประกันรถนั่นเอง

  1. ทำธุรกิจ หรือมีญาติพี่น้อง คนรู้จักเปิดอู่ซ่อมรถ

ในส่วนนี้ถือเป็นสิทธิพิเศษก็ว่าได้ค่ะ หากคุณหรือญาติพี่น้องทำธุรกิจอู่ซ่อมรถละก็ ค่าซ่อมรถของคุณอาจจะได้รับสิทธิพิเศษมากกว่าคนอื่น หากคุณได้รับสิทธิพิเศษเหล่านี้ละก็ เรื่องค่าใช้จ่าย ค่าซ่อมแซมก็หายไปได้หน่อยนึง

ซึ่งถ้าคุณมีตัวเลือกแบบนี้ เราไม่จำเป็นต้องซื้อประกันรถยนต์ที่เบี้ยราคาสูงๆ หรือประกันรถยนต์ที่ให้ความคุ้มครองแบบเต็มความคุ้มครองเลยค่ะ คุณเลือกประกันรถยนต์แค่ชั้น 3 ก็เพียงพอต่อการซื้อประกันรถยนต์

  1. งบสำหรับประกันไม่สูงมาก

หากคุณมีปัญหาเรื่องสภาพทางการเงิน ไม่อยากเอารายได้ของคุณไปจบอยู่ที่เบี้ยประกันรถยนต์ราคาสูงๆ แต่ถ้าไม่ทำประกันรถยนต์ก็ไม่ได้ ดังนั้นเราควรเลือกซื้อประกันรถยนต์ที่เบี้ยประกันราคาเป็นกันเอง แถมยังให้ความคุ้มครองอย่างคุ้มค่า เช่นประกันรถยนต์ชั้น 3 นั่นเอง แม้ความคุ้มครองอาจไม่จัดเต็มเหมือนประกันรถยนต์ประเภทอื่นๆ แต่ในเมื่อเรามีข้อจำกัดเรื่องงบ ประกันชั้น 3 จึงเป็นตัวช่วยคนสำคัญที่จะดูแลความปลอดภัยนั่นเอง

หากคุณต้องการทำประกันรถยนต์แต่มีข้อจำกัดหลายๆ อย่างตามที่ทางเราได้กล่าวไปข้างต้น เราแนะนำให้คุณทำประกันชั้น 3 เลยค่ะ หากคุณสนใจทำประกันรถยนต์ชั้น 3 ก็สามารถเข้ามาดูได้ที่ rabbit finance เรามีบริการเปรียบเทียบประกันรถยนต์ให้คุณเลือกประกันรถยนต์ตามที่คุณต้องการเลยค่ะ สนใจคลิกเข้ามาเลย!

Caution-7-Button-In-Cars

รถยนต์รุ่นใหม่ๆ ในปัจจุบัน มักมีระบบอำนวยความสะดวกในรูปแบบปุ่มกดหรือระบบสัมผัส ซึ่งบางปุ่มเกี่ยวข้องกับระบบความปลอดภัยของรถ ที่ค่อนข้างมากมาย และมีวิธีใช้ที่แตกต่างกันไป

ดังนั้นเพื่อความปลอดภัย ทางกระทรวงมหาดไทย โดยกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย (ปภ.) จึงขอเตือน 7 ปุ่มในรถ หากเผลอกดหรือใช้งานไม่เหมาะสมกับสถานการณ์ จะเพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดอันตราย ได้แก่

1.ปุ่มเปิดไฟสูง

Headlight-Lamp

ปุ่มเปิดไฟสูง สถานการณ์ที่ควรใช้ เมื่อขับรถผ่านเส้นทางที่มืดมาก จะช่วยให้มองเห็นเส้นทางชัดเจนขึ้น หรือส่งสัญญาณเตือนให้ผู้ขับรถคันอื่นเพิ่มความระมัดระวังอันตรายจากการเปิดไฟสูงค้าง ไฟสูงมีลำแสงเข้มและพุ่งตรงไปด้านหน้า ทำให้ผู้ขับรถคันอื่นสายตาพร่ามัว ก่อให้เกิดอุบัติเหตุได้

2.ปุ่มปิดการทำงานของถุงลมนิรภัย

Airbag-On-Off-Switch

ปุ่มปิดการทำงานของถุงลมนิรภัย ควรใช้ กรณีติดตั้งเบาะนั่งนิรภัยเด็กบริเวณเบาะด้านหน้า เพื่อป้องกันถุงลมนิรภัยทำงานกรณีประสบอุบัติเหตุ ถุงลมนิรภัยจะพองตัวและพุ่งกระแทกใส่เด็ก ทำให้ขาดอากาศหายใจ และได้รับบาดเจ็บรุนแรงมากขึ้น อันตรายจากการปิดปุ่ม กรณีประสบอุบัติเหตุจากการชนด้านหน้า ถุงลมนิรภัยจะไม่ทำงาน ทำให้ผู้ขับขี่และผู้โดยสารด้านหน้า ได้รับบาดเจ็บรุนแรงมากขึ้น

3.ปุ่มไฟตัดหมอก

Fog-Lamp-Button

ปุ่มไฟตัดหมอก ควรใช้ เมื่อขับรถผ่านเส้นทางที่มีฝนตกหนัก หรือหมอกลงจัด รวมถึงการขับรถในช่วงกลางคืนหลังฝนตก หรือถนนมีน้ำเฉอะแฉะ เพื่อลดการสะท้อนของแสงไฟหน้ารถกับพื้นถนน จะช่วยให้มองเห็นเส้นทางชัดเจนขึ้น อันตรายจากการเปิดไฟตัดหมอกค้างไว้ แสงไฟตัดหมอกจะส่องสว่างได้ในระยะไกล ทำให้ผู้ขับรถคันอื่นสายตาพร่ามัว ก่อให้เกิดอุบัติเหตุได้

4.ปุ่มเบรกมือไฟฟ้า

Parking-Brake-Button

ปุ่มเบรกมือไฟฟ้า ควรใช้ เหมาะสำหรับจอดรถบริเวณทางลาดชัน จะช่วยให้ล้อล็อคอยู่กับที่ และป้องกันรถไหล ก่อให้เกิดอุบัติเหตุได้ หากเปิดใช้ในขณะขับขี่ ระบบเบรกมือจะทำงานทันที แม้จะมีวงจรปลดล็อคอัตโนมัติในขณะที่ล้อหมุน แต่อาจทำให้ผู้ขับขี่ตกใจ จึงเพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดอุบัติเหตุ

5.ปุ่มเปิดกระโปรงหน้ารถ

Bonnet-Button

ปุ่มเปิดกระโปรงหน้ารถ ควรใช้ เมื่อต้องตรวจสอบเครื่องยนต์ หรือรถมีอาการผิดปกติ อาทิ การเติมน้ำหล่อเย็น การเปลี่ยนสายพานหรือแบตเตอรี่ การเติมน้ำมันเบรก โดยดับเครื่องยนต์และจอดรถในบริเวณที่ปลอดภัย พร้อมดึงเบรกมือ เพื่อป้องกันอันตรายที่อาจเกิดขึ้นได้ กรณีลืมปิดปุ่มเปิดกระโปรงหน้ารถ เมื่อขับรถด้วยความเร็วสูง แรงลมปะทะจะทำให้สลักยึดฝากระโปรงหลุด ส่งผลให้ฝากระโปรงเปิด และบดบังทัศนวิสัยในการมองเห็นเส้นทาง จึงเพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดอุบัติเหตุ

6.ปุ่มเปิดกระโปรงท้ายรถ

Trunk-Open

ปุ่มเปิดกระโปรงท้ายรถ ควรใช้ กรณีต้องจัดเก็บสิ่งของไว้บริเวณกระโปรงท้ายรถ และควรปิดให้สนิททุกครั้งหลังใช้งาน กรณีปิดกระโปรงท้ายรถไม่สนิท ในขณะรถวิ่ง อาจทำให้สิ่งของที่อยู่บริเวณกระโปรงท้ายรถร่วงหล่นกีดขวางช่องทาง ส่งผลให้รถที่วิ่งตามหลังมา ต้องหักหลบกะทันหัน จึงเพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดอุบัติเหตุ แต่หากลืมปิดฝากระโปรงท้ายรถขณะจอดรถเป็นเวลานาน อาจทำให้แบตเตอรี่หมดได้

7.ปุ่มระบบป้องกันล้อหมุนฟรี

VSC-VSA-ESP-Button

ปุ่มระบบป้องกันล้อหมุนฟรี (ระบบ ESP/VSC/VSA ที่แล้วแต่ผู้ผลิตรถแต่ละค่ายจะเรียก) ควรใช้ในขณะที่รถออกตัวหรือเหยียบคันเร่งบนเส้นทางเปียกลื่นหรือทางลูกรัง จะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการทรงตัวของรถ และป้องกันล้อหมุนฟรี ส่งผลให้รถมีการทรงตัวที่สมดุลในทุกเส้นทาง

กรณีปิดระบบ เมื่อขับรถผ่านเส้นทางที่เปียกลื่นหรือเป็นทางลูกรัง อาจทำให้รถมีอาการปัดหรือลื่นไถล จึงเพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดอันตรายที่รุนแรงมากขึ้น ในทางกลับกัน กรณีขับรถผ่านทางโคลน หรือออกจากหล่มโคลน การปิดระบบจะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการเลื่อนรถออกจากหล่ม

ทั้งนี้ การใส่ใจเรียนรู้ระบบการทำงานของรถ โดยเฉพาะปุ่มต่างๆ ในรถที่เกี่ยวข้องกับระบบอำนวยความสะดวก และความปลอดภัย จะช่วยลดอันตรายและความเสี่ยงต่อการเกิดอุบัติเหตุ….