King-Rama-10-Royal-Cars

ในช่วงแห่งการเฉลิมฉลองพระราชพิธีบรมราชาภิเษก พุทธศักราช 2562 นับเป็นช่วงแห่งความปลื้มปิติของเหล่าพสกนิกรชาวไทย ในการขึ้นเป็น พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ของ พระบาทสมเด็จพระปรเมนทรรามาธิบดีศรีสินทรมหาวชิราลงกรณฯ พระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 10 อย่างสมบูรณ์ตามโบราณราชประเพณี ซึ่งจะเกิดขึ้นระหว่างวันที่ 4 – 6 พฤษภาคม 2562 ณ พระบรมมหาราชวัง เขตพระนคร กรุงเทพมหานคร

และเนื่องด้วย พระบาทสมเด็จพระปรเมนทรรามาธิบดีศรีสินทรมหาวชิราลงกรณฯ พระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงโปรดด้านการทหารและการบินเป็นพิเศษ โดยเฉพาะอย่างยิ่งด้านการบิน ซึ่งพระองค์ทรงใฝ่รู้ตั้งแต่ยังทรงพระเยาว์ และในส่วนของรถยนต์และเครื่องยนต์กลไก พระองค์ก็ทรงโปรดมากๆ เช่นเดียวกัน

CARRO จึงขอนำเสนอถึง “รถยนต์พระที่นั่ง” ของ พระบาทสมเด็จพระปรเมนทรรามาธิบดีศรีสินทรมหาวชิราลงกรณฯ พระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัว ทั้งในอดีตและปัจจุบัน เท่าที่ค้นหามาได้ ให้ทุกท่านได้รับชมกันครับ

Daimler-DE36

1. Daimler DE36

Daimler DE36 (เดมเลอร์ ดีอี36) พระบาทสมเด็จพระปรเมนทรรามาธิบดีศรีสินทรมหาวชิราลงกรณฯ พระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงรำลึกถึงพระราชบิดา ด้วยการทรงนำรถยนต์พระที่นั่ง Daimler DE36 Landaulette มีเลข Chassis เลขตัวถัง 51747 ส่วนตัวถังรถผลิตโดย Hooper แห่ง Westminster ซึ่งผลิตด้วยมือ เป็นรุ่นฐานล้อยาว มีกระจกแบ่งระหว่างคนขับและผู้โดยสาร ใช้เครื่องยนต์แบบ V8 ขนาด 5.5 ลิตร 150 แรงม้า ส่งกำลังผ่านเกียร์กึ่งอัตโนมัติแบบคันบังคับไฟฟ้า 4 สปีด

ซึ่งเป็นรถยนต์พระที่นั่ง “อย่างเป็นทางการ” คันแรกในพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช (หมายเลขทะเบียน “ร.ย.ล. 1”) กลับมาประจำการในฐานะรถยนต์พระที่นั่งทรงอีกครั้งในรอบ 40 กว่าปี หลังจากปลดประจำการ

Delahaye-GFA-180

2. Delahaye G.F.A. 180

Delahaye G.F.A. 180 (เดอลาเฮย์ จีเอฟเอ 180) ปี 1953 เดิมเป็นรถพระที่นั่งของ พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ทรงใช้ แต่ภายหลัง พระบาทสมเด็จพระปรเมนทรรามาธิบดีศรีสินทรมหาวชิราลงกรณฯ พระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงนำออกมาใช้งานในพิธีต่างๆ บ้าง

ผลิตเมื่อปี 2496 ตัวถังแบบลีมูซีน (หมายเลขแชสซีส์ 825018) ตัวถังผลิตโดย Henri Chapron (หมายเลขตัวถัง 6961) ตัวรถผลิตโดย Société Des Automobiles Delahaye มีหน้าต่างกระจกกั้นพระที่นั่งตอนหน้า และตอนหลัง กระจกหน้าต่างแบบไฮดรอลิก และหน้าต่างรับแดด (ซันรูฟ) บนหลังคา ส่งกำลังผ่านเกียร์ 4 สปีด

Rolls-Royce-Phantom-Limousine-De-Ville

3. Rolls-Royce Phantom Limousine De Ville

Rolls-Royce Phantom Limousine De Ville (โรลส์-รอยซ์ แฟนทอม ลิมูซีน เดอวิลล์) ปี พ.ศ. 2482 (หมายเลขแชสซีส์ 3DL 158) ผลิตที่โรงงานโรลส์-รอยส์ ในเมืองดาร์บี ใช้เครื่องยนต์แบบ V12 (หมายเลขเครื่อง W98 H) มีจานจ่าย 2 ชุด ส่งกำลังผ่านเกียร์ธรรมดา 5 สปีด

ลงเรือที่เซาท์แธมตัน เมื่อวันที่ 21 สิงหาคม 2482 เจ้าของเดิมคือ พระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าอาทิตย์ทิพอาภา ต่อมา สมเด็จพระบาทสมเด็จพระปรเมนทรรามาธิบดีศรีสินทรมหาวชิราลงกรณฯ พระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงนำออกมาใช้งานในพิธีต่างๆ บ้าง

Volvo-264-TE

4. Volvo 264 TE

Volvo 264 TE (วอลโว่ 264 ทีอี) รุ่นนี้ ออกแบบโดย “Bertone” เครื่องยนต์รหัส B27E ขนาด 2.7 ลิตร แบบ V6 OHC ให้แรงม้าสูงสุด 140 แรงม้า ที่ 6,000 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 21.0 กก.-ม. ที่ 3,000 รอบ/นาที ถ่ายทอดกำลังผ่านเกียร์อัตโนมัติ 3 สปีด ทำความเร็วได้กว่า 165 กม./ชม.

บริษัท สวีเดนมอเตอร์ส จำกัด มอบหมายให้นายวันนิวัติ ศรีไกรวิน และนางจุไรรัตน์ ศรีไกรวิน เป็นผู้แทนของบริษัทฯ น้อมเกล้าฯ ถวาย สมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ (พระอิสริยยศในขณะนั้น) ป้ายทะเบียน ร.ย.ล. 14

Mercedes-Benz-450-SEL-6.9

5. Mercedes-Benz 450 SEL 6.9

Mercedes-Benz 450 SEL 6.9 (เมอร์เซเดส-เบนซ์ 450 เอสอีแอล 6.9) รถยนต์พระที่นั่ง ป้ายทะเบียน ร.ย.ล. 10 (ปัจจุบัน ทะเบียน 1ด-0106 กรุงเทพมหานคร)

สมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฎราชกุมาร (พระอิสริยยศในขณะนั้น) ทรงอภิเษกสมรส กับ พระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าโสมสวลี พระวรชายาฯ ในวันพระราชพิธีอภิเษกสมรส พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ทรงพระราชทานรถยนต์ Mercedes-Benz 450 SEL 6.9 เครื่องยนต์ขนาด 6.9 ลิตร เป็นของขวัญ

สมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฎราชกุมาร โปรดรถพระราชทานคันนี้มาก ในระหว่างทรงศึกษาที่โรงเรียนเสนาธิการทหารบก ทรงขับรถคันนี้ เสด็จพระราชดำเนินต่างจังหวัดอยู่เสมอ ทรงขับจากกรุงเทพฯ ถึงนราธิวาส และจากกรุงเทพฯ ถึงอุดรธานี พิษณุโลก และ ลำปาง

Rolls-Royce-Corniche-Convertible

6. Rolls-Royce Corniche Convertible

Rolls-Royce Corniche Convertible (โรลส์-รอยซ์ คอร์นิช คอนเวอร์ติเบิ้ล) เป็นรถที่พสกนิกรหลายท่านคุ้นตาในอดีต เพราะเป็นรถที่ พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช (รัชกาลที่ 9) ใช้ทรงงานมากที่สุดอีกรุ่น แต่พระบาทสมเด็จพระปรเมนทรรามาธิบดีศรีสินทรมหาวชิราลงกรณฯ พระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัว ก็ทรงมีใช้งานด้วยเช่นกัน

Rolls-Royce-Silver-Spur-Limousine

7. Rolls-Royce Silver Spur Limousine

Rolls-Royce Silver Spur (โรลส์-รอยซ์ ซิลเลอร์ สเพอร์) นับเป็นรถลิมูซีน ที่คุ้นตาพสกนิกรมากที่สุดอีกหนึ่งรุ่น เพราะใช้ในงานพระราชพิธีบ่อยครั้ง ซึ่งเป็นรถประจำของพระบรมวงศานุวงศ์หลายพระองค์ และเป็นหนึ่งในรถยนต์พระที่นั่ง ที่ พระบาทสมเด็จพระปรเมนทรรามาธิบดีศรีสินทรมหาวชิราลงกรณฯ พระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงประทับนั่งเป็นประจำ

ขอขอบคุณภาพจาก

ฟิล์มติดรถยนต์

การนำรถไปติดฟิล์มติดรถยนต์ หลายๆคนก็อาจจะไม่ค่อยแน่ใจว่าควรเลือกฟิล์มติดรถยนต์แบบไหนเพราะมีให้เลือกหลากหลายแบบมาก ทั้งนี้ทั้งนั้น การเลือกฟิล์มติดรถยนต์ ค่อนข้างเป็นตัวเลือกที่แล้วแต่ความชอบของบุคคลมากๆ เพื่อนๆก็จะต้องดูด้วยว่าฟิล์มแต่ละแบบมีคุณภาพคงทนมากน้อยแค่ไหน

ในวันนี้ พี่หมีจึงนำเอาประเภทของฟิล์มติดรถยนต์ยนต์ทั้ง 4 ประเภทมาฝากกัน เพื่อดูว่าในแต่ละแบบมีคุณสมบัติอะไรและมีข้อดีข้อเสียแตกต่างกันอย่างไร เป็นตัวช่วยเพื่อนๆสามารถเลือกฟิล์มติดกระจกที่เหมาะกับรถ และ lifestyle ของเพื่อนๆได้จริงๆครับ ไปดูกันเลย

 

  1. ฟิล์มติดรถยนต์ธรรมดา (Dyed Car Tint)

 

ฟิล์มกรองแสงประเภทนี้ถือว่าเป็นฟิล์มที่มีราคาถูกที่สุด และมีคุณภาพเบสิคที่สุด โดยจะมีการแทรกชั้นเคลือบสีไว้ที่ระหว่างชั้นกาวใสและชั้นนอกกันรอยขีดข่วน เพื่อนๆสามารถเลือกระดับการปกป้องรังสียูวีได้ตั้งแต่ 5%-50% ครับ

ทำให้ข้อดีของฟิล์มติดรถยนต์ประเภทนี้ก็คือ มีราคาน่าคบ สามารถกันแสงยูวีได้ในระดับที่ถือว่าโอเค มีสีเข้มเมื่อมองจากภายนอก แต่อย่างไรก็ดี ฟิล์มประเภทนี้อาจจะหลุดลอกได้ตามกาลเวลา หรือมีฟองอากาศแทรกตัวเข้าไปด้านในทำให้กระจกรถยนต์ดูไม่สวย และด้วยคุณสมบัติที่จะดูดซับความร้อนจากแสงอาทิตย์ได้เพียงส่วนหนึ่ง ก็ยังดูดซับความร้อนได้ไม่มีประสิทธิภาพหากอยู่ในอากาศเมืองไทยครับ

 

  1. ฟิล์มปรอท (Metallic Car Tint)

ฟิล์มติดรถยนต์ประเภทนี้ จะแทรกแผ่นฟิล์มเคลือบไอโลหะไว้ที่ตรงกลาง ซึ่งจะมีความสามารถในการกันแสง uv และสะท้อนความร้อนออกไป โดยเมื่อติดฟิล์มลงบนรถยนต์แล้ว ฟิล์มกรองแสงแบบนี้จะมีหน้าตาคล้ายกระจกเงาที่คนข้างนอกจะมองเข้าไปในตัวรถไม่ได้เลยในเวลากลางวัน แต่กลางคืนจะสามารถมองเข้าไปได้

ฟิล์มชนิดนี้ สามารถกันแสงได้มากตั้งแต่ 60%-90% และกันความร้อนได้ตั้งแต่ 35%-90%

ข้อเสียของฟิล์มติดรถยนต์ประเภทนี้ก็คือ ลักษณะเงาวับด้านนอกอาจจะไม่ได้เข้ากับรสนิยมของคนทุกคน รวมถึงแผ่นฟิล์มเคลือบโลหะอาจจะเข้ามารบกวนสัญญาณโทรศัพท์มือถือ  GPS หรือสัญญาณวิทยุได้ครับ นอกจากนี้ก็จะมีราคาที่แพงกว่าฟิล์มกรองแสงธรรมดาแน่นอน

 

  1. ฟิล์มคาร์บอน (Carbon Car Tint)

ฟิล์มติดรถยนต์แบบคาร์บอนจะไม่ได้มีชั้นฟิล์มโลหะแทรกอยู่ ทำให้ไม่มีปัญหากับเรื่องการใช้โทรศัพท์มือถือหรือระบบ GPS โดยฟิล์มคาร์บอนจะมีลักษณะมืดและมีเนื้อด้าน เมื่อนำไปติดบนรถยนต์ทำให้ดูมีรสนิยม โดยฟิล์มคาร์บอนสามารถกันแสงอินฟราเรดได้ถึง 40% ทำให้ปกป้องรถจากความร้อนที่ผ่านเข้ามาทางหน้าต่าง และสามารถกันรังสี UVA และ UVB ได้มากถึง 99% แม้ข้อดีเยอะแยะขนาดนี้ แต่แน่นอนว่า ฟิล์มกรองแสงคาร์บอนย่อมมาพร้อมกับราคาที่สูงมากนั่นเองครับ

 

  1. ฟิล์มเซรามิค (Ceramic Car Tint)

ฟิล์มติดรถยนต์แบบเซรามิคจะเป็นการแทรกฟิล์มบางๆด้วยวัสดุเซรามิกเข้าไป ทำให้สามารถกันการแผ่รังสี UV ได้มากถึง 50%-70% กันความร้อนได้ 70% และกันแสงอินฟราเรดได้มากถึง 97%

ฟิล์มกรองแสงชนิดนี้ จะไม่สะท้อนเป็นกระจกเงา สีไม่ซีด ไม่กันสัญญาณโทรศัพท์และบล็อกรังสี UV ลดแสงสะท้อนได้เป็นอย่างดี อย่างไรก็ดีฟิล์มชนิดนี้ก็มีราคาแพงมากๆเช่นกันครับ

โดยในประเทศไทย มีกฎหมายข้อบังคับเรื่องการติดฟิล์มกรองแสงออกมาว่า เพื่อนๆจะสามารถติดฟิล์ม ติดรถยนต์ที่กระจกหน้าและหลังที่ความเข้มไม่เกิน 40% ส่วนกระจกข้างจะติดฟิล์มที่ความเข้มได้ไม่เกิน 60% เพื่อความปลอดภัยในการขับขี่นั้นเองครับ ทำให้ไม่ว่าเพื่อนๆจะเลือกสิ่งใด ก็ขอให้เน้นเรื่องความปลอดภัยไว้ก่อนด้วยนะครับ และถ้าจะให้ชัวร์ ให้เพื่อนๆทำประกันรถยนต์ติดไว้ จะได้อุ่นใจได้ตลอดเวลานั่นเอง โดยเพื่อนๆสามารถเข้ามาเช็คว่าประกันรถยนต์ชั้นไหนเหมาะกับตัวคุณได้ที่เว็บไซต์โกแบร์เลยนะครับ

6-Danger-Items-Not-Keep-In-Car

หลายคนที่ต้องใช้งานรถยนต์กันเป็นประจำ บางทีก็หลีกเลี่ยงไม่ได้ที่จะต้องจอดรถทิ้งไว้กลางแดด เพราะแค่หาที่จอดรถก็จะยากแสนยากแล้ว ซึ่งปกติแล้วการจอดรถกลางแดดโดยปิดกระจกทุกบาน ความร้อนภายในรถจะพุ่งสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว หากจอดรถกลางแดดในวันที่อากาศร้อนจัดทะลุ 37°C อุณหภูมิภายในรถอาจสูงถึง 60°C เลยทีเดียว ซึ่งถือเป็นระดับความร้อนแม้แต่คนยังไม่สามารถทนได้

ยิ่งช่วงนี้มีข่าวบ่อย ไม่ว่าจะเป็นการเก็บโทรศัพท์มือถือ สเปรย์น้ำหอม หรือ Power Bank ไว้ในรถ แล้วจอดรถทิ้งไว้กลางแดดจัดๆ จนเกิดเรื่องระเบิดขึ้นมาบ้าง ไฟไหม้หน้ารถบ้าง ก็ตามที …

ดังนั้น สิ่งของอันตราย หากจัดเก็บไม่ถูกวิธี เมื่อได้รับความร้อนอาจทำให้เกิดระเบิด หรือเพลิงไหม้ ก่อให้เกิดอันตรายได้ เพื่อความปลอดภัย คาร์โร จึงรวบรวม 6 สิ่งที่ไม่ควรเก็บไว้ในรถขณะจอดกลางแดด เพื่อป้องกันไม่ให้รถเกิดความเสียหาย ซึ่งมีอะไรบ้าง? ไปดูกันเลย

ไฟแช็ค

1. ไฟแช็ก

หากวางไว้บนคอนโซลรถและถูกแสงแดดที่มีความร้อนสูงกระทบเป็นเวลานาน อาจทำให้เกิดการระเบิด ซึ่งจะส่งผลให้กระจกรถยนต์แตกร้าว หรืออาจเสี่ยงต่อการเกิดเพลิงไหม้ได้

สีสเปรย์

2. กระป๋องสเปรย์

เมื่อถูกความร้อนจะทำให้วัตถุ สารเคมี และแก๊สในกระป๋องขยายตัว จึงเกิดประกายไฟหรือระเบิดได้

Powerbank

3. แบตเตอรี่สำรอง

สารลิเธียมในแบตเตอรี่สำรอง (หรือ Power Bank) เป็นโลหะที่ไวต่อปฏิกิริยาทางเคมี เมื่อได้รับความร้อน อาจทำให้เกิดการลัดวงจร ส่งผลให้เกิดการระเบิดได้

iPhone

4. โทรศัพท์มือถือ

ความร้อนทำให้วงจรภายในโทรศัพท์ได้รับความเสียหาย และแบตเตอรี่โทรศัพท์เกิดการระเบิด โดยเฉพาะหากเปิดใช้งาน จะทำให้ความร้อนสูงขึ้น จึงเสี่ยงต่อการระเบิดได้

น้ำแข็งแห้ง

5. น้ำแข็งแห้ง

เมื่อน้ำแข็งแห้งระเบิดจะกลายเป็นก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ ทำให้ผู้ที่อยู่ในห้องโดยสารหมดสติ เพื่อความปลอดภัย ควรเก็บไว้ในภาชนะที่มีช่องระบายอากาศ แยกจากห้องโดยสาร หากเก็บในห้องโดยสาร ควรเปิดกระจกรถ เพื่อระบายอากาศออกสู่ภายนอก

แผ่นยางกันลื่น-มือถือ

6. แผ่นยางกันลื่น

แผ่นยางกันลื่นสำหรับวางโทรศัพท์ ที่มักวางไว้เหนือแผงคอนโซล แม้ว่าจะไม่เกิดการระเบิดเหมือนข้ออื่นๆที่ผ่านมา แต่อาจละลายติดไปกับคอนโซลได้ หากได้รับความร้อนเป็นเวลานาน

เชื่อว่าหลายคนอาจนึกไม่ถึงว่าสิ่งของเหล่านี้ สามารถทำให้เกิดความเสียหายได้ และนอกจากจะทำให้สิ่งของเสียหายแล้ว ยังทำให้ผู้ที่อยู่ในห้องโดยสารเสี่ยงต่อการได้รับอันตรายอีกด้วย

Carro Express ขายรถกับคาร์โร อยากขายรถ ขายรถด่วน

สำหรับใครที่อยากขายรถคันเดิม ไปซื้อรถยนต์คันใหม่ มาขายรถกับทาง CARRO Express ได้ที่  https://th.carro.co/sell-car/express วิธีการขายรถในแบบยุคใหม่ ง่าย สะดวก รวดเร็ว ได้ราคา อีกทั้งยังลงขายได้ “ฟรี!” พร้อมรับเงินสดกลับบ้านทันที ภายใน 24 ชั่วโมง!

Carro Automall / คาร์โร ออโต้มอลล์

แต่ถ้าหากช่วงนี้ใครอยากเปลี่ยนรถคันใหม่ มาใช้แทนที่รถคันเดิม CARRO Automall แหล่งรวมรถมือสองคุณภาพเยี่ยมผ่านระบบออนไลน์ พร้อมตอบโจทย์คุณด้วยคอนเซปต์ “click.buy.drive.” คุณสามารถจองรถออนไลน์ ได้ในเวลาเพียง 1 นาทีเท่านั้น!

รถทุกคันผ่านการตรวจสภาพแบบ Double Check มากกว่า 200 จุด และยังมีเทคโนโลยี “360 View & Sound Engine Analysis” ให้คุณเลือกชมรถยนต์เสมือนจริงออนไลน์รายแรกในไทย ทั้งภาพและเสียงในรูปแบบ 360 องศา พร้อมรับประกันคุณภาพรถนานถึง 1 ปี หรือ 30,000 กิโลเมตร! อีกทั้งยังการันตีความพึงพอใจ คืนเงินได้ภายใน 5 วันอีกด้วย! เรามีรถให้คุณเลือกชมเพียบ เปิดบริการทุกวัน ซื้อรถคุณภาพเยี่ยม ต้องที่ CARRO Automall สิ!

หรือถ้าหากสนใจรถรุ่นไหนอยู่ แต่ยังหาที่ถูกใจไม่ได้ เรายินดีหาให้! เพียงแค่กรอกเบอร์โทรศัพท์ ชื่อยี่ห้อ / รุ่นรถ ที่คุณต้องการก็ได้เช่นกันครับ อีกทั้งยังสามารถ Inbox เข้ามาสอบถามรายละเอียดได้ที่ Facebook -> CARRO Automall Official โทร. 02-508-8690 หรือทาง Line @carroautomall ครับ

คล็ดลับ ดูแลรถยนต์ ช่วงหน้าร้อน

รถยนต์นี่ถือเป็นยานพาหนะที่สำคัญในชีวิตประจำวันมากๆกับทุกคน แต่ถึงอย่างนั้นแม้รถยนต์ของเราถูกออกแบบมาให้ทนทานมากแค่ไหน แต่รถยนต์อาจมีการเสื่อมสภาพและพังได้ตามเวลา อีกทั้งตอนนี้ประเทศไทยได้เข้าสู่หน้าร้อนอย่างเต็มที่ จึงส่งผลเสียต่อตัวรถยนต์หลายๆคัน ดังนั้นเราทุกคนต้องดูแลรถยนต์ให้มากกว่าเดิม วันนี้มีทริคดูแลรถยนต์ช่วงหน้าร้อน มีวิธีไหนบ้างจะแนะนำให้ครับ

 

1.ตรวจระบบปรับอากาศในเครื่องยนต์

ระบบปรับอากาศในรถนั้นจำเป็นมากในช่วงหน้าร้อนนี้ ดังนั้นเราต้องเช็คระบบปรับอากาศ และระดับของน้ำยาแอร์ซึ่งหากน้ำยาแอร์เหลือน้อย อาจส่งผลกับระบบทำความเย็นในเย็นรถยนต์ของเราได้

 

2.ตรวจสอบลมยางรถยนต์

สภาพอากาศร้อน มักส่งต่อสภาพของยางรถยนต์ของเราเป็นอย่างยิ่ง เพราะความดันภายในยางจะมีเพิ่มมากขึ้น ส่งผลให้พื้นสัมผัสระหว่างล้อรถและพื้นถนนมีน้อยลง เสี่ยงต่อการเกิดอุบัติเหตุได้มากยิ่งขึ้น เราจึงควรเช็คสภาพยางรถยนต์อย่างน้อยๆเดือนละครั้ง

3.แบตเตอรี่รถยนต์

อุณหภูมิที่สูงมากในช่วงหน้าร้อนนั้น มักจะส่งผลต่อระบบไฟฟ้าทั้งหมดรวมถึงแบตเตอรี่รถยนต์ ดังนั้นจึงหมั่นตรวจสอบระบบทั้งหมดเดือนละครั้ง ไม่ว่าจะเป็นสายไฟและขั้วต่าง ๆ ให้อยู่ในสภาพดีอยู่เสมอ รวมถึงระดับของน้ำกลั่นในแบตเตอรี่ควรเติมให้เต็มอยู่ตลอด

 

4.ระบบหล่อเย็นเครื่องยนต์

ระบบหล่อเย็นของรถยนต์ควรตรวจเช็คให้สามารถทำงานได้อย่างปกติ และควรหมั่นตรวจสภาพของหม้อน้ำและระบบต่าง ๆ ให้อยู่ในสภาพสมบูรณ์ ไม่มีรอยขาดหรือชำรุดเสียหาย เครื่องยนต์ทำงานจะเกิดความร้อนจากการเสียดสีและการจุดระเบิด นอกจากน้ำมันเครื่องที่ใช้สำหรับหล่อลื่นชิ้นส่วนต่างๆ ระบบหล่อเย็นก็ถือเป็นตัวช่วยระบายความร้อนชั้นดีได้อีกด้วย

 

5.ขอบยางประตูและที่ปัดน้ำฝน

ยิ่งโดนความร้อน ความเหนียวและความยืดหยุ่นในยางจะยิ่งลดลงเรื่อยๆ ซึ่งจะทำให้ที่ปัดน้ำฝนฟืดหากฝืนใช้ไปนานๆกระจกอาจเป็นรอยได้ และหากเป็นขอบยางประตูจะทำให้ปิดประตูไม่ค่อยสนิท ดังนั้นควรตรวจและเช็คสภาพสิ่งของที่เป็นประเภทยางให้ดี

 

6.ขอบยางประตูและที่ปัดน้ำฝน

ยิ่งโดนความร้อน ความเหนียวและความยืดหยุ่นในยางจะยิ่งลดลงเรื่อยๆ ซึ่งจะทำให้ที่ปัดน้ำฝนฟืดหากฝืนใช้ไปนานๆกระจกอาจเป็นรอยได้ และหากเป็นขอบยางประตูจะทำให้ปิดประตูไม่ค่อยสนิท ดังนั้นควรตรวจและเช็คสภาพสิ่งของที่เป็นประเภทยางให้ดี

 

7.น้ำมันเครื่อง

อากาศร้อนทำให้เครื่องยนต์ต้องทำงานหนักขึ้น การเลือกน้ำมันเครื่องที่เหมาะสมจะช่วยบรรเทาภาระของเครื่องยนต์ที่อาจเกิดขึ้นได้มากทีเดียว อีกทั้งควรมีการเปลี่ยนน้ำมันเครื่องอย่างสม่ำเสมอ จะช่วยรักษาสภาพของเครื่องยนต์ให้ใช้งานนานขึ้น

 

ที่สำคัญคือควรหลีกเลี่ยงการจอดรถตากแดด และควรหาทางระบายความร้อน เช่น การเปิดฝากระโปรงรถเพื่อระบายอากาศ และ เช็คขั้วแบตเตอรี่เสมอไม่ให้แน่นจนเกินไป ยิ่งหน้าร้อนยิ่งควรดูแลรักษารถยนต์ให้ดี อย่าปล่อยให้อากาศร้อนมาเป็นตัวทำร้ายรถยนต์ของคุณ หากต้องการโปรโมชั่นรถถยนต์ใหม่ป้ายแดง นึกถึง SIAMCARDEAL.COM

5-Secondhand-Hybrid-Cars-Price-Not-Over-500000-Baht

รถ Hybrid (รถไฮบริด) จัดเป็นรถยนต์ที่กำลังได้รับความนิยมมากขึ้นเรื่อยๆ ในระยะเวลา 20 ปีที่ผ่านมานี้ โดยจะสังเกตได้จากยอดขายที่มากขึ้นเรื่อยๆ ทั่วโลก อีกทั้งการพัฒนาของแบตเตอรี่ ที่สามารถเก็บพลังงาน และให้ระยะทางการวิ่งได้มากขึ้นเรื่อยๆ ซึ่งส่งผลให้อัตราสิ้นเปลืองเชื้อเพลิง ทำได้ดีมากขึ้นไปด้วย

แต่ถ้าหากเป็นรถไฮบริดมือสองนั้น อาจจะไม่เป็นที่นิยมมากนักในบ้านเรา เนื่องจากหลายคนเกรงเรื่องค่าบำรุงรักษา อะไหล่ เรื่องค่าแบตเตอรี่ที่ต้องเปลี่ยน ซึ่งอาจจะมีราคาสูงมากๆ บางรุ่นถึงเกือบ 2 ส่วน 4 ของราคาตัวรถมือสองทีเดียว รถไฮบริดราคามือสองจึงตกมาก …

แต่ถ้ามองในมุมผม คุณใช้งานรถต่อวันเยอะหรือเปล่าล่ะ? ถ้าใช้รถเยอะ รถ Hybrid ก็น่าจะเป็นทางออก ที่ช่วยให้คุณประหยัดเงินเติมน้ำมันได้มากขึ้น ในยุคน้ำมันเริ่มแพงขึ้นเรื่อยๆ

Mr.Carro ขอพาคุณไปชม 5 รถไฮบริดมือสอง ที่น่าสนใจจากตลาดรถยนต์มือสอง ในราคาไม่ถึง 5 แสนบาท ด้วยกัน 5 รุ่นครับ …

1. Toyota Prius

Toyota-Prius

Toyota Prius (โตโยต้า พรีอุส) จัดเป็นรถยนต์ไฮบริดรุ่นแรกของโลก ที่ทาง Toyota ผลิตออกมาจำหน่ายอย่างเป็นทางการในปี 1997 ก่อนจะเปิดตัวจำหน่ายในไทยอย่างเป็นทางการเมื่อเดือนพฤศจิกายน 2553 ในรูปแบบเจเนอเรชั่นที่ 3

โดดเด่นด้วยรูปทรงแอโรไดนามิค ไฟหน้า-ไฟท้ายแบบ LED พร้อมภายในแบบล้ำยุค มีระบบ Head-up Display บนกระจกหน้า ยิ่งรุ่นไมเนอร์เชนจ์ มีออพชั่นหลังคาแก้ว ระบบระบายอากาศอัตโนมัติ ด้วยพลังงานแสงอาทิตย์ และระบบปรับอากาศ เปิด – ปิดด้วยกุญแจรีโมท อีกด้วย

มาพร้อมเครื่องยนต์แบบ Atkinson Cycle รหัส 2ZR-FXE ขนาด 1.8 ลิตร แบบ 4 สูบ DOHC 16 วาล์ว VVT-i ให้แรงม้าสูงสุด 99 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 142 นิวตัน-เมตร (14.5 กก.-ม.) พร้อมมอเตอร์ไฟฟ้าขนาด 60 กิโลวัตต์ (82 แรงม้า) แรงดันไฟฟ้าสูงสุด 650 โวลต์ ส่งกำลังผ่านเกียร์ไฟฟ้าอัตโนมัติ โหมดการขับขี่แบ่งเป็น PWR Mode, ECO Mode และ EV Mode

โดย Toyota Prius ในตลาดรถมือสอง (ปี 2562) ราคาอยู่ที่ประมาณ 290,000 – 550,000 บาท

2. Toyota Camry Hybrid

Toyota-Camry-Hybrid

Toyota Camry Hybrid (โตโยต้า คัมรี่ ไฮบริด) โอกาสทองของคนที่อยากได้รถไฮบริดหรูๆ ในราคาไม่ถึงห้าแสนบาทมาแล้วครับ! สำหรับ Camry Hybrid รุ่นแรกในตลาด ตอนนั้นเปิดตัวเมื่อ 27 กรกฎาคม 2552 ตัวรถตกแต่งอย่างหรูหรา พร้อมโลโก้ Toyota สีฟ้า เอกลักษณ์เฉพาะรุ่นไฮบริด ภายในมีอุปกรณ์เด่นๆ อย่าง ระบบนำทางในรถยนต์ In-Car Navigator และเบาะนั่ง Seat Ventilator เป็นต้น

มาพร้อมเครื่องยนต์แบบ Atkinson Cycle รหัส 2AZ-FXE ขนาด 2.4 ลิตร แบบ 4 สูบ DOHC 16 วาล์ว VVT-i ให้แรงม้าสูงสุด 150 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 187 นิวตัน-เมตร (19.1 กก.-ม.) พร้อมมอเตอร์ไฟฟ้าขนาด 105 กิโลวัตต์ (143 แรงม้า) แรงดันไฟฟ้าสูงสุด 650 โวลต์ ส่งกำลังผ่านเกียร์ ECVT

โดย Toyota Camry Hybrid ในตลาดรถมือสอง (ปี 2562) ราคาอยู่ที่ประมาณ 360,000 – 500,000 บาท

3. Toyota Alphard Hybrid

Toyota-Alphard-Hybrid

Toyota Alphard Hybrid (โตโยต้า อัลฟาร์ด ไฮบริด) หลายคนอาจคาดไม่ถึงว่า เฮ้ย! Alphard Hybrid มีราคาต่ำกว่า 5 แสน ด้วยหรือเนี่ย! ก็ต้องบอกเลยว่า “มีครับ” แต่เป็น Alphard Hybrid เจเนอเรชั่นแรกนะครับ ซึ่งรถอาจจะปีลึกหน่อย และเป็นรถที่นำเข้ามาจากผู้จำหน่ายอิสระเท่านั้น ซึ่งรถรุ่นนี้ เปิดตัวครั้งแรกในเดือนกรกฎาคม 2546 ที่ประเทศญี่ปุ่น

มาพร้อมเครื่องยนต์รหัส 2AZ-FXE ขนาด 2.4 ลิตร แบบ 4 สูบ DOHC 16 วาล์ว VVT-i ให้แรงม้าสูงสุด 131 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 190 นิวตัน-เมตร (19.4 กก.-ม.) พร้อมมอเตอร์ไฟฟ้า 2 ตัว ขนาดกำลัง 13 และ 18 กิโลวัตต์ ส่งกำลังผ่านเกียร์ CVT ระบบขับเคลื่อน 4 ล้อ แบบ E-Four

โดย Toyota Alphard Hybrid ในตลาดรถมือสอง (ปี 2562) ราคาเริ่มต้นอยู่ที่ประมาณ 499,000 บาท

4. Honda Jazz Hybrid

Honda-Jazz-Hybrid

Honda Jazz Hybrid (ฮอนด้า แจ๊ซ ไฮบริด) เป็นครั้งแรกของรถในประเภท Sub-Compact ที่มีรถ Hybrid ขายเป็นครั้งแรกในไทย และก็ยังเป็น Honda Jazz รุ่นแรกและรุ่นเดียวในไทย ที่ขายในรูปแบบรถไฮบริด เปิดตัวในไทยเมื่อเดือนกรกฎาคม 2555

ออกแบบโดยใช้แนวคิดเรียบ และล้ำสมัย (Advance & Clean) กับชุดหน่วยควบคุมอัจฉริยะ IPU ขนาดกะทัดรัด และน้ำหนักเบา ถูกจัดวางไว้บริเวณพื้นห้องเก็บสัมภาระด้านหลังของตัวรถ พร้อมขยายประกันแบตเตอรี่ เป็น 10 ปี*

มาพร้อมเครื่องยนต์ขนาด 1.3 ลิตร แบบ 4 สูบ SOHC 8 วาล์ว i-VTEC ให้แรงม้าสูงสุด 88 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 121 นิวตัน-เมตร (12.3 กก.-ม.) พร้อมมอเตอร์ไฟฟ้าไฮบริดแบบ IMA ให้กำลัง 10 กิโลวัตต์ (14 แรงม้า) ส่งกำลังผ่านเกียร์อัตโนมัติแบบ CVT ช่วยให้ประหยัดน้ำมันได้ถึง 21.3 กม./ลิตร (หรือ 4.7 ลิตร/100 กม.)

โดย Honda Jazz Hybrid ในตลาดรถมือสอง (ปี 2562) ราคาอยู่ที่ประมาณ 340,000 – 440,000 บาท

5. Honda Civic Hybrid

Honda-Civic-Hybrid

Honda Civic Hybrid (ฮอนด้า ซีวิค ไฮบริด) นับเป็นครั้งแรกของไทยอีกเช่นกัน สำหรับ Civic Hybrid รุ่นประกอบในไทยเป็นครั้งแรก เปิดตัวในไทยเมื่อเดือนกุมภาพันธ์ 2556 พร้อมเปลี่ยนมาใช้แบตเตอรี่ลิเธียม-ไอออน และขยายประกันแบตเตอรี่ เป็น 10 ปี*

สำหรับเทคโนโลยีอัจฉริยะใน Civic Hybrid เด่นๆ เลย อาทิเช่น ระบบสตาร์ทเครื่องยนต์, Smart Key System, จอแสดงข้อมูลอัจฉริยะ หรือ i-MID: Intelligent Multi-Information Display พร้อมระบบ Idling Stop รวมไปถึงระบบ Eco Assist สำหรับช่วยเหลือในการขับขี่แบบประหยัด

มาพร้อมเครื่องยนต์ Parallel Hybrid ขนาด 1.5 ลิตร แบบ 4 สูบ SOHC 8 วาล์ว i-VTEC ให้แรงม้าสูงสุด 91 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 132 นิวตัน-เมตร (13.46 กก.-ม.) พร้อมมอเตอร์ไฟฟ้าไฮบริดแบบ IMA ให้กำลัง 17 กิโลวัตต์ (23 แรงม้า) ส่งกำลังผ่านเกียร์อัตโนมัติแบบ CVT

โดย Honda Civic Hybrid ในตลาดรถมือสอง (ปี 2562) ราคาอยู่ที่ประมาณ 420,000 – 500,000 บาท

เอาเป็นว่า ถูกใจคันไหน ชอบคันไหน ไปเลือกดูรถตัวจริง ทดลองขับ แล้วค่อยตัดสินใจซื้อกันได้เลยครับ … ที่แน่ๆ อย่าลืมหาเงินสำรองไว้รอเปลี่ยนแบตเตอรี่ กับ Inverter ด้วยนะครับผม!

*การขยายเวลารับประกันแบตเตอรี่ของ Honda Jazz Hybrid และ Civic Hybrid จาก 5 ปี เป็น 10 ปี แบบไม่จำกัดระยะทาง มีผลสำหรับลูกค้าที่ซื้อหรือสั่งจอง Honda Hybrid ก่อนวันที่ 31 ธันวาคม 2556 รวมทั้งยังครอบคลุมถึงลูกค้าที่ได้ซื้อไปก่อนหน้านี้ด้วย ทั้งนี้เงื่อนไขอื่นๆ เป็นไปตามที่บริษัทฯ กำหนด

ถ้าคุณตัดสินใจอยากขายรถคันเดิม เพื่อไปซื้อรถคันใหม่ หรือรับเป็นเงินก้อนไปใช้ สามารถขายรถคันเดิมกับ Carro ได้ ง่ายๆ ได้เงินไว! กับ Carro Express เพียงแค่คลิก https://th.carro.co/sell-car/express หรือสามารถ Inbox มาขอรายละเอียดได้ที่ Facebook Carro Thailand

หรือจะ Add Line สอบถามรายละเอียดได้ที่ @Carrothailand หรือคลิกที่นี่ครับ —> เพิ่มเพื่อน

5 วิธี แก้ปัญหารถแอร์ไม่เย็น

น่าสังเกตกันไหมครับว่า ในช่วง 20 กว่าปีที่ผ่านมานี้ โลกเราพบกับสภาวะโลกร้อนอย่างเลี่ยงไม่ได้ ทั้งในด้านการใช้ทรัพยากรธรรมชาติที่เกินเลย การกินอยู่และการกระตุ้นเศรษฐกิจในประเทศต่างๆ ล้วนก่อให้เกิดภาวะโลกร้อนทั้งสิ้น

ส่วนในประเทศไทยเองนั้น ก็ตั้งอยู่ในเขตเส้นศูนย์สูตร ซึ่งอากาศร้อนชื้นทุกฤดูอยู่แล้ว ไม่ใช่เพียงแค่หน้าร้อน หน้าฝน หรือหน้าหนาว เราก็รู้สึกได้ว่าแดดร้อนมากขึ้นกว่าเดิม ขนาดแอร์รถป้ายแดงยังเหนื่อย ถ้าเป็นรถมือสองอายุหลายปี ระบบแอร์ยิ่งไม่เย็นใหญ่!

CARRO มีเคล็ดลับมาบอกครับ ว่าแก้ปัญหาแอร์ไม่เย็นของรถยนต์คุณอย่างไร ให้เย็นฉ่ำชื่นอุราขึ้นอีกครั้ง …

Prepare-Car-Air-Condition-In-Hot-Season

1. เครื่องยนต์ต้องสมบูรณ์

ระบบเครื่องยนต์ต้องสมบูรณ์ เพราะเครื่องยนต์นั้นย่อมมีผลไปถึงระบบแอร์ด้วย ตรวจดูหม้อน้ำว่ามีรอยรั่วซึมหรือไม่ ดูท่อทางเดินน้ำจุดต่างๆ มีรอยแตกลายงา หรือแข็งแล้วหรือยัง เช็กซีล จุกยางจุดต่างๆ ดูสภาพเป็นไงบ้าง ตัวแหวนรัด ปั้มน้ำ และสายพาน ไปด้วยก็ดี อันไหนเสื่อมสภาพ ก็เปลี่ยนใหม่ซะ

Prepare-Car-Air-Condition-In-Hot-Season

2. ฟิล์มกรองแสง

ฟิล์มกรองแสงควรเลือกชนิดที่มีการสะท้อนความร้อนได้ดี ราคาอาจจะสูงหน่อย แต่ก็จะช่วยให้แอร์ในห้องโดยสารรถ เย็นขึ้นได้เช่นกัน

Prepare-Car-Air-Condition-In-Hot-Season

3. พัดลมไฟฟ้า

พัดลมระบายความร้อน ก็สำคัญ เพราะมีผลต่อระบบระบายความร้อนและแอร์ ในรถขับหลัง หรือรถกระบะส่วนมาก ใช้พัดลมจากการหมุนของเครื่องยนต์ ซึ่งมี Free Blade อยู่ มันจะตัดการทำงานของพัดลมเมื่อรอบเครื่องยนต์สูงๆ เพื่อไม่ให้กินกำลัง เพราะยังไงเครื่องยนต์รอบสูง ก็มีลมปะทะมาช่วยระบายความร้อนที่หม้อน้ำและแผงคอยล์ร้อนของแอร์ หากซิลิโคนใน Free Blade เสื่อมสภาพ ลมจากใบพัดก็จะหมุนได้ช้าลง และทำให้แอร์รถไม่เย็นตามไปด้วย

Prepare-Car-Air-Condition-In-Hot-Season

4. ไดเออร์

ไดเออร์ (Drier) เป็นตัวกรองความชื้นในระบบแอร์ จะมีกระจกเล็กๆ ใสๆ ที่เรียกว่า “ตาแมว” ติดอยู่ วิธีสังเกต ให้ติดเครื่องยนต์แล้วเปิดแอร์ จากนั้นดูปริมาณสารทำความเย็นที่ไหลผ่าน ดูฟองที่เกิดขึ้นว่าเป็นแบบไหน

ถ้าฟองที่ไหลผ่าน ไหลเป็นเส้นประเหมือนไข่ปลา มีปริมาณเล็กน้อย แสดงว่าสารทำความเย็นพอดี ถ้าเห็นฟองมาก แสดงว่าน้อยไป ถ้าไม่เห็นฟองเลย สารทำความเย็นอาจจะรั่วหมด หรือไม่ก็มากเกินไป วิธีแก้ไขคือเติมน้ำยาแอร์เข้าไปให้พอดี แต่ถ้าแอร์ไม่เย็นอีก ก็ต้องเปลี่ยนไดเออร์ใหม่

Prepare-Car-Air-Condition-In-Hot-Season

5. ล้างตู้แอร์

สำหรับรถที่ใช้งานมาหลายปี แต่ไม่เคยล้างตู้แอร์เลย ก็ลองล้างตู้แอร์หรือคอยล์เย็นบ้างสักครั้ง เพราะบ้านเราฝุ่นเยอะ ในห้องโดยสารก็มีฝุ่นแฝงเข้าไปตามจุดต่างๆ ตลอด เมื่อสะสมฝุ่นมากก็ทำให้ตู้แอร์ตัน มีกลิ่นเหม็นอับ ลมแอร์ไม่แรง รวมถึงการอุดตันที่ Expansion Valve (ตัวฉีดน้ำยาแอร์ให้กลายเป็นไอ) ในคอยล์เย็น ก็ทำให้แอร์ไม่เย็นเช่นกัน โดยวิธีล้างแอร์ ก็มีทั้งรื้อคอนโซลออกมาล้าง และแบบส่องกล้องล้าง

ไหนๆ จะล้างตู้แอร์แล้ว ก็ตรวจเช็กการรั่วซึม วัดกำลังอัดของระบบแอร์ด้วย ไม่งั้นล้างตู้แอร์มาแล้วแอร์ไม่เย็นอีก ก็เสียเงินฟรีเปล่าๆ …

Prepare-Car-Air-Condition-In-Hot-Season

แต่ถ้าทำทุกวิถีทางแล้ว แอร์ก็ยังไม่เย็น เพราะกำลังอัดของคอมเพรสเซอร์แอร์ตกไปตามอายุ มีเสียงดัง หรือมีน้ำมันคอมแอร์ฯ รั่ว หรือคอมเพรสเซอร์แอร์ใกล้หมดอายุแล้ว คุณอาจจะต้องลงทุนมากหน่อย เพื่อเปลี่ยนคอมเพรสเซอร์แอร์ลูกใหม่ รับรองเย็นฉ่ำอย่างแน่นอนครับ …

สำหรับใครที่อยากขายรถคันเดิม มาขายรถคันเดิมกับ CARRO Express สิ! Inbox มาขอรายละเอียดได้ที่ Facebook -> CARRO Thailand และ Add Line สอบถามรายละเอียดได้เช่นกัน ที่ @carrothai

แต่ถ้าหากช่วงนี้ใครอยากเปลี่ยนรถคันใหม่ มาใช้แทนที่รถคันเดิม CARRO Automall แหล่งรวมรถมือสองคุณภาพเยี่ยมผ่านระบบออนไลน์ พร้อมตอบโจทย์คุณด้วยคอนเซปต์ “click.buy.drive.” คุณสามารถจองรถออนไลน์ ได้ในเวลาเพียง 1 นาทีเท่านั้น!

รถทุกคันผ่านการตรวจสภาพแบบ Double Check มากกว่า 200 จุด และยังมีเทคโนโลยี “360 View & Sound Engine Analysis” ให้คุณเลือกชมรถยนต์เสมือนจริงออนไลน์รายแรกในไทย ทั้งภาพและเสียงในรูปแบบ 360 องศา พร้อมรับประกันคุณภาพรถนานถึง 2 ปี หรือ 20,000 กิโลเมตร! อีกทั้งยังการันตีความพึงพอใจ คืนเงินได้ภายใน 5 วันอีกด้วย! เรามีรถให้คุณเลือกชมเพียบ เปิดบริการทุกวัน ซื้อรถคุณภาพเยี่ยม ต้องที่ CARRO Automall สิ!

หรือถ้าหากสนใจรถรุ่นไหนอยู่ แต่ยังหาที่ถูกใจไม่ได้ เรายินดีหาให้! เพียงแค่กรอกเบอร์โทรศัพท์ ชื่อยี่ห้อ / รุ่นรถ ที่คุณต้องการก็ได้เช่นกันครับ อีกทั้งยังสามารถ Inbox เข้ามาสอบถามรายละเอียดได้ที่ Facebook -> CARRO Automall Thailand โทร. 02-508-8690 หรือทาง Line @carroautomall ครับ

Frank-ใช้รถยกขนย้ายรถยนต์มีข้อดียังไงนะ

หากคุณจำเป็นต้องใช้บริการ ‘รถยก’ หรือ ‘รถสไลด์’ เพื่อนำรถยนต์ของคุณเข้าอู่ หรือเข้าศูนย์ เพื่อซ่อมแซมรถยนต์จะมีข้อดีอะไรบ้าง ? เพราะเหตุใดถึงมีค่าใช้จ่ายค่อนข้างสูง อยากรู้อ่านกันโล้ด!

ข้อดีการใช้รถยกขนย้ายรถ มีดังนี้

  1. รถยก/รถสไลด์ เหมาะสำหรับรถยนต์ใหม่ รถซุปเปอร์คาร์ และรถโหลดต่ำซึ่งจะช่วยดูแลช่วงล่างของรถยนต์ได้เป็นอย่างดี  
  2. การใช้รถยกจะมีความปลอดภัยกับตัวรถยนต์ดีเยี่ยม มีระบบล็อคแน่นหนา ปลอดภัยในระหว่างการขนย้ายแน่นอน ไม่ทำให้ช่วงล่างของรถยนต์เสียหายด้วยล่ะ
  3. การใช้รถยกนั้น เหมาะสำหรับบริการรถยนต์เสียหายหนัก และมีความจำเป็นต้องยกไปซ่อมอู่ซ่อมในระยะทางไกล ๆ ตั้งแต่ 20 กิโลเมตรขึ้นไป

สำหรับวิธีการขนย้ายโดยรถยก

จะเริ่มจากการยกรถยนต์ที่เสียหายขึ้นบนรถบรรทุกขนาดใหญ่ ขึ้นไปวางทั้งคัน เหมือนเราจอดทิ้งไว้บนถาดสไลด์ ช่วยให้ช่วงล่างของรถยนต์ไม่สึกหรอ พร้อมกับยกรถทั้งคันไปยังจุดหมายปลายทาง

เพื่อให้รถยนต์ปลอดภัยสูงสุดการดูแลรถยนต์เกียร์ธรรมดาควรปลดเบรคมือ ใส่เกียร์ว่าง ส่วนรถยนต์เกียร์อัตโนมัติ จะต้องให้ทำการปลดเบรคมือออกก่อน เลื่อนเกียร์ไปที่เกียร์ว่าง พร้อมกับดับเครื่องยนต์ก่อนขนย้าย เพียงเท่านี้ก็เรียบร้อย

 

ขอบคุณข้อมูลจาก frank.co.th

CarroxGobear อ่านหนังสือในรถอย่างไร ให้ไม่เมารถ

สวัสดีค่ะเพื่อนๆ เชื่อว่าหลายคนที่กำลังอ่านบทความอยู่ ณ ตอนนี้ คงรู้สึกเสียดายเวลาไปนั่งรถเที่ยวกับคนอื่นแล้วต้องนั่งเบื่ออยู่ในรถ เพราะไม่สามารถจะอ่านหนังสือในรถได้เลยเนื่องจากเป็นคนเมารถง่าย

หรือถ้าเพื่อนๆเป็นหนอนหนังสือตัวยงอยู่แล้ว ก็คงเสียดายเสียดายเวลาที่อยู่บนรถเอาอย่างมากเลยใช่ไหมล่ะค่ะ แทนที่จะได้อ่านหนังสือดีๆ หรือแม้แต่นักเรียนนักศึกษาที่กำลังต้องเข้าสอบ ก็อดใช้เวลาตรงนี้ไปให้คุ้มค่าเพราะกลัวว่าจะเมารถ

เพื่อนๆทราบไหมค่ะว่า ปัญหาการอ่านหนังสือในรถที่ทำให้เพื่อนๆเมารถนั้น เกิดจากการที่การทำงานของประสาทรับรู้การมองเห็นและสมองไม่ไปในทางเดียวกัน เพราะดวงตาของเพื่อนๆจะส่งสัญญาณบอกสมองเสมอว่าเพื่อนๆไม่ได้เคลื่อนไหว ซึ่งขัดแย้งกับสภาพความเป็นจริงที่ประสาทสัมผัสส่วนอื่นๆ ทั้งหูชั้นใน กล้ามเนื้อ และข้อต่อ ล้วนบอกว่าเพื่อนๆกำลังเคลื่อนไหวอยู่บนรถ ทำให้สมองเกิดอาการสับสนและคลื่นไส้จนเกิดเป็นอาการเมารถขึ้น

แต่ถ้าหากเพื่อนๆยังคงอยากอ่านหนังสือในรถ วันนี้เราได้พี่หมีจาก GoBear มาบอก 7 วิธีดีๆกันไม่ให้เพื่อนๆเมารถมาฝากกันค่ะ ไปดูกันเลย

 

1) อย่าจมกับหนังสือนานๆ

ถ้าหากเพื่อนๆอยากอ่านหนังสือในรถได้ ก็อย่าพยายามพุ่งสายตาหรือใช้สายตามากเกินไปเป็นระยะเวลานาน แต่ให้เพื่อนๆลองละสายตา จากหนังสือออกมาดูวิวข้างนอกบ้างทุกๆ 10-30 วินาที แล้วให้มองโฟกัสไปที่วัตถุนิ่งๆชิ้นใดชิ้นหนึ่งบนถนน จะช่วยปรับลักษณะการมองเห็นให้เข้ากับสิ่งที่ร่างกายรู้สึกได้

โดยเพื่อนๆสามารถถือหนังสือให้สูงขึ้นมาอยู่ที่ระดับสายตา ก็จะช่วยลดอาการเมารถได้เช่นกัน หรือถ้าหากเริ่มรู้สึกเมารถระหว่างอ่านหนังสือในรถ ก็ให้จ้องมองออกไปนอกหน้าต่างหลายๆนาทีเลย หรือจะหลับตาลงแล้วเอามือปิดตาเอาไว้ก็ช่วยได้เช่นกันค่ะ

 

2) ลดความรู้สึกสั่นสะเทือนลง

หากเพื่อนๆอยากอ่านหนังสือในรถได้ ก็ให้ลองหาวิธีที่จะทำให้ร่างกายของเพื่อนๆรู้สึกไม่สั่นสะเทือนมาก เช่น การนั่งที่เบาะหน้าที่จะสั่นน้อยกว่าการนั่งที่เบาะหลัง เป็นการป้องกันอาการเมารถได้ดี การพิงศีรษะไปที่พนักของเบาะ เพื่อให้ศีรษะไม่เคลื่อนไหวมากนัก หรือการละสายตาไม่อ่านหนังสือเมื่อเพื่อนๆกำลังลงจากทางด่วนหรือจากสะพานที่รถเคลื่อนเร็วแบบวูบ

 

3) เปิดหน้าต่าง

หากเพื่อนๆอยากจะอ่านหนังสือในรถโดยไม่เมารถ ให้ลองเปิดหน้าต่างที่จะช่วยนำเอาอากาศบริสุทธิ์ข้างนอกเข้ามาถ่ายเทและทำให้เพื่อนๆสดชื่นขึ้น แต่เพื่อนๆก็ต้องถือหนังสือดีๆหน่อยนะคะ ไม่งั้นหน้าที่อ่านอยู่ก็อาจจะปลิวไปหมดได้

CarroxGobear อ่านหนังสือในรถอย่างไร ให้ไม่เมารถ

4) ทานอาหารเพียงเบาๆก่อนขึ้นรถ

ถ้าเพื่อนๆอยากอ่านหนังสือในรถได้แบบไม่มีปัญหา ก็พยายามอย่าทานอะไรหนักๆก่อนขึ้นรถ โดยเฉพาะอาหารมัน อาหารเผ็ด หรือแอลกอฮอล์ เพราะการที่เพื่อนๆรู้สึกอิ่มมากจะยิ่งทำให้รู้สึกคลื่นไส้และอยากอาเจียนได้มากกว่าปกติ นอกจากนี้ หากเพื่อนๆไม่ยอมทานอะไรเลยก็ไม่ควรเช่นกันนะคะ ทำให้เมาได้เช่นกัน จึงควรทานแต่พอดีให้ไม่อิ่มจนเกินไป

 

5) ทานของขบเคี้ยว

เพื่อนๆสามารถทานของขบเคี้ยวที่ช่วยลดอาการเมารถระหว่างอ่านหนังสือในรถได้ เช่น แครกเกอร์แบบแห้ง ที่จะช่วยดูดซับกรดในกระเพาะบางส่วน ลูกอมแบบแข็งโดยเฉพาะลูกอมมินต์ และเครื่องดื่มประเภทคาร์บอเนตที่จะทำให้กระเพาะรู้สึกดีขึ้น และมีเกลือแร่ช่วยให้รู้สึกมึนงงน้อยลง

 

6) อยู่ให้ไกลบุหรี่

เพราะรถที่มีกลิ่นบุหรี่หรือหากมีผู้โดยสารสูบบุหรี่บนรถ กลิ่นนั้นๆจะยิ่งทำให้เพื่อนๆเมารถระหว่างอ่านหนังสือในรถ เพราะเมื่อเพื่อนๆเกิดอาการเมาขึ้นมา จะยิ่ง sensitive กับกลิ่นต่างๆมากขึ้นและยิ่งทำให้เพื่อนๆรู้สึกแย่เข้าไปใหญ่นั่นเองค่ะ นอกจากบุหรี่แล้ว กลิ่นเหล่านี้ยังรวมไปถึงน้ำหอมปรับอากาศในรถด้วยนะคะ

CarroxGobear อ่านหนังสือในรถอย่างไร ให้ไม่เมารถ

7) ทานขิง

เป็นอีกวิธีธรรมชาติหนึ่งที่พี่หมีอยากให้ลอง นั่นก็คือการใช้สมุนไพรธรรมชาติในการรักษาอาการเมารถ นั่นคือขิง ที่มีฤทธิ์ช่วยขับลมและทำให้กระเพาะอาหารทำงานได้เป็นปกติ แม้จะยังไม่มีผลการวิจัยใดออกมาพิสูจน์ได้ว่าขิงจะช่วยลดอาการได้ แต่ก็คุ้มที่จะลองอยู่นะคะ โดยเพื่อนๆสามารถดื่มน้ำขิง, เต้าฮวย ขนมคุกกี้ขิง หรือของขบเคี้ยวที่มีขิงเป็นส่วนประกอบค่ะ

 

หวังว่าเคล็ดลับที่พี่หมีเอามาฝากจะช่วยให้เพื่อนๆลดอาการเมารถระหว่างอ่านหนังสือในรถกันได้บ้างนะคะ และนอกจากการดูแลตัวเองให้ปลอดภัยระหว่างขับขี่แล้ว ก็อย่าลืมดูแลรถยนต์ของเพื่อนๆด้วยการทำประกันรถยนต์ติดเอาไว้ด้วยนะคะ โดยเพื่อนๆสามารถเข้ามาเปรียบเทียบราคาประกันรถยนต์ได้ที่ GoBear.com/th เลยนะคะ

The-10-Best-In-MotorShow-2019

10 “ที่สุด” ในงาน Motor Show 2019 ที่คุณยังไม่รู้ หรืออาจจะคาดไม่ถึง!

งาน “มอเตอร์โชว์ ครั้งที่ 40” หรือ “Motor Show 2019” ที่มีรถยนต์ รถจักรยานยนต์ รุ่นใหม่ๆ และรถมือสอง (ที่อยู่ในฮอลล์ฝั่งตรงข้าม) มาโชว์แล้ว รวมไปถึงอุปกรณ์เกี่ยวเนื่อง อุปกรณ์ตกแต่ง โปรโมชั่น และพริตตี้สาวสวยที่หลายๆ คนชื่นชอบ …

ภายในงานยังถือได้ว่ามีเรื่องราว “ที่สุด” ของยานยนต์ทั้งหลายที่นำมาโชว์ในงานครั้งนี้ด้วย Carro ขอรวบรวม “10 ที่สุด” ที่เกี่ยวกับรถยนต์ในงาน “Motor Show 2019” มาให้ทุกท่านได้ทึ่งกัน ว่ามีด้วยหรือเนี่ย!

ถูกที่สุด

Suzuki-Carry-2019

รถที่ “ถูก” ที่สุดในงาน Motor Show 2019 ครั้งนี้ต้องยกให้ “Suzuki Carry” (ซูซูกิ แครี่) รถกระบะขนาดเล็กของซูซูกิ ที่มาในราคาเพียง 369,800 บาท ขายกันมายาวนานนับสิบปี มาพร้อมเครื่องยนต์ขนาด 1.6 ลิตร ให้แรงม้าสูงสุด 92 แรงม้า

ซึ่งรถรุ่นนี้มีความโดดเด่นทั้งในด้านคุณภาพของตัวรถ รูปลักษณ์ ประโยชน์ใช้สอย และราคาที่คุ้มค่า นำไปดัดแปลงเป็นรถโมบายใช้งานในกิจการต่างๆ เช่น รถขายอาหาร รถส่งของ เป็นต้น

แพงที่สุด / เร็วที่สุด

Aston-Martin-Valkyrie

รถที่ขึ้นชื่อว่า “แพง” ที่สุดในงาน Motor Show 2019 ครั้งนี้คือ “Aston Martin Valkyrie AMR Pro” (แอสตัน มาร์ติน วัลครี่ เอเอ็มอาร์ โปร) ด้วยมูลค่ากว่า 300 ล้านบาท! ไฮเปอร์คาร์ตัวแข่ง เกิดขึ้นจากความร่วมมือของ 2 ยักษ์ใหญ่ในวงการยานยนต์อย่าง Aston Martin และ Red Bull Racing ออกแบบโดย มร.เอเดรียน นิวอี้ ดีไซเนอร์ผู้ออกแบบรถแข่ง Formula 1 เป็นครั้งแรกในเอเชียแปซิฟิค ซึ่งจะมาจัดแสดงในงานนี้เพียง 7 วันเท่านั้น

ทรงพลังด้วยเครื่องยนต์เบนซิน V12 วางกลาง 6.5 ลิตร Naturally Aspirated พร้อม “Rimac Energy Recovery System” เทคโนโลยีไฮบริดที่พัฒนาจากรถแข่ง Formula 1 ขณะที่กล่อง ECU ก็ได้รับการปรับแต่งใหม่ให้มีแรงม้าสูงกว่า 1,100 แรงม้า อัตราเร่ง 0-96 กม./ชม. ภายใน 2.5 วินาที ทำความเร็วได้สูงสุด 402 กม./ชม. โดยรถคันจริงจะเริ่มผลิตปีหน้า

รถ SUV แพงที่สุด

Rolls-Royce-Cullinan-Supreme-Liberty-2019

ส่วนรถ SUV ที่ขึ้นชื่อว่า “แพง” ที่สุดในงาน Motor Show 2019 ได้แก่ “Rolls-Royce Cullinan Supreme Liberty (โรลส์-รอยซ์ คัลลิแนน ซูพรีม ลิเบอร์ตี้) ตัวรถระดับ Ultra Luxury SUV รุ่นแรกของ Rolls-Royce สง่างามกับสีพิเศษ “Infinity-Black Metallic” ตัดด้วยโค้ชไลน์สี Mandarin เป็นเส้นสีส้มบางๆ คาดข้างตัวถังยาวจรดด้านหลัง

ห้องโดยสารของ Cullinan ใช้โทนสี Scivaro Gray (ซิวาโร่ เกรย์) ตัดกับสีดำ และเย็บตะเข็บเดินด้ายสี Mandarin ติดตั้งลายไม้ Blackwood Matted และเป็นคันแรกในไทยที่มาพร้อมออปชั่น “Immersive Seating with Centre Console” รวมทั้งมีอีก 2 ความพิเศษ ได้แก่ Commission Collection B-Spoke Umbrellas ร่มที่เดินด้ายบริเวณขอบเป็นสี Mandarin และ Signature Key กุญแจรถหุ้มหนังแท้สีเดียวกัน ในราคาประมาณ 30 กว่าล้านบาท

รถยนต์ไฟฟ้า ราคาถูกที่สุด

DT-Motor-Mini-Pickup-Truck

รถยนต์ไฟฟ้า ที่ราคาถูกสุดในงาน Motor Show 2019 ต้องยกให้ DT Motor ที่นำ Mini Pickup Car ราคาถูกสุดๆ เพียงแค่ 128,000 บาท! ที่ไม่ต้องจดทะเบียน สำหรับไว้วิ่งตามหมู่บ้าน ขับ 1 คน นั่ง 2 คน มีพัดลมติดมาให้ในรถ ใช้มอเตอร์ขนาด 60V กำลัง 1,500 วัตต์ ทำความเร็วได้สูงสุด 40 กม./ชม.  ชาร์จไฟเพียงครั้งละ 3 ชั่วโมง ก็วิ่งได้ถึง 30 กิโลเมตร

รถยนต์ไฟฟ้า ราคาแพงที่สุด

Jaguar-i-Pace-2019

รถยนต์ไฟฟ้าแพงที่สุดในงาน อยู่ที่บูธ Jaguar นั่นคือ Jaguar I-Pace (จากัวร์ ไอ-เพซ) รถ Crossover แบบไฟฟ้าล้วน (BEV) 5 ที่นั่ง รุ่นแรกของ Jaguar มาพร้อมกับมอเตอร์ไฟฟ้าคู่ ให้กำลังสูงสุด 394 แรงม้าเลยทีเดียว ซึ่งภายในห้องโดยสาร ยังคงไว้ซึ่งความหรูหราสไตล์ Jaguar อยู่เช่นเคย

โดยราคาจำหน่ายเริ่มต้น 5,499,000 บาท สำหรับรุ่น S ซึ่งโควต้าสำหรับจำหน่ายในประเทศไทย มีเพียง 12 คัน ในปี 2562

ใหญ่ที่สุด

Hyundai-County-2019

ไม่มีใครใหญ่ไปกว่านี้แล้วในงาน Motor Show 2019 ครั้งนี้ ต้องยกให้ “Hyundai County” (ฮุนได เคานตี้) รถบัสที่บริษัท ฮุนได คอมเมอร์เชียล เวฮิเคิลส์ (ไทยแลนด์) จำกัด ในเครือ ยนตรกิจ คอร์เปอเรชั่น เพิ่งจะได้สิทธิ์เป็นผู้นำเข้าและประกอบขายในบ้านเรา ในชื่อการค้าคือ Hyundai Truck & Bus (ฮุนได ทรัค แอนด์ บัส)

สำหรับ Hyundai County เป็นรถบัสขนาด 18+1 ที่นั่ง มาพร้อมกับเครื่องยนต์ดีเซล D4D ขนาด 3.9 ลิตร แรงม้าสูงสุด 140 แรงม้า ส่งกำลังด้วยเกียร์ธรรมดา 5 สปีด ราคาเปิดตัวที่ 1,991,000 บาท

แปลกที่สุด

Speed-Boat-MotorShow-2019

แปลกที่สุดในงาน Motor Show 2019 ต้องยกให้เรือ “Speed Boat” ลำใหญ่ของบูธ SiamWatercraft ที่มาโชว์ในงานครั้งนี้

รถเก๋งคนสนใจเยอะสุด

Honda-Accord-2019

ในงาน Motor Show 2019 รถที่ดึงดูดคนให้เข้ามาดูได้เยอะที่สุดอีกรุ่น เห็นทีต้องยกให้ “Honda Accord” (ฮอนด้า แอคคอร์ด) ที่มีให้เลือกทั้งรุ่น Turbo และรุ่น Hybrid แยกจำหน่ายเป็น 3 รุ่นย่อย Honda Accord Hybrid Tech ราคาไม่เกิน 1,800,000 บาท, Honda Accord Hybrid ราคาไม่เกิน 1,650,000 บาท และ Honda Accord Turbo EL ราคาไม่เกิน 1,500,000 บาท

โดย Honda จะเริ่มจำหน่าย Accord ใหม่ พร้อมประกาศราคาอย่างเป็นทางการอีกครั้ง ในช่วงเดือนพฤษภาคม 2562

รถ SUV คนสนใจเยอะสุด

Suzuki-Jimny-2019

ส่วนรถ SUV ที่คนสนใจเยอะที่สุดในงาน Motor Show 2019 ต้องยกให้ “Suzuki Jimny” (ซูซูกิ จิมนี่) ที่ดึงดูดคนดูได้แน่นบูธเลยทีเดียว กับล็อตแรกที่นำเข้ามา 30 คัน ถูกจองกันไปเรียบร้อย ตั้งแต่ 3 ชั่วโมงแรกของการเปิดจอง ซึ่งรถที่จะนำเข้ามาตามโควต้า 90 คันในปีนี้ (จากเดิมที่มีโควต้าแค่ 80 คัน) ก็ถูกจองหมดเรียบร้อย …

โดยเวอร์ชั่นในบ้านเรานั้น จะเป็นตัวเดียวกับ Jimny Sierra ที่ขายในญี่ปุ่น มาพร้อมเครื่องยนต์เบนซินขนาด 1.5 ลิตร รหัส K15B ให้แรงม้าสูงสุด 102 แรงม้า ที่ 6,000 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 130 นิวตัน-เมตร ที่ 4,000 รอบ/นาที

สำหรับรถ Suzuki Jimny 30 คันแรก จะได้รับ Jimny Boxset ฟรี และป้าย Jimny Emblem Limited Serial Number ระบุเลขตัวรถเฉพาะคัน โดยราคารุ่นเกียร์ธรรมดา 5 สปีด อยู่ที่ 1,550,000 บาท และในรุ่นเกียร์อัตโนมัติ 4 สปีด อยู่ที่ 1,650,000 บาท!

รถมอเตอร์ไซค์แพงที่สุด

Harley-Davidson-CVO-Limited-2019

รถมอเตอร์ไซค์แพงที่สุดในงาน Motor Show 2019 ต้องยกให้ “Harley-Davidson CVO Limited” (ฮาร์เลย์-เดวิดสัน ซีวีโอ ลิมิเต็ด) เช่นเคย ในราคา 3,124,000 บาท

ดูแลรถของคุณให้พร้อมเผชิญกับอากาศร้อน

ไม่กี่วันที่ผ่านมานี้ สภาพอากาศในประเทศไทยเรียกว่าร้อนมากๆ ร้อนขนาดที่ว่าต้องร้องขอชีวิต จนต้องหาวิธีดับร้อนให้กับตัวเองกันถ้วนหน้า เเต่นอกจากที่เราต้องทรมานกับอากาศที่ร้อนจัดแล้ว รถยนต์ของเราเองก็ต้องเผชิญกับสภาพอากาศที่ร้อนแผดเผาแล้ว เครื่องยนต์ของรถเองก็มีส่วนทำให้รถของเรายิ่งทวีคูณความร้อนเข้าไปอีก

เพราะฉะนั้นวันนี้ Carro ได้ทาง rabbit finance มาบอกวิธีดูแลรถยนต์ที่เรารักในช่วงหน้าร้อนมาฝาก จะมีวิธีไหนบ้าง งานนี้ใครที่มีรถละก็ห้ามพลาดบทความนี้เด็ดขาด!

เผยเทคนิคดูแลรถยนต์ ให้พร้อมเผชิญกับแดดประเทศไทย

หน้าร้อนประเทศไทย เรียกว่าร้อนแบบหาคำมาบรรยายไม่ได้ หลายคนบ่นกันอุบอิบ แต่รถที่แสนรักของเราไม่มีปาก ไม่มีเสียง บ่นไม่ได้ กว่าเราจะรู้ตัวอีกทีรถของเราก็โอเวอร์ฮีทเป็นที่เรียบร้อย ดังนั้นเราจำเป็นต้องมีเทคนิคในการดูแลรถสำหรับหน้าร้อนเอาไว้ ดังนี้

อากาศร้อนส่งผลเสียให้กับรถยนต์

1.ติดฟิล์มกรองแสง

ฟิล์มกรองเเสง ถือเป็นต้วยช่วยหนึ่งที่จะป้องกันแดดในขณะที่ขับรถ หรือแม้แต่ตอนจอดรถด้วยเช่นกัน เพราะฟิล์มติดรถจะช่วยลดความร้อนป้องกันแสงแดด และยังช่วยลดการทำงานของแอร์ได้อีกด้วย

ทั้งนี้เราควรเลือกฟิล์มกรองเเสง ที่มีคุณสมบัติสะท้อนแสง แต่ก็ไม่ควรสะท้อนแสงมากเกินไป เพราะแสงที่สะท้อนอาจส่งผลกระทบต่อผู้ใช้รถคนอื่นได้ หรือเราก็ไม่ควรเลือกฟิล์มที่มืดจนเกินไป เพราะอาจทำให้ทัศนวิสัยในการขับขี่แย่ลงได้

2.ระบบปรับอากาศ

ในช่วงที่อากาศร้อน สิ่งหนึ่งที่เราต้องดูแลเป็นพิเศษเลยก็คือ ระบบปรับอากาศหรือแอร์ ยิ่งในช่วงหน้าร้อนแบบนี้เราต้องหมั่นเช็กระบบปรับอากาศอยู่เป็นประจำ ไม่ว่าจะเป็น น้ำยาแอร์ ระบบการทำงานของแอร์มีความผิดปกติหรือไม่

เพราะหากระบบปรับอากาศของคุณมีปัญหาในขณะที่คุณต้องติดอยู่กลางสี่แยกร้อนๆ ละก็ ไม่ไหวแน่ๆ ค่ะ ดังนั้นอย่าลืมเช็กระบบปรับอากาศสม่ำเสมอ หากพบปัญหาหรือสิ่งผิดปกติ แนะนำให้รีบไปให้ช่างในอู่ดูโดยด่วนค่ะ

3.ระบบระบายความร้อนเครื่องยนต์

ส่วนใหญ่แล้วที่รถเกิดอาการโอเวอร์ฮีทขึ้นก็เพราะ สภาพอากาศที่ร้อนจัด และการทำงานของเครื่องยนต์ที่ทำงานหนักเกินไป จนทำให้เครื่องยนต์เกิดอาการโอเวอร์ฮีทได้ ดังนั้นเราจำเป็นต้องคอยสังเกตและตรวจสอบหม้อน้ำให้ดี เช็กระดับน้ำ

ส่วนเรื่องระบบระบายความร้อน รถยนต์จะต้องมีระบบระบายความร้อนอย่างเช่น พัดลม เพื่อระบายความร้อนให้กับเครื่องยนต์ หากคุณไม่มีพัดลม อาจทำให้ความร้อนในเครื่องยนต์ของเราเพิ่มสูงขึ้นได้

เพราะหากคุณไม่ดูแลรักษาระบบระบายความร้อนละก็ รถยนต์ของคุณอาจเกิดโอเวอร์ฮีทขึ้นได้ ซึ่งกว่าเราจะรอเครื่องให้หายเย็น ความร้อนลดลง ก็จะทำให้คุณทั้งเสียเวลา เสียอารมณ์ แถมยังทำให้การจราจรติดขัดได้อีกต่างหาก

 ดูแลรถที่เรารัก ให้เหมาะกับสภาพอากาศ

4.ยางรถยนต์

สำหรับหน้าร้อนแบบนี้ใครที่ใช้ยางอายุมากๆ และยังไม่ได้เปลี่ยนยางใหม่ มีความเสี่ยงที่ยางอาจจะเกิดระเบิดได้ ยิ่งใครที่ต้องขับรถเป็นระยะเวลานาน และมีอุณหภูมิที่สูง ต้องระมัดระวังเป็นพิเศษ ไม่ว่าจะเป็นการตรวจสอบยาง ลมยางตามเกณฑ์ที่เหมาะสมของยางรถยนต์นั่นเอง

5.เทคนิคอื่นๆ

นอกเหนือจากสิ่งที่เรากล่าวไป ยังมีบางอย่างที่เราต้องดูแลรถเป็นพิเศษในช่วงหน้าร้อน อย่างเช่น การวางพาวเวอร์แบงค์ไว้ในรถ โอกาสที่พาวเวอร์แบงค์จะเกิดระเบิดขึ้นก็มีความเป็นไปได้ ยิ่งในช่วงหน้าร้อนเปอร์เซ็นต์ที่พาวเวอร์แบงค์ระเบิดก็มีมากกว่า เพราะในพาวเวอร์แบงค์(รุ่นเก่าบางรุ่น) มีลิเธียมไอออน ที่มีโอกาสเกิดการลัดวงจร ระเบิด หรือติดไฟจนลุกไหม้ขึ้นได้ หากได้รับความร้อนที่สูงมาก

นอกจากนี้เวลาจอดรถ ถ้าเราได้จอดรถในที่ร่มก็ไม่มีปัญหาใช่ไหมคะ แต่ถ้าต้องจอดรถในที่แจ้ง แนะนำว่าให้หาที่ร่มเท่าที่จะทำได้ ร่มไม้ก็ยังดีค่ะ อย่างน้อยรถของเราจะได้ไม่รับแดดแบบเต็มๆ หรือถ้าเลี่ยงแดดไม่ได้จริงๆ ผ้าคลุมรถก็เป็นอีกหนึ่งตัวช่วยที่น่าสนใจค่ะ

ในเมื่อเราไม่สามารถเอาตัวไปบังพระอาทิตย์ไม่ให้ส่องมาโดนรถของเรา หรือวิธีทำให้ประเทศไทยอากาศเย็นขึ้นเพื่อเป็นผลดีต่อรถยนต์ของเรา ทางที่ดีที่สุดคือการดูแลรถยนต์ของตัวเองในช่วงหน้าร้อนให้ถูกหลักนั่นเอง หรือใครที่คิดว่าเราคนเดียวดูแลรถไม่ไหวละก็ ให้ประกันรถจาก rabbit finance ช่วยดูแลได้เช่นกันค่ะ หากใครสนใจอยากมีประกันรถยนต์สามารถสอบถามรายละเอียดได้ที่นี่ https://rabbitfinance.com/car-insurance