4 เหตุผลที่รถมือสอง เหมาะกับประกันชั้น 2+

สำหรับใครที่ซื้อรถมือสองมาครอบครองแล้ว นอกเหนือจากการมีประกันภาคบังคับพ.ร.บ.รถยนต์ไว้ดูแลชีวิต ค่ารักษาพยาบาลแล้ว การซื้อประกันรถยนต์ หรือประกันภาคสมัครใจก็เป็นสิ่งที่คุณไม่ควรมองข้าม เพื่อป้องกันกรณีเกิดอุบัติเหตุรถชน รถหาย หรือรถไฟไหม้ หากคุณกำลังมองหาประกันรถยนต์ที่มีความคุ้มค่าที่มาพร้อมกับเบี้ยที่ไม่แพง ไม่แรงเกินไป อยากให้คนใช้รถมือสองลองพิจารณาประกัน 2 พลัส กับเหตุผลดี ๆ ที่นำมาเล่าตามนี้

 

1. เบี้ยประหยัด ราคาไม่แพง ดีต่อใจคนใช้รถมือสอง

หากคุณต้องการประหยัดเงิน และไม่อยากใช้งบเยอะ ประกันชั้น 2+ เป็นอะไรที่ดีต่อใจจริง ๆ เนื่องจากมีเบี้ยประหยัดกว่าประกันชั้น 1 ประมาณครึ่งนึง อย่างไรก็ดีการคำนวณเบี้ยกัน มาจากหลายตัวแปร เช่น

  • ทุนประกันรถที่ควรเลือกตามความต้องการของเราได้ตั้งแต่ 100,000 บาทเป็นต้น เมื่อทุนประกันต่างกันค่าเบี้ยประกันก็ต่างกันด้วย
  • ส่วนลดเบี้ยประกันต่าง ๆ เช่น ประวัติการขับขี่ดีในปีที่ผ่านมา, การเลือกมีค่าเสียหายส่วนแรก (Deductible) ก็ช่วยประหยัดเบี้ยได้เป็นอย่างดี
  • ส่วนลดกล้องติดรถยนต์ก็ทำให้ได้ราคาเบี้ยประกันที่ถูกลงด้วยประมาณ 5-10% จากราคาเบี้ยสุทธิตามประกาศของ คปภ. แนะนำให้ลองพูดคุยขอส่วนลดกับบริษัทฯ ประกันหรือโบรกเกอร์ที่คุณกำลังจะซื้อประกันรถยนต์จะดีที่สุด

ประกันชั้น 2+ จึงเหมาะกับรถมือสองที่มี 4 ปีขึ้นไปที่ต้องการความคุ้มครองเทียบเท่าประกันชั้น 1 แต่ไม่อยากจ่ายเบี้ยแพง ประกันชั้น 2+ คือทางเลือกที่เหมาะที่สุดสำหรับคุณ

 

2. คุ้มครองคุ้มค่า ดูแลอุบัติเหตุ

ถ้าคุณกำลังมองหาตัวช่วยในการประหยัดเบี้ยประกัน ประกันชั้น 2+ สามารถตอบโจทย์คุณได้เพราะประกันชั้น 2+ หรือประกันรถยนต์ชั้น 2 พลัส ยังออกแบบมาเพื่อดูแลอุบัติเหตุที่เกิดจากการชนของรถชนรถตามทุนประกันที่เลือกไว้ (เพียงแต่ประกันชั้น 2+ ไม่คุ้มครองดูแลเหตุรถชนสิ่งอื่นที่ไม่ใช่รถ  เช่น ชนเสาไฟฟ้า ชนรั้วบ้าน หรือไปครูดฟุตบาท หรือเคสอุบัติเหตุที่ไม่สามารถระบุคู่กรณี จะต้องจ่ายค่าซ่อมเอง)

 

3. ประกันชั้น 2+ ช่วยดูแลเหตุรถหาย ไฟไหม้ น้ำท่วม ฯลฯ

อย่างที่บอกว่าประกันชั้น 2 พลัสมีความคุ้มครองที่เหมือนกับประกันรถยนต์ชั้น 1 นอกเหนือจากดูแลเหตุรถชนรถประกันชั้น 2+ ยังช่วยดูแลเหตุรถหาย ให้ความคุ้มครองตามทุนประกันที่ได้เลือกไว้เช่นเดียวกัน และกรณีรถไฟไหม้อีกด้วย ซึ่งจะดูแลตามทุนประกันล่ะ

นอกจากดูแลถยนต์สูญหาย, รถยนต์ไฟไหม้ ประกัน 2+ ยังคุ้มครองเหตุอื่น ๆ เช่น รถยนต์น้ำท่วม,  ผลกระทบจากภัยก่อการร้ายอุบัติเหตุส่วนบุคคลของคนขับและผู้โดยสาร รวมทั้งรักษาพยาบาลผู้ขับขี่และผู้โดยสาร ทั้งกรณีที่ได้รับบาดเจ็บ หรือสูญเสียชีวิตที่เกินจากความคุ้มครองของพ.ร.บ.รถยนต์ ตามด้วยการรักษาแบบต่อเนื่องที่ต้องใช้ระยะเวลา ฯลฯ เห็นไหมว่า ประกันชั้น 2+ เป็นอีกหนึ่งทางเลือกของคนขับรถมือสอง

 

4. เพราะประกันชั้น 2+ ช่วยจ่ายความเสียหายที่เกิดขึ้นจากอุบัติเหตุ

กรมธรรม์ประกันชั้น 2+ นอกจากช่วยดูแลค่าใช้จ่ายในการซ่อมรถของคู่กรณี (ยานพาหนะทางบก) ยังช่วยจ่ายช่วยเหลือกรณีอุบัติเหตุนั้น ๆ ทำให้ทรัพย์สินเสียหายตามทุนประกันที่เลือกไว้ เพื่อแบ่งเบาภาระเรื่องค่าใช้จ่ายที่จะเกิดขึ้น เริ่มสนใจประกันชั้น 2+ เนื้อคู่ของรถมือสองบ้างหรือยัง ? เช็กเบี้ยที่ใช่กับ frank.co.th ได้นะ

ขอบคุณข้อมูลจาก Frank “ประกันที่รวดเร็ว เรียบง่าย และจริงใจกับคุณ”

Find-Noises-In-Your-Car-Part-2

มาหาเสียง (ในรถยนต์) ช่วงโค้งสุดท้าย กันต่อดีกว่าครับ!

ช่วงนี้ก็เรียกได้ว่า น่าจะเป็นสัปดาห์ของการหาเสียง (ในรถยนต์) ช่วงโค้งสุดท้ายแล้วครับ เพราะเดือนหน้าเราก็ต้องเตรียมพร้อมรถยนต์ สำหรับใช้ในการเดินทางช่วงหยุดยาว หรือในช่วงเทศกาลสงกรานต์แล้วล่ะครับ

หาเสียงในรถยนต์ ยิ่งหาเจอได้เร็วเท่าไหร่ ก็ยิ่งดี เพราะ “เสียง” ที่ว่านี้ อาจจะทำให้รถคุณพังกลางทาง หรือเสียเงินซ่อมกันบานปลายเลยก็ได้ ไปอ่านกันต่อครับ …

Differential

1. เสียงหอน (ที่ไม่ใช่คืนหมาหอน)

เสียงหอน … บางทีขับรถไปแล้ว มีเสียงหอนดังออกมาจากเพลาขับ หรือเฟืองท้าย ยิ่งขับเร็วเสียงยิ่งดัง อาจจะมาจากลูกปีนล้อแตก หรือเพลากลาง เพลาขับมีปัญหา และเฟืองท้ายมีปัญหา ต้องไล่สาเหตุดูเป็นจุดๆ ไป ถ้าต้นเสียงเกิดที่ด้านหน้ารถ ก็สันนิษฐานว่าเป็นที่ลูกปืนท้ายเกียร์ หรือเป็นที่ลูกปืนเพลากลาง ที่เรียกกันว่า “ยอย” หรือ “กากบาทเพลากลาง”

แต่ถ้ามาจากด้านท้าย ให้ถอดเฟืองท้ายออกมาเช็ก ว่ามาจากเฟืองเดือยหมู, เฟืองบายสี, เฟืองดอกจอก และเฟืองข้าง ทีเดียวไปเลย ถ้ามีเสียงหอน ลองปรับตั้งระยะห่างของเฟืองท้ายทั้ง 2 ใหม่ ให้ชิดเข้าไป ตรวจสอบการรั่วซึมของซีล ประเก็น ถ้าหมดสภาพก็เปลี่ยนใหม่ ก่อนจะเปลี่ยนน้ำมันเฟืองท้ายใหม่ ถ้าลูกปืนหน้าเฟืองท้ายชำรุด ก็จัดการเปลี่ยนลูกปืนใหม่ซะ

Toyota-Steering-Wheel

2. กุกๆ กักๆ ที่คอพวงมาลัย

กุกๆ กักๆ ที่คอพวงมาลัย … เสียงดังกึกกักที่คอพวงมาลัย อาจมาจากลูกปืนคอพวงมาลัยแตก ตัวรองแกนพวงมาลัยแตก หรือจารบีลูกปีนแห้ง ทางที่ดีตรวจเช็กลูกปีน, ตัวรองแกนพวงมาลัย หรืออัดจารบีตลับลูกปืนใหม่ แม้ว่าช่วงแรกจะไม่มีผลอะไร นอกจากเกิดความรำคาญเวลาหมุนพวงมาลัย แต่อาจจะกลายเป็นเสียมากขึ้น จนพวงมาลัยรถควบคุมรถไม่ได้ก็เป็นไปได้

Manual-Transmission

3. เปลี่ยนเกียร์แล้วมีเสียงดัง

เปลี่ยนเกียร์แล้วมีเสียงดัง … เสียงดังที่เกิดจากตัวเกียร์ เกิดจากนอกห้องเกียร์ เป็นเสียงแตกเสียงคราง หรือเสียงหอน ลองตรวจลูกปีนเกียร์ และเช็กน้ำมันเกียร์ ว่าเปลี่ยนถ่ายไปตั้งแต่เมื่อไหร่ ดูสภาพสีของน้ำมันเกียร์ ตรวจดูว่ายังมีน้ำมันเกียร์อยู่เต็มหรือไม่ เพราะมันอาจจะรั่วซึมหายไป เมื่อชุดเฟืองเกียร์กระทบกัน เสียงโลหะกระทบกัน มันก็ต้องมีเสียงดัง ต้องรีบซ่อมแซม ไม่อย่างนั้นจะได้เปลี่ยนเกียร์ใหม่ทั้งลูก …

อีกกรณีหนึ่ง อาจจะเกิดขึ้นได้จากการเหยียบคลัทช์ไม่สุดแล้วเข้าเกียร์ หรือการใส่เกียร์ไม่ตรงตำแหน่งเกียร์ (ในรถเกียร์ธรรมดา) ครับ

Tire-Setting

4. เวลาเลี้ยว เสียงดังจากยาง

เวลาเลี้ยว เสียงดังจากยาง … เวลาเลี้ยวรถแล้วเกิดเสียงดังเอี๊ยดๆ จากยาง มักได้ยินบ่อยๆ เวลาไปจอดรถบนพื้นผิวค่อนข้างลื่น อาจเกิดจากเนื้อยางเสื่อมสภาพ หรือถ้าหากยางยังดี อาจเกิดจากช่วงล่างหลวมก็เป็นไปได้

Catalytic-Converter

5. หลังดับเครื่อง

หลังดับเครื่อง … หลังจากดับเครื่องรถยนต์แล้ว คุณอาจได้ยินเสียงก๊องแก๊ง มาจากใต้ท้องรถ นั่นเป็นเสียงการทำงานของ Catalytic Converter ในระบบท่อไอเสีย ซึ่งเป็นเสียงการทำงานปกติอยู่แล้ว เสียงดังกล่าวอาจดังนานกว่าปกติ หากใช้รถด้วยความเร็วสูง หรือใช้เครื่องยนต์รอบจัดเป็นระยะเวลานาน แต่เสียงนี้ ไม่ได้เป็นความผิดปกติอันใดครับ …

เมื่อรับทราบอาการดังกล่าวได้แล้ว ว่ามาจากสาเหตุไหน อย่าลืมเอารถไปเข้าศูนย์บริการ หรืออู่ซ่อมรถ ให้ช่างผู้ชำนาญการตรวจดูให้แน่ชัด แล้วเตรียมเสียเงินไว้ด้วย แต่ถ้าเสียงบางอย่างไม่มีผลใดๆ ต่อตัวรถ คุณก็สบายใจได้ …

ถ้าคุณตัดสินใจอยากขายรถคันเดิม เพื่อไปซื้อรถคันใหม่ หรือรับเป็นเงินก้อนไปใช้ สามารถขายรถคันเดิมกับ CARRO ได้ ง่ายๆ ได้เงินไว! กับ CARRO Express เพียงแค่คลิก https://th.carro.co/sell-car/express หรือสามารถ Inbox มาขอรายละเอียดได้ที่ Facebook CARRO Thailand

หรือจะ Add Line สอบถามรายละเอียดได้ที่ @Carrothailand หรือคลิกที่นี่ครับ —> เพิ่มเพื่อน

Find-Noises-In-Your-Car-Part-1

หาเสียง (ในรถยนต์) กุกๆ กักๆ …. คุณรำคาญมากน้อยแค่ไหน? เวลาขับรถ

ช่วงนี้ บรรยากาศทางการเมืองในบ้านเรา กำลังร้อนแรง ต่างฝ่ายต่างออกมาหาเสียงกันเป็นแถว บางคนก็มาตามมารยาทสากล ตามข้อเท็จจริง แต่บางพรรคบางพวก ก็เล่นด้วยวิธีเดิมๆ บอกว่าจะทำนู่นทำนี่ได้สารพัดบ้างล่ะ โจมตีฝ่ายตรงข้าม เตะสกัด สาดโคลน แบบเดิมๆ ก็มีไม่เคยเปลี่ยน …

แต่นั่นมันเป็นการหาเสียงทางการเมือง! ซึ่งในบทความนี้ เราจะมาพูดถึงการหาเสียง (ในรถยนต์) ต่างหาก!

หาเสียงในที่นี้ ยิ่งหากคุณหาเจอได้เร็วเท่าไหร่ มันก็จะเป็นผลดีสำหรับคุณมากขึ้นเท่านั้น เพราะ “เสียง” ที่ว่านี้ อาจจะทำให้รถคุณพังกลางทาง หรือเสียเงินซ่อมกันบานปลายเลยก็ได้ …

Find-Noises-In-Your-Car

เสียงที่เกิดจากรถยนต์ ไม่ว่าจะมาจากเครื่องยนต์ หรือระบบอะไรก็แล้วแต่ เป็นความผิดปกติได้ทั้งนั้น บางเสียงก็อาจจะเป็นเรื่องปกติของการทำงานในตัวรถเอง หรือบางเสียง ก็อาจจะเกิดจากความไว (ของหู) ในแต่ละคน ที่ได้ยิน รับรู้ ไม่เหมือนกัน

เสียงจากเครื่องยนต์ เป็นสิ่งที่หาได้ไม่ยาก หากเป็นช่างซ่อมรถที่เจนจัดกับการซ่อมรถมานักต่อนัก มักหาที่มาของเสียงได้ไม่ยาก จะด้วยการฟังหูเปล่า หรือฟังด้วยเครื่องฟัง ที่คล้ายๆ หูฟังของหมอนั่นล่ะครับ เริ่มต้นตั้งแต่ …

Start-Button

1. สตาร์ทรถ

สตาร์ทรถ … หากสตาร์ทรถแล้วมีเสียงดังเอี๊ยดๆ สีกัน ภายในห้องเครื่อง เมื่อคุณเร่งความเร็วรอบเครื่องยนต์ขึ้น เสียงจะลดระดับเบาลงไป แต่ก็ยังมีอยู่จนเครื่องร้อนได้ที่ แล้วถึงจะเงียบไป

อาการแบบนี้ ส่วนใหญ่เกิดจากสายพานต่างๆ หรือตัวดันสายพาน ลูกรอกสายพาน ที่หมดอายุการใช้งาน เสียหาย หรือเสื่อมสภาพ

Air-Condition

2. เปิดแอร์

เปิดแอร์ … เมื่อสตาร์ทรถได้สักพัก พอเปิดแอร์แล้วได้ยินเสียงดังแกรกๆ อาการแบบนี้ ก็คาดไว้ก่อนเลยว่า น่าจะมาจากคอมเพรสเซอร์แอร์, ลูกรอกแอร์ หน้าคลัทช์คอมแอร์ หรือสายพานแอร์ ก็เป็นไปได้ทั้งนั้น

Brake

3. เหยียบเบรก

เหยียบเบรก … เมื่อเหยียบเบรกไปแล้ว ไม่ว่าจะเหยียบเบาหรือแรง มีเสียงดังวิ้งๆ หรือครืดๆ ให้ก้มดูจานเบรกที่ล้อ ดูผ้าเบรกเป็นอันดับแรก เพราะผ้าเบรกหมด จนขูดจานเบรกเป็นรอย แล้วดูว่าจานเบรกนั้น มีรอยขูดหนาบางแค่ไหน เตรียมเสียเงินเปลี่ยนผ้าเบรกใหม่ได้

หรือถ้าจานเบรกมีรอยเส้นหนักๆ หน่อย ก็อาจจะต้องเจียรจานเบรก หรือเปลี่ยนจานเบรกใหม่

Rack-Steering-Wheel

4. เลี้ยวซ้ายสุด-ขวาสุด มีเสียงดัง

เลี้ยวซ้ายสุด-ขวาสุด มีเสียงดัง … ลองตรวจเช็กดูช่วงล่าง ตั้งแต่ แร็คพวงมาลัย ยางหุ้มเพลา ลูกหมากปีกนก คันชักคันส่ง ฯลฯ เพราะมันอาจหมดอายุการใช้งาน เสียหายจากการกระแทกบ่อยๆ หรือหัวเพลาหลวม หัวเพลาแตก!

และก็เป็นไปได้ ที่ตัวปั้มพวงมาลัยเพาเวอร์ รั่วหรือแรงไม่พอ ลองดูว่ามีน้ำมันเพาเวอร์รั่วซึมหรือไม่

Rubber-Speed-Humps

5. วิ่งผ่านเนินลูกระนาด … หน้าเด้ง ท้ายเด้ง!

วิ่งผ่านเนินลูกระนาด … หน้าเด้ง ท้ายเด้ง! … อาการนี้ดูโช๊คอัพได้เลย เพราะไม่มีความหนืด ในการดูดซับแรงกระแทกอีกแล้ว หากอาการไม่หนักก็ซ่อม อัดน้ำมันเข้าไปใหม่ แต่ถ้าทำไปใช้งานได้สักพัก มันรั่วอีก ก็ลงทุนเปลี่ยนใหม่จะดีกว่า

วิธีเช็ก ใช้ไฟฉายส่องเข้าไปที่ซุ้มล้อ ตรวจดูว่ามีน้ำมันซึมออกมาจากกระบอกโช๊คอัพหรือไม่ แล้วใช้ฝ่ามือทั้งสองมือ กดลงไปบริเวณด้านที่มีโช๊คอัพเหนือล้อ ถ้าหนืด กดแล้วจะนิ่ง ไม่ยุบง่ายๆ แต่ถ้าโช๊คอัพหมดสภาพแล้ว กดแล้วปล่อยมือ รถยังเด้งดึ๋งต่อเลย!

เมื่อรับทราบอาการดังกล่าวได้แล้ว ว่ามาจากสาเหตุไหน ทางที่ดี คุณควรขับรถเข้าศูนย์บริการ หรืออู่ซ่อมรถ ให้ช่างผู้ชำนาญการตรวจดูให้แน่ชัด แล้วเตรียมเสียเงินไว้ด้วยเทอญ …

ถ้าคุณตัดสินใจอยากขายรถคันเดิม เพื่อไปซื้อรถคันใหม่ หรือรับเป็นเงินก้อนไปใช้ สามารถขายรถคันเดิมกับ CARRO ได้ ง่ายๆ ได้เงินไว! กับ CARRO Express เพียงแค่คลิก https://th.carro.co/sell-car/express หรือสามารถ Inbox มาขอรายละเอียดได้ที่ Facebook CARRO Thailand

หรือจะ Add Line สอบถามรายละเอียดได้ที่ @Carrothailand หรือคลิกที่นี่ครับ —> เพิ่มเพื่อน

5 วิธีขายรถง่ายๆ สำหรับคุณผู้หญิงโดยเฉพาะ

ถ้าจะว่ากันตามตรงแล้ว เผอิญว่าปีนี้ดันมีไวรัส Covid-19 (โควิด-19) ที่กำลังระบาดไปในทั่วโลก เลยทำให้การพบปะสังสรรค์ หรือการต้องออกไปเจอผู้คนนั้น ต้องปรับตัวไปในรูปแบบ Social Distrancing ซึ่งสอดคล้องกับความเป็น New Normal วิถีชีวิตใหม่ ที่ต้องเว้นระยะห่างกันไปสักพัก

แต่คุณผู้หญิงหลายคน ก็ตัดสินใจแล้วว่าจะหาทางปล่อยรถคันเดิมออกไปในช่วงนี้ แล้วเป็นหนี้ก้อนใหม่ ด้วยการซื้อรถใหม่ป้ายแดง แม้ว่าเศรษฐกิจจะย่ำแย่ก็ตาม

แต่การที่จะขายรถคันเดิมออกไปนั้น หลายคนอาจต้องถามกับตัวเองว่าอยากขายรถที่ไหนดี ขายรถได้ราคาสูง หรือขายรถคันเดิมออกได้อย่างรวดเร็ว หรือการต้องต่อรองราคากับผู้เสนอราคารถในเศรษฐกิจแบบนี้ ซึ่งอาจต้องขายเทิร์นไปในราคาถูกๆ เพราะตอนนี้คนซื้อย่อมได้เปรียบมากกว่าคนขายเสมอ รวมไปถึงสภาพรถ ก็มีส่วนสำคัญเช่นกัน

CARRO ขอแนะนำ 5 วิธีขายรถง่ายๆ สำหรับคุณผู้หญิงโดยเฉพาะ ครับ

5-Ways-For-Women-Sell-Car

1. เวลาลงขาย ไม่ต้องบอกก็ได้ว่า “รถผู้หญิงใช้”

เคยสังเกตตามโฆษณาขายรถในเว็บไซต์ หรือตามกลุ่มใน Facebook ไหมครับว่า? ผู้ขายหลายคนมักจะมีคำว่า “รถผู้หญิงใช้” ประกอบอยู่ ซึ่งผู้หญิงใช้ ซึ่งเป็นวิธีของผู้ขายรถ อยากให้คนเข้าใจว่า รถใช้น้อย เพียงแค่เอาไว้ใช้รับส่งลูกที่โรงเรียน เอาไว้จ่ายตลาด ซื้อกับข้าว เข้าศูนย์บริการตลอด ประมาณนั้น

แต่ผู้ซื้อส่วนใหญ่ไม่สนใจในจุดนี้ ร้อยทั้งร้อย สนใจสภาพรถมากกว่า เพราะรถผู้หญิงใช้ (หรือรถผู้ชายใช้ก็ตาม) หลายคันใช้รถแบบ ขับ กับเติมน้ำมันแค่นั้น สภาพโทรมทั้งตัวรถทั้งเครื่องยนต์ หรือภายในเบาะขาดเละเทะก็มี ขับเบียดขับชน เห็นหลุมอะไรก็วิ่งลงไป จนช่วงล่างเยิน น้ำมันเครื่องแห้งก็มี … ถ้าเป็นไปได้ ดูแลรถให้ดีก่อนขายดีกว่าครับ

5-Ways-For-Women-Sell-Car

2. ราคาขายอย่าเว่อร์

ราคารถที่คุณจะขาย คุณควรลองศึกษาดูก่อนว่า รถที่คุณใช้ ในตลาดตอนนี้ขายกันอยู่เท่าไหร่? หลักการตั้งราคารถ มันก็ขึ้นอยู่กับ ยี่ห้อ รุ่น ปี ของรถ ถ้าหากเป็นรถยี่ห้อ-รุ่นยอดนิยมหน่อย ราคามือสองก็จะสูงหน่อย ก็ตั้งราคาขายเผื่อคนต่อไว้ได้ กรณีที่ไม่ได้รีบร้อนอะไร …

แต่ถ้าเป็นรถรักเจ้าของ ยี่ห้อ-รุ่นแบรนด์ที่คนไม่เล่นกัน เครื่องชอบพัง เกียร์ชอบเสีย อะไรเนี่ย ก็ลองตั้งราคาขายถูกกว่าในท้องตลาดหน่อยละกัน เผื่อจะมีเนื้อคู่มาสนใจ เพราะเก็บไว้นาน ก็เป็นภาระเปล่าๆ ในกรณีที่ “ใจ” คุณอยากจะออกรถใหม่ไวๆ แล้ว

5-Ways-For-Women-Sell-Car

3. ขายรถผ่านเพื่อนหรือคนรู้จัก

คนซื้อรถมือสองทั้งหมดนั่นล่ะ เขาก็อยากได้ประวัติการดูแลรักษารถยนต์ที่ดี (เช่น มี Book Service เช็คประวัติรายละเอียดต่างๆ ของรถคันนั้น ว่าทำอะไรบ้างจากศูนย์บริการ) ซึ่งการซื้อรถผ่านเพื่อนหรือคนรู้จักนี่ล่ะ อย่างน้อยก็ทำให้มั่นใจได้ว่า เรารู้จักเจ้าของรถคนเดิมอยู่ รู้ว่าเขาใช้รถมานานเท่าไหร่ เวลามีปัญหาอะไรก็พอสอบถามได้

ดังนั้น ถ้าคุณมีเพื่อนหรือคนรู้จัก สนใจรถคุณอยู่ ก็ลองเสนอเขาดูนะ …

5-Ways-For-Women-Sell-Car

4. เอกสารต้องครบ

ก่อนที่คุณจะขายรถ ควรจะเตรียมเอกสารไว้ให้ครบๆ ไม่ให้มีปัญหาในภายหลัง พวกสัญญาซื้อ-ขาย สำเนาบัตรประชาชน ต้องขีดคร่อม ระบุวันที่ พร้อมเขียนกำกับไว้ว่าทำอะไร และชุดโอนรถ เป็นต้น ถ้าขายรถตามสภาพ ก็เขียนลงไปในสัญญาซื้อขายไปเลยว่า “รถขายตามสภาพ”

เวลาขายรถไปแล้ว จะได้ไม่มีปัญหาตามมาในภายหลัง

5-Ways-For-Women-Sell-Car

5. เอาง่ายๆ ก็มาขายรถที่ CARRO สิ

ในช่วงที่ไวรัส Covid-19 กำลังระบาด การไม่ออกไปสถานที่ที่มีผู้คนเยอะๆ นั้น นับว่าเป็นเรื่องที่ดี ถ้าคุณผู้หญิงไม่อยากรอคอย หรือใจอยากจะไปออกไปตระเวนนำรถไปตีราคาตามเต็นท์รถนอกสถานที่ต่างๆ ก็มาลงขายรถออนไลน์ที่ CARRO ดูสิ ซึ่ง CARRO เป็นบริษัท Startup ซื้อ-ขาย รถยนต์มือสองจากสิงคโปร์ และได้รับการยอมรับในกลุ่มผู้สนใจรถยนต์มือสองในวงกว้าง ที่มีสาขาอยู่ทั้งในประเทศไทย และในอินโดนีเซีย

ถ้าคุณมั่นใจว่ารถคุณมีสภาพที่ดี เป็นยี่ห้อรถตลาดที่คนใช้กันเยอะ อีกทั้งราคาที่ตั้งขายไม่แพงอย่างที่คนทั่วไปเห็น โอกาสที่คุณจะขายรถได้ง่ายๆ เร็วไว ก็มีแค่นี้ล่ะครับ

สำหรับใครที่อยากขายรถตอนนี้ หรือกำลังตัดสินใจจะซื้อรถป้ายแดงอยู่พอดี แต่งบไม่พอ!  มาขายรถกับ CARRO Express สิ! หรือจะ Inbox มาขอรายละเอียดได้ที่ Facebook -> CARRO Thailand และ Add Line สอบถามรายละเอียดได้เช่นกัน ที่ @carrothai

ขับรถเที่ยวไทยแก้ปีชง ต้องที่ไหน

ขับรถเที่ยวไทยแก้ปีชง ต้องที่ไหน ?

ด้วยความที่ปีนี้ตรงกับปีกุน (ปีหมู) ตามความเชื่อของชาวจีนจะถือในเรื่องของปีชง คนที่เกิดในช่วงปีชงจะต้องทำบุญเสริมดวงชะตาให้เป็นสิริมงคล และหากใครกำลังมองหาสถานที่แก้ปีชงกับ 5 สถานที่แก้ปีชงในไทย อยากพาครอบครัวออกเที่ยว อ่านตามนี้เลย

1. วัดมังกรกมลาวาส กรุงเทพ

วัดจีนย่านเยาวราช สถานที่แก้ชงยอดฮิตอันดับหนึ่งในกรุงเทพ เป็นวัดจีนแต้จิ๋วที่มีศิลปะสวยงาม ภายในวัดจะเป็นที่ประดิษฐานพระพุทธเจ้า พระโพธิสัตว์ และเทพเจ้าที่สำคัญของชาวจีน เทพเจ้าไท้ส่วยเอี้ย, เทพเจ้าไฉ่ซิ้งเอี๊ยะ, เทพเจ้าเฮ่งเจีย และพระเมตไตรยโพธิสัตว์ หรือแม่กวนอิมผู่สัก

วิธีการบูชาบริเวณด้านหน้าวัดจะมีที่สำหรับจุดธูป เทียน ถวายดอกไม้ และอื่น ๆ ไว้ให้แล้ว แต่ถ้าอยากจะเตรียมของไหว้เพิ่มเติมก็สามารถนำมาถวายได้นะ เช่น ส้มมงคล  ขนมจันอับ ขนมเปี๊ยะ ขนมถ้วยฟู หรือน้ำมันตะเกียง เปิดทุกวัน ตั้งแต่เวลา 06.00-18.00 น.

2. วัดมังกรบุปผาราม จันทบุรี

ขับรถเที่ยวไทยแก้ปีชงแนะนำอีกที่ คือ วัดมังกรบุปผาราม จังหวัดจันทบุรี จะอยู่ตรงบริเวณ อ.แหลมสิงห์ เป็นวัดคู่บ้านคู่เมืองของคนไทยเชื้อสายจีนมายาวนาน แวะสักการะวิหารท้าวจตุโลกบาลทั้งสี่  มีซุ้มประตูทางเข้าตามศิลปะแบบจีน และวงเวียนน้ำพุอันสวยงาม และวิหารกวนซีอิมผ่อสัก วิหารตี่จั่งอ้วงผ่อสัก พระกวนอิมปางพันมือพันตา และพระโพธิสัตว์ต่างๆ คนปีชงร่วมสามารถมาทำบุญ เพื่อเสริมโชคชะตาให้กับชีวิตได้

ส่วนวิธีการไหว้จะเรียงลำดับทั้งหมด 17 จุด ซึ่งทางวัดได้เรียงลำดับตัวเลขไว้ตามจุดต่าง ๆ ให้แล้ว เชื่อว่าถ้าไหว้ครบทุกจุดจะได้รับพลังบุญยิ่งใหญ่ ช่วยแก้เคล็ด เสริมบารมี จึงเหมาะมากกับคนที่เกิดปีขาลที่ชงเรื่องของเคราะห์กรรม จะช่วยเปลี่ยนร้ายให้กลายเป็นดี

ทั้งนี้ทางวัดยังมีพิธีทำบุญถือศีลอีกด้วยนะ ใครที่อยากจะมานั่งสมาธิ หรือกำลังอยู่ในช่วงถือศีล ก็หาเวลาไปไหว้กันได้

3. วัดวิหารจีนห้วยบง เชียงใหม่

สำหรับคนที่กำลังจะขับรถออกเที่ยวเหนือ เที่ยวแก้ปีชงวัดห้วยบง อำเภอพร้าว จังหวัดเชียงใหม่ได้เช่นกัน ทั้งวัดสร้างด้วยสถาปัตยกรรมจีน อยู่บนทำเลไหล่เขา หากมองลงไปจะเห็นวิวธรรมชาติสวยงาม

ส่วนตรงบริเวณบันไดทางขึ้นจะมีรูปปั้นสิงโต 2 ตัวขนาดใหญ่คอยคุ้มครอง ด้านภายในจะประดิษฐานองค์ปุงเถ่ากง-ม่า เจ้าแม่กวนอิม ไฉ่ซิงเอี้ย ฮั่วท้อเซียนซือ เฮี้ยงเทียนเซียงตี่ และเทพเจ้าต่างๆ

รวมถึงพระพุทธรูปที่วางเรียงกันยาวอีกหลายองค์  จึงเป็นวัดที่มองแล้วสวยสะดุดตามาก บริเวณรอบนอกวิหารจะค่อนข้างกว้าง สะอาด และเงียบสงบ เหมาะมากกับผู้ที่ต้องการมานั่งสมาธิ เปิดทุกวัน ตั้งแต่ 08.00-17.00 น.

4. ศาลเจ้าปึงเถ่ากงม่า ขอนแก่น

พาเที่ยวอีสานบ้างกับขับรถไหว้แก้ชง ณ ศาลเจ้าปึงเถ่ากงม่า อำเภอเมือง จังหวัดขอนแก่น เชื่อกันว่าเป็นเทพเจ้าแห่งการค้าขาย ช่วยคุ้มครองให้อยู่เย็นเป็นสุข ร่ำรวยเงินทอง หยิบจับอะไรก็ไม่ติดขัด แนะนำให้ลองมากราบไหว้กันสักครั้ง

สามารถนำมาถวายเป็นพวก หมู เป็ด ไก่ ไข่ต้ม ขนม ผลไม้ กระดาษเงิน กระดาษทอง และน้ำชา เพื่อให้มีอยู่ มีกิน ค้าขายเจริญรุ่งเรือง ติดต่อเจรจาเป็นไปอย่างราบรื่น หรือจะเติมน้ำมันพืชในตะเกียงของศาลเจ้า ช่วยให้ชีวิตรุ่งเรืองยิ่งขึ้น

5. ศาลเจ้าจุ้ยตุ่ย ภูเก็ต

นอกจากขับรถลงทางใต้สัมผัสกับทะเลชายหาดสวย อย่าลืมแวะไหว้ศาลเจ้าจุ้ยตุ่ย หรือจุ้ยตุ่ยเต้าโบ้เก้ง ในอำเภอเมือง จังหวัดภูเก็ต นิยมนำสิ่งของ เครื่องใช้ ข้าวสาร น้ำมันมะพร้าว ขนมลูกเต๋า ขนมเปี๊ยะ ดอกไม้ ธูปเทียน มาถวายในศาล พร้อมกราบไหว้เจ้าแม่กวนอิม และทำพิธีสะเดาะเคราะห์ สามารถขอพรด้านสุขภาพเป็นหลัก และที่วัดแห่งนี้ยังขึ้นชื่อของยาจีนรักษาโรค จะมีรายละเอียดบอกสรรพคุณของยาจีนสามารถนำกลับต้มที่บ้านได้ด้วย

และทั้งหมดก็เป็น 5 สถานที่น่าขับรถเที่ยวแก้ปีชงทั่วไทย หากกำลังวางแพลนเที่ยวหยุดยาว หรือมีโอกาสขับรถเที่ยวแต่ไม่รู้จะไปไหน ก็สามารถเดินทางตามรอยพิกัดที่เล่ามานี้ได้เช่นกัน

ขอบคุณข้อมูล Frank.co.th

rabbit finance x Carro | เผย 4 เทคนิค วิธีเลือกซื้อประกันรถยนต์ให้รถมือสอง

รถมือสองควรซื้อประกันรถยนต์ประเภทไหนดี ?

เศรษฐกิจไม่ดี ที่บ้านมีฐานะพอมีพอกิน อยากมีรถสักคัน จะไปถอยรถใหม่ป้ายแดงเลยคงจะไม่ไหว งานนี้คงต้องไปซื้อรถมือสองแทนซะและ ว่าแต่ซื้อรถมือสองอย่างนี้ควรซื้อประกันรถยนต์หรือไม่ ? แล้วประกันรถยนต์ก็มีหลายแบบ หลายประเภท รถมือสองแบบนี้ควรซื้อประกันรถอันไหนดี?

ใครที่มีคำถามในส่วนนี้อยู่ละก็ วันนี้เราจะมาบอกเคล็ดลับการเลือกประกันรถยนต์สำหรับรถมือสองมาฝาก จะต้องซื้อประกันตัวไหน ตามไปดูพร้อมกันเลยค่ะ

ตั้งงบสำหรับซื้อประกันรถยนต์

จะทำประกันรถยนต์ต้องดูเรื่องงบของเราเป็นหลัก

อย่างแรกเรามาคุยกันก่อนค่ะ ว่าหลักๆ แล้วเราต้องดูอะไรในการตัดสินใจเลือกทำประกันรถยนต์ให้กับรถมือสองกันบ้าง ซึ่งเราสามารถเเบ่งเป็น 4 ข้อหลักๆ ดังนี้ค่ะ

1. เรื่องงบสำหรับประกันรถยนต์

อย่างแรกเลยที่เราต้องดูก็คือ เรื่องงบในส่วนของประกันรถยนต์ ในเมื่อเราซื้อรถยนต์มือสอง งบของเราก็คงไม่สูงมากใช่ไหมคะ เพราะฉะนั้นเรื่องงบสำหรับการซื้อประกันรถเราก็ต้องมาคิดให้ถี่ถ้วน

ทั้งเรื่องความคุ้มครอง ควรเลือกความคุ้มครองของกรมธรรม์ประกันรถยนต์อันไหนถึงจะเหมาะกับรถยนต์ของเรา และสไตล์การขับรถของเรา เพื่อให้เกิดความคุ้มค่าที่สุด

และอีกสิ่งที่ห้ามลืมเลยก็คือ เรื่องเบี้ยประกันที่เราต้องเสีย เพราะคุณต้องจ่ายเบี้ยประกันไปอีกหลายปีนะคะ

ซื้อประกันรถยนต์ ช่วยดูแลคุ้มครองเรา

พรบ. ประกันภาคบังคับ ความคุ้มครองไม่ครอบคลุมเท่าประกันรถยนต์

2. อย่าลืม พรบ.

ปกติแล้วรถยนต์ทุกคันจะต้องมี “ประกันภัยพระราชบัญญัติคุ้มครองผู้ประสบภัยจากรถ” หรือที่เราคุ้นชื่อกันคือ “พรบ.” ซึ่ง พรบ. นี้ ก็คือเป็นประกันภัยภาคบังคับ ที่ผู้มีรถทุกคนจะต้องทำ หากไม่ทำหรือไม่มีการต่ออายุ จะมีโทษทางกฎหมาย อาจได้รับโทษปรับสูงสุดถึง 10,000 บาท

ซึ่ง พรบ. นี้จะให้การชดใช้เงินจำนวนหนึ่งกับบุคคลภายนอกที่ได้รับความเสียหายที่เกิดกับชีวิต ร่างกาย หรือทรัพย์สินของบุคคลภายนอก อันเนื่องจากการกระทำของผู้เอาประกันภัย

ในเมื่อเรามี พรบ. ประกันภัยภาคบังคับแล้วที่พอจะคุ้มครองได้บ้างส่วนหนึ่ง ดังนั้นความคุ้มครองส่วนที่เหลือที่คุณคิดว่า พรบ. ไม่ครอบคลุมก็ค่อยทำประกันรถยนต์มาช่วยคุ้มครอง

สภาพรถช่วยเราตัดสินใจซื้อประกันรถยนต์ได้

สภาพรถของเราเหมาะกับประกันรถยนต์ประเภทไหน

3. รถมีสภาพอย่างไร

มาถึงขั้นตอนที่เราต้องประเมินแล้วค่ะว่ารถยนต์มือสองของเรา เหมาะกับประกันรถยนต์ชั้นไหน โดยปกติแล้วประกันรถยนต์มีด้วยกัน 5 แบบ ได้แก่ ประกันรถยนต์ชั้น 1, ประกันรถยนต์ชั้น 2+, ประกันรถยนต์ชั้น 2, ประกันรถยนต์ชั้น 3+ และ ประกันรถยนต์ชั้น 3

ซึ่งประกันรถยนต์แต่ละประเภทก็มีความคุ้มครอง และเบี้ยประกันรถยนต์ที่ต่างออกไป โดยประกันรถยนต์ที่ให้ความคุ้มครองสูงสุด และเบี้ยประกันที่แพงที่สุด ก็คือ ประกันรถยนต์ชั้น 1 รองลงมาก็เป็นประกันรถยนต์ชั้น 2+ และไล่ลงมาตามลำดับ

เมื่อเราพอจะทราบรายละเอียดความคุ้มครองและเบี้ยประกันแบบคร่าวๆ แล้ว ทีนี้เรามาดูสภาพรถยนต์ของเรากันดีกว่า

  • รถมือสองสภาพนางฟ้า

ถ้ารถมือสองของคุณยังมีสภาพนางฟ้า ผ่านการใช้งานเพียงไม่เท่าไหร่ เครื่องยนต์ยังพร้อมใช้งาน ดูแล้วไม่น่ามีปัญหา บอกเลยงานนี้ต้องจัดประกันรถยนต์ชั้น 1 เพราะความคุ้มครองประกันนี้มีความเหมาะสม เปรียบเทียบประกันดีๆ รับรองได้ประกันรถชั้น 1 ในราคาเบี้ยที่คุ้มค่าค่ะ

  • รถมือสองไม่ใหม่มาก แถมมีงบน้อย

หากรถของคุณมีสภาพที่ไม่ใหม่มาก แต่ก็ไม่เก่าเกินไป สภาพรถผ่านการใช้งานมาพอสมควร ถ้ารถของคุณมีสภาพเช่นนี้ แนะนำให้ทำประกันรถยนต์ ชั้น 2+, ประกันรถยนต์ชั้น 2, ประกันรถยนต์ชั้น 3 หรือประกันรถยนต์ชั้น 3+ ก็ย่อมได้

ฝีมือการขับรถช่วยเราตัดสินใจซื้อประกันรถยนต์ได้

ทักษะการขับรถก็เป็นตัวตัดสินให้เราเลือกประกันรถยนต์ได้

4. ฝีมือการขับรถ

อย่างถัดไปที่ต้องดูก็คือ ฝีมือการขับรถของเรา หากคุณมีความเชี่ยวชาญในการขับรถมาก เรียกว่าน้อยครั้งมากที่จะเกิดอุบัติเหตุ แนะนำให้ทำประกันรถยนต์ที่มีความคุ้มครองไม่สูงมาก เบี้ยประกันไม่สูงมาก เป็นการประหยัดเงินไปได้ส่วนหนึ่งเลยค่ะ

แต่ถ้าคุณไม่มั่นใจในฝีมือการขับรถ มักเกิดอุบัติเหตุอยู่บ่อยครั้ง ถ้าอย่างงี้ต้องจัดประกันที่ให้ความคุ้มครองสูง ซึ่งความคุ้มครองสูงขนาดนี้เบี้ยประกันก็สูงตามไปด้วย เพื่อตอบโจทย์การขับขี่ของคุณนั่นเอง

ทั้ง 4 ปัจจัยที่กล่าวไปล้วนเป็นเหตุผลที่ช่วยให้คุณตัดสินใจทำประกันรถสำหรับรถมือสองโดยเฉพาะ ซึ่งถ้าคุณยังตัดสินใจเลือกซื้อประกันรถยนต์สำหรับรถมือสองไม่ได้ละก็ ทางเราแนะนำประกันรถยนต์ชั้น 2+ ก็เป็นประกันที่ให้ความคุ้มครองที่ครอบคลุม แถมเบี้ยประกันก็เอื้อมถึง รับรองประกันชั้นนี้ตอบโจทย์รถมือสองแน่นอนค่ะ

Driving-Reverse-Technique

ขับรถถอยหลัง สิ่งที่มือใหม่หัดขับ ต้องหมั่นฝึกซ้อมเยอะๆ …

เวลาขับรถไปไหนมาไหน คุณเคยสังเกตรถยนต์รอบข้างของคุณบ้างไหมว่า เรามีลักษณะ ท่าทางการขับรถเป็นแบบไหน … จริงอยู่ที่เวลาขับรถไปข้างหน้า ใครๆ ก็ขับได้ไม่ยาก ใช้เวลาไม่นานก็ทำความคุ้นเคยแล้ว

แต่ถ้าหากเป็นการขับรถถอยหลัง เวลาจะจอดรถล่ะ? อันนี้สิ เวลาผมไปตามศูนย์การค้า (ในลานจอดรถ) ด้วยแล้ว เห็นการถอยรถเข้าซองของหลายคนแล้ว รู้สึกเก้ๆ กังๆ อย่างบอกไม่ถูก กะระยะไม่พ้นบ้างล่ะ ถอยไปเบียดกับเสา หรือเบียดกับรถที่จอดอยู่บ้างล่ะ กลายเป็นเกิดปัญหา ต้องเสียเวลาและเสียเงินไปอีก

ทีนี้เรามาดูกันครับว่า ขับรถถอยหลังอย่างไร ถึงจะปลอดภัยทุกสถานการณ์ …

Driving-Reverse-Technique

เราควรรู้ตั้งแต่ต้นว่า จะถอยหลังเป็นแนวตรงอย่างเดียว หรือจะต้องเลี้ยวซ้ายหรือเลี้ยวขวาด้วย ถ้า ต้องถอยเป็นแนวตรงอย่างเดียว ใช้มือขวาจับพวงมาลัยในตำแหน่ง 12 ถึง 3 นาฬิกา แล้วแต่ความถนัดของแต่ละคน

ถ้าจะต้องเลี้ยวไปทางซ้ายมือของตัวรถ ก็ต้องหมุนพวงมาลัยไปทางซ้ายหรือทวนเข็มนาฬิกา ให้จับพวงมาลัยด้านขวาล่าง คือตำแหน่ง 3 ถึง 5 นาฬิกา ถ้าจะต้องเลี้ยวไปทางขวาของตัวรถ จับพวงมาลัยที่ตำแหน่ง 10 ถึง 12 นาฬิกา เพื่อให้หมุนพวงมาลัยได้มาก โดยไม่ต้องขยับมือ

ถ้าแน่ใจว่าต้องเลี้ยวมุมแคบ ให้ใช้ฝ่ามือกดพวงมาลัยไว้ขณะหมุน นิ้วมือทุกนิ้วเหยียดตรงหมด เพื่อให้หมุนพวงมาลัยแบบวนได้ถนัด

Driving-Reverse-Technique

กรณีของรถรุ่นเก่า ที่ไม่มีกล้องมองภาพถอยหลัง เริ่มแรกให้ตั้งลำรถให้ดี ใช้มือซ้ายเข้าเกียร์ถอยหลัง แล้วมองไปที่กระจกมองข้าง ซ้าย-ขวา และกระจกมองหลัง ดูว่ามีสิ่งกีดขวางอยู่หรือไม่ แต่อย่ามองค้าง! จากนั้น ยกแขนซ้ายไปวางที่เบาะหลัง ด้านพนักพิงศีรษะคนนั่ง เอาฝ่ามือโอบด้านข้างพนักพิงศีรษะไว้ แล้วหันศีรษะไปด้านหลังให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ เพื่อให้สามารถมองด้านท้ายของรถได้มากที่สุด ถอยรถอย่างช้าๆ ด้วยความระมัดระวัง

ส่วนแขนขวาก็หมุนพวงมาลัยไปด้วย เมื่อคืนพวงมาลัยให้ตรง ก็ต้องหมุนให้เร็วกว่าปกติหน่อย รถจึงจะเข้าอยู่ในตำแหน่งที่เราต้องการ

ส่วนรถที่ไม่มีพวงมาลัยเพาเวอร์ ซึ่งพวงมาลัยค่อนข้างหนัก ต้องออกแรงหมุนพวงมาลัยด้วยมือทั้งสองข้าง ไม่ต้องเอาแขนซ้ายไปวางที่พนักพิงศีรษะ แต่ขณะถอยและเลี้ยว ก็ยังต้องหันศีรษะไปทางด้านหลังให้มากที่สุดอยู่ดี เพื่อความปลอดภัย

Driving-Reverse-Technique

ส่วนรถที่มีกล้องมองภาพถอยหลัง ก่อนจะถอยรถ ให้มองไปที่กระจกมองข้าง ซ้าย-ขวา และกระจกมองหลังว่า มีสิ่งกีดขวางอยู่หรือไม่ จากนั้นใช้มือซ้ายเข้าเกียร์ถอยหลัง แล้วค่อยๆ ถอยช้าๆ ดูภาพจากในจอบนแผงคอนโซลไปด้วย โดยอย่ามองค้าง! ให้สลับด้วยการหันศีรษะไปมองด้านท้ายด้วย เพื่อความปลอดภัยอีกขั้น ถอยรถอย่างช้าๆ ด้วยความระมัดระวัง

หากมีเซ็นเซอร์ถอยหลังด้วย ก็จะช่วยให้จอดรถได้อย่างมั่นใจมากขึ้น (เพราะยิ่งใกล้กับสิ่งกีดขวางเมื่อไหร่ เสียงเตือนก็จะดังถี่ขึ้นเรื่อยๆ)

ส่วนการถอยรถในท่านั่งขับปกติ มองเพียงแค่กระจกมองข้าง และกระจกมองหลังสลับกันไป หลายคนทำวิธีแบบนี้ ถือว่า “ผิด” นะครับ เพราะนี่เป็นวิธีขับรถถอยหลังของคนขับรถสิบล้อ หรือคนขับรถเมล์ครับ เพราะเขาไม่สามารถมองไปด้านหลังได้ นอกจากพึ่งกระจกมองข้างทั้งสองด้าน หรือกระจกมองหลังเท่านั้น ดังนั้น คนขับรถสิบล้อ หรือคนขับรถเมล์ จึงไม่ถอยรถแต่เพียงลำพัง แต่จะต้องมีผู้ช่วยลงไป “ให้สัญญาณ” ตอนกำลังถอยรถอยู่ด้วยเสมอ

Driving-Reverse-Technique

ส่วนวิธีจอดรถ ที่นิยมปฏิบัติในต่างประเทศ คือ การขับรถเอาหน้าเข้าไปจอดด้านในเลย และถอยหลังออกเมื่อต้องการออกจากช่องจอด แต่ที่ไม่สามารถทำได้ในบ้านเราได้ เพราะพื้นที่จอดรถมันแคบ ยิ่งเวลาไปตามห้างสรรพสินค้าส่วนใหญ่ในบ้านเรา (ที่ไม่ใช่แบบลานจอดรถกลางแจ้ง) การเอาหน้ารถเข้าบางทีก็ลำบาก ต้องตีวงกว้างๆ อีก จึงนิยมถอยหลังเอาหน้ารถออกมากกว่า

เมื่อคุณเจอที่จอดรถว่างแล้ว หากคุณจะนำรถเข้าไปจอด ควรเปิดไฟเลี้ยวบอก ให้คนที่ขับรถตามมาได้รู้ มองกระจกมองข้าง กระจกมองหลัง แล้วก็ค่อยๆ ขับรถเข้าไปจอด ส่วนตอนออกรถก็ค่อยๆ ถอยรถอย่างช้าๆ ออกไปจนพ้นช่องจอดรถ ไม่ต้องเปิดไฟฉุกเฉินนะครับ เขาเห็นแต่ไกลแล้วว่าเรากำลังถอยรถ และยังมีไฟถอยหลังให้เห็นอีก

Driving-Reverse-Technique

เอาละครับ เมื่อทราบถึงวิธีการถอยรถ เพื่อจอดรถอย่างถูกต้องแล้ว ก็ควรปฏิบัติกันตามนี้นะครับ โดยเฉพาะเหล่า “มือใหม่” ทั้งหลาย ต้องฝึกฝนกันให้มากๆ เพราะการขับรถถอยหลัง ต้องเก็บประสบการณ์กันมากพอสมควร

เช็ก-เปลี่ยน-ชุดถุงลมของ-6-ค่ายรถยนต์

สมาคมอุตสาหกรรมยานยนต์ไทย ร่วมกับ 6 บริษัทรถยนต์ชั้นนำของประเทศ ได้แก่ BMW, Honda, Mazda, Mitsubishi, Nissan, Toyota เชิญชวนให้กลุ่มลูกค้าเข้ารับการตรวจสอบ และแก้ไขชุดถุงลมเสริมความปลอดภัยในรถยนต์ โดยไม่มีค่าใช้จ่าย

ซึ่งที่ผ่านมาบริษัทรถยนต์ต่างๆ ได้เริ่มดำเนินกิจกรรมเคลมพิเศษ ตั้งแต่ปี 2556 เป็นต้นมา โดยการส่งจดหมายเชิญลูกค้าที่อยู่ในข่ายให้เข้ารับบริการ รวมทั้งกิจกรรมอื่นๆ ในการประชาสัมพันธ์เชิญชวนให้ลูกค้าเข้ามารับบริการ สำหรับรถยนต์ที่เข้าข่ายเป็นรถยนต์รุ่นที่ผลิตตั้งแต่ปี พ.ศ. 2543 (ค.ศ. 2000) เจ้าของรถยนต์สามารถนำหมายเลขตัวถัง ตรวจสอบข้อมูลเบื้องต้นได้ในช่องทางต่างๆ ดังนี้

1. เข้าเว็บไซต์ www.checkairbag.com

2. หรือเลือกเข้าไปกรอกข้อมูลตามแบรนด์ต่างๆ ดังนี้

3. โทรศัพท์ตรวจสอบข้อมูลเบื้องต้นกับศูนย์บริการทั่วประเทศ

4. สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ Call Center ของทางบริษัทฯ

  •  บริษัท บีเอ็มดับเบิลยู (ประเทศไทย) จำกัด โทร 02-305-8888
  • บริษัท ฮอนด้า ออโตโมบิล (ประเทศไทย) จำกัด โทร 02-341-7777
  • บริษัท มาสด้า เซลส์ (ประเทศไทย) จำกัด โทร 02-030-5666
  • บริษัท มิตซูบิชิ มอเตอร์ส (ประเทศไทย) จำกัด โทร 02-079-9500
  • บริษัท นิสสัน มอเตอร์ (ประเทศไทย) จำกัด โทร 02-401-9600 (กทม./ปริมณฑล) หรือ โทร 1-800-900-500 (โทรฟรีสำหรับต่างจังหวัดเฉพาะโทรศัพท์พื้นฐาน)
  • บริษัท โตโยต้า มอเตอร์ ประเทศไทย จำกัด โทร 02-386-2000 (กทม./ปริมณฑล)

โทร 1-800-238-444 (โทรฟรีสำหรับต่างจังหวัดเฉพาะโทรศัพท์พื้นฐาน)

 

ข้อมูลจาก dlt.go.th

ซื้อประกันจะเลือก ซ่อมอู่ หรือซ่อมศูนย์-01

ก่อนจะซื้อประกันรถยนต์ไว้ดูแลรถยนต์สักกรมธรรม์ แน่นอนว่านอกจากเลือกชั้นประกันที่ใช่และจ่ายเบี้ยไหวแล้ว เรายังต้องเลือกการซ่อมแซมรถยนต์อีกด้วยว่าจะเลือกแบบไหน “ซ่อมอู่หรือซ่อมศูนย์” หากเกิดเหตุการณ์ที่ต้องซ่อมรถขึ้นมา การซ่อมแบบไหนที่เหมาะกับเรา อ่านตรงนี้จะเข้าใจภายในไม่กี่นาที

  • ซ่อมอู่ คือ การซ่อมในอู่ซ่อมรถ แบ่งเป็น 2 ประเภท ได้แก่ อู่นอกเครือข่ายบริษัทประกันรถ จะต้องสำรองจ่ายก่อน และอู่ในเครือข่ายของบริษัทประกันรถยนต์ ซ่อมได้เลยไม่ต้องสำรองจ่าย
  • ซ่อมศูนย์ คือ การซ่อมในศูนย์ซ่อมรถยนต์ หรือเรียกว่าซ่อมห้างนั้นเองค่ะ

ระหว่างการซ่อมอู่และซ่อมศูนย์มีข้อดีแตกต่างกันไหม ?

แน่นอนว่า การซ่อมอู่จะมีเบี้ยที่ประหยัดกว่าการซ่อมศูนย์ ส่วนหนึ่งเป็นเพราะอะไหล่ที่ใช้ซ่อมนั้นมีความแตกต่างกันเล็กน้อย แต่ข้อดีของการซ่อมอู่คือมีหลายแห่งใกล้บ้าน และซ่อมไวกว่าเพราะอาจจะไม่ต้องรอคิวนาน

ข้อดีเมื่อคุณเลือกซ่อมอู่

  • มีตัวเลือกเยอะกว่าศูนย์บริการรถยนต์ และมีหลายพื้นที่ สะดวกกว่าเวลาหาที่ซ่อม สามารถเลือกอู่ที่เราไว้ใจและสามารถต่อรองได้ สามารถซ่อมแยกส่วนได้ อะไรเสียก็ซ่อมส่วนนั้น ไม่ต้องเหมายกเซ็ตให้เปลืองค่าใช้จ่ายเหมือนกับการซ่อมศูนย์
  • เบี้ยประกันรถยนต์ถูกกว่าเมื่อเทียบกับการส่งซ่อมในศูนย์บริการ
  • เลือกคุณภาพของอะไหล่ได้ตามต้องการ

สรุปการซ่อมอู่เหมาะกับใคร ?  

คนที่มีประสบการณ์ซ่อมรถ และมีอู่ซ่อมประจำที่ไว้ใจได้อยู่แล้ว

ทำความเข้าใจการซ่อมศูนย์หรือซ่อมห้าง

ทำความเข้าใจการซ่อมอู่แล้ว มาถึงคิวการซ่อมศูนย์ถึงแม้จะมีเบี้ยสูงกว่าหน่อย ๆ และคุณจะได้รับการซ่อมแซมที่มีประกันงานซ่อม และสามารถเคลมได้อะไหล่แท้จากศูนย์บริการนั่นเอง แต่อาจใช้เวลานาน เพราะต้องรอคิวตั้งแต่ส่งเข้าซ่อมและรับรถ

ข้อดีเมื่อคุณเลือกซ่อมศูนย์

  • การซ่อมศูนย์จะใช้อะไหล่ใหม่เอี่ยมจากแบรนด์รถยนต์โดยตรง อุ่นใจได้แน่นอนว่ารถเราจะกลับมาดีในสภาพเดิมด้วยอะไหล่แท้ 100%
  • หากรถประสบปัญหาเครื่องยนต์ ศูนย์บริการจะมีความชำนาญที่ทำให้เราเชื่อมั่นมากกว่า เพราะมีช่างเทคนิคผู้เชี่ยวชาญเฉพาะทางประจำอยู่
  • มีการรับประกันงานซ่อม งานซ่อมได้มาตรฐานเพราะมีระบบการทำงานที่เป็นมาตรฐาน ถ้าซ่อมแล้วมีปัญหาก็สามารถนำมาเคลมได้อีก

สรุปการซ่อมศูนย์เหมาะกับใคร ?

เหมาะสำหรับรถใหม่ป้ายแดงที่เพิ่งถอยมาหมาด ๆ รวมทั้งคนที่ไม่มีประสบการณ์ในการซ่อมรถ อย่างไรก็ดี การซ่อมศูนย์อาจไม่เหมาะสำหรับคนที่ต้องใช้รถเร่งด่วน หรือจำเป็นต้องใช้รถทุกวัน เพราะต้องรอคิวซ่อมรถ

เป็นอย่างไรบ้าง พอเข้าใจแล้วใช่ไหมค่ะ ว่าระหว่างซ่อมอู่และซ่อมศูนย์มีข้อดีที่แตกต่างกัน ดังนั้น เลือกให้เหมาะกับคุณ จะดีที่สุ๊ดล่ะค่ะ

ขอบคุณข้อมูลจาก Frank.co.th

6-สิ่งต้องมีในรถ-ที่จะทำให้ชีวิตคุณดีขึ้น!

ของที่ต้องมีบนรถ ชีวิตจะดีขึ้น!

เพราะเวลาที่เราต้องใช้ไปบนท้องถนนในแต่ละวันนั้นกินเวลารวมกันแล้วก็หลายชั่วโมง ยิ่งถ้าคุณทำงานในเขตเมืองย่านธุรกิจ และมีบ้านอยู่ชานเมือง หรือเป็นอาชีพที่ต้องเดินทางอยู่เป็นประจำ เช่น เซลล์ หรือวิศวกรที่ขับไปดูไซต์งาน ระยะเวลาที่อยู่บนรถก็อาจจะนานกว่านั้นมาก จนรถอาจจะกลายเป็นหลังที่ 3 (รองจากที่พักอาศัยจริงๆ และที่ทำงาน) ไปซะแล้ว

ดังนั้น การเตรียมของที่จำเป็นให้พร้อมสำหรับการใช้ชีวิตอยู่บนรถจึงเป็นเรื่องสำคัญอย่างหนึ่งที่ไม่ควรมองข้ามไป วันนี้ Carro ได้พี่หมี GoBear จะมาบอกว่า “6 สิ่งต้องมีในรถ ที่จะทำให้ชีวิตคุณดีขึ้น!” กันค่ะ

1. เอกสารสำคัญต่างๆ

เอกสารสำคัญบางอย่างก็ควรพกติดรถไว้เสมอนะคะ เพราะเมื่อเกิดอุบัติเหตุขึ้น เอกสารเหล่านี้จะเป็นสิ่งจำเป็นในการให้ข้อมูลต่อตำรวจ และบริษัทประกันค่ะ

1) เล่มทะเบียน ควรถ่ายเอกสารหน้าเจ้าของรถกับหน้าที่เราทำการต่อภาษีล่าสุดเก็บไว้ ไม่ควรเก็บตัวจริงไว้กับรถเนื่องจากหากรถหายหรือถูกขโมย เล่มทะเบียนก็จะหายไปด้วย หากมีเจ้าหน้าที่ขอดูแล้วเราไม่มีสำเนาแสดงต่อเจ้าหน้าที่ อาจถูกยึดรถไว้ชั่วคราวเพื่อตรวจสอบ หรือต้องเสียค่าปรับตามพระราชบัญญัติรถยนต์ พ.ศ. 2522 อีกด้วยค่ะ

2) กรมธรรม์ประกันภัย หรือสำเนาการประกันภัยรถยนต์ที่คุณซื้อไว้ เพราะหากเกิดอุบัติเหตุขึ้นมาไม่ว่าเราจะขับไปชนหรือมีอีกฝ่ายมาชนเราก็ตาม นี่คือเอกสารจำเป็นที่ต้องใช้ค่ะ โดยควรเอาเก็บไว้ในที่ๆหาได้ง่ายจะได้หาเจอยามต้องใช้จริงค่ะ

3) ใบอนุญาตขับขี่ นี่ก็สำคัญสุดๆ ควรมีติดรถไว้เช่นกันค่ะ บางคนทำกระเป๋าสตางค์หาย หรือลืมพกไปด้วยบ่อยๆ ก็ใช้วิธีใส่ไว้ในรถนี่แหละ เพราะไม่รู็ว่าเราจะเจอด่านตรวจหรือโดนเรียกขอดูเมื่อไหร่ พกไว้อุ่นใจกว่าแน่นอน

อย่างไรก็ตามอธิบดีกรมขนส่งทางบก ได้แจ้งว่ากำลังทำแอปพลิเคชั่นใบขับขี่ดิจิตัลเพื่อให้ประชนชนสามารถโหลดมาใช้แทนใบขับขี่ได้ โดยจะผูกเข้ากับเบอร์โทรศัพท์ 1 ใบต่อ 1 เลขหมาย  เตรียมเริ่มใช้งานกลางเดือนมกราคม 2562 นี้ ก็ต้องคอยดูกันต่อไปค่ะ ว่าผลจะเป็นเช่นไร หากใช้งานจริงจะได้ผลดีหรือไม่

 

2. แบตเตอรีสำรองหรือ Power Bank

ถึงแม้ว่าเราจะสามารถชาร์จมือถือได้จากที่จุดบุหรี่ในรถก็จริง แต่การชาร์จมือถือในรถนั้นก็มีข้อควรระวังอยู่ นั่นคือกระแสไฟที่จ่ายมาอาจไม่สม่ำเสมอเท่าที่ควร ทำให้เกิดไฟกระชาก ส่งผลเสียทั้งกับแบตเตอรีรถยนต์

ซึ่งอาจทำให้อายุการใช้งานของแบตเตอรีสั้นลง รถสตาร์ทติดยาก และแบตโทรศัพท์มือถือของเราเองด้วย ส่วนช่องเสียบ USB นั้นแทบไม่ต้องพูดถึงเลยค่ะ เพราะกระแสไฟที่จ่ายผ่านทางนี้มีน้อยมาก ถ้าชาร์จโทรศัพท์เครื่องใหญ่หน่อยหรือแท็บเล็ตจะเห็นได้ว่าตัวเลขแบตแทบไม่กระดิกขึ้นมาเลย จึงเหมาะกับการเสียบ USB เพื่อฟังเพลงมากกว่าค่ะ

ดังนั้น การชาร์จจากพาวเวอร์แบงค์ จึงปลอดภัยกว่าแน่นอน แต่ทั้งนี้ก็ไม่ควรวางพาวเวอร์แบงค์ทิ้งไว้ในรถนานๆเช่นกัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อเพื่อนๆต้องจอดรถตากแดดเป็นเวลานาน เพราะอาจเกิดการระเบิดได้ค่ะ

 

3. เงินเหรียญ

การมีเงินเหรียญติดรถไว้ช่วยให้คุณอุ่นใจได้อย่างไม่น่าเชื่อค่ะ เพราะไม่ว่าจะขึ้นทางด่วน เติมลมยาง ให้ทิปเด็กพนักงานเฝ้าที่จอดรถ ซื้อพวงมาลัยหรือกล้วยแขกกลางสี่แยก หรือแม้กระทั่งล้างรถจากตู้แบบหยอดเหรียญก็ตาม นอกจากเศษเหรียญเหล่านี้แล้ว เพื่อนๆยังอาจพกแบงค์ย่อยๆ อย่างแบงค์ยี่สิบ หรือ ห้าสิบติดรถไว้บ้างก็ดีนะคะ แต่อย่าลืมเอาออกจากรถให้เรียบร้อยเวลาไปใช้บริการคาร์แคร์ล่ะ เดี๋ยวที่เก็บเอาไว้หายหมดจะหาว่าไม่เตือน

 

4. มินต์

ใช่ค่ะ อ่านไม่ผิดหรอก “มินต์” เนี่ยแหละ เพราะกลิ่นที่ดีจะช่วยเพิ่มความมั่นใจ ไม่ว่าจะเป็นในรถหรือกลิ่นปากก็ตาม คุณอาจพกลูกอมรสมินต์ปราศจากน้ำตาลไว้ในที่เก็บของหน้ารถหากกังวลเรื่องกลิ่นปาก ส่วนในรถที่เรามักจะเอาการบูรแขวนในรถนั้นอาจไม่ใช่ทางเลือกที่ดีนัก เพราะการบูรมีสารที่มีคุณสมบัติในการดูดความชื้น เมื่อระเหิดจะไปเกาะตรงช่องของเครื่องปรับอากาศ พอสะสมมากๆมากเข้าจะทำให้ช่องตัน คอมเพรสเซอร์แอร์ทำงานหนักมากขึ้น อาจถึงขั้นแอร์พังได้ค่ะ ถ้าหากคุณอยากให้อากาศในรถหอมสดชื่นแล้วล่ะก็อาจใช้เป็นน้ำหอมปรับอากาศรถยนต์กลิ่นมิ้นท์แทนได้ค่ะ

 

5. ชุดปฐมพยาบาล และอุปกรณ์ซ่อมรถ

เพราะเหตุฉุกเฉินไม่คาดฝันอาจเกิดขึ้นได้ทุกเวลา ดังนั้นคุณควรจะมีชุดปฐมพยาบาลติดรถไว้เผื่อในกรณีที่ต้องห้ามเลือก ทำแผล ไปจนถึงชุดยาสามัญประจำบ้านที่สามารถพกไว้ได้ เช่น ยาแก้ท้องเสีย ยาแก้ปวด ยาลดไข้

อย่างไรก็ตามหากเป็นประเภทยาต้องสังเกตด้วยนะคะ ว่าสีและกลิ่นของยามีการเปลี่ยนแปลงไปหรือไม่ ยาบางประเภทต้องเก็บอยู่ในขวดหรือซองสีชาเท่านั้น ไม่เหมาะกับการเก็บในที่ที่มีแดดจ้า โดยเฉพาะหากเราต้องจอดรถจากแดดเป็นกิจวัตร อาจทำให้ยาเสื่อมคุณภาพได้ ควรมีการเอามาตรวจเช็คอยู่เป็นประจำ

นอกจากนี้ยังอาจเพิ่มของกินอื่นๆที่เราคิดว่าจำเป็น เช่น น้ำเปล่า อาหารแห้งอาหารเพิ่มพลังงาน  ของขบเคี้ยวต่างๆติดไว้ สำหรับคนที่เป็นโรคกระเพาะด้วยก็ดีค่ะ

ในส่วนของอุปกรณ์ซ่อมรถนั้น สิ่งของที่จำเป็นต้องมีติดรถไว้ก็มีตั้งแต่ สายพ่วงแบตเตอรี่รถยนต์ ไฟฉาย ป้ายสามเหลี่ยมสะท้อนแสง ชุดปั๊มลมและอุดยางรั่วฉุกเฉิน ยางอะไหล่ สลิงหรือเชือกสำหรับลากรถ เป็นต้น

 

6. เพลย์ลิสต์เพลงโปรดของคุณ

เชื่อไหมค่ะว่า เพลง เป็นสิ่งหนึ่งที่ช่วนบรรเทาความตึงเครียดได้เป็นอย่างดี และยังมีประโยชน์ที่คุณคาดไม่ถึงเมื่อฟังขณะขับรถได้อีกด้วย โดยมีงานวิจัยการฟังเพลงขณะขับรถจากมหาวิทยาลัย Groningen มหาวิทยาลัยเก่าแก่ที่สุดในเนเธอร์แลนด์ระบุว่า อาสาสมัครอายุตั้งแต่ 19-25 ปีจำนวน 47 คน ได้รับคำสั่งให้เลือกเพลงที่จะนำมาฟังขณะขับรถด้วยตนเอง โดยทำการทดลองทั้งสิ้น 3 รอบ รอบแรกขับไปพร้อมกับเปิดเพลงเสียงดัง รอบที่สองเปิดเพลงเสียงดังปานกลาง และรอบสุดท้ายขับรถโดยไม่เปิดเพลงเลย

พบว่า  อาสาสมัครทุกคนเมื่อฟังเพลงขณะขับรถจากเพลย์ลิสต์ที่ตนเลือกเอง (ทั้งป๊อบ ร็อค แจ๊ส คลาสสิค ฯลฯ) จะมีปฏิกิริยาตอบสนองต่อสภาพถนนไม่ว่าจะขณะที่มีการจราจรคับคั่งในเขตเมืองหรือการขับรถทางไกลได้อย่างรวดเร็วมากกว่ารอบที่ขับรถโดยไม่เปิดเพลง โดยวัดจากอัตราการเต้นต่อหัวใจ ซึ่งเสียงเพลงที่เปิดไว้ขณะขับรถนั้นทำหน้าที่เป็นตัวช่วยให้สมองตื่นตัว ไม่รู้สึกเบื่อ และยังช่วยให้มีสมาธิในการขับรถได้ดีขึ้นอีกด้วยค่ะ

เป็นอย่างไรกันบ้างค่ะ สำหรับ 6 สิ่งที่ต้องมีในรถ ที่ทางพี่หมี GoBear แนะนำกันไป มีข้อไหนที่ตรงใจเพื่อนๆบ้างไหมค่ะ ซึ่งสิ่งสำคัญที่สุดที่เราต้องมีทุกครั้งขณะขับรถก็คือ “สติ” นั่นเอง อย่างไรก็ตาม การทำประกันรถยนต์ไว้ก็เป็นตัวช่วยหนึ่งที่จะช่วยให้เราอุ่นใจได้เมื่ออุบัติเหตุหรือเหตุการณ์ไม่คาดฝันขึ้นได้ค่ะ

ขอบคุณข้อมูลจาก GoBear