Buy-Secondhand-Cars-And-Vat

เรื่อง “ภาษี” ถ้าคนที่ไม่คุ้นชิน มักจะมีอะไรที่ชวนให้งงอยู่เสมอ … แม้กระทั่งการซื้อ-ขายรถ ก็เช่นกัน เป็นที่ทราบกันดีอยู่แล้ว ถ้าหากคุณซื้อรถมือหนึ่งจากโชว์รูม ไม่ว่าจะจ่ายด้วยเงินสด หรือจะผ่อนดาวน์ก็แล้วแต่ ล้วนถูกหักภาษี ณ ที่จ่าย หรือ “VAT 7%” ด้วยกันทั้งสิ้น

แต่ถ้าซื้อรถมือสองล่ะ บางคนบอกว่า ฉันซื้อมา ไม่เห็นต้องเสียภาษีอะไรเลย แต่บางคนก็บอกว่าซื้อมาแล้ว ต้องเสียภาษี VAT 7% ด้วย!

CARRO จะมาเล่าให้ฟังครับ ว่าทำไม ซื้อรถมือสอง ถึงมีทั้งคนที่ต้องเสียภาษี และไม่ต้องเสียภาษี ครับ.

Buy-Secondhand-cars-And-VAT-Tax

VAT (Value Added Tax) คือ ภาษีมูลค่าเพิ่ม ที่ปัจจุบันเราจ่ายภาษีมูลค่าเพิ่มอยู่ในอัตราคงที่ 7% (ซึ่งคำนวณมาจากภาษีมูลค่าเพิ่ม 6.3% + ภาษีท้องถิ่น 0.7%) เกิดขึ้นเมื่อมีการซื้อขาย จะกี่ครั้งก็ตาม ผู้ขายจะต้องมีหน้าที่นำเงินส่ง กรมสรรพากร ครับ

ซื้อรถมือสอง หากคุณซื้อรถระหว่าง “บุคคลธรรมดา” ในกรณีนี้ “ไม่ต้องเสียภาษี”

เพราะจัดว่า บุคคลธรรมดา ได้ขายสินค้าที่เป็นทรัพย์สินสิ่งของใช้ส่วนตัว หากการขายรถดังกล่าว ไม่ได้กระทำไปในทางธุรกิจหรือวิชาชีพ ก็ไม่ต้องเสียภาษีมูลค่าเพิ่ม ส่วนคนที่ซื้อรถไปก็เสียแต่ค่าโอนรถ + ค่าอากรแสตมป์แค่นั้นครับ

และในส่วนของ ผู้ขายรถ (ที่เป็นบุคคลธรรมดา) ทางกรมสรรพากร กำหนดให้ผู้มีเงินได้ได้รับยกเว้น ไม่ต้องนำมารวมคำนวณเพื่อเสียภาษีเงินได้ประจำปี ตามมาตรา 42 (9) แห่งประมวลรัษฎากร ก็คือ ขายรถได้เท่าไหร่ รับเงินเข้ากระเป๋าลูกเดียว ไม่ต้องจ่ายภาษีครับ

กรณีที่คุณซื้อกับเต็นท์รถ บริษัท หรือจากบุคคลที่ใช้ในการประกอบกิจการและเป็นผู้ประกอบการจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่ม อันนี้ล่ะครับ ที่ “ต้องเสียภาษี”

เช่น เต็นท์รถที่คุณไปซื้อ เขาจดทะเบียนในรูปแบบบริษัทจำกัด หรือในรูปแบบ ห้างหุ้นส่วนจำกัด, ห้างหุ้นส่วนสามัญ และ ห้างหุ้นส่วนสามัญนิติบุคคล ซึ่งราคารถที่เขาลงประกาศนั้น หากมีการลงบัญชีเข้าในบริษัทแล้ว ก็ย่อมรวมภาษีมูลค่าเพิ่ม (หรือ VAT 7%) เข้าไปเรียบร้อยแล้วนั่นเอง …

Buy-Secondhand-cars-And-VAT-Tax

ยกตัวอย่างเช่น รถมือสองที่คุณกำลังจะซื้อราคา 400,000 บาท บวกกับ VAT 7% ของราคารถเท่ากับ 28,000 บาท ดังนั้นราคาตัวรถจริงๆ ที่คุณจะต้องจ่าย นั่นคือ 400,000 + 28,000 = 428,000 บาท

ไม่ว่าจะซื้อสด หรือซื้อผ่อน ก็ต้องเสียภาษีมูลค่าเพิ่มครับ แต่โดยมากแล้ว ทางเต็นท์ก็จะมีวิธีการจัดการเอา เราก็อาจไม่ต้องเสียภาษีครับ

หรือยกเว้นว่า เป็นรถฝากขาย เต็นท์รถจะให้ผู้ฝากขายรถโอนลอย เมื่อมีคนมาซื้อไป หรือรถบ้าน ที่ผู้ซื้อผู้ขายตกลงไปซื้อกันเอง อย่างนี้ไม่เสียภาษี

Buy-Secondhand-cars-And-VAT-Tax

อีกกรณีหนึ่ง รถที่เต็นท์ไปประมูลมาจากบริษัทประมูล เขาบวกภาษีมูลค่าเพิ่มมาเรียบร้อยแล้ว พอทางเต็นท์นำรถมาขาย เขาจึงต้องบวกภาษีมูลค่าเพิ่มเข้าไปอีกต่อหนึ่ง เท่ากับว่า รถคันนี้เสียภาษีมาแล้วสองต่อ ทำให้ราคาสุทธิแพงขึ้น ถ้าเทียบกับซื้อต่อจากบุคคลธรรมดา

ถ้าหากนำรถไปจัดไฟแนนซ์ด้วยแล้ว ก็ยังต้องเสีย VAT 7% เพิ่มอีกเช่นกันครับ

ส่วนใครที่อยากขายรถ หรือมีเพื่อนฝูงกำลังหาที่ขายรถอยู่ CARRO เรารับซื้อรถของคุณ สามารถเข้าไปเช็กราคา ตีราคาขายรถก่อนได้ โดยใส่ข้อมูลรถของคุณที่นี่เลย กับ CARRO Express > https://th.carro.co/sell-car/express หรือโทร. 02-508-8425

หรือใครจะ Inbox มาสอบถามก็ได้เช่นกัน ที่ Facebook CARRO Thailand หรือสะดวก Add Line ก็ที่ @Carrothailand หรือคลิกที่นี่ครับ —> เพิ่มเพื่อน

เหตผลที่ควรซื้อรรถใหม่

รถคันใหม่ คุณควรซื้อหรือไม่ซื้อดี ?

ไม่ว่าจะเป็นเสียงแปลกๆ หรือกลิ่นที่เข้ามาในรถ สิ่งเหล่านี้ไม่ได้มาจากสภาพแวดล้อมภายนอกเสมอไปนะคะ อาจเป็นสัญญาณเตือนจากรถของเราที่กำลังขับอยู่ก็ได้ ตลอดจนการปิดวิทยุ และลองฟังเสียงเครื่องยนต์ขณะรอสัญญาณไฟก็ตาม ความสามารถในการรับรู้สิ่งแปลกๆ แม้จะเรื่องเล็กน้อยเหล่านี้ ก็ถือเป็นสัญชาติญาณของคนขับรถที่มีความสำคัญสูงสุดต่อความปลอดภัยในการขับขี่ของคุณไม่น้อยเลยทีเดียว

และต่อไปนี้คือสัญญาณสำคัญ 5 อย่าง ที่เป็นเครื่องเตือนว่า อาจถึงเวลาที่ต้องเสียเงินซื้อรถใหม่แล้วก็เป็นได้ค่ะ

ถึงเวลาเสียเงิน! 5 สัญญาณบ่งบอกว่าคุณควรซื้อรถใหม่ 1

1. สัญญาณไฟตรงแผงควบคุม

เคยสังเกตสัญลักษณ์ต่างๆตรงแผงควบคุม หรือคอนโซลรถกันบ้างไหมค่ะ สัญลักษณ์ต่างๆเหล่านี้ล้วนมีความหมายแตกต่างกันออกไปตามแต่ละส่วนประกอบของรถและเครื่องยนต์

ซึ่งตามปกติแล้วหากรถของเรายังทำงานได้ดี สัญญาณไฟหน้ารถพวกนี้จะติดเมื่อเราสตาร์ทเครื่อง และดับลงภายในระยะเวลาอันรวดเร็ว หรือไม่ก็ขึ้นเป็นสีเขียวหากเรากำลังใช้งานฟังก์ชั่นการทำงานนั้นอยู่ แต่หากตรงบริเวณไหนที่ยังมีสัญญาณเตือนเป็นสีเหลือง หมายความว่าเรายังขับต่อได้อยู่ แต่ให้เตรียมจัดสรรเวลาเอารถเข้าตรวจสอบสภาพด้วยค่ะ และหากสัญลักษณ์ตรงไหนเป็นสีแดงขึ้นมาล่ะก็ ถือเป็นสัญญาณอันตรายแล้วนะคะ

 

2. มีเสียงดังแปลกๆ

ปกติแล้วหากไม่มีปัญหาอะไร เสียงต่างๆที่เกิดขึ้นระหว่างขับรถควรจะเงียบเชียบ และขับได้อย่างนุ่มนวลราบรื่น แต่หากเพื่อนๆได้ยินเสียงดังในรถ และเป็นเสียงที่แปลกไปจากปกติซึ่งไม่เคยได้ยินมาก่อน อาจเป็นไปได้ว่าเกิดปัญหากับกระบอกสูบเครื่องยนต์ หรือบริเวณอื่นๆ

ซึ่งข้อผิดพลาดดังกล่าวอาจนำไปสู่สถานการณ์ที่เป็นอันตรายได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากเรายังละเลยปัญหา และขับรถต่อไป หากคุณได้ยินเสียงขูดขณะสตาร์ทเครื่องยนต์ เป็นไปได้ว่าระบบไฟอาจถูกทำลาย และควรได้รับการซ่อมแซมหรือเปลี่ยนใหม่ค่ะ

 

3. มีกลิ่นไม่พึงประสงค์

กลิ่นแปลกๆ บางครั้งก็เป็นสัญญาณเตือนที่มาจากรถเราได้เช่นกันค่ะ อาจเริ่มตรวจสอบจากถังน้ำมัน และระบบท่อไอเสีย เพราะหากบริเวณนี้ผิดปกติขึ้นมา ก็จะมีกลิ่นเกิดขึ้นได้ แนะนำว่าให้เปิดหน้าต่างรถไว้ และไม่ควรฝืนขับไปไกลจนถึงจุดหมาย แม้กระทั่งกลิ่นหวานๆ เหมือนน้ำเชื่อม ก็เป็นไปได้ว่าถังพักน้ำหล่อเย็นอาจรั่ว

นอกจากนี้กลิ่นของยางไหม้ อาจหมายความว่าสายพานเลื่อน ท่อลมยางหลวม หรืออาจจะมีถุงพลาสติกไปติดอยู่ใต้เครื่องก็เป็นได้ค่ะ

ถึงเวลาเสียเงิน! 5 สัญญาณบ่งบอกว่าคุณควรซื้อรถใหม่ 1

4. ควันจากท่อไอเสีย

ควันจากท่อไอเสียรถเป็นเรื่องที่คนมักมองข้ามไป ในการจะตรวจเช็กว่ารถของเรายังปกติดีอยู่หรือเปล่า ซึ่งเราสามารถสังเกตความผิดปกติได้จากสีของควันที่ปล่อยออกมาค่ะ เพราะถึงแม้จะเป็นท่อไอเสียก็ตาม แต่เมื่อรถเราปกติ ควันที่ถูกปล่อยออกมาจะเป็นแบบไร้สี

แต่หากพบว่าควันที่ถูกปล่อยออกมา เป็นควันฉุยๆสีฟ้าอ่อน และมีกลิ่นแสบจมูก อาจเกิดจากน้ำมันเครื่องเล็ดเข้าไปในส่วนหัวลูกสูบ ทำให้ถูกเผาไหม้ออกมาพร้อมกับไอเสีย หรือเกิดจากการสึกหรอของแหวนลูกสูบ

และหากมีควันสีขาว แต่ไม่มีกลิ่นออกมา อาจหมายถึงระบบหล่อเย็นของเครื่องยนต์มีปัญหา น้ำเล็ดรอดเข้าห้องเผาไหม้ และเผาออกมาเป็นไอน้ำ กรณีร้ายแรงที่สุดคือน้ำไปปนเข้ากับน้ำมันเครื่อง ทำให้น้ำมันเครื่องเป็นโคลน และเครื่องยนต์น็อกได้ค่ะ

 

5. เครื่องยนต์กระตุก เดินสะดุดไม่เรียบ

กรณีที่เครื่องยต์กระตุก หรือเกิดอาการสะอึกนั้น อาจมีหลายสาเหตุด้วยกัน สำหรับรถรุ่นเก่าที่เครื่องยนต์ใช้คาบูเรเตอร์ อาจเกิดจากการไม่สัมพันธ์กันระหว่างน้ำมันและการจูนอากาศ หรือปลั๊กไฟบริเวณหัวเทียนหลวม หัวเทียนอาจจะบอดหรือเสียก็ได้ค่ะ  นอกจากนี้ตัวกรองอากาศอาจจะมีสิ่งสกปรกอุดตัน หรือแม้กระทั่งน้ำมันที่เติมไม่มีคุณภาพพอค่ะ

จากสัญญาณทั้ง 5 อย่างที่เราแนะนำมาในวันนี้ ก็เป็นสิ่งที่หนึ่งที่ช่วยเตือนเพื่อนๆให้ถึงเวลานำรถเข้าศูนย์ หรือไปซ่อมกับช่างที่ไว้ใจได้ก่อนค่ะ และหากประเมินแล้วว่า ค่าซ่อมดูจะหนักหนาสาหัสมากกว่าจนดูเหมือนไม่คุ้ม การอัพเกรดรถหรือซื้อรถใหม่ก็อาจเป็นอีกทางหนึ่งที่น่าสนใจกว่าค่ะ

ขอบคุณข้อมูลจาก GoBear

frankxcarro

ก่อนตัดสินใจซื้อประกันรถออนไลน์ ต้องเช็กสิ่งเหล่านี้ก่อน!

กับการใช้ชีวิตยุคนี้สมัยนี้สมาร์ทโฟนและสื่อดิจิทัลเป็นสิ่งที่สำคัญกับชีวิตเลยล่ะ ด้วยวิถีชีวิตที่เปลี่ยนไปอย่างเห็นได้ชัด เช่น การซื้อของออนไลน์ส่งถึงบ้าน และการซื้อประกันออนไลน์ที่อ่านกรมธรรม์ธรรม์ผ่านหน้าจอ และซื้อทันทีผ่านปลายนิ้วสัมผัส

โดยเฉพาะวันนี้ที่มีโบรกเกอร์ประกันภัยมากมายหลายแบรนด์ผุดเป็นดอกเห็ด การเลือกซื้อประกันดี ๆ สักกรมธรรม์ในยุค InsurTech ป็อปปูล่าเช่นนี้ เราควรพิจารณาเลือกซื้อประกันออนไลน์จากอะไรกันนะ ?

1. ดูจากความน่าเชื่อถือเป็นหลัก

เมื่อการซื้อประกันออนไลน์ไม่ใช่เรื่องน่ากลัว แต่ใกล้ตัวกว่าที่คิด ด้วยข้อดีเพราะไม่ยุ่งยากสะดวกสบาย ช่วยประหยัดเวลา สามารถซื้อได้ทันทีไม่ต้องออกจากบ้าน  หากคุณกำลังมองหาประกันรถยนต์ ประกันรถมอเตอร์ไซค์ ประกันการเดินทาง ประกันอุบัติเหตุ หรือการซื้อประกันชีวิต คุณควรมองหาประกันออนไลน์ที่มีความน่าเชื่อถือเป็นหลักครับ

แล้วจะรู้ได้ไงว่าเว็บไซต์นั้นน่าเชื่อถือ ?

สังเกตง่าย ๆ เลยบนเว็บไซต์ประกันออนไลน์นั้น ๆ จะแสดงเลขที่ใบอนุญาตตัวแทนนายหน้าประกันวินาศภัยจากสำนักงานคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย (ค.ป.ภ.) ตามพระราชบัญญัติประกันวินาศภัย พ.ศ. 2535 ให้ชัดเจน (OIC license for non-life insurance registration number) เพราะเป็นเครื่องหมายการันตีให้ชัดเจนว่าน่าเชื่อถือ มีการการันตีจากหน่วยงานภาครัฐเป็นหลัก  ยกตัวอย่างเว็บไซต์ Frank.co.th ที่ระบุไว้อย่างชัดเจนบนหน้าเว็บไซต์

“OIC license for non-life insurance registration number : 00017/2559” ดังเช่นในภาพ

สิ่งที่ต้องมองหาก่อนซื้อประกันออนไลน์ผ่านโบรกเกอร์02

2. เว็บไซต์ต้องมีรายละเอียดครบครัน ไม่มีประวัติเสีย

ความครบเครื่อง ครบครัน !! เว็บไซต์ประกันออนไลน์นั้น ๆ จะต้องบอกเล่ารายละเอียด เงื่อนไขให้ครบถ้วน เข้าใจง่ายไม่มีหมกเม็ดและต้องเคลมง่ายด้วยครับ เช่น ประกันรถยนต์ Frank.co.th ที่บอกเล่าความคุ้มครองประกันชั้น 1 ประกันชั้น 2+ ประกันชั้น 2 และประกันชั้น 3 อย่างละเอียดถี่ถ้วน และอย่าลืมเช็กประวัติของเว็บไซต์บริการประกันออนไลน์นั้น ๆ ด้วยนะ สามารถเสิร์ซหาง่าย ๆ จาก Google เพื่อดูว่า บริษัทฯ นั้น ๆ ให้บริการเป็นอย่างไร ดูแลลูกค้าดีแค่ไหน มีประวัติเสียมาก่อนหน้านี้หรือไม่ การเช็กรีวิวจากลูกค้าด้วยกันจะช่วยให้คุณตัดสินใจได้เป็นอย่างดีครับ

3. ใส่ใจบริการหลังการขาย

ซื้อประกันออนไลน์จะให้ดีจะต้องมีบริการหลังการขายที่ครบครัน จริง ๆ แล้วการซื้อประกันคือการซื้อความคุ้มครองในการใช้ชีวิตประจำวัน ดังนั้น ควรมีช่องทางการโทร หรือติดต่อง่ายดาย รวมทั้งบริการในช่องทางอื่น ๆ ที่ดูแลด้วยใจจริง เช่น เมื่อเราต้องการคำตอบ แชทเข้าไลน์แอด (Line@) ทางบริษัทฯ ประกันนั้น ๆ ก็ตอบได้อย่างรวดเร็วทันที ช่วยเหลือทันการตรงนี้เป็นสิ่งที่ต้องพิจารณา

4. ต้องมีสิทธิพิเศษสำหรับลูกค้า

ความดีงามของการซื้อประกันออนไลน์ คุณจะได้รับราคาที่คุ้มค่า การคุ้มครองที่มาพร้อมกับสิทธิพิเศษที่ได้รับมาด้วย เป็นสิ่งที่คุณต้องพิจารณาด้วยเช่นกัน เช่น ส่วนลด ของแถม หรือบริการอื่น ๆ เพิ่มเติม ยกตัวอย่างให้เห็นภาพชัด ๆ จากบริการ Frank.co.th ที่มีสิทธิพิเศษ Penguin Privileges มอบดีลพิเศษให้เสมอ และทั้งหมดนี้ก็เป็นทริคการเลือกประกันออนไลน์แบบคร่าว ๆ ที่นำมาเล่าสู่กันฟัง เพื่อประกอบการตัดสินใจซื้อประกันให้ง่ายขึ้นนั้นเองล่ะ

 

ขอบคุณข้อมูลจาก frank.co.th

 

10-Secondhand-SUV-MPV-In-Price-500000-Baht

ตลาดรถป้ายแดง หรือรถมือสองในบ้านเราตอนนี้ ถ้าจะพูดรถที่ได้รับความนิยมมากๆ จากผู้ใช้รถ คงต้องยกให้ รถ “SUV” และ “MPV” ที่ใช้งานได้สารพัดรูปแบบ นั่งได้หลายคน รับกับไลฟ์สไตล์คนยุคใหม่ ลุยน้ำได้ ผู้สูงวัยนั่งด้านหลังได้สบายๆ หรือจะขนสัมภาระมากๆ ก็ได้

แต่ถ้าคุณมีงบประมาณซื้อจำกัดล่ะ? สมมติว่า งบคุณมีอยู่ 5 แสนบาท จะตัดสินใจเลือกรุ่นไหนที่คุณคิดว่าโดนใจ และซื้อมาใช้ น่าจะคุ้มค่าลงตัวที่สุด รวมถึงกันเงินส่วนหนึ่ง ใช้ซ่อมแซมตัวรถด้วย

CARRO ขอรวบรวมข้อมูลรถ 7 ที่นั่ง มือสอง 10 รุ่น มีทั้งแบบ SUV และ MPV ในงบไม่เกิน “5 แสนบาท” ว่าจะมีรุ่นไหนน่าสนใจบ้าง ไปอ่านได้เลยครับ.

Toyota-Wish-2005

1. Toyota Wish

ราคามือสอง (ปี 2563) : 180,000 – 300,000 บาท

Toyota Wish (โตโยต้า วิช) เป็นรุ่นแรก และรุ่นเดียวที่ขายในไทย ถือเป็นรถ MPV ขนาด 6-7 ที่นั่งที่ขายดีมากในช่วงเปิดตัว ตัวรถดีไซน์ออกไปในทางสปอร์ต ภายในโทนสีดำดูหรูหรา ช่วงล่างแน่นหนึบแบบสปอร์ต แต่ข้อเสียก็อาจจะมีตรงที่ไม่มีแอร์ที่นั่งแถวที่ 3 และช่วงล่างที่กระด้างไปหน่อย

Toyota Wish มีจุดเด่นตรงที่ใช้เครื่องยนต์ขนาด 2.0 ลิตร รหัส 1AZ-FE แบบ 4 สูบ DOHC 16 วาล์ว VVT-i แบบเดียวกับในรุ่น Camry ให้แรงม้าสูงสุด 150 แรงม้า ที่ 6,000 รอบ/นาที และแรงบิดสูงสุด 19.6 กก.-ม. (192 นิวตัน-เมตร) ที่ 4,000 รอบ/นาที ส่งกำลังผ่านเกียร์อัตโนมัติ 4 สปีด Super ECT + Sport Sequential

Toyota-Innova-2009

2. Toyota Innova

ราคามือสอง (ปี 2563) : 200,000 – 500,000 บาท

Toyota Innova (โตโยต้า อินโนวา) เป็นรถ MPV แบบ 7 และ 8 ที่นั่ง ที่ได้รับความนิยมในตลาดพอสมควร มีข้อดีคือใช้โครงสร้างพื้นฐานเดียวกับกระบะ Hilux Vigo ใช้อะไหล่เครื่องยนต์ และอะไหล่ตัวรถบางชิ้นร่วมกันได้ ห้องโดยสารกว้างขวางนั่งสบาย เหมาะสำหรับคนที่มีครอบครัว มีลูก 2-3 คน และเบาะแถวสามมีช่องแอร์มาให้ ส่วนข้อเสียคือ ถ้านั่งกันมากๆ รุ่นเครื่องยนต์เบนซินจะกินน้ำมันมากหน่อย และค่อนข้างอืด (แต่ไปติดแก๊ส LPG ได้)

มาพร้อมเครื่องยนต์เบนซินขนาด 2.0 ลิตร รหัส 1TR-FE แบบ 4 สูบ DOHC 16 วาล์ว VVT-i ให้แรงม้าสูงสุด 136 แรงม้า ที่ 5,600 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 18.6 กก.-ม. (182 นิวตัน-เมตร) ที่ 4,000 รอบ/นาที ส่งกำลังผ่านเกียร์ธรรมดา 5 สปีด และเกียร์อัตโนมัติ 4 สปีด

และเครื่องยนต์ดีเซลขนาด 2.5 ลิตร รหัส 2KD-FTV แบบ 4 สูบ DOHC 16 วาล์ว D4-D Turbo ให้แรงม้าสูงสุด 102 แรงม้า ที่ 3,600 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 26.5 กก.-ม. (260 นิวตัน-เมตร) ที่ 1,600-2,400 รอบ/นาที ส่งกำลังผ่านเกียร์อัตโนมัติ 4 สปีด

Toyota-Fortuner-2008

3. Toyota Fortuner

ราคามือสอง (ปี 2563) : 320,000 – 500,000 บาท +

Toyota Fortuner (โตโยต้า ฟอร์จูนเนอร์) ถือเป็นรถมือสองราคาขายต่อดีสุดรุ่นหนึ่งสำหรับรถประเภทนี้ เครื่องยนต์ดีเซลแรงดี เบาะนั่งแถวที่ 3 นั่งสบาย ผู้ใหญ่นั่งได้ อะไหล่หาง่าย ศูนย์บริการมีเยอะ ถ้าอยากได้รุ่นนี้ ในงบไม่เกิน 5 แสนบาท +- อาจจะได้รถที่ปีเก่าหน่อย สภาพอาจจะมีช้ำบ้าง

โฉมแรก มีให้เลือก 3 รุ่น คือดีเซล 1KD-FTV เกียร์ธรรมดา / เกียร์ออโต้ และ เบนซิน 2.7 ลิตร รหัส 2TR-FE เกียร์ออโต้ ช่วงประมาณปี 2555 ได้เปลี่ยนเกียร์อัตโนมัติลูกใหม่ เฉพาะรุ่นดีเซลเปลี่ยนจากเดิม 4 สปีด เป็น 5 สปีด

Fortuner มีเครื่องยนต์ให้เลือก ดังนี้ ….. ดีเซลขนาด 3.0 ลิตร รหัส 1KD-FTV แบบ 4 สูบ DOHC 16 วาล์ว VN Turbo Intercooler Commonrail ให้แรงม้าสูงสุด 163 แรงม้า ที่ 3,400 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 343 นิวตัน-เมตร ที่ 1,400 – 3,200 รอบ/นาที (รุ่นปี 2554 ปรับแรงม้าขึ้นเป็น 171 แรงม้า)

ดีเซลขนาด 2.5 ลิตร รหัส 2KD-FTV แบบ 4 สูบ DOHC 16 วาล์ว VN Turbo Intercooler Commonrail ให้แรงม้าสูงสุด 144 แรงม้า ที่ 3,400 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 343 นิวตัน-เมตร ที่ 3,800 รอบ/นาที (มาในปลายปี 2552) (รุ่นปี 2554 ขยับแรงบิดขึ้นเป็น 1,600 – 2,800 รอบ/นาที)

และเบนซินขนาด 2.7 ลิตร รหัส 2TR-FE แบบ 4 สูบ DOHC 16 วาล์ว VVT-i ให้แรงม้าสูงสุด 160 แรงม้า ที่ 5,200 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 241 นิวตัน-เมตร ที่ 3,800 รอบ/นาที

Honda-Mobilio-2014

4. Honda Mobilio

ราคามือสอง (ปี 2563) : 350,000 – 500,000 บาท +

Honda Mobilio (ฮอนด้า โมบิลิโอ) รถแบบ Sub-Compact SUV ที่พัฒนาจากพื้นฐานของ Brio ยืดระยะฐานล้อให้ยาวขึ้น จัดเป็นรถอเนกประสงค์ของ Honda รุ่นแรก ที่ผลิตในประเทศไทย และเปิดตัวในปี 2557 ชูจุดเด่นห้องโดยสารกว้างสะดวกสบาย กับเบาะนั่ง 3 แถว 7 ที่นั่ง แต่บางคนก็อาจจะไม่ชอบรูปทรง ไม่ชอบแผงคอนโซลภายใน ดูแล้วเหมาะกับคนวัย 30+ ซื้อมาใช้มากกว่า ก็ว่ากันไป …

มาพร้อมเครื่องยนต์ขนาด 1.5 ลิตร จากในรุ่น City และ Jazz แบบ SOHC 4 สูบ 16 วาล์ว i-VTEC พ่วงด้วยเกียร์อัตโนมัติ CVT ใหม่ ให้แรงม้าสูงสุด 120 แรงม้า ที่ 6,600 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 145 นิวตัน-เมตร ที่ 4,600 รอบ/นาที ให้สมรรถนะดี ประหยัดน้ำมัน และเครื่องยนต์ที่ให้แรงม้ามากที่สุดในกลุ่มด้วย

Honda-Freed-2009

5. Honda Freed

ราคามือสอง (ปี 2563) : 370,000 – 500,000 บาท +

Honda Freed (ฮอนด้า ฟรีด) เป็นรถแบบ Minivan MPV เกิดจากการที่ Honda ได้นำเข้า Honda Freed จากอินโดนีเซียเข้ามาลุยตลาดนี้ ในช่วงปลายปี 2552 มาพร้อมกับจุดเด่นที่ประตูด้านข้างแบบบานเลื่อน ซึ่งเหมาะมากๆ กับการให้เด็ก และผู้สูงอายุ ขึ้น-ลง จากรถ ภายในห้องโดยสารดูอบอุ่น ชุดคอนโซลแบบ Open Cafe แบบ 2 ชั้น กว้าง ใช้งานได้หลากหลาย จะวางอาหาร หรือเครื่องดื่มก็ได้ เบาะปรับได้อย่างอิสระ นั่งได้สบายๆ พร้อมแอร์แถวที่ 3 และที่วางสัมภาระท้ายพื้นเรียบแบบ Flat Floor

ใช้เครื่องยนต์ขนาด 1.5 ลิตร แบบ 4 สูบ SOHC 16 วาล์ว i-VTEC ให้แรงม้าสูงสุด 118 แรงม้า ที่ 6,600 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 144 นิวตัน-เมตร ที่ 4,800 รอบ/นาที ซึ่งเป็นเครื่องยนต์เดียวกันกับ City และ Jazz แต่เครื่องยนต์ให้แรงบิดสูงกว่า ส่งกำลังผ่านเกียร์อัตโนมัติ 5 สปีด

Mitsubishi-Space-Wagon-2011

6. Mitsubishi Space Wagon

ราคามือสอง (ปี 2563) : 230,000 – 350,000 บาท

Mitsubishi Space Wagon (มิตซูบิชิ สเปซแวกอน) เกิดมาในช่วงที่ตลาดรถ MPV บ้านเรากำลังคึกคัก ในช่วงปลายปี 2547 เป็น Mid-Size Minivan ที่ใหญ่กว่าคู่แข่ง ซึ่งก็ทำให้เบาะนั่งแถวที่ 3 นั่งสบายมากกว่าอีกด้วย และเครื่องยนต์ก็โตกว่าอีกด้วย แต่ข้อเสียก็อาจจะเป็นที่กินน้ำมันมาก

ใช้เครื่องยนต์ขนาด 2.4 ลิตร รหัส 4G69 แบบ 4 สูบ SOHC 16 วาล์ว MIVEC ให้แรงม้าสูงสุด 165 แรงม้า ที่ 6,000 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 22.1 กก.-ม. (224 นิวตัน-เมตร) ที่ 4,000 รอบ/นาที ส่งกำลังผ่านเกียร์อัตโนมัติ 4 สปีด INVECS-II

Mitsubishi-Pajero-Sport-2011

7. Mitsubishi Pajero Sport

ราคามือสอง (ปี 2563) : 330,000 – 500,000 บาท +

Mitsubishi Pajero Sport (มิตซูบิชิ ปาเจโร สปอร์ต) เป็นอีกหนึ่งรถ PPV ยอดนิยมอีกหนึ่งรุ่น แต่ถ้าพูดถึงในงบไม่เกิน 5 แสนบาท ก็จะได้รถปีเก่าๆ หน่อย (เพราะราคาเริ่มต้นก็อยู่ที่ประมาณ 4 แสนกลางๆ แล้ว) เปิดตัวมาในปี 2551 ด้วยรูปโฉมครึ่งหน้าที่ดูคล้ายกับ Triton มีจุดเด่นอยู่ที่ช่วงล่างแน่น เครื่องยนต์แรง ห้องโดยสารภายในกว้างขวาง

สำหรับเครื่องยนต์ มีให้เลือกทั้งแบบเบนซิน และดีเซล โดยแบบเบนซินขนาด 2.4 ลิตร รหัส 4G64 แบบ 4 สูบ DOHC 16 วาล์ว ให้แรงม้าสูงสุด 128 แรงม้า ที่ 5,250 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 194 นิวตัน-เมตร ที่ 4,000 รอบ/นาที ส่งกำลังผ่านเกียร์ธรรมดา 5 สปีด และเกียร์อัตโนมัติ 5 สปีด

และแบบดีเซลขนาด 2.5 ลิตร รหัส 4D56 แบบ 4 สูบ DOHC 16 วาล์ว VG Turbo Intercooler ให้แรงม้าสูงสุด 178 แรงม้า ที่ 4,000 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 350 นิวตัน-เมตร ที่ 1,800 – 3,500 รอบ/นาที ส่งกำลังผ่านเกียร์ธรรมดา 5 สปีด และเกียร์อัตโนมัติ 5 สปีด

ส่วนรุ่นใหญ่อย่าง V6 ขนาด 3.0 ลิตร รหัส 6B31 แบบ V6 SOHC 24 วาล์ว ให้แรงม้าสูงสุด 219 แรงม้า ที่ 6,250 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 281 นิวตัน-เมตร ที่ 4,000 รอบ/นาที ส่งกำลังผ่านเกียร์ธรรมดา 5 สปีด (เฉพาะรุ่น 2.4 ลิตร) และเกียร์อัตโนมัติ 5 สปีด Invecs-II

Isuzu-MU-7-2004

8. Isuzu MU-7

ราคามือสอง (ปี 2563) : 220,000 – 500,000 บาท

Isuzu MU-7 (อีซูซุ มิว-เซเว่น) รูปทรงภายนอก อาจจะดูเหมือน D-Max ซะมาก แต่ MU-7 ก็ขยันปรับโฉมกันแทบทุกปี ตั้งแต่รุ่น Gold Series, Platinum Series รวมไปถึงรุ่นพิเศษอย่างรุ่น Limited, Executive, Groove หรือ Choiz เป็นต้น

จุดเด่นอยู่ที่ห้องโดยสารกว้างขวาง เครื่องยนต์ทนทาน ประหยัด และศูนย์บริการดี แต่ข้อเสียก็มีตรงอะไหล่มือสองบางอย่าง ไม่แพร่หลายนัก เบาะแถว 3 ที่เด็กนั่งน่าจะเหมาะกว่า (ผู้ใหญ่นั่งแล้วเหมือนยกขา) กับคานค้ำหลังคากระจกหน้าด้านคนขับขวามือ เป็นมุมอับเวลาเลี้ยว เป็นต้น

ใช้เครื่องยนต์ I-TEQ 3000 Ddi ขนาด 3.0 ลิตร รหัส 4JJ1-TC แบบ 4 สูบ 16 วาล์ว Super Commonrail Turbo Intercooler ให้แรงม้าสูงสุด 146 แรงม้า ที่ 3,600 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 294 นิวตัน-เมตร ที่ 1,400-3,400 รอบ/นาที

ต่อมา เปลี่ยนเครื่องยนต์เป็นขนาด 3.0 ลิตร รหัส 4 JJ1-TCX 3000 Ddi เทอร์โบแปรผัน VGS Turbo และอินเตอร์คูลเลอร์ใหญ่ขึ้น ให้แรงม้าสูงสุด 163 แรงม้า ที่ 3,600 รอบ/นาที แรงบิด 34.0 กก.-ม. (333 นิวตัน-เมตร) ที่ 1,600-3,200 รอบ/นาที

Suzuki-Ertiga-2013

9. Suzuki Ertiga

ราคามือสอง (ปี 2563) : 270,000 – 400,000 บาท

Suzuki Ertiga (ซูซูกิ เออร์ติกา) เปิดตัวในบ้านเราเมื่อเดือนมีนาคม 2556 เป็นรถอเนกประสงค์แบบ MPV 7 ที่นั่ง นำเข้ามาจากประเทศอินโดนีเซีย มาพร้อมความกว้างขวาง (แต่เบาะนั่งแถวที่ 3 ก็คงคล้ายกันในทุกยี่ห้อ คือแคบหน่อย) ตกแต่งภายในได้สมราคา ส่วนข้อเสียก็อาจจะเป็นตอนออกตัวค่อนข้างอืด เนื่องจากเครื่องยนต์ขนาดเล็ก กับศูนย์บริการในต่างจังหวัดที่ไม่มาก

มาพร้อมเครื่องยนต์ขนาด 1.4 ลิตร รหัส K14B แบบ 4 สูบ DOHC 16 วาล์ว VVT ให้แรงม้าสูงสุด 92 แรงม้า ที่ 6,000 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 130 นิวตัน-เมตร ที่ 4,000 รอบ/นาที ส่งกำลังผ่านเกียร์ธรรมดา 5 สปีด และอัตโนมัติ 4 สปีด รองรับน้ำมันแก๊สโซฮอล์ E20

Chevrolet-Captiva-2007

10. Chevrolet Captiva

ราคามือสอง (ปี 2563) : 190,000 – 500,000 บาท +

Chevrolet Captiva (เชฟโรเลต แคปติวา) นี่ก็จัดเป็นรถ Compact SUV 7 ที่นั่งในตลาดเพียงรุ่นเดียว ที่ขายมาอย่างยาวนานมาก … นับถึงวันนี้ในตลาดบ้านเราก็ 12 ปีละ ปรับปรุงหน้าตากันไปก็หลายครั้ง มีจุดเด่นที่ความนุ่มนวล ความหนึบของช่วงล่าง รวมไปถึงพลังเครื่องยนต์ (ดีเซล) ที่เหลือเฟือ แต่เบาะนั่งแถวที่ 3 อาจนั่งไม่สบายนัก

มาพร้อมเครื่องยนต์ดีเซลขนาด 2.0 ลิตร แบบ 4 สูบ SOHC 16 วาล์ว Turbo แบบแปรผัน ให้แรงม้าสูงสุด 150 แรงม้า ที่ 4,000 รอบ/นาที และแรงบิดสูงสุด 320 นิวตันเมตร ที่ 2,000 รอบ/นาที

ส่วนเครื่องยนต์เบนซินขนาด 2.4 ลิตร แบบ 4 สูบ DOHC 16 วาล์ว Flex Fuel รองรับเชื้อเพลิง E20 และ E85 ทั้ง ให้กำลังสูงสุด 136 แรงม้า ที่ 5,600 รอบ/นาที และแรงบิดสูงสุด 220 นิวตันเมตร ที่ 2,200 รอบ/นาที

ภายหลังรุ่นเบนซิน 2.4 ลิตร เปลี่ยนเครื่องยนต์ใหม่ เป็นแบบ 4 สูบ DOHC 16 วาล์ว Double CVC ให้กำลังสูงสุด 165 แรงม้า ที่ 6,400 รอบ/นาที และแรงบิดสูงสุด 23.0 กก.-ม. (225 นิวตันเมตร) ที่ 4,600 รอบ/นาที

ใครที่กำลังมองหารถ SUV และรถ MPV สภาพดีๆ ในราคาที่ไม่เกิน 5 แสนบาท ก็ลองเข้ามาเลือกดูกันได้ครับ …

ส่วนใครที่อยากขายรถ เพื่ออยากลองรถยนต์ไฟฟ้าคันใหม่มาใช้ดูบ้าง CARRO เรารับซื้อรถของคุณ สามารถเข้าไปเช็คราคา ตีราคาขายรถก่อนได้ โดยใส่ข้อมูลรถของคุณที่นี่เลย กับ CARRO Express > https://th.carro.co/sell-car/express หรือโทร. 02-508-8425

หรือใครจะ Inbox มาสอบถามก็ได้เช่นกัน ที่ Facebook CARRO Thailand หรือสะดวก Add Line ก็ที่ @carrothai หรือคลิกที่นี่ครับ —> เพิ่มเพื่อน

10-Secondhard-Cars-Price-Falls

“รถมือสอง” ชื่อก็บอกอยู่แล้วว่า เป็นรถที่มีเจ้าของใช้มาก่อนหน้านี้แล้ว ราคาก็ย่อมถูกกว่า “รถป้ายแดง” เช่นกัน โดยรถมือสองนั้น ก็มีทั้ง “แบรนด์หลัก” และ “แบรนด์รอง”

“แบรนด์หลัก” ก็คือรถยี่ห้อใหญ่ๆ ที่ตลาดนิยม เช่น รถญี่ปุ่นหลายยี่ห้อ หรือรถยุโรปบางยี่ห้อ ที่แม้ว่าเราจะอาจจะเบื่อแล้ว หรือเหตุผลอะไรก็แล้วแต่ พอลงประกาศขาย (ในราคาที่เหมาะสม ไม่แพงจนเกินไป) ก็จะมีผู้คนสนใจอยากซื้อไปใช้ต่อ แต่ก็ไม่เสมอไป เพราะรถบางรุ่นของ “แบรนด์หลัก” เวลาขายต่อ ราคาก็ร่วงรูดได้เหมือนกัน

ส่วนรถยนต์ยี่ห้อที่เป็น “แบรนด์รอง” นั้น ไม่ต้องพูดถึง ส่วนใหญ่ตอนซื้อมาจ่ายราคาเต็ม พอขายต่อ ส่วนต่างหายไปมหาศาลก็มี ไม่ใช่ว่ารถคันนั้นคุณภาพ หรือสภาพรถไม่ดี! แต่เป็นเพราะหลายๆ ปัจจัย เช่น บริการหลังการขาย ราคาอะไหล่ ความหายากของศูนย์บริการ ก็มีผลทำให้รถคันนั้นๆ ราคาร่วงรูดได้เช่นกัน …

MR.CARRO ขอยกตัวอย่าง 10 รถมือสอง ราคาถูกกว่าตอนป้ายแดง มากอย่างไม่น่าเชื่อ (ภาค 1) มาให้ได้อ่านกันครับ.

Chery-QQ

ภาพจาก รัตศุภา จิณะแสน

1. Chery QQ

ราคาป้ายแดง (ปี 2552) : 389,400 – 434,400 บาท
ราคามือสอง (ปี 2563) : 40,000 – 70,000 บาท

Chery QQ (เฌอรี่ คิวคิว) รถแบรนด์จีนขนาดเล็กหน้าตาน่ารัก นำเข้าโดย บริษัท ไทยเฌอรี่ยานยนตร์ จำกัด ในเครือไทยยานยนตร์กรุ๊ป มาพร้อมเครื่องยนต์ขนาด 1.1 ลิตร 68 แรงม้า ส่งกำลังผ่านเกียร์ธรรมดา 5 สปีด และเกียร์แบบ AMT 5 สปีด ประหยัดน้ำมันสูงถึง 19.23 กม./ลิตร (ที่ความเร็ว 90 กม./ชม.)

พอเจอโครงการรถ Eco-Car ของรัฐบาลเข้าไป บวกกับทาง CP เสนอให้ Chery บริษัทแม่ในจีนมาร่วมลงทุนในไทย แต่ทางจีนไม่เอาด้วย รถเฌอรี่ จึงเลือนหายไปจากตลาดรถบ้านเรา …

Proton-Savvy

ภาพจาก ปริญญา วงค์สมบูรณ์

2. Proton Savvy

ราคาป้ายแดง (ปี 2550) : 399,000 – 469,000 บาท
ราคามือสอง (ปี 2563) : 50,000 – 80,000 บาท

Proton Savvy (โปรตอน เซฟวี่) รถยนต์แห่งชาติของประเทศมาเลเซีย รูปทรงขนาดเล็กน่ารัก นำเข้ามาขายโดย บริษัท พระนครโอโตเซลส์ จำกัด มาพร้อมเครื่องยนต์ขนาด 1.2 ลิตร 74 แรงม้า ส่งกำลังผ่านเกียร์ธรรมดา 5 สปีด และเกียร์แบบ AMT 5 สปีด ประหยัดน้ำมันเชื้อเพลิงได้สูงถึง 19 กม./ลิตร และทำความเร็วได้สูงสุดถึง 170 กม./ชม.

พอเจอโครงการรถ “รถคันแรก” ของรัฐบาลเข้าไป บวกกับทางตัวแทนจำหน่ายในไทย (ก็รู้ๆ กันอยู่) … ทำให้รถ Proton หลายๆ รุ่น และโชว์รูม ก็เลือนหายไปจากตลาดรถบ้านเรา (แม้ว่า โชว์รูม กับ ศูนย์บริการ ยังมีเหลืออยู่ แต่ก็น้อยนิดแล้วก็ตาม)

Chevrolet-Sonic

3. Chevrolet Sonic

ราคาป้ายแดง รุ่น 1.4 (ปี 2555) : 548,000 – 687,000 บาท
ราคาป้ายแดง รุ่น 1.6 (ปี 2556) : 677,000 – 709,000 บาท

ราคามือสอง (ปี 2563) : 130,000 – 180,000 บาท

Chevrolet Sonic (เชฟโรเลต โซนิค) เป็นตัวตายตัวแทนของรุ่น Aveo ที่เคยทำตลาดในบ้านเรา มีทั้งแบบ Northback 4 ประตู และ Hatchback 5 ประตู เจาะกลุ่มตลาดวัยรุ่นและคนรุ่นใหม่ แต่ก็เจอมรสุมของตัวรถเอง จึงต้องหายไปจากตลาดอย่างเงียบๆ …

ในช่วงแรก Chevrolet เปิดตัว Sonic รุ่นเครื่องยนต์ขนาด 1.4 ลิตร 100 แรงม้า พอผ่านไป 1 ปี รุ่นเครื่องยนต์ขนาด 1.6 ลิตร 115 แรงม้า รองรับแก๊สโซฮอล์ E85 จึงตามมาให้เลือก ส่งกำลังผ่านเกียร์ธรรมดา 5 สปีด และเกียร์อัตโนมัติ 6 สปีด

ถ้าใครอยากเล่นรุ่นนี้ เราแนะนำให้เล่นรุ่นเครื่องยนต์ 1.6 ลิตร เพราะสมรรถนะดีกว่ารุ่นเครื่องยนต์ 1.4 ลิตร ครับ

Chevrolet-Cruze

4. Chevrolet Cruze

ราคาป้ายแดง (ปี 2553) : 729,000 – 1,149,000 บาท
ราคาป้ายแดง (ปี 2556) : 752,000 – 1,248,000 บาท

ราคามือสอง (ปี 2563) : 160,000 – 280,000 บาท

Chevrolet Cruze (เชฟโรเลต ครูซ) อันนี้ถือว่าเป็นตัวแทนของ Optra เดิม เปิดตัวอย่างยิ่งใหญ่ มีให้เลือกทั้งเครื่องยนต์เบนซินขนาด 1.6 ลิตร 109 แรงม้า เบนซินขนาด 1.8 ลิตร 141 แรงม้า และเครื่องยนต์ดีเซล 2.0 ลิตร Commonrail Turbo 150 แรงม้า ส่งกำลังผ่านเกียร์ธรรมดา 5 สปีด และเกียร์อัตโนมัติ 6 สปีด DSC

พอถึงปี 2556 จึงปรับหน้าตาและเครื่องยนต์ให้รองรับแก๊สโซฮอล์ E85 ก่อนจะตัดรุ่นเครื่องยนต์เบนซิน 1.6 ลิตร และเครื่องยนต์ดีเซล 2.0 ลิตร ออก เหลือแค่รุ่นเครื่องยนต์เบนซิน 1.8 ลิตร อย่างเดียว ปรับโฉมอีกครั้งช่วงปี 2558 ก่อนจะหายเงียบไป

หากใครอยากเล่นรุ่นนี้ เราขอแนะนำตัวดีเซลครับ เพราะขับสนุกสุดแล้ว (แต่ก็ดูแลเรื่องเกียร์หน่อยละกัน …)

Ford-Fiesta

5. Ford Fiesta

ราคาตอนป้ายแดง (ปี 2554) : 549,000 – 724,000 บาท
ราคาตอนป้ายแดง (ปี 2555) : 644,000 – 759,000 บาท
ราคาตอนป้ายแดง EcoBoost (ปี 2557) : 619,000 – 779,000 บาท
ราคามือสอง (ปี 2563) : 140,000 – 270,000 บาท

Ford Fiesta (ฟอร์ด เฟียสต้า) ถือเป็นรถ Ford อีกรุ่น ที่มีชื่อเสียงโด่งดังอีกรุ่นเลยก็ว่าได้ มาทำตลาดในไทยครั้งแรกในแบบ 4 ประตู และ 5 ประตู ใช้เครื่องยนต์ขนาด 1.4 ลิตร 95 แรงม้า เครื่องยนต์ 1.6 ลิตร 121 แรงม้า ส่งกำลังผ่านเกียร์ธรรมดา 5 สปีด และเกียร์อัตโนมัติ 4 สปีด กับแบบ PowerShift 6 สปีด

และในช่วงที่โครงการ “รถคันแรก” มา ทาง Ford จึงส่ง Fiesta รุ่นเครื่องยนต์ขนาด 1.5 ลิตร 109 แรงม้า มาแทนที่รุ่นเครื่องยนต์ 1.4 ลิตร ซะเลย แถมยังได้เงินคืนถึง 100,000 บาทเชียวนะ!

สุดท้าย Ford Fiesta จึงปรับโฉมหน้าตาใหม่ ในปี 2556 (ก่อนจะเปลี่ยนหน้าตาของรุ่น 1.5 ตามมาในปี 2557) มาพร้อมเครื่องยนต์ Turbo ใหม่ ขนาด 1.0 ลิตร EcoBoost 125 แรงม้า … แต่พอเจอ User Voice มากมายของที่ใช้รุ่นรถนี้ บวกกับข่าวคราวหลายครั้งที่ผ่านมา ก็ทำให้ราคามือสองของ Fiesta นั้น ต่างจากราคาป้ายแดงลิบลับแบบไม่ต้องสงสัย …

Ford-Focus-EcoBoost

6. Ford Focus

ราคาป้ายแดง (ปี 2555) : 759,000 – 1,079,000 บาท
ราคามือสอง (ปี 2563) : 100,000 – 380,000 บาท

Ford Focus (ฟอร์ด โฟกัส) รถขนาดกลางแบบ C-Segment ยอดนิยมของฟอร์ดทั่วโลกอีกหนึ่งรุ่น เปิดตัวเจเนอเรชั่นที่ 3 ในบ้านเราเมื่อปี 2555 มาพร้อมความสปอร์ตในแบบ Sedan 4 ประตู และ Hatchback 5 ประตู ใช้เครื่องยนต์ขนาด 1.6 ลิตร 125 แรงม้า และเครื่องยนต์ขนาด 2.0 ลิตร 170 แรงม้า ส่งกำลังผ่านเกียร์ธรรมดา 5 สปีด และเกียร์อัตโนมัติ PowerShift 6 สปีด

สุดท้าย Ford Focus จึงปรับโฉมหน้าตาและเครื่องยนต์ใหม่ ในปี 2559 มาพร้อมเครื่องยนต์ Turbo ใหม่ ขนาด 1.5 ลิตร EcoBoost 180 แรงม้า …

แต่พอเจอ User Voice มากมายของที่ใช้รุ่นรถนี้ เกี่ยวกับเรื่องเกียร์ PowerShift เช่นเดียวกับรุ่นน้องอย่าง Fiesta ก็ทำให้ราคามือสองของ Focus นั้น ดำดิ่งต่างจากราคาป้ายแดงลิบลับเช่นกัน …

MG6

7. MG6

ราคาป้ายแดง (ปี 2557) : 988,000 – 1,128,000 บาท
ราคามือสอง (ปี 2563) : 200,000 – 300,000 บาท

MG6 (เอ็มจี6) ถือเป็นรถรุ่นแรกของ MG ในไทย ภายใต้การทำตลาดโดย CP ที่เปิดตัวอย่างยิ่งใหญ่เมื่อปี 2557 มีให้เลือกทั้งโฉม Sedan 4 ประตู และแบบ Fastback 5 ประตู มาพร้อมเครื่องยนต์ขนาด 1.8 ลิตร 161 แรงม้า ส่งกำลังผ่านเกียร์อัตโนมัติแบบ Dual Clutch Transmission (DCT) 6 สปีด

แต่เนื่องด้วยอะไรหลายๆ อย่าง ของตัวแบรนด์ MG เอง จึงทำให้ราคาขายต่อรถมือสองของรุ่นนี้ ดูเบาๆ สำหรับคนกำลังมองหารถมือสอง MG มาใช้ อย่างไม่ต้องสงสัย …

Nissan-Pulsar

8. Nissan Pulsar

ราคาป้ายแดง (ปี 2556) : 776,000 – 976,000 บาท
ราคาป้ายแดง (ปี 2557) : 781,000 – 1,070,000 บาท

ราคามือสอง (ปี 2563) : 280,000 – 390,000 บาท

Nissan Pulsar (นิสสัน พัลซ่าร์) อาจจะเรียกได้ว่า เป็นรถนิสสัน ที่เคยขายในไทยเมื่อนานมาแล้ว ตั้งแต่ยุคสยามกลการนู่น แต่ไม่รุ่งเลยเลิกขายไป ก่อนจะ Come Back กลับมาขายใหม่อีกหลังในปี 2556 ในแบบสปอร์ต แฮทช์แบค ออพชั่นเพียบ แล้วก็แป๊กเหมือนในอดีตอีก …

มีให้เลือก 3 เครื่องยนต์ ได้แก่ ขนาด 1.6 ลิตร 116 แรงม้า, ขนาด 1.8 ลิตร 131 แรงม้า และเบนซิน 1.6 ลิตร DIG Turbo 190 แรงม้า ซึ่งถ้าใครที่ชอบความแรงแล้ว คงต้องยกให้ไปลองเล่นรุ่น Turbo ดูครับ

Mitsubishi-Lancer-EX

9. Mitsubishi Lancer EX

ราคาป้ายแดง (ปี 2552) : 831,000 – 1,034,000 บาท
ราคาป้ายแดง (ปี 2554) : 794,000 – 1,151,000 บาท
ราคามือสอง (ปี 2563) : 230,000 – 340,000 บาท

Mitsubishi Lancer EX (มิตซูบิชิ แลนเซอร์ อีเอ็กซ์) แม้ว่าจะเป็น Lancer รุ่นสุดท้ายที่ขายในบ้านเราเวลานี้ จัดว่าเป็นรถ C-Segment ที่น่าใช้อีกรุ่น ดีไซน์สไตล์สปอร์ต ไปแต่งเป็นโฉม Evolution ก็หล่อใช่ย่อย ช่วงล่างก็ดีเกาะถนน ออพชั่นติดรถก็ถือว่ามากใช้ได้ และเครื่องยนต์ขนาด 1.8 ลิตร แบบ FFV เติมแก๊สโซฮอล์ E85 ได้ รุ่นแรกในไทย … พอในปี 2554 ก็มีการปรับออพชั่นเพิ่มอีก อาทิเช่น เพิ่มระบบกุญแจอัจฉริยะ KOS และแนะนำตัวถังสีใหม่ “แดงเมทัลลิก” เป็นต้น

มีให้เลือกทั้งเครื่องยนต์เบนซิน 1.8 ลิตร 139 แรงม้า และ 2.0 ลิตร 154 แรงม้า ส่งกำลังด้วยเกียร์ CVT INVECS-III แบบ 6 สปีด … แต่เพราะ Lancer ไม่ใช่รถตลาด เหมาะสำหรับคนชอบรถแต่งมากกว่า และเรื่องศูนย์บริการ กับราคาอะไหล่ ทำให้ราคามือสอง อาจจะทิ้งห่างจากตอนป้ายแดงอยู่พอสมควร

Toyota-Prius

10. Toyota Prius

ราคาป้ายแดง (ปี 2553) : 1,190,000 – 1,270,000 บาท
ราคาป้ายแดง (ปี 2555) : 1,199,000 – 1,369,000 บาท
ราคามือสอง (ปี 2563) : 270,000 – 400,000 บาท

Toyota Prius (โตโยต้า พริอุส) รถสำหรับคนรักษ์โลกจากค่ายโตโยต้า มาพร้อมขุมพลังไฮบริด กับรูปทรงที่ลู่ลม ผลิตในไทยด้วย! ซึ่งนับเป็นประเทศที่ 3 ของโลก สำหรับการผลิต Prius ขาย … มีเทคโนโลยีล้ำสมัยมากมาย เช่น ระบบ Head-Up Display รวมไปถึงประสิทธิภาพของระบบไฮบริดที่ดีเยี่ยม เครื่องยนต์ขนาด 1.8 ลิตร 99 แรงม้า พร้อมมอเตอร์ไฟฟ้า 82 แรงม้า ประหยัดน้ำมัน และให้อัตราเร่งเทียบเท่ารถยนต์เครื่องยนต์ขนาด 2.4 ลิตร ส่งกำลังผ่านเกียร์ไฟฟ้าอัตโนมัติ

Prius เป็นรถที่ดีและน่าใช้อีกคันหนึ่งเลยทีเดียว แต่ด้วยเวลาที่แบตเตอรี่ต้องใกล้เปลี่ยน กับ ราคาอะไหล่ชิ้นส่วนต่างๆ ต้องนำเข้าจากญี่ปุ่นเยอะ ทำให้ราคามือสองของรุ่นนี้ ทิ้งห่างจากตอนซื้อใหม่ไปมากพอสมควร …

ทางที่ดี ก่อนคุณจะซื้อตัดสินใจหารถมือสองมาใช้สักคัน ก็ควรหาคนที่พอมีความรู้เรื่องรถยนต์ หรือช่างไปดูรถด้วย เพื่อให้ได้รถที่มีสภาพดี ไม่ชนหนัก ไม่ถูกย้อมแมว จะได้คุ้มค่ากับเงินที่จ่ายไป ยังไงล่ะครับ

หากใครที่คิดว่าตัวเองใจไม่ถึง อยากเปลี่ยนไปเล่นรถตลาด อยากขายรถที่มีในบทความนี้อยู่เพื่อไปเล่นรุ่นอื่น ก็ลองดูได้ครับผม …

ถ้าคุณตัดสินใจอยากขายรถคันเดิม เพื่อไปซื้อรถคันใหม่ หรือรับเป็นเงินก้อนไปใช้ สามารถขายรถคันเดิมกับ CARRO ได้ ง่ายๆ ได้เงินไว! กับ CARRO Express เพียงแค่คลิก https://th.carro.co/sell-car/express หรือสามารถ Inbox มาขอรายละเอียดได้ที่ Facebook CARRO Thailand

หรือจะ Add Line สอบถามรายละเอียดได้ที่ @carrothai หรือคลิกที่นี่ครับ —> เพิ่มเพื่อน

ยางรถยนต์

หากรถยนต์ของคุณถึงเวลาที่ต้องเปลี่ยนยางรถใหม่
แต่..หากต้องเปลี่ยนพร้อมกัน 4 เส้น อาจเป็นเรื่องใหญ่ที่ต้องคิดกันหนักทีเดียว

วันนี้ คาร์โร มีเคล็ดลับให้ประหยัดเรื่องการเปลี่ยนยางซึ่งการเปลี่ยนยางที่เหมาะสมจำเป็นต้องเปลี่ยนอย่างน้อย 2 เส้น หรือทีละคู่ และแน่นอนคำถามต่อมาของหลายๆ คน คือ ยางรถยนต์ใหม่ที่ซื้อมาเราควรต้องใส่ไว้ด้านหน้าหรือด้านหลังดี

ซึ่งหลายคนก็ยังมีความเชื่อว่าควรต้องนำยางเส้นใหม่มาไว้ที่ด้านหน้าเสมอ เพราะเหตุผลที่ว่าเวลาเบรกจะไม่ลื่นไถล แต่เมื่อเราวิเคราะห์ตามหลักวิทยาศาสตร์แล้ว ยางรถยนต์ใหม่ต้องใส่ไว้ที่ล้อคู่หลังเสมอ

เพราะว่าเวลาที่เราเหยียบเบรก น้ำหนักจะถ่ายเทไปด้านหน้า ทำให้ล้อคู่หน้ามีแรงกดเพิ่มขึ้น และช่วยให้ยางยึดเกาะถนนมากขึ้น เพราะน้ำหนักที่มากขึ้นจะทำให้ยางเสียดสีและบดไปกับพื้นถนน

ยางรถยนต์ ล้อหลัง

ส่วนล้อหลัง แรงที่ถ่ายเทไปข้างหน้าจะทำให้ท้ายรถยกตัวขึ้น ล้อหลังจะลอยขึ้นจากพื้น ทำให้การยึดเกาะถนนน้อยลง เมื่อเวลาที่เราเหยียบเบรกแรงๆ ก็จะเกิดอาการหน้าทิ่มท้ายยก จึงทำให้ประสิทธิภาพการยืดเกาะถนนลดลง

ดังนั้น ล้อหลังจึงจำเป็น และต้องการการยึดเกาะถนนมากกว่า เพราะไม่มีน้ำหนักของเครื่องยนต์มาช่วยกดทับให้หน้ายางสัมผัสกับพื้นผิวถนน

ฉะนั้น แล้วเราควรใส่ยางรถยนต์ใหม่ไว้ที่ล้อคู่หลังดีที่สุด ซึ่งยางรถยนต์ใหม่จะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการยึดเกาะถนนได้ดีกว่า ช่วยลดปัญหาเรื่องอาการท้ายปัด หรือล้อหลังล็อคไว้ดีเป็นอย่างดี รวมไปถึงกรณีในการเข้าโค้งแรงๆ ยางรถยนต์ใหม่ก็จะช่วยให้ล้อหลังมีการยึดเกาะที่ดีขึ้นอีกด้วย และสามารถช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการยึดเกาะถนนได้ดีและช่วยลดอุบัติเหตุ

ยางรถยนต์

หลังจากเมื่อเราเปลี่ยนยางรถยนต์ใหม่แล้ว เราก็ควรตรวจเช็กสภาพของยาง แรงดันลมยาง ( อยากรู้เรื่องลมยางรถยนต์ อ่านต่อ คลิก > https://th.carro.co/blog/tire-pressure/) และเช็กความผิดปกติของยาง และแก้มยาง (อยากรู้สัญลักษณ์ต่างๆ บนแก้มยางคืออะไร? อ่านต่อ คลิก > https://th.carro.co/blog/symbol-in-tire/) ไม่ว่าจะเป็นยางแบน หรือยางมีรอยรั่ว เพื่อความปลอดภัยของตัวคุณเอง และเพื่อนร่วมทางอีกด้วยค่ะ

ขอบคุณข้อมูลจาก : Drivermate

5 เหตุผล ทำไมถึงต้องล้างรถบ่อยขึ้น ในฤดูฝน

เมื่อเข้าสู่ฤดูฝนทีไร ฝน กับ รถ ดูเหมือนจะไม่ค่อยถูกกันเท่าไหร่นัก เพราะหากฝนตกหนักๆ น้ำท่วม ขับรถไปลุยน้ำแล้ว เดี๋ยวรถก็มีปัญหาเสียกลางทาง หรือน้ำเข้ารถอีก

ก็ในเมื่อหน้าฝน ฝนตกแทบทุกวันแบบนี้ แล้วจะต้องเสียเวลาล้างรถไปอีกทำไม? ปล่อยรถเลอะคราบดิน คราบโคลน คราบน้ำสกปรกแบบนี้ไป เดี๋ยวค่อยรวบยอด ไว้ล้างตอนสิ้นเดือนก็ได้

นับเป็นความเชื่อที่ผิดเลยครับ เพราะว่า หน้าฝน ฝนยิ่งตก ยิ่งต้องล้างรถครับ CARRO จะมาอธิบายถึง 5 เหตุผล ว่าทำไม “ฤดูฝน” ถึงต้องล้างรถบ่อยขึ้นครับ …

5 เหตุผล ทำไมถึงต้องล้างรถบ่อยขึ้น ในฤดูฝน

1. มลพิษ

เป็นที่ทราบกันดีครับ ว่าน้ำฝนในกรุงเทพฯ ในเมืองที่มีมลพิษเยอะ ควันพิษเยอะ น้ำฝนย่อมมีฤทธิ์เป็นกรด กัดกร่อนสีรถของเราให้หม่นหมอง ไม่เงางาม คุณจึงจำเป็นต้องล้างรถครับ

2. แสงแดด

อีกทั้งเมื่อขับรถลุยฝนมาแล้ว อย่าจอดรถตากแดด ยิ่งเจอแดดบ้านเราด้วยแล้ว สีรถยิ่งไปไวกว่าเดิมอีก เพราะแสงแดดจะทำให้คราบน้ำฝนแห้ง เป็นคราบฝังตัวแน่น ติดกับเนื้อกระจกรถ ตัวถังรถ และอาจกัดลงลึกลงถึงเนื้อสีได้

5 เหตุผล ทำไมถึงต้องล้างรถบ่อยขึ้น ในฤดูฝน

3. ใต้ต้นไม้

การจอดรถไว้ใต้ต้นไม้ใหญ่ ก็ถือว่าเป็นการให้ร่มเงาแก่รถ แต่ในเวลาที่ฝนตก หรือมีลมแรง เศษใบไม้ กิ่งไม้ รวมไปถึงละอองน้ำยางจากต้นไม้ (เช่น ใต้ต้นมะม่วง ต้นขนุน) จะร่วงหล่นลงมาทำความเสียหายให้กับสีรถของคุณ และตัวถังรถของคุณได้ จึงควรล้างรถให้สะอาด

4. ผ้าแห้ง

หลังจากที่จอดรถตากฝนแล้ว ไม่ควรใช้ผ้าแห้ง หรือผ้าขี้ริ้ว เช็ดบนตัวรถโดยทันที! เพราะเป็นสาเหตุก่อให้เกิดรอยบนตัวรถได้ ให้ฉีดน้ำสะอาดล้างที่ตัวรถไปก่อน เป็นการล้างเศษทราย โคลน ที่เกาะอยู่บนตัวถังรถ

5 เหตุผล ทำไมถึงต้องล้างรถบ่อยขึ้น ในฤดูฝน

5. เคลือบสีรถ

สิ่งสำคัญในท้ายที่สุด นั่นคือ การเคลือบสีรถ เพราะนอกจากจะนำให้รถเงางามแล้ว ยังช่วยป้องกันคราบน้ำฝนเกาะตัวเป็นเม็ดบนตัวถัง จึงช่วยลดการเกิดคราบน้ำบนตัวถัง และทำให้ล้างรถได้ง่ายขึ้น

ในการล้างรถ สิ่งสำคัญก็คือ ควรล้างรถในที่สว่างๆ ครับ ไม่ควรล้างตอนเย็นๆ ค่ำๆ หรือที่มืดๆ เพราะอาจจะทำให้ล้างหรือเช็ดได้ไม่หมดทุกจุด และอาจจะทำให้รถของคุณเกิดสนิมได้ เพียงแค่ล้างรถบ่อยๆ รถของคุณก็จะเงางามไปอีกยาวนานทุกฤดูแล้วครับ

สำหรับใครที่อยากขายรถคันเดิมตอนนี้ หรือกำลังตัดสินใจจะซื้อรถป้ายแดงอยู่พอดี แต่งบไม่พอ!  มาขายรถกับ CARRO Express สิ! หรือจะ Inbox มาขอรายละเอียดได้ที่ Facebook -> CARRO Thailand และ Add Line สอบถามรายละเอียดได้เช่นกัน ที่ @carrothai

และอีกหนึ่งบริการใหม่! CARRO Automall แหล่งรวมรถมือสองคุณภาพเยี่ยม ผ่านการตรวจสภาพแบบ Double Check รับประกันพร้อมโอนทุกคัน ฟรี! ค่าจัดโอน มีให้เลือกชมเพียบ เปิดบริการทุกวัน อยากซื้อรถคุณภาพเยี่ยม มาซื้อกับ CARRO Automall สิ!

หรือสนใจรถรุ่นไหนอยู่ แต่หาไม่ได้ สามารถสั่งตามออเดอร์ได้ที่นี้ > https://th.carro.co/buy-car หรือโทร. 02-508-8690 อีกทั้งยัง Inbox เข้ามาสอบถามก็ได้เช่นกันได้ที่ Facebook -> CARRO Automall – รถบ้านมือสอง หรือทาง Line เชิญเลยครับที่ @carroautomall

Change-Province-In-License-Plate

กรณีที่คุณซื้อรถมือสองมาแล้ว เกิดอยากเปลี่ยนป้ายทะเบียนใหม่ ย้ายทะเบียนรถ ย้ายจังหวัดให้ตรงกับภูมิลำเนาของตัวเอง หรือว่าสลับป้ายทะเบียนรถ ประมูลป้ายทะเบียนมาได้ อยากเอาป้ายประมูล มาสลับใส่กับรถที่คุณมีอยู่แล้ว

การย้ายรถ หมายถึงอะไร? กล่าวคือ เป็นการขอเปลี่ยนแปลงรถที่มีทะเบียนอยู่จังหวัดเดิม ให้สอดคล้องกับภูมิลำเนาหรือจังหวัดใหม่ หรือตามสถานที่ใช้งานรถของเจ้าของรถ โดยที่อยู่แห่งใหม่ อาจเป็นไปตามทะเบียนบ้านของเจ้าของรถ หรือเป็นไปตามทะเบียนบ้านของผู้อื่น ที่เจ้าของรถจะขออนุญาตใช้ก็ได้

สำหรับการแจ้งย้ายทะเบียนรถ สลับป้ายทะเบียนรถ มีวิธีง่ายๆ ที่ Mr.Carro จะมาอธิบายให้ฟังครับ เริ่มต้นด้วยการแจ้งย้ายรถออกปลายทาง ดังนี้ …

Change-Province-In-License-Plate

ภาพจาก มติชน

การแจ้งย้ายรถออกปลายทาง

เอกสารและหลักฐาน

  • สมุดคู่มือจดทะเบียนรถ (ตัวจริงพร้อมสำเนา)
  • บัตรประจำประชาชน (ตัวจริงพร้อมสำเนา) ของเจ้าของรถ
  • หนังสือรับรองการจดทะเบียนเป็นนิติบุคคล (กรณีเป็นนิติบุคคล อายุการใช้งานไม่เกิน 6 เดือน)
  • สำเนาบัตรประจำตัวประชาชนของผู้มีอำนาจลงนาม กรณีเป็นนิติบุคคล
  • หนังสือมอบอำนาจพร้อมสำเนาบัตรประจำตัวประชาชนผู้รับมอบอำนาจ (กรณีที่เจ้าของรถไม่สะดวกไปดำเนินการ ติดอากรแสตมป์ 10 บาท)

แจ้งย้ายเข้า-ออก-ทะเบียนรถ

ตัวอย่าง การแจ้งย้ายรถเข้าปลายทาง (ภาพจาก Login Rath_Me @ Pantip)

การแจ้งย้ายรถเข้าปลายทาง

เอกสารและหลักฐาน

  • สมุดคู่มือจดทะเบียนรถ (ตัวจริงพร้อมสำเนา)
  • บัตรประจำประชาชน (ตัวจริงพร้อมสำเนา) ของเจ้าของรถ
  • หนังสือรับรองการจดทะเบียนเป็นนิติบุคคล (กรณีเป็นนิติบุคคล อายุการใช้งานไม่เกิน 6 เดือน)
  • สำเนาบัตรประจำตัวประชาชนของผู้มีอำนาจลงนาม กรณีเป็นนิติบุคคล
  • หนังสือมอบอำนาจพร้อมสำเนาบัตรประจำตัวประชาชนผู้รับมอบอำนาจ (กรณีที่เจ้าของรถไม่สะดวกไปดำเนินการ ติดอากรแสตมป์ 10 บาท)

เอกสารโอนรถ

การโอนเปลี่ยนเจ้าของรถ กรณีปิดบัญชีสัญญาเช่าซื้อ

เอกสารและหลักฐาน

  • สมุดคู่มือจดทะเบียนรถ (ตัวจริงพร้อมสำเนา)
  • หลักฐานการโอนกรรมสิทธิ์ เช่น ใบเสร็จรับเงิน ใบกำกับภาษี สัญญาซื้อขายกรณีเป็นการเช่าซื้อ ให้ใช้หลักฐานสำเนาหรือภาพถ่ายสัญญาเช่าซื้อใบเสร็จรับเงิน ใบกำกับภาษีค่าเช่าซื้อในงวดสุดท้าย พร้อมหนังสือยืนยันการชำระค่าเช่าซื้อ และภาษีมูลค่าเพิ่มครบถ้วนจากผู้ให้เช่าซื้อ
  • แบบคำขอโอนและรับโอน ซึ่งกรอกรายการและลงลายมือชื่อผู้โอนและผู้รับโอนเรียนร้อยแล้ว
    หลักฐานประจำตัวผู้โอน และผู้รับโอน ได้แก่
  • บัตรประจำตัวประชาชน (ตัวจริงพร้อมสำเนา)
  • หนังสือรับรองการจดทะเบียนเป็นนิติบุคคล (กรณีเป็นนิติบุคคล อายุการใช้งานไม่เกิน 6 เดือน)
  • สำเนาบัตรประจำตัวประชาชนของผู้มีอำนาจลงนาม กรณีเป็นนิติบุคคล
  • หนังสือมอบอำนาจ พร้อมสำเนาบัตรประจำตัวประชาชนผู้รับมอบกรณีผู้โอน และ/หรือผู้รับโอนมิได้มาดำเนินการด้วยตัวเอง (ติดอากรแสตมป์ 10 บาท)

การสลับป้ายทะเบียนรถยนต์

การสลับป้ายทะเบียนรถ สามารถทำได้ โดยรถทั้ง 2 คัน จะต้องจดทะเบียนในเขตพื้นที่เดียวกัน จะเป็นผู้ถือกรรมสิทธิ์เดียวกัน หรือต่างผู้ถือกรรมสิทธิ์ก็ได้ หากต้องการดำเนินการขอสลับป้ายทะเบียนรถต่างพื้นที่ ต้องดำเนินการติดต่อเจ้าหน้าที่โดยตรง โดยเจ้าหน้าที่จะพิจารณาเป็นรายๆ ไป และภาษีรถยนต์ประจำปี ต้องเหลือไม่น้อยกว่า 30 วัน (หากภาษีของรถเหลือน้อยกว่า 30 วัน จะต้องชำระภาษีรถประจำปีก่อน)

เอกสารและหลักฐาน

  • สมุดคู่มือจดทะเบียนรถ (ตัวจริงพร้อมสำเนา)
  • บัตรประจำประชาชน (ตัวจริงพร้อมสำเนา) ของเจ้าของรถ
  • หนังสือมอบอำนาจ (กรณีที่เจ้าของรถไม่สะดวกไปดำเนินการ ติดอากรแสตมป์ 10 บาท)
  • สำเนาบัตรประจำตัวประชาชนผู้รับมอบอำนาจ
  • แผ่นป้ายทะเบียนเดิม (กรณีสลับแผ่นป้ายทะเบียนในจังหวัดเดียวกันแต่คนละเขตพื้นที่)

อัตราค่าธรรมเนียม

  • ค่าธรรมเนียมการขอสลับป้ายทะเบียนรถ 500 บาท
  • ค่าแผ่นป้ายทะเบียนรถป้ายละ 100 บาท (กรณีขอแผ่นป้ายใหม่)
  • ค่าคำขออื่นๆ 75 บาท (ค่าใบแทนเครื่องหมายแสดงการเสียภาษี 20 บาท, ค่าแก้ไขรายการในสมุดคู่มือจดทะเบียน 50 บาท, ค่าคำขอ 5 บาท)

ใบเสร็จ-สลับป้ายทะเบียนเป็นป้ายประมูล

ตัวอย่าง ใบเสร็จสลับป้ายทะเบียนรถ มาใช้ป้ายประมูล (ภาพจาก Login yacht7 @ Pantip)

การสลับป้ายทะเบียนรถ กรณีได้ป้ายประมูลมา

เอกสารและหลักฐาน

เอกสารประกอบการจดทะเบียนรถใหม่

  • หนังสือรับรองการโอนสิทธิหมายเลขทะเบียนที่ประมูลได้
  • หนังสือแสดงสิทธิเลขหมายทะเบียน (ใบเสร็จรับเงินของกรมการขนส่งทางบก)
  • สำเนาบัตรประจำตัวประชาชนของเจ้าของสิทธิเลขหมายประมูล
  • สำเนาบัตรประจำตัวประชาชน 1 ชุด (พร้อมรับรองสำเนา)
  • สำเนาทะเบียนบ้าน (พร้อมรับรองสำเนา)

สลับป้ายทะเบียนเป็นป้ายประมูล

ตัวอย่าง การเปลี่ยนป้ายทะเบียนเป็นเลขป้ายประมูล (ภาพจาก Login yacht7 @ Pantip)

ขั้นตอนการยื่นสลับป้าย

เอกสารและหลักฐาน

  • สมุดคู่มือจดทะเบียนรถ
  • สำเนาบัตรประจำตัวประชาชน 1 ชุด (พร้อมรับรองสำเนา)
  • สำเนาทะเบียนบ้าน (พร้อมรับรองสำเนา)
  • กรอกเอกสารใน ใบคำขอ (อื่นๆ)
  • ระบุเพื่อขอทำการสลับป้ายทะเบียนรถ จากหมายเลขทะเบียน……………..เป็น…………….
  • หนังสือรับรองการโอนสิทธิหมายเลขทะเบียนที่ประมูลได้
  • ใบเสร็จรับเงินของกรมการขนส่งทางบก
  • สำเนาบัตรประจำตัวประชาชนของเจ้าของสิทธิเลขหมายประมูล

กรณีรถจัดไฟแนนซ์อยู่ ต้องเพิ่มเติมเอกสารดังนี้

  • สำเนาหนังสือรับรองบริษัท (ไฟแนนซ์)
  • หนังสือมอบอำนาจจาก ไฟแนนซ์
  • หนังสือยินยอม
    – ผู้เช่าซื้อลงนามในช่องผู้ขอใช้
    – ไฟแนนซ์ ลงนามในช่องผู้ยินยอม

หมายเหตุ:

การแจ้งย้ายรถเข้า/ออก จะต้องแจ้งก่อนวันถึงกำหนดเสียภาษี มิฉะนั้นจะต้องเสียภาษีที่ค้างชำระก่อน และเมื่อแจ้งย้ายรถออกเรียบร้อยแล้ว จะต้องดำเนินการแจ้งย้ายรถเข้าภายใน 15 วัน นับแต่วันที่แจ้งย้าย (นับรวมวันหยุดราชการ) หากเกินกำหนด ต้องเสียค่าปรับตามกฎหมายกำหนด

Carro Express ขายรถกับคาร์โร อยากขายรถ ขายรถด่วน

สำหรับใครที่อยากขายรถคันเดิม ไปซื้อรถยนต์คันใหม่มาใช้ในช่วงนี้ มาขายรถกับทาง Carro Express สิ! คลิกเลยที่ https://th.carro.co/sell-car/express รับรองได้เงินเร็ว ไว ทันใจแน่นอน!

CARRO Automall

ส่วนใครสนใจจะซื้อรถมือสอง Carro แหล่งรวมรถมือสองคุณภาพเยี่ยมผ่านระบบออนไลน์ คุณสามารถจองรถได้ในเวลาเพียง 1 นาทีเท่านั้น! พร้อมคำนวณสินเชื่อและค่างวด ได้ภายในเว็บไซต์ทันที!

ซึ่ง Carro เรามีรถให้คุณเลือกมากมาย รถทุกคันผ่านการตรวจสภาพโดย Carro Certified อย่างละเอียดแบบ Double Check มากกว่า 160 จุด, การันตีคืนเงินภายใน 5 วัน, รับประกันเครื่องยนต์และเกียร์ 1 ปี, รับประกันไม่กรอไมล์ และไม่ประสบอุบัติเหตุหนัก ไฟไหม้ หรือน้ำท่วม พร้อมรับประกันคุณภาพรถ 1 ปี หรือ 30,000 กิโลเมตร!

อีกทั้งยังมีเทคโนโลยี “360 View & Sound Engine Analysis” เลือกชมรถยนต์เสมือนจริงออนไลน์รายแรกในไทย ทั้งภาพและเสียงในรูปแบบ 360 องศา รวมถึงมีเทคโนโลยีสนับสนุนฝ่ายขาย ทั้ง Digital Device ที่เชื่อมต่อกับ Digital Screen นำเสนอสิ่งที่ลูกค้าต้องการ และจัดการเรื่องเอกสารให้กับลูกค้าให้ตั้งแต่ต้นจนจบ บวกกับ Online Viewing Service ที่ลูกค้าสามารถวิดีโอคอล ตรวจสภาพรถยนต์คันที่สนใจได้แบบเรียลไทม์ ซื้อรถคุณภาพเยี่ยม ต้องที่ Carro สิ!

หรือถ้าหากคุณสนใจรถรุ่นไหนอยู่ แต่ยังหาที่ถูกใจไม่ได้ เรายินดีหาให้! เพียงกรอกชื่อ-เบอร์โทรศัพท์ และรถที่คุณสนใจ ไว้ที่ “รับการแจ้งเตือน” เมื่อมีรถที่คุณต้องการ Carro จะรีบติดต่อไปยังคุณทันที สอบถามรายละเอียดได้ที่ Facebook -> Carro Thailand โทร. 02-508-8690 หรือทาง Line @carrothai

แหล่งที่มาจาก:

ดูแลรถยนต์, Carro

วิธีดูแลรถแสนง่าย สาวๆก็ทำได้

เชื่อว่าผู้หญิงหลายๆคน นอกจากเรื่องเครื่องสำอาง เสื้อผ้า ก็ไม่ค่อยสนใจเรื่องอื่นๆเป็นพิเศษ ยิ่งถ้าเป็นเรื่องรถยนต์ กลายเป็นเรื่องไกลตัวที่ไม่ถนัดเลยจริงๆ และถ้าคุณเป็นสาวโสด หรือไม่มีญาติผู้ชาย ทำให้ขาดคนช่วยให้คำปรึกษา จะให้พึ่งแต่ช่างยนต์ หรือไปเข้าศูนย์บ่อยๆ ก็เสียเวลาและเงินโดยใช่เหตุ

มาๆ ในบทความนี้ Carro จะช่วยอธิบายขั้นตอนการดูแลรักษารถยนต์แบบง่ายๆ ที่สาวๆ สมัยใหม่อย่างคุณ สามารถทำตามได้แน่นอน! แถมยังช่วยยืดอายุการใช้งานให้รถยนต์อีกด้วยนะจ๊ะ

น้ำมันเครื่อง-carro

1. น้ำมันเครื่อง

ก่อนอ่านถึงขั้นตอนการดูแล สาวๆจำเป็นต้องรู้ก่อนว่า น้ำเครื่องมีส่วนสำคัญอย่างไรต่อตัวรถ น้ำมันเครื่อง เป็นส่วนสำคัญที่ช่วยหล่อลื่นให้เครื่องยนต์นั้น สามารถทำงานได้อย่างราบรื่น สาวๆอาจต้องหมั่นตรวจสอบระดับน้ำมันเครื่องยนต์อยู่บ่อยๆ เพื่อให้มั่นใจว่ามีปริมาณน้ำมันเครื่องเพียงพอสำหรับหล่อลื่นให้กับเครื่องยนต์ทั้งระบบนั่นเอง

วิธีตรวจเช็กน้ำมันเครื่องนั้นไม่ยาก เพียงแค่ใช้อุปกรณ์ เช่น เศษผ้า หรือกระดาษทิชชู่ เท่านั้น!

  1. จอดรถให้อยู่ในแนวระนาบ ไม่ลาดเอียง เปิดฝากระโปรงรถยนต์ให้เรียบร้อย
  2. มองหาก้านวัดระดับน้ำมันเครื่อง และดึงก้านวัดน้ำมันเครื่องออกมา เช็ดทำความสะอาดน้ำมันเครื่อง ที่ติดกับก้านวัดออกด้วยเศษผ้า หรือกระดาษทิชชู่
  3. เสียบก้านวัดระดับน้ำมันเครื่องคืนกลับจุดเดิมอีกครั้ง เพื่อตรวจเช็กระดับน้ำมันเครื่องที่มีอยู่ในอ่างน้ำมันเครื่อง
  4. ดึงก้านวัดระดับน้ำมันเครื่องออกมาอีกครั้งหนึ่ง เพื่อตรวจสอบระดับน้ำมันเครื่องที่บริเวณปลายของก้านวัด

ถ้าระดับน้ำมันเครื่องอยู่ระหว่างขีด “F” กับ “L” หรือ “Max กับ Min” แสดงว่าน้ำมันเครื่องอยู่ในระดับปกติ ไม่มากเกินไปและไม่น้อยเกินไป แต่ควรรักษาระดับของน้ำมันเครื่องให้อยู่สูงกว่าครึ่งหนึ่ง ของขีด  “F” กับ “L” หรือ “Max กับ “Min” อยู่เสมอ

TIPS:

  • สาวๆ ควรเช็กระดับน้ำมันเครื่อง ทุกๆ 1-2 สัปดาห์/ครั้ง หรือ อย่างน้อยเดือนละ 1 ครั้ง นะคะ
  • ต้องทำในขณะที่เครื่องยังร้อนหรือมีอุณหภูมิที่ยังคงอุ่นอยู่ โดยให้ตรวจวัดระดับน้ำมันเครื่อง หลังจากดับเครื่องประมาณ 1-3 นาที

น้ำมันเบรก-carro
2. น้ำมันเบรก

คือ ของเหลวชนิดหนึ่งไว้ส่งถ่ายแรงจากเท้าเรา ไปยังลูกสูบปั้มเบรคล่าง (คาลิเปอร์) ซึ่งเวลาเบรกนั้น ผ้าเบรกมีส่วนผสมของโลหะ กับจานเบรกที่เป็นโลหะเสียดสีกัน ก็จะทำให้เกิดความร้อนสะสมนั่นเอง!

วิธีเช็กน้ำมันเบรก เวลาเปิดกระโปรงหน้ารถ เราจะเห็นกระปุกน้ำมันเบรก (จะอยู่ติดกับตัวหม้อลมเบรก) มีคำว่า MAX และ MIN แน่นอนว่า ระดับน้ำมันเบรกต้องอยู่ที่ระดับ MAX เสมอนะคะ

TIPS:

  • ถ้าน้ำมันเบรกตกไปอยู่ที่ระดับ MIN ให้สันนิฐฐานไว้ 2 กรณีว่า อาจมีการรั่วของน้ำมันเบรกออกจากระบบเบรก ออกจากสายเบรก หรือผ้าเบรกอาจสึก เป็นผลให้ซึ่งระดับน้ำมันเบรกลดน้อยลง ควรรีบนำรถไปตรวจที่ศูนย์ซ่อมหรืออู่นะ อย่างปล่อยทิ้งไว้ เพื่อความปลอดภัยขณะขับขี่
  • หมั่นตรวจดูว่าที่ล้อแม็กซ์ หรือเบรก ว่ามีคราบน้ำมันเบรกรั่วซึม หรือกระจายออกมาบ้างหรือเปล่า? ถ้ามีก็ควรรีบนำรถไปเข้าศูนย์ซ่อมหรืออู่เช่นกันจ้า

 

ยางรถยนต์-carro3. ยางรถยนต์

ถือว่าเป็นชิ้นส่วนสำคัญที่สาวๆไม่ควรมองข้าม ถ้าหากยางรถยนต์มีการใช้งานเป็นเวลานานแล้ว ควรหมั่นเช็กยางรถยนต์กันสักหน่อยว่า ยางรถยนต์พร้อมใช้งานหรือไม่ หรือหมดสภาพไปแล้วหรือยัง? ไม่งั้นอาจเกิดอันตรายแบบกระทันหันได้นะ เพราะเราเป็นห่วง!

วิธีเช็กยางรถยนต์

  • ความลึกของดอกยางรถยนต์ไม่ควรต่ำกว่า 3 มิลลิเมตร ซึ่งความลึกของดอกยางใหม่ จะมีความลึกประมาณ 8 – 9 มิลลิเมตร หรือลองใช้ไม้ขีดไฟทิ่มลงไปในร่องยางรถยนต์ ถ้าคุณเห็นหัวไม้ขีดสีแดง ก็หมายความว่าดอกยางเหลือน้อยเกินไปที่จะใช้งานต่อไป!
  • เช็กดูโครงสร้างของยางชำรุดหรือไม่ เช่น ถูกของมีคมบาดเป็นรอยแผลใหญ่ หรือโครงสร้างซ้ำจากการเกิดอุบัติเหตุ เช่น ปีนขอบทางเท้าอย่างรุนแรง จนเกิดความเสียหายไปถึงกระทะล้อรถยนต์ ซึ่งหมายความว่า หน้ายางรถยนต์ โดยเฉพาะแก้มยางรถยนต์ จะถูกบดไปกับขอบทางเท้า ทำให้ได้รับความเสียหายมากแน่นอน ซึ่งถ้าแก้มยางรถยนต์ มีรอยแตก อาจนำไปสู่ ยางรถยนต์ระเบิด หรือแตก ขณะที่ขับขี่ด้วยความเร็วสูงได้นะคะ ( ข้อนี้ ถ้าเป็นมือใหม่ อาจมีการกะระยะเลี้ยวผิด ต้องระวังมากๆนะคะ )
  • อายุการใช้งานสูงสุดของ ยางรถยนต์ ไม่ควรเกิน 4-5 ปี นับตั้งแต่เริ่มใช้งาน

แบตเตอรี่-carro

4. แบตเตอรี่

มีหน้าที่เก็บ-จ่ายกระแสไฟฟ้าไปยังอุปกรณ์ต่างๆ ของเครื่องยนต์ทำงาน เช่น มอเตอร์สตาร์ท ระบบจุดระเบิด ในขณะที่สตาร์ทรถยนต์ นอกจากนี้ยังทำหน้าที่ป้อนพลังงานให้กับ อุปกรณ์อำนวยความสะดวกหลายอย่างภายในรถ เช่น ระบบไฟส่องสว่าง วิทยุ และแตร เป็นต้น

วิธีเช็กแบตเตอรี่ ให้ระดับน้ำกลั่นอยู่ในตำแหน่ง UPPER LEVEL ไม่ควรเติมเกินกว่านี้ และสังเกตเวลาสตาร์ทรถ ถ้าเครื่องยนต์สตาร์ทติดยากกว่าปกติ ต้องบิดกุญแจหรือกดปุ่มสตาร์ทหลายๆ ครั้ง อาจจะเป็นสัญญานเตือนว่าแบตเตอรี่ใกล้หมดก็เป็นได้ อ่านต่อ.. 3 สัญญาณเตือน ว่า “แบตเตอรี่” รถยนต์ของคุณกำลังเสื่อม!

TIPS:

  • แบตเตอรี่รถส่วนใหญ่จะมีอายุการใช้งานประมาณ 4 – 5 ปี แต่ในภูมิอากาศเขตร้อนอาจจะอยู่ได้แค่ประมาณ 3 ปีเท่านั้น ถ้าชาร์จแบตเตอรี่แล้วพบว่า ประจุไหลออกทั้งที่ไม่ได้ใช้รถ แสดงว่าได้เวลาต้องเปลี่ยนแบตเตอรี่แล้วล่ะ
  • หลังจากซื้อแบตเตอรี่ลูกใหม่ อย่าลืมกำจัดแบตเตอรี่ลูกเก่า ให้ถูกต้องตามที่กฎหมายกำหนด แต่โดยปกติ ร้านจำหน่ายชิ้นส่วนยานยนต์ส่วนใหญ่ จะดูแลเรื่องการกำจัดแบตเตอรี่ให้แก่คุณเอง ข้อนี้หมดห่วง!
  • คุณสามารถทดสอบและชาร์จแบตเตอรี่ได้ที่ร้านจำหน่ายชิ้นส่วนยานยนต์ใกล้ๆบ้าน
  • ก่อนที่จะหาซื้อไดชาร์จใหม่ ควรให้ผู้เชี่ยวชาญตรวจสอบระบบให้ละเอียดขึ้น
  • ระวังอย่าให้เกิดการลัดวงจรระหว่างขั้วแบตเตอรี่เป็นอันขาด เพราะอาจทำให้เกิดไฟไหม้รุนแรง ทำให้ขั้วต่อเสียหาย หรือเกิดการระเบิด เนื่องจากก๊าซไฮโดรเจนที่เล็ดลอดออกมา

น้ำหล่อเย็น-carro

5. น้ำหล่อเย็น

เป็นของเหลวอีก 1 จุด ที่สาวๆควรตรวจเช็กเป็นประจำอย่างน้อยสัปดาห์ละครั้ง แต่ถ้ารถที่มีอายุการใช้งานมากกว่า 5 ปี ควรตรวจเช็กให้บ่อยขึ้น สัปดาห์ละประมาณ 2-3 ครั้ง

วิธีเช็กน้ำหล่อเย็น ควรทำในขณะที่เครื่องยนต์เย็นลงแล้ว (ห้ามเปิดฝาหม้อน้ำในขณะที่เครื่องยนต์ยังร้อน เพื่อป้องกันแรงดันของน้ำร้อน อาจจะพุ่งขึ้นมาได้นะคะ) โดยเช็กดูระดับน้ำในหม้อพักน้ำของหม้อน้ำให้อยู่ระหว่าง “FULL / MAX” และ “LOW” หากน้ำมีระดับต่ำกว่าขีด “LOW” ให้เติมน้ำยาหล่อเย็นให้อยู่ในระดับ “FULL / MAX” อยู่เสมอ ไม่ต้องเติมจนเต็มนะ!

TIPS:

  • อย่าปล่อยให้ระบบน้ำยาหล่อเย็นลดลงเกินกว่ากำหนด เพราะถ้าเกิดเครื่องยนต์มีความร้อนสูงมาก จะทำให้เครื่องยนต์น็อคและเสี่ยงพังเอาง่ายๆ
  • ส่วนการเติมน้ำยาหล่อเย็น ให้เติมน้ำยาแบบเดียวกันเท่านั้น เนื่องจากแต่ละยี่ห้อแต่ละสูตร มีการผสมสารเคมีที่แตกต่างกัน ซึ่งเมื่อผสมกันอาจทำปฏิกิริยาระหว่างกัน และไปกัดกร่อนส่วนต่างๆ ของระบบระบายความร้อนได้ ในกรณีที่ระดับน้ำในหม้อพักน้ำอยู่ในระดับต่ำ และยังไม่สามารถหาซื้อน้ำยาหล่อเย็นได้ สามารถเติมน้ำกลั่นแทนก่อนได้ค่ะ

น้ำปัดน้ำฝน-carro6. น้ำปัดน้ำฝน

ก็เป็นสิ่งที่ไม่ควรละเลยนะ เพราะเวลาขับรถยามฝนตก หรือลุยทางที่มีฝุ่นมากๆ น้ำปัดน้ำฝนช่วยขจัดคราบสิ่งสกปรกที่กระเด็นมาติดบริเวณกระจกได้

วิธีเช็กน้ำปัดน้ำฝน เปิดฝาถังน้ำ และให้สังเกตุน้ำว่าแห้งหรือไม่ ถ้าแห้ง ให้หาน้ำเปล่ามาเดิมก่อนได้ (น้ำเปล่า คือ น้ำก๊อก, น้ำประปา หรือน้ำดื่ม)

TIPS:

  • ควรเติมให้ได้ระดับขีดที่กำหนดไว้ เผื่อเวลามีเหตุฉุกเฉินขณะขับรถ จะได้มีน้ำฉีดทำความสะอาดกระจกรถ ทำให้มองเห็นทางข้างหน้าได้ชัดเจน ไม่เป็นอันตรายนะคะ
  • ไม่ควรใช้ แชมพูผสมน้ำ เพราะแชมพู อาจตกตะกอน และทำให้เกิดการอุดดันที่รูหัวฉีด เดี๋ยวจะกลายเป็นเรื่องใหญ่!

 

เป็นอย่างไรบ้างคะ คิดว่าคงไม่ยากเกินจนสาวๆ ทำตามกันไม่ได้นะคะ สมัยนี้เป็นผู้หญิงต้องสวย และสตรอง!

ป้ายทะเบียนรถหาย! ขอใหม่ 15 วันได้ ไม่ยุ่งยาก ไม่ต้องแจ้งความ

ในการใช้รถยนต์นั้น สิ่งที่สำคัญที่สุดชิ้นหนึ่งในรถ นั่นคงหมายถึง “ป้ายทะเบียนรถ” ที่เป็นเครื่องหมายแสดงความเป็นเจ้าของ แสดงถึงภูมิลำเนาของรถคันนั้น และในความเชื่อของบางคน ยังหมายถึงตัวเลขที่อยู่ในป้ายทะเบียนเหล่านั้นอีกด้วย

ในช่วงฤดูฝน หลายพื้นที่ฝนตกหนักและมีน้ำท่วมขัง จนทำให้รถหลายคันต้องขับรถลุยน้ำ และเป็นเหตุให้แผ่นป้ายทะเบียนรถหล่นหาย หรือทำให้ตัวยึดแผ่นป้ายเกิดสนิม ทำให้ตัวแผ่นป้ายทะเบียนรถหล่นหลุดไป

กรณีที่หายไปแล้ว หาไม่เจอขึ้นมาล่ะ? ต้องทำอย่างไร? ใช้เวลานานแค่ไหน? มีค่าใช้จ่ายเท่าไหร่?

วันนี้ MR.CARRO จะมาแนะนำวิธีการดำเนินการ หากป้ายทะเบียนรถหาย ทำป้ายทะเบียนรถใหม่ ครับ.

Get-The-New-License-Plate

การขอแผ่นป้ายทะเบียนรถ กรณีชำรุด หรือหาย

หากเจ้าของรถที่ทำแผ่นป้ายทะเบียนรถหาย ให้ลองย้อนกลับไปยังจุดที่คิดว่าน่าจะหล่นหาย หรือลงประกาศหาดูในกลุ่มตาม Facebook หรือลอง Search หาตาม Fanpage อาทิเช่น สวพ.91 หรือ จส.100 ซึ่งอาจจะมีผู้ที่เก็บได้ นำมาลงประกาศอยู่ก็เป็นได้

แต่ถ้าไม่มีใครติดต่อกลับมา หรือหาไม่เจอสักที …

ให้รีบดำเนินการติดต่อยื่นคำขอรับแผ่นป้ายทะเบียนรถทดแทน โดยไม่ต้องแจ้งความ ในกรุงเทพมหานคร ยื่นคำขอได้ที่ สำนักงานขนส่งกรุงเทพมหานครพื้นที่ 1-5 ที่รถนั้นอยู่ในความรับผิดชอบ สำหรับส่วนภูมิภาค ยื่นคำขอได้ที่ สำนักงานขนส่งจังหวัด หรือ สำนักงานขนส่งสาขา ที่รถนั้นอยู่ในความรับผิดชอบ

ขั้นตอนการดำเนินการ

  • ยื่นคำขอ เตรียมเอกสาร
  • เจ้าหน้าที่รับคำขอ / ตรวจสอบหลักฐานประกอบคำขอ / ชำระค่าธรรมเนียม / ออกใบเสร็จรับเงิน / บันทึกรายการในใบคู่มือจดทะเบียนรถและต้นทะเบียนรถ / นายทะเบียนพิจารณาลงนาม / จ่ายคู่มือจดทะเบียนและใบเสร็จรับเงิน
  • งานแผ่นป้ายทะเบียนรถจัดทำข้อมูลการสั่งซื้อแผ่นป้ายทะเบียนรถ
  • ผลิตแผ่นป้ายทะเบียนรถ
  • งานแผ่นป้ายทะเบียนรถจัดส่งแผ่นป้ายที่ผลิตแล้วให้งานธุรการ
  • จ่ายแผ่นป้ายทะเบียนรถ คลิกเพื่อดูขั้นตอนการให้บริการ

Get-The-New-License-Plate

เอกสารและหลักฐาน

  • สมุดคู่มือจดทะเบียนรถฉบับจริง สำเนาบัตรประจำตัวประชาชนเจ้าของรถ หรือของผู้เช่าซื้อ หนังสือรับรองจากบริษัทไฟแนนซ์ หนังสือมอบอำนาจจากไฟแนนซ์ พร้อมสำเนาบัตรประชาชนของผู้รับมอบอำนาจ
  • กรณีเป็นนิติบุคคล ใช้สมุดคู่มือจดทะเบียนรถฉบับจริง หนังสือรับรองการจดทะเบียนนิติบุคคล สำเนาบัตรประจำตัวประชาชนผู้มีอำนาจลงนาม หนังสือมอบอำนาจ พร้อมสำเนาบัตรประจำตัวประชาชนของผู้รับมอบอำนาจ

แบบฟอร์ม

แบบคำขออื่นๆ

ระยะเวลาการดำเนินการ

คุณจะได้รับแผ่นป้ายทะเบียนรถภายใน 15 วัน โดยระหว่างนี้ ให้ใช้ใบเสร็จรับเงิน แทนแผ่นป้ายชั่วคราวได้

ค่าธรรมเนียม

แผ่นป้ายละ 100 บาท ค่าคำขอ 5 บาท

Get-The-New-License-Plate

สำหรับใครที่กำลังอยากขายรถคันเดิมเวลานี้ สามารถขายรถคันเดิมของคุณกับทาง CARRO ดูได้ โดยได้ราคาที่ดีที่สุด รับประกันความพึงพอใจ พร้อมปิดการขายภายใน 24 ชั่วโมง! กับ CARRO Express มาขายรถคันเดิมกับ CARRO Express สิ! Inbox มาขอรายละเอียดได้ที่ Facebook -> CARRO Thailand และ Add Line สอบถามรายละเอียดได้เช่นกัน ที่ @carrothai

Carro Automall / คาร์โร ออโต้มอลล์

แต่ถ้าหากช่วงนี้ใครอยากเปลี่ยนรถคันใหม่ มาใช้แทนที่รถคันเดิม CARRO Automall แหล่งรวมรถมือสองคุณภาพเยี่ยมผ่านระบบออนไลน์ พร้อมตอบโจทย์คุณด้วยคอนเซปต์ “click.buy.drive.” คุณสามารถจองรถออนไลน์ ได้ในเวลาเพียง 1 นาทีเท่านั้น!

รถทุกคันผ่านการตรวจสภาพแบบ Double Check มากกว่า 200 จุด และยังมีเทคโนโลยี “360 View & Sound Engine Analysis” ให้คุณเลือกชมรถยนต์เสมือนจริงออนไลน์รายแรกในไทย ทั้งภาพและเสียงในรูปแบบ 360 องศา พร้อมรับประกันคุณภาพรถนานถึง 2 ปี หรือ 20,000 กิโลเมตร! อีกทั้งยังการันตีความพึงพอใจ คืนเงินได้ภายใน 5 วันอีกด้วย! เรามีรถให้คุณเลือกชมเพียบ เปิดบริการทุกวัน ซื้อรถคุณภาพเยี่ยม ต้องที่ CARRO Automall สิ!

หรือถ้าหากสนใจรถรุ่นไหนอยู่ แต่ยังหาที่ถูกใจไม่ได้ เรายินดีหาให้! เพียงแค่กรอกเบอร์โทรศัพท์ ชื่อยี่ห้อ / รุ่นรถ ที่คุณต้องการก็ได้เช่นกันครับ อีกทั้งยังสามารถ Inbox เข้ามาสอบถามรายละเอียดได้ที่ Facebook -> CARRO Automall Official โทร. 02-508-8690 หรือทาง Line @carroautomall ครับ

แหล่งที่มาบางส่วนจาก:

  • กรมการขนส่งทางบก