BMW-X1

ถึงไทยแล้ว BMW X1 (F48) sDrive18d xLine 2016 ตัวใหม่ ที่หลายคนรอคอย กับดีไซน์ที่โฉบเฉี่ยวทันสมัย ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์คนรุ่นใหม่

สำหรับใครที่รอ BMW X1 (F48) sDrive18d xLine ตัวใหม่ โฉม 2016 ที่เพิ่งเปิดตัวไปแบบสดๆ ร้อนๆ วันนี้ หลายคนคงอยากรู้ CARRO เลยมีข้อมูลใหม่ๆ มาอัพเดตให้ดูกัน

รายละเอียด
– เครื่องยนต์แบบ BMW TwinPower Turbo 4 สูบ
– ขนาดเครื่องยนต์ 2.0L 1,955 ซีซี
– กำลังสูงสุด 110 กิโลวัตต์ 150 แรงม้า 4,000 รอบ/นาที
– แรงบิดสูงสุด 330 นิวตันเมตร และ 1,750 รอบ/นาที
– ความเร็วสูงสุด 205 กิโลเมตร/ชม.
– อัตราสิ้นเปลืองเชื้อเพลิง 21.3 กม./ลิตร และอัตราปล่อย Co2 อยู่ที่ 125 กรัม/กม.
– ระบบขับเคลื่อน 2 ล้อหน้าแบบ S Drive และออพชั่นเลือกขับเคลื่อน 4 ล้อ
– มาพร้อมเกียร์อัตโนมัติ Stepsonic sport 8 จังหวะ และระบบควบคุมการเข้าโค้ง
– ล้ออัลลอย ขนาด 18 นิ้ว แบบ Y-spoke
– พวงมาลัยไฟฟ้าแบบ Servotronic
– เบรคมือแบบไฟฟ้า และระบบจัดเก็บพลังงานเบรค
– ไฟหน้า LED พร้อมระบบส่องสว่างขณะการเข้าโค้ง
– ระบบช่วยจอด
– ระบบอินโฟเทเมนต์ iDrive และหน้าจอ 8.8 นิ้ว
– น้ำหนักรถ 1,545 กิโลกรัม

รถ BMW X1 (F48) sDrive18d xLine รุ่นนี้ เป็นการปรับโฉมเจเนอเรชั่นที่ 2 และเป็นรถรุ่นนำเข้า (CBU) ซึ่งความแตกต่างที่เห็นได้อย่างชัดเจน จาก BMW X1 รุ่นเดิม ก็คือ ดีไซน์ที่มีความทันสมัย โฉบเฉี่ยว และมีความสปอร์ตมากขึ้น ด้วยการเพิ่มดีไซน์ความโค้งมนเข้าไป ส่วนตัวถังรถก็ได้ปรับให้มีขนาดใหญ่มากกว่าเดิม 53 มิลลิเมตร

นอกจากการปรับเปลี่ยนรูปลักษณ์ภายนอก ภายในห้องโดยสารก็ถือว่าเปลี่ยนแปลงไปมากกว่าเดิมเช่นกัน เพราะภายในจะกว้างมากขึ้น หรือถ้าอยากจุของได้เยอะ ให้พับเบาะขึ้นให้หมด รถรุ่นนี้ก็จะสามารถจุได้มากถึง 1,550 ลิตร เลยทีเดียว ซึ่งถ้าหากใครงบยังไม่ถึง แนะนำให้ลองเลือกดู Bmw X1 มือสอง เพราะราคาต่างกันมากโข

เลือกรถ BMW X1 มือสองสภาพดี ได้ที่นี่

สัญลักษณ์บนแก้มยาง-บอกอะไร-

สัญลักษณ์ต่างๆ บนแก้มยางคืออะไร? ควรรู้ไว้

ตัวอักษร และตัวเลขบนยางรถยนต์ สามารถบอกอะไรเราได้หลายอย่าง หากสังเกตดูสักนิด จะพบว่าสัญลักษณ์เหล่านี้ มีความสำคัญกับเราพอสมควร รู้เอาไว้ดีกว่าไม่รู้ เพราะเวลาเปลี่ยนยางใหม่จะได้คุ้มค่ากับเงินที่จะต้องเสียไป

ซึ่งในบทความนี้ เราจะขอยกตัวอย่างแบบง่ายๆ ที่เห็นได้ตามรถยนต์ทั่วไป ว่าตัวเลข ตัวอักษรต่างๆ มีความหมายอะไรบ้าง เช่น 205/65R15 95H ที่เราเคยเห็นกันข้างแก้มยาง สามารถแยกออกมาได้ดังนี้

  • 205 = ความกว้างของหน้ายาง มีหน่วยเป็นมิลลิเมตร
  • 65 = อัตราส่วนความกว้างของหน้ายาง (แก้มยาง)
  • R = ชนิดของยาง ส่วนมากจะเป็นยางเรเดียลเกือบหมดแล้ว
  • 15 = ขนาดเส้นผ่าศูนย์กลางของล้อ มีหน่วยเป็นนิ้ว
  • *94 = ดัชนีน้ำหนักบรรทุกสูงสุด ตัวเลข 94 ในที่นี้สามารถบรรทุกน้ำหนักได้ไม่เกิน 670 กิโลกรัม
  • **H = หน่วยวัดความเร็วสูงสุด ตัวอักษร H ในที่นี้สามารถใช้ได้เต็มที่ 210 กม./ชม.

Toyota-Vios-Laos

สำหรับยางรถยนต์อีกประเภท จะมีสัญลักษณ์แตกต่างจากด้านบน ซึ่งส่วนมากจะเป็นพวกรถออฟโรด เช่น

  • 31×10.5R16 ซึ่งสามารถแยกออกมาได้ดังนี้
  • 31 = เส้นผ่าศูนย์กลางยาง มีหน่วยเป็นนิ้ว
  • 10.5 = ความกว้างยาง มีหน่วยเป็นนิ้ว
  • R = โครงสร้างยางแบบเรเดียล
  • 16 = เส้นผ่าศูนย์กลางกระทะล้อ มีหน่วยเป็นนิ้ว

*ตารางแสดงดัชนีน้ำหนักบรรทุกสูงสุด

ส่วนการดูวันเดือนปีที่ผลิตนั้น ให้สังเกตตัวเลข 4 หลัก ที่อยู่ในวงรีเล็กๆ ใกล้ๆ ตัวย่อ DOT ยกตัวอย่างเช่น 1015 ในที่นี้ เลข 2 ตัวแรก 10 จะบอกถึงสัปดาห์ที่ผลิตยางขึ้นมา ถ้าให้ประมาณก็ราวๆ เดือนมีนาคม ส่วนตัวเลขอีก 2 ตัวที่เหลือ 15 จะบอกถึงปี ค.ศ. ที่ผลิต ซึ่งถ้าให้ดูโดยรวมแล้ว ยางวงนี้ผลิตขึ้นเมื่อ เดือนมีนาคม 2015 ซึ่งหากอยากได้ยางใหม่ๆ ให้สังเกตดูที่ตรงนี้นั่นเอง

จำเอาไว้ว่า ขนาดยางเองก็มีความสำคัญเหมือนกัน จะเลือกใช้แบบไหนก็คิดให้ดี เพราะบางคนเน้นใช้งานหนัก บางคนใช้ขับสบายๆ และบางคนแต่งสวยงาม ดังนั้นเลือกใช้ให้ถูกประเภทดีกว่า อย่าเลือกเพราะสวย แต่ใช้งานไม่คุ้มค่า ไม่งั้นได้เสียเงินเปลี่ยนบ่อยๆ แน่

ขอบคุณข้อมูลจาก: Silkspan

พ.ร.บ

แต่งรถเลี่ยงความผิด พ.ร.บ.

หลายคนอาจยังไม่รู้ว่ารถที่คุณซื้อมานั้นสามารถดัดแปลงได้ แต่ต้องทำให้ถูกหลัก พ.ร.บ. ในบทความนี้ CARRO เลยนำวิธีแต่งรถดี ๆ ไม่ให้ผิดหลัก พ.ร.บ. มาฝากกัน

หลายคนอาจจะยังไม่ทราบว่าการที่ได้เป็นผู้ถือกรรมสิทธิ์รถคันนั้นอย่างถูกต้องตามกฎหมาย แต่ถ้าคุณได้ทำการดัดแปลงรถ ไม่ว่าจะส่วนหนึ่งส่วนใดก็ตาม นอกเหลือจากกฎ พ.ร.บ จราจรกำหนดไว้ ก็จะถือว่าคุณได้ทำผิดกฎหมายโดยทันที !

แต่ก็ไม่ใช่ว่านักซิ่งรถทั้งหลาย หรือว่าใครก็ตามที่อยากจะแต่งรถนั้นไม่มีสิทธิ์ที่จะเปลี่ยนแปลงรถได้เลย เพราะว่าคุณมีสิทธิที่จะแต่งรถได้แบบถูกกฎหมาย แต่จะถูกกฎหมายได้อย่างไรนั้น ในบทความนี้จะมาบอก 5 วิธีที่จะทำให้คุณสามารถแต่งรถได้โดยไม่ผิดกฎหมาย

พ.ร.บ

1. โหลดเตี้ยได้ แต่ต้องไม่เกิน 40 เซนติเมตร

สำหรับสาวกรถซิ่งที่ชอบโหลดรถให้ต่ำและเตี้ย การันตีว่าคุณสามารถโหลดรถให้เตี้ยได้ แต่ต้องไม่เกิน 40 เซนติเมตรเท่านั้น เพราะถ้าหากมีความสูงน้อยกว่านี้ ก็จะผิดกฎหมายทันที โดยความสูงที่ว่านี้จะมีการวัดจากกึ่งกลางไฟหน้า ไปจนถึงระดับพื้นถนน

2. ยกสูงได้ แต่ต้องไม่เกิน 135 เซนติเมตร

ถ้าหากคุณไม่ชอบโหลดรถเตี้ย แต่อยากโหลดรถให้สูงขึ้น สำหรับนำไปใช้ในจุดประสงค์ใดก็แล้วแต่ ก็สามารถโหลดรถให้สูงได้ แต่ว่าก็ต้องไม่เกิน 135 เซนติเมตร เพราะถ้าหากมีความสูงมากกว่านี้ ก็ถือว่าเป็นการผิดกฎหมาย ดังนั้นผู้ที่ต้องการยกรถให้สูง ก็ต้องทำการวัดให้ดี โดยใช้หลักเกณฑ์การวัดจากกึ่งกลางไฟหน้า ไปจนถึงระดับพื้นถนน

3. สามารถติดไฟซีนอนได้ แต่ต้องเลือกสีให้ถูกต้อง และมีองศาตกกระทบที่ถูกต้อง

สำหรับคนที่ชอบติดไฟซีนอน ก็สามารถติดได้แบบไม่ผิดกฎหมาย แต่จะติดไฟซีนอนได้แค่ สีขาว และสีเหลืองอ่อนเท่านั้น สำหรับสีอื่นๆ อาทิ สีเขียว สีส้ม สีม่วง ก็ไม่ได้ทั้งนั้น ดังนั้นถ้าหากใครจะคิดจะติดไฟซีนอน ก็อย่าลืมเลือกใช้สีที่ถูกกฎหมาย แต่ถ้าหากติดแล้ว เมื่อนำเข้าเครื่องทดสอบโคมไฟ ลำแสงจะต้องตกเป็นแนวระนาบไม่น้อยกว่า 2 องศา

พ.ร.บ

4. เปลี่ยนฝากระโปรงได้ แต่ต้องสีเดียวกับตัวรถ

หากใครเบื่อสีเดิมๆ ของตัวรถ อยากจะเพิ่มสีสันให้กับรถของคุณ ก็สามารถเปลี่ยนสีฝากระโปรงรถได้ แต่มีข้อห้ามว่า ต้องไม่เกิน 50% ของสีรถทั้งคัน หรือถ้าหากใครต้องการที่จะเปลี่ยนทั้งหน้าฝากระโปรงหน้า และฝากระโปรงหลัง แนะนำว่าไม่ควรทำ เพราะถ้าหากคุณเปลี่ยนทั้งสองอย่างนี้พร้อมกัน จะถือว่าผิดกฎหมายทันที

5. ล้อแมกซ์เปลี่ยนให้ใหญ่ได้ แต่ห้ามเกินขนาด

คนที่ชอบเปลี่ยนล้อแมกซ์ สามารถเลือกล้อแมกซ์ที่มีขนาดใหญ่กว่าของเดิมได้ โดยไม่ผิดกฎหมาย เนื่องจากตามกฎหมาย ไม่มีการระบุขนาดล้อรถยนต์ เพราะการเปลี่ยนล้อแมกช์นั้นไม่ได้เป็นตัวเพิ่มความเสี่ยงในการเกิดอุบัติเหตุ แต่ถ้าหากล้อแมกซ์ที่คุณติดตั้งใหม่นั้นมีขนาดที่ใหญ่มากจนเกินออกมานอกบังโคลนรถหลายนิ้ว หรือตามการพิจารณาของเจ้าหน้าที่ ก็จะถือว่าผิดกฎหมายทันที

พ.ร.บ

ซึ่งหลัก 5 ข้อนี้ ก็จะช่วยให้คุณสามารถตรวจสอบรถมือสองที่เพิ่งซื้อมาได้ด้วยเช่นกัน เพราะถ้าหากรถคันนั้นมีการดัดแปลงมาโดยไม่ถูกหลัก พ.ร.บ. ก็จะทำให้ไม่สามารถโอนรถได้โดยสมบูรณ์นั่นเอง (สามารถอ่านข้อมูลเพิ่มเติมได้ ที่นี่)

โอนรถอย่างไร ที่ผู้ซื้อ-ขาย และเต็นท์รถ ไม่โดนหลอก!

การซื้อขายรถแบบโอนลอย เรียกได้ว่ามีการใช้วิธีนี้มานานแล้ว เนื่องจากความสะดวกของผู้ขายรถ ที่ไม่ต้องเสียเวลาไปดำเนินการโอนทางทะเบียนให้ที่สำนักงานขนส่งฯ ด้วยตนเองพร้อมกับเจ้าของรถคนใหม่ หรือขายรถให้กับเต็นท์รถ ตัวเจ้าของรถก็มอบชุดโอน ให้เต็นท์รถไปจัดการเอาเอง

แต่รู้หรือไม่ว่า โอนลอย อาจสร้างปัญหาให้คุณมากกว่าที่คิดได้ ถึงขั้นติดคุกติดตะราง จากสิ่งที่ตัวเองไม่ได้ก่อเลยทีเดียว!

บทความนี้ CARRO จะมาเปิดเผยเคล็ดลับ สำหรับผู้ซื้อ ผู้ขาย และเต็นท์รถมือสอง ที่จะช่วยให้ทุกฝ่าย ซื้อ-ขายรถไปแล้วไม่ต้องมีปัญหาตามมาในภายหลัง ไม่ต้องเสี่ยงต่อการถูกฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งโดนหลอก หรือถูกนำเอาเอกสารไปใช้ในทางมิชอบอีกต่อไป

เนื่องจากข้อมูลเหล่านี้เป็นเกร็ดความรู้เล็กๆ น้อยๆ ที่คนส่วนใหญ่มักจะไม่รู้ ดังนั้นถ้าหากคุณได้นำหลัก 5 ข้อนี้ไปใช้ ก็รับรองได้เลยว่า การโอนกรรมสิทธิ์ ที่เป็นขั้นตอนสำคัญของการซื้อ-ขาย รถมือสองของคุณ จะปลอดภัยอย่างแน่นอน

Carro-คนขายรถ

เคล็ดลับสำหรับผู้ขาย

  • เซ็นเอกสารต้องบอกจุดประสงค์
    ในการเซ็นเอกสารทุกอย่างสำหรับผู้ขาย หรือแม้แต่หนังสือมอบอำนาจที่ผู้ขายจะต้องเซ็นในช่องผู้รับโอน ทุกครั้งที่มีการลงลายเซ็นเกิดขึ้น รวมถึงการเซ็นสำเนาถูกต้อง แนะนำให้เขียนบอกจุดประสงค์ลงไปข้างๆ ด้วย อาทิ “การใช้เอกสารเพื่อดำเนินการเกี่ยวกับรถยนต์เลขทะเบียน … เท่านั้น” หรือ “หนังสือมอบอำนาจสำหรับการดำเนินการโอนกรรมสิทธิ์รถยนต์เท่านั้น” เป็นต้น หรือจะลงวันที่กำกับไว้ด้วยก็ได้ (แต่ต้องมั่นใจว่า คนซื้อจะไปโอนรถภายใน 15 วันหลังจากที่คุณขายรถแล้ว หากเลยวันกำหนด คนไปโอนรถโดนปรับอีก)
  • สัญญาซื้อ-ขาย ต้องห้ามหาย
    เอกสารที่สำคัญเป็นอันดับหนึ่งคือ “สัญญาซื้อ-ขายรถ” เพราะถือว่าเป็นหลักฐานการซื้อขายเพียงอย่างเดียวตามกฎหมาย ห้ามหาย เพราะเราไม่รู้ว่าคนที่ซื้อรถคุณไป จะเอารถไปทำเรื่องผิดกฎหมายแบบที่เห็นเป็นข่าวหรือเปล่า เช่น ไปขนยาเสพติด ไปขนไม้เถื่อน หรือไม่ยอมโอนรถ จนใบสั่งส่งมาให้ที่บ้านเพียบ หรือมีรถฝาแฝด รถหลุดจำนำ หรือซากรถ ถูกสวมทะเบียนมาการเก็บสัญญาซื้อ-ขาย ไว้ เป็นหลักฐานสำหรับไว้ให้ตำรวจ หรือหน่วยงานต่างๆ ตรวจสอบได้ กรณีรถของคุณขายไปแล้ว ถูกนำไปใช้ในทางมิชอบทางกฎหมายส่วนเอกสารพวกสำเนาบัตรประชาชน หนังสือมอบอำนาจ หรือทะเบียนบ้าน นั้นถือเป็นแค่เอกสารประกอบการโอนกรรมสิทธิ์เท่านั้น ( สามารถดาวน์โหลดได้ที่นี่ >> th.carro.co/download )

Carro-คนซื้อรถ

เคล็ดลับสำหรับผู้ซื้อ

  • วันหมดอายุของสำเนาบัตรประชาชนเป็นสิ่งสำคัญ
    ไม่ว่าคุณจะเป็นผู้ซื้อ หรือผู้ขาย เวลาที่เตรียมสำเนาบัตรประชาชน อย่าลืมดูวันหมดอายุของบัตรประชาชนให้ดี เพราะถ้าหากวันที่คุณไปดำเนินการโอนรถ เอกสารสำเนาบัตรประชาชนได้หมดอายุไปแล้ว ก็จะไม่สามารถดำเนินการโอนรถได้ต้องเสียเวลาไปตามหาเจ้าของรถคนที่เคยขายให้คุณ บางทีรถเปลี่ยนมาหลายมือ หาเจ้าของเก่าไม่เจอ ยุ่งยากวุ่นวาย รถโอนไม่ได้อีก หรือถ้าหากผู้ขาย จงใจให้สำเนาบัตรประชาชนที่หมดอายุมา แสดงว่าอาจจะเป็นเอกสารปลอมก็เป็นได้
  • แต่งรถได้แต่ห้ามผิดหลัก พรบ.
    ก่อนที่จะไปทำการโอนกรรมสิทธิ์ คุณต้องแน่ใจให้ดีว่า รถคันนั้นเคยผ่านการดัดแปลงมาก่อนหรือไม่ และถ้าหากมีการดัดแปลง เจ้าของรถได้นำไปแจ้งต่อนายทะเบียนหรือเปล่า เพราะการแต่งรถบางประเภท อาจจะผิด พรบ. ก็ได้ ซึ่งมันอาจจะทำให้คุณเสียเวลาในการเตรียมเอกสารเพิ่ม ( อ่านต่อ เรื่องแต่งรถที่ไม่ผิด พรบ. )

Carro-เต็นท์รถ

เคล็ดลับสำหรับเต็นท์รถ

  • ห้ามระบุวันที่ถ้าหากยังไม่รู้จะไปโอนเมื่อไหร่
    การระบุวันที่ไว้ในแบบคำขอร้องขอโอนและรับโอน นั้นสำคัญมาก เพราะถ้าหากคุณได้ระบุวันที่ไปแล้ว และไม่ไปทำการโอนภายใน 15 วัน ก็จะถูกปรับ และเอกสารใบนั้นจะเป็นโฆฆะ ดังนั้นถ้าหากคุณยังไม่แน่ใจว่าจะไปทำการโอนวันไหน หรือแม้แต่กระทั่งการโอนลอย ก็ห้ามระบุวันที่ลงไป ถ้ายังไม่แน่ใจ
  • ลายเซ็นต้องครบ
    ลายเซ็นที่อยู่บนเอกสารทุกอย่าง รวมไปถึงการเซ็นสำเนาถูกต้อง ต้องครบ และทุกลายเซ็นจะต้องเป็นชื่อเดียวกัน และลายเซ็นเดียวกับชื่อผู้มีกรรมสิทธิ์รถคนสุดท้าย ในหนังสือคู่มือจดทะเบียนรถ

TIPS: อย่าลืมตรวจว่าชื่อผู้ขาย ตรงกับชื่อผู้มีกรรมสิทธิ์รถคนสุดท้ายในหนังสือจดทะเบียนรถหรือเปล่า เพราะผู้ทีมีสิทธิ์ในการโอนกรรมสิทธิ์ นั้นต้องเป็นรายชื่อผู้มีกรรมสิทธิ์รถคนสุดท้ายเท่านั้น

เมื่อคุณอ่านบทความนี้จบแล้ว และอยากรู้รายละเอียดเพิ่มเติมของการเตรียมเอกสาร หรือข้อมูลอื่นๆ สามารถอ่านเพิ่มเติมได้ที่ >> การโอนรถ โอนตรง โอนลอย คืออะไร? มีขั้นตอนอะไรบ้าง และ 3 ขั้นตอนการโอนรถ (เอกสาร ค่าธรรมเนียม สถานที่โอนรถ) ที่ผู้ซื้อ-ผู้ขายรถต้องรู้!

Carro-Express

ถ้าใครอยากขายรถตอนนี้ หรือกำลังตัดสินใจจะซื้อรถป้ายแดงอยู่พอดี แต่งบไม่พอ!  มาขายรถกับ CARRO Express สิ! หรือจะ Inbox มาขอรายละเอียดได้ที่ Facebook -> CARRO Thailand และ Add Line สอบถามรายละเอียดได้เช่นกัน ที่ @carrothai

และอีกหนึ่งบริการใหม่! CARRO Automall แหล่งรวมรถมือสองคุณภาพเยี่ยม ผ่านการตรวจสภาพแบบ Double Check รับประกันพร้อมโอนทุกคัน ฟรี! ค่าจัดโอน มีให้เลือกชมเพียบ เปิดบริการทุกวัน อยากซื้อรถคุณภาพเยี่ยม มาซื้อกับ CARRO Automall สิ!

หรือสนใจรถรุ่นไหนอยู่ แต่หาไม่ได้ สามารถสั่งตามออเดอร์ได้ที่นี้ > https://th.carro.co/buy-car หรือโทร. 02-508-8690 อีกทั้งยัง Inbox เข้ามาสอบถามก็ได้เช่นกันได้ที่ Facebook -> CARRO Automall – รถบ้านมือสอง หรือทาง Line เชิญเลยครับที่ @carroautomall

BMW Z4

มีพบก็ต้องมีพราก ถือเป็นสัจธรรม
ที่ใช้ได้กับโลกยานยนต์โดยแท้

วันนี้ Carro จะชวนคุณๆ มาดู 5 อันดับรถยนต์ที่เราจะไม่ได้เห็นอีกแล้วในปี 2017! ซึ่งหลายคันในกลุ่มนี้น่าจะเป็นรถในดวงใจของใครหลายคนเลยทีเดียว!

1. BMW Z4

คาดว่าอาจทำให้หลายคนงงงวยว่าโรดสเตอร์ยอดนิยมอย่าง Z4 เนี่ยนะจะไม่ได้ไปต่อ! มันเกิดขึ้นแล้วจริงๆ แต่ไม่ต้องตกอกตกใจไป มันเป็น Life Cycle ของ Z4 จ้า!

BMW Z4 เจนเนอเรชั่นปัจจุบันถือเป็นเจนเนอเรชั่นที่ 3 ซึ่งออกมาตั้งแต่ปี 2009 แล้ว แม้ว่าโฉมปัจจุบันของ Z4 จะเป็นโฉมที่หลายคนยอมรับว่าดีไซน์สวยงามที่สุด คว้ารางวัลมาแล้วหลายเวที แถมยังโดดเด่นมากในบรรดา Roadster ด้วยกัน แต่เรื่องน้ำหนักของรถซึ่งเพิ่มขึ้นจาก Hard Top ที่ออกแบบมาใหม่นั้นก็ยังเป็นปัญหา รวมถึงการทำความเร็วที่ยังเป็นรอง Porsche Boxster ด้วย

และช่วยไม่ได้จริงๆ ที่โรดสเตอร์เดี๋ยวนี้ขายยากขึ้นทุกวัน แถมผู้ซื้อก็เป็นกลุ่มเล็กๆ ทางผู้ผลิตจึงต้องมีการปรับปรุงและพัฒนารถกันอีกสักยก ในปี 2017 เราน่าจะได้เห็น Z5 ที่จะมาพร้อมกับความสำเร็จยิ่งกว่าเดิม! และก็อย่างที่รู้ๆ กันว่า BMW ได้จับมือกับ Toyota เพื่อพัฒนา Sport Car ร่วมกันมาตั้งแต่ปีที่แล้ว อย่างที่หลายคนน่าจะทราบแล้วว่า Toyota Supra รุ่นต่อไปจะใช้เครื่องยนต์ BMW! ฉะนั้น Z5 ที่จะเปิดตัวอย่างเป็นทางการในอนาคตอันใกล้นี้จึงน่าจะเป็นรถที่ร่วมมือกันระหว่าง BMW กับ Toyota เช่นกัน !

(BMW Z4)

(BMW Z5 Spy Shots)

2. Rolls – Royce Phantom

นับว่าผ่านมาร่วม 13 ปีแล้วหลังจากที่ Phantom รุ่นล่าสุดเปิดตัวออกมา แม้จะไม่ใช่รถที่เราจะสามารถพบเห็นได้บ่อยๆ แต่ก็น่าใจหายอยู่ไม่น้อยทีเดียว เพราะดูเหมือนว่า Phantom รุ่น Drophead Coupe’ (เปิดประทุน) และรุ่น Coupe’ (2 ประตู) จะไปแล้วไปลับ เหลือไว้เพียงรุ่นลิมูซีนเท่านั้น!

(Rolls – Royce Phantom Coupe’)

(Rolls – Royce Phantom Drophead Coupe’)

3. Honda CR – Z

ซีอาร์ – ซีร์เพิ่งจะเข้ามาในประเทศไทยได้ไม่กี่ปี แต่ในอเมริกาจะเลิกขายแล้ว! นับว่ารถไฮบริดจากค่ายฮอนด้าคันนี้มีชะตากรรมที่น่าสงสารอย่างยิ่ง เพราะแม้แต่ในไทยซึ่งนิยมรถญี่ปุ่น เราก็ยังไม่ค่อยจะเห็น CR-Z บนท้องถนนบ่อยนัก ส่วนเมืองนอกซึ่งนิยมรถไฮบริดมากกว่าก็ดันประกาศเลิกผลิต!

ความแป้กของยอดขาย CR-Z นั้นเป็นที่คาดการณ์มาล่วงหน้านานแล้ว สาเหตุก็เพราะ CR-Z เป็นรถที่ไปไม่สุดเลยสักทาง จะเป็นคูเป้ที่ขับสนุกก็ไม่ใช่ เป็นอีโคคาร์ก็ไม่เชิง อีกทั้งในแง่ของความประหยัดน้ำมันนั้น คู่แข่งอย่าง Toyota Prius ก็ทำได้ดีกว่ามาก  Honda CR-Z จึงโบกมือลาตลาดอมริกาไปด้วยประการฉะนี้

(Honda CR-Z)

4. Volvo S80

ถือเป็นรุ่นที่อยู่มาเกือบ 10 ปีแล้วสำหรับ S80 คันนี้! หลังจากต้องยืนหยัดแข่งขันกับ BMW 5 series และ Mercedes Benz E-Class อย่างแสนสตรองมาร่วมทศวรรษ และประสบความล้มเหลวไม่เป็นท่ากับยอดขายมาหลายปีติดๆ กัน แม้ว่าทางผู้ผลิตพยายามยื้อชีวิต S80 ด้วยการเติมโน่นนิด เติมนี่หน่อย และใส่เครื่องยนต์เทอร์โบชาร์ต 4 สูบลงไปในรุ่นที่วางขายปี 2015 ก็ตาม

ในที่สุดทาง Volvo ก็ตัดสินใจปลดระวาง S80 แล้ว และมีแผนที่จะส่ง S90 ซึ่งมีเทคโนโลยีเครื่องยนต์ทันสมัยกว่า และดีไซน์หรูหรามีระดับมากกว่าออกมาทดแทนในอนาคตอันใกล้นี้!

(Volvo S80)

5. Dodge Viper

หากคุณไม่ใช่แฟน Sport Car คงไม่ตกใจมากนัก แต่สำหรับคนรักรถสมรรถนะสูงทั่วโลก การที่ Viper จะเลิกผลิตในอเมริกานั้นถือเป็นเรื่องสะเทือนขวัญทีเดียว ด้วยสมรรถนะ ดีไซน์ และเสน่ห์หลายอย่างประกอบกัน Viper ได้กลายเป็นขวัญใจของคนรัก Sport Car จำนวนมาก! แต่เป็นที่แน่นอนแล้วว่า หลังจากรุ่น Limited Edition เปิดตัวในปีหน้า อสรพิษจากค่าย Dodge จะเป็นรถอีกรุ่นหนึ่งที่จะไม่มีขายอีกแล้ว! เรื่องนี้ทำให้สื่อมวลชนหลายเจ้าโจมตีว่า พฤติกรรมของผู้บริโภคชาวอเมริกันปัจจุบันคงกลายเป็นพังพอนไปแล้ว! Viper จึงสามารถครองพื้นที่ในโชว์รูมต่อไปได้! (Viper แปลว่า งูพิษ)

(Dodge Viper)

เอาเป็นว่า Carro ขอแจ้งข่าวให้คนรักรถได้รับรู้ทั่วกัน 5 อันดับรถที่กล่าวมานี้ไม่ผลิตและวางขายในอเมริกาเหนือแล้วจ้า! แต่แฟนๆ ก็ไม่ต้องเสียอกเสียใจไป เพราะบางคันยังหาได้ในตลาดรถมือสอง! ใครที่สนใจรถมือสองสภาพดี ลองเข้าไปเลือกชม เลือกหาซื้อได้บนเว็บไซต์คาร์โรเลย! ถ้าไม่อยากพลาดข่าวสารและโปรเด็ดๆ ในแวดวงรถยนต์มือสอง มาติดตามได้ที่ได้ที่ facebook : Carro thailand แล้วเราจะได้ใกล้ชิดกันมากกว่าเดิม!

TAX2016

เป็นที่สนใจของการปรับขึ้น ภาษีสรรพสามิตรถยนต์ใหม่ทั้งระบบในปี 2559 การคิดภาษีของรถใหม่ป้ายแดง ประเภทต่างๆ

จากภาษีที่มีการปรับขึ้นนี้ อาจเป็นการชี้ทิศทางตลาดรถยนต์ในเมืองไทยที่จะมีการเปลี่ยนแปลง เพราะราคาที่เพิ่มสูงขึ้นสุดโหด ของรถป้ายแดง

“ป้ายแดงที่ภาษีลง แต่ราคากลับไม่ลด งงปะ…”คาดว่าค่ายผู้ผลิตจะต้องปรับราคาขึ้นจากภาษีที่ปรับสูงขึ้นของรถแต่ละรุ่น มีบางค่ายรถยนต์ออกมาประกาศถึงราคารถใหม่ในปี 2559 แล้วด้วยซ้ำ เห็นได้ว่าราคารถแพงขึ้น เป็นหลักแสนก็มี รถบางประเภทก็มีการปรับลดภาษีเช่นกัน ได้แก่ Eco Car ที่มีการเพิ่มเฟส 2 มาด้วยแต่การที่ภาษีปรับลดลง ไม่ได้เป็นสิ่งยืนยันถึงราคารถใหม่ ป้ายแดงจะลดลงด้วยนะ เพราะราคารถขึ้นอยู่กับค่ายผู้ผลิตเป็นผู้กำหนดเอง Eco Car บางค่ายมีการออกรุ่นใหม่ Minor change เพื่อรอรับกับภาษีใหม่นี้โดยเฉพาะ แต่ราคากลับไม่ลดจากเดิม เป็นการเพิ่ม Option ต่างๆ ของรถเข้าไปแทน ซึ่งจะดีใจทั้งทีก็ไม่สุดที่ภาษีรถ Eco Car ประเภทนี้ลดลง แต่ราคารถกลับเท่าเดิมหรืออาจจะเพิ่มขึ้นอีกด้วยซ้ำ


ภาษีใหม่ปี 59 ป้ายแดงแพงโหดโอกาสทองรถมือสอง | Carro

“ประเภทรถยนต์ที่ภาษีขึ้น ราคาขึ้นจากเดิมเป็นแสน”

คนที่กำลังสนใจจะตัดสินใจซื้อรถป้ายแดง คงต้องรีบตัดสินใจกันก่อนสิ้นปี 2558 นี้แล้วเพราะจากภาษีใหม่ของรถประเภทที่ภาษีขึ้นมี ถ้าลองคิดตามเปอร์เซ็นที่มีการเพิ่มขึ้นนี้ คาดว่าราคาป้ายแดงจะขึ้นเป็นแสนไม่ก็หลายหมื่น ขึ้นอยู่กับผู้ผลิตแต่ละค่ายว่าจะใจดี อยากกระตุ้นยอดขาย ขึ้นราคารถไม่มาก บางรุ่นขายได้อยู่แล้วก็อาจจะขึ้นราคาแบบคาดไม่ถึงเลยก็เป็นได้ อ้างภาษีขึ้นทีก็เถียงอะไรไม่ได้อยากได้จริงๆ ก็ต้องยอมจ่าย


ภาษีใหม่ปี 59 ป้ายแดงแพงโหดโอกาสทองรถมือสอง | Carro

“อย่าสับสน!! ภาษีประจำปียังเท่าเดิม โอกาสทองรถมือสอง” 

ภาษีสรรพสามิตรไม่ได้เกี่ยวอะไรกับภาษีประจำปีที่ต้องเสียทุกปี ฉะนั้นอย่าสับสน  รถทั่วไปที่วิ่งตามท้องถนน ไม่มีผลกระทบใดๆ

ภาษีรถป้ายแดงขึ้นเอาๆ พาให้ราคารถไปถึงผู้ซื้อเพิ่มขึ้นอย่างสุดโหด ทำให้ผู้ต้องการจะซื้อรถ อาจหันมาพิจารณาซื้อรถมือสอง ที่ตอนนี้ตลาดกำลังคึกคัก น่าจะเหมาะสมกับสภาพเศรษฐกิจในตอนนี้มากที่สุดในเรื่องของราคารถมือสอง ประกอบกับที่หน่วยงานของรัฐเข้ามาช่วยคุ้มครองผู้ซื้อรถยนต์มือสอง เช่น การบังคับของสำนักงานคุ้มครองผู้บริโภคให้ผู้ประกอบการรถยนต์มือสองต้องออก “ฉลากรถมือสอง” เพื่อระบุสเปคของตัวรถให้ชัดเจน และถูกต้อง เป็น เป็นต้น

นอกจากนี้การเลือกซื้อรถยนต์มือสองยังมีผู้ให้บริการ ที่ช่วยให้การตรวจสอบสภาพรถยนต์แต่ละคันที่จะซื้อ เพื่อช่วยให้ผู้ซื้อรถยนต์มือสองมั่นใจในสภาพของรถคันนั้นๆ ที่กำลังตัดสินใจอยู่ว่าได้ รถที่สภาพที่ดี ไม่เคยชนหนัก มีการตัดต่อ หรือเป็นรถขโมยมาเป็นต้น

ไฟแนนซ์สำหรับการซื้อรถมือสอง การพิจารณาให้อนุมัติก็ง่ายและรวดเร็วมากขึ้น ผู้ให้บริการไฟแนนซ์ มีตัวช่วยเพื่ออำนวยความสะดวก และช่วยตัดสินใจให้ผู้ซื้อรถมือสองได้อีกทาง

                           ภาษีใหม่ปี 59 ป้ายแดงแพงโหดโอกาสทองรถมือสอง | Carro

การหมุนเวียนของรถทั้งผู้ซื้อและผู้ขายมีมาก ผู้ขายมีทั้งรถเต้นท์และรถบ้าน ยิ่งเพิ่มตัวเลือกให้กับผู้ซื้อที่มีความต้องการในรถรุ่นนั้น ตลาดซื้อขายรถยนต์มือสองออนไลน์  ยิ่งเป็นช่องทางสำคัญที่จะให้ผู้ซื้อพบผู้ขาย เจอรถที่เหมาะสมกับราคาได้ง่ายมากขึ้น

นับว่าตลาดรถยนต์มือสองเป็นโอกาสที่ดีที่จะทำให้ผู้บริโภคมาสนใจ พร้อมด้วยตัวช่วยต่างๆ มากมาย ที่จะให้ผู้บริโภคหันมาเลือกใช้รถมือสองมากยิ่งขึ้น การที่จะได้รถมือสองดีๆ สภาพเยี่ยม สักคันไม่ยากอีกต่อไปแล้ว

 

Pejero
ถือเป็นเรื่องน่าปวดหัวอีกเรื่องหนึ่งสำหรับผู้ที่ซื้อ – ขายรถมือสองเลยทีเดียว เพราะดูเหมือนยังมีคนอีกจำนวนมากที่เข้าใจว่า Mitsubishi Pajero กับ Mitsubishi Pajero Sport นั้นเป็นรถโมเดลเดียวกัน!

อันที่จริง หากไม่นับเรื่องชื่อที่คล้ายกัน และมาจากค่ายเดียวกันแล้ว รถ 2 รุ่นนี้ก็แทบจะไม่มีความเกี่ยวข้องอะไรกันเลย!!!

ก่อนอื่น เรามาดูหน้าตาของ Pajero และ Pajero Sport กันก่อน


(Pajero VS Pajero Sport)

จุดเริ่มต้นแห่งความงง

สาเหตุแห่งความเข้าใจผิดนี้เริ่มขึ้นในปี 2551 ปีนั้น Mitsubishi ประเทศไทยได้ประกาศว่าจะเลิกวางจำหน่ายรถยนต์รุ่น Pajero และในปีเดียวกัน ก็ได้มีการเปิดตัวรถโฉมใหม่ที่มีชื่อว่า “Mitsubishi Pajero Sport” จนหลายคนหลงเข้าใจผิดว่า “อ๋อ! ที่แท้ Pajero Sport จะมาแทน Pajero นี่เอง”

แต่มันเป็นความเข้าใจที่ “ผิด” อย่างมหันต์ เพราะถ้าหากยังจำกันได้ กาลครั้งหนึ่ง มิตซูฯ ได้เคยขายรถที่ชื่อว่า Strada G-Wagon (หรือที่รู้จักในชื่อว่า Mitsubishi Challenger) มาก่อน นั่นแหละคือบรรพบุรุษที่แท้จริงของ Pajero Sport! คือเป็นรถ Generation แรกของปาเจโร่ สปอร์ต ก่อนที่จะมีการเปลี่ยนชื่อจาก Strada G-Wagon (อ่านว่า สตราด้า จี-แวกอน) มาเป็น Pajero Sport นั่นเอง

แล้วเปลี่ยนชื่อทำไม? คำตอบคือในปี พ.ศ. 2549 Mitsubishi ได้ประกาศว่าจะเลิกผลิตรถกระบะรุ่นดังของค่ายอย่าง “Mitsubishi Strada” ซึ่งในขณะนั้นมีอายุผลิตภัณฑ์ราวๆ 10 ปีแล้ว และแทนที่ด้วย “Mitsubishi Triton” กระบะรุ่นใหม่ซึ่งมีเทคโนโลยีที่ทันสมัยกว่า

รถ Generation แรกอย่าง Strada G – Wagon ซึ่งวางขายมาแต่เดิมนั้นมีพืื้นฐานมากจากกระบะมิตซูฯ สตราด้า แต่รถ Generation ใหม่ที่ออกมามีพื้นฐานมากกระบะมิตซูฯ ไทรทัน ทางผู้ผลิตจึงถือโอกาสนี้เปลี่ยนชื่อโมเดลเสียใหม่เป็น “Pajero Sport” ซึ่งเป็นชื่อที่ใช้ทำการตลาดในแถบยุโรปมาตลอด


(Strada G Wagon หรือ Pajero Sport Gen แรก)

SUV หรือ PPV?
ถ้าคุณเข้าใจมาตลอดว่า Pajero เป็นรถ SUV (Sport Utility Vehicle) ส่วน Pajero Sport เป็นรถ PPV  (Pick Up Based Passenger Vehicle) ความเข้าใจของคุณก็ถือว่าถูกแล้วตามความนิยมในประเทศไทย

ปัญหาคลาสสิกอย่างหนึ่งของค่ายรถยนต์ในบ้านเราก็คือการแบ่งประเภทของรถยนต์แบบไม่ค่อยอ้างอิงระบบสากลนี่เอง

ขอให้เข้าใจตรงกันก่อนว่า ตามหลักสากลนั้น รถประเภท SUV จะผลิตขึ้นมาโดยการทำ Chassis ขึ้นมาใหม่โดยเฉพาะ หรือจะไปเอา Chassis ของรถกระบะมาใช้ก็ได้ เหตุที่เลือกเอา Chassis ของรถกระบะมาใช้ก็ เพราะเป็นรถที่ทนทาน จะเอาไปขับออฟโร้ดก็ดี จะขับขี่ในเมืองก็ไม่เป็นปัญหา อีกทั้งทางผู้ผลิตเองก็มีชิ้นส่วนอยู่แล้วครบครัน

แต่ก็จะมีรถ SUV บางประเภทที่เอา Chassis มาจากรถเก๋ง รถแบบนี้จะเรียกว่า Crossover SUV คือเป็น SUV ที่ทำมาเพื่อเอาใจคนเมือง เหมาะกับไลฟ์สไตล์ในเมือง สามารถขับขี่ได้อย่างนุ่มนวลกว่า SUV พื้นฐานกระบะ แต่ไม่ใช่รถที่จะใช้อย่างสมบุกสมบันได้มากนัก

ในประเทศไทย จะเรียกรถ SUV แท้ๆ ตามหลักสากลว่า PPV (PPV เป็นคำที่มีใช้ในประเทศไทยเท่านั้น ประเทศอื่นๆ ไม่ได้ใช้) แต่จะเรียก Crossover SUV ว่า SUV เฉยๆ

ฉะนั้น Pajero กับ Pajero Sport ตามหลักสากลแล้วถือเป็น SUV ทั้งคู่ กล่าวคือ Pajero เป็น SUV ที่มีการทำ Chassis ขึ้นมาใหม่โดยเฉพาะ (จะเห็นได้ว่า Gen แรกๆ หน้าตาคล้าย Jeep มาก) ส่วน Pajero Sport ใช้ Chassis ของ Strada (เฉพาะ Gen แรก) และ Triton (Gen ที่ 2 เป็นต้นมา)

ปัจจุบันทั้ง 2 โมเดลนี้ไปถึงไหนแล้ว?
 รถ Mitsubishi Pajero เลิกผลิตและวางจำหน่ายในประเทศไทยไปแล้ว โดย Generation สุดท้ายที่วางจำหน่ายในไทยคือ Generation ที่ 4 และวางจำหน่ายจนถึงปี 2552 อย่างไรก็ตาม รถปาเจโร่ทุกๆ โฉมที่เคยขายในไทยยังหาได้ในตลาดมือสอง หากคุณชมชอบความเท่สไตล์ปาเจโร่ก็หามาครอบครองได้


(ปาเจโร่รุ่นล่าสุดที่วางขายในประเทศญี่ปุ่น)

 รถ Mitsubishi Pajero Sport ที่วางขายอยู่ปัจจุบันคือ Generation ที่ 3 ซึ่งได้รับการตอบรับที่ดีมากจากคนไทยซึ่งนิยม PPV Pajero Sport ถือเป็นคู่แข่งตัวฉกาจของ Fortuner จากค่าย Toyota  Everest จากค่าย Ford รวมถึง Trailblazer จาก Chevrolet


(ปาเจโร่ สปอร์ตเจ็นใหม่)

สำหรับใครที่ชมชอบรถมือสอง อยากจับจองปาเจโร่ หรือปาเจโร่สปอร์ตไปขับเล่นสักคัน Trusteecar (ทรัสตี้คาร์) มีรถครบทุกโฉม หลายระดับราคา รอให้คุณเลือกอย่างจุใจอยู่แล้ว! ถ้าสนใจรถคันไหนอยู่ แต่อยากมั่นใจเรื่องสภาพรถก่อน คุณก็สามารถให้ทรัสตี้คาร์ไปตรวจสภาพให้ได้ด้วย! จะรออะไรอีก กดเข้าไปที่ลิงก์ต่อไปนี้ได้เลย!
Pajero Sport: mitsubishi-pajero-sport
Pajero: mitsubishi-pajero 

หากต้องการสอบถามเพิ่มเติม หรือมีข้อข้องใจในการใช้บริการใดๆ จาก Carro มาสอบถามได้ที่ เพจ Facebook: Carrothailand หรือมาเป็นเพื่อนกันที่ Line: Carrothailand ได้เลย

Rover-LandRover-RangeRover

สิ่งที่เรากำลังจะคุยกันต่อไปนี้ น่าจะเป็นคำถามที่คนขายรถ เต็นท์รถมือสอง ไปจนถึงเซลส์ขายรถจำนวนมาก ต้องเคยถูกลูกค้าถามมาก่อน ว่า Rover (โรเวอร์), Land Rover (แลนด์ โรเวอร์) และ Range Rover (เรนจ์ โรเวอร์) (อาจรวมแบรนด์ Roewe ด้วย) เป็นรถยี่ห้อเดียวกันหรือเปล่า?

MR.CARRO แน่ใจว่า มีคนไทยจำนวนไม่น้อยเลยที่ยังสับสนในเรื่องนี้ เพราะในตลาดรถยนต์บ้านเรานิยมรถญี่ปุ่นกันส่วนใหญ่ ถ้าหากถามเรื่องรถ Toyota, Honda รับรองว่าเข้าใจตรงกัน ไม่มีสับสนอย่างแน่นอน

เอาล่ะ MR.CARRO จะมาเคลียร์กันให้ชัดๆ ไปเลยครับว่า Rover, Land Rover และ Range Rover สรุปว่ามันยี่ห้อเดียวกันมั้ย?

Rover-Mini-Cooper-S-Final-Edition-UK-Spec

Rover Mini รถยอดฮิตในยุค 90 ของ Rover Group ในบ้านเรา

รถ Rover กับ Land Rover (และ Range Rover) ในปัจจุบัน ถือเป็นรถคนละยี่ห้อกัน แต่ยังคงมีความเกี่ยวข้องกันในอดีต ดังนี้

– Land Rover เป็นชื่อยี่ห้อหรือแบรนด์ (Make) ซึ่งถือกำเนิดขึ้นในปี 1948
– ส่วน Range Rover เป็นชื่อรุ่น (Model) และถือกำเนิดขึ้นในปี 1970
– แต่ Rover เป็นบริษัทผู้ผลิตในอดีต! (หรือเป็นที่รู้จักในนาม Rover Company และ Rover Group) อดีตเป็นบริษัทในเครือของ BMW ปัจจุบันเป็นแบรนด์ในเครือของ TATA Motors ซึ่ง Rover ยังไม่มีผลิตรถขายในตอนนี้ …
– อีกฟากหนึ่งของโลก SAIC Motor ของจีน ได้ตัดสินใจซื้อแบรนด์ MG (MG เคยเป็นแบรนด์รถที่เคยอยู่ในเครือของ Rover Group) ในปี 2548 ช่วงที่อุตสาหกรรมยานยนต์ในอังกฤษล่มสลาย จากทาง BMW (ซึ่งเป็นเจ้าของแบรนด์รถทั้งหมดของ Rover Group ในเวลานั้น) และเคยร่วมทุนประกอบรถยนต์ Rover ในเซี่ยงไฮ้ พอเมื่อรถยนต์ Rover เลิกกิจการ ทาง SAIC ก็ยังประกอบรถขายต่อ แต่ไม่ได้ซื้อแบรนด์ Rover ต่อจาก BMW จึงต้องเปลี่ยนชื่อมาเป็น “Roewe” (โรวี่) แทน

สรุปคือ

– Land Rover กับ Rover ในอดีตนั้น เป็นคนละยี่ห้อกัน! แต่ผลิตจากบริษัทเดียวกัน
– และ Jaguar Land Rover Corporate เป็นบริษัทที่เกิดจากรวมกันของ Jaguar และ Land Rover ภายใต้การบริหารของบริษัทแม่ในปัจจุบัน ซึ่งก็คือ TATA Motors

Rover-600

Rover 623 GSi อีกรุ่นยอดฮิต ของ Rover บ้านเราในอดีต

ถ้าคุณยังสับสนอยู่ Carro มี Timeline ให้คุณดู! วงจรชีวิตอันแสนสับสนวุ่นวายของ Land Rover มีดังนี้

จะเห็นได้เลยว่า Land Rover นั้นถูกส่งต่อไปหลายบริษัทมาก และสามารถสังเกตได้ในช่วงตั้งแต่ปี 1994 – 2008 จะพบว่า Land Rover และ Range Rover เคยอยู่กับ BMW ตั้งแต่ปี 1994 ต่อมาในปี 2000 BMW ได้ขายให้กับกลุ่ม Ford Premier Automotive Group (PAG) ไป

ส่วน Jaguar นั้นมาเอี่ยวด้วยในตอนท้าย เพราะ Ford ซึ่งเป็นบริษัทแม่ของ Jaguar และ Land Rover ตัดสินใจขายบริษัทลูกทั้งสองให้กับ TATA Motors ในปี 2008 แล้ว TATA Motors ซึ่งเป็นบริษัทแม่ ก็จับเอา Jaguar กับ Land Rover มายัดเข้าในบริษัทลูกที่มีชื่อว่า Jaguar Land Rover Corporate

Land-Rover-Defender-110

Land Rover Defender รถรุ่นสร้างชื่อเสียงของ Land Rover ในบ้านเราตั้งแต่อดีต

หากจะพูดถึงประวัติของรถ Rover, Land Rover และ Range Rover ในไทย ก็ขอย้อนไปสักประมาณยุค 90 ในยุคนั้น กำแพงภาษีรถยนต์ถูกลดลงมา ทำให้บรรดาบริษัทรถนำเข้าได้นำเข้ามาขายในไทยกันเพียบ ซึ่งรวมถึงรถยี่ห้อ Rover, Land Rover, Range Rover และ MG ซึ่งอยู่ในเครือ Rover Group ถูกนำเข้ามาขายโดย บริษัท ไทยอัลติเมทคาร์ จํากัด (เป็นบริษัทลูกของทาง ไทยรุ่งยูเนี่ยนคาร์ ของตระกูลเผอิญโชค ปัจจุบันขายแค่รถยนต์ของ Thairung อย่างเดียว)

จากความผันผวนทางด้านเศรษฐกิจเข้ามาเยือนไทยเมื่อปลายปี 2539 ทำให้ ไทยอัลติเมทคาร์ ได้รับผลกระทบจากยอดขายที่หดตัวลงอย่างรวดเร็ว ตั้งแต่ต้นปี 2540 เป็นต้นมา ถึงแม้ว่าจะสามารถรักษาระดับยอดขายเอาไว้ได้ก็ตาม

ต่อมาบริษัทก็เกิดวิกฤต จนต้องขายรถเหลือเพียงแค่แบรนด์ Land Rover และ Range Rover เท่านั้น ก่อนที่ ไทยอัลติเมทคาร์ จะเลิกขายรถที่นำเข้าจากอังกฤษไปประมาณปลายปี 2552

Range-Rover

Range Rover รถ SUV สุดหรู ยอดนิยมของผู้บริหารในบ้านเรามาตั้งแต่ยุค 90

บริษัท กัววา อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด ผู้ถือสิทธิ์แบรนด์แลนด์โรเวอร์ และเรนจ์โรเวอร์ ในยุโรปและเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ หรือ ASEAN ครอบคลุม 27 ประเทศทั่วโลก รวมทั้งประเทศไทยด้วย จึงแต่งตั้งผู้แทนจำหน่ายรายใหม่ 2-3 เจ้า (ซึ่งอยู่ได้ไม่นาน ก็ปิดไปเพราะปัญหาทางการเงิน) ก่อนจะมาได้ บริษัท อินช์เคป (ประเทศไทย) จำกัด ซึ่งเป็นผู้แทนจำหน่ายรถยนต์ Jaguar และ Land Rover ในปัจจุบัน

คงต้องพูดกันตรงๆ ว่า Land Rover ก็ไม่ใช่ค่ายรถที่มียอดขายรถในไทยสูงสักเท่าไหร่ ไม่เชื่อลองถามหา Land Rover รุ่นยอดนิยมสิ คนที่จะตอบคุณได้นั้น หากไม่ใช่คนที่ติดตามข่าวในแวดวงยานยนต์อย่างสม่ำเสมอ ก็น่าจะเป็นคนที่เล่นรถประเภทนี้จริงๆ หรือชื่นชอบรถยุโรปเป็นทุนเดิม ซึ่งก็ไม่ใช่กลุ่มที่ใหญ่มากในประเทศไทย

เหตุปัจจัยที่น่าจะเป็นตัวการให้ Land Rover ไม่บูมในประเทศไทยเท่าที่ควร ก็คงจะเป็นราคาจำหน่ายที่สูงมาก ค่านิยม กับรถรุ่นที่ตัวแทนจำหน่ายเลือกเข้ามาขาย รวมถึงจำนวนศูนย์บริการที่มีไม่มาก นี่ไม่ใช่ปัญหาของ Land Rover เพียงค่ายเดียว แต่ยังรวมถึงค่ายรถยุโรปหลายๆ เจ้าอีกด้วย

Range-Rover-Sport-Plug-in-Hybrid-2018

Range Rover ในปัจจุบัน ในราคาบ้านเราที่สูงลิบลิ่ว

จบไปแล้วกับสาระความรู้ว่าด้วยเรื่องของ Land Rover หากคุณไม่อยากพลาดเรื่องราวข่าวสารใหม่ๆ และสนใจรับโปรเด็ดๆ ก่อนใคร กดติดตาม Fanpage CARRO Thailand แล้วเราจะได้ใกล้ชิดกันมากกว่าเดิม!

ส่วนถ้าใครอยากขายรถ สามารถขายรถคันเดิมกับ CARRO Express ได้ เรายินดีรับซื้อรถของคุณ ได้เงินไว เร็ว พร้อมปิดการขายได้ทันที แค่คลิก https://th.carro.co/sell-car/express หรืออยากตีราคารถก่อน สามารถ Inbox สอบถามรายละเอียดได้ที่ Facebook CARRO Thailand

หรือจะ Add Line สอบถามรายละเอียดได้ที่ @Carrothailand หรือคลิกที่นี่ —> เพิ่มเพื่อน

แหล่งข้อมูลบางส่วนจาก:

nissan-sylphy

รีวิว Nissan Sylphy นิสสัน ซิลฟี่ มีดีที่ขนาด (ใหญ่)

รีวิว Nissan Sylphy นิสสัน ซิลฟี่ มีดีที่ขนาด (ใหญ่)

ดูเหมือนความนิยมของรถในกลุ่มคอมแพ็คคาร์ที่มีผู้เล่นในตลาดอย่างโตโยต้า อัลติส , ฮอนด้า ซีวิค , มาสด้า3 , เชฟโรเลต ครูซ , ฟอร์ด โฟกัส , นิสสัน ซิลฟี

ดูจะเงียบเหงา แลดูไม่ค่อยคึกคักสักเท่าไรสำหรับเซกเมนต์นี้ แต่เร็วๆนี้คาดว่าตลาดจะมีการแข่งขันกันอย่างดุเดือดอีกระลอก เพราะฮอนด้าจะมีการเปิดตัวซีวิคในรุ่นใหม่ เช่นเดียวกับฟอร์ด โฟกัส ส่วนโตโยต้า อัลติส ,มาสด้า 3 ก็ยังคงสดใหม่ หรือเชฟโรเลต ครูซ ที่แอบไปแต่งหน้าทาปาก

ขณะที่แบรนด์ที่ยังดูนิ่งๆน่าจะเป็น นิสสัน ซิลฟี่ ซึ่งวันนี้ผู้เขียนจะหยิบมาบอกเล่าว่ารถรุ่นนี้มีอะไรพกพาดีไซน์แบบไหน โดยก่อนหน้าที่จะเล่าถึงรูปลักษณ์ ก็ต้องบอกก่อนว่ารถรุ่นนี้มีขนาดเครื่องยนต์ให้เลือก 2 แบบ ได้แก่รุ่น1.6 ลิตร และ 1.8 ลิตร โดยในรุ่น 1.6 ลิตรนั้นมีตัวเลือกเพิ่มขึ้นมาด้วยการใส่เทอร์โบ ซึ่งใครที่เป็นสาวกของค่ายนิสสันก็ย่อมจะรู้ว่าเทอร์โบจากค่ายนี้มันไม่ธรรมดาแน่ๆ อย่างไรก็ตามวันนี้เราจะพาไปสัมผัสกับในรุ่น1.8ลิตร ที่มีให้เลือกด้วยกัน  2 รุ่นย่อยคือ V และ SV สนนราคาก็ตั้งแต่ 914,000 – 933,000 บาท

โดยการออกแบบด้านหน้าจะเห็นกระจังหน้า – กันชนหน้าดีไซน์สปอร์ต แตกต่างเพียงเล็กน้อยกับในรุ่น1.6 ลิตรตัวล่างที่เป็นกระจังหน้าแบบโครเมียม เช่นเดียวกับไฟหน้าที่มาพร้อมกับไฟหน้าโปรเจคเตอร์เลนส์ ซีนอน สามารถปรับระดับอัตโนมัติ มีไฟตัดหมอกคู่หน้าให้ ไฟหรี่และบั้นท้ายของซิลฟีเป็นแบบแอลอีดี มุมมองด้านข้างจะเห็นสเกิร์ตเล็กๆให้ดูมีมิติ มีความเป็นสปอร์ต ตัวเส้นสายด้านข้างทำให้ตัวรถไม่ดูแข็งกระด้างเกินไป ส่วนล้ออัลลอยขนาด 16 นิ้วก็ไม่ได้ขี้ริ้วขี้เหร่แต่อย่างใด แต่ถ้าถามว่าสวยที่สุดหรือยัง หรือเหมาะกับดีไซน์ตัวรถไหม…ก็ต้องบอกว่า…ยังไม่สุด!สำหรับดีไซน์ล้อแบบนี้

มาดูภายในห้องโดยสารกันบ้าง โดยรวมๆประเมินจากสายตาถือว่ากว้างขวางมาก โดยมิติของรถรุ่นนี้มีความยาว 4,615 มม. ความกว้าง 1,760 มม. ความสูง 1,495 มม. ซึ่งถือว่าสูงที่สุดเมื่อเทียบกับรุ่นอื่นๆในคลาสเดียวกัน ส่วนภายในห้องโดยสารของรุ่น1.8 ลิตรจะมีให้เลือก 2 แบบคือสีเบจ ในรุ่น V  และสีดำในรุ่น  SV  วัสดุภายในก็มีทั้งแบบลายไม้และสีเงิน มาดูที่พวงมาลัยกันบ้าง โดยตัวพวงมาลัยหุ้มหนังสามารถปรับระดับได้4ทิศทาง และสามารถสั่งงานต่างๆผ่านปุ่มมัลติฟังก์ชั่นทั้งหลายไม่ว่าจะเป็น ระบบเปลี่ยนหน้าจอ MID บนพวงมาลัย ,การควบคุมเครื่องเสียง , Cruise Controlระบบควบคุมความเร็วอัตโนมัติ

ตัวมาตรวัดของซิลฟีเป็นแบบอนาล้อกเรืองแสงและสามารถปรับระดับแสงได้ ถือว่าดูง่าย สบายตา ตัวจอมัลติฟังก์ชั่น ดิสเพลย์จะให้ข้อมูลอัตราการสิ้นเปลืองน้ำมันในขณะขับขี่ หรืออัตราสิ้นเปลืองโดยเฉลี่ย,ความเร็วเฉลี่ย ,ระยะทางที่ขับขี่, อุณหภูมิภายนอก  ตรงคอนโซลกลางจะพบกับระบบปรับอากาศแยกซ้ายขวา อัตโนมัติ ต่ำลงมาจะเจอกับหน้าจอแอลอีดีขนาด 5 นิ้ว พร้อมทั้งความบันเทิงต่างๆอาทิ เครื่องเล่นวิทยุ,ซีดี,เอ็มพี3,ช่องเสียบ AUX IN ลำโพง 6 ตัว,สามารถเชื่อมต่อ Bluetooth และระบบนิสสัน คอนเนคแอพพลิเคชั่นที่เอาไว้เชื่อมต่อกับสมาร์ทโฟนเพื่อท่องโลกออนไลน์หรือโลกโซเซียลของเรา

ด้านความสบายในห้องโดยสาร สำหรับผู้ขับขี่นั้น ตัวเบาะที่นั่งปรับได้ 6 ทิศทาง ส่วนเบาะผู้โดยสารด้านหน้าปรับได้ 4 ทิศทาง พื้นที่ด้านหน้ากว้างขวางนั่งสบายไม่อึดอัด เช่นเดียวกับด้านหลังสามารถนั่งสามคนได้สบาย ไม่ว่าจะสูงยาว-อ้วนเตี้ยก็รับได้ แถมด้านหลังยังมีช่องแอร์เป็นของตัวเอง ถือว่าเป็นจุดเด่นของรถรุ่นนี้เลยก็ว่าได้  และที่โดดเด่นอีกประการของรถรุ่นนี้ก็คือ พื้นที่ด้านหลังในการเก็บของมีความจุมากถึง 510 ลิตร ซึ่งถือว่าเยอะมาก เหมาะกับผู้ที่ชื่นชอบการขนของสัมภาระต่างๆ

โดยรวมแล้วในแง่ของดีไซน์ ยังไม่ถึงกับว้าว แต่ถ้าพูดถึงจุดเด่นอย่างห้องโดยสารที่กว้างขวาง สะดวกสบายก็ถือว่าตอบโจทย์ เอาเป็นว่าใครที่กำลังมองหารถในเซกเมนต์นี้อยู่ ก็ลองแวะเข้าไปสัมผัสและทดลองขับกันก่อนจะตัดสินใจกันอีกที

ถ้าถามเฉพาะเรื่องหน้าตาการออกแบบ ก็ต้องบอกว่าสวยงามตามมาตรฐาน แต่ไม่ถึงกับต้องร้อง “ว้าว” เพราะผู้เขียนมองแว่บแรกนึกว่า อัลเมร่า ซึ่งเป็นอีโคคาร์ที่มีขนาดที่ใหญ่มากกกกกและเป็นรุ่นที่ขายดีเป็นเทน้ำเทท่าของนิสสัน แต่พอมาดูมุมด้านข้างกับการตกแต่ง อุปกรณ์ต่างๆแล้วก็ค่อยร้องอ๋อ..นี่มันซิลฟี่จ๊ะ!! มิใช่ อัลเมร่า!!

ส่วนข้อดีของรถรุ่นนี้ที่ประทับใจก็คือภายในห้องโดยสารที่กว้างขวาง ใครที่ต้องการความโอ่อ่าสะดวกสบายก็น่าจะถูกใจกับเจ้ารถรุ่นนี้ไม่น้อย

mazda-bt-50

Review Mazda BT-50 จากหนุ่มหล่อเจ้าสำอาง กลายมาเป็นหนุ่มหล่อคมเข้ม

พูดถึงตลาด รถปิกอัพ ในบ้านเรา แน่นอน ว่าภาพจำของหลายคน หน้าตา ของรถปิกอัพนั้นจะต้อมีสไตล์ แข็งแกร่ง บึกบึน  พร้อมลุยไปในทุกเส้นทาง แต่สำหรับมาสด้า บีที -50 คันนี้ ต้องบอกว่าภาพจำดังกล่าวค่อยๆ เลือนหาย

ตั้งแต่มาสด้าส่ง บีที -50 คันนี้ออกสู่ตลาดบ้านเราเมื่อช่วง 3 ปีที่ผ่านมาหรือ ราวปี พ.ศ.2555 ได้สร้างปรากฎการณ์ใหม่ให้กับตลาดปิกอัพ เพราะมาสด้าตั้งใจให้ รถ คันนี้ออกมาเป็นรถปิกอัพเข้าไปมาขึ้น เน้น ความสะดวกสบายภายในห้องโดยสาร ใส่ความเป็นรถเก๋ง หรือพูดให้เข้าใจ มากขึ้น คือ ใส่ความเป็นเมือง เติมความหรูหรา  ให้เป็นรถปิกอัพที่ อัพเกรด ขับขี่ใช้ชีวิตในสังคมเมืองได้แบบไม่เคอะเขิน

แต่ในความเป็นจริงดูจะขัดแย้งกับโพซิชั่นที่มาสด้า วางไว้ เพราะด้วยขนาดของตัวถัง และขนาดโดยรวมของตัวรถแล้ว รถคันนี้น่าจะมีไซส์ที่ใหญ่สุดในบรรดารถปิกอัพบ้านเรา วัดจากการทดสอบในบรรดารถปิกอัพทั้งจากฝั่งอเมริกัน และยุโรป  บอกได้เลยว่า มาสด้า บีที -50 คันนี้ใหญ่คับเลนที่สุด

ซึ่งแน่นอนว่า เมื่อขับในทางนอกเมือง วิ่งระหว่างจังหวังหวัดรถคันนี้ ให้ความรู้สึกคล่องตัว และขุมพลัง ของแรงม้าทั้ง 150 ตัวที่ 3,700 รอบ ของเครื่องยนต์ดีเซล Di-Thunder Pro 2.2 ลิตร ทำงานพร้อมเกียร์อัตโนมัติ 6 สปีด นั้นหายห่วงทั้งขุมกำลัง และความคล่องตัวในการขับขี่ ยิ่งทางตรงยาว หรือ สภาพถนนค่อนข้างโล่งนั้น เจ้า บีที คันนี้สามารถโลดโจนทะยานไปข้างหน้าได้ชนิดที่หาตัวจับได้ยาก…

ส่วนความหนึบหนับ  การยึดเกาะถนนนั้น ถือว่าทำออกมาได้ค่อนข้างเนียนกริบลบภาพปิกอัพเดิมๆ ที่ท้ายเบาออกไป แต่หากนำมาใช้ขับขี่เอง….ตามคอนเซ็ปต์ที่ เป็นปิกอัพเพื่อความสะดวกสบาย สไตล์ เก๋ง เพิ่ม ความหรูหรา และภูมิฐานเมื่อใช้งานงานเมืองนั้น  หากพูดตามคอนเซ็ปต์นั้นสวยหรู แต่เมื่อทดลองใช้งานจริงรถปิกอัพอย่างไร ภาพก็ยังคงเป็นรถปิกอัพเพียงแค่ เสริมด้วยชุดแต่ง อุปกรณ์ความเนี๊ยบเข้ามา


แต่เมื่อมาพูดถึงเรื่อง ความรู้ขณะขับขี่… นั้นคนละเรื่อง ด้วยขนาดของตัวรถที่ใหญ่ กลับกลายเป็นปัญหา ยิ่งสภาพการจราจรที่หนาแน่นในเขตเมืองแล้ว  นอกจากทัศนวิสัยของตัวรถนั้นดีเยี่ยม เพราะขนาดสูงใหญ่ทีมีให้มองหน้า มองหลัง มองข้าง นั้นชัดเจน แต่ความคล่องตัวของตัวรถหายไปจะเปลี่ยนเลน มุดขึ้นลง ซ้ายขวา นั้นต้องกะระยะให้ดี แถมยิ่งต้องตั้งสติ ระมัดระวัง เพื่อนร่วมเส้นทาง กลายเป็นความกังวล

ส่วนพวงมาลัยนั้นคนละเรื่องกับการวิ่งนอกเมื่อง เพราะทั้งหนักและต้องออกแรง (อาจจะเป็นเพราะต้องเพิ่มทักษะ ความระมัดระวังยิ่งขึ้น อีกสิ่งที่ค่อนข้างลำบากคือจังหวะการจอดถอยเข้า ออกซอง ต้องกะระยะ ให้ชัวร์ภายในห้องโดยสารไม่ทิ้งกลิ่นอายความสปอร์ต  ใส่ใจในรายละเอียดตั้งแต่คอนโซลหน้า เบาะที่นั่ง  อุปกรณ์อำนวยความสะดวก มีมาให้ครบครัน

มาสด้า บีที -50 ปิกอัพ สไตล์รถยนต์นั่งสปอร์ต หรูหรา  เหมาะสมสำหรับการวิ่งทั้งนอกเมืองและนอกเมือง แต่ การขับขี่ในเมือง ผู้ขับที่เป็นสุภาพสตรี อาจจะเหมาะกับคุณผู้หญิงที่บุคลิกทะมัดทะแมงคล่องตัว น่าจะเหมาะสม(กว่า)  เพราะด้วยขนาดตัวรถค่อนข้างใหญ่ อาจจะทำให้การควบคุมการขับขี่ในเส้นทางในเมืองนั้นไม่ใช่เรื่องง่าย แถมจะสุนทรีย์ทางการขับขี่อาจจะหายไปแต่ถ้า มั่นใจ…. และชื่นชอบรถสไตล์นี้ ต้องบอกว่า มาสด้า BT-50 คันนี้ นั้นน่าสนใจไม่น้อย ที่สำคัญ คุณจะกลายเป็นสาวมั่น สาวเท่ขึ้นมาทันที