Smart-Reasons-For-Buy-Used-Car

ซื้อรถมือสองดีไหม?? คำถามนี้อาจยังติดใจของคนที่กำลังจะตัดสินใจซื้อรถหลายท่าน ด้วยเหตุผลนานับประการ

Used-Car

แต่ความเป็นจริงแล้ว!! รถมือสองมีดีกว่าที่คุณคิดมาก เมื่อยังไม่แน่ใจ CARRO จะช่วยให้คุณได้เห็นมุมมองใหม่ ของการที่จะซื้อรถมือสอง มันไม่ยากเลยที่จะมีรถมือสองดีๆ สักคันมาใช้งาน และถ้าคำตอบของคุณยังไม่แน่ใจว่าจะเลือกรถมือสองหรือไม่…

ลองมาดูเหตุผลง่ายๆ ที่จะทำให้คุณมองรถมือสองเปลี่ยนไป …

Used-Car

1. ได้รถในราคาที่ถูกกว่า!!

งบประมาณเป็นปัจจัยหลักของการเลือกซื้อรถ จะดีไหม? หากมีรถขับในรุ่นเดียวกับคนอื่น แต่ซื้อมาในราคาที่ถูกกว่ารถมือสองจะช่วยประหยัดเงินของคุณ และได้รถรุ่นที่ยังไม่ตกรุ่น ในตลาดรถยนต์มือสองจะเห็นว่ามีรถป้ายแดง ที่ถูกนำมาขายเป็นมือสองเยอะพอสมควร

ถ้าคุณเลือกซื้อรถมือสอง แทนที่จะเป็นป้ายแดง รถมือสองที่ปีเก่ากว่าปีปัจจุบัน และยังไม่ตกรุ่น จะช่วยคุณประหยัดเงินไปตั้งแต่ หลักหมื่นไปจนถึงแสนบาท

:: รถมือสองสภาพเหมือนรถป้ายแดงมีเยอะ ลองเลือกรถในรุ่นปีที่เก่าลงมาจากปัจจุบันสัก 2-3 ปี จะทำให้คุณประหยัดได้เป็นแสน

รถมือสองที่น่าสนใจดูเพิ่มเติม

Used-Car

2. รถมือสองสภาพดีๆ มีเยอะ

สิ่งที่ผู้ซื้อโดยทั่วไปคิดกันก็คือ “รถมือสองต้องไม่ดี เคยชนหนักจนต้องขาย” แต่ในความเป็นจริงแล้วรถมือสองไม่เป็นแบบนั้นทั้งหมด รถมือสองที่สภาพดีมีขายอยู่เยอะ ไม่จริงเสมอไปที่รถมือสองทุกคันจะต้องเคยชนหนัก อาจจะเพียงแค่เฉี่ยวเล็กน้อยไม่ส่งผลต่อโครงสร้างรถยนต์ ซึ่งมีโอกาสเกิดขึ้นได้กับรถใช้งานทั่วไป

สาเหตุที่รถยนต์แต่ละคันจะถูกนำมาขายเป็นรถมือสองมีได้หลายเหตุผล ไม่ว่าจะเป็น เจ้าของจำเป็นต้องขายทั้งที่ยังอยากเก็บไว้ใช้อยู่ หรือจะเป็นรถที่ถูกยึดมาเพราะผ่อนไม่ไหว เป็นต้น

:: อย่าไปกลัวที่จะซื้อรถมือสอง ผู้ช่วยมีเยอะ ซื้อรถมือสองไม่ยากอย่างที่คิด 

Used-Car

3. ออกรถง่ายๆ ไม่ต้องรอ

รถป้ายแดงสมัยนี้ รอรถตั้งแต่ 3 เดือนยาวไปถึงครึ่งปี ยิ่งจองรถที รับรถปีหน้า ในรุ่นรถยอดนิยมขาดตลาด และก็มีข่าวอยู่บ่อยๆ ว่ารถป้ายแดงออกมาและเกิดปัญหาต่างๆ ไม่ได้มาตรฐาน

แล้วสำหรับผู้ซื้อที่ต้องการใช้รถจริงๆ ละจะทำอย่างไร ??

สำหรับคนที่จะซื้อรถแล้ว เรื่องหนึ่งที่เป็นข้อดีของรถมือสอง คือทางผู้ขายมีโปรโมชั่นต่างๆ ในการช่วยให้ผู้ซื้อสามารถเป็นเจ้าของรถได้ง่าย อำนวยความสะดวกเต็มที่

ถ้าซื้อเงินสด ก็สามารถรับรถไปได้เลยในทันที แต่ถ้างบประมาณของรถที่จะซื้อไม่พอต้องมี การขอไฟแนนซ์  ไม่ว่าจะเป็นทั้งในเรื่องฟรีดาวน์ ดาวน์น้อย หรือการขอไฟแนนซ์ที่พยายามให้ผ่านแม้ผู้ซื้อจะติดแบล็คลิสต์

:: ถ้าต้องการใช้รถ ไม่อยากรอ รถมือสองคือทางเลือกที่ดีที่สุด อีกอย่างที่สำคัญถ้าซื้อเงินสดได้จะช่วยประหยัดเงินของคุณไปได้อีกเยอะ

Used-Car

4. ได้รถในฝันในราคาที่เอื้อมถึง

เคยคิดไหม? ว่าฝันอยากได้รถบางคันแต่ราคาป้ายแดง แพงจนเกินเอื้อมจริงๆ เช่น Mercedes-BenzBMW ทั้งด้วยความเป็น Brand นำเข้าจากต่างประเทศ และเต็มไปด้วย Option ราคาป้ายแดงในปัจจุบันเริ่มต้นก็ไม่ต่ำกว่า 2 ล้านบาทแล้ว

แต่เมื่อเวลาผ่านไป รถป้ายแดงกลายเป็นมือสอง ราคารถที่เคยฝันไว้ราคาก็ลดลงพอให้ผู้ฝันในรถรุ่นนั้นๆ เอื้อมถึง เป็นรถมือสองน่าใช้ และสภาพดี แม้จะเป็นรถเก่าแต่ในรถ (บางรุ่น) เทคโนโลยีที่ให้มากับรถยังทันสมัยกว่ารถป้ายแดงในปัจจุบัน (บางรุ่น) เสียอีก

ปัจจุบันในตลาดรถยนต์มือสอง บางรุ่น Mercedes-Benz, BMW ราคาถูกกว่ารถป้ายแดง ที่จะทยอยขึ้นราคามากขึ้นทุกวัน แบบนี้การซื้อรถมือสองจึงเป็นทางเลือกที่ดีอีกทางหนึ่ง ที่ผู้ซื้อจะได้รถที่เคยฝันไว้

Used-Car

:: ในแต่ละคนความชอบ ความใฝ่ฝัน ไม่เหมือนกัน ตอนออกใหม่รถคันนั้นอาจจะแพงไป และข้อดีของรถมือสองก็อยู่ตรงนี้ คือทำให้ความฝันยังสามารถเป็นจริงได้อยู่ในราคาที่ถูกกว่าทั้งหมดเป็นแค่เหตุผลเบื้องต้น ที่จะบอกให้ผู้ซื้อรู้จักกับมุมมองใหม่ๆ ของการซื้อรถ รถมือสองไม่น่ากลัวอย่างที่ใครๆ คิดมีผู้ช่วยในด้านต่างๆ ของการเลือกรถที่คุณต้องการ ไม่แน่บางที การซื้อรถมือสอง อาจเป็นทางเลือกที่เหมาะกับคุณที่สุดก็เป็นได้

สำหรับใครที่อ่านจบแล้ว รู้สึกอยากขายรถคันเดิมแบบด่วนๆ เพื่อนำเงินไปซื้อรถมือสองในฝันคันใหม่ ปรึกษา CARRO หรือขายรถกับ CARRO ได้ครับ โดยได้ราคาที่คุณพอใจ พร้อมปิดการขายภายใน 24 ชั่วโมง เชิญเข้าไปกรอกรายละเอียดได้ที่ https://th.carro.co/sell-car/express หรือสอบถามรายละเอียดเพิ่มได้ใน Fanpage “CARRO Thailand” ครับผม

mazda-3

Review Mazda3 ใหม่ สปอร์ตกว่าพี่..สวยกว่าพี่..น้องว่าไม่มีแล้วค่ะ !!

กดปุ่มสตาร์ทเครื่อง มาสด้า 3 ใหม่ ที่หลังแป้นพวงมาลัยเบาๆ เสียงคำรามของเครื่องยนต์สกายแอคทีฟ ก้องเข้ามาในห้องโดยสารให้รู้สึกได้ถึงพละกำลัง

และยิ่งเมื่อกดคันเร่งลงไปก็ยิ่งทำให้เห็นว่าเส้นทางแห่งความสนุกเร้าใจได้เริ่มขึ้นแล้ว ด้วยกำลังที่เรียกมาตั้งแต่ตีนต้น แบบชนิดหลังกระแทกเบาะ เมื่อเผลอกดคันเร่งแรงไปหน่อยเดียว

เส้นทางช่วงแรกยังอยู่ในชุมชน ทำให้ได้เห็นถึงความคล่องแคล่ว จากการหลบหลีกรถราเพื่อนร่วมถนนที่ทำได้อย่างสบายมือ และยิ่งเมื่อพ้นตัวเมือง ที่ทั้งทำความเร็วได้มากขึ้น รวมถึงเส้นทางคดโค้ง ช่วยให้ซึมซับถึงเทคโนโลยีสกายแอคทีฟที่มาสด้าภูมิใจนำเสนอมาตลอด ว่าเป็นอีกขั้นของอุตสาหกรรมยานยนต์ ที่พัฒนาขึ้นจากเครื่องยนต์สันดาปแบบเดิมให้มีสมรรถนะสูงขึ้น ประหยัดน้ำมัน และมลพิษลดลง

และมาสด้า 3 แฮทช์แบ็ค 5 ประตู ใหม่นี้ พัฒนาให้เป็นสกายแอคทีฟแบบเต็มรูปแบบ ไม่ใช่แค่เครื่องยนต์เพราะช่วงล่าง พวงมาลัย ตัวถัง ระบบส่งกำลัง เบรก ให้มีความหนึบแน่น และสนุกสนานอยู่ในคันเดียว ภายนอกให้ความรู้สึกราวกับสปอร์ตหรูจากยุโรป กระจังหน้าเอกลักษณ์เฉพาะ ทรงห้าเหลี่ยม ลากยาวถึงไฟหน้า ไบ-ซีนอน พร้อมไฟสว่างกลางวัน หรือ แอลอีดี เดย์ไทม์ เส้นสายด้านข้างพริ้วไหวต่อเนื่องไปจนถึงด้านท้าย เฉียบคม ให้ความรู้สึกถึงพลัง ไฟท้ายดีไซน์สอดรับกับไฟหน้า

ภายในมาสด้าได้ออกแบบใหม่ จนทำให้ห้องโดยสารกว้างขึ้น โดยเฉพาะเบาะนั่งด้านหลัง ที่หลายคนเคยเปรยเบาๆ ว่าทั้งเจนเนอเรชั่น 1-2 ค่อนข้างแคบ  ดีไซน์ทุกอย่างเน้นอารมณ์สปอร์ต พวงมาลัยสามก้าน ตกแต่งด้วยวัสดุมันวาว พร้อมระบบมัลติฟังก์ชั่น แต่ที่ทำให้มาสด้า 3 ใหม่ ต่างจากรถญี่ปุ่นทั่วไป คือ แผงควบคุมอุปกรณ์ที่อยู่ตรงคอนโซลกลาง ที่นอกจากใช้ควบคุมทุกอย่างแล้ว ยังใช้ในการเชื่อมต่อกับอุปกรณ์ต่างๆ ให้เป็นหนึ่งเดียวกับตัวรถ ทำให้เบียดใกล้กับรถยุโรปชั้นดีได้อย่างกระชั้นชิด โดยมีจอแสดงผลดีไซน์โดนๆ อยู่กลางคอนโซลหน้า

และอีกสิ่งที่บ่งชี้ถึงความล้ำสมัย จอกระจกขนาดเล็กแสดงความเร็วแบบดิจิตอล อยู่เหนือมาตรวัดต่างๆ ไสตล์สปอร์ต เลื่อนตัวขึ้นมาเมื่อสตาร์ทเครื่องยนต์ และเลื่อนเก็บเมื่อดับเครื่องยนต์ หลังจากทดสอบไประยะหนึ่ง รับรู้ถึงอารมณ์การขับขี่ ที่ล้อกันไปกับ โคโดะ ดีไซน์ หรือจิตวิญญาณแห่งการเคลื่อนไหว เพราะไม่ว่าจะโค้งไหน เนินไหน ทำได้กระชับฉับไว มั่นใจกับช่วงล่าง ที่เอาอยู่ทุกครั้ง ประกอบกับพวงมาลัยคมกริบ วางรอยล้อได้อย่างใจ

เครื่องยนต์ 2.0 ลิตร ให้ความสะใจทั้งบนย่านความเร็วสูงที่แม้จะขึ้นไปถึงกว่า 180 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ที่เรียกมาได้ในเวลาแค่อึดใจ ไม่ว่าจะถนนเปียก หรือแห้ง ก็ยังรู้สึกถึงความเสถียรไม่มีวอกแวกให้ต้องหวาดหวั่น การเข้าโค้ง หรือหลบสิ่งกีดขวาง ที่บังเอิญเส้นทางที่ใช้ในวันนั้น มีพายุฝนพัดผ่าน ทำให้ต้นไม้ล้มเป็นระยะๆ ต้องโยกซ้าย-ขวา กันเป็นพัลวัน แต่ก็ผ่านได้อย่างเนียนๆ

เกียร์อัตโนมัติ 6 สปีดทำงานได้อย่างนุ่มนวล และถ้ายังไม่สะใจ มีโหมดเกียร์ธรรมดา ให้ได้สนุกยิ่งขึ้น มั่นใจกับระบบเบรก เพราะไม่ว่าจะเบรกในย่านความเร็วต่ำแค่กดเบาๆ หรือจังหวะทำความเร็วสูง แม้จะอยู่บนถนนเปียก ก็หยุดได้ฉับไว และไม่มีอาการท้ายปัด ล้อตายเลยแม้แต่น้อย

honda-mobilio

รีวิว Honda Mobilio อเนกประสงค์ก็ใช่!! แถมพกดีไซน์สปอร์ตมาอีก

ฮอนด้า โมบิลิโอ เปิดตัวสู่ตลาดบ้านเรามาหลายปีแล้ว และตอนนี้ก็ยังมีรถป้ายแดงขายกันอยู่ แถมยอดขายในแต่ละเดือนก็ไม่ได้ขี้ริ้วขี้เหร่แต่อย่างใด เรียกได้ว่าขายได้เรื่อยๆ โดย Honda Mobilio มือสองรุ่นนี้ มาพร้อมเครื่องยนต์ 1.5 ลิตร มีให้เลือกทั้งหมด 4 รุ่น ได้แก่

  • S MT ราคา  597,000 บาท
  • S CVT ราคา 642,000 บาท
  • V CVT ราคา 682,000 บาท
  • และรุ่นท็อป RS CVT ราคา 739,000 บาท

ขณะที่คู่แข่งตรงๆของโมบิลิโอ ก็คือโตโยต้า อแวนซ่า นั้นก็มีให้เลือก 5 รุ่น ราคาเริ่มต้นตั้งแต่ 584,000 – 749,000 บาท งานนี้ถ้าวัดเฉพาะราคาแล้วในรุ่นเริ่มต้นพี่โตโยต้าเคาะราคาได้ยั่วยวนใจกว่า แต่เมื่อหันไปดูรุ่นจัดเต็มอย่างรุ่นท้อปนั้น โมบิลิโอ ก็ชนะเลิศเพราะมีราคาที่ต่ำกว่า


สำหรับรถอเนกประสงค์ในกลุ่มนี้ เดิมทีมักจะดีไซน์กันมาแบบขาดๆ เกินๆ จะเล็กก็ไม่ใช่ จะใหญ่ก็ไม่เชิง ซึ่งผู้ผลิตรถยนต์แต่ละเจ้าก็คงพยายามที่จะแก้ไข และดีไซน์ออกมาให้สามารถตอบโจทย์ของลูกค้าให้ได้ดีมากที่สุด โดยเฉพาะอย่างโมบิลิโอ ที่มีการออกแบบให้ดูทันสมัย มีเพิ่มมูลค่าด้วยการแต่งนั่นนิด ใส่นี่หน่อย แต่ในแง่ของอรรถประโยชน์เพื่อการใช้สอยก็ไม่ละทิ้งไป เรียกได้ว่าลูกค้าเห็นตัวรถแล้วก็รู้สึกว่าคุ้มค่ากับที่จะจ่ายออกไป

โดยมิติของโมบิลิโอ นั้น มาพร้อมความยาว 4,398 มม. ความกว้าง 1,683 มม. และความสูง 1,603 มม.

ส่วนคู่แข่งอย่าง อแวนซ่า นั้น มีความยาว 4,140 มม. ,ความกว้าง 1,660 มม. และความสูง 1,695 มม. ถือว่ามิติใกล้เคียงกัน ไม่ได้แตกต่างอะไรกันมากมาย แต่ในแง่ของความสดใหม่ การดีไซน์ นั้นผู้เขียนก็แอบให้คะแนนโมบิลิโอมากกว่า

สำหรับดีไซน์ของโมบิลิโอ ตัวกระจังหน้าโครเมียมดีไซน์สปอร์ต ไฟหน้าโปรเจคเตอร์พร้อมทั้งไฟหรี่แบบแอลอีดี ด้านล่างลงมาหน่อยจะเห็นไฟตัดหมอกคู่หน้า และฮอนด้า ยังแอบเพิ่มความดุดันกับกันชนหน้าลายสปอร์ต เช่นเดียวกับมุมมองด้านข้างๆ จะมีสเกิร์ตเพิ่มมาตรง กรอบประตู และล้ออัลลอย ขนาด 15 นิ้ว ที่ส่วนตัวชอบมาก เพราะดีไซน์สวยจริงอะไรจริง แถมมองจากมุมนี้ตัวรถแอบดูหรูหรา เห็นแล้วนึกถึงรถอเนกประสงค์ในรุ่นใหญ่ๆ ของฮอนด้า ไม่ว่าจะเป็นโอดิสซีย์, สปาด้า

ส่วนบั้นท้ายของโมบิลิโอนั้นก็มีสเกิร์ตครบ ทั้งด้านบนที่มาพร้อมกับไฟเบรกดวงที่ 3 แบบแอลอีดี และกันชนหลังก็ดีไซน์ให้ดูสปอร์ตพร้อมทั้งมีลูกเล่นด้วยการทำปลอกท่อไอเสียสแตนเลส

มาดูภายในห้องโดยสารกันบ้าง อย่างที่บอกว่านี่คือรถอเนกประสงค์ ดังนั้นในแง่ของการขนคน และขนของนั้นจะเป็นหัวใจหลัก โดยโมบิลิโอ มีที่นั่งทั้งหมด 3 แถว สามารถนั่งได้ 7 คน แต่ถ้าอยากนั่งแบบสบายๆควรจะนั่งแค่ 6 ที่นั่งเท่านั้น เว้นซ่ะแต่แถว 2 จะมีผู้โดยสารตัวเล็กๆมานั่งเบียดกันให้ครบ 3 คน  ตัวเบาะนั่งแถว 2 มีพนักพิงและเลื่อนได้ 3 ระดับ และยังสามารถพับแบบ 60:40 ได้ หรือว่าจะพับแบบตลบเดียวก็ได้ ทำได้ง่ายมากไม่ต้องเปลืองแรง

นอกจากนั้นยังปรับเลื่อนไปข้างหน้าหรือดันไปข้างหลังตามความต้องการของผู้โดยสารได้ ซึ่งตรงนี้เองจะช่วยให้ผู้โดยสารแถว 3 แอบมีพื้นที่ในการวางขาเพิ่มขึ้นด้วย อย่างไรก็ตามหากเดินทางในระยะทางไกลๆและผู้โดยสารแถว 3 มีรูปร่างสูง ยาว ก็อาจจะเมื่อยล้าได้ แต่ในแถว 2 หรือที่นั่งคู่หน้า ก็ไม่ต้องห่วงนั่งได้สบาย


ความพิเศษในรุ่นท้อปของโมบิลิโอ ยังมีเพราะเบาะนั่งแถว 3 พนักพิงปรับเอนได้ 2 ระดับ ส่วนใครที่ต้องการจะขนสัมภาระก็ไม่ต้องห่วง เพราะเบาะแถว 2 และ 3 สามารถพับได้ โดยแถว 3 จะพับแยกแบบ 50:50 ใครต้องการเก็บของแบบไหนก็จัดสรรพื้นที่กันตามสะดวก  ส่วนใครที่ห่วงเรื่องอากาศร้อน – เย็นก็ไม่ต้องกังวลใจไป เพราะโมบิลิโอมีระบบปรับอากาศติดอยู่ตรงเพดานแถว 2 ที่จะกระจายความเย็นสำหรับผู้โดยสารแถว 2 และ แถว 3 ส่วนลำโพงที่ติดตั้งมากับรุ่นนี้มีด้วยกัน 4 ตัว

และสำหรับผู้ขับขี่ก้อสามารถควบคุมเครื่องเสียงได้ผ่านพวงมาลัยโดยไม่ต้องไปเอื้อมมือไปเตะที่หน้าจอ และสิ่งที่สังเกตเห็นหลังจากเข้ามาอยู่ในตัวรถก็คือที่วางแก้ว ที่กระจายอยู่รอบคัน นับรวมๆกันมีกว่า 11 จุด หันไปทางไหนก็เห็นแต่ที่วางแก้ว!!

โดยสรุปจากข้อมูลและการสัมผัสแบบพอหอมปากหอมคอ ก็แอบเทใจให้โมบิลิโอ มากกว่ารุ่นอื่นๆในเซกเมนต์เดียวกัน เพราะหน้าตาที่ดูสปอร์ต รูปทรงโดยรวมมีมิติ แถมยังแอบหรูในบางมุม กล่าวคือรวมๆของรถรุ่นนี้มีความลงตัวที่สุดในแง่ของการออกแบบในมุมมองของผู้เขียนเอง งานนี้ต้องบอกว่าหน้าตาดีมีชัยไปกว่าครึ่ง!!!

bmw-218

รีวิว :: BMW 218i Active Tourer M คิดดี….แต่ดีไซน์ยังไม่สุด!!

แปลกหูแปลกตาไม่ใช่น้อย สำหรับรถในรุ่น ซีรี่ส์ 2 Active Tourer ของค่ายใบพัดสีฟ้า บีเอ็มดับเบิลยู เพราะแว่บแรกที่ได้เห็นนึกว่าเป็นรถสัญชาติญี่ปุ่น มองอีกมุมก็เหมือนสัญชาติอเมริกัน …..มาอ๋อเอาก็ตอนเห็นกระจังหน้าและโลโก้นี่แหละ

สำหรับมุมมองด้านหน้าของ BMW 218i Active Tourer M Sport แน่นอนว่าสิ่งที่เป็นเอกลักษณ์คือกระจังหน้า ไล่เรียงมาถึงไฟหน้าแอลอีดีที่มีคุณสมบัติช่วยส่องสว่างเวลาเข้าโค้ง มุมซ้ายขวาด้านหน้ามีไฟตัดหมอก ที่ถูกครอบด้วยดีไซน์เก๋ๆ ตัวฝากระโปรงดูมีมิติเล็กน้อยเพราะมีการออกแบบเส้นสาย ทำให้ดีไซน์ด้านหน้าไม่ดูเรียบจนเกินไป อย่างไรก็ตามรูปทรงของตัวถังด้านหน้าที่มีขนาดเล็กๆ สั้นๆ กะทัดรัด ก็ยังแปลกตาอยู่ดี

ไล่เรียงมาด้านข้าง จะเห็นเส้นโค้งหลังคาและประตูขนาดใหญ่ ที่โดดเด่นอีกอย่างคือล้ออัลลอยของชุดแต่ง M ขนาด 18 นิ้ว แบบ Double Spoke ส่วนด้านหลังมีไฟท้ายรูปทรงแอล สปอยเลอร์หลังคา ส่งให้รถดูสปอร์ตมากขึ้น ขณะที่ประตูท้ายรถเปิดปิดง่าย และเปิดได้กว้างมากขึ้นเพราะมีขอบต่ำและตัวบานประตูก็มีขนาดใหญ่ โดยสรุปรูปลักษณ์ภายนอกของรถรุ่นนี้ยังไม่ค่อยถูกใจเท่าไร ดูขาดๆ เกินๆไม่สุด

เข้ามาสำรวจตรวจสอบภายในของรถรุ่นนี้ เดิมทีไม่ค่อยประทับใจกับดีไซน์ภายนอกสักเท่าไร แต่พอเข้ามาสัมผัสข้างใน ได้เห็นวัตถุดิบต่างๆที่นำมาตกแต่ง ก็ต้องบอกว่าพรีเมียม กริ๊บจริงๆ ตัวเบาะกับคอนโซลจะเห็นด้ายสีฟ้าตัดขอบกับสีดำของตัวคอนโซลและเบาะ ทำให้ดูดีมีมูลค่า อย่างไรก็ตามสิ่งที่ไม่ค่อยชอบใจสักเท่าไรน่าจะเป็นเรื่องของเบาะ เพราะเป็นเบาะผ้าสลับด้วยหนัง Alcantara ที่ดูจะบำรุงรักษาลำบาก

เมื่อลองเข้ามานั่งหลังพวงมาลัย ก็มีการปรับที่นั่งให้เหมาะสมกับสรีระ ซึ่งแน่นอนว่ารถระดับนี้สามารถปรับได้ด้วยระบบไฟฟ้า แถมยังมีลูกเล่นตรงเบาะที่นั่ง ที่ยกสูงช่วยเพิ่มวิสัยทัศน์ นอกจากนั้นแล้วยังสามารถเลื่อนปรับขยับไปด้านหน้าได้ มีให้ทั้งเบาะฝั่งคนขับและผู้โดยสารคู่หน้า โดยอารมณ์แรกที่ได้ลองเข้าไปนั่งรู้สึกแปลกๆ เหมือนจะเกะกะ แต่พอลองขยับๆ จนเข้าที่เข้าทางก็ต้องบอกว่าช่วยอำนวยความสะดวกสบายให้กับผู้โดยสารได้ดีไม่น้อย แถมตัวเบาะโอบกระชับ ไม่ไหลไม่ลื่น อย่างไรก็ตามผู้โดยสารที่เป็นผู้ใหญ่ (มาก) คุณพ่อหรือคุณแม่อาจจะไม่ชอบใจ เพราะดูขึ้นลงลำบาก แถมสัมผัสแรกในตอนที่จะก้าวขาไปนั่งก็ดูจะลำบากเล็กน้อย

ส่วนห้องโดยสารด้านหลัง มีช่องแอร์แยกอิสระ ไม่ต้องห่วงเรื่องความร้อน ตัวเบาะที่นั่งก็นั่งสบาย ไม่ติดหัว มีพื้นที่วางขา ถ้าผู้โดยสารแข้งขายาวหน่อยก็ปรับเลื่อนเพื่อเพิ่มพื้นที่วางแข้งขาของตนเองได้ และสำหรับผู้โดยสารที่ต้องการจะขนสัมภาระต่างๆและพื้นที่ห้องด้านหลังไม่พอก็สามารถพับเบาะที่นั่งได้ เพราะตัวเบาะพนักพิงแยกอิสระ 3 ชิ้น เป็นแบบสัดส่วน 40:20:40  พับง่าย และทำให้พื้นที่ด้านหลังเรียบสนิทไปด้วยกันหมด และหากพื้นที่จัดเก็บยังไม่พอ ก็จะมีช่องเก็บสัมภาระที่อยู่ใต้พื้น มีความจุประมาณ 70 ลิตรและมีถาดเอนกประสงค์สำหรับไว้เก็บของชิ้นเล็กๆเปิดปิดง่าย ไม่ยุ่งยาก แต่ช่วยในการจัดเก็บสัมภาระด้านหลังได้อย่างเป็นสัดเป็นส่วนมากขึ้น

ย้อนกลับมาดูอุปกรณ์เทคโนโลยีที่ใส่มาในรถรุ่นนี้กันดูบ้าง ที่เห็นเด่นชัดคือหน้าจอแอลอีดีขนาด 6.5 นิ้ว มีปุ่มควบคุม iDrive และแอพพลิเคชั่น BMW สำหรับเชื่อมต่อสมาร์ทโฟนภายในรถ ขณะที่พวกวิทยุหรือการเชื่อมต่อยูเอสบี AUX หรือบลูธูทก็มีพร้อมสรรพ

ส่วนข้อมูลเทคนิคของรถรุ่นนี้ ในส่วนของขุมพลังอยู่ที่ 1.5 ลิตร เครื่องยนต์เบนซิน 3 สูบ เทคโนโลยี บีเอ็มดับเบิลยู ทวินพาวเวอร์ เทอร์โบ ทำงานประสานกับเทคโนโลยี EfficientDynamics และระบบ ConnectedDrive เพื่อการเชื่อมต่อแบบรอบด้าน ขณะที่มิติตัวถังมาพร้อมกับความยาว 4,342 มม.,ความกว้าง 1,800 มม. และความสูง 1,586 มม. กำลังสูงสุด 136 แรงม้าที่ 4,400 รอบต่อนาที ,แรงบิดสูงสุดที่ 220 นิวตันเมตร ที่1,250 รอบต่อนาที ความเร็วสูงสุด 205 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ระบบขับเคลื่อนเกียร์อัตโนมัติ 6 จังหวะ

เรียกได้ว่าภายในชนะเลิศ แต่ภายนอกยังไม่ค่อยถูกใจสักเท่าไรนักสำหรับ BMW 218i Active Tourer M Sport  เอาเป็นว่าใครที่สนใจคงต้องลองไปสัมผัสกันดูที่โชว์รูมและศูนย์บริการจำนวน 22 แห่ง ใกล้ที่ไหนไปที่นั่น  สนนราคารถรุ่นนี้อยู่ที่ 2,499,000 บาท

BMW 218i Active Tourer M Sport อารมณ์แรกที่ได้เห็นจากด้านหน้าดูเป็นรถสปอร์ต แต่พอมาดูด้านข้างกลายเป็นรถเก๋งกึ่งครอบครัว กึ่งเอนกประสงค์ไปซ่ะอย่างนั้น โดยรวมๆในแง่ของดีไซน์การออกแบบไม่ค่อยพึงพอใจสักเท่าไรนัก ดูยังขาดๆเกินๆแต่พอเข้ามานั่งด้านในห้องโดยสาร ก็ต้องบอกว่าเรียบหรู เกร๋ๆตามสไตล์บีเอ็มดับเบิลยู เบาะนั่งสบาย ภายในกว้างขวาง มีพื้นที่จัดเก็บสัมภาระล้นปรี่ เรียกได้ว่าตัดสินใจลำบากจริงๆว่าจะซื้อหรือไม่ซื้อ!!!งานนี้คงต้องไปวัดกันที่สมรรถนะว่าจะตอบสนองความต้องการของผู้ใช้งานหรือไม่อย่างไร!!!!

volvo-s60

Review Volvo S60 – ซีดานเรียบหรู เอกลักษณ์เฉพาะในแบบวอลโว่

ซีดานเรียบหรู เอกลักษณ์เฉพาะในแบบวอลโว่ “ทุกชีวิตปลอดภัยในวอลโว่ …..สโลแกนที่อยู่ยงคงกระพันของรถยนต์จากประเทศสวีเดน แม้ช่วงหลังๆจะเงียบๆนิ่งๆแต่ก็ไม่ได้หายไปไหน

ยังคงทำตลาดในบ้านเราแบบค่อยเป็นค่อยไป แถมข่าวล่ามาเร็วก็คือเพิ่งจะมีการปรับโครงสร้างองค์กรการบริหารภายใน ซึ่งหลังจากนี้ก็น่าจะมีความชัดเจน และมีแนวทางตลาดออกมาแข่งขันกับคู่ต่อสู้ในกลุ่มเดียวกันได้อย่างสมน้ำสมเนื้อ

สำหรับผู้เขียนเองเพิ่งจะมีโอกาสได้สัมผัสและทดลองนั่งวอลโว่ ในรุ่น  S 60 T5 (220 HP) จริงๆในรุ่นนี้มีให้เลือกอีกหนึ่งตัวคือ S60 T4F (180HP) ความแตกต่างคือขนาดของเครื่องยนต์ แรงม้า ที่ในรุ่น S 60 T5  มาพร้อมเครื่องยนต์ที่ใหญ่กว่า  1969 ซีซี.แรงม้าอยู่ที่ 220 HP ขณะที่รุ่น S60 T4F มาพร้อมกับขุมพลัง 1596 ซีซี. 180 แรงม้า

ส่วนตัวเครื่องยนต์ของทั้งคู่รองรับเบนซิน สนนราคาในรุ่น  S 60 T5 อยู่ที่ 2,449,000 บาท

โดยรวมแล้วในความคิดเห็นของผู้เขียนเอง มองว่าในแง่ดีไซน์ภายนอกนั้นหากเทียบกับคู่แข่งในเซ็กเมนต์เดียวกัน แล้วผู้เขียนแอบเทใจให้กับคู่แข่งมากกว่า เพราะคู่แข่งอีก 2 แบรนด์อย่างบีเอ็มดับเบิลยู และเมอร์เซเดส-เบนซ์ในช่วงหลังๆมีการออกแบบรถให้ดูหนุ่มขึ้น สปอร์ตขึ้น

ขณะที่วอลโว่ นั้นแม้จะใส่ลูกเล่นหรือดีไซน์ใหม่แต่ก็ยังมีบุคลิกของผู้ใหญ่ใจดี สุขุม นุ่มลึกมากกว่า มาสำรวจภายในห้องโดยสาร แน่นอนว่ารถระดับนี้ ตัววัสดุอุปกรณ์ต่างๆนั้นค่อนข้างดูดี มีระดับ การดีไซน์หรือการออกแบบก็ไม่มากไปไม่น้อยไป ผู้เขียนเองแอบชอบใจกับภายในที่ดูสปอร์ต มากกว่าดีไซน์ภายนอกเสียอีก

โดยเฉพาะเบาะที่นั่งขนาดใหญ่โตในคู่หน้า นั่งสบาย โอบกระชับ การตัดเย็บเบาะที่นั่งดูใส่ใจในทุกรายละเอียด

เรียกว่าฝีมือกริ๊บจริงๆ ตรงแผงคอนโซลกลางยังเต็มไปด้วยสารพัดปุ่ม โดยมีหน้าจอสำหรับและเป็นที่ตั้งของระบบแอร์คอนดิชั่นที่มีระบบ Electronic Climate Control ช่วยรักษาอุณหภูมิในห้องโดยสารและยังสามารถปรับแยกกันได้ระหว่างคันขับและผู้โดยสารด้านหน้า ไล่ลงมาตรงกลางระหว่างเบาะคู่หน้าจะมีที่วางแก้ว ที่พักแขนซึ่งสามารถเก็บของต่างๆซึ่งในบริเวณนี้นี่เองที่จะมีช่องเสียบยูเอสบีซ่อนตัวอยู่

จุดเด่นหรือเทคโนโลยีที่วอลโว่พยายามนำเสนอในรถหลายๆรุ่นก็ถูกนำมาใส่ไว้ในรถรุ่นนี้เช่นเดียวกัน โดยเฉพาะเทคโนโลยี Sensus ที่จะรวบรวมความบันเทิงเริงใจทั้งหมดมาไว้ในระบบนี้ แถมยังสามารถเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตผ่านเทคโนโลยีนี้ได้อีกต่างหาก ซึ่งจุดนี้ผู้เขียนแอบเสียดายที่ยังไม่ได้ทดลองเล่นระบบดังกล่าว  โดยระหว่างการเดินทางมัวแต่ฟังเพลงจากวิทยุรวมไปถึงเปิดซีดีตามปกติ ก็เลยไม่ได้ทดสอบระบบดังกล่าวว่าเสถียรหรือใช้งานยากง่ายอย่างไร

อย่างไรก็ตามระบบเครื่องเสียงที่ติดตั้งมาค่อนข้างจะถูกใจ เปิดทีก็บูม บูม  ลื่นหูดีแท้ ช่วยให้การเดินทางไม่เงียบเหงาและไม่น่าเบื่อ โดยรวมในแง่ของดีไซน์ หากวัดเฉพาะภายนอกนั้น ตัวผู้เขียนมองว่าเป็นรถที่มีสไตล์เรียบหรู ไม่ได้ขี้ริ้วขี้เหร่ แต่ก็ไม่ได้ว้าว!!! ส่วนภายในนั้น ถูกใจผู้เขียนมากกว่าเพราะให้อารมณ์สปอร์ต ดูวัยรุ่น ล้ำสมัย เอาเป็นว่าใครที่อยากเป็นเจ้าของคงต้องไปทดลองขับกันดูว่าแท้จริงแล้วบุคลิกของรถรุ่นนี้เป็นอย่างไร จะถูกใจหรือไม่ จะหนุ่มหรือจะแก่ ก็ลองไปทดลองขับและสัมผัสกันได้ที่โชว์รูมวอลโว่ทั่วประเทศ

mercedes-benz-gle

Review Mercedes-Benz GLE-Class ครอสโอเวอร์หรู ราคาเริ่ด

ช่วงหลังๆ ดูเหมือนค่ายดาวสามแฉก จะมีรถรุ่นใหม่-ดีไซน์เก๋รๆ มาทำตลาดในบ้านเรามากขึ้น จากเดิมที่เน้นคลาส ซี-คลาส, อี-คลาส เอส-คลาส ทุกวันนี้ก็จัดเต็ม มีทั้งเอเอ็มจี, เอ, บี, ชี, ซีแอลเอ, ซีแอลเอส, อี, จีแอล, จีแอลเอ, จีแอลอี, เอ็ม, เอส, เอสแอลซี และวี เรียกได้ว่าครบ!!ตั้งแต่รถเก๋งคันเล็กดีไซน์พอเหมาะ ยันรถตู้ขนาดใหญ่ดีไซน์หรู ล่าสุดได้มีโอกาสสัมผัสกับรถในกลุ่มเอนกประสงค์ เอสยูวีหรือที่เบนซ์ให้คำนิยามว่าเป็นครอสโอเวอร์ ในรุ่น เมอร์เซเดส-เบนซ์ จีแอลอี 450 เอเอ็มจี คูเป้

แรกพบสบตากับเมอร์เซเดส-เบนซ์ จีแอลอี 450 เอเอ็มจี คูเป้ บอกเลยว่าโลโก้ดาวสามแฉกขนาดใหญ่นี่เตะตามาก ตัวกระจังหน้าเรื่อยไปจนถึงไฟหน้าทรงสปอร์ตแบบ  Avant-garde ไม่เพียงเท่านั้นไฟหน้ายังมาพร้อมเทคโนโลยีใหม่แบบเต็มรูปแบบ LED Intelligent Light System และเมื่อไล่ระดับสายตามมายังด้านข้างก็มีจุดดึงดูดสุดๆนั่นก็คือล้อแม็กของชุดแต่งเอเอ็มจีแบบ 22 นิ้ว 5 ก้านคู่ นี่ดูดุดัน เข้มมาก เมื่อสำรวจตรวจสอบมาถึงด้านหลังก็จะพบกับลิ้นสปอยเลอร์และแถบแถบโครเมียมที่ลาดยาว และไฟท้ายแอลอีดีซ้าย-ขวาก็ช่วยให้ดีไซน์ด้านหลังของรถคันนี้ดูไม่เทอะทะมากเกินไป

มาดูกันที่ภายใน สำหรับห้องโดยสารของ เมอร์เซเดส-เบนซ์ จีแอลอี 450 เอเอ็มจี คูเป้ โดยรวมค่อนข้างกว้างขวาง มีมิติการตกแต่งภายในที่ดูหรูหรา แต่แฝงความดุดันเล็กน้อย  โดยเฉพาะอย่างยิ่งเบาะหนังสีดำทรงสปอร์ต และเช่นเคยเบาะสามารถปรับให้เหมาะสมกับสรีระของเราได้ด้วยระบบไฟฟ้า และยังมีฟังก์ชั่นจดจำเหมือนดังเช่นรถรุ่นอื่นๆของเบนซ์ ส่วนพวงมาลัยเป็นแบบมัลติฟังก์ชั่นที่เต็มไปด้วยปุ่มต่างๆถึง 12 ปุ่มเพื่อเอื้อต่อการใช้งานง่าย และแอบเพิ่มลุกส์ให้ดูดุด้วยการหุ้มหนังให้ดูสปอร์ตไล่ระดับสายตามาที่แผงคอนโซล ที่มีลายไม้มาแซมๆ

และอย่างที่กล่าวไว้ รถคันนี้เป็นรถที่ดูหรูหรา แต่แอบดุในตัว ซึ่งความดุจะเป็นแบบผู้ใหญ่ ดูน่าเกรงขาม โดยแผงคอนโซลด้านหน้ามีจอแสดงผลขนาดใหญ่ 20.3 เซนติเมตร ที่จะช่วยเหลือผู้ขับขี่ทั้งการเป็นเนวิเกเตอร์,การต่อบลูธูท,การเปิดดูภาพถ่ายผ่านยูเอสบีหรือเอสดีการ์ด,การถอยจอดรถเพราะมีกล้องด้านหลังและยังมีกล้องแสดงภาพแบบ 360 องศาอีกด้วย

ส่วนความบันเทิงก็สามารถเชื่อมต่อระบบมัลติมีเดียในรูปแบบต่างๆทั้งอินเทอร์เน็ต,วิทยุ-ซีดีเพื่อฟังเพลง ซึ่งความโดดเด่นที่ผู้ขับขี่และผู้โดยสารที่ชอบฟังเพลงแบบดังๆเปิดแบบตูมๆอย่างเราก็ไม่ต้องห่วง เพราะรถคันนี้มาพร้อมระบบเสียงรอบทิศทางนั้นเอง

ส่วนคอนโซลตรงกลางที่คั่นระหว่างผู้ขับขี่และผู้โดยสาร นอกเหนือจากจะมีช่องเก็บของแล้ว ยังเป็นที่รวมของปุ่มอีกแล้ว โดยเป็นปุ่มปรับระบบช่วงล่างแบบต่างๆให้เหมาะสมกับสภาพท้องถนนที่ผู้ขับขี่จะต้องพบเจอ  จุดดึงดูดสายตาของรถคันนี้ที่ผู้ขับขี่หรือผู้โดยสารจะต้องมองอีกประการก็คือหลังคาซันรูฟขนาดใหญ่ สามารถเปิด-ปิดได้ด้วยระบบไฟฟ้า และด้วยสภาพอากาศร้อนๆแบบบ้านเรา ก็ไม่ต้องกังวลเพราะมีแผงบังแดดที่ทำงานด้วยระบบไฟฟ้าเช่นเดียวกัน เรียกว่ากดปุ๊ป มาปั๊ป และแผงดังกล่าวยังดูเนียนตาไม่ได้ดูแปลกแตกต่างไปกับตัวรถเลย

ลองมาดูพื้นที่ห้องโดยสารด้านหลังกันนิดหนึ่ง สำหรับตัวเบาะเป็นสีเดียวกับเบาะด้านหน้า ส่วนความกังวลใจว่าพื้นที่ด้านหลังจะเล็กไปไหม หรือ หากผู้โดยสารที่ตัวสูงใหญ่เข้ามานั่งแล้วจะดูอึดอัดไหม ก็ต้องบอกว่า อาจจะมีบ้างเล็กน้อยเพราะดีไซน์การออกแบบของตัวรถ ที่หลังคาโค้งลาดลงมา แต่โดยรวมๆก็ต้องบอกว่า นั่งได้ สบาย ไม่ได้รู้สึกติด หรือ อึดอัดมากเท่าไร และเมื่อเปิดดูฝากระโปรงรถเพื่อสำรวจพื้นที่จัดเก็บสัมภาระต่างๆก็ถือว่ากว้างขวาง เพียงพอกับมนุษย์ (ที่ชอบ) ขนได้อย่างแน่นอน

เรียกได้ว่าบอกเล่ากันพอหอมปาก หอมคอ ข้อมูลต่างๆโฟกัสเฉพาะดีไซน์การออกแบบและภายใน-ภายนอก หากจะสมรรถนะ หรือ การตอบสนองต่างๆสามารถอ่านรีวิวข้างเคียงได้ แต่โดยสรุปหากคุณผู้ชายที่กำลังมองหารถอเนกประสงค์ที่ขับแล้วดูหรูหรา แอบดุเล็กน้อย และรองรับไลฟ์สไตล์ทั้งการทำงานในเมือง และการขับขี่ท่องเที่ยวทั้งในแบบโสดๆ หรือแบบครอบครัวที่จะเดินทางไปที่ต่างๆในวันหยุดเสาร์-อาทิตย์ เจ้าเมอร์เซเดส-เบนซ์ จีแอลอี 450 เอเอ็มจี คูเป้ ก็ดูจะเป็นอีกหนึ่งทางเลือกที่น่าสนใจไม่น้อย ก็เอาเป็นว่า “เคาะ” หรือ “ดีล” ไปเลยสำหรับรถรุ่นนี้ สนนราคาสวยๆอยู่ที่ 7.99 ล้านบาทเท่านั้น!!!

Buy-Used-Car-Makes-Happy

“มือใหม่หัดซื้อรถมือสอง” คำนี้น่าจะเหมาะกับผู้ซื้อหน้าใหม่ ที่ตกลงปลงใจ และเห็นข้อดีต่างๆ ของการใช้รถมือสอง

3-Step-For-Buy-Used-Car

คำถามต่อมาที่ผู้ซื้อมักสงสัย คือ “จะซื้อรุ่นอะไรดี แล้วจะหาซื้อรถมือสองดีๆ ที่ไหนดี..?” หากเป็นมือใหม่ไม่รู้อะไรเลย มีความรู้สึกว่ายุ่งยาก ถ้าไม่มีคนแนะนำให้คำปรึกษาบางคนถอดใจเห็นว่ามันยากนักก็ซื้อป้ายแดงไปจบๆ แต่ถ้างบประมาณเป็นปัจจัยหลักที่จะซื้อรถสักคันมาใช้งานละ อยากให้ใจเย็นๆ ก่อน …

วันนี้ CARRO จะมาบอกถึงการหาและเลือกรถมือสองแบบเข้าใจง่าย ผู้ซื้อจะได้รถมือสองที่มีคุณภาพ คุ้ม!! ทุกบาททุกสตางค์ถูกใจ ทั้งสภาพรถและราคา

3-Step-For-Buy-Used-Car

1. เลือกประเภทรถให้เหมาะกับการใช้งาน

รถประเภทไหนที่จะตอบโจทย์การใช้งานในชีวิตประจำวัน ข้อนี้เป็นสิ่งแรก ที่ผู้ซื้อต้องถามตัวเองให้ชัดเจน ว่าอยากได้รถประเภทใด รถยนต์มือสองแต่ละประเภท แตกต่างที่การใช้งานและราคา!! ถ้าเลือกรถที่ไม่ตรงกับการใช้งาน ก็เหมือนใช้รถได้ไม่คุ้มกับเงินที่เสียไป การเลือกรถไม่ใช่แค่ชอบอย่างเดียว ต้องดูการใช้งานของเราด้วย

Tips :: ผู้ซื้อเป็นคนผู้ใช้รถประเภทไหน เดินทางไกลออกต่างจังหวัดบ่อยไหม หรือใช้รถแค่ในเมือง ลองไปดูประเภทรถที่จะเหมาะกับผู้ซื้อ

–  รถ Eco-Car :: เหมาะสำหรับใช้งานในเมือง รถติดๆ ประหยัดน้ำมันกว่ารถประเภทอื่น กินน้ำมันน้อยเพราะรถขนาดเล็ก แต่ด้วยเหตุนี้ทำให้ไม่เหมาะกับการโดยสารหลายๆ ท่าน อึดอัดไม่เหมาะสำหรับออกต่างจังหวัด หรือใช้รถความเร็วสูง

–  รถ Sedan :: รถเก๋งจะใหญ่ขึ้นมากว่า Eco-Car ห้องโดยสารจะนั่งสบายกว่า อัตราการกินน้ำมันมากกว่า ขับในเมืองก็คล่องตัวดีกว่า เมื่อเทียบกับรถกระบะ หรือ SUV

–  รถ SUV :: ด้วยความสูงและช่วงล่างที่ดูดีกว่ารถเก๋ง Sedan ทำให้เหมาะมากสำหรับขับเที่ยวต่างจังหวัด แต่อาจจะใหญ่เทอะทะเกินไปสำหรับขับในเมือง ผู้ขับต้องมีการปรับตัวกันบ้าง

–  รถกระบะ :: รถอเนกประสงค์ สำหรับการคนที่ต้องการขนของมากๆ ประหยัดกว่ารถ Sedan, SUV แต่เรื่องห้องโดยสารอาจนั่งไม่สบายเท่า

3-Step-For-Buy-Used-Car

2.  ช่องทางเจอรถมือสองคุณภาพคือ เว็บไซต์

หลังจากรู้แล้วว่าผู้ซื้อต้องการซื้อรถรุ่นอะไร ต่อมาก็คือการขั้นตอนที่เรียกว่า “ค้นหารถ” มีหลายวิธีไม่ว่าจะเป็น ซื้อรถมือสองต่อจากคนรู้จัก, ไปเดินดูจากผู้ประกอบการรถยนต์ใช้แล้ว (เต็นท์) ใกล้บ้านหรือข้อสุดท้ายน่าจะสะดวกและดีที่สุดคือค้นหาจาก Internet (Carro) ที่จะมีรถมือสองให้เลือกในทุกประเภทรถ ทุกยี่ห้อ สามารถหารถได้ตามปีรถที่ต้องการ เปรียบเทียบราคารถก็สามารถเลือกได้ ว่าอยากได้รถมือสองในงบประมาณเท่าไร จะช่วยให้ผู้ซื้อเจอรถมือสองที่ถูกใจ ตามงบประมาณที่ตั้งไว้

Tips :: เว็บไซต์ขายรถมือสองมีมากมายหลายเว็บไซต์ ซึ่งเว็บที่ดีจะต้องช่วยผู้ซื้อให้เจอรถที่มีคุณภาพ ช่วยตรวจสอบเบื้องต้นเกี่ยวกับรถก่อนจะได้ลงขาย ตรวจสอบมาตรฐานของรถและข้อมูลผู้ขาย ฟังก์ชั่นการใช้งานของเว็บไซต์ ต้องช่วยการเปรียบเทียบรถแต่ละคันในตลาด ที่ผู้ซื้อสนใจได้ดี

3-Step-For-Buy-Used-Car

3. ดูราคากลางที่สมเหตุสมผล

เมื่อผู้ซื้อได้ประเภทรถ รุ่นที่ต้องการ มีงบประมาณในใจ คำถามต่อมา คือ ราคากลางของรถรุ่นนั้นอยู่ที่เท่าไหร่?

การสำรวจราคากลางตลาด เป็นสิ่งที่สำคัญ เพื่อจะรู้ว่ารถรุ่นที่กำลังมองหานั้น ราคาควรจะอยู่ที่เท่าไหร่ การดูราคากลางต้องเปรียบเทียบรถที่ รุ่นเดียวกัน โฉมเดียวกัน ปีเดียวกัน เปรียบเทียบกับราคาหลายๆ คัน ก็จะเห็นว่ารถรุ่นนั้นราคาเฉลี่ยประมาณเท่าไร บางคันราคาแพงกว่าราคาตลาด อาจเพราะว่าเจ้าของไม่ได้ตั้งใจจะขายรถอยู่แล้ว บวกกับมั่นใจในสภาพรถของตน ขายได้ก็ขาย ขายไม่ได้ก็เก็บไว้ใช้ ไม่เดือดร้อนอะไร หรือมีอุปกรณ์ตกแต่งเพิ่มเติม ที่เปลี่ยนมาจากรถเดิม เช่น ล้อ ชุดแต่ง หรือเครื่องเสียง จึงทำให้ราคามีความแตกต่างกับรถคันอื่น

3-Step-For-Buy-Used-Car

Tips :: รถทุกคันมีราคาเสื่อมลดลงไปแต่ละปี แต่ละรุ่นองค์ประกอบที่จะทำให้รถ รุ่นเดียวกัน ปีเดียวกัน มีราคาแตกต่างกัน คือ

สภาพภายนอก สีรถ สภาพตัวถังมีผลต่อราคา รถที่ไม่เคยชนหนัก รักษาดูแลสีรถเป็นอย่างดี ราคาก็ย่อมแพงกว่ารถที่ไม่เคยดูแล

เลขไมล์ เป็นตัวที่บอกถึงการใช้งานของรถ ว่าเจ้าของรถใช้งานรถไปมากน้อยแค่ไหน เลขไมล์น้อย วิ่งน้อยก็ต้องราคาแพงกว่ารถที่เลขไมล์สูง

สภาพภายใน อีกปัจจัยที่ทำให้รู้ว่าเจ้าของรถใช้งานรถมากแค่ไหน รอยสกปรกจนเช็ดไม่ออก จอดรถตากแดดไว้เป็นประจำจนทำให้ภายในละลายสภาพแย่ ก็ส่งผลทำให้ราคารถไม่ดี

ราคาในใจของผู้ขาย ข้อนี้เป็นปัจจัยที่ไม่มีกฎตายตัว เจ้าของรถบางคันตั้งราคาไว้สูง เพราะคิดว่าตนเองดูแลรถเป็นอย่างดี รถบางคันราคาต่ำกว่าราคากลาง อาจเป็นเพราะเจ้าของต้องการรีบขาย

3-Step-For-Buy-Used-Car

ทั้ง 3 ขั้นตอนนี้ ช่วยให้ผู้ซื้อเจอรถรุ่นที่ต้องการ เหมาะสมกับการใช้งาน สภาพดี ในราคาที่สมเหตุสมผล หาได้ไม่ยาก เว็บไซต์ขายรถมือสองที่ดีต้องเป็นผู้ช่วยเบื้องต้นให้แก่ผู้ซื้อ ในส่วนของรถที่มาลงประกาศขาย มีข้อมูลถูกต้อง ใช้งานง่ายและข้อมูลเทคนิคการเลือกให้ผู้ซื้อ 

สำหรับใครที่อ่านจบแล้ว รู้สึกอยากขายรถคันเดิมแบบด่วนๆ เพื่อนำเงินไปซื้อรถมือสองในฝันคันใหม่ ปรึกษา CARRO หรือขายรถกับ CARRO ได้ครับ โดยได้ราคาที่คุณพอใจ พร้อมปิดการขายภายใน 24 ชั่วโมง เชิญเข้าไปกรอกรายละเอียดได้ที่ https://th.carro.co/sell-car/express หรือสอบถามรายละเอียดเพิ่มได้ใน Fanpage “CARRO Thailand” ครับผม

Carro-Review-Honda-City-CNG
ถ้าจะพูดถึง Honda City CNG (ฮอนด้า ซิตี้ ซีเอ็นจี) ที่เปิดตัวออกมาตอบรับความต้องการ ในช่วงเดือนสิงหาคม 2557 สำหรับกลุ่มลูกค้าที่ต้องการประหยัดเงินในกระเป๋า มีงบประมาณมีอยู่เพียงจำกัด ไม่อยากจ่ายเงินผ่อนกับดอกเบี้ยในแต่ละเดือนมาก การมองหา Honda City CNG มือสอง ก็ถือเป็นทางออกที่ดี
Review-Honda-City-CNG

แม้ว่าในช่วงหลัง ราคาน้ำมันเริ่มปรับลดลง (หรือว่า? คนไทยคงรับกันได้แล้ว กับเรื่องน้ำมันเบนซินแพงจนชินชา) ทำให้รถที่ติดตั้งก๊าซธรรมชาติ CNG เริ่มมีบรรดา Maker ผลิตออกจากโรงงานสู่ตลาดน้อยลงเรื่อยๆ จนในที่สุด Honda ก็เลิกผลิต Honda City CNG ไปในช่วงประมาณปลายปี 2559

แต่ถ้าคุณยังสนใจที่จะมองหา Honda City CNG มาใช้งาน เราขอแนะนำในรีวิวนี้ครับ.

Review-Honda-City-CNG

รูปลักษณ์ การดีไซน์ ของฮอนด้า ซิตี้ ซีเอ็นจี พูดง่ายๆ ก็คือ ฮอนด้า ซิตี้ ในรุ่นปกติ แตกต่างกันแค่รถรุ่นนี้ มีการติดตั้งพลังงานทางเลือกซีเอ็นจี ให้ลูกค้าได้เลือก และจะมีเพียงสเปคบางอย่างที่แตกต่างกันนิดหน่อย

โดยหน้าตาของซีตี้ ซีเอ็นจี ไฟหน้าจะเป็นแบบมัลติรีเฟลกเตอร์ ถ้าเป็นรุ่น S ให้สังเกตว่าจะเป็นสีดำ แต่ถ้าเป็นรุ่น V จะเป็นแบบโครเมียม ดูหรูหราขึ้นมาหน่อย เช่นเดียวกับกระจังหน้า และคิ้วกระโปรงด้านท้าย ถ้าเป็นรุ่น V จะเป็นแบบโครเมียม แต่ถ้ารุ่น S จะขึ้นอยู่กับสีรถแต่ละคัน

Review-Honda-City-CNG

และจุดที่บ่งบอกว่ารถรุ่นนี้คือซิตี้ ซีเอ็นจี ก็คือป้ายสัญลักษณ์ CNG ที่ติดตั้งอยู่ใกล้ๆ กับป้าย i-VTEC ตรงฝากระโปรงด้านหลังเหนือไฟท้าย ส่วนล้ออัลลอยรถคันนี้ เป็นแบบ 15 นิ้ว ดูดีตามมาตรฐาน

Review-Honda-City-CNG

มิติตัวรถ ยาว 4,440 มม. กว้าง 1,695 มม. สูง 1,471 มม. ระยะฐานล้อ 2,600 มม.

Review-Honda-City-CNG

Review-Honda-City-CNG

เปิดมาดูภายในห้องโดยสารสีเบจ ทำให้ดูกว้างขวาง โปร่ง โล่ง ส่วนการตกแต่งระหว่างรุ่นปกติและรุ่นท็อปต่างกันเพียงเล็กน้อย นอกจากนั้นแล้ว ตัวเรือนไมล์หรือหน้าจอแสดงผลนั้น ถ้าเป็นรุ่นท็อป จะเป็นสีฟ้า ที่แสดงข้อมูลผลการขับขี่ ดูง่าย ไม่ปวดตา แต่ถ้าเป็นรุ่นปกติจะเป็นสีส้ม

Review-Honda-City-CNG

Review-Honda-City-CNG

จุดที่แตกต่างกันอีกอย่างก็คือ พวงมาลัย ที่ดีไซน์ไม่เหมือนกัน แต่คุณสมบัติไม่ได้ต่างกัน สามารถปรับระดับระดับได้ 4 ทิศทาง ใกล้ๆ กันกับพวงมาลัย จะมีปุ่มสตาร์ทเครื่องยนต์อัจฉริยะ และยังมีปุ่มเลือกการขับขี่แบบน้ำมัน หรือแบบก๊าซซีเอ็นจี ซึ่งจะมีไฟแสดงสถานะการทำงานอยู่ว่าตอนนี้ใช้ระบบอะไร และยังมีไฟแสดงสถานะปริมาณก๊าซ CNG ให้ผู้ขับขี่ได้รับทราบ

Review-Honda-City-CNG

ส่วนเบาะของผู้ขับขี่ ก็ปรับ สูง-ต่ำ ตามความถนัดของแต่ละคนได้ ไม่ต้องห่วงเรื่องความสะดวกสบาย เพราะหากใครเคยนั่งฮอนด้า ซิตี้ ในรุ่นปกติยังไง รุ่นนี้ก็เป็นแบบนั้น โดยพื้นที่ห้องโดยสารด้านหน้ากว้างขวาง ทัศนวิสัยดี ส่วนพื้นที่เบาะด้านหลังก็นั่งสบายแม้ผู้โดยสารจะมีรูปร่างสูงใหญ่

และสิ่งที่หลายคนกังวลคือ พื้นที่เก็บของด้านหลัง เนื่องจากต้องกันพื้นที่ส่วนหนึ่งในการจัดเก็บถังก๊าซซีเอ็นจี งานนี้บอกเลยว่าไม่ต้องกังวล คุณยังสามารถที่จะขนสัมภาระต่างๆ ของคุณได้

Review-Honda-City-CNG

ส่วนอุปกรณ์ความบันเทิงต่างๆก็มีให้ทั้งวิทยุ, CD แบบ 1 แผ่น, MP3 และลำโพงอีก 4 ตัว สามารถเชื่อมต่อโทรศัพท์แบบบลูทูธได้ พร้อมกับมีช่องเชื่อมต่อ พวก USB/AUX หรือพวกอุปกรณ์ต่อพ่วงต่างๆ ได้

เอาเป็นว่าเฉพาะหน้าตา รูปลักษณ์ ทั้งภายนอกภายใน ถือว่าสวยงาม และครบครัน ตามมาตรฐานของฮอนด้า!

Review-Honda-City-CNG

ฮอนด้า ซิตี้ ซีเอ็นจี มาพร้อมเครื่องยนต์ขนาด 1.5 ลิตร แบบ 4 สูบ SOHC 16 วาล์ว i-VTEC รองรับทั้งน้ำมันเชื้อเพลิงและก๊าซ CNG โดยระบบน้ำมัน ให้แรงม้าสูงสุด 117 แรงม้า ที่ 6,000 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 146 นิวตัน-เมตร ที่ 4,700 รอบ/นาที

ส่วนระบบก๊าซ CNG ให้แรงม้าสูงสุด 102 แรงม้า ที่ 6,600 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 127 นิวตัน-เมตร ที่ 4,800 รอบ/นาที ระบบจ่ายเชื้อเพลิงเป็นแบบหัวฉีด ส่งกำลังผ่านเกียร์ CVT แบบใหม่ ที่ได้รับการพัฒนาภายใต้เทคโนโลยีเอิร์ธดรีม ขยายอัตราทดเกียร์ให้กว้างขึ้น พร้อมระบบ G-Design Shift ช่วยให้อัตราการใช้น้ำมันเชื้อเพลิงมีประสิทธิภาพ พร้อมอัตราเร่งที่ตอบสนองดียิ่งขึ้น และรองรับพลังงานทางเลือก E20

Review-Honda-City-CNG

ถังก๊าซ CNG มีความจุ 65 ลิตร ผลิตจากเหล็กคุณภาพสูง ทนทานต่อก๊าซแรงดันสูง และออกแบบจุดยึดถังก๊าซและโครงสร้างตัวถังแน่นหนาตามมาตรฐานความปลอดภัย พร้อมแผงกั้นถังก๊าซเพื่อแบ่งสัดส่วนพื้นที่ติดตั้งถังก๊าซและห้องสัมภาระด้านท้าย อีกทั้งช่วยป้องกันแรงกระแทกบริเวณห้องสัมภาระด้านท้าย

Review-Honda-City-CNG

สำหรับตำแหน่งหัวรับเชื้อเพลิง CNG ได้รับการออกแบบให้อยู่ใกล้กับจุดเติมน้ำมัน พร้อมลิ้นป้องกันการไหลย้อนกลับของก๊าซ มีสวิตช์เลือกปรับเปลี่ยนการใช้พลังงานได้ระหว่างน้ำมันและก๊าซ CNG พร้อมไฟแสดงสถานะการใช้และปริมาณก๊าซ โดยกล่องควบคุมอิเล็กทรอนิกส์ (ECU) จะทำหน้าที่ประมวลผลการจ่ายก๊าซและช่วยตัดการจ่ายก๊าซ CNG ได้อย่างแม่นยำ หากเกิดเหตุฉุกเฉินหรือระบบทำงานผิดปกติ และระบบกันสะเทือนหน้า-หลังที่ได้รับการออกแบบเฉพาะสำหรับระบบ CNG เพื่อการทรงตัวที่ดีมั่นคงในทุกการขับขี่ 

สำหรับจุดเติมของน้ำมัน และก๊าซธรรมชาติ CNG ที่อยู่ใกล้กัน ทั้งเติมแบบน้ำมันและแบบซีเอ็นจี เรื่องความปลอดภัยของซีเอ็นจีนั้น จุดนี้มองว่าหายห่วง เพราะรถระดับนี้ถูกดีไซน์และพัฒนามาหลายขั้นหลายตอนกว่าจะนำออกมาขายได้ แถมมีการรับประกันสร้างความอุ่นใจ ดีกว่าไปติดตั้งเอง และเสี่ยงต่อมาตรฐานหรือคุณภาพของถังหรือผู้ที่ติดตั้ง

ฮอนด้า ซิตี้ ซีเอ็นจี มีให้เลือก 3 รุ่นย่อย ได้แก่ S CNG MT, S CNG AT และ V CNG AT มีให้เลือกทั้งหมด 6 สี ได้แก่ สีขาวทาฟเฟต้า สีเงินอลาบาสเตอร์ (เมทัลลิก) สีดำคริสตัล (มุก) สีเทาโมเดิร์นสตีล (เมทัลลิก) สีแดงคาร์เนเลียน (มุก) และสีน้ำตาลโกลเด้น (เมทัลลิก)

หมายเหตุ:

– สีดำคริสตัล (มุก) และสีแดงคาร์เนเลียน (มุก) ตอนเป็นรถมือหนึ่ง ต้องเพิ่มเงินอีก 6,000 บาท
– รุ่น S CNG MT มี 3 สีให้เลือก คือ สีขาวทาฟเฟต้า, สีเงินอลาบาสเตอร์ (เมทัลลิก) และสีดำคริสตัล (มุก)
– รุ่น S CNG AT มี 4 สีให้เลือก คือ สีขาวทาฟเฟต้า, สีเงินอลาบาสเตอร์ (เมทัลลิก) สีดำคริสตัล (มุก) และสีเทาโมเดิร์นสตีล (เมทัลลิก)
– รุ่น V CNG AT มี 6 สีให้เลือก คือ สีขาวทาฟเฟต้า, สีเงินอลาบาสเตอร์ (เมทัลลิก), สีดำคริสตัล (มุก), สีเทาโมเดิร์นสตีล (เมทัลลิก), สีแดงคาร์เนเลียน (มุก) และสีน้ำตาลโกลเด้น (เมทัลลิก)

Review-Honda-City-CNG

ทัศนะความคุ้มค่าน่าใช้ โดย MR.CARRO …

ความคุ้มค่าตอนซื้อ

รุ่นนี้ในตลาดรถมือสอง ถือว่าได้รับความนิยมพอสมควร ไม่ว่าจะเป็นกลุ่มคนวัยทำงานใหม่ พ่อค้าแม่ค้า คนทำงานอาชีพอิสระ หรือบริษัทต่างๆ ที่ซื้อไว้ใช้งานเป็นรถประจำบริษัท เป็นรถรุ่นมีวิ่งให้เห็นกันเกลื่อนเมือง อีกทั้งยังเป็นรถ Honda เพียงรุ่นเดียวที่ติดตั้งก๊าซ CNG ออกมาจากโรงงาน ได้เปรียบในเรื่องรับประกันคุณภาพมาตรฐาน 3 ปี หรือ 1 แสนกิโลเมตร …

ความคุ้มค่าตอนใช้งาน

ถ้าคุณเป็นคนที่จำเป็นต้องใช้รถเยอะ ถือว่าคุ้มค่ามากๆ เพราะก๊าซธรรมชาติ CNG ยังไงก็ประหยัดกว่าใช้น้ำมันเบนซินอยู่แล้ว ตกเฉลี่ยกิโลเมตรละประมาณ 50 สตางค์ ขึ้นอยู่กับสภาพจราจร และการขับขี่ของแต่ละคน

ขณะที่จุดด้อยเท่าที่เห็น คือเรื่องของพื้นที่จัดเก็บสัมภาระด้านท้าย ที่ต้องยกเนื้อที่ส่วนหนึ่งให้กับถัง CNG และแน่นอน การมีถังก็ทำให้น้ำหนักรถเพิ่มขึ้น และต้องใช้เวลาเติมบ่อย กับเติมนาน นอกนั้นไม่มีอะไรมาก

และ สถานีบริการของเอ็นจีวี ที่ยังมีจำนวนไม่มากพอ (ถ้าเทียบกับ LPG หรือปั้มน้ำมันทั่วไป) ดังนั้นก่อนจะซื้อ ก็ลองสำรวจเส้นทางในการใช้รถใช้ถนนของตัวเองว่า มีสถานีรองรับหรือไม่อย่างไร เพราะอาจจะลำบากหน่อยเวลาขับรถในบางย่าน หรือขับรถออกต่างจังหวัด

ความคุ้มค่าตอนซ่อม

ตัวรถไม่จุกจิก ทนทาน ประหยัด ราคาอะไหล่ไม่แพง เตรียมงบไว้สำหรับดูแลตามปกติ ปีละ 5,000 – 10,000 บาท (กรณีดูแลรักษาทั่วไป ถ้ามีเช็คระยะใหญ่ ก็อาจจะต้องเตรียมเงินไว้เพิ่ม) ครับ

ความคุ้มค่าตอนขายต่อ

สำหรับ Honda City CNG โฉมปี 2014 – 2016 มีราคามือสองอยู่ที่ 300,000 – 380,000 บาท (เป็นราคาในตลาดรถปี 2564 โดยประมาณ และขึ้นอยู่กับปีรถ รุ่นย่อย กับ สภาพของตัวรถ)

Download Catalogue Honda City CNG คลิกที่นี่ >>> Honda-City-CNG-8-2014-Brochure

สำหรับใครที่อยากขายรถคันเดิม มาขายรถคันเดิมกับ CARRO Express สิ! Inbox มาขอรายละเอียดได้ที่ Facebook -> CARRO Thailand และ Add Line สอบถามรายละเอียดได้เช่นกัน ที่ @carrothai

แต่ถ้าหากช่วงนี้ใครอยากซื้อรถคันใหม่ มาใช้แทนที่รถคันเดิม CARRO Automall แหล่งรวมรถมือสองคุณภาพเยี่ยมผ่านระบบออนไลน์ พร้อมตอบโจทย์คุณด้วยคอนเซปต์ “click.buy.drive.” คุณสามารถจองรถออนไลน์ ได้ในเวลาเพียง 1 นาทีเท่านั้น!

รถทุกคันผ่านการตรวจสภาพแบบ Double Check และยังมีเทคโนโลยี “360 View & Sound Engine Analysis” ให้คุณเลือกชมรถยนต์เสมือนจริงออนไลน์รายแรกในไทย ทั้งภาพและเสียงในรูปแบบ 360 องศา พร้อมรับประกันคุณภาพรถนานถึง 2 ปี หรือ 20,000 กิโลเมตร! อีกทั้งยังการันตีความพึงพอใจ คืนเงินได้ภายใน 5 วันอีกด้วย! เรามีรถให้คุณเลือกชมเพียบ เปิดบริการทุกวัน ซื้อรถคุณภาพเยี่ยม ต้องที่ CARRO Automall สิ!

หรือถ้าหากสนใจรถรุ่นไหนอยู่ แต่ยังหาที่ถูกใจไม่ได้ เรายินดีหาให้! เพียงแค่กรอกเบอร์โทรศัพท์ ชื่อยี่ห้อ / รุ่นรถ ที่คุณต้องการก็ได้เช่นกันครับ อีกทั้งยังสามารถ Inbox เข้ามาสอบถามรายละเอียดได้ที่ Facebook -> CARRO Automall Official โทร. 02-508-8690 หรือทาง Line @carroautomall ครับ

mazda-2

Review Mazda 2 Eco Car สุดหรูทั้งดีไซน์ และขุมกำลังดีเซลแห่งอนาคต

มาสด้า 2 (Mazda2) หลายคนอาจจะรู้สึกผิดหวัง กับ ราคาเล็กน้อย กับ รถยนต์ที่บอกว่าเป็นรถอีโคคาร์ด้วยราคาค่าตัวที่ต้องซู๊ดดดดปากดังๆ เพราะถ้าเทียบราคา กับความเป็น อีโคคาร์แล้ว ต้องบอกว่ามาสด้า 2  ถือว่าค่อนข้างแพงเมื่อเทียบกับบรรดารถอีโคคาร์ทั่วไป ทั้ง  8 รุ่นในบ้านเรา

จุดเด่น จุดด้อยของรถคันนี้จะมีอะไร ลองไปดูกันเริ่มต้นที่รุ่นสแตนดานซ์  1.5 Skyactiv-D XD ราคาเริ่มต้นที่  6.75 แสน รุ่นกลาง 1.5 Skyactiv-D XD High ราคา 7.35 แสนบาท และรุ่นท๊อป 1.5 Skyactiv-D XD High Plus+ ราคา 7.90 แสนบาท

แต่ถ้ามองในเชิงเทคโนโลยีและความคุ้มค่ากับการนำเทคโนโลยีสกายแอคทีฟ  รวมทั้งการตัดสินใจน้ำเครื่อยนตฺดีเซลมาใส่ไว้ในเก๋งเล็กเป็นครั้งแรก หากจะชั่งน้ำหนักกับ เรื่อง “ราคา” ที่กระโดดไปสูงกว่าอีโคคาร์ทั่วแล้วถือว่า “รับได้”

หากจะมอง ให้ มาสด้า2 คันนี้ กระโดดขึ้นไปชกข้ามรุ่น เพราะถ้าเปรียบกับความเป็นรถยนต์นั่งขนาดเล็กเครื่องยนต์ดีเซลแล้ว โดยส่วนตัว คู่แข่งที่ ตรงตัวมากที่สุด เห็นจะเป็นรถจากฝั่งยุโรปอย่าง “มินิ” ที่ทั้งด้านประสิทธิภาพขุมพลังของเครื่องยนต์ อัตราสิ้นเปลืองถือว่าพอสูสี แต่หากจะดูที่ระดับราคากับความคุ้มค่าและอัตราสินเปลื้องแล้ว ต้องให้มาสด้า2 ที่ กินขาดด้วยราคาที่เป็นมิตรภาพที่จับต้องได้ง่ายกว่า เมื่อเทียบกับรถ “มินิ”

แต่อย่างที่บอก เมื่อเทียบกับรถญี่ปุ่นระดับเดียวกันตรงๆ นั้น ไร้คู่เเข่ง แต่หากจะเทียบกับความเป็น “อีโคคาร์” ถือว่า ราคาสูงโดดไปอยู่ในระดับ “ซิตี้ คาร์” เเม้ว่ารถคันนี้จะได้สิทธิประโยชน์ทางภาษี เข้าช่วยถึง 17% แล้วก็ตาม

สาเหตุที่ต้องยก ประเด็นเรื่องของ “ราคา” มาอยู่ในอันดับต้นๆ นั้น เพราะ ประเด็นนี้กลายเป็น “โจทย์” สำคัญที่มาสด้าจะต้องเร่งเเก้ เพื่อให้ลูกค้ากลุ่มเป้าหมายรับรู่ โปรดักส์ได้อย่างถูกต้องการวางราคา ขายของ มาสด้า 2 จะเห็นว่า มาสด้า ได้วางตำแหน่ง “ราคา” ตัวเองไว้ระดับ บี  คารื ระดับพรีเมี่ยม เเต่เอาเข้าจริง… ลูกค้าจะรับได้ กับ ความเป็นรถอีโคคาร์ ที่ราคากระโดด ขนาดนี้ได้หรือไม่คงต้องใช้เวลา…

ส่วนเรื่องรูปร่างหน้าตา การออกแบบของรถคันนี้ ถือว่าสวยสุด ด้วยดีไซน์โคโดะ หรือการออกแบบที่สะท้อนจิตวิญญานแห่งการเคลื่อนไหวก่อนหน้านี้เราประทับใจกับรถรุ่นพี่อย่าง มาสด้า3 ที่มีทั้งความโฉบเฉี่ยว ความสปอร์ต ดุดัน โฉบเฉียว หรูหรา แน่นอน เมื่อมาสด้า ทำตคลอดมาสด้า2 ความสวยสะดุดตา เรื่อนร่าง รถคันนี้ จำลองมาสด้า3  มาเหมือนพิมพ์เเกะ เพียงเเต่ดีไซน์และขนาด ที่ผ่านการย่อส่วนมาอย่างลงตัว… ทั้งรุ่น ซีดาน และ เเฮทช์เเบค

หากเทียบกับ มาสด้า2 โฉมก่อน ถือว่า มาสด้าสอบผ่าน โดยเฉพาะรุ่น ซีดาน ที่ ช่วงด้านท้ายที่ โดง ไม่สวยสมกับความโฉบเฉี่ยวของการออกแบบในตอนหน้าและด้านข้าง ซึ่งหากจำไม่ผิดมาได้ได้แก้ปัญหา เนื่องดังกล่าวด้ยการ ลดส่วนสูงในตอนท้ายของโมเดลเก่าลงมาเล็กน้อย เเละช่วยได้พอสมควร ส่วน เเฮชท์เเบค โมเดลก่อนหน้า เรื่องการออกแบบ เรียกง่ายๆ ว่า “ไม่สุด” ในการดีไซน์ลงไปอย่างสิ้นเชิง หรือหากจะเทียบบรรดา อีโคคาร์ แอทช์แบค ที่พอฟัดพอเหวี่ยงได้ น่าจะมี โตโยต้า ยารีส ทีอาร์ ตัวเเต่ง  ที่ถือว่าออกแบบ เน้นความโฉบเฉียวพอฟัดพอเหวี่ยง เพียงเเต่ขนาดตัวของ ยารีส ดีจะหนากว่ามาสด้า2 เล็กน้อย

ส่วนรุ่นซีดาน โหวตให้มาสด้า2  มาเหนือไร้คู่เเข่งการออกแบบภายนอก ขอติงในส่วนไฟเลี้ยวท้าย ที่ออกแบบมาต้องการความโฉบเฉียว เเต่เวลาขับตามหลัง อาจจะมองไฟเลี้ยวได้ไม่ชัดเจน  เพราะมีขนาดเล็ก เป็นเส้นด้านท้าย

ภายในห้องโดยสาร มาสด้าใช้โทนสีดำเข้าช่วยขับความดุดันแปละความสปอร์ตภายในห้องโดยสารเบาะหนังสไตลล์บัคเก็ตซีท ตัดด้วยเส้นด้านสีเเดง เดินตะเข็บคู่ มาตัด กับสีดำ สะดุดตา และกระชากอารมณ์ความสปอร์ตออกมา ทั้งเบาะนั่ง และบริเวณ คอลโซลด้านหน้า แต่น่าเสียดายเเทนที่ มาสด้า จะเดิน ดายสีเเดงตัวขอบ ที่บริเวณเเผงประตู และพวงมาลัยด้วย  น่าจะช่วยให้การเคลื่อนไหวของ อารมณ์ความเร้าใจ ในห้องโดยสานไม่ไหลลื่น … จากการเดินเส้นดาย

อีกหนึ่งสิ่งที่ดูขัดเเย้งคือแผงช่องเเเอร์ บริเวณคอบโซลหน้าฝั่งคนนั้ง ที่ออกแบบมาให้เป็นเเนวนอนยาว  มองผาดๆอาจจะได้ในเรื่องของความเรียบงาน แต่โดยส่วนตัวแล้ว มองว่า คามเรียบง่ายนี้ถูกกลื่น ไปด้วยความรู้สึกว่า “เชย” แถมปุ่มกดไฟพาทสาด (ไฟฉุกเฉิน)  ที่อยู่ในระนาบเดียวกับช่องเเอร์เเนวนอน นั้น ก็ถูกกลื่นหายไป

อุปกรณ์การใช้งานอื่นๆในห้องโดยสาร  แม้ว่า จะใส่มาเต็มแต่กลับกลายเป็นสิ่งที่ “เกิน” และไม่จำเป็นต้องมีก็ได้  ซึ่งช่วยเปลี่ยนองศา การมอง ด้วยHeads-up display หน้าจอแสดงความเร็ว ที่ด้านหลังพวงมาลัย  โดยส่วนตัวเเล้วรู้สึกว่า ไม่มีก็ได้ เเถมยังเเกะกะสายตา เพราะ เเค่เข็มไมลล์ที่หน้าปัดม์ บอกความเร็วนั้น เกินพอเเล้ว

สิ่งที่ต้องชม คือการนำ ปุ่มควบคุม Center Commander มาไว้ที่ ข้างๆ ผู้ขับ  ไม่ต้องเอื้อมมือไปสั่งการไกลนัก เพียงเเค่ความคุมหมุน ควบคุม คำสั่งต่างๆ   มีเหมือนเช่นเดียวกับรถหรูอย่าง บีเอ็มดับเบิลยู ส่วนระบบการทำงาน เพื่อใช้เเผนที่นำทางผ่านระบบ การติดต่อสื่อสาร MZD Connect นั้นไสามารถทำได้ ซึ่งลูกค้าจะต้องเข้าไปติดต่อกับทมางมาสด้าเพื่ออัพเดรสข้อมูล หรือ ของซื้อเพื่อรับโหลดข้อมูลการนำทางเข้าสู่ระบบอีกครั้ง เรียกว่า ถ้าลูกค้าอยากใช้ ก็ต้องเสียเงินเพิ่ม

ถึงตรงนี้ต้องบอกว่า สำหรับคนที่กำลังมองหารถ อีโคคาร์ หรือ บี คาร์ โดยยังไม่ตั้งธงในใจว่า เป็นรุ่นอะไร ลอ งช่างน้ำหนัก และเปรียบเทียบความต้องการกับเงินในกระเป๋า แต่หากตั้งธงมาแล้วว่า ต้องเป็นมาสด้า2 ลองสาระตะ… ความคุ้มค่า กับความต้องการแต่หากจะให้เเนะนำ แค่  รุ่นเริ่มต้น นั้นถือว่าน่าเพียงพอแล้ว

suzuki-ciaz

Review Suzuki Ciaz RS อีโค่คาร์ สปอร์ตพร้อมต่อกร “ยาริส”

ซีดาน ชื่อชั้นของรถ อีโคคาร์ จากค่าย ซูซูกิ ถือว่าถูกใจใครหลายคน โดยเฉพาะในรุ่น  สวิฟท์ ที่เปิดตัวมาก็สร้างปรากฏการณ์ยอดจองถล่มทลาย แม้จะรอนานแค่ไหนลูกค้าก็ยอมรอ ขณะที่รุ่น เซเลริโอ แม้จะไม่เปรี้ยงปร้างแต่ก็มีขายได้เรื่อยๆ และอีกหนึ่งรุ่นที่ได้รับความนิยมไม่แพ้รุ่นอื่นๆก็คือเซียส รถ อีโคคาร์ แบบ ซีดาน ที่มีจุดเด่นอยู่ที่ไซส์ตัวถังขนาดใหญ่

เพื่อมาต่อกรกับตลาดรถแบบประหยัด สู้กับ ยาริส ที่เป็นเจ้าตลาดของรถประเภทนี้  และล่าสุดในช่วงปลายปีที่แล้วค่ายซูซูกิ ก็จับเอาเซียสมาแต่งหล่อในรุ่นพิเศษ เซียส อาร์เอส ซึ่งความพิเศษของรถรุ่นนี้ที่แตกต่างจากรุ่นปกติ

ภายนอก

เริ่มตั้งแต่กระจังหน้าโครเมียม ไฟหน้าโปรเจคเตอร์ พร้อมไฟตัดหมอกคู่หน้า ตัวชุดแต่งอาร์เอสที่ให้มา ก็มีชุดสปอยเลอร์ที่ประกอบไปด้วย สเกิร์ตหน้า ,สเกิร์ตข้าง,สเกิร์ตหลัง และตัวสปอยเลอร์หลังสไตล์สปอร์ตพร้อมไฟเบรกดวงที่สาม ส่วนล้ออลูมิเนียมอัลลอยด์มีขนาด 16 นิ้ว และที่ขาดไม่ได้คือสัญลักษณ์ RS ที่บ่งบอกความเป็นรุ่นพิเศษรุ่นนี้ โดยรวมๆถ้าดูจากดีไซน์ภายนอกก็ถือว่าสปอร์ตขึ้นมาอีกนิด หล่อ-สวยขึ้นมาอีกหน่อย

ภายใน

โฉบเข้ามาดูภายในห้องโดยสารกันดูบ้าง มองจากตาเปล่าแล้วก็ต้องบอกว่ากว้างขวาง โอ่โถง ตัวเบาะ เช่นเดียวกับพวงมาลัยสามก้านก็หุ้มหนัง โดยพวงมาลัยสามารถควบคุมระบบเครื่องเสียงและเชื่อมต่อระบบเชื่อมต่อโทรศัพท์ไร้สายได้ ส่วนแผงหน้าปัดมาตรวัดตรงหน้าก็ดูง่าย สบายตา เพราะตัวเลขเป็นสีขาวเรืองแสง ทางด้านอุปกรณ์ความบันเทิงอะไรต่างๆครบครันมาก โดยระบบเครื่องเสียงมาพร้อมลำโพง 4ตัว เล่นได้ตั้งแต่วิทยุ,ซีดี,เอ็มพี3,AUX,USB และยังมีฟังก์ชั่น Suzuki Smart Connect  ที่ประกอบไปด้วยจอทัชสกรีน 7 นิ้ว รองรับระบบนำทางเนวิเกเตอร์ ,เอสดี การ์ด ,ระบบเชื่อมต่อโทรศัพท์ผ่านบลูธูท , และยังมีโปรแกรม Apple CarPlay ที่สามารถเชื่อมต่อสมาร์ทโฟน และยังสามารถสั่งงานด้วยเสียง หรือปลายนิ้วสัมผัสที่หน้าจอ สามารถดูแผนที่ หรือจะรับสายโทรเข้า โทรออก รับส่งข้อความ ฟังเพลงต่างๆได้

สลับมาที่ห้องโดยสารด้านหลัง โดยรวมถือว่ากว้างขวาง ไม่อึดอัด ตัวเบาะนั่งสบายไม่ว่าจะนั่ง สองคนหรือสามคน  พื้นที่วางขามีเหลือเหลือไม่ติดเบาะด้านหน้า และมีที่พักแขนพร้อมที่วางแก้ว ทำให้รวมๆแล้วที่วางแก้วในรถคันนี้มีมากถึง 8 จุด และที่โดดเด่นอีกประการคือพื้นที่เก็บสัมภาระท้ายรถที่จุของได้เยอะมาก อ่านจากข้อมูลสเปคพบว่าจุได้ถึง 565 ลิตร

เครื่องยนต์

ในส่วนของเครื่องยนต์สำหรับรถรุ่นนี้มาพร้อมกับความจุ 1,242 ซีซี . รหัส K12B 4 สูบ 16 วาล์ว กำลังสูงสุด 91 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 118 นิวตัน-เมตร ที่ 4,800 รอบต่อนาที มิติตัวรถ ความยาวอยู่ที่ 4,505 มม. ความกว้าง 1,730 มม. และความสูง 1,475 มม. โดยมีให้เลือก 3 สีด้วยกันคือแดง Ablaze Red Pearl  ,ขาว Snow White Pearl,ดำ Super Black Pearl เคาะราคาอยู่ที่ 675,000 บาท

เรียกได้ว่าเป็นรถที่คุ้มค่าคุ้มราคา ด้วยตัวอุปกรณ์อะไรต่างๆนาๆที่ใส่เข้ามากับราคาขนาดนี้ ใครที่งบน้อย หรือ เป็นวัยเริ่มต้นการทำงาน หรือ จะซื้อเป็นรถคันแรกของตัวเอง ก็ต้องบอกว่าซูซูกิ เซียส อาร์เอส น่าจะตอบโจทย์และคุ้มค่าที่สุด

อีโค่คาร์สปอร์ตกับจาก Suzuki

ถือเป็นรถที่ได้ทั้งรูปลักษณ์และอรรถประโยชน์ใช้สอยที่คุ้มค่าอย่างมาก โดยความโดดเด่นที่ต้องให้คะแนนก็ต้องยกให้ห้องโดยสารที่กว้างขวางโอ่อ่า และอุปกรณ์ตกแต่งที่ไม่มากไป ไม่น้อยไป ทำให้รถดูหล่อขึ้น หนุ่มขึ้น ส่วนอุปกรณ์ภายในที่ใส่เข้ามาแบบจัดเต็มและการตั้งราคาขายหลักหกแสนกว่าๆ ก็ยิ่งทำให้รถรุ่นนี้คุ้มค่าคุ้มราคามาก ฟันธง!!