Carro-Review-Toyota-Yaris-Eco-Car

Toyota Yaris … ยาวกว่าพี่ กว้างกว่าพี่ ก็ไม่มีแล้วน้อง!!!

Review-Toyota-Yaris-Eco-Car

Toyota Yaris (โตโยต้า ยาริส) อีโคคาร์จากค่ายพี่ใหญ่อย่าง Toyota (โตโยต้า) โดยรถรุ่นนี้ทำการเปิดตัวมาตั้งแต่ปลายปี 2556 ถือเป็นรถอีกหนึ่งรุ่นที่ได้รับความนิยมจากลูกค้าคนไทยไม่น้อย ถึงขนาดที่ว่าโตโยต้าเคลมว่า ยาริส อีโคคาร์ เป็นรถที่ขายที่ดีที่สุดในกลุ่มรถแฮทช์แบ็ค

มาดูกันว่าทำไม ยาริส อีโคคาร์ ถึงมียอดขายดี เริ่มกันที่รูปทรงโดยรวมก็ต้องบอกว่าใหญ่จริงอะไรจริง ดูจะออกแบบมาเพื่อตอบโจทย์ลูกค้าคนไทยอย่างมาก เพราะรถมีขนาดที่ใหญ่ – ยาว เมื่อนำไปเปรียบเทียบกับคู่แข่งที่เป็นแฮทช์แบ็คอีโคคาร์ เหมือนกันก็ถือว่าใหญ่ที่สุด

ด้วยมิติตัวถัง ยาว 4,115 มม. กว้าง 1,700 มม. สูง 1,475 มม. ระยะฐานล้อ 2,550 มม.

Review-Toyota-Yaris-Eco-Car

เมื่อไล่เรียงสายตามาดูถึงการออกแบบรูปลักษณ์ภายนอก – ภายใน จะพบว่าดีไซน์ด้านหน้ามีความโดดเด่นที่ดึงดูดสายตามากกับกระจังหน้าขนาดใหญ่ พร้อมกันชนและสเกิร์ต ที่จะมีสีตัดกับตัวกระโปรงรถ ดูแล้วให้อารมณ์สปอร์ต ส่วนไฟหน้าถือเป็นพระเอกที่ถูกใจมาก เพราะรูปทรงสวย มีขนาดใหญ่ โดยไฟหน้าเป็นแบบโปรเจคเตอร์ในรุ่น G และ TRD Sportivo แต่ในรุ่นรองลงมา จะเป็นแบบมัลติรีเฟลกเตอร์

Review-Toyota-Yaris-Eco-Car

ด้านข้างตัวบอดี้จะเห็นเส้นสายการออกแบบ ไล่ระดับสายตาลงมาด้านล่างจะเห็นล้ออัลลอยแบบเรียบๆขนาด 15 นิ้ว ส่วนด้านหลังตรงกระโปรงรถมีคิ้วฝากระโปรงโครเมียม ดูแล้วให้ความรู้สึกพรีเมียมนิดๆ ใกล้ๆ กันมีที่ปัดน้ำฝน ส่วนไฟท้ายเป็นแบบ LED มีขนาดใหญ่เช่นเดียวกัน

Review-Toyota-Yaris-Eco-Car

ขณะที่ภายในห้องโดยสาร แว็บแรกที่เปิดประตูเข้ามาดูโดยรวมๆเรียกว่าดูดี วัสดุที่ใช้ในการประกอบดูมีราคา ตัวคอนโซลหน้าก็ยกชุดคอนโซลจาก วีออส มาใช้ เป็นสีดาร์กซิลเวอร์ในรุ่นปกติ แต่ถ้าเป็นรุ่นแต่งพิเศษจะเป็นแบบเปียโนแบล็ค ตัวพวงมาลัยเป็นแบบพาวเวอร์ไฟฟ้า EPS ปรับสูง-ต่ำได้ ควบคุมระบบเครื่องเสียงได้ ส่วนมาตรวัดจะเป็นแบบอนาล๊อก ด้านเครื่องเสียงความบันเทิงต่างๆก็รองรับทั้งวิทยุ, MP3 ช่องต่อ USB, ช่องต่อ AUX และถ้าใครเลือกรุ่นแต่งพิเศษก็สามารถใช้สมาร์ท G-Book ได้

Review-Toyota-Yaris-Eco-Car

มาลองนั่งในห้องโดยสารกันดูบ้าง โดยตัวเบาะนั่งจะเป็นผ้าสีดำ แต่ถ้าใครชอบเบาะหนังก็เลือกรุ่นแต่งพิเศษ  ซึ่งความรู้สึกที่ได้นั่งในรถรุ่นนี้ถือว่าโอเค!! กว้างขวาง ไม่ติดขา ไม่ติดหัว นั่งสบาย ทั้งเบาะนั่งด้านหน้า และฝั่งผู้โดยสารด้านหลัง ซึ่งด้านหลังนี้สามารถพับเก็บได้ 60:40 ดังนั้นไม่ต้องห่วงพื้นที่ในการจัดเก็บของรับรองมีเหลือเฟือ เหนือรุ่นอื่นๆ ในกลุ่มเดียวกัน

Review-Toyota-Yaris-Eco-Car

และที่คงเอกลักษณ์ของยาริสรุ่นก่อนมาก็ต้องยกให้ที่วางแก้วจัดมาสามจุดใหญ่ทั้งด้านหน้าฝั่งคนขับและคนนั่งคู่ ส่วนตรงคอนโซลกลางหลังเกียร์ก็มีที่วางแก้วอีกหนึ่งจุด

Review-Toyota-Yaris-Eco-Car

เรียกได้ว่าเป็นอีโคคาร์รุ่นแฮทช์แบ็ค ที่เหนือกว่ารุ่นอื่นๆ จริงๆ ในแง่ของความใหญ่โตโอฬาร และดีไซน์ที่ดูพอเหมาะพอเจาะ ไม่ดูแก่ไป ไม่ดูวัยรุ่นไป ใครที่ชื่นชอบรถในสไตล์แบบนี้ก็น่าจะตอบโจทย์ได้ อย่างไรก็ตามด้วยราคาที่สูงกว่าคู่แข่งในกลุ่มเดียวกันก็อาจจะทำให้ใครหลายคนต้องพิจารณากันอย่างหนัก เอาเป็นว่าก่อนจะตัดสินใจว่าจะซื้อหรือไม่ซื้อ ก็ควรจะทดลองขับ และดูความเหมาะสมในการใช้งานของแต่ละคนดูว่าเป็นอย่างไร

Review-Toyota-Yaris-Eco-Car

แต่ด้วยเครื่องยนต์ที่ปรับลดขนาดมาจากรุ่นก่อนหน้า เพื่อให้เป็น Eco-Car เต็มตัวอย่างเป็นทางการครั้งนี้ ที่ขนาด 1.2 ลิตร รหัส 3NR-FE แบบ 4 สูบ DOHC 16 วาล์ว Dual VVT-i ให้แรงม้าสูงสุด 86 แรงม้า ที่ 6,000 รอบ/นาที และแรงบิดสูงสุด 11.0 กก.-ม. ที่ 4,000 รอบ/นาที รองรับแก๊สโซฮอล์ E20 เกียร์อัตโนมัติ CVT

ระบบช่วงล่างของ ยารีส เหมือนกับ วีออส นุ่มนวล เกาะถนน ควบคุมง่าย น้ำหนักพวงมาลัยไฟฟ้ากำลังดี ไม่เบาหรือหนักจนเกินไป ขับทางไกลให้ความมั่นใจมากกว่ารุ่นเดิม และตัวรถที่ความสูง 1,475 มม. ส่งผลให้จุดศูนย์ถ่วงต่ำลง อาการโยนตัวเมื่อเข้าโค้งก็น้อยลง

ในตอนออกมาใหม่ๆ ยิ่งเป็นข้อได้เปรียบในเรื่องของการปรับราคา ให้น่าสนใจกว่าคู่แข่งค่าย H แต่ก็ต้องแลกกับพละกำลังที่ลดลงเพื่อความประหยัดน้ำมันเช่นกัน และถ้าพิจารณาแล้ว รู้สึกว่ารถคันนี้แหละที่ตอบโจทย์ ก็เชิญไปเลือกสีเลือกรุ่นกันได้เลย

Review-Toyota-Yaris-Eco-Car

ทัศนะความคุ้มค่าน่าใช้ โดย Mr.Carro …

ความคุ้มค่าตอนซื้อ

รุ่นนี้ในตลาดรถมือสอง ถือว่าได้รับความนิยมมาก นับตั้งแต่นักศึกษามหาวิทยาลัย กลุ่มคนเพิ่งเริ่มต้นทำงานใหม่ ที่พอมีกำลังผ่อนรถต่อเดือนหลักพันไหว หรือแม้กระทั่งผู้สูงอายุ เป็นรถรุ่นมีวิ่งให้เห็นกันเกลื่อนเมือง ใช้งานได้หลากหลาย ขนของได้ ขับออกต่างจังหวัดก็ได้

ความคุ้มค่าตอนใช้งาน

เป็นรถที่ขับสนุกใช้ได้ ช่วงล่างดี เกาะถนน พวงมาลัยไม่เบา ไม่หนักจนเกินไป ตัวถังกว้างสุดในกลุ่ม Eco-Car ออพชั่นก็ถือว่าพอเพียงต่อการใช้งาน

ส่วนข้อเสียก็มีอยู่บ้าง บางคนอาจจะไม่ชอบหน้าตาของรุ่นนี้ ไม่ชอบชุดไฟท้าย หรือกำลังเครื่องยนต์ ที่ขับแล้วรู้สึกอืด ไม่มันส์เวลาจะเร่งแซงต้องกดคันเร่งมากๆ ทำให้กินน้ำมันมาก (แทบจะเท่ากับ Vios) ตามไปด้วย ซึ่งถ้าเป็นรถ Eco-Car มันก็เป็นแบบนี้เหมือนกันทุกรุ่นละครับ

ความคุ้มค่าตอนซ่อม

ตอนซ่อม ตอนเข้าศูนย์ ราคาอะไหล่ไม่แพง ตัวรถไม่จุกจิก อาจจะต้องเตรียมงบไว้สำหรับดูแล อย่างน้อยๆ ปีละ 5,000 – 10,000 บาท (กรณีดูแลรักษาทั่วไป ถ้ามีเช็คระยะใหญ่ ก็อาจจะต้องเตรียมเงินไว้เพิ่ม) ครับ

ความคุ้มค่าตอนขายต่อ

สำหรับ Toyota Yaris โฉมนี้ มีราคามือสองอยู่ที่ 340,000 – 500,000 บาท (เป็นราคาในตลาดรถปี 2561 – 2562 โดยประมาณ และขึ้นอยู่กับปีรถ รุ่นย่อย กับ สภาพของตัวรถ)

โดย ยาริส มีให้เลือกตั้งแต่รุ่น J ECO, รุ่น J, รุ่น E, รุ่น G และรุ่น TRD Sportivo

มีสีให้เลือก 7 สี ได้แก่ สีส้ม Orange Metallic, สีแดง Red Mica Metallic, สีฟ้า Frozen Blue Metallic, สีขาว Super White II, สีบรอนซ์เงิน Silver Metallic, สีเทาดำ Gray Metallic และ สีดำ Attitude Black Mica

Download Catalogue Toyota Yaris (คลิกที่ภาพ)

Review-Toyota-Yaris-Eco-Car

รถพัง

ถ้าไม่อยากให้รถพังเร็ว อย่าทำ 5 พฤติกรรมเหล่านี้

สำหรับใครที่ซื้อรถยนต์ส่วนตัวแล้ว ก็คงอยากดูแลมันเป็นอย่างดี บางคนถึงขั้นตั้งชื่อรถของตัวเอง ประคบประหงมกันอย่างเต็มที่ ไม่ให้ฝุ่นเกาะไรจับ ยิ่งรถที่ซื้อมาด้วยน้ำพักน้ำแรงของเรายิ่งต้องดูแลคูณสอง

แต่ถ้าคุณมีพฤติกรรมแย่ๆบางอย่าง อาจส่งผลต่อตัวรถ และอะไหล่รถของคุณได้ เราจึงคัดพฤติกรรมทั้ง 5 ที่คิดว่าเป็นพฤติกรรมที่เสี่ยงต่อรถของคุณกัน ไปดูกันเลย

 

รถพัง

1. ออกตัวแรงขณะเครื่องเย็น

การดับรถจะทำให้เครื่องยนต์เริ่มปรับอุณภูมิจากร้อนเป็นเย็น แต่ถ้าคุณสตาร์ทรถขณะที่เครื่องยนต์ยังเย็น แล้วคุณรีบออกตัวด้วยความเร็ว เป็นพฤติกรรมที่ผิด เพราะมันส่งผลเสียให้กับรถของคุณ โดยเฉพาะระบบหล่อลื่น จะไม่สามารถไปหล่อเลี้ยงชิ้นส่วนอื่นๆภายในเครื่องยนต์ได้ทัน

ดังนั้น คุณควรสตาร์ทเครื่อง แล้วปล่อยทิ้งไว้เพื่อเป็นการวอร์มเครื่องยนต์เล็กน้อย หรือค่อยๆออกตัวไปแบบช้าๆ ไม่ต้องรีบร้อน จนระบบเริ่มเข้าที่เข้าทาง หรือประมาณ 5-10 นาที จึงค่อยเพิ่มความเร็วขึ้นจะดีกว่า

 

รถพัง

2. ไม่ชะลอความเร็วขณะข้ามเนิน ลูกระนาด หรือหลุม

หากคุณขับรถอเจอเนิน ลูกระนาด หรือ หลุม แล้วคุณไม่ได้แตะเบรก หรือลดความเร็ว บอกลาช่วงล่างรถคุณได้เลย ยิ่งถ้าเป็นรถเก๋ง หรือรถที่โหลดต่ำ ช่วงล่างคุณพวกโช้คอัพ ปีกนก บูชยาง ไหนจะเพลาขับอีก มันต้องมีหลวมมีสึกกันบ้าง หรือหนักๆเลยก็หลุดออกมา

แล้วเราจะรู้ได้อย่างไรว่า ช่วงล่างรถเราหลวม เราสึก เรามี วิธีตรวจเช็่คช่วงล่างได้ด้วยตัวเอง ดังนี้

  • ขั้นแรกเราต้องสังเกตด้วยตาของเราเสียก่อน ว่ามีส่วนไหนสึก ส่วนไหนหลวม
  • ขั้นที่สองเวลาเราขับรถยิ่งถ้าเป็นทางขุรขระ เราลองฟังเสียงรถ ถ้าได้ยินเสียง กุกกักๆ แสดงว่าช่วงล่างเราอาจมีปัญหา
  • ขั้นที่สามเช็คช่วงล่างรถเอง ด้วย วิธีการโยกล้อ ซึ่งคุณต้องมีอุปกรณ์อย่างแม่แรงเสียก่อน เพื่อเช็คลูกหมากปีกนกบนและล่าง เช็คลูกหมากปลายแร็ค เป็นต้น

รถพัง

3. เหยียบคันเร่งจนมิด

หลายคนที่มือหนักเท้าหน้าชอบเร่งเครื่อง เหยียบจนมิด พฤติกรรมเหล่านี้จะส่งผลไม่ดีกับสภาพรถยนต์ และอะไหล่รถยนต์อย่างแน่นอน เพราะการเร่งเครื่องมากๆ ถ้ามีกลิ่นไหม้แสดงว่า ผ้าคลัตช์ของคุณเริ่มมีความร้อนสูง ถึงแม้ผ้าคลัตช์จะสามารถรับความร้อนได้สูง แต่ถ้าถึงจุดที่ร้อนจัดๆ คุณคงอาจต้องเตรียมเงินซื้อคลัตช์ใหม่เลย

นอกเหนือจากผ้าคลัตช์แล้ว ยังทำให้อะไหล่ส่วนอื่นของรถเกิดการสึกหรอ อาจต้องเสียเงินเข้าอู่ ไปตรวจสภาพรถอีกด้วย

ผ้าคลัตช์จะทำหน้าที่ ตัดการส่งกำลังจากเครื่องยนต์สู่ชุดเกียร์ เมื่อคุณเหยียบคลัตช์ เพื่อให้ผู้ขับรถยนต์ทำการเปลี่ยนเกียร์ และจะเชื่อมต่อการส่งกำลังจากเครื่องยนต์สู่เกียร์นั่นเอง

 

รถพัง

4. น้ำท่วมแค่ไหน เราก็ลุย

ด้วยสภาพอากาศของเมืองไทยที่หาความแน่นอนไม่ได้ ยิ่งช่วงนี้มีข่าวน้ำท่วมในกรุงเทพฯ หรือตามต่างจังหวัดมากมาย ทำให้คุณต้องขับรถ แต่หากทางขน้ำท่วมสูงถึง 30 เซนติเมตร หรือมากกว่านั้น คุณไม่ควรเสี่ยงลุยน้ำ เลี่ยงได้ควรเลี่ยง  เพราะเครื่องยนต์ของคุณ จะดูดเอาน้ำที่ท่วมไปยังห้องเครื่อง น้ำเหล่านั้นจะสร้างความเสียหายให้กับรถได้

แต่ถ้ามีความจำเป็นและดูระดับน้ำแล้วน่าจะไหว คุณควรปิดแอร์ เพราะระบบแอร์จะเป็นตัวดูดน้ำเหล่านั้นเข้าเครื่องของคุณ และทำให้ระบบไฟฟ้าลัดวงจร  อีกทั้งควรรักษาความเร็ว ไม่ควรเร่งความเร็วเพราะน้ำจะทะลักเข้าเครื่องยนต์ได้ และถึงแม้ว่าคุณได้ขับผ่านพื้นที่น้ำท่วมไปแล้ว แต่คุณอย่าเพิ่งชะล่าใจ ควรตรวจเช็คสภาพรถของคุณในภายหลังด้วยรถพัง

5. ไฟสัญญาณขึ้นเตือนที่หน้าปัด แต่คุณนิ่งเฉย

ขับๆรถอยู่ ไฟที่หน้าปัดดันขึ้นแจ้งเตือน แต่หากคุณไม่สนใจยังฝืนขับต่อไปเรื่อยๆ ส่งผลไม่ดีอย่างแน่นอน เพราะสัญญาณหน้าปัดเป็นเหมือนการแจ้งเตือนแรกของความผิดปกติ ทั้งระบบเครื่องยนต์ ระบบความปลอดภัย

ฉะนั้น คุณควรชะลอรถ และจอดรถเพื่อเช็คระบบรถยนต์เสียก่อน ว่ามีส่วนไหนชำรุดหรือไม่ ต่อจากนั้นซ่อมขั้นพื้นฐานถ้าคุณทำได้ แต่ถ้าไฟสัญญาณหน้ารถคุณแจ้งเตือนสัญลักษณ์เป็นรูปเครื่องยนต์ คุณก็ควรนำรถคุณเข้าอู่เพื่อเช็คสภาพรถ อะไหล่รถ จะดีกว่า

ซึ่ง 5 พฤติกรรมดังกล่าว เป็นจุดเสี่ยงทำให้รถของคุณอาจพังได้ ดังนั้นคุณรีบปรับเปลี่ยนพฤติกรรม ก่อนที่รถของคุณจะเสื่อมสภาพก่อนเวลาอันควร

 

ขอบคุณข้อมูล : finance.rabbit.co.th

 

Easy-Buy-Secondhand-Car

ทุกวันนี้ การตัดสินใจเลือกซื้อรถมือสองสักคันของผู้บริโภค ย่อมมีความต้องการที่แตกต่างกันไป เช่น งบประมาณที่มี ความชอบในรูปร่างหน้าตาของตัวรถ สมรรถนะเครื่องยนต์ ราคาขายต่อ วัตถุประสงค์การใช้งานต่างๆ เป็นต้น ซึ่งเป็นตัวแปรสำคัญในการตัดสินใจของผู้ซื้อ

มุมมองของคนที่ซื้อรถมือสอง มีความคิดเห็นว่า ตลาดรถมือสองยังตอบสนองผู้ที่ต้องการใช้รถได้ดี แม้ในภาวะเศรษฐกิจไม่ดีขณะนี้ เพราะรถมือสองอายุไม่กี่ปีที่เป็นที่นิยมในท้องตลาด ยังมีคุณภาพดีและน่าใช้ไม่แพ้รถใหม่มือหนึ่ง และมีราคาถูกกว่ารถมือหนึ่งถึงหลายแสนบาทในบางรุ่น แถมสามารถลดภาระค่างวดได้อีกมาก เมื่อเทียบกับการผ่อนรถยนต์ใหม่ป้ายแดง

ถ้าจะบอกว่า อยู่ในกรุงเทพฯ หาดูรถมือสองได้ง่าย เพราะมีหลายย่านที่เป็นแหล่งรวมรถมือสองจำนวนมาก แต่ในต่างจังหวัดก็อาจจะหาดูรถมือสองลำบากหน่อย ในกรณีที่อยากดูรถคันจริงๆ ไม่ใช่ดูในออนไลน์ เพราะส่วนมากจะอยู่กระจายกัน ไม่ค่อยรวมกันเป็นย่านแบบในจังหวัดใหญ่ๆ หรือในกรุงเทพฯ

แล้วเขาทำธุรกิจกันอย่างไรล่ะ? ทั้งในมุมคนซื้อ และในมุมคนขาย MR.CARRO จะเล่าให้ฟัง

Carro-Sell-Car-In-Hatyai

ตลาดรถยนต์มือสองหลักๆ ของรถเต็นท์ในต่างจังหวัด ประมาณ 80% ยังเป็นกลุ่มลูกค้าเกษตรกร ที่ใช้รถกระบะเพื่อบรรทุกสินค้าทางด้านเกษตร และการเดินทางที่เน้นประหยัดน้ำมัน เน้นขนคนนั่งได้เยอะๆ ส่วนตลาดรถเก๋ง 20% เป็นลูกค้ากลุ่มข้าราชการ และคนทำงานในบริษัทท้องถิ่นนั้น

รถมือสองในตลาดต่างจังหวัด โดยมากแล้วมักจะเป็นรถที่ตัดมาจากเต็นท์รถใหญ่ๆ ในกรุงเทพฯ ที่อาจจะขายมานานแล้วแต่ขายไม่ได้สักที หรือว่าเป็นรถที่ทางเต็นท์ต่างจังหวัดต้องการ เลยมาขอตัดไป

อีกส่วนหนึ่ง เป็นรถที่มาจากลานประมูลต่างๆ หรือไฟแนนซ์ต่างๆ ขายทอดตลาดในกรุงเทพฯ อาจจะซื้อมาขายไปบวกกำไรต่อ

และรถรุ่นปีเก่าๆ หน่อย อาจจะซื้อมาจากรถบ้าน รถที่ลูกค้ามาเทิร์นที่เต็นท์ หรือผู้ใช้งานในจังหวัดนั้นๆ นำมาขาย และเป็นรถที่คนเมืองส่วนมากมักไม่นิยมกัน แต่ในต่างจังหวัดยังเป็นที่นิยม เนื่องจากมีราคาที่ย่อมเยาว์ ซื้อเงินสดได้เลยไม่ต้องผ่อน และบางผู้ประกอบการอาจใจดีให้ผ่อนเป็นกรณีพีเศษด้วย

รถแบบไหนที่ขาย? ส่วนมากก็จะเป็นรถราคาตามสภาพ บางเต็นท์ก็อาจจะมีเก็บงานให้นิดๆ หน่อยๆ หรือซ่อมเฉพาะในส่วนที่เสียหนักๆ ให้ใช้การได้ เพราะตลาดต่างจังหวัด ผู้คนส่วนมากรายได้อาจไม่สูงนัก ทำให้รถราคาหลักหมื่นยังเป็นที่ต้องการมาก แต่ด้วยราคาที่ถูก รถแทบทั้งหมดจึงเป็นรถตามสภาพ มีเสีย มีซ่อม เปลี่ยนนู่นนี่เป็นเรื่องปกติ ว่าแต่คุณรับได้หรือเปล่าล่ะ?

แต่ก็ไม่ใช่ว่า ต่างจังหวัด ตามเต็นท์รถจะมีแต่รถเก่าเสมอไป รถมือสองราคาหลักแสน หลักล้าน ก็ขอบอกได้ว่า มีอยู่เยอะเช่นกันครับ

Easy-Buy-Secondhand-Car

เคล็ดลับควรรู้ ในการเลือกซื้อรถมือสอง

ควรดูรถในที่กลางแจ้ง มีแสงสว่างหรือแดดจ้า เส้นสายตัวถังตัวรถ กับทรงของรถต้องเรียบเดิม ไม่เบี้ยวหรือยับ หรือผุมาก สภาพสีต้องสม่ำเสมอกันทั้งคัน ดูรอยอาร์ค ตะเข็บตามจุดต่างๆ น็อตต่างๆ ต้องเรียบร้อย ไม่มีรอยบาก รอยงัด รอยถอดออกมา ควรตรวจเช็คระบบไฟทั้งภายนอกและภายในรถ ภายในเครื่องยนต์ ว่าอยู่ในสภาพที่สมบูรณ์หรือไม่ ระบบสายพานต่างๆ ระบบแอร์ ท่อยาง วาล์ว หัวเทียน การทำงานของเครื่องยนต์ เป็นต้น ทางที่ดี ควรเลือกรถที่เดิมๆ หรือสภาพใกล้เคียงที่สุดจากโรงงาน

ภายในห้องโดยสาร ตรวจดูสภาพขององค์ประกอบต่างๆ ภายในทั้งหมด ว่ามีจุดใดกรอบแตก หรือหมดสภาพแล้วหรือไม่ เบาะนั่งที่ดีควรแข็ง นิ่ม ไม่ยวบยาบหรือขาด ดูระบบทำงานภายในรถทั้งหมด ที่ปัดน้ำฝน ไฟสัญญาณต่างๆ กระจกไฟฟ้า วิทยุ ฯลฯ มีตรงไหนใช้ไม่ได้หรือเปล่า และมีกลิ่นเหม็นๆ กลิ่นอับ ภายในรถหรือไม่

จากนั้นก็ลองทดสอบขับ เสียงเครื่องยนต์เป็นอย่างไรเวลาเร่งเครื่อง ตอนเลี้ยวซ้าย-ขวา ถอยหลัง มีเสียงก๊อกๆ แก๊กๆ จากตัวรถหรือไม่ สภาพช่วงล่าง โช็คอัพ วิ่งแล้วมียวบยาบ สะดุด หรือมีเสียงดังหรือไม่ ก่อนจะตรวจดูใต้ท้องรถด้วย มีหยดน้ำมันหรือของเหลว รั่วออกมาจากส่วนต่างๆ หรือไม่

Easy-Buy-Secondhand-Car

การซื้อเลือกสักคันนั้น ควรเลือกให้ตรงกับความต้องการของตัวเอง เช่น

รถอีโคคาร์ (Eco-Car) เป็นรถยนต์ขนาดเล็ก มีเครื่องยนต์ประมาณ 1.0 – 1.2 ลิตร ประหยัดน้ำมัน เหมาะสำหรับขับในเมือง เช่น Toyota Yaris, Nissan March, Mitsubishi Mirage หรือ Suzuki Swift เป็นต้น

รถเก๋ง 4 ประตู หรือที่เรียกว่ารถซีดาน มีในตลาดหลายแบบ เช่น แบบ Sub-Compact (เครื่องยนต์ 1.5 ลิตร), แบบ Compact (เครื่องยนต์ 1.6 – 2.0 ลิตร) และแบบ Mid-Size (เครื่องยนต์ 2.0 – 2.5 ลิตร) เหมาะที่จะขับในเมืองหรือนอกเมือง ให้กำลังมาก เช่น Toyota Altis, Honda Civic, Mazda3 หรือ Nissan Sylphy เป็นต้น

รถ SUV หรือรถ PPV (แบบที่คนไทยเรียก Toyota Fortuner, Isuzu MU-X, Chevrolet Trailblazer หรือ Mitsubishi Pajero Sport เป็นต้น) เป็นรถนั่งอเนกประสงค์ขนาด 7-8 ที่นั่ง มีทั้งแบบขับเคลื่อน 2 ล้อ และ 4 ล้อ ใช้งานในเมืองก็ได้ หรือขับลุยทางลูกรังในต่างจังหวัดก็ได้

รถ MPV เป็นรถอเนกประสงค์ขนาด 7-13 ที่นั่ง เน้นกลุ่มครอบครัวใหญ่ สำหรับใช้งานหรือในเมือง หรือใช้งานในต่างจังหวัด พอลุยได้บ้างนิดหน่อย เช่น Toyota Innova, Honda Freed, Suzuki Ertiga หรือ Mitsubishi Space Wagon เป็นต้น

รถกระบะ เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องใช้บรรทุกของจำนวนมาก ลุยป่าฝ่าดง หรือใช้ในกิจการขนส่งต่างๆ และธุรกิจต่างๆ เช่น Toyota Hilux, Nissan Navara, Mitsubishi Triton, Mazda BT-50, Isuzu D-Max หรือ Chevrolet Colorado เป็นต้น

Easy-Buy-Secondhand-Car

ความสำคัญที่สุดในการเลือกซื้อรถมือสอง ถ้าคุณไม่ได้ซื้อรถมือสองด้วยเงินสด คุณจะต้องผ่อนรถทุกเดือนต่อเนื่องกันเป็นปี และยังต้องมีค่าซ่อมบำรุงรถต่างๆ (ที่จำเป็นต้องจ่ายประจำทุกปีอยู่แล้ว) อาทิ ค่าเปลี่ยนถ่ายน้ำมันเครื่อง ค่าเปลี่ยนผ้าเบรก ค่าช่วงล่าง ค่าปรับจูนเครื่องยนต์ ฯลฯ รวมถึงค่าน้ำมันในระหว่างเดือนอีกด้วย เพราะฉะนั้น วางแผนการเงินของคุณให้รอบคอบ ทั้งเงินดาวน์ ยอดผ่อน รวมถึงค่าจิปาถะต่างๆ และยังต้องกันงบไว้ส่วนนึงไว้ สำหรับซ่อมแซม หรือดูแลรักษารถ

หากคุณสนใจที่จะขายรถมือสองในช่วงเวลานี้ แต่อาจจะพักอาศัย หรือทำงานในต่างจังหวัด CARRO เรามีบริการรับซื้อรถยนต์ของคุณถึงที่ โดยที่คุณจะไม่ต้องเสียเวลา ไม่ต้องเข้ามากรุงเทพฯ เพื่อดำเนินการเรื่องขายรถยนต์ สามารถมาขายได้ที่ CARRO Express คลิกที่นี่ https://th.carro.co/sell-car/express หรือจะ Inbox มาขอรายละเอียดได้ที่ Facebook CARRO Thailand

หรือใครจะ Inbox มาสอบถามก็ได้เช่นกัน ที่ Facebook CARRO Thailand หรือสะดวก Add Line ก็ที่ @Carrothailand หรือคลิกที่นี่ครับ —> เพิ่มเพื่อน

Prepare-Car-In-Winter-Season

ในช่วงเดือนพฤศจิกายนแบบนี้ ประเทศไทยเราก็เริ่มเข้าสู่หน้าหนาวกันแล้วนะครับ (แม้ว่าบางจังหวัดทางภาคใต้ ตอนนี้ยังอยู่ในฤดูมรสุม ต้องเจอกับฝนตกหนัก แต่อากาศก็ยังเย็นจนสัมผัสได้เช่นกัน)

แต่ก็เชื่อได้ว่า หลายๆ ท่านตอนนี้ เริ่มได้สัมผัสอากาศเย็นๆ ทั้งในช่วงกลางคืน และในช่วงเช้ามืด จนรู้สึกอยากออกไปขับรถเที่ยว ขึ้นภู ขึ้นดอย สัมผัสไอหมอก ไอหนาว หรือแม่คนิ้งกันแล้ว …

CARRO ขอแนะนำวิธีการดูแลรักษารถยนต์ เพื่อเตรียมพร้อมไว้ใช้งานในฤดูหนาวครับ.

นอกเหนือจากการดูแลรักษารถยนต์ส่วนต่างๆ ระดับของเหลวจุดต่างๆ โดยทั่วไปแล้ว สิ่งที่สำคัญและควรปฏิบัติในหน้าหนาว มีอาทิเช่น …

Prepare-Car-In-Winter-Season

1. เมื่อหมอกลง

ช่วงฤดูหนาว จะมีหมอกปกคลุมมากกว่าปกติ และพื้นถนนอาจลื่นได้ ควรขับรถด้วยความระวัง เปิดไฟใหญ่ หรือไฟต่ำทุกครั้ง เพื่อให้สามารถมองเห็นสภาพเส้นทางได้ชัดเจนขึ้น แต่ไม่ควรใช้ไฟสูง เพราะไฟสูงจะยิ่งทำให้มองไม่เห็นทางข้างหน้า เพราะแสงไฟจะสะท้อนกับหมอกจนเกิดการฟุ้ง และทำให้ทัศนวิสัยในการขับขี่ลดน้อยลง …

แต่ถ้าหมอกหนามากจริงๆ แนะนำให้หาที่จอดพักริมทางในที่ปลอดภัย ไม่จอดข้างทางหรือบนไหล่ทาง ที่เสี่ยงต่อการเกิดอุบัติเหตุได้ง่าย ดีกว่าครับ

หรือในกรณีที่หมอกลงจัดมาก ควรขับขี่ที่ความเร็ว 40-50 กม./ชม. เพื่อกะระยะรอบด้านและเบรกได้ทัน เมื่อเห็นสิ่งกีดขวางในระยะใกล้อยู่ตรงหน้า

Prepare-Car-In-Winter-Season

2. ไฟตัดหมอก หน้า-หลัง

การใช้ไฟตัดหมอกอย่างปลอดภัย คือ ช่วงที่มีฝนตกปรอยๆ หรือฝนตกหนัก หรือหมอกลงมาก เพื่อให้รถที่ขับสวนมามองเห็นได้ชัดเจนมากขึ้น นอกจากนี้ การขับรถขึ้นภูเขาสูงในช่วงฤดูหนาว ที่มีหมอกหนามากกว่าปกติ ไฟตัดหมอกจะช่วยให้ทัศนวิสัยในการขับขี่ดีขึ้น

รถบางรุ่น (โดยเฉพาะรถยุโรป) มีติดไฟตัดหมอกหลังมาให้เป็นอุปกรณ์มาตรฐานด้วย ซึ่งออกแบบไว้ใช้เฉพาะในยามหมอกลงจัดเท่านั้น แต่หลายคนก็ใช้งานแบบไม่ต้องถูกต้อง เปิดไฟตัดหมอกหลังอย่างพร่ำเพรื่อยามถนนแห้ง ทำให้แยงตาผู้ที่ขับขี่ที่ตามหลัง เพิ่มความเสี่ยง ในการเกิดอุบัติเหตุได้

Prepare-Car-In-Winter-Season

3. ระบบไล่ฝ้า

การขับรถในช่วงฤดูหนาว อุณหภูมิที่ไม่สมดุลระหว่างด้านในและด้านนอกรถ ทำให้ไอน้ำจับตัวเป็นละอองฝ้าเกาะกระจกรถ ส่งผลต่อทัศนวิสัยในการมองเห็นเส้นทาง กรณีเกิดฝ้าที่กระจกข้างและกระจกหน้าด้านในรถ ให้เพิ่มความเย็นเครื่องปรับอากาศ โดยเลื่อนหรือกดสวิตซ์ระบบปรับอากาศไปที่สัญลักษณ์ไล่ฝ้าที่กระจกหน้า หรือลดกระจกรถลงเล็กน้อย เพื่อปรับอุณหภูมิในและนอกห้องโดยสารรถให้สมดุลกัน จะช่วยให้ละอองฝ้าจางหายได้

กรณีเกิดฝ้าที่กระจกด้านหน้าภายนอกรถ ให้เปิดใช้อุปกรณ์ที่ปัดน้ำฝน และฉีดน้ำเช็ดกระจกควบคู่ไปด้วย จะช่วยไล่ละอองฝ้าและขจัดคราบสกปรกบนกระจก กรณีเกิดฝ้าที่กระจกหลังรถ ให้เปิดปุ่มไล่ฝ้า เพื่อให้ขดลวดความร้อนบริเวณกระจกหลังรถทำงาน พอเมื่อละอองฝ้าจางหายไป ให้ปิดปุ่มไล่ฝ้า เพราะความร้อนจะทำให้กระจกรถ และฟิล์มกรองแสงเสื่อมสภาพเร็วขึ้น

Prepare-Car-In-Winter-Season

4. ปิดแอร์ขับรถ

การปิดแอร์ขับรถนั้นก็ถือเป็นสิ่งที่ดี (เฉพาะในหน้าหนาว) โดยหากคุณขับรถบนถนนที่ออกนอกเมือง รถไม่ติด ตอนเช้าๆ อากาศเย็นๆ คุณก็ปิดระบบปรับอากาศ ลดกระจกด้านข้างลง เพื่อรับลมและความเย็นสบายจากธรรมชาติ ที่ช่วยให้เครื่องยนต์ไม่ต้องหมุน “คอมเพรสเซอร์” และช่วยให้ประหยัดน้ำมันได้มากขึ้นถึง 5-10% เลยทีเดียว

การปิดแอร์ขับรถในหนาว ควรทำในนอกเมือง เพราะในเมืองมีแต่ควันพิษ ถ้าหากคุณไม่ชอบลมปะทะหน้า อาจจะปิด A/C (Air Compressor) ของระบบแอร์ เพื่อตัดการทำงานของชุดคอมเพรสเซอร์แอร์ แล้วเปิดแต่พัดลมแอร์ พร้อมกันนี้ปรับสวิทช์การหมุนเวียนอากาศภายในห้องโดยสาร สลับเป็นรับอากาศจากภายนอกเข้าสู่ห้องโดยสาร ที่สามารถรับลมจากภายนอก และช่วยให้กลิ่นไม่พึงประสงค์ในห้องโดยสาร ลดลงตามไปด้วยก็ได้

หวังว่าเคล็ดลับดีๆ ที่ทาง CARRO นำมาฝาก เหมาะสำหรับเอาไว้เตรียมตัว และปฏิบัติตอนขับรถในหน้าหนาวนะครับ

ส่วนใครที่อยากขายรถ เพื่อไปซื้อรถคันใหม่มาใช้เร็วๆ นี้ CARRO เรารับซื้อรถของคุณ สามารถเข้าไปเช็คราคา ตีราคาขายรถก่อนได้ โดยใส่ข้อมูลรถของคุณที่นี่เลย กับ CARRO Express > https://th.carro.co/sell-car/express หรือโทร. 02-508-8425

หรือใครจะ Inbox มาสอบถามก็ได้เช่นกัน ที่ Facebook CARRO Thailand หรือสะดวก Add Line ก็ที่ @Carrothailand หรือคลิกที่นี่ครับ —> เพิ่มเพื่อน

King-Rama-5-Royal-Cars

23 ตุลาคม ปิยมหาราชรำลึก

Rama-5-Opening-of-the-Railway-Line

วันที่ 23 ตุลาคมของทุกปี ถือเป็นวันที่ระลึกสำคัญของชาติ และเป็นวันที่เศร้าสลดอย่างใหญ่หลวงของพระบรมวงศานุวงศ์และปวงชนทั่วประเทศ เป็นวันระลึกถึง พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5 ที่ทรงประชวรและเสด็จสวรรคต ณ พระที่นั่งอัมพรสถานพระราชวังดุสิต

พระองค์ทรงมีพระมหากรุณาธิคุณอเนกประการ ทั้งในการปกครองบ้านเมือง และพระราชทานความร่มเย็นเป็นสุขแก่ปวงชนชนทุกหมู่เหล่า ทุกเชื้อชาติ จึงได้ถวายพระนามว่า “พระปิยมหาราช” หรือ “พระพุทธเจ้าหลวง”

และเป็นยุคสมัยของการเปลี่ยนแปลงประเทศสยามให้มีความทันสมัยขึ้นอย่างมากมาย ทั้งในด้านไฟฟ้า ประปา ไปรษณีย์ การสร้างทางรถไฟสายยุทธศาสตร์ระหว่างกรุงเทพฯ และนครราชสีมา การสร้างสะพาน ขุดคลอง ตัดถนน การพยาบาล การแพทย์ ฯลฯ

พระองค์เจ้ารพีพัฒนศักดิ์

ย้อนกลับไปในปี 2444 พระเจ้าบรมวงศ์เธอ พระองค์เจ้ารพีพัฒนศักดิ์ กรมหลวงราชบุรีดิเรกฤทธิ์ ทรงประชวรต้องเสด็จฯ ไปรักษาพระองค์ ที่กรุงปารีส ประเทศฝรั่งเศส ขณะประทับรักษาพระองค์ ณ ที่นั้น ได้ทรงสั่งซื้อรถยนต์คันหนึ่ง เป็นรถเดมเลอร์เบนซ์ ซึ่งถือเป็นรถชั้นเยี่ยมที่สุดขณะนั้น

ทรงซื้อรถคันดังกล่าวจากมองซิเออร์ เอมีเล เจลลีเนค (Emil Jellinek) ผู้เป็นตัวแทนจำหน่ายรถเดมเลอร์เบนซ์ในประเทศฝรั่งเศส ต่อมาภายหลังรถยนต์เดมเลอร์เบนซ์ ก็เปลี่ยนชื่อเป็น “เมอร์เซเดส-เบนซ์” (Mercedes-Benz) อันโด่งดังในปัจจุบัน

Mercedes-Benz-Rama-5

จากบันทึกห้องสมุดที่รวบรวมประวัติศาสตร์เก่าแก่ของ Mercedes-Benz Classic Center ณ เมืองสตุ๊ตการ์ด ประเทศเยอรมนี พบว่า มีการสั่งรถเมอร์เซเดส-เบนซ์คันแรก จากสถานทูตไทยกรุงปารีส (Ambassador of Siam in Paris, Avenue de Eglau from the “Automobile-Union Paris”, 39. Avenue des Champs Elysees) โดยรถได้ถูกส่งมาถึงเมื่อวันที่ 19 ธันวาคม 1904 (ปี 2447) เป็นรถยนต์รุ่น 28 แรงม้า 4 สูบ เครื่องยนต์ 35 แรงม้า หมายเลขแชสซีส์ คือ 2397 และหมายเลขเครื่องยนต์คือ 4290

ในขณะนั้น กรมหลวงราชบุรีฯ ทรงเร่งการประกอบรถยนต์แทบทุกวัน พอรถเสร็จก็ทรงว่าจ้างคนขับชาวอังกฤษขับรถคันนั้นพาพระองค์ท่าน พร้อมด้วย ม.จ. อมรทัต กฤดากร หลวงสฤษดิ์สุทธิวิจารณ์ (ม.ร.ว. ถัด ชุมสาย) ตระเวนทั่วยุโรปภาคกลางเป็นการทดลองเครื่อง แล้ววนกลับไปยังปารีส

เมื่อเสด็จกรมหลวงราชบุรีฯ เสด็จกลับถึงเมืองไทย ก็ได้ทรงนำรถคันนั้นขึ้นทูลเกล้าฯ ถวายพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวเป็นที่พอพระราชหฤทัยยิ่งนัก รถยนต์คันนี้คือรถยนต์พระที่นั่งคันแรกในประวัติศาสตร์ไทย ซึ่งผู้ที่ทำหน้าที่สารถีคือ เสด็จกรมหลวงราชบุรีฯ นั่นเอง

Mercedes-Benz-28Hp

ในปีต่อมา ได้มีการสั่งรถเมอร์เซเดส-เบนซ์เข้ามาอีก และได้น้อมเกล้าฯ ถวายรถยนต์ เมอร์เซเดส-เบนซ์ แบบ 28 แรงม้า ปี 1905 ทำความเร็วได้ 73 กม./ชม. แด่ พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว นับว่าเป็นรถยนต์พระที่นั่งคันแรกในสยาม ต่อมาได้รับพระราชทานนามว่า “แก้วจักรพรรดิ” ในทำนองเดียวกันกับโบราณราชประเพณีที่มีการพระราชทานนามแก่ช้างเผือกคู่บารมี โดยชื่อของรถยนต์พระที่นั่งคันนี้ มีความหมายว่า เป็นประดุจหนึ่งในแก้วเจ็ดประการอันเป็นของคู่พระบารมีแห่งองค์ราชันย์

รถพระที่นั่งคันนี้เกือบเกิดอุบัติเหตุไฟไหม้ เมื่อมาถึงคณะกรรมการตรวจรับช่วยกันเติมน้ำมันเบนซินใส่ถัง โดยไม่มีใครสังเกตเห็นละอองน้ำมันลอยฟุ้งไปถึงตะเกียงรั้ว ซึ่งแขกยามแขวนไว้ในโรงม้าที่อยู่ใกล้ๆ กว่าจะรู้ก็ต่อเมื่อน้ำมันเบนซินในปี๊บ ลุกเป็นไฟอย่างฉับพลัน ต้องช่วยกันใช้ฟ่อนหญ้าสำหรับม้ากินฟาดดับไฟ แขกโรงม้าต้องวิ่งไปเอาถังน้ำมาช่วยดับอีกแรง ทุกคนต้องอกสั่นขวัญแขวนเมื่อตรวจพบว่าเปลวไฟลวกสีรถเกรียมไปแถบหนึ่ง บานประตูใช้ไม่ได้อีกข้างหนึ่ง

ผู้รับผิดชอบที่นำข่าวร้ายไปกราบบังคมทูลพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว คือ พระเจ้าลูกยาเธอกรมหลวงราชบุรีฯ ขณะที่ทรงประทับอยู่ที่สวนอัมพร ทรงนิ่งอึ้งชั่วครู่ ก่อนที่รับสั่งให้ซ่อมแซมความเสียหาย 2-3 สัปดาห์ต่อมา รถซ่อมเสร็จ คณะกรรมการจึงนำรถมาถวายให้ทอดพระเนตรพระองค์ขึ้นประทับ และทรงลองขับดูชั่วครู่ ทรงรู้สึกว่าต้องพระราชหฤทัย

พระองค์ได้ทรงพระราชทานนามแก่รถยนต์พระที่นั่งคันนี้ว่า “แก้วจักรพรรดิ” รถยนต์พระที่นั่งคันนี้พระองค์ทรงโปรดปรานมาก และก็ได้รับใช้พระองค์ท่านอย่างซื่อสัตย์เป็นเวลาหลายปี

Mercedes-Benz

ในปี 2451 วาระเฉลิมพระชนม์พรรษาครบ 56 พรรษา พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว มีพระราชดำริที่จะสั่งซื้อรถยนต์ มาเป็นของขวัญพระราชทานแก่พระบรมวงศานุวงศ์ และข้าราชการชั้นสูง เพื่อจะได้ใช้ประโยชน์แก่แผ่นดินสืบไป

ในการนี้ทรงโปรดเกล้าให้ พระเจ้าบรมวงศ์เธอ พระองค์เจ้ารพีพัฒนศักดิ์ กรมหลวงราชบุรีดิเรกฤทธิ์ สั่งซื้อจากประเทศฝรั่งเศส จำนวน 10 คัน พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว พระราชทานนามแก่รถยนต์เหล่านี้แต่ละคัน ในลักษณะเดียวกับที่พระราชทานนามแก่ช้าง เพื่อแสดงถึงฐานะและความมั่งมี เช่น แก้วจักรพรรดิ มณีรัตนา ทัดมารุต ไอยราพต กังหัน ราชอนุยันต์ สละสลวย กระสวยทอง ลำลองทัพ พรายพยนต์ กลกำบัง สุวรรณมุขี

ขอขอบคุณข้อมูลและภาพประกอบจาก

  • หนังสือราชยานยนต์หลวงโบราณแห่งสยาม ของสมาคมรถโบราณลุฟท์ฮันซ่า-คาสตรอล
  • หนังสือ Silver Star Chronicle 100 Year Mercedes-Benz Thailand
  • ตำนานดาวสามแฉกในกรุงสยาม mercedes-benz.co.th
King-Rama-9-Royal-Car

ยุคเริ่มแรกของรถยนต์ในโลกและในประเทศไทยเมื่อหนึ่งร้อยกว่าปีที่แล้ว มาพร้อมกับช่วงที่พระราชวงศ์ไทยได้ไปศึกษาต่อในประเทศแถบยุโรป ซึ่งเวลานั้น มีบริษัทรถยนต์ในยุโรปและอเมริกาเหนือ เกิดขึ้นเป็นจำนวนมาก โดยพระราชวงศ์หลายพระองค์ ต่างก็สนพระทัยในรถยนต์ จวบจนรถยนต์คันแรก ได้ถูกนำเข้ามาในสมัยรัชกาลที่ 5 และเริ่มได้รับความนิยมมากขึ้นในรัชกาลต่อมา

King-Rama-9

ล่วงมาจนถึงยุคของ พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร ในหลวงรัชกาลที่ 9 ครั้งยังทรงพระเยาว์ มีโอกาสได้ไปศึกษาต่อ ณ เมืองโลซาน สวิตเซอร์แลนด์ มีแรงบันดาลพระทัยมาจาก สมเด็จพระบรมราชชนนี ทรงนิยมท่องเที่ยวโดยรถยนต์ในภูมิประเทศแถบที่ประทับ และได้มีโอกาสเรียนรู้วิทยาการต่างๆ ของชาวตะวันตกมากมาย รวมไปถึงด้านรถยนต์ ซึ่งเป็นสิ่งที่พระองค์ทรงให้ความสนใจมาตั้งแต่ทรงพระเยาว์

ตลอดรัชสมัยอันยาวนาน มีรถยนต์ยอดเยี่ยมของโลกหลายรุ่น ได้รับใช้พระเจ้าแผ่นดินของปวงชนชาวไทย.

Fiat-500-Topolino

Fiat Topolino

เมื่อทรงเจริญพระชันษา ได้ทรงขอพระราชทานอนุญาตจากสมเด็จพระราชชนนี เพื่อทรงซื้อ Fiat 500 “Topolino” (ชื่อ “Topolino” ในภาษาอิตาลี หมายถึง “Micky Mouse” หรือ หนูตัวเล็ก ในภาษาอังกฤษ) เพราะ “ดู ตลก และน่ารักดี” เป็นรถประเทศอิตาลี มีเครื่องยนต์ขนาด 500 ซีซี 4 สูบ 13 แรงม้า ส่งกำลังผ่านเกียร์ธรรมดา 4 สปีด ทำความเร็วได้สูงสุด 85 กม./ชม.

โดยมี พระวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าพีระพงศ์ภาณุเดช นักแข่งเจ้าดาราทอง ผู้มีชื่อเสียงทั่วยุโรปมาตั้งแต่ก่อนสงครามโลกครั้งที่สอง ถวายการฝึกหัดขับรถ

เมื่อวันจันทร์ที่ 4 ตุลาคม 2491 เกิดเหตุการณ์ที่ไม่คาดฝันขึ้น เมื่อรถยนต์ตอนเดียวเล็กๆ คันหนึ่ง แล่นอย่างรวดเร็วตามถนนผ่านเมืองมอร์จ (Morges) มุ่งสู่ นครเจนีวา (Geneva) โดยผู้ขับมิได้คาดการณ์ว่า รถบรรทุกที่อยู่ข้างหน้าจะหยุดอย่างกะทันหันเพื่อมิให้ชนผู้ขี่จักรยานสองคนบนถนน แม้ผู้ขับรถยนต์คันเล็กจะเหยียบห้ามล้อแล้ว รถยนต์คันเล็กก็ปะทะท้ายรถบรรทุกเข้าอย่างจัง ผู้ขับรถยนต์คันเล็กนั้นคือ พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ซึ่งทรงได้รับบาดแผลฉกรรจ์ที่พระเนตรข้างขวา ผู้โดยเสด็จในรถพระที่นั่งคือ นายอร่าม รัตนกุล เสรีเริงฤทธิ์ ได้รับบาดเจ็บกะโหลกศีรษะร้าว

หลังจากนั้น รถที่ทรงโปรดในเวลาต่อมา ก็จะเป็นรถยี่ห้อ Delahaye จัดว่าเป็นรถยนต์สมรรถนะสูง ของประเทศฝรั่งเศส ที่ก่อตั้งขึ้นโดย Émile Delahaye ในปี 1894

Delahaye-GFA-135M-Convertible

Delahaye G.F.A. 135 M Convertible

Delahaye G.F.A. 135 M Convertible ปี 1952 ตัวถังผลิตโดย Henri Chapron ตัวรถผลิตโดย Société Des Automobiles Delahaye (G.F.A. ย่อมาจาก Groupe Français de l’Automobile)

ตัวถังแบบเปิดประทุน หมายเลขตัวถัง 801401 ส่วนเครื่องยนต์ (หมายเลขเครื่องยนต์ แอนน์ 6787) 6 สูบ 3 คาร์บูเรเตอร์ ถ่ายทอดกำลังผ่านเกียร์ไฟฟ้า 4 สปีด มีตัวควบคุมการเดินหน้าถอยหลัง ใช้ยาง Firestone ขนาด 6.00 X 17

พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ทรงซื้อในประเทศสวิตเซอร์แลนด์ แล้วส่งมายังประเทศไทยในภายหลัง ป้ายทะเบียน ก.ท.ด. 0008

Delahaye-GFA-178

Delahaye G.F.A. 178

Delahaye G.F.A. 178 ปี 1952 (วันที่ซื้อ คือ : 18/4/95) ตัวถังผลิตโดย Henri Chapron ตัวรถผลิตโดย Société Des Automobiles Delahaye

ตัวถังแบบ Saloon หมายเลขตัวถัง 820029 ส่วนเครื่องยนต์ รหัส 2AL-183 6 สูบ 3 คาร์บูเรเตอร์ ถ่ายทอดกำลังผ่านเกียร์ไฟฟ้า 4 สปีด มีตัวควบคุมการเดินหน้าถอยหลัง ใช้ยาง Dunlop ขนาด 6.00/6.50 X 18

พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ทรงใช้ตั้งแต่ประทับอยู่ที่เมือง Lausanne ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ ป้ายทะเบียน 1ด-0009 กรุงเทพมหานคร

Delahaye-GFA-178-Wagon

Delahaye G.F.A. 178

Delahaye G.F.A. 178 ปี 1952 (วันที่บนแผงหน้าปัด คือ : 25/2/96) ตัวถังผลิตโดย Henri Chapron ตัวรถผลิตโดย Société Des Automobiles Delahaye

ตัวถังแบบ Saloon (ต่อมาถูกดัดแปลงเป็นตัวถัง Station Wagon โดย บริษัท ไทยประดิษฐ์ จำกัด โดยมี Sunroof บนหลังคา) หมายเลขตัวถัง 820038 ส่วนเครื่องยนต์ (หมายเลขเครื่องยนต์ 820038) รหัส 1AL-183 6 สูบ คาร์บูเรเตอร์เดี่ยว ถ่ายทอดกำลังผ่านเกียร์ 4 สปีด ใช้ยาง Dunlop ขนาด 6.00/6.50 X 18

พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ทรงใช้ตั้งแต่ประทับอยู่ที่เมือง Lausanne ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ ป้ายทะเบียน ก.ท.ด. 0009

Delahaye-180

Delahaye G.F.A. 180

Delahaye G.F.A. 180 ปี 1953 ตัวถังผลิตโดย Henri Chapron (หมายเลขตัวถัง 6961) ตัวรถผลิตโดย Société Des Automobiles Delahaye

ผลิตเมื่อปี 2496 ตัวถังแบบลีมูซีน (หมายเลขแชสซีส์ 825018) มีหน้าต่างกระจกกั้นพระที่นั่งตอนหน้า และตอนหลัง กระจกหน้าต่างแบบไฮดรอลิก และหน้าต่างรับแดด (ซันรูฟ) บนหลังคา จุดระเบิดด้วยคอยล์ ส่งกำลังผ่านเกียร์ 4 สปีด

ผู้ซื้อคือ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช

Delahaye-VRLD

Delahaye VLR

Delahaye VLR (ย่อมาจาก Véhicule léger de Reconnaissance Delahaye) ปี 1953 รถผลิตโดย Société Des Automobiles Delahaye เมื่อปี 2496 (วันที่บนแผงหน้าปัด คือ : 24/9/96) ตัวถังแบบรถจี้ป (หมายเลขแชสซีส์ 836206)

พวงมาลัยซ้าย เครื่องยนต์เบนซิน 4 สูบ (หมายเลขเครื่อง 57939) ใช้ระบบไฟฟ้า 24 โวลท์ และหล่อลื่นแบบอ่างแห้ง ส่งกำลังผ่านเกียร์ 4 สปีด พร้อมเกียร์ Low และระบบขับเคลื่อนสี่ล้อ ใช้ยาง Goodyear ขนาด 7.00 X 16

ผู้ซื้อคือ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช ปัจจุบันติดป้ายทะเบียน กงจักร 0002

Amilcar-CO

Amilcar CO

Amilcar CO (รถเปิดประทุน) ผลิตโดย Atelier et Générale Carrosserie, Paris. ตามแบบของ Farina (หมายเลขแชสซีส์ Dans La Series 11041)

ผลิตในปี 2470 นับเป็นหนึ่งในจำนวนรถอนุกรม C6 Cruiser ซึ่งเริ่มการผลิตเป็นครั้งแรกเมื่อ ปี 2469 และเป็นหนึ่งในจำนวนรถแข่งเพียงไม่กี่คัน ที่ได้รับการบรรจุเข้าสู่สายการผลิต ตัวถังเปลี่ยนเป็นแบบดังที่ปรากฎเมื่อปี 2490 ขับเคลื่อนด้วยกำลังของเครื่องยนต์ Simca-เดอโอ 4 สูบ 1100 ซีซี รุ่นปี 2489 (หมายเลขเครื่อง 90025) ส่งกำลังผ่านเกียร์ไฟฟ้า 4 สปีด ใช้ยาง Michelin ขนาด 4.75/500-19

พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ทรงซื้อรถคันนี้ในประเทศสวิตเซอร์แลนด์

Mercedes-Benz-300-SL-(W198)

Mercedes-Benz 300 SL (W198) “Gullwing Coupe”

Mercedes-Benz 300 SL (W198) “Gullwing Coupe” ปี 1955 ทะเบียน 1ด-0010 กรุงเทพมหานคร (ปัจจุบัน ทะเบียน 1ด-1110 กรุงเทพมหานคร) ราชยานยนต์หลวงคันนี้ จอมพล ป. พิบูลสงคราม อดีตนายกรัฐมนตรี น้อมเกล้าฯ ถวาย พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ในปี 2498 และเข้าประจำการเมื่อวันที่ 8 สิงหาคม 2498

Mercedes-Benz 300 SL (W198) “Gullwing Coupe” ปัจจุบันมีเพียง 8 คันในประเทศไทย และคันนี้ถือว่ามีสภาพสมบูรณ์ที่สุดในประเทศไทย

Mercedes-Benz-190-SL

Mercedes-Benz 190 SL (W121)

Mercedes-Benz 190 SL (W121) สีน้ำเงิน ที่ในหลวงทรงขับเมื่อคราวเสด็จฯ เยือนยุโรปห้าประเทศ ในปี 2503 ที่พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ทรงใช้ เมื่อคราวเสด็จพระราชดำเนินเยือนยุโรป 5 ประเทศ ในปี 2503 และทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้นำกลับมาใช้ในประเทศไทย

Daimler-DE36

ส่วนรถยนต์พระที่นั่งหลักในงานราชพิธียุคนั้น จะเป็นรถจากประเทศอังกฤษ ได้แก่ Daimler DE36 ตัวถังโดย Hooper (Couchbuilder) แบบเดียวกับพระราชินีอังกฤษ และผู้นำของนานาประเทศเลือกใช้ นอกจาก Daimler แล้วยังมี Jaguar Mk VII M และ Armstrong Siddeley Sapphire เป็นรถยนต์พระที่นั่งรองด้วย

เมื่อเสด็จนิวัติพระนคร พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ได้เสด็จออกเยี่ยมพสกนิกรไปทั่วทุกภาค เมื่อเสด็จออกต่างจังหวัด จะทรงใช้รถ Mercedes-Benz 300 แบบเดียวกับที่รู้จักกันดีในชื่อ “เบนซ์ อาเดนนาวเออร์” (Benz Adenauer) ที่ทรงมีครบทุกรุ่น

ในระยะนี้ยังทรงเริ่มสนพระราชหฤทัยรถอเมริกัน ตามยุคสมัยเช่นเดียวกับพระองค์เจ้าพีระฯ ผู้เป็นองค์ที่ปรึกษา ทรงซื้อ Cadillac Fleetwood ปี 1955 ใช้เป็นรถยนต์พระที่นั่งส่วนพระองค์ ภายหลังจึงทรงเลือกใช้รถพระที่นั่งสำหรับเสด็จฯ เยี่ยมราษฎร ที่สามารถลุยเข้าพื้นที่ทุรกันดารได้มากขึ้นอย่าง Jeep และ Land Rover แทนรถยนต์พระที่นั่งแบบ 4 ประตู

แหล่งที่มาบางส่วนจาก:

  • ภาพจาก หนังสือ “เกิดวังปารุสก์” ของสำนักพิมพ์ ริเวอร์ บุ๊คส์
  • ข้อมูลจาก นพ.สมคนึง ตัณฑ์วรกุล และหนังสือ ราชยานยนต์โบราณแห่งสยาม

ไฟแนนซ์-รถมือสอง

จัดไฟแนนซ์รถบ้านมือสองด้วยตัวเองแบบง่ายๆ
ไม่ต้องมีคนค้ำประกันก็ทำได้!

ไฟแนนซ์, รถมือสอง

เหตุผลหลักๆ ที่ทำให้ใครหลายคนตัดสินใจควักกระเป๋านำเงินไปซื้อรถยนต์ส่วนตัวใช้ ก็เพราะความสะดวกสบาย และความเป็นส่วนตัว และทำให้รถยนต์กลายเป็นอีกหนึ่งปัจจัยสำคัญในการใช้ชีวิตของคนไทยไปซะแล้ว ไม่ว่าจะเป็นคนที่อาศัยอยู่ในเมืองกรุง หรือชนบท รถยนต์ส่วนก็ยังคงเป็นตัวเลือกที่สามารถอำนวยความสะดวกได้ดีที่สุด

แต่เนื่องด้วยเศรษฐกิจที่กำลังชะลอตัวอยู่ในทุกวันนี้ คนที่กำลังจะควักกระเป๋าซื้อรถใหม่ก็ต้องคิดให้ดี เพราะนอกจากในเรื่องของเศรษฐกิจ ก็ยังมีเรื่องของราคารถมือหนึ่งที่เพิ่มสูงมากขึ้นเรื่อยๆ ด้วยเหตุนี้จึงทำให้หลายคนหันมานิยมรถมือสองมากกว่า เพราะรถบ้านมือสองสมัยนี้มีราคาถูกกว่า และรถบางคันก็ยังอยู่ในสภาพดีพร้อมใช้งาน

ถ้าหากคุณต้องการซื้อรถบ้านมือสองสักคัน แต่ไม่อยากซื้อเงินสด ต้องการจัดไฟแนนซ์รถมือสองก็สามารถทำได้ แต่หลายคนอาจจะกังวลว่าจะจัดไฟแนนซ์รถมือสองผ่านไหม

ซึ่งสิ่งที่เป็นปัญหาสำหรับคนที่ต้องการจัดไฟแนนซ์ส่วนใหญ่คือเรื่องของ ‘คนค้ำประกัน’ เพราะคงไม่มีใครอยากจะมาร่วมเป็นหนี้กับคุณ เนื่องจากถ้าหากลูกหนี้มีการหนีหนี้ คนค้ำประกันจะตกเป็นผู้ที่ต้องรับผิดชอบแทนทั้งหมด

ซึ่งอันที่จริงแล้วคุณก็สามารถจัดไฟแนนซ์รถมือสองได้โดยไม่จำเป็นต้องมีคนค้ำประกัน แต่ก็ต้องขึ้นอยู่กับคุณสมบัติของผู้ขอจัดไฟแนนซ์รถมือสองด้วยว่าจะสามารถขอจัดไฟแนนซ์รถมือสองแบบไม่มีคนค้ำได้หรือไม่

ซึ่ง Carro เว็บไซต์ซื้อ-ขายรถมือสอง ได้เล็งเห็นถึงข้อกังวลของผู้ซื้อทั้งหลาย และได้ทำการรวบรวมข้อมูลทั้งหมด มาไขข้อข้องใจให้กับผู้ที่ต้องการซื้อรถบ้านมือสอง และจัดไฟแนนซ์ด้วยตนเอง ว่าถ้าหากไม่ต้องใช้คนค้ำประกันจะสามารถทำได้หรือไม่?! และบุคคลเหล่านั้นจะต้องมีคุณสมบัติใดบ้าง

ไฟแนนซ์, รถมือสอง

  1. ประกอบอาชีพที่มั่นคง และมีรายรับสม่ำเสมอ

คุณสมบัติแรกสำหรับผู้ที่ต้องการจัดไฟแนนซ์ต้องมีคือ การประกอบอาชีพที่มั่นคง ยิ่งถ้าคุณเป็นพนักงานประจำ ข้าราชการ หรือพนักงานรัฐวิสาหกิจ ที่มีเงินเดือนเข้าบัญชีต่อเนื่อง และสม่ำเสมอก็จะยิ่งมีเครดิต มากกว่าคนที่ประกอบอาชีพอิสระ โดยทางบริษัทไฟแนนซ์ก็จะประเมินว่าเงินเดือนคุณสูงเกินจากค่าผ่อนชำระที่จะต้องส่งในแต่ละเดือนหรือไม่ ถ้าจะให้ดีเงินเดือนของคุณควรมีจำนวนมากกว่างวดประมาณ 2-3 เท่าขึ้นไป

 

  1. หลักฐานที่แสดงถึงรายได้

ไม่ว่าจะเป็นสลิปเงินเดือนย้อนหลัง หรือว่า Statement ย้อนหลัง ก็นับว่าเป็นหลักฐานที่ทางบริษัทไฟแนนซ์จะสามารถตรวจสอบได้ว่าคุณมียอดรายรับตรงกับที่แจ้งไว้หรือเปล่า ที่สำคัญยอดเงินที่เข้าบัญชีก็ต้องมีความสม่ำเสมอ ซึ่งส่วนใหญ่จะต้องใช้หลักฐานย้อนหลังประมาณ 6 เดือน

 

  1. ที่อยู่อาศัยต้องเป็นหลักแหล่ง

ในส่วนของเรื่องที่อยู่อาศัยก็เป็นอีกหนึ่งปัจจัยสำคัญที่บริษัทไฟแนนซ์จะต้องประเมิน ยิ่งถ้าหากผู้ขอจัดไฟแนนซ์มือสองมีที่อยู่อาศัยตรงตามทะเบียนบ้าน ไม่ว่าจะเป็นการอยู่อาศัยกับพ่อแม่ สามีภรรยา หรือเป็นบ้านของตนเอง ก็จะทำให้การจัดไฟแนนซ์รถมือสองถูกอนุมัติได้ง่ายมากกว่าการอยู่ห้องเช่า หรือบ้านเช่า

 

  1. มีประวัติการชำระหนี้ที่ดี

สิ่งที่สำคัญเป็นอันดับสุดท้ายที่บริษัทไฟแนนซ์รถมือสองจะต้องประเมินคือ ประวัติการชำระหนี้ หรือที่เรียกกันว่า ‘เครดิตบูโร’ (link: https://www.ncb.co.th) ยิ่งคุณมีประวัติการชำระหนี้ที่ดีมากเท่าไหร่ การอนุมัติไฟแนนซ์รถมือสองก็จะเป็นเรื่องง่ายมากขึ้นเท่านั้น ถ้าหากใครไม่แน่ใจว่าประวัติการชำระหนี้ของคุณเป็นอย่างไร ก็สามารถไปขอได้ที่ศูนย์ตรวจเครดิตบูโรตามสถานที่ต่างๆ

เพียงแค่ผู้ขอจัดไฟแนนซ์รถมือสองมีคุณสมบัติเบื้องต้นตามนี้ก็จะสามารถจัดไฟแนนซ์รถมือสองโดยไม่จำเป็นต้องมีคนค้ำประกัน แต่เงื่อนไข หรือคุณสมบัติบางอย่างอาจจะแตกต่างกันไปตามแต่ละเงื่อนไขของบริษัทไฟแนนซ์รถมือสองที่คุณเลือก หรือถ้าหากคุณอยากทราบข้อมูลเกี่ยวกับไฟแนนซ์เรื่องอื่นๆ เพิ่มเติม สามารถอ่านได้ที่ (https://th.carro.co/blog/)

แต่สำหรับคนที่ยังไม่มีรถบ้านมือสองคันที่ถูกใจ ก็สามารถเข้าไปเลือกดูได้ที่ (ตลาดรถมือสอง) ที่จะมีรถบ้านมือสองสภาพดีให้เลือกมากมาย หรือคุณมีรถคันเก่าที่อยากจะขายก็สามารถนำมาขายได้ที่ Carro เช่นกัน เรามีบริการอย่าง ขายรถแบบด่วน (link: https://th.carro.co/sell-car-express) เพื่อนำเงินไปซื้อรถคันใหม่ รับรองว่าให้ราคาที่ดีที่สุด พร้อมปิดการขายภายใน 24 ชั่วโมง หรือสอบถามรายละเอียดเพิ่มได้ใน Facebook: Carro Thailand

 

ขับเคลื่อนล้อหน้า,-ขับเคลื่อนล้อหลัง

มาทำความรู้จัก “ขับเคลื่อนล้อหน้า” และ “ขับเคลื่อนล้อหลัง” กัน

ขับหน้า-VS-ขับหลัง

เชื่อว่าคนใช้รถมือสอง หลายๆ คน ต้องเคยได้ยินคำว่า “ขับเคลื่อนล้อหน้า”, “ขับเคลื่อนล้อหลัง”, “FF”, “FR” หรืออะไรทำนองนี้ มาก่อนแล้วแน่ๆ และรู้ไหมว่า ระบบขับเคลื่อนล้อหน้าและล้อหลังนั้น นอกจากจะมีข้อดี ข้อเสีย ที่แตกต่างกันแล้ว ยังเป็นอีกหนึ่งปัจจัย ที่ทำให้ราคารถมือหนึ่ง และรถมือสองแต่ละรุ่น สูงต่ำต่างกันอีกด้วย!

เพื่อให้การเลือกซื้อรถมือสองของคุณง่ายกว่าเดิม และตรงตามวัตถุประสงค์ของการใช้งานมากที่สุด บทความนี้จึงช่วยรวบรวมรายละเอียดของระบบขับเคลื่อนล้อหน้าและล้อหลัง รวมถึงเปรียบเทียบจุดเด่นจุดด้อย เพื่อเป็นตัวช่วยในการเลือกซื้อรถมือสองของคุณ

มาดูกันว่า ระบบขับเคลื่อนของรถมือสองแบบไหน ที่จะตรงใจ และตรงตามการใช้งานของคุณมากที่สุด!

ขับหน้า-VS-ขับหลัง

ระบบขับเคลื่อนล้อหน้า (FWD: Front Wheel Drive)

เป็นระบบขับเคลื่อนแบบที่พบมากที่สุดในบรรดารถยนต์ที่ผลิตออกมาในปัจจุบันก็ว่าได้ โดยเฉพาะรถญี่ปุ่นส่วนใหญ่ รถตลาด และอีโคคาร์รุ่นต่างๆ รถที่ขับเคลื่อนล้อหน้า จะมีจุดสังเกตตรงที่เพลาขับเคลื่อน จะต่อกับชุดเกียร์โดยตรงแล้วเชื่อมกับล้อหน้าทั้งสองข้าง ทำให้เพลาหน้าของรถมีหน้าที่ในการบังคับเลี้ยว และรับกำลังที่ส่งผ่านมาจากเกียร์ด้วย

ขับหน้า-FF-T

นอกจาก FWD ซึ่งเป็นคำกว้างๆ ที่ใช้เรียกกันแบบสากลแล้ว หลายคนน่าจะเคยเห็นอักษรย่อ FF (Front Engine Front Wheel Drive) มาก่อน FF คือรูปแบบการวางเครื่องยนต์ไว้ด้านหน้า ขนานกับส่วนหน้าของรถยนต์ และใช้ระบบขับเคลื่อนล้อหน้า ทำให้หลายคนอุปมาว่า ระบบส่งกำลังแบบนี้ ก็เหมือนกับการออกแรงดึงรถให้เคลื่อนไปข้างหน้านั่นเอง

ตัวอย่าง รถมือสองขับเคลื่อนล้อหน้าที่คุ้นเคยกันดีในแวดวงรถมือสอง ที่ได้รับความสนใจอย่างมากบนเว็บไซต์สื่อกลางซื้อขายรถยนต์มือสองคาร์โร ก็คือรถญี่ปุ่นรุ่นยอดนิยมอย่าง Honda Civic, Toyota Corolla AltisHonda Accord ฯลฯ นั่นเอง

ขับหน้า-FF-L

อย่างไรก็ตาม ไม่จำเป็นเลย ที่รถญี่ปุ่นจะต้องเป็นรถขับหน้าทุกรุ่น เพราะรถเก๋งขนาด Full-Size หรือรถกระบะ ก็ยังคงใช้ระบบขับเคลื่อนล้อหลังอยู่ และรถยุโรปบางรุุ่น (มักจะเป็นรถเล็ก) ก็นิยมผลิตรถที่ขับเคลื่อนล้อหน้าออกมาขายเช่นกัน เช่น Mercedes Benz A-Class และ Mini Cooper เป็นต้น นอกจากนี้รถ SUV ส่วนใหญ่ ก็มักเป็นรถที่ขับเคลื่อนล้อหน้า แต่จะสามารถเปลี่ยนเป็นขับเคลื่อนสี่ล้อได้โดยอัตโนมัติ เช่น Honda CR-V เป็นต้น

Toyota-Sprinter-Trueno-AE86

ระบบขับเคลื่อนล้อหลัง (RWD: Rear Wheel Drive)

เราจะพบว่า รถมือสองขับเคลื่อนล้อหลังที่เห็นได้ตามท้องถนนในประเทศไทย ส่วนใหญ่มักจะเป็นรถยุโรป และสปอร์ตคาร์ รวมถึงรถกระบะเป็นส่วนใหญ่ รถที่ขับเคลื่อนล้อหลัง อาจจะแบ่งตามตำแหน่งการวางเครื่องยนต์ได้ดังนี้

ขับหลัง-FR

– FR (Front Engine Rear Wheel Drive) คือรถที่ขับเคลื่อนล้อหลัง แต่มีการวางเครื่องยนต์ตามยาวไว้ด้านหน้า แล้วส่งกำลังผ่านเพลากลางไปยังเฟืองท้าย กระจายกำลังไปยังล้อหลังทั้งสองข้าง มักพบได้ในรถยุโรปรุ่นใหญ่ๆ และหรูหรา เช่น Mercedes Benz C-Class, E-Class และ S-Class เป็นต้น

ขับหลัง-FMR

– FMR (Front Midship Engine Rear Wheel Drive) คือรถที่ขับเคลื่อนล้อหลัง และเครื่องยนต์ก็ยังวางไว้ด้านหน้า แต่พยายามร่นระยะของตำแหน่งการวางเครื่องยนต์ให้ถอยหลังมามากที่สุด โดยเครื่องยนต์จะถูกวางไว้หลังแนวเพลาล้อหน้า ซึ่งจะทำให้รักษาสมดุลระหว่างตัวถังด้านหน้าและด้านหลังได้มากกว่า ตัวอย่างก็เช่น Honda S2000, Mazda RX-8, Ferrari F12 Berlinetta เป็นต้น

ขับหลัง-RMR-T

– MR (Mid Engine Rear Wheel Drive) คือรถขับเคลื่อนล้อหลังที่เครื่องยนต์ถูกวางไว้ตรงกลาง อาจจะวางขวางหรือวางตามยาวก็ได้ เป็นรูปแบบการวางเครื่องยนต์ที่ทำให้รถกระจายน้ำหนักได้ดีที่สุด ตัวอย่างรถแบบนี้ก็คือ Toyota MR2, Honda NSX นั่นเอง

ขับหลัง-RR

– RR (Rear Engine Rear Wheel Drive) คือรถขับเคลื่อนล้อหลังที่วางเครื่องยนต์ไว้ด้านท้าย โดยมีเกียร์อยู่ด้านหน้า เครื่องยนต์จึงมักเป็นเครื่องขนาดเล็กและไม่มากชิ้น เราจะเห็นได้จากบรรดาสปอร์ตคาร์ ที่มักจะดีไซน์ด้านหน้าให้ลาดลงสุดๆ เพื่อลดแรงเสียดทาน ตัวอย่างก็คือรถตระกูล Porsche บางรุ่น หรือ Volkswagen Beetle รุ่นเก่า เป็นต้น

รหัสย่อที่กล่าวมานี้ คือ Layout หรือโครงร่างของรถยนต์ที่ขับเคลื่อนล้อหลัง ซึ่งคุณสามารถหาข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับระบบการทำงานของเลย์เอาต์แต่ละแบบได้ ที่นี่

Toyota-MR2

ข้อดี – ข้อด้อย ของระบบขับเคลื่อนล้อหน้า และขับเคลื่อนล้อหลัง

ขับเคลื่อนล้อหน้า (FWD) ขับเคลื่อนล้อหลัง (RWD)
ราคา ถูกกว่า เพราะใช้ชิ้นส่วนน้อยกว่า ทำให้รถมีต้นทุนในการผลิตต่ำกว่า แพงกว่า เพราะรถมีระบบส่งกำลังที่ซับซ้อนกว่า และใช้ชิ้นส่วนมากกว่า แน่นอนว่าย่อมส่งผลให้ค่าซ่อมบำรุงสูงกว่าด้วย
ความทนทาน ทนทานน้อยกว่า เพราะเพลาหน้าต้องรับหน้าที่เลี้ยว หมุน และรับกำลังที่ส่งมาจากเกียร์ จึงทำให้ทั้งเพลาและยางล้อหน้ามีโอกาสที่จะสึกหรอเร็วกว่า

*ขึ้นอยู่กับการบำรุงรักษาด้วย*

ทนทานกว่า เพราะมีการกระจายแรงไปยังส่วนต่างๆ ได้ดีกว่า
การประหยัดเชื้อเพลิง ประหยัดน้ำมันมากกว่า เพราะสูญเสียกำลังเครื่องยนต์น้อยกว่า และรถมีน้ำหนักเบากว่า สิ้นเปลืองเชื้อเพลิงมากกว่า เพราะต้องส่งกำลังผ่านเพลากลาง ทำให้ต้องใช้กำลังมาก
การใช้พื้นที่ห้องโดยสาร ใช้น้อยมาก เพราะระบบเครื่องยนต์มักมีขนาดกะทัดรัดและอยู่ด้านหน้ารถ ทำให้เสียพื้นที่ห้องโดยสาร เพราะต้องมีอุปกรณ์เพื่อส่งกำลังไปยังล้อหลัง หากติดตั้งเครื่องยนต์ตรงกลางหรือท้ายรถก็จะยิ่งกินพื้นที่ห้องโดยสารมาก
ความสมดุลในการเข้าโค้ง สมดุลมากกว่าเพราะการวางเครื่องยนต์ไว้ที่ด้านหน้าของรถทำให้ล้อหน้ามีแรงยึดเกาะ (Traction) สูง กว่า แต่ก็อาจเกิด Understeer (หน้าดื้อ) ได้ ทำให้โค้งแล้วหลุดหรือแหกโค้ง สมดุลน้อยกว่า อาจมีอาการ Oversteer (ท้ายปัด) ได้ ซึ่งจะควบคุมได้ยากกว่า
ความสมดุลเมื่อขับขี่ด้วยความเร็วต่ำ สมดุลดีกว่า เนื่องจากทำอัตราเร่งช่วงต้นได้เร็วกว่าและดีกว่า แต่เป็นข้อเสียด้วยเช่นกันเพราะทำให้แรงยึดเกาะช่วงออกตัวมีน้อย เพราะน้ำหนักจะถ่ายเทไปด้านหลัง (นึกภาพดึงรถจากด้านหน้า) สมดุลน้อยกว่าในเครื่องแบบ FR แต่เครื่องแบบ อื่นๆ ก็ดีพอๆ กับขับหน้า แต่อาจจะให้ความรู้สึกหนักหน่วงกว่าตอนออกตัว (นึกภาพดันรถจากด้านหลัง)
ความสมดุลเมื่อขับขี่ด้วยความเร็วสูง สมดุลน้อยกว่า เพราะน้ำหนักกระจายตัวไม่ดี ซึ่งเป็นผลให้ควบคุมรถขณะเบรกได้ยากกว่า ทรงตัวได้ดีกว่าเมื่อขับขี่ด้วยความเร็วสูง

ระบบขับเคลื่อนแบบไหน เหมาะกับใคร

จากการเปรียบเทียบข้อดีข้อด้อยข้างต้น เราจะเห็นได้ว่า รถที่ขับเคลื่อนล้อหน้า เหมาะกับการขับขี่ระยะสั้นด้วยความเร็วต่ำมากกว่า ดังนั้น จึงเหมาะกับผู้ขับขี่ที่อยู่ในเมืองใหญ่ที่มีการจราจรติดขัด เพราะรถกินน้ำมันน้อยกว่า รวมถึงสามารถใช้พื้นที่ในห้องโดยสารได้มากกว่าอีกด้วย

ส่วนรถที่ขับเคลื่อนล้อหลัง หากไม่ใช่รถที่ใช้ในกิจกรรมบางอย่างโดยเฉพาะ เช่น ใช้แข่งขันความเร็วในสนามแข่งรถ ก็เป็นรถที่เหมาะสมกับการขับขี่บนถนนโล่งๆ ที่สามารถทำความเร็วได้ จึงน่าจะเหมาะกับคนที่เดินทางไกลบ่อย คนต่างจังหวัดที่ไม่ต้องเผชิญกับเหตุการณ์รถติด หรือคนรักสปอร์ตคาร์ที่มีรถไว้ขับเล่นเป็นครั้งคราว ไม่ได้มีความจำเป็นต้องใช้รถในชีวิตประจำวัน

อย่างไรก็ตาม รถขับหลังก็เป็นรถที่สามารถใช้ขับขี่ในเมืองได้อย่างไม่เป็นปัญหา ดังที่เราเห็นได้จากรถยุโรปจำนวนมาก ที่ขับอยู่บนถนนในกรุงเทพฯ แต่คนขับต้องมีทักษะในการบังคับรถพอสมควร เพราะรถขับหลังมักมีน้ำหนักมากกว่ารถขับหน้า และอาจเกิดอาการท้ายปัดขึ้นได้เวลาเข้าโค้ง ดังที่กล่าวไว้ข้างต้น

Honda-Jazz

รถขับหน้า – รถขับหลัง มีวิธีดูอย่างไร

หลายคนอาจจะมีคำถามในใจว่า จะรู้ได้อย่างไร ว่ารถคันไหนขับเคลื่อนล้อหน้า หรือล้อหลัง? วิธีการดูง่ายๆ มี 2 แบบคือ

ดูจากการวางเครื่องยนต์ ปกติแล้ว รถที่ขับเคลื่อนล้อหลังส่วนใหญ่จะวางเครื่องตามยาว ส่วนรถขับเคลื่อนล้อหน้ามักจะวางเครื่องตามขวาง ขนานไปกับส่วนหน้าของรถ (แต่ก็จะมีรถบางรุ่น ที่วางเครื่องยนต์ตามแนวยาว แต่ขับเคลื่อนล้อหน้าเช่นกัน เช่น Audi หรือ Subaru รุ่นขับหน้าบางรุ่น)

ดูจากเพลา รถที่ขับเคลื่อนล้อหน้า เพลาจะต่อกับชุดเกียร์ออกสู่ล้อหน้าทั้ง 2 ข้าง ในขณะที่รถขับเคลื่อนล้อหลังจะมีเพลากลางและเฟืองท้าย เมื่อพิจารณาประกอบกับรูปแบบการวางเครื่องยนต์แบบต่างๆ ดังที่กล่าวไว้ข้างต้น ก็จะสามารถบอกระบบขับเคลื่อนได้แน่นอนกว่า

ถือว่าครบถ้วนชัดเจนสำหรับบทความ ขับหน้า VS ขับหลัง หากท่านใดสนใจอยากหาความรู้กับบทความดีๆ เพิ่มเติม สามารถรับชมต่อได้ใน https://th.carro.co/blog/ ได้เลย

ขอขอบคุณภาพประกอบระบบขับเคลื่อนจาก Wikipedia

สร้างรายได้

รถยนต์คันคู่ใจของคุณ
สามารถสร้างรายได้ ด้วยวิธีเหล่านี้ !!

ความคิดของคนส่วนใหญ่ ก่อนที่จะซื้อรถยนต์คันแรก คงคิดแค่ว่าตอนซื้อมาแล้ว เวลาจะออกไปไหน มาไหนได้สะดวก หรือเอาไว้ใช้เดินทางไปทำงานในชีวิตประจำวันเท่านั้น แต่จะว่าไปแล้ว รถยนต์ส่วนตัวก็เป็นอะไร ที่ค่อนข้างใช้กำลังทรัพย์อยู่พอสมควรเลย เพราะนอกจากจะค่างวดที่ต้องผ่อนแล้ว ยังมีค่าซ่อมแซม ค่าน้ำมัน ค่า พ.ร.บ. และอื่นๆ อีกมากมาย


ซึ่งมนุษย์เงินเดือนอย่างเรา บางครั้งก็มีเหตุจำเป็นที่ต้องใช้เงินเยอะอยู่เหมือนกัน ทำให้รายจ่ายมากกว่ารายรับ แต่อย่าพึ่งเครียดหรือกังวลมากไป วันนี้ เราจะบอกคุณว่ามีวิธีสร้างเงินจากรถยนต์คันคู่ใจของคุณ  บางทีเผลอๆ อาจมีเงินเก็บเพิ่มขึ้นอีกต่างหาก มีอะไรบ้าง ไปดูกันเลย !!

 

Uber

1. Uber

เรียกได้ว่าเป็นช่องทางโดยสารที่กำลังได้รับความนิยม เพราะง่ายกว่าการเรียกแท็กซี่ที่บางทีไม่ใช่แค่หายาก แต่โบกแล้วดันไม่ไปก็มี ตัดปัญหาด้วยการเรียก Uber ซะเลย สำหรับท่านที่มีรถยนต์เป็นของตัวเองอยู่แล้ว และอยากหารายได้เพิ่มเติม Uber ก็เป็นอีกช่องทางที่ดีทีเดียว

โดยการสมัคร Uber ก็ง่ายๆ คุณสามารถลงทะเบียนได้ทั้งทางเว็บไซต์ออนไลน์ ( www.uber.com ) สมัครผ่านแอพพลิเคชัน ตามงานที่ Uber ไปจัดกิจกรรมเปิดระบบพาร์ทเนอร์ หรือลงทะเบียนผ่านแอพ LINE

จากนั้นก็แค่รอการติดต่อจาก Uber เข้ารับการอบรม และเพิ่มข้อมูลบัญชีธนาคารในระบบ เพียงแค่นี้คุณก็พร้อมที่จะออกไปเริ่มขับหารายได้เข้าตัวแล้ว ซึ่งในประเทศไทย Uber มีเงื่อนไขสำหรับตัวผู้ขับดังนี้

  • มีอายุ 21 ปีขึ้นไป
  • มีใบอนุญาตให้ขับรถในประเทศไทยได้
  • ได้เข้าอบรมเพื่อเป็นพาร์ทเนอร์ร่วมขับ

 

Grab

2. Grab

เป็นอีกหนึ่งช่องทางโดยสารที่เรียกรถผ่านแอพพลิเคชัน Grab หรือผ่านไลน์ได้โดยตรง ซึ่งเงื่อนไขการสมัครขับรถกับ Grab ง่ายๆ เพียงกรอกประวัติผ่าน www.grab.com บวกกับมีโทรศัพท์สมาร์ทโฟน ไม่ว่าจะเป็นระบบ Android หรือ iOS ได้ทุกชนิด และรถยนต์ ( ถ้ามีข้อสงสัยว่ารถยนต์ของคุณสามารถขับแกร็บคาร์ได้หรือไม่ เช็คได้ที่ GrabCar ) ซึ่งทาง Grab เองไม่กำหนดจำนวนชั่วโมงขั้นต่ำอีกด้วย จะขับเมื่อไรก็ได้

 

ติดสติ๊กเกอร์

3. แปะโฆษณาบนรถยนต์

วิธีนี้ที่ประเทศอเมริกาเป็นที่นิยมอย่างมาก เพราะเป็นอีกหนึ่งวิธีสร้างเงินง่ายๆ ด้วยรถยนต์คันคู่ใจของคุณ ด้วยการติดสติ๊กเกอร์เป็นโฆษณาตามตัวรถ ซึ่งวิธีแบบนี้คุณน่าจะเคยเห็นรถเมล์ หรือรถแท็กซี่ที่ทำกันเป็นประจำอยู่แล้ว แต่รถยนต์ส่วนตัวของเราเองก็สามารถทำได้เหมือนกันนะ แถมยังง่าย ไม่ต้องลงทุน แค่ขับไปไหนมาไหนบ่อยๆ ก็คุ้มแล้ว สำหรับใครที่สนใจ ติดต่อลงทะเบียนตั้งแต่วันนี้ถึง 31 ธันวาคม 2560 ได้ที่ Carro thailand หรือเบอร์ติดต่อ 096-463-3298

 

 

รับ-ส่ง-ของ

 

4. รับส่งของ

เชื่อหรือไม่ว่างานรับส่งของโดยใช้รถยนต์ของตัวเราเองถ้าขยันๆ บางเดือนอาจได้เงินสูงถึง 30,000 – 40,000 บาท ต่อเดือนเลยทีเดียว เยอะกว่าพนักงานตามบริษัททั่วๆ ไปเสียอีก โดยการรับส่งของมีหลายแบบ เช่น รับส่งของให้ห้างสรรพสินค้าหรือร้านค้า ส่งผัก ปลา ผลไม้ ส่งอาหาร แต่บางทีส่งเครื่องซักผ้าก็มี

ซึ่งในกรณีหลังอาจจะต้องมีความรู้ในด้านการติดตั้งอุปกรณ์ไฟฟ้าต่างๆ ซักหน่อย โดยมีข้อดีที่ไม่ค่อยต้องรับคำสั่งจากใครมากนัก เหมาะสำหรับผู้ที่ชอบความเป็นอิสระ เรียกได้ว่าเป็นอีกวิธีการสร้างเงินจากรถที่น่าสนใจ และน่าสนุกทีเดียว

 

 

Source : rabbit.co.th

4 จุดสำคัญของรถมือสอง ประเมินไว้อุ่นใจแน่นอน

เพราะจำนวนรถยนต์ใช้แล้วที่หมุนเวียนอยู่ในตลาดมือสองก็มีมากมายซะเหลือเกิน รวมถึงหลายคนก็อาจจะไม่มีประสบการณ์ในการเลือกซื้อรถ ซึ่งเหตุผลนี้ก็เป็นส่วนสำคัญที่ทำให้หลายคนเกิดความกังวลใจ จนไม่กล้าเปิดใจซื้อรถมือสองดูสักที เนื่องจากแต่เดิมคนไทยส่วนมากก็มักจะฝังใจว่ารถยนต์ใช้แล้ว มักจะเป็นรถที่สภาพไม่ดีที่นำมาย้อมแมวขายต่อ ทำให้ภาพลักษณ์ของรถยนต์ใช้แล้วดูไม่น่าเชื่อถือ แต่ในความเป็นจริงแล้ว รถมือสองที่มีสภาพดีก็ยังมีอยู่จริง

ซึ่งการที่จะตามหาซื้อรถยนต์ใช้แล้วที่มีสภาพดีนั้นไม่ใช่เรื่องยาก เพราะในปัจจุบันนี้ก็มีบริษัทที่รับตรวจสภาพ หรือเช็คสภาพรถให้เลือกอยู่ไม่น้อย แต่ที่สะดวกมากสุดเห็นทีต้องยกให้กับเว็บไซต์สื่อกลางในการซื้อ-ขายรถมือสองอย่าง Carro (คาร์โร)

ซึ่งแต่เดิมทีแล้วเว็บไซต์นี้ได้มีบริการตรวจสภาพรถที่ตรวจจากโครงสร้างรถ และค่าความหนาบางของสี โดยการตรวจนี้จะบอกได้ว่ารถคันไหนบ้างที่โครงสร้างรถยังสมบูรณ์ มีความปลอดภัยในการขับขี่ และเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการตรวจให้ครอบคลุม และตอบโจทย์ผู้บริโภคมากยิ่งขึ้น ด้วยการปรับการตรวจสภาพ เป็นการประเมินสมรรถนะของรถว่ามีประสิทธิภาพในการขับขี่ออกถนนมากน้อยเพียงใด โดยทางเว็บไซต์จะทำการรายงานผลตามความเป็นจริง และมีใบเซอร์ให้สำหรับรถคันที่ได้รับการตรวจแล้ว โดยการประเมินสมรรถนะการขับขี่ของรถมือสองจะแบ่งออกเป็นการตรวจ 4 จุดหลักๆ คือ

เช็กรถมือสองอย่างไร

1. ตรวจภายนอก

นับว่าเป็นส่วนที่สำคัญที่สุดในการตรวจสอบ และเป็นการตรวจสอบที่สามารถมองเห็นได้ด้วยตาเปล่า ซึ่งถ้าหากใครที่พอมีความรู้เรื่องการเช็คสภาพอยู่แล้ว ก็คงพอจะตรวจสอบได้ด้วยตนเอง แต่สำหรับคนที่ไม่ประสบการณ์ หรือไม่เชี่ยวชาญ ทางคาร์โรก็จะช่วยดูให้ตั้งแต่ ล้อรถ สปอยเลอร์ กระจกมองข้างซ้าย-ขวา ไปจนถึงการดูระยะช่องไฟระหว่างชิ้นส่วนต่าง ๆ

เช็กรถมือสองอย่างไร

2. ตรวจภายในห้องโดยสาร

เมื่อมีการตรวจภายนอก ก็ย่อมต้องมีการตรวจภายในห้องโดยสารควบคู่กันไปด้วย ซึ่งการตรวจสอบภายในห้องโดยสารนี้ ไม่ได้ตรวจแค่สภาพของวัสดุ หรืออุปกรณ์ (เช่น พรม ช่องเก็บของ ช่องวางแก้ว แผงหลังคา) เพียงเท่านั้น แต่จะตรวจสอบไปจนถึงระบบไฟฟ้าภายในรถด้วย อย่างเช่น ไฟแผงคอนโซล ไฟแผงหน้าปัทม์ เครื่องเสียง และอื่นๆ อีกมากมาย

เช็กรถมือสองอย่างไร

3. เครื่องยนต์

มาถึงการตรวจสอบที่สำคัญที่สุด และเป็นส่วนที่ผู้คนให้ความสนใจเป็นลำดับต้นๆ นั้นก็คือการตรวจสอบเครื่องยนต์ เนื่องจากเครื่องยนต์นั้นถือเป็นหัวใจหลักที่จะทำให้รถขับเคลื่อน ดังนั้นถ้าหากเครื่องยนต์มีสภาพที่ไม่พร้อม หรือบกพร่อง นั้นก็อาจจะทำให้การขับขี่ของคุณไม่ปลอดภัย โดยการเช็คเครื่องยนต์นั้นจะประกอบไปด้วย เช็คการรั่วซึมของเหลว เช็คระดับและสีของเหลวต่าง ๆ ตรวจสายพานเครื่อง แบตเตอรี่ สภาพสายไฟและท่อน้ำต่างๆ ไปจนถึงสายพานเครื่อง

เช็กรถมือสองอย่างไร-2

4. ทดลองขับ

หลังจากที่ตรวจเช็คองค์ประกอบภายใน และภายนอกเรียบร้อยแล้ว ก็มาถึงคิวของการทดลองขับจริงกันบ้าง โดยทางคาร์โรจะทำการทดลองขับจริง และเช็คสิ่งผิดปกติ หรือตรวจดูจุดบกพร่องระหว่างที่ทำการทดลองนี้ ซึ่งจะมีการเช็คตั้งแต่การสตาร์ทรถว่ามีเสียงดังผิดปกติหรือไม่ รอบของเครื่องยนต์ทำงานปกติหรือเปล่า ไปจนถึงการตรวจเช็คระบบเบรค ระบบคลัทช์ เกียร์ และดูว่าเมื่อมีการหมุนพวงมาลัยนั้นรถจะมีอาการผิดปกติหรือไม่

นอกจากการประเมินสมรรถนะทั้ง 4 จุดนี้ ทางคาร์โรยังมีบริการตรวจสอบเอกสาร โดยดูจากเลขตัวถัง เลขเครื่องยนต์ และเลขทะเบียน ว่าข้อมูลทั้งหมดนั้นสอดคล้องกันหรือไม่ รวมถึงตรวจประวัติว่ารถมือสองคันนั้นมีประวัติการโจรกรรมหรือไม่ ทำให้นอกจากคุณจะได้รับรู้ถึงประสิทธิภาพของการขับขี่แล้ว ยังสามารถทราบถึงประวัติของการโจรกรรมรถอีกด้วย หากใครกำลังมองหารถมือสองสภาพดี ลองให้คาร์โรช่วยคุณเลือกด้วยการประเมินสมรรถนะรถทั้ง 4 จุดนี้ เพราะคุณจะได้มั่นใจได้ว่ารถที่คุณซื้อไปนั้นคุ้มค่ากับราคาที่คุณต้องจ่าย สนใจ คลิก

Carro Express ขายรถกับคาร์โร อยากขายรถ ขายรถด่วน

สำหรับใครที่อยากขายรถคันเดิม ไปซื้อรถยนต์คันใหม่ มาขายรถกับทาง Carro Express สิ! คลิกเลยที่ https://th.carro.co/sell-car/express รับรองได้เงินเร็ว ไว ทันใจแน่นอน!

Carro Automall ตลาดรถ

ส่วนใครสนใจจะซื้อรถมือสอง Carro แหล่งรวมรถมือสองคุณภาพเยี่ยมผ่านระบบออนไลน์ คุณสามารถจองรถได้ในเวลาเพียง 1 นาทีเท่านั้น! พร้อมคำนวณสินเชื่อและค่างวด ได้ภายในเว็บไซต์ทันที!

ซึ่ง Carro เรามีรถให้คุณเลือกมากมาย รถทุกคันผ่านการตรวจสภาพโดย Carro Certified อย่างละเอียดแบบ Double Check มากกว่า 160 จุด, การันตีคืนเงินภายใน 5 วัน, รับประกันเครื่องยนต์และเกียร์ 1 ปี, รับประกันไม่กรอไมล์ และไม่ประสบอุบัติเหตุหนัก ไฟไหม้ หรือน้ำท่วม พร้อมรับประกันคุณภาพรถ 1 ปี หรือ 30,000 กิโลเมตร!

อีกทั้งยังมีเทคโนโลยี “360 View & Sound Engine Analysis” เลือกชมรถยนต์เสมือนจริงออนไลน์รายแรกในไทย ทั้งภาพและเสียงในรูปแบบ 360 องศา รวมถึงมีเทคโนโลยีสนับสนุนฝ่ายขาย ทั้ง Digital Device ที่เชื่อมต่อกับ Digital Screen นำเสนอสิ่งที่ลูกค้าต้องการ และจัดการเรื่องเอกสารให้กับลูกค้าให้ตั้งแต่ต้นจนจบ บวกกับ Online Viewing Service ที่ลูกค้าสามารถวิดีโอคอล ตรวจสภาพรถยนต์คันที่สนใจได้แบบเรียลไทม์ ซื้อรถคุณภาพเยี่ยม ต้องที่ Carro สิ!

หรือถ้าหากคุณสนใจรถรุ่นไหนอยู่ แต่ยังหาที่ถูกใจไม่ได้ เรายินดีหาให้! เพียงกรอกชื่อ-เบอร์โทรศัพท์ และรถที่คุณสนใจ ไว้ที่ “รับการแจ้งเตือน” เมื่อมีรถที่คุณต้องการ Carro จะรีบติดต่อไปยังคุณทันที สอบถามรายละเอียดได้ที่ Facebook -> Carro Thailand โทร. 02-460-9380 หรือทาง Line @carrothai