3 สิ่ง ที่ผู้ซื้อห้ามพลาด เมื่อจะไปซื้อรถมือสอง รู้ไว้! จะได้ไม่โดนหลอก

เชื่อว่าทุกคนที่คลุกคลีอยู่ในแวดวงรถยนต์มือสองต้องเคยได้ยินปัญหาประเภท “รถสวมทะเบียน” “รถย้อมแมว” “รถตัดต่อ” หรือกรณีเลวร้ายสุดๆ อย่าง “รถขโมยมาขาย” มาก่อนแน่นอน ซึ่งใครที่ต้องประสบเหตุการณ์ทำนองนี้เข้ากับตัวเองก็คงเจ็บปวดใจไปตามๆ กัน เสียทั้งทรัพย์ ทั้งความรู้สึก แถมดีไม่ดียังต้องเสียเวลาไปขึ้นโรงขึ้นศาลอีกด้วย เพราะเหตุนี้เอง ภาพลักษณ์ของวงการรถมือสองจึงยังคงติดลบในสายตาของคนไทยจำนวนมาก ทั้งที่ผู้ประกอบการดีๆ ก็มีอยู่มากมาย

แต่เดี๋ยวนี้ช่องทางในการซื้อรถยนต์มือสองมีเพิ่มขึ้นมามากมาย แต่วิธีการดั้งเดิมที่ใช้กันมาตลอดก็คือ การซื้อจากคนขายโดยตรง หรือเลือกซื้อจากเต็นท์รถมือสองทั่วไป

ทางทีมงาน CARRO Thailand ได้ให้ความเห็นว่า “ในปัจจุบันนี้ผู้บริโภคจำนวนมากกว่า 80% เลือกหาข้อมูลรถมือสองผ่านช่องทางออนไลน์ โดยผ่านเว็บไซต์รถมือสองทั่วๆ ไป ซึ่งแต่ละเจ้าก็มีจุดเด่นที่ไม่เหมือนกัน แต่ทาง CARRO และ CARRO Automall ได้ให้ความสำคัญกับบริการที่แตกต่างจากเว็บไซต์รถยนต์ทั่วไป เพื่อให้ผู้ที่สนใจซื้อรถมือสอง ได้มีโอกาสได้ตรวจสอบความมั่นใจในด้านต่างๆ ก่อนที่จะตัดสินใจเลือกหารถแต่ละคัน ซึ่งถือว่าเป็นจุดเด่นที่เหนือกว่าเว็บไซต์รถมือสองเจ้าอื่นๆ”

ดังนั้น CARRO ขอแนะนำให้ตรวจสอบเบื้องต้น 3 อย่างใหญ่ๆ คือ คนขาย, เล่มทะเบียน, สภาพรถยนต์ ที่หลายคนอาจมองข้ามไปก่อนการซื้อรถมือสองซักคัน ดังนี้

3-Trick-Before-Buy-Secondhand-Car

1. เช็คคนขาย

การเช็คคนขายแบบง่ายๆ เลยก็คือ ผู้ขายรถมือสองให้กับคุณอย่างน้อยต้องมีคุณสมบัติ 2 ข้อนี้

1.1 มีตัวตนจริง และเป็นเจ้าของรถตัวจริง
ซึ่งในจุดนี้ต้องมีหลักฐานยืนยัน ได้แก่ บัตรประจำตัวประชาชน (หรือสำเนาบัตรประชาชน ที่มีการเซ็นรับรองอย่างถูกต้อง กำกับว่าใช้ในกิจธุระใด) และสมุดเล่มทะเบียนรถ ซึ่งชื่อที่ปรากฎอยู่บนเล่มทะเบียนว่าเป็นผู้ครอบครองกรรมสิทธิ์รถเป็นคนล่าสุด จะต้องมีชื่อตรงกับในบัตรประชาชน

1.2 มีช่องทางที่สามารถติดต่อกับผู้ขายได้อย่างสะดวก
การติดต่อกับผู้ขายนั้นต้องเกิดขึ้นอย่างแน่นอน ไม่ว่าจะเป็นระหว่างการตกลงซื้อขาย หรือแม้แต่เสร็จสิ้นกระบวนการซื้อและโอนไปแล้วก็ตาม จงตระหนักว่าคุณไม่มีทางรู้เลยว่าหลังจากซื้อรถยนต์ใช้แล้วมาขับขี่จะเกิดอะไรขึ้นต่อไปบ้าง ฉะนั้นจึงไม่ควรนิ่งนอนใจกับข้อมูลส่วนนี้

ด้วยเหตุนี้ ทาง CARRO Automall จึงพร้อมมอบความมั่นใจให้คุณด้วยการรับประกันคุณภาพรถถึง 2 ปี หรือ 20,000 กิโลเมตร ทันที! พร้อมการันตีความพึงพอใจ คืนรถได้ภายใน 5 วันอีกด้วย!

ต่อทะเบียนรถ ภาษีขาดเกิน 3 ปี

2. เช็คเล่มทะเบียนรถ

ก่อนจะเช็คเล่มทะเบียน อยากให้เข้าใจตรงกันก่อนว่า เล่มทะเบียนรถให้ข้อมูลอะไรกับคุณได้บ้าง ข้อมูลบนเล่มทะเบียนแบ่งเป็น 3 ส่วนหลักๆ ได้แก่ 

1. รายการจดทะเบียน ทำให้ทราบว่ารถจดทะเบียนตั้งแต่เมื่อไหร่ ที่ไหน ให้ข้อมูลพื้นฐานของรถ (ยี่ห้อ/รุ่น/รุ่นย่อย/ปี/สี/เครื่องยนต์/เชื้อเพลิง ฯลฯ) รวมถึงข้อมูลเฉพาะอย่างเลขเครื่อง และเลขตัวถังด้วย 

2. เจ้าของรถ จะบอกได้ว่าใครเคยถือกรรมสิทธิ์รถคันนี้บ้างตามลำดับ 

3. รายการบันทึกของเจ้าหน้าที่ (มักจะอยู่ที่หน้า 18 ของเล่มทะเบียน) เป็นส่วนที่ทำให้รู้ว่ารถมีที่มาที่ไปอย่างไร และผ่านอะไรมาบ้าง เช่น จดทะเบียนที่จังหวัดไหน เป็นรถจดประกอบหรือไม่ เคยเปลี่ยนชนิดเชื้อเพลิง เปลี่ยนสี ติดแก๊ส ฯลฯ หรือไม่ เป็นต้น

ส่วนการตรวจสอบเล่มทะเบียนอย่างละเอียดด้วยตัวเอง มีขั้นตอนง่ายๆ ดังนี้

2.1 เช็คข้อมูลในรายการบันทึกของเจ้าหน้าที่ก่อน ว่าตรงกับสิ่งที่คนขายบอกคุณหรือไม่ ถ้าไม่ตรง ขอเตือนไว้เลยว่า “อันตราย” แล้ว โดยเฉพาะเรื่องใหญ่ๆ อย่างการเปลี่ยนเครื่อง เปลี่ยนสี

2.2 หากรถคันนั้นมีประวัติการแจ้งจอด หรือเล่มเก่าชำรุด/สูญหาย ขอให้ขีดเส้นใต้ไว้ในใจเลยว่ามีความไม่ชอบมาพากล (แต่ไม่ได้แปลว่าคุณจะถูกหลอกเสมอไปหรอกนะ) โดยเฉพาะรถที่เคยแจ้งจอด ไม่ว่าจะชั่วคราวหรือถาวรก็ตาม มีความเป็นไปได้สูงว่ารถอาจมีปัญหาจนเจ้าของเดิมซ่อมไม่ไหว รวมถึงรถอาจไม่ได้รับการดูแล และการซ่อมบำรุง เพราะไม่ได้ถูกใช้งาน

ส่วนกรณีที่ผู้ขายเคยขอเล่มทะเบียนใหม่ เพราะเล่มเก่าชำรุด/สูญหายนั้น แม้จะมีโอกาสเกิดขึ้นได้จริง แต่ผู้ซื้อรถยนต์มือสองทุกคนควรรอบคอบไว้ก่อน หากชอบรถคันนั้นมากก็ควรไปโอนที่กรมขนส่งให้ถูกต้อง ทางที่ดีอย่าเพิ่งโอนเงินให้คนขายจนกว่ากระบวนการโอนรถจะสิ้นสุด

2.3 เช็คในหน้าเจ้าของรถ ส่วนนี้จะบอกลำดับผู้ถือกรรมสิทธิ์เรียงจากเก่าไปใหม่ตามวันที่ครอบครองรถ ทำให้ได้รู้ว่ารถผ่านมาอย่างน้อยกี่มือแล้ว และเคยเป็นกรรมสิทธิ์ของธนาคารหรือไม่ นอกจากนี้บางคนอาจจะมีเงื่อนไขของตัวเอง เช่น ไม่ชอบรถที่วัยรุ่นขับเพราะไม่ค่อยถนอมรถ เป็นต้น ซึ่งคุณสามารถตรวจสอบตรงส่วนนี้ได้

2.4 ตรวจสอบในหน้ารายการจดทะเบียน ควรเริ่มจากการเช็ควันจดทะเบียน (วัน/เดือน/พ.ศ.) ว่าจดในปีเดียวกันกับรุ่นปีของรถ (ค.ศ.) หรือไม่

ตัวอย่าง คุณสนใจโตโยต้าคัมรี่มือสองคันหนึ่ง รุ่นปีของรถคือปี 2010 (พ.ศ. 2553) แต่รถจดทะเบียนในปี 2554 (มักเกิดจากการที่เจ้าของเดิมใช้ป้ายแดงนานข้ามปี ลากจด) เท่ากับว่าปัจจุบันรถมีอายุการใช้งานมา 6 ปีแล้ว ไม่ใช่ 5 ปีตามวันจดทะเบียน ฉะนั้นก็บวกลบดูดีๆ ว่าค่าเสื่อมสภาพของรถจะเพิ่มขึ้นอีกเท่าไหร่

2.5 ตรวจเลขตัวถังรถว่ามีหมายเลขตรงกับในเล่มทะเบียนหรือไม่ เลขตัวถังรถจะระบุตำแหน่งอยู่ในเล่มทะเบียน เช่น ด้านในห้องเครื่องยนต์ บริเวณแผงคอนโซล บริเวณเสากลางตัวรถด้านคนนั่ง หรือคนขับ หรือบริเวณคานหน้า ฯลฯ เมื่อเจอเลขแล้วตรวจสอบให้ดีว่าตรงกับในเล่มหรือไม่

นอกจากนี้ควรสังเกตุด้วยว่าเวลาลูบแล้วขรุขระผิดปกติ และมีความคมผิดปกติ หรือมีร่องรอยการตัดแปะ หรือตอกตัวเลขมาใหม่หรือไม่ พึงระลึกไว้ว่ารถยนต์มือสองที่ใช้งานมาอย่างปกตินั้นจะไม่มีปัญหาในส่วนนี้เด็ดขาด (อย่างมากก็แค่ฝุ่นจับหรือเปรอะเปื้อนบ้างเท่านั้น)

2.6 ขั้นตอนปราบเซียนคือเช็คเลขเครื่องยนต์ เลขเครื่องยนต์จะอยู่ไม่ด้านซ้ายก็ขวาเครื่องยนต์ แต่ตัวเลขดูค่อนข้างยากสักหน่อย มักเป็นรอยขีดบาง ๆ อีกทั้งมักจะเปรอะด้วยคราบฝุ่นหนาหรือไม่ก็คราบน้ำมันเครื่อง ฉะนั้นควรเพ่งหาให้ดี ๆ จากนั้นก็เช็คว่าตรงกับเลขบนเล่มทะเบียนหรือเปล่า

ทั้งหมดที่กล่าวมานี้จะไม่เป็นปัญหาเลย หากคุณซื้อรถด้วยเงินสดแบบตกลงกันปุ๊บ ไปโอนที่กรมขนส่งฯ ปั๊บ เพื่อหลีกเลี่ยงการโอนลอยที่อาจมีปัญหาตามมาได้ ซึ่งในส่วนนี้ พนักงานกรมขนส่งฯ ก็จะตรวจสอบเลขเครื่องยนต์และเลขตัวรถให้อย่างละเอียด และมักไม่ค่อยมีปัญหาอะไรหลุดรอดไปได้

ในเรื่องรายละเอียดของเล่มทะเบียนและการจดทะเบียนรถนั้น คุณสามารถเข้าไปหาข้อมูลเพิ่มเติมหรือติดต่อสอบถามได้ที่ เว็บไซต์ของกรมขนส่งทางบก

3-Trick-Before-Buy-Secondhand-Car

3. เช็คสภาพรถ

หากคุณไม่ใช่คนที่เชี่ยวชาญด้านรถจริงๆ ในส่วนนี้คงต้องพึ่งช่างหรือผู้เชี่ยวชาญจะดีกว่า แต่หากไม่สะดวกให้ช่างมาเช็คให้ หรือเกรงใจคนขาย ไม่สะดวกจะออกปากขอนำรถไปตรวจ (หรือขอแล้วยึกยัก ไม่ยอม) จุดที่ควรเช็คอย่างละเอียดมีดังนี้

เช็คจุดที่รับแรงกระแทกเมื่อถูกชน (ชนคันอื่น + คันอื่นมาชน)

1. ตำแหน่งแรกคือฝากระโปรงหน้า ลองเปิดกระโปรงดูเครื่องภายในว่าหน้าตายังดูดีอยู่หรือไม่ ข้างในไม่ควรมีตำหนิประเภท รอยแตก รอยบิ่น รอยคดงอ หรือมีสีสันวาววับกว่าปกติ โดยส่วนมากรถยนต์มือสองทั่วไปที่อายุการใช้งานยังไม่มากนัก มักจะมีสติ๊กเกอร์ และตราปั๊มต่างๆ จากศูนย์อยู่ครบถ้วน ถ้าไม่มีร่องรอยอะไรทำนองนี้เหลืออยู่เลย ให้สันนิษฐานไว้ก่อนว่าอาจถูกเปลี่ยนยกชุด

2. จุดที่ง่ายต่อการสังเกตคือคานหน้า เพราะรถที่ชนหนักๆ มานั้นคานต้องมีการบิดงอผิดรูปแน่ๆ ซึ่งในจุดนี้คนขายก็อาจจะไปให้อู่ทำมาให้อย่างสวยงาม หรือเปลี่ยนชุดคานหน้าใหม่ แต่อย่าลืมว่าของที่เสียหายไปแล้ว ซ่อมอย่างไรก็ไม่มีวันเหมือนเดิมได้ จุดสังเกตก็มีอยู่เช่น สีของคานไม่เสมอกัน สีเงาเป็นมัน (ปกติสีของคานมักจะเป็นสีด้านกว่าสีตัวถัง) สีมีรอยแตก โค้งไม่เท่ากันหรือโค้งไม่เป็นธรรมชาติ ฝั่งซ้ายกับฝั่งขวาหน้าตาไม่เหมือนกัน บิดงอเกินไปหรือเรียบเกินไป หรือสติ๊กเกอร์คำเตือนต่างๆ ที่ติดไว้ หรือตัวเลขที่ตอกไว้ ไม่มี เป็นต้น

3. ตำแหน่งถัดไปคือฝากระโปรงหลัง เปิดขึ้นมาเช็คขอบกระโปรงว่ามีร่องรอยหรือไม่ หากเคยชนหนักมา แม้จะผ่านการซ่อมมาแล้วก็มักจะมีรอยแตกรอยบิ่นอยู่ตามขอบกระโปรง ซึ่งพื้นของส่วนเก็บสัมภาระท้ายรถควรจะเรียบเสมอกัน ไม่มีรอยบุบ รอยนูนใดๆ (ควรเช็คใต้พรมด้วย แต่ทางที่ดีก็ควรขออนุญาตเจ้าของรถก่อน)

4. ตำแหน่งสุดท้ายคือขอบประตู และเสากลางตัวรถ หากรถที่ชนหนักมา ขอบประตูมักมีรอยเชื่อม ซึ่งการดูร่องรอยพวกนี้ได้ต้องดึงขอบยางออกก่อน (ซึ่งต้องขอคนขายก่อนตามมารยาทที่ดี) ตรงนี้จะเห็นได้ชัดเจนเลยว่าทำมาหรือไม่ เพราะขอบประตูปกติจะเรียบกริบ ไม่มีร่องรอยใดๆ แต่ถ้าผ่านมืออู่มาแล้วจะเห็นรอยเชื่อมเป็นจุด ๆ อย่างชัดเจน

ในส่วนของส่วนเสากลางประตูตัวรถนั้น ปกติถ้าเป็นรถมาจากโรงงาน หลายรุ่นมักจะใช้เป็นสีดำด้าน เพราะเป็นส่วนสัมผัสที่มักเผชิญกับรอยขูดขีดบ่อย จึงมักจะไม่ทำสีจุดนี้ (แต่รถหลายรุ่นก็ทำเป็นสีเดียวกับตัวรถ) แต่ถ้าคันใดทำสีเดียวกับตัวรถทับสีดำของเดิม ก็อาจจะเคยโดนชนมาได้ ต้องสังเกตดีๆ ว่ารถคันอื่นๆ ในรุ่นเดียวกัน สีผิดแผกไปจากรถที่เราดูหรือเปล่า

3-Trick-Before-Buy-Secondhand-Car

3 + 1. เช็คสี

การเช็คสี เป็นเรื่องที่ค่อนข้างยากที่จะสังเกตด้วยตาเปล่า เพราะอู่บางแห่งก็เก็บงานได้เนียนกริ๊บ จนแทบไม่เหลือให้ผิดสังเกต แต่แบบที่เราสามารถมองเห็นแล้วบอกได้ว่า ชนหนักชัวร์ ก็คือรถที่สีแตกเป็นริ้วเป็นรอย (แบบที่เรียกว่าแตกลายงา) ซึ่งกรณีนี้แปลว่าทำมาไม่ดี อู่ฝีมือแย่

นอกจากนี้ก็คือการพิจารณาว่าสีมีความมันวาว และความหนาบางเสมอกันหรือไม่ หรืออาจจะลองเทียบกับรถรุ่นเดียวกัน แต่เป็นรถป้ายแดงก็จะง่ายขึ้นมาก ถ้าตรงไหนที่สีควรด้านแต่กลับเป็นเงามัน แปลว่าทำมาแน่นอน (ซึ่งอาจไม่ได้ชนหนักก็ได้ ควรพิจารณาหลายส่วนประกอบกันด้วย)

สุดท้ายใครไม่อยากพลาด หรือเสียเวลามาเช็คหรือตรวจสอบเอง แนะนำให้มาปรึกษา CARRO ตามช่องทางการติดต่อด้านล่างนี้ เพราะเราเชี่ยวชาญด้านรถยนต์มือสองเป็นอย่างดี เพียงแค่ไว้ใจให้เราบริการ คุณจะไม่มีวันผิดหวังอย่างแน่นอน

Carro Automall / คาร์โร ออโต้มอลล์

ส่วนใครที่กำลังมองหารถคันใหม่ ที่สภาพพร้อมต่อการใช้งานในตอนนี้ CARRO Automall แหล่งรวมรถมือสองคุณภาพเยี่ยมผ่านระบบออนไลน์ พร้อมตอบโจทย์คุณด้วยคอนเซปต์ “click.buy.drive.” สามารถจองรถได้ในเวลาเพียง 1 นาทีเท่านั้น! พร้อมคำนวณสินเชื่อและค่างวด ได้ภายในเว็บไซต์ทันที!

ซึ่งรถทุกคันของ CARRO Automall คุณไม่ต้องกังวลเลยในเรื่องของรถจมน้ำ รถน้ำท่วม หรือรถจมบาดาล เพราะเราไม่นำรถที่ถูกน้ำท่วมมาขายโดยเด็ดขาด และรถทุกคันยังผ่านการตรวจสภาพอย่างละเอียดแบบ Double Check มากกว่า 200 จุด อีกด้วย

อีกทั้งยังมีเทคโนโลยี “360 View & Sound Engine Analysis” ฟีเจอร์ใหม่ล่าสุดในการดูรถเสมือนจริงผ่านระบบออนไลน์ เป็นรายแรกของธุรกิจรถมือสองในประเทศไทย คุณสามารถดูรูปรถทั้งภายนอก ภายใน กันได้แบบ 360 องศา รวมถึงยังสามารถฟังเสียงเครื่องยนต์จากรถคันที่คุณสนใจได้อีกด้วย!

เพราะเรามั่นใจในคุณของรถยนต์ทุกคัน เราจึงกล้ารับประกันคุณภาพรถนานถึง 2 ปี หรือ 20,000 กิโลเมตร! อีกทั้งยังการันตีความพึงพอใจ คืนเงินได้ภายใน 5 วันอีกด้วย! ซื้อรถคุณภาพเยี่ยม ต้องที่ CARRO Automall สิ!

หรือถ้าหากสนใจรถรุ่นไหนอยู่ แต่ยังหาที่ถูกใจไม่ได้ เรายินดีหาให้! เพียงแค่กรอกเบอร์โทรศัพท์ ชื่อยี่ห้อ / รุ่นรถ ที่คุณต้องการก็ได้เช่นกันครับ อีกทั้งยังสามารถ Inbox เข้ามาสอบถามรายละเอียดได้ที่ Facebook -> CARRO Automall Thailand โทร. 02-508-8690 หรือทาง Line @carroautomall ครับ

3-Truly-About-Home-Car

หลายคนที่ไม่ได้คลุกคลีอยู่ในแวดวงรถยนต์มือสองคงได้มีงงกับคำว่า “รถบ้านมือสอง” กันบ้างแน่ๆ จริงๆ แล้วคำว่า “รถบ้าน” คืออะไร? แบบเดียวกับรถแคมป์เคลื่อนที่ที่สามารถลากไปจอดตามสถานที่ท่องเที่ยวต่างๆ ได้หรือเปล่า? คำตอบคือ “ไม่ใช่” เพราะในวงการรถยนต์มือสอง คำว่า “รถบ้านมือสอง” หมายถึงรถยนต์ที่ผ่านการใช้งานในชีวิตประจำวันทั่วไป และเจ้าของรถนำมาขายต่อ ซึ่งอาจจะประกาศขายเอง หรือนำมาลงขายตามเว็บไซต์ที่เป็นสื่อกลางซื้อขายรถยนต์ใช้แล้วก็ได้

ปัจจุบันนี้ รถบ้านถือเป็นรถประเภทที่ผู้สนใจซื้อรถยนต์มือสองจำนวนมากมองหา เพราะเชื่อมั่นว่าจะได้รถที่มีสภาพดีกว่า รวมถึงคาดหวังถึงการใช้งานที่ทะนุถนอมมากกว่าด้วย

แต่รู้ไหมว่า มีความจริงเกี่ยวกับรถบ้านมือสองหลายข้อทีเดียวที่หลายคนยังคงเข้าใจผิด! ที่อาจจะทำให้บางคนมองรถบ้านมือสองในแง่ลบไปอย่างน่าเสียดาย มาดูกันว่า 3 ข้อที่คนไทยมักเข้าใจผิดเรื่องรถบ้านมือสองมีอะไรบ้าง ไปดูกัน

3-Truly-About-Home-Car

1. False: รถบ้านมักมีราคาแพง

    True: รถบ้านก็มีทั้งถูกและแพงตามสภาพ แถมต่อรองราคากับคนขายได้โดยตรงด้วย !

รถบ้านที่ราคาถูกมากๆ ก็มีให้เห็นอยู่ทั่วไป โดยเฉพาะเมื่อเจ้าของรถรีบใช้เงิน คนซื้อก็จะยิ่งได้เปรียบเพราะมักจะได้รถทีี่มีคุณภาพเกินราคา ปกติแล้วรถบ้านที่ผ่านการใช้งานมาแล้ว ผู้ขายก็จะขายกันตามสภาพ รถสภาพดีก็ย่อมมีราคาสูงที่ขึ้น ซึ่งถือเป็นเหตุผลที่หลายคนน่าจะยอมรับได้ นอกจากนี้ การซื้อรถบ้านยังดีตรงที่คนซื้อสามารถต่อรองราคากับผู้ขายได้โดยตรงด้วย! ถ้าเจอคนขายใจดี คุณก็มีโอกาสจะได้ส่วนลดอีกมากเลย

3-Truly-About-Home-Car

2. False: รถบ้านจัดไฟแนนซ์ยาก

    True: ความยากง่ายในการจัดไฟแนนซ์ขึ้นอยู่กับประวัติการชำระหนี้ของผู้ขอจัดล้วนๆ !

เรื่องการขอสินเชื่อรถยนต์เป็นสิ่งที่ผู้ที่สนใจซื้อรถบ้านหลายคนกังวลมาก กลัวว่ารถบ้านจะจัดไฟแนนซ์ยาก ไปจนถึงกลัวว่าจะเจอดอกเบี้ยสูง อันที่จริงแล้วการขอจัดไฟแนนซ์รถบ้านนั้น โอกาสที่จะผ่านหรือไม่ผ่านขึ้นอยู่กับเครดิตทางการเงินของผู้จัดเอง ส่วนดอกเบี้ยก็ควรเปรียบเทียบกันให้ดีระหว่างองค์กรที่ให้สินเชื่อรถยนต์ใช้แล้วแต่ละแห่ง ส่วนใหญ่หากผู้ซื้อที่ไม่มีปัญหาด้านเครดิต รวมถึงสามารถบริหารจัดการการเงินของตัวเองได้ดีก็มักไม่มีปัญหาใดๆ กับการจัดไฟแนนซ์รถบ้าน

3-Truly-About-Home-Car

3. False: คนขายรถบ้านชอบหมกเม็ด ไม่บอกว่าอะไรเสียบ้าง

    True: ไม่จริงเสมอไป ตรวจสภาพรถก่อนซื้อเท่านั้นคือคำตอบ !

ต้องยอมรับว่าในสังคมคนรักรถบ้าน ก็มีทั้งคนดี และมิจฉาชีพ ซึ่งฝ่ายแรกแม้จะมีจำนวนมากกว่า แต่ฝ่ายหลังมักสร้างกระแสทางลบให้บ่อยครั้ง ผู้ซื้อรถบ้านสามารถป้องกันตัวเองไม่ให้ตกเป็นเหยื่อมิจฉาชีพได้ง่ายๆ ด้วยการขอตรวจสอบสภาพรถก่อนทำการตกลงซื้อขาย โดยทำการตรวจกับองค์กรที่เชื่อถือได้ โดยปัจจุบันเว็บไซต์สื่อกลางขายรถบ้านมือสองหลายแห่ง ก็มีบริการตรวจสภาพรถบ้านให้กับผู้ซื้อเช่นกัน

เรื่องรถจะถูกมิจฉาชีพนำมาย้อมแมวขายหรือไม่นั้น มักไม่ค่อยมีปัญหา เพราะเมื่อผู้ซื้อรถยนต์ใช้แล้ว ก็ต้องไปทำการโอนรถที่กรมการขนส่งทางบก เจ้าพนักงานก็จะต้องทำการตรวจสอบรถให้อยู่แล้ว รถที่มีการสวมทะเบียน ปลอมเลขตัวถัง เลขเครื่องยนต์ หรือปลอมแปลงเอกสาร จึงไม่น่าจะเล็ดลอดกระบวนการนี้ไปได้ (รายละเอียดการตรวจสอบสภาพรถของกรมขนส่งทางบกสามารถอ่านเพิ่มเติมได้ ที่นี่ )

อย่างไรก็ตาม ถือเป็นเรื่องที่รอบคอบกว่าหากผู้ซื้อรถบ้านขอนำรถเข้าตรวจสอบสภาพก่อนซื้อ เพื่อเช็คความพร้อมในการขับขี่จริงบนท้องถนน และยังเป็นการเตรียมความปลอดภัยเพื่อชีวิตและทรัพย์สินของผู้ซื้อรถเองด้วย

แต่ก็ต้องทำใจไว้อย่างหนึ่ง ถ้าหากคุณซื้อรถบ้านนั้น ส่วนใหญ่เป็นการขายรถ “ตามสภาพ” ซึ่งผู้ขายส่วนใหญ่มักไม่มีรับประกันอะไรให้ นอกเสียจากว่าความเชื่อใจซึ่งกันและกัน ถ้าเกิดมีอะไรเสียขึ้นมา ก็ต้องควักกระเป๋าเงินซ่อมเอง แต่ถ้าหากเป็นรถมือสองปีใหม่ๆ (บางคัน) อาจจะยังมีการประกันตัวรถจากทางผู้ผลิตเหลืออยู่ ถ้าหากเกิดมีอะไรชำรุด หรือบกพร่องขึ้นมาในระยะรับประกัน ก็ยังสามารถเคลมกับทางศูนย์บริการได้

ส่วนใครที่สนใจซื้อรถบ้าน แต่ยังคงกังวลเรื่องราคา การจัดไฟแนนซ์ รวมถึงไม่มั่นใจเรื่องสภาพรถ ลองเข้าไปเลือกชมรถบ้านมือสองได้ที่ th.carro.co ศูนย์รวมรถยนต์ใช้แล้วคุณภาพดีที่ให้ความมั่นใจกับคุณได้เรื่องสภาพรถที่มีคุณภาพสูง เป็นที่ปรึกษาในด้านการขอสินเชื่อรถมือสอง และมีรถบ้านมือสองจำนวนมากในหลายระดับราคา ให้คุณเลือกสรรอย่างจุใจแน่นอน

ส่วนใครที่อยากขายรถ เพื่อนำเงินไปใช้ในช่วงโควิด-19 ระบาด CARRO เรารับซื้อรถของคุณ สามารถเข้าไปเช็กราคา ตีราคาขายรถก่อนได้ โดยใส่ข้อมูลรถของคุณที่นี่เลย กับ CARRO Express > https://th.carro.co/sell-car/express หรือโทร. 02-508-8425

หรือใครจะ Inbox มาสอบถามก็ได้เช่นกัน ที่ Facebook CARRO Thailand หรือสะดวก Add Line ก็ที่ @Carrothailand หรือคลิกที่นี่ครับ —> เพิ่มเพื่อน

รถมือสอง-1-คัน-มีค่าใช้จ่ายอะไรบ้าง

ซื้อรถมือสอง ต้องเตรียมค่าใช้จ่ายเท่าไร

ใครที่อยู่ในแวดวงธุรกิจรถมือสองต้องเคยเจอคำถามประเภท มีเงิน XXX,XXX บาท ซื้อรถได้มั้ย? รถรุ่นนี้ รุ่นโน้นต้องดาวน์เท่าไหร่? จะซื้อรถมือสองมีเงินเท่านี้พอมั้ย? ฯลฯ หรือคำถามอะไรประมาณนี้มาก่อนแล้วแน่ๆ นี่คือคำถามยอดฮิตที่คนขายรถมือสองต้องเคยฟัง! (แถมชอบฟังด้วยนะ)

ยิ่งธุรกิจรถยนต์มือสองเติบโตและพัฒนามากขึ้นทุกวัน ผู้ขับขี่รถยนต์ในไทยก็ยิ่งหันมาหารถยนต์มือสองมากขึ้น คำถามแบบนี้ก็ยิ่งได้ยินได้ฟังบ่อยครั้งขึ้นไปตามๆ กัน เพราะคนซื้อหลายคนก็ไม่รู้ว่าการจะซื้อรถมือสองสักคันนั้นมีค่าใช้จ่ายโดยรวมเท่าไหร่  บางทีเล็งรถคันหนึ่งไว้กลับต้องไปเลือกอีกคันแทนเพราะเกินงบ! เรื่องแบบนี้ก็มีให้เห็นมาแล้ว

ฉะนั้นมาดูกันเลยดีกว่า ว่าการซื้อรถมือสอง 1 คันจะมีค่าใช้จ่ายอะไรบ้าง จะได้คำนวณงบประมาณถูก! และตัดสินใจได้ง่ายกว่าเดิมด้วย!

ดังที่ทราบกันอยู่แล้วว่า ในการซื้อรถยนต์มือสองโดยทั่วไป คนซื้อก็จะสามารถซื้อได้ 2 แบบ คือซื้อด้วยเงินสด และซื้อเงินผ่อน ด้วยการขอสินเชื่อรถมือสองจากสถาบันการเงิน หรือที่เรียกว่าการจัดไฟแนนซ์นั่นเอง

 

เมื่อคุณซื้อรถด้วยเงินสด ค่าใช้จ่ายหลักๆ ในการซื้อรถมือสอง 1 คันจะมีดังนี้

1. ค่ารถ ตามราคาที่ได้ตกลงกันไว้ระหว่างผู้ซื้อกับผู้ขาย ซึ่งในส่วนนี้จะมี VAT หรือ ภาษีมูลค่าเพิ่ม 7% บวกรวมเข้าไปด้วย ฉะนั้นก่อนที่จะเลือกรถแต่ละคันควรคำนึงถึงภาษีส่วนนี้ไว้เช่นกัน เพราะราคาที่คุณตกลงกับคนขายนั้นยังไม่ใช่ราคาสุทธิแต่อย่างใด

ตัวอย่าง คุณสนใจ Honda Civic ราคา 500,000 บาท เงินที่คุณต้องใช้จ่ายจริงก็คือ 500,000 + VAT 7% ซึ่งเท่ากับ 535,000 บาท

เอาเป็นว่าในส่วนของค่ารถนี้ก็ต้องคำนวณกันดีๆ ก่อน! จะได้รู้ว่าเงินที่คุณมีอยู่ในมือครอบคลุมแค่ไหน และเพียงพอที่จะนำไปใช้จ่ายในส่วนอื่นๆ หรือไม่!

2. ค่าโอนรถ เป็นส่วนที่ต้องชำระที่กรมขนส่งทางบก ประกอบไปด้วย ค่าธรรมเนียม 5 บาท ค่าโอน 100 บาท และส่วนสุดท้ายที่แพงที่สุดคือ ค่าอากรซื้อขายซึ่งประเมินโดยสรรพากร คิดเป็นร้อยละ 0.5 ของราคารถยนต์ (ที่มักพูดกันว่าแสนละห้าร้อยนั่นเอง)

ตัวอย่าง คุณซื้อรถ Honda Civic มาในราคา 500,000 บาท ค่าใช้จ่ายในการโอนรถของคุณคือ ค่าธรรมเนียม 5 บาท + ค่าโอนรถ 100 บาท + ค่าอากรซื้อขายรถ 2,500 บาท รวมทั้งหมดเป็น 2,605 บาท

ในส่วนนี้บางคราวผู้ขายหรือเต้นท์รถก็จะเป็นผู้รับผิดชอบในการชำระค่าใช้จ่ายให้ และหากคุณซื้อรถมือสองจากเต้นท์ บางเต้นท์ก็อาจจะให้โปรโมชั่น หรือรวมอยู่ในค่าจองอยู่แล้ว ฉะนั้นต้องพูดคุยกันให้เคลียร์ก่อนว่าใครจะเป็นผู้รับผิดชอบค่าใช้จ่ายในส่วนนี้

3. ค่าประกัน ก็คือเงินที่คุณต้องจ่ายเพื่อทำประกันภัยรถยนต์นั่นเอง ค่าประกันจะสูงหรือต่ำขึ้นอยู่กับระดับชั้นที่คุณเลือก รวมถึง Segment ของรถด้วย เป็นที่รู้กันดีอยู่แล้วว่ายิ่งระดับชั้น (และค่าประกัน) สูงมากเท่าไหร่ ทุนประกันและความคุ้มครองก็ครอบคลุมมากขึ้นเท่านั้น ในส่วนนี้ หากคุณซื้อรถจากเต้นท์ บางเต้นท์อาจจะมีโปรโมชั่นแถมฟรีประกันภัยให้คุณด้วย ต้องลองสอบถามให้ดีๆ

ในส่วนของการซื้อด้วยเงินสด ค่าใช้จ่ายหลักๆ ก็จะมีดังที่กล่าวมานี้ แต่ในบางกรณี อาจจะมีค่าใช้จ่ายอื่นๆ ที่คุณต้องรับผิดชอบอีก เช่น ค่าจอง หากคุณเลือกดูรถยนต์มือสองจากเว็บไซต์ต่างๆ ผู้ขายก็อาจจะขอค่าจองไว้ก่อน เพื่อให้มั่นใจได้ว่าคุณจะซื้อรถจริง และยังอาจมีค่าใช้จ่ายในกรณีที่รถที่คุณซื้อเกินอายุที่จดทะเบียนไว้แล้ว เช่น ค่าพรบ. ค่าต่อภาษีรถยนต์ ค่าปรับของกรมขนส่งฯ รวมไปถึงค่าซ่อมบำรุง ค่าตกแต่ง ฯลฯ ตามความพอใจของคุณเองหลังการซื้อขาย ซึ่งนอกจากจะต้องสอบถามให้ดีก่อนตกลงซื้อขายกันแล้วก็ต้องเผื่อเงินและเผื่อใจไว้ด้วย

 

การซื้อรถด้วยการขอสินเชื่อหรือจัดไฟแนนซ์ก็เป็นวิธีการยอดนิยมอย่างมากในปัจจุบัน ข้อดีของการซื้อรถแบบผ่อนคือคุณไม่ต้องเสียเงินทีเดียวก้อนใหญ่ แต่ในขณะเดียวกัน ค่าใช้จ่ายในการซื้อรถมือสองก็จะเพิ่มขึ้นมาบางส่วนด้วย มาดูกันว่ามีอะไรบ้าง!

1. ค่าจองรถ (อาจมีหรือไม่มีก็ได้) เป็นค่าใช้จ่ายเพื่อยืนยันกับผู้ขายว่าคุณสนใจรถคันนี้จริงๆ และจะซื้อรถอย่างแน่นอน ซึ่งถ้าคุณเปลี่ยนใจ ไม่ซื้อรถตามที่ตกลงกันไว้ เงินส่วนนี้ก็จะถูกผู้ขายยึดไปเป็นค่าเสียเวลาและเสียโอกาสนั่นเอง

ค่าจองรถมักจะขึ้นอยู่กับราคาของรถด้วย กล่าวคือ หากคุณเลือกซื้อรถ segment ใหญ่ๆ หรือรถหรูราคาแพง ค่าจองก็จะขยับสูงขึ้นไปตามกัน แต่โดยทั่วไปแล้ว ค่าจองในกลุ่มรถตลาดก็จะอยู่ที่ราวๆ 5,000 – 10,000 บาท

หากคุณซื้อรถยนต์มือสองจากเต้นท์รถ ค่าจองรถอาจจะรวมค่าโอน และค่าใช้จ่ายส่วนอื่นๆ ไว้ด้วย ก่อนจะตกลงซื้อถามควรถามไถ่ให้เข้าใจตรงกันเสียก่อน

ค่าใช้จ่ายต่างๆ อาจถูกลง หากมีการดำเนินการขอสินเชื่อแล้วไม่ผ่าน บางบริษัทอาจจะคืนเงินส่วนนี้ให้คุณ (ต้องถามให้เคลียร์แต่แรก)

2. ค่ารถ ก็คือส่วนที่คุณต้องไปผ่อนให้ไฟแนนซ์นั่นเอง ดังที่ยกตัวอย่างไว้ข้างต้น หากคุณซื้อ Honda Civic ในราคา 500,000 บาท จ่ายเงินดาวน์ไป 50,000 บาท อีก 450,000 บาทที่เหลือ คุณก็จะต้องชำระเป็นรายเดือนให้กับไฟแนนซ์

แล้ว VAT 7% จะยังต้องเสียอยู่ไหม? คำตอบคือเสียแน่นอน! VAT 7% จะอยู่ในยอดผ่อนชำระแต่ละเดือนที่คุณต้องผ่อนให้กับไฟแนนซ์นั่นเอง ซึ่งแปลว่ายิ่งผ่อนนานก็ยิ่งเสีย VAT ไปเลยยาวๆ ควรจะรวบรัดการผ่อนชำระหนี้ให้ัสั้นที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้เพื่อผลประโยชน์ของตัวคุณเอง

3. เงินดาวน์ คือเงินสดที่คุณต้องสมทบในการกู้ยืมจากไฟแนนซ์ อธิบายง่ายๆ ก็คือ ไฟแนนซ์ไม่ได้ให้คุณกู้เงินได้ 100% คุณต้องชำระเงินค่ารถด้วยตัวเองส่วนหนึ่ง ซึ่งเงินก้อนที่คุณต้องออกเองนี้ เรียกว่า “เงินดาวน์” ปกติแล้วเงินดาวน์มักจะอยู่ที่ 10% ของราคารถ แต่อาจเพิ่มขึ้นได้ในกรณีที่คุณซื้อรถหรู รถเก่า หรือรถประเภทที่ไฟแนนซ์มองว่ามีความเสี่ยงสูงกว่ารถยนต์มือสองทั่วไป

ตัวอย่าง คุณซื้อรถ Honda Civic ราคา 500,000 บาทโดยการขอสินเชื่อจากไฟแนนซ์ คุณต้องจ่ายเงินดาวน์ 10% ซึ่งคิดเป็น 50,000 บาท (แล้วอีก 450,000 บาทไฟแนนซ์จะออกให้คุณ แล้วคุณก็ผ่อนชำระเป็นรายเดือน+ดอกเบี้ยให้กับไฟแนนซ์อีกที)

4. ค่าจัดไฟแนนซ์ ในการจัดไฟแนนซ์ก็จะมีค่าจัดที่ทางบริษัทรับจัดไฟแนนซ์จะคิดจากคุณอีกที ค่าจัดก็คือค่าดำเนินการด้านเอกสารและอื่นๆ ของไฟแนนซ์นั่นเอง หากคุณซื้อรถยนต์มือสองจากเต้นท์ การขอจัดไฟแนนซ์ก็จะง่ายกว่าเดิมอีกหน่อย เพราะเต้นท์รถมือสองมักมีคอนเนคชั่นที่ดีกับไฟแนนซ์

5. ค่าโอน คือเงินที่ต้องชำระที่กรมขนส่งทางบกดังที่อธิบายไว้คร่าวๆ แล้วด้านบน แต่หากคุณจัดไฟแนนซ์ ค่าโอนอาจจะเสียหลายต่อ เพราะต้องโอนรถเป็นกรรมสิทธิ์ของไฟแนนซ์ก่อน แล้วจึงโอนมาเป็นชื่อคุณหลังจากผ่อนชำระจนครบ แต่ส่วนนี้ไฟแนนซ์บางเจ้าอาจจะจัดการให้ ต้องถามให้ดีแต่แรก

6. ค่าประกัน คือค่าใช้จ่ายในการทำประกันภัยรถนต์ดังที่อธิบายไว้คร่าวๆ แล้วด้านบน

7. ดอกเบี้ย ทุกการกู้ยืมจากสถาบันการเงินก็ย่อมต้องมีการคิดดอกเบี้ย! ดอกเบี้ยไฟแนนซ์รถยนต์มือสองจะมีการประเมินจากยี่ห้อ รุ่น และปี (อายุ) ของรถมือสองคันนั้น ซึ่งถ้ารถยิ่งเก่า ยิ่งอายุการใช้งานมาก ดอกเบี้ยก็จะยิ่งแพง เพราะมีค่าเสื่อมสภาพสูง ปกติแล้วสถาบันการเงินต่างๆ จะมีการคิดดอกเบี้ยในอัตราที่ต่างกันไม่มากนัก โดยมากแล้วดอกเบี้ยรถยนต์มือสองจะไม่เกิน 7%

น้ำหอม-รถยนต์

ไร้กลิ่นอับในรถยนต์ ด้วยวิธีธรรมชาติเหล่านี้

รถยนต์คันคู่ใจของคุณดันมีเหตุบางอย่าง ที่ทำให้เกิดกลิ่นไม่พึ่งประสงค์ในรถยนต์อย่างเช่น กลิ่นอาหาร กลิ่นรองเท้า กลิ่นเหม็นอับต่างๆ ซึ่งคุณคงไม่ปลื้มสักเท่าไร ที่กลิ่นเหล่านี้จะติดตามหลอกหลอนไปในทุกๆที่ และคุณดันไม่ชอบกลิ่นของที่ฉีดระงับกลิ่นที่มีขายตามท้องตลาดทั่วไป

แต่ไม่เป็นไร Carro จะเป็นเพื่อนช่วยหาทางแก้ไขปัญหาเช่นนี้ ด้วยวิธีช่วยลดกลิ่นจากธรรมชาติ อีกทั้งยังเสมือนน้ำหอมที่ช่วยเพิ่มบรรยากาศ ให้รถยนต์ของคุณสดชื่นไร้กลิ่นอับต่างๆ อีกด้วย

 

ใบเตย


ความหอมคลาสสิกที่ใช้ได้เกือบทุกที่ที่มีกลิ่นอับ ไม่ว่าจะในรถยนต์ ห้องน้ำ ห้องครัว หรือแม้กระทั่งในตู้เย็น นอกจากนี้ไม่ได้ให้แค่กลิ่นหอมอย่างเดียว แต่มันยังมีคุณสมบัติกำจัดกลิ่นไม่พึงประสงค์อีกด้วย โดยวิธีใช้ คือนำใบเตยสดมามัดรวมเป็นกำๆ ในขนาดที่พอดี ไม่เล็กมากไปเดี๋ยวไม่ได้ผลนะ หรือมากไปจนเกิดกลิ่นแรงทำให้เวียนหัว หลังจากนั้นนำไปวางบนรถ เพียงเท่านี้รถยนต์ของคุณก็ไร้กลิ่นอับ อีกทั้งยังมีความสดชื่นที่ได้กลิ่นใบเตย

 

ถ่าน


ถ่านในที่นี้คือถ่านไม้หุงข้าว ( ไม่ใช่ถ่านอัลคาไลน์นะจ๊ะ 55+ ) จะเหมาะสำหรับเจ้าของรถที่ไม่ชอบกลิ่นใดๆเลย ชอบกลิ่นธรรมชาติแบบเดิิมๆ เพราะถ่าน มีคุณสมบัติดูดกลิ่นทุกชนิดได้ค่อยข้างดีเลยทีเดียว วิธีนำมาใช้ เลือกถ่านก้อนที่พอเหมาะ นำใส่ถุงผ้าขาวบาง ต่อจากนั้นหาเชือกมัดปาก แล้วนำวางไว้ตามมุมต่างๆภายในรถ แค่นี้ ปัญหากลิ่นกวนใจก็หมดไป ง่ายนิดเดียวเอง

 

ดอกไม้


มีหลากหลายชนิดให้เลือก อาทิเช่น ดอกมะลิ ดอกกุหลาบ ดอกจำปีจำปา เป็นต้น ชอบกลิ่นของดอกไม้ชนิดใดเลือกแล้ว นำมาวางไว้ในรถ หรือจะเด็ดเอาแต่กลีบกับเกสรของมัน ใส่ถุงผ้าขาวบางมาแขวนไว้ในรถก็ได้ รถยนต์ของคุณก็จะกลิ่นอวบอวนไปด้วยกลิ่นของดอกไม้ที่คุณชื่นชอบ ทำให้การขับรถที่อาจตึงเครียดนั้นผ่อนคลายขึ้นอีกด้วย

 

ผลไม้อบแห้ง และสมุนไพร


วิธีนี้ง่ายแต่ก็ต้องอาศัยความละเอียดในการลงมือทำเล็กน้อย เริ่มที่ นำผลส้มกับผลแอปเปิลมาฝานให้เป็นแว่นบางๆ จากนั้นนำเข้าไปอบในไมโครเวฟด้วยความร้อน 250 องศาเซลเซียสประมาณ 1 ½ ชั่วโมง และหมั่นเปิดดูทุก ๆ ครึ่งชั่วโมงเพื่อป้องกันการไหม้เกรียม เมื่อเสร็จเรียบร้อยให้นำทั้งส้มและแอปเปิลอบแห้งมาผสมกับเปลือกไม้ กานพลู และโป๊ยกั๊ก ในขวดโหลที่มีฝาปิดและทิ้งไว้ 1 วัน จึงจะเปิดฝาและนำไปวางไว้ในรถยนต์ได้

 

พิมเสน


ลักษณะพิเศษของกลิ่นพิมเสน คือ หอม เย็น แถมยังออกฤทธิ์ที่ดีต่อหัวใจ และปอด เรียกได้ว่า นอกจากนี้ยังช่วยกระตุ้นสมอง และทางเดินหายใจ เหมาะสำหรับคนที่วิงเวียนศีรษะบ่อยๆ อีกทั้งยังดับกลิ่นอับได้อย่างดี

 

เมื่อรู้กันอย่างนี้แล้ว ว่ามีวิธีอะไรบ้างที่สามารถช่วยกำจัดกลิ่นอับในรถยนต์ของคุณได้ ก็อย่าลืมลองทำกันดูนะ อีกทั้งบางอย่างสามารถหาได้ง่ายภายในบ้านของคุณ ซึ่งรับรองได้ว่าปัญหากลิ่นไม่พึงประสงค์ในรถยนต์จะหมดไป ไม่ต้องไปร้านคาร์แคร์บ่อยๆ แต่ถ้าลองทำดูแล้วแต่ยังมีกลิ่น แสดงว่าเบาะของคุณสกปรกจนเกินเยี่ยวยา แนะนำให้ไปคาร์แคร์ ลองอบโอโซนดูสักครั้งก็ได้นะจ๊ะ

 

 

Source : thairath.co.th

 

Help-You-Choose-Secondhand-Cars

รถมือสองคันแรกของคุณ รุ่นไหนดี?? ให้  CARRO ช่วยคิด!!

จะซื้อรถมือสองคันแรก เอารุ่นไหนดี? ในยุคเศรษฐกิจไม่ดี แล้วเงินที่มีจะพอมั้ย? หลายคนอาจจะคิดไม่ตก ให้ CARRO ช่วยคิดดีกว่า!

หลักการเลือกซื้อรถมือสองคันแรกแบบ CARRO นั้นไม่ยุ่งยากอะไรเลย แค่ก่อนจะซื้อรถมือสอง ให้คุณถามตัวเองก่อนว่าซื้อรถคันนี้ไปเพื่ออะไร? ตัวคุณเองมีไลฟ์สไตล์แบบไหน? รวมถึงรถคันที่สนใจนั้นมีราคามือหนึ่งเท่าไหร่ โฉมอะไร อายุการใช้งาน และสภาพเป็นอย่างไร? และข้อสุดท้าย งบประมาณที่คุณตั้งไว้คือเท่าไหร่?

ยิ่งในตลาดรถมือสองปัจจุบัน มีรถให้เลือกมากมาย สำหรับการเลือกซื้อรถมือสอง CARRO ขอแบ่งไลฟ์สไตล์ของผู้ขับขี่รถออกเป็น 5 สาย ดังนี้ …

Nissan-Almera-มือสอง

1. สายเน้นคุ้ม มองหารถที่ใช้ในชีวิตประจำวัน

หากมองในแง่ซื้อแล้วคุ้ม ใช้ไปยาวๆ และใช้ได้หลายโอกาส รถซีดาน (รถเก๋ง 4 ประตู) น่าจะเป็นคำตอบที่ใช่ที่สุด และเมื่อพิจารณาจากความนิยมของคนส่วนใหญ่ ยอดขายรถซีดานของค่ายรถต่างๆ ในไทยก็ยังคงสูง ด้วยเหตุที่เป็นเช่นนี้ ก็เพราะรถซีดานโดยมากมีรูปร่างสมส่วนปราดเปรียว เหมาะกับชีวิตคนเมืองซึ่งต้องเผชิญภาวะรถติด และต้องซอกแซกตามซอกซอยแคบ

อีกทั้งข้อดีข้อสำคัญของรถซีดานทั่วๆ ไปก็คือ เสียภาษีน้อย เพราะมักเป็นรถที่มีเครื่องยนต์ขนาดเล็ก (ในกรณีนี้คือรถตลาดทั่วไป ไม่รวมถึงรถสมรรถนะสูงนะ) ไม่กินน้ำมัน หรือปล่อยมลพิษมากนัก

Honda-City-มือสอง

รถซีดานนั้นมีหลาย Segment ซึ่ง Segment ใหญ่ๆ ราคาก็ขยับขึ้นตามไปด้วย สำหรับสายเน้นคุ้ม เน้นใช้ขับขี่ประจำวันโดยไม่ได้ใช้งานฮาร์ดคอร์มาก CARRO ขอแนะนำรถในกลุ่ม Eco-Car, Sub-Compact Car, Compact Car เพราะรถกลุ่มนี้เป็นรถไซส์กำลังเหมาะสำหรับการขับขี่ในระยะไม่ไกลมาก ราคาไม่สูงเกินเอื้อม ทำให้ไม่สร้างภาระทางการเงินที่หนักเกินไป และถ้าบำรุงรักษาตามระยะ คุณจะสามารถใช้งานได้คุ้มค่าแน่นอน

ตัวอย่างรุ่นรถในกลุ่มนี้

Eco-Car : Nissan Almera / Suzuki Ciaz / Toyota Yaris ATIV / Mitsubishi Attrage

Sub-Compact Car : Toyota Vios / Mazda2 / Honda City

Compact Car : Honda Civic / Toyota Altis / Mitsubishi Lancer / Nissan Sylphy ฯลฯ

Isuzu-MU-X-มือสอง

2. สายรักครอบครัว ชอบรถไซส์ใหญ่ ขับเที่ยวก็ได้ ขับไปทำงานก็โก้!

สำหรับคนที่กำลังมองหารถครอบครัว หรือรถไซส์ใหญ่ที่ขับขี่ทางไกลได้อย่างไม่เป็นปัญหา รถ PPV (รถอเนกประสงค์พื้นฐานกระบะ) น่าจะเป็นคำตอบที่ใช่ของคุณ! เพราะมีความอึด ถึก ทน และแรงเยอะแบบกระบะ แต่ขณะเดียวกันก็มีพื้นที่ห้องโดยสารกว้างขวาง จุผู้โดยสารได้มาก และมีพื้นที่จุสัมภาระอย่างเหลือเฟือ!

รถ PPV เป็นรถที่เหมาะสำหรับการใช้ไปยาวๆ เช่นกัน เพราะ PPV หลายรุ่นในปัจจุบันก็ดีไซน์ออกมาอย่างโฉบเฉี่ยว เรียกว่าคนโสดขับขี่ได้โดยไม่เขิน คนมีครอบครัวก็ใช้แล้วคุ้มสุดๆ!

ตัวอย่างรุ่นรถในกลุ่มนี้

Toyota Fortuner / Mitsubishi Pajero Sport / Ford Everest / Isuzu MU-7 / Isuzu MU-X

Honda-CR-V-มือสอง

3. สายรักกิจกรรม รักการช็อป ชอบขับขี่ในเมืองใหญ่

สำหรับคนแอคทิวิตี้เยอะจัด หรือขาช็อปที่กลัวว่ารถซีดานจะมีที่จุของไม่พอ รถอเนกประสงค์ และอีโคคาร์ประเภท Hatchback น่าจะเป็นคำตอบที่ใช่ของคุณ เพราะเป็นรถที่ออกแบบมาให้สามารถใช้พื้นที่ห้องโดยสารได้คุ้มค่าที่สุด สามารถจุของได้มาก (บางรุ่นสามารถพับเก็บเบาะหลังเพื่อเพิ่มพื้นที่จุสัมภาระได้) หากคุณเน้นขับขี่ในเมืองใหญ่ อีโคคาร์ก็เพียงพอแล้วสำหรับความต้องการ แต่หากคุณเป็นสายกิจกรรม ต้องการบรรทุกสัมภาระมาก และออกท่องเที่ยวบ่อยๆ CARRO ขอแนะนำรถ Crossover SUV ตามด้านล่างเลย!

ตัวอย่างรุ่นรถในกลุ่มนี้

Sub-Compact Crossover SUV : Toyota C-HR / Honda HR-V / Nissan Juke / Mazda CX-3 / MG GS ฯลฯ

Compact Crossover SUV : Mazda CX-30 / Subaru XV / Honda CR-V / Nissan X-Trail / MG HS ฯลฯ

Hyundai-H-1-มือสอง

4. สายครอบครัวใหญ่ เพื่อนเยอะ รวมก๊วนถึงไหนถึงกัน!

ถ้าเน้นจุคนล่ะก็ ไม่มีอะไรจะตอบโจทย์ได้ดีกว่ารถตู้อีกแล้ว! รถตู้ที่เป็นที่นิยมกันในปัจจุบันก็มีหลายต่อหลายรุ่น เช่น Toyota Hiace, Toyota Commuter เป็นต้น หากมองหารถที่หรูหราขึ้นมาหน่อย รถแบบ MPV หรือ Minivan ก็ตอบโจทย์ได้ตรงเผงเลย! และรถรุ่นที่ขายดีมากๆ ในตลาดมือสองก็คือ Hyundai H-1, Toyota Alphard และ Toyota Vellfire นั่นเอง! รับรองว่า 3 รุ่นนี้หาซื้อได้ง่ายและมีหมุนเวียนในตลาดมือสองให้เลือกซื้อตามต้องการแน่นอน

ตัวอย่างรุ่นรถในกลุ่มนี้

รถ MPV ขนาดเล็ก – กลาง : Toyota Wish / Toyota Noah / Toyota Voxy / Toyota Estima / Nissan Serena / Honda Odyssey / Mitsubishi Delica D:5 ฯลฯ

รถ MPV ขนาดใหญ่ :  Hyundai H-1 – Grand Starex / Toyota Vellfire / Toyota Alphard / Nissan Elgrand / Volkswagen Caravelle – Multivan ฯลฯ

Isuzu-D-Max-มือสอง

5. สายเน้นประกอบอาชีพ พร้อมขับขี่ทุกสภาพถนน แถมบรรทุกสัมภาระได้มาก

เน้นประกอบอาชีพ และถึกทนทาน ต้องเลือกกระบะเลย! ปัญหาจุกจิกน้อย บรรทุกสินค้าได้ แถมบางรุ่นก็จัดออพชั่น ข้างในมาน้องๆ รถซีดานเลยทีเดียว หากใครยังติดภาพว่ารถกระบะนั่งไม่สบายอยู่ ขอให้คิดดูใหม่!

เป็นที่รู้กันว่า รถกระบะมีรุ่นย่อยให้เลือกตามขนาดเครื่องยนต์ (เริ่มต้นที่ 1.9 ลิตร ของ Isuzu D-Max) และความสะดวกสบาย (อีกนับหนึ่งคือจำนวนตอน/จำนวนประตู) นั่นเอง รุ่นพื้นฐานมักจะเป็นรุ่นตอนเดียว ไม่มีแค็บ เหมาะสำหรับการใช้ในเชิงพาณิชย์อย่างจริงจัง ไม่เหมาะจะขับขีในชีวิตประจำวันมากนัก แต่ถ้าเน้นความสะดวกสบาย บรรทุกของก็ได้ ขับประจำวันก็ชิล CARRO แนะนำแบบกระบะ 2 ตอน 4 ประตูเลย! แล้วคุณจะพบว่าห้องโดยสารของปิคอัพบางรุ่นนั้น สบายกว่าขับรถเก๋งบาง Segment เสียอีก!

ตัวอย่างรุ่นรถในกลุ่มนี้

Isuzu D-Max / Toyota Hilux Vigo – Revo / Nissan Navara / Mitsubishi Triton / Ford Ranger ฯลฯ

แต่ถ้าคุณอยากขายรถคันเดิม เพื่อไปซื้อรถคันใหม่ หรือรับเงินก้อนไปใช้ สามารถขายรถคันเก่ากับ CARRO ได้ ง่ายๆ ได้เงินไว! กับ CARRO Express เพียงแค่คลิก https://th.carro.co/sell-car/express หรือสามารถ Inbox มาขอรายละเอียดได้ที่ Facebook CARRO Thailand

หรือจะ Add Line สอบถามรายละเอียดได้ที่ @Carrothailand หรือคลิกที่นี่ครับ —> เพิ่มเพื่อน

10 รถมือสอง ที่คุณสามารถซื้อได้ในราคาของ "iPhone X"

เป็นที่ทราบกันแล้วนะครับว่า สำหรับ iPhone 8 / iPhone 8 Plus และ iPhone X ที่เพิ่งเปิดตัวใหม่ไปใน USA ตั้งแต่เมื่อคืนของวันที่ 13 กันยายน 2560 (ตามเวลาในประเทศไทย) ซึ่งมีคุณสมบัติและฟังก์ชั่นต่างๆ ที่เพิ่มมามากขึ้น (ซึ่งจะถูกใจคุณผู้อ่านหรือเปล่านั้น … ไม่แน่ใจ!)

อีกทั้งราคาของ iPhone 8 / iPhone 8 Plus และ iPhone X ที่ขยับเพิ่มขึ้นมามากขึ้นในทุกรุ่น ทำให้ผู้บริโภคต้องคิดหนักว่า ถ้าวางจำหน่ายในประเทศไทยแล้ว เมื่อตีราคาออกมาเป็นเงินไทยแล้ว ค่อนข้างสูงเลยทีเดียว (รุ่น Top ปาเข้าไปประมาณ 4 หมื่นบาทได้) จะคุ้มค่ากับการใช้งานหรือไม่ หรือนำเงินนี้ ไปซื้อสิ่งของอย่างอื่นดี?

Mazda-323-Astina

MR.CARRO ขอแนะนำ 10 รถมือสอง ที่คุณสามารถซื้อได้ในราคาของ “iPhone X” ซึ่งตามจริงแล้ว มีรถมือสองปีเก่าๆ (ตั้งแต่ยุค 60 เป็นต้นมา) ที่มีราคาถูกกว่า iPhone 8 / iPhone 8 Plus และ iPhone X อยู่มาก แต่เนื่องจากราคาที่ถูกมากๆ นั้น ก็ต้องใช้งบประมาณในการซ่อมที่มาก และใช้เวลาหาอะไหล่กันลำบากหน่อย

MR.CARRO จึงขอนำเสนอรถยนต์มือสอง ในช่วงประมาณยุค 80-90 ที่มีราคาตั้งแต่ 2 – 4 หมื่นบาท ที่มีความทนทาน ดูแลง่าย อะไหล่พอหาได้เยอะหน่อย จะมีรุ่นใดบ้าง … เชิญอ่านได้เลยครับ

Toyota-Corolla-AE92

1. Toyota Corolla 1.3 XL, GL, 1.6 SE Limited (EE90/AE92)

Toyota Corolla (โตโยต้า โคโรลล่า) รุ่นที่ถือได้ว่า มีอุปกรณ์มาตรฐานมากมายราวกับของวิเศษของ “โดเรมอน” ต่างกับรถในคลาสเดียวกัน จึงเป็นที่มาของฉายานี้ (แต่ชาวต่างประเทศได้ยินแล้ว งงน่าดู) เปิดตัวในไทยเมื่อเดือนธันวาคม 2530 มาพร้อมสโลแกน “เร้าใจทุกเส้นทาง ยุคหน้า TOYOTA” (คล้ายกับของญี่ปุ่น “Fun To Drive”)

ใช้เครื่องยนต์ขนาด 1.3 ลิตร รหัส 2E และเครื่องยนต์ขนาด 1.6 ลิตร รหัส 4A-F, รหัส 4A-F คาร์บูเรเตอร์คู่ ในรุ่น Sporty รวมไปถึงเครื่องยนต์ 1.6 ลิตร พลังแรงอย่างรหัส 4A-GE 130.5 แรงม้า ที่มาตอนไมเนอร์เชนจ์ ในรุ่น GTi

ราคาในตลาด แบบตามสภาพ มีเงิน 2 หมื่นกว่าบาท ก็สามารถซื้อรถรุ่นนี้มาขับได้แล้ว

Toyota-Corona-ST171

2. Toyota Corona 1.6 XL, GL / 2.0 GL, GLi (AT171/ST171)

Toyota Corona (โตโยต้า โคโรน่า) โฉมนี้เปิดตัวในไทยตั้งแต่ปี 2531 โดยโคโรน่ารุ่นนี้ ถือเป็นรถญี่ปุ่นรุ่นแรกในประเทศไทย (เครื่องยนต์ 2.0 ลิตร) ที่ใช้ระบบจ่ายน้ำมันเชื้อเพลิงแบบหัวฉีด EFI (Electronic Fuel Injection) แบบเดียวกับรถยุโรป

ใช้เครื่องยนต์ขนาด 1.6 ลิตร รหัส 4A-F, เครื่องยนต์ขนาด 2.0 ลิตร รหัส 3S-F คาร์บูเรเตอร์เดี่ยว 113 แรงม้า และเครื่องยนต์ขนาด 2.0 ลิตร รหัส 3S-FE หัวฉีด EFi 128 แรงม้า

ราคาในตลาด แบบตามสภาพ มีเงิน 2 หมื่นกว่าบาท ก็สามารถซื้อรถรุ่นนี้มาขับได้เช่นกัน

Honda-Civic-EF

3. Honda Civic 1.5 LX, LX-S / EX (EF)

Honda Civic (ฮอนด้า ซีวิค) รุ่นนี้เปิดตัวเมื่อต้นปี 2531 ชูจุดเด่นด้วยเทคโนโลยีการออกแบบรถให้เตี้ย แบน ลู่ลม และพัฒนาเครื่องยนต์ใหม่ เหมือนรถแข่ง Formula 1 รวมถึงระบบช่วงล่างแบบปีกนกอิสระ 4 ล้อ และเครื่องยนต์ทวินแคม 16 วาล์ว

ใช้เครื่องยนต์ขนาด 1.5 ลิตร 90 แรงม้า (และยังมีรุ่นพิเศษ LX-S เครื่องยนต์ขนาด 1.6 ลิตร คาร์บูเรเตอร์คู่ 105 แรงม้า) มีให้เลือกทั้งแบบเกียร์ธรรมดา 5 สปีด และเกียร์อัตโนมัติ 4 สปีด ราคาในตลาด แบบตามสภาพ มีเงิน 2 หมื่นบาทปลายๆ ก็สามารถซื้อรถรุ่นนี้มาขับได้เช่นกัน

Honda-Accord-CA

4. Honda Accord 2.0 LX / EX (CA)

Honda Accord (ฮอนด้า แอคคอร์ด) รุ่นนี้เปิดตัวเมื่อปี 2530 ซึ่งก็เซอร์ไพรส์ด้วยการสร้างยอดจองจนฮอนด้าผลิตขายไม่ทัน ชูจุดเด่นด้วยเทคโนโลยีการออกแบบรถให้เตี้ย แบน ลู่ลม และพัฒนาเครื่องยนต์ใหม่ 12 วาล์ว พ่วงระบบ Cross Flow อันลือชื่อของฮอนด้า รวมถึงระบบช่วงล่างแบบดับเบิลวิชโบนอิสระ 4 ล้อ … ในรุ่นไมเนอร์เชนจ์ ปรับปรุงหน้าตาใหม่ พร้อมเพิ่มล้อแม็กเข้ามาแทนที่กะทะล้อพร้อมฝาครอบล้อ

ใช้เครื่องยนต์ขนาด 2.0 ลิตร 106 แรงม้า มีให้เลือกทั้งแบบเกียร์ธรรมดา 5 สปีด และเกียร์อัตโนมัติ 4 สปีด ราคาในตลาด แบบตามสภาพ มีเงิน 2 หมื่นบาทกลางๆ ก็สามารถซื้อรถรุ่นนี้มาขับเท่ๆ ได้

Nissan-Sunny-B11

5. Nissan Sunny 1.3 / 1.5 GL (B11)

Nissan Sunny (นิสสัน ซันนี่) รถรุ่นยอดนิยมจากค่ายสยามกลการสมัยนั้น สำหรับ นิสสัน ซันนี่ FF เจเนอเรชั่นที่ 5 เปิดตัวตั้งแต่เดือนมกราคม 2526 ขายกันมาอย่างยาวนานถึงสิบกว่าปี ปรับโฉมไมเนอร์เชนจ์กันก็หลายครั้ง เป็นรถยอดนิยมมากในยุคนั้น ในโฉมนี้มาพร้อมสโลแกน “รถที่ไว้ใจได้ตลอดกาล”

ยุคแรก มีให้เลือกทั้งเครื่องยนต์ขนาด 1.3 ลิตร รหัส E13S 74 แรงม้า และเครื่องยนต์ขนาด 1.5 ลิตร รหัส E15S ส่งกำลังผ่านเกียร์ธรรมดา 5 สปีด ประจำการทั้งในรุ่นซีดาน 4 ประตู และคูเป้ ภายหลังจึงตัดออกไป

ราคาในตลาด แบบตามสภาพ ถ้าว่ากันตามตรง สภาพแบบต้องซ่อมทั้งคัน (แต่รถยังขับได้) เคยมีคนขายที่ราคา 9,500 บาท ก็ซื้อได้แล้ว แต่ตามสภาพแบบวิ่งได้ ใช้งานได้ปรกติ ราคา 1.5 – 4 หมื่นบาท ก็มีรถรุ่นนี้ให้เลือกซื้อเยอะแยะครับ

Nissan-Sentra-B13

6. Nissan Sentra 1.5 EX Saloon / 1.6 SuperSaloon e (B13)

Nissan Sentra (นิสสัน เซนทร้า) รุ่นที่ 2 ที่ขายในบ้านเรา เป็นรถยอดฮิตแท็กซี่ในยุคนั้นเลย เพราะสยามกลการ พยายามระบายรถล็อตใหญ่ ให้กับกลุ่มสหกรณ์แท็กซี่ ที่กำลังรีบหารถมาจดทะเบียนทำแท็กซี่มิเตอร์ (ป้ายทะเบียน 6ท) ในยุคแท็กซี่เปิดเสรีใหม่ๆ โดยในโฉมไมเนอร์เชนจ์ สังเกตได้จากชุดกระจังหน้าแบบใหม่ ชุดกันชนใหม่ และไฟท้ายเลนส์แบบใหม่ เป็นต้น

มาพร้อมเครื่องยนต์ขนาด 1.5 ลิตร รหัส GA15S 87 แรงม้า และขนาด 1.6 ลิตร รหัส GA16DE 110 แรงม้า ส่งกำลังผ่านเกียร์ธรรมดา 5 สปีด และเกียร์อัตโนมัติ 4 สปีด

ราคาในตลาด แบบตามสภาพ มีเงิน 3 หมื่นบาท ก็สามารถซื้อรถรุ่นนี้มาขับได้เช่นกัน

Nissan-NV

Nissan-NV-Van

7. Nissan NV Pickup 1.6 / NV AD Resort 1.6 SLX, SGX (Y10)

Nissan NV (นิสสัน เอ็นวี) หลายคนจะรู้กันบ้างไหมว่า “NV” นี่ย่อมาจากคำว่า “National Vehicle” หรือ “รถยนต์แห่งชาติ” ที่ทางสยามกลการตั้งใจให้เป็นเช่นนั้น ที่จะเน้นการผลิตรถยนต์นั่งขนาดกลาง 1600 ซีซี แต่กลายมาเป็นรูปแบบของรถ Pickup และรถแวน Nissaan NV AD Resort ที่หยิบยืมพื้นฐานมาจาก Nissan AD Van (และ Sunny California เวอร์ชั่นญี่ปุ่น) โดยเปิดตัวในเดือนกันยายน 2536

สำหรับ Nissan NV Pickup มีขายกันมาหลายโฉมมาก ทั้งแบบธรรมดาในยุคแรก หลังจากนั้นเป็น Queen Cab (ต่อมาคือ Q-Cab) ขยายพื้นที่ห้องโดยสารกว้างขึ้น เบาะปรับเอนนอนได้ ต่อมาภายหลังจึงกลายเป็นกระบะ Nissan Wingroad ไป

ทั้งสองแบบ ใช้เครื่องยนต์ขนาด 1.6 ลิตร รหัส GA16DS 95 แรงม้า และเครื่องยนต์ขนาด 1.6 ลิตร รหัส GA16DNE 110 แรงม้า ส่งกำลังผ่านเกียร์ธรรรมดา 5 สปีด และเกียร์อัตโนมัติ 4 สปีด (เพิ่มมาภายหลัง ทั้งในรุ่นกระบะ และรุ่นแวน AD Resort)

ราคาในตลาด แบบตามสภาพ มีเงิน 3 หมื่นบาท ก็สามารถซื้อรถรุ่นนี้มาขับได้เช่นกัน ส่วนรุ่นแวนราคาอาจจะแพงกว่านั้นหน่อย แต่ราคานี้ก็มี ถ้าสภาพรถเน่าจริงๆ

Mitsubishi-Lancer-E-Car

8. Mitsubishi Lancer 1.3 GL, EL, 1.5 GLX, GLXi, 1.6 GLX, GLXi (E-Car)

Mitsubishi Lancer (มิตซูบิชิ แลนเซอร์) เป็น Lancer อีกหนึ่งรุ่น ที่ขายดีมากในบ้านเรา ในปัจจุบันก็ยังได้รับความนิยมจากคนชอบแต่งรถ และรถรุ่นนี้ยังถือเป็นต้นกำเนิดของรุ่น Evolution อีกด้วย (ช่วงล่างดี เครื่องทนทาน หลังคาชอบผุ อะไหล่แพงนิดๆ) เปิดตัวในปี 2535 ในรุ่น 1.3 GL, 1.5 GLX, 1.6 GLXi (นำเข้า) และ 1.8 GTi (นำเข้า)

ต่อมาเมื่อปี 2538 Lancer E-Car ได้ยกเลิกการจำหน่าย 1.3 และ 1.8 เปลื่ยนระบบจ่ายเชี้อเพลิงในรุ่น 1.5 จากคาร์บูเรเตอร์ เป็นระบบหัวฉีด ECi-MULTI และนำรุ่น 1.6 มาประกอบในประเทศ โดยคงเหลือรุ่นย่อย คือ 1.5 GLXi และ 1.6 GLXi

และในปี 2539 Lancer E-Car ได้ปรับโฉมไมเนอร์เชนจ์ เปลื่ยนล้อแม็กลายใหม่ เปลื่ยนกันชนให้ยาวและหนาขึ้น รวมถึงเปลื่ยนกระจังหน้าใหม่ เปลื่ยนท่อร่วมไอดีในรุ่น 1.5 โดยตัวอักษรคำว่า ECi-MULTI จะเล็กลง และนำรุ่น 1.3 กลับมาเพื่อตอบสนองลูกค้าระดับล่าง โดยมีรุ่นย่อย อาทิ 1.3 EL, 1.5 GLXi และ 1.6 GLXi

ราคาในตลาด แบบตามสภาพ มีเงิน 3 หมื่นกว่าบาท ก็สามารถซื้อรถรุ่นนี้มาขับได้แล้ว

Mazda-323

Mazda-323-Astina

9. Mazda 323 1.6 GLX (BG) / 323 Astina 1.8 GT (BG)

Mazda 323 (มาสด้า 323) และ Mazda 323 Astina (มาสด้า 323 แอสติน่า) รุ่นยอดนิยม เปิดตัวในไทยเมื่อปี 2533 มีวิ่งเป็นแท็กซี่กันเพียบ รวมไปถึง มาสด้า 323 แอสติน่า 5 ประตูแฮทช์แบค ก็มีเป็นแท็กซี่หลายคันอยู่ ถือเป็นรถยอดนิยมสำหรับครอบครัว และวัยรุ่นสุดๆ โดยเฉพาะ มาสด้า 323 แอสติน่า ไฟป๊อปอัพ สามารถทำความเร็วได้มากกว่า 200 กม./ชม. ในตอนนั้นถือว่าไม่ธรรมดา! และโดดเด่นด้วยช่วงล่างหลังแบบปีกนกคู่สัมพันธ์ TTL

มาสด้า 323 ใช้เครื่องยนต์ขนาด 1.6 ลิตร รหัส B6 87 แรงม้า ส่งกำลังผ่านเกียร์ธรรรมดา 5 สปีด และเกียร์อัตโนมัติ 4 สปีด

ส่วนในรุ่น Astina ใช้เครื่องยนต์ขนาด 1.8 ลิตร รหัส BPD 140 แรงม้า (รุ่นไมเนอร์เชนจ์ ลดแรงม้าลงมาเหลือ 125 แรงม้า) ส่งกำลังผ่านเกียร์ธรรรมดา 5 สปีด

ราคาในตลาด แบบตามสภาพ มีเงิน 2 หมื่นกว่าบาท ก็สามารถซื้อรถรุ่นนี้มาขับได้เช่นกัน ส่วน Astina อาจจะต้องเพิ่มเงินมาหน่อย เพราะราคารถตลาดสภาพ ก็อยู่ที่ 3 หมื่นปลายๆ แล้วครับ

BMW-E30

10. อันสุดท้าย เผื่อคนอยากได้รถยุโรป … BMW 316 / 318i (E30)

BMW ซีรี่ส์ 3 ในยุคที่บริษัท ยนตรกิจ จำกัด เป็นผู้จำหน่าย เริ่มเผยโฉมในปี 2527 มีทั้งแบบ 2 ประตู และ 4 ประตู ในรุ่น 316, 316i, 318i และ 318iA เกียร์อัตโนมัติ ในช่วงท้ายๆ อายุตลาด ตัวรถภายนอกสวยสปอร์ต เท่ ท้าทาย แน่นหนา ภายในโอ่อ่า หรูหรา ถูกใจวัยรุ่นวัยเฒ่าทั้งหลายที่โปรดปรานการขับอวดกันเพิ่มขึ้นอีก

มาพร้อมเครื่องยนต์ขนาด 1.6 ลิตร รหัส M10 90 แรงม้า ส่งกำลังผ่านเกียร์ธรรมดา 4 สปีด และ 5 สปีด, เครื่องยนต์ 1.6 ลิตร รหัส M40 และเครื่องยนต์ขนาด 1.8 ลิตร รหัส M10 105 แรงม้า ทำความเร็วได้สูงสุดถึง 184 กม./ชม.

พอในรุ่นไมเนอร์เชนจ์ จึงเพิ่มเครื่องยนต์ขนาด 1.8 ลิตร รหัส M40 115 แรงม้า เข้ามา ส่งกำลังผ่านเกียร์ธรรมดา 5 สปีด และเกียร์อัตโนมัติ 4 สปีด

ราคาในตลาด แบบตามสภาพ มีเงิน 2 หมื่นกว่าบาท ก็สามารถซื้อรถรุ่นนี้มาขับได้เช่นกัน แต่ก็ต้องเตรียมงบไว้ปั้นต่อบานอยู่!

ส่วนถ้าใครอยากขายรถ สามารถขายคันเดิมกับ CARRO Express ได้ เรายินดีรับซื้อรถของคุณ ได้เงินไว เร็ว พร้อมปิดการขายได้ทันที แค่คลิก https://th.carro.co/sell-car/express หรืออยากตีราคารถก่อน สามารถ Inbox สอบถามรายละเอียดได้ที่ Facebook CARRO Thailand

หรือจะ Add Line สอบถามรายละเอียดได้ที่ @Carrothailand หรือคลิกที่นี่ —> เพิ่มเพื่อน

(บทความนี้สงวนลิขสิทธิ์)

พ ร บ รถยนต์

“ พ.ร.บ.รถยนต์ ” ของดีที่อยู่ในมือคุณ

อย่างในบทความที่แล้ว  “ประกันภัยรถยนต์ตาม พ.ร.บ. เรื่องใกล้ตัวที่ควรรู้” เราได้เขียนอธิบายเกี่ยวกับ ค่าเสียหายเบื้องต้นที่คุณจะได้รับเมื่อเกิดอุบัติเหตุในกรณีต่างๆไปแล้ว ซึ่งยังมีการสำรองจ่าย และรายละเอียดอื่นๆอีก ที่ใครหลายควรรู้ และศึกษาเอาไว้เบื้องต้น เพื่อเวลายามเกิดอุบัติเหตุทางรถยนต์ จะได้ไม่เกิดกรณีชนแล้วหนี เพราะสาเหตุมาจากไม่มีตังจ่ายค่าเสียหายต่างๆ นั้นเอง

ดังนั้น Carro จะมาอธิบายต่ออย่างคราวๆต่อ ให้คุณเข้าได้ง่ายสุดๆ ดังนี้

พรบ

เกิดกรณีเจ้าของรถไม่ทำ พ.ร.บ. หรือประกันภัยรถยนต์ภาคบังคับ แต่สร้างความเสียหายกับผู้ประสบภัย ใครจ่าย ?

คำตอบคือ เจ้าของรถจึงมีหน้าที่ต้องรับผิดชอบต่อความเสียหายนั้นเอง เพราะกฎหมายกำหนดให้เจ้าของรถมีหน้าที่ต้องทำ พ.ร.บ. แต่เจ้าของรถฝ่าฝืนไม่ทำประกันภัยรถยนต์ภาคบังคับ

ถ้าผู้ประสบภัยได้รับบาดเจ็บโดยเจ้าของรถ เจ้าของรถต้องเป็นคนจ่ายค่ารักษาพยาบาล หรือถ้าเสียชีวิตต้องรับผิดชอบค่าปลงศพ อย่างน้อยต้องไม่ต่ำกว่าจำนวนที่กฎหมายกำหนดไว้

หากได้รับน้อยกว่าที่ควรได้รับ ผู้ประสบภัย หรือทายาทโดยธรรมของผู้ประสบภัย สามารถมาขอรับส่วนที่ยังขาดได้จากกองทุนทดแทนผู้ประสบภัย โดยเป็นการจ่ายให้ก่อนแล้วจะเรียกเก็บเงินตามจริงภายหลังกับเจ้าของรถเอง  ซึ่งเจ้าของรถต้องจ่ายตามจริง รวมทั้งเพิ่มในอัตราร้อยละยี่สิบของจำนวนค่าเสียหายเบื้องต้น ที่จ่ายจากกองทุนทดแทนผู้ประสบภัย เพื่อเข้าสมทบอีกต่างหาก


การสำรองจ่าย เป็นอย่างไร ?

หลักการสำรองจ่ายใช้ในกรณีที่รถยนต์ตั้งแต่สองคันขึ้นไปชนกัน และรถทุกคันได้จัดให้มีการประกันภัยตามกรมธรรม์คุ้มครองผู้ประสบภัยจากรถ บริษัทจะสำรองจ่ายให้แก่ผู้ประสบภัย ซึ่งไม่ว่าจะโดยสารมาในรถ หรือกำลังจะขึ้น หรือกำลังลงจากรถที่เอาประกันภัยรถยนต์ไว้กับบริษัท ดังนี้

  1. ค่ารักษาพยาบาลตามใบเสร็จรับเงิน ไม่เกิน 80,000 บาท ต่อหนึ่งคน สำหรับกรณีได้รับบาดเจ็บ
  2. ค่าทดแทน หรือค่าปลงศพ เป็นจำนวนเงิน 300,000 บาท ต่อหนึ่งคน สำหรับกรณีเสียชีวิต สูญเสียอวัยวะ หรือทุพพลภาพอย่างถาวร
  3. ค่ารักษาพยาบาล ค่าทดแทน หรือค่าปลงศพ รวมกันไม่เกิน 300,000 บาท ต่อหนึ่งคน

สำหรับ ผู้ประสบภัยที่เป็นบุคคลภายนอกรถ บริษัทและผู้รับประกันภัยอื่นจะร่วมกันสำรองจ่ายค่ารักษาพยาบาล ค่าทดแทนหรือค่าปลงศพ โดยเฉลี่ยฝ่ายละเท่าๆ กัน

พรบ

ค่าสินไหมทดแทน (ส่วนเกินค่าเสียหายเบื้องต้น)  คืออะไร

ค่าชดใช้เพื่อทดแทนความเสียหายที่เกิดขึ้นแก่ทรัพย์สิน หรือแก่บุคคล อันเนื่องมาจากการละเมิด หรือการผิดสัญญา รวมทั้งทรัพย์สินที่ต้องคืนให้แก่ผู้เสียหายด้วย.

  1. กรณีที่ผู้ประสบภัยได้รับบาดเจ็บ แต่ไม่ถึงกับสูญเสียอวัยวะ หรือทุพพลภาพอย่างถาวร บริษัทจะจ่ายค่ารักษาพยาบาล และค่าเสียหายอย่างอื่นที่ผู้ประสบภัย สามารถเรียกร้องได้ตามมูลละเมิดของความเสียหายที่แท้จริงแต่ไม่เกิน 80,000 บาท ต่อหนึ่งคน
  2. กรณีได้รับความเสียหายต่อร่างกาย หรืออนามัยในกรณีใดกรณีหนึ่ง หรือหลายกรณี ตามดังต่อไปนี้ บริษัทจะจ่ายเต็มตามจำนวนเงินคุ้มครองสูงสุด 300,000 บาท ต่อหนึ่งคน

(ก) ตาบอด

(ข) หูหนวก

(ค) เป็นใบ้หรือเสียความสามารถในการพูด หรือลิ้นขาด

(ง) สูญเสียอวัยวะสืบพันธุ์

(จ) เสียแขน ขา มือ เท้า นิ้ว

(ฉ) เสียอวัยวะอื่นใด

(ช) จิตพิการอย่างติดตัว

(ซ) ทุพพลภาพอย่างถาวร

  1. กรณีเสียชีวิต บริษัทจะจ่ายเต็มตามจำนวนเงินคุ้มครองสูงสุด 300,000 บาท ต่อหนึ่งคน
  2. ในกรณีที่เข้ารับการรักษาพยาบาลในสถานพยาบาลในฐานะคนไข้ใน บริษัทจะจ่ายค่าชดเชยรายวัน วันละ 200 บาท จำนวนรวมกันไม่เกิน 20 วัน เป็นค่าเสียหายที่เพิ่มขึ้น นอกเหนือจากความคุ้มครองที่กล่าวมาแล้ว

พรบ

 

อย่างไรก็ตาม การไม่เกิดอุบัติเหตุเป็นเรื่องที่ดีที่สุดอยู่แล้ว แต่หากเมื่อมันเกิดขึ้นแล้ว หลังจากเกิดเหตุต้องทำเรื่องเพื่อเรียกร้องค่าชดเชยกับบริษัทประกันภัยภายใน 180 วันเท่านั้นนะ เพราะถ้าเกินจากนี้กฎหมายไม่คุ้มครองแล้ว และเราก็ไม่สามารถเรียกร้องอะไรได้เลยจากบริษัทประกันภัยรถยนต์ ดังนั้นรู้เรื่องแบบนี้ อย่าลืม ! รักษาสิทธิที่เราควรจะได้กันด้วยนะ

 

Source : oic.or.th , ประกันภัยรถยนต์ไทย.com

Oil-Additive-Drama

เมฆ-มังกรบิน

จากกรณีของ “เมฆ มังกรบิน” ที่ออกมาท้าจะเผารถยนต์หรูของตัวเอง หาก “ผลิตภัณฑ์หัวเชื้อน้ำมันเครื่อง” ไม่ได้คุณภาพจริง โดยก่อนหน้านี้ได้ประกาศปิดโรงงาน จนเป็นกระแสสังคมที่ตอนนี้กำลังจับตามองกัน รวมไปถึงผลิตภัณฑ์ที่ “เมฆ มังกรบิน” ทำขายอยู่ในตอนนี้ด้วย

เมฆ-มังกรบิน

อีกฝั่งหนึ่ง ทางมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีสุรนารี จ.นครราชสีมา ออกแถลงการณ์ระบุว่า มีข้อความกล่าวอ้างว่า มีการนำผลิตภัณฑ์หัวเชื้อน้ำมันเครื่องที่ช่วยเคลือบป้องกันการสึกหรอ และช่วยเพิ่มความแรงของเครื่องยนต์ มาเข้าห้องแล็ปเพื่อทดสอบที่ ม.สุรนารี พร้อมกับมีใบรับรองว่าผลิตภัณฑ์ได้รับการทดสอบ โดยยืนยันว่ามหาวิทยาลัยไม่มีส่วนเกี่ยวข้องใดๆ ต่อการกล้าวอ้างเพื่อโฆษณาผลิตภัณฑ์ และขอให้ยุติคำกล่าวอ้าง

Oil-Addictive

ทำให้กลายเป็นดราม่าและถกเถียงกันขึ้นในกลุ่มของคนใช้รถ ว่า หัวเชื้อน้ำมันเครื่อง (Oil Additives) ดี หรือ ไม่ดี ? น่าใช้ หรือ ไม่น่าใช้ ?

Oil-Lubricant

การเปลี่ยนถ่ายน้ำมันเครื่อง ในแต่ละครั้ง ต้องเป็นไปตามที่ระบุไว้อยู่ในคู่มือการใช้รถ เพื่อประสิทธิภาพของเครื่องยนต์คงทนทานและใช้ได้ยาวนาน ซึ่งตลอดหลายสิบปีที่ผ่านมา มักจะมีโฆษณาผลิตภัณฑ์หัวเชื้อน้ำมันเครื่องยี่ห้อต่างๆ บ้างก็ว่าใส่เครื่องยนต์แล้วจะทนทาน ประหยัดน้ำมันเชื้อเพลิงขึ้น เครื่องยนต์เดินเรียบขึ้น เป็นต้น

ถ้าหากดีจริง ทางวิศวกรเครื่องยนต์ของบริษัทรถยนต์ต่างๆ คงต้องออกมาเสนอบริษัทรถยนต์ผลิตออกจำหน่าย หรือแนะนำให้ลูกค้าใช้

Engine-Flush

หัวเชื้อน้ำมันเครื่อง ในการเติมใส่เพียงครั้งคราว ก็จะไม่เกิดผลข้างเคียงอะไรมากนัก ช่วงแรกก็อาจรู้สึกได้ว่า รถมันเร่งดีขึ้น ควันลดลง เนื่องจากหัวเชื้อน้ำมันเครื่องบางยี่ห้อ อาจจะมีผสมสารคลอริเนเตท พาราฟิน หรือ คลอรีน ลงไป ซึ่งมีความลื่น แต่พอผสมกับกรีเซอรีน ให้ดูใส จนเป็นหัวเชื้อน้ำมันเครื่อง

เมื่อใส่ไปในเครื่องยนต์นานๆ อาจจะก่อให้เกิดฟรีคลอไรด์ และไฮโดรคลอริค เอซิด (Hydrochloric Acid) ที่จะกัด ยาง ซีล ปะเก็น อลูมิเนียม และเหล็ก คลอรีนทำให้เหนียว และลดการติดไฟ เหลือเป็นยางเหนียวหนืดๆ ในเครื่องยนต์

Engine

หากคุณอยากทดลองใช้ “หัวเชื้อน้ำมันเครื่อง” จริงๆ ก็ควรเลือกซื้อผลิตภัณฑ์ที่มีคุณภาพ และเชื่อถือได้ ถ้าจะให้ดีก็ควรจะมีผลการทดสอบยืนยันอย่างชัดเจนครับ ถ้าผลิตแบบใช้คนมานั่งกรอกใส่ขวดในโรงงาน ก็อาจจะเป็นอันตรายต่อเครื่องยนต์ของท่านได้

หากใครใช้แล้วกลัวเครื่องยนต์พัง ก็ถ่ายออกซะ แล้วใช้น้ำยาล้างเครื่องยนต์ (Flushing Oil) ก่อนเปลี่ยนถ่ายน้ำมันเครื่องของใหม่ลงไป

Engine

สุดท้ายนี้ขอบอกว่า การบำรุงรักษาเครื่องยนต์ที่ดี ใช้น้ำมันเครื่องที่มีคุณภาพดี ก็ไม่ต้องพึ่ง “วิตามิน” ที่อาจกลายเป็น “ยาพิษ” สำหรับเครื่องยนต์ได้นะครับ

ขอขอบคุณข้อมูลบางส่วนจาก Phithan-Toyota

ประกันภัยรถยนต์ตาม พ.ร.บ. เรื่องใกล้ตัวที่ควรรู้

อย่างที่รู้กันว่า “พ.ร.บ.รถยนต์” ที่คุณต้องควักเงินจ่ายทุกปี เมื่อต่อภาษีป้ายทะเบียนนั้น เป็นการทำประกันภัยรถยนต์ภาคบังคับประเภทที่สาม แต่เชื่อว่ายังมีอีกหลายคนที่ยังไม่รู้ว่าเจ้า พ.ร.บ.รถยนต์ มันมีสิทธิประโยชน์อย่างไรเมื่อเกิดอุบัติเหตุ และคุณสามารถเบิกในกรณีใดได้บ้าง ซึ่งวันนี้ CARRO จะมาอธิบายเป็นข้อๆ ให้คุณเข้าใจได้ไม่ยากดังนี้

ประกันภัยรถยนต์ตาม พ.ร.บ. เรื่องใกล้ตัวที่ควรรู้

ภาพจาก ภาพจาก พลหฤษฏ์ จันทกล มิตรแท้ประกันภัย

ใครมีหน้าที่ต้องทำประกันภัย พ.ร.บ. รถยนต์?

ได้แก่ เจ้าของรถ ผู้ครอบครองรถในฐานะผู้เช่าซื้อรถ และผู้นำรถที่จดทะเบียนในต่างประเทศเข้ามาใช้ในประเทศ การฝ่าฝืนไม่จัดให้มีประกันภัย พ.ร.บ.คุ้มครองผู้ประสบภัยจากรถ พ.ศ. 2535 กฎหมายกำหนดโทษปรับไว้ไม่เกิน 10,000 บาท

ประกันภัยรถยนต์ตาม พ.ร.บ. เรื่องใกล้ตัวที่ควรรู้

ภาพจาก @Ammye_my

ใครที่ได้รับความคุ้มครองตาม พ.ร.บ.รถยนต์?

ผู้ประสบภัย หมายถึง บุคคลที่ประสบภัยจากรถ ไม่ว่าจะเป็นผู้ขับขี่ ผู้โดยสาร คนเดินเท้า หากได้รับความเสียหายแก่ชีวิต ร่างกาย อนามัย ก็จะได้รับความคุ้มครองตาม พ.ร.บ.รถยนต์

ประกันภัยรถยนต์ตาม พ.ร.บ. เรื่องใกล้ตัวที่ควรรู้

ภาพจาก ขุนเทียน 322 มูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง

แล้วถ้าเกิดกรณี เมาแล้วขับ พ.ร.บ. รถยนต์ จ่ายหรือไม่?

คำตอบคือ พ.ร.บ.รถยนต์ ต้องจ่ายค่าเสียหายให้กับคุณ ไม่ว่าคุณจะเมามากแค่ไหน และถึงแม้ว่าในขณะนั้นคุณจะไม่มีใบขับขี่ก็ตาม แต่ พ.ร.บ.รถยนต์ จะคุ้มครองแค่ตัวบุคคลเท่านั้น กรณีรถยนต์เสียหายจะไม่รับผิดชอบ

ถึงอย่างไรก็ตาม เวลาเมาก็ไม่ควรขับขี่รถ เพราะถ้าพูดถึงโทษตามกฎหมายกับค่าเสียหายที่จะได้รับ ถ้าเทียบแล้วมันไม่คุ้มกันเสียเลย

ประกันภัยรถยนต์ตาม พ.ร.บ. เรื่องใกล้ตัวที่ควรรู้

ภาพจาก NOILAB55

ตาม พ.ร.บ. รถยนต์ คุ้มครองคุณด้วยจำนวนเงินเท่าไร และกรณีใด?

ผู้ประสบภัยจะได้รับความคุ้มครองในความเสียหายที่เกิดขึ้น เป็นค่ารักษาพยาบาลกรณีบาดเจ็บ และเป็นค่าปลงศพในกรณีเสียชีวิต โดยที่ไม่ต้องรอพิสูจน์ความผิด โดยชดใช้ให้แก่ผู้ประสบภัย หรือทายาทของผู้ประสบภัย ภายใน 7 วัน นับแต่ได้รับคำร้องขอค่าเสียหายดังกล่าว เรียกว่า “ค่าเสียหายเบื้องต้น” โดยมีจำนวนเงิน ดังนี้

1. กรณีบาดเจ็บ จ่ายตามจริง แต่ไม่เกิน 30,000 บาท ต่อหนึ่งคน

2. ส่วนกรณีผู้ประสบภัยได้รับความเสียหายต่อร่างกาย (ทุพพลภาพ) อย่างหนึ่งอย่างใดดังต่อไปนี้ จะจ่ายค่าเสียหายเบื้องต้น จำนวน 35,000 บาท ต่อหนึ่งคน

(ก) ตาบอด
(ข) หูหนวก
(ค) เป็นใบ้หรือเสียความสามารถในการพูด หรือลิ้นขาด
(ง) สูญเสียอวัยวะสืบพันธุ์
(จ) เสียแขน ขา มือ เท้า นิ้ว
(ฉ) เสียอวัยวะอื่นใด
(ช) จิตพิการอย่างติดตัว
(ซ) ทุพพลภาพอย่างถาวร

3. กรณีบาดเจ็บตาม ข้อ 1. และต่อมาทุพพลภาพตาม ข้อ 2. รวมกันแล้วจะไม่เกิน 65,000 บาท ต่อหนึ่งคน

4. กรณีเสียชีวิตจะได้รับการชดใช้เป็นค่าปลงศพและค่าใช้จ่ายอันจำเป็นเกี่ยวกับการจัดการศพ จำนวน 35,000 บาท ต่อหนึ่งคน

5. กรณีเสียชีวิตภายหลังการรักษาพยาบาลและค่าใช้จ่ายอันจำเป็นเกี่ยวกับการรักษาพยาบาลตามที่จ่ายจริงตามข้อ 1 รวมกันไม่เกิน 65,000 บาท ต่อหนึ่งคน

ส่วนกรณีเกิดรถเสียหายตั้งแต่ 2 คันขึ้นไป จะได้รับค่าเสียหายเบื้องต้นอย่างไรบ้าง?

กรณีรถตั้งแต่ 2 คันขึ้นไปที่ก่อให้เกิดความเสียหาย (เฉี่ยวชนกัน) เป็นเหตุให้ผู้ซึ่งอยู่ในรถไม่ว่าจะเป็นผู้ขับขี่หรือผู้โดยสารก็ตาม หากได้รับบาดเจ็บหรือเสียชีวิต จะจ่ายค่าเสียหายเบื้องต้นให้แก่ผู้ประสบภัยซึ่งอยู่ในรถคันที่ทำ พ.ร.บ. แต่ถ้าผู้ประสบภัยเป็นบุคคลภายนอกไม่ได้อยู่ในรถคันใดคันหนึ่ง โดยจ่ายค่าเสียหายเบื้องต้นให้แก่ผู้ประสบภัยโดยเฉลี่ยจ่ายในอัตราส่วนที่เท่ากัน

ประกันภัยรถยนต์ตาม พ.ร.บ. เรื่องใกล้ตัวที่ควรรู้

ภาพจาก กรมทางหลวง

เคลมง่าย เซฟขั้นตอนไว้เลย จะได้ไม่พลาด!

1. แจ้งความต่อเจ้าหน้าที่ตำรวจ เพื่อลงบันทึกประจำวัน

2. เข้ารับการรักษาที่โรงพยาบาล (เมื่อการรักษาเรียบร้อยแล้ว อย่าลืมขอเอกสารจากโรงพยาบาลด้วยนะ)

  • ใบรับรองแพทย์
  • ใบเสร็จรับเงิน

3. นำส่งเอกสารต่อบริษัทประกันภัยที่ซื้อ พ.ร.บ. เพื่อขอเบิกค่ารักษาพยาบาล ดังนี้

  • บันทึกประจำวันของเจ้าหน้าที่ตำรวจ
  • ใบรับรองแพทย์
  • ใบเสร็จรับเงิน
  • สำเนาบัตรประจำตัวประชาชนของผู้ที่ได้รับบาดเจ็บ

นี้เป็นแค่ส่วนหนึ่งของค่าเสียหายเบื้องต้นเท่านั้น ยังมีในส่วนค่าสินไหมทดแทน และสำรองจ่ายอีกด้วย ทำให้รู้ว่า พ.ร.บ. ที่เราจ่ายทุกๆ ปีนั้น สำคัญแค่ไหน แล้วอย่าลืมไปต่อ พ.ร.บ. กันด้วย ซึ่งเดี๋ยวนี้ พ.ร.บ. หาซื้อได้ง่ายมาก แม้แต่ พ.ร.บ. รถยนต์ออนไลน์ ก็ยังมีให้เลือกซื้อกันเพียบ เพราะถ้าไม่ต่ออาจเจอโทษปรับหลายพันบาทเมื่อคุณตำรวจขอดูเอกสารนะจ๊ะ

Carro Express ขายรถกับคาร์โร อยากขายรถ ขายรถด่วน

หากใครที่อยากขายรถคันเดิม ไปซื้อรถยนต์คันใหม่ มาขายรถกับทาง CARRO Express ได้ที่  https://th.carro.co/sell-car/express หรือถ้าหากต้องการซื้อรถคุณภาพเยี่ยม CARRO เราก็มีพร้อมให้คุณเลือกอย่างมากมายด้วยเช่นกัน พร้อมรับประกันสูงสุดถึง 1 ปี หรือ 30,000 กิโลเมตร กับ CARRO Automall ดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ https://th.carro.co/taladrod/

Carro Automall / คาร์โร ออโต้มอลล์

ส่วนใครอยากซื้อรถมือสองสภาพเยี่ยม ราคาสบายๆ และมั่นใจได้ในเรื่องคุณภาพทุกคัน CARRO Automall แหล่งรวมรถมือสองคุณภาพเยี่ยมผ่านระบบออนไลน์ ตอบโจทย์คุณด้วยคอนเซปต์ “click.buy.drive.” คุณสามารถจองรถออนไลน์ ได้ในเวลา 1 นาที!

ซึ่งรถของ CARRO Automall เรามีให้คุณเลือกมากมาย รถทุกคันผ่านการตรวจสภาพอย่างละเอียดแบบ Double Check มากกว่า 160 จุด รวมไปถึงการการปรับสภาพ (Car Reconditioning) ด้วยทีมช่างมืออาชีพ ที่ผ่านการผึกอบรมตามมาตรฐานคาร์โรกว่า 40 คน พร้อมให้บริการลูกค้าได้อย่างรวดเร็ว กว่า 20 คัน/วัน

อีกทั้งยังมีเทคโนโลยี “360 View & Sound Engine Analysis” เลือกชมรถยนต์เสมือนจริงออนไลน์รายแรกในไทย ทั้งภาพและเสียงในรูปแบบ 360 องศา รวมถึงมีเทคโนโลยีสนับสนุนฝ่ายขาย ทั้ง Digital Device ที่เชื่อมต่อกับ Digital Screen นำเสนอสิ่งที่ลูกค้าต้องการ และจัดการเรื่องเอกสารให้กับลูกค้าให้ตั้งแต่ต้นจนจบ บวกกับ Online Viewing Service ที่ลูกค้าสามารถวิดีโอคอล ตรวจสภาพรถยนต์คันที่สนใจได้แบบเรียลไทม์

เรารับประกันคุณภาพรถ 1 ปี หรือ 30,000 กิโลเมตร! (CARRO Quality Assurance) อีกทั้งยังการันตีความพึงพอใจ คืนเงินได้ภายใน 5 วันอีกด้วย! ซื้อรถคุณภาพเยี่ยม กับ CARRO Automall สิ!

หรือถ้าหากสนใจรถรุ่นไหนอยู่ แต่ยังหาที่ถูกใจไม่ได้ เรายินดีหาให้! เพียงแค่กรอกเบอร์โทรศัพท์ ชื่อยี่ห้อ / รุ่นรถ ที่คุณต้องการก็ได้เช่นกันครับ อีกทั้งยังสามารถ Inbox เข้ามาสอบถามรายละเอียดได้ที่ Facebook -> CARRO Automall Thailand โทร. 02-508-8690 หรือทาง Line @carroautomall ค่ะ

แหล่งที่มาข้อมูลจาก:

รถพระที่นั่งของในหลวงรัชกาลที่9

รถยนต์ยี่ห้อใดบ้าง ที่ในหลวงรัชกาลที่ ๙ ทรงเลือกใช้เดินทาง

     คนรุ่นใหม่อาจไม่เคยเฝ้ารับเสด็จ จึงอาจไม่เคยเห็นรถยนต์ของในหลวงรัชกาลที่ ๙ ทำให้ภาพเหล่านี้หาดูยากขึ้นทุกวัน คาร์โร จึงขอนำเสนอยี่ห้อรถยนต์พระที่นั่งของในหลวงรัชกาลที่ ๙ พร้อมกับเรื่องราวของการใช้งาน จำนวน ๖ คัน เพื่อให้คนรุ่นใหม่ หรือเด็กๆ รุ่นต่อไป ได้ศึกษากัน


 

รถพระที่นั่งของในหลวง

1. Mercedes Maybach 62

มายบัคองค์นี้ ทรงใช้เป็นรถยนต์พระที่นั่งสำหรับงานพิธีต่างๆ ที่เป็นทางการ โดยรถพระที่นั่งคันนี้มาแทนที่ ร.ย.ล. ๑ คันก่อน (ภาพล่าง) คือ Rolls – Royce Phantom VI ซึ่งทรงใช้งานอย่างยาวนานร่วม ๓๐ ปี

รถพระที่นั่งของในหลวง

ภาพนี้คือ Phantom VI ซึ่งถูกนำมาใช้เป็นรถยนต์พระที่นั่งเป็นครั้งสุดท้ายในปี พ.ศ. ๒๕๔๗


 

รถพระที่นั่งของในหลวง

2. Cadillac DTS

เป็นรถที่ทรงใช้ในพิธีถวายสัตย์ปฏิญาณตนและสวนสนามของทหารรักษาพระองค์ ตัวรถผ่านการดัดแปลงให้เป็นรถเปิดประทุนเพื่อความสะดวกในการประกอบพิธี ดังที่เห็นได้จากในภาพ


 

รถพระที่นั่งของในหลวง

3. Mercedes Benz S600L (W220)

เป็นรถเบนซ์เอสคลาสสีครีม หมายเลขทะเบียน ร.ย.ล.๙๐๑ พระองค์ทรงใช้ในราชการเป็นประจำ แต่ในปัจจุบัน
ใช้ในงานเฉพาะกิจส่วนพระองค์ หรือไม่ได้มีการออกงานใหญ่ๆ

นอกจากรถพระที่นั่งซึ่งใช้ในกิจการของพระราชวังดังที่ได้ยกมา ๓ องค์เบื้องต้นแล้ว ยังมีรถอีก ๒ องค์ที่ในหลวงรัชกาลที่ ๙ ทรงจัดซื้อด้วยทรัพย์ส่วนพระองค์ ดังนี้


 

รถพระที่นั่งของในหลวง

4. Toyota Soluna

เป็นรถที่ทรงขับด้วยพระองค์เอง และทรงใช้ทรัพย์ส่วนของพระองค์ในการจัดซื้อ ทำให้ป้ายทะเบียนอยู่ในหมวด ด

รถพระที่นั่งคันนี้มีที่มาที่ไป คือเป็นรถที่ทรงพระราชทานทรัพย์ส่วนพระองค์ให้บริษัทโตโยต้าเป็นจำนวนเงิน ๖๐๐,๐๐๐ บาท แต่ทางโตโยต้าขอปฏิเสธ ไม่รับพระราชทานเงินนั้น พระองค์จึงทรงบริจาคเงินส่วนนี้ให้ตั้งโรงสีขาวเพื่อช่วยเหลือชาวนา ซึ่งได้กลายมาเป็นบริษัทข้าวรัชมงคลในปัจจุบัน


 

5. Volkswagen Transporter

รถยนต์พระที่นั่งองค์นี้มีนามเรียกขานว่า “เจมส์ บอนด์” เป็นรถตู้สีเทาอมฟ้าปี ๒๕๔๑ ที่มีความสมถะ และเรียบง่าย

ส่วนเหตุผลที่มีการเลือกรถพระที่นั่งคันนี้มาใช้ในพิธีอัญเชิญพระบรมศพ ได้มีผู้ให้คำตอบไว้ว่า คือเป็นรถที่พระองค์ทรงโปรด ด้านในรถจะเรียบง่ายมาก แทบไม่มีอะไรเลย นอกจากวิทยุเดิมๆ ที่ติดมากับรถ แล้วก็จะมีโต๊ะเล็กๆไว้ทรงงาน สภาพของรถจะมีนายช่างประจำตัว คอยซ่อมแซมให้ตลอด


 

รถพระที่นั่งของในหลวง

6. Mercedes Benz 300SL Gullwing 1955 

รถยนต์องค์นี้เข้าประจำการเพื่อเป็นพระราชพาหนะในพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช เมื่อวันที่ ๘ สิงหาคม พ.ศ.๒๔๙๘

เป็นรถยนต์ที่จอมพล ป.พิบูลสงคราม น้อมเกล้าฯ ถวายในหลวงรัชกาลที่ ๙ ในสมัยนั้น แล้วได้มีการเปลี่ยนทะเบียนจาก ๑ด๐๐๑๐ ไปเป็น ๑ด๑๑๑๐ ในภายหลัง

ซึ่งรถยนต์องค์นี้ได้มีการเปิดให้นิตรสารทั้งใน และต่างประเทศมีโอกาสได้เก็บภาพ รวมถึงทำประวัติไว้อย่างงดงาม รถยนต์องค์นี้ถือว่าเป็นซูเปอร์คาร์ในสมัยนั้นเลยก็ว่าได้ เป็นรถยนต์ที่มีประสิทธิภาพที่สูง และมีเพียง ๘ คันในประเทศไทย

ส่วนรถยนต์องค์นี้ถือว่าเป็นองค์ที่สภาพสมบูรณ์ที่สุดในประเทศไทย และยังคงเป็นรถที่สมบูรณ์มากที่สุดในโลกเช่นเดียวกัน ได้ใช้งานไปเพียง ๒,๐๒๑ กิโลเมตร ด้วยอายุถึง ๕๗ ปี ท่านทรงรัก และดูแลรถยนต์องค์นี้อย่างดี


 

 

ข้อมูลจากผู้ใช้เฟซบุ๊ก : นุสรา ชั้นบุญ