รถมือสอง-1-คัน-มีค่าใช้จ่ายอะไรบ้าง

ซื้อรถมือสอง ต้องเตรียมค่าใช้จ่ายเท่าไร

ใครที่อยู่ในแวดวงธุรกิจรถมือสองต้องเคยเจอคำถามประเภท มีเงิน XXX,XXX บาท ซื้อรถได้มั้ย? รถรุ่นนี้ รุ่นโน้นต้องดาวน์เท่าไหร่? จะซื้อรถมือสองมีเงินเท่านี้พอมั้ย? ฯลฯ หรือคำถามอะไรประมาณนี้มาก่อนแล้วแน่ๆ นี่คือคำถามยอดฮิตที่คนขายรถมือสองต้องเคยฟัง! (แถมชอบฟังด้วยนะ)

ยิ่งธุรกิจรถยนต์มือสองเติบโตและพัฒนามากขึ้นทุกวัน ผู้ขับขี่รถยนต์ในไทยก็ยิ่งหันมาหารถยนต์มือสองมากขึ้น คำถามแบบนี้ก็ยิ่งได้ยินได้ฟังบ่อยครั้งขึ้นไปตามๆ กัน เพราะคนซื้อหลายคนก็ไม่รู้ว่าการจะซื้อรถมือสองสักคันนั้นมีค่าใช้จ่ายโดยรวมเท่าไหร่  บางทีเล็งรถคันหนึ่งไว้กลับต้องไปเลือกอีกคันแทนเพราะเกินงบ! เรื่องแบบนี้ก็มีให้เห็นมาแล้ว

ฉะนั้นมาดูกันเลยดีกว่า ว่าการซื้อรถมือสอง 1 คันจะมีค่าใช้จ่ายอะไรบ้าง จะได้คำนวณงบประมาณถูก! และตัดสินใจได้ง่ายกว่าเดิมด้วย!

ดังที่ทราบกันอยู่แล้วว่า ในการซื้อรถยนต์มือสองโดยทั่วไป คนซื้อก็จะสามารถซื้อได้ 2 แบบ คือซื้อด้วยเงินสด และซื้อเงินผ่อน ด้วยการขอสินเชื่อรถมือสองจากสถาบันการเงิน หรือที่เรียกว่าการจัดไฟแนนซ์นั่นเอง

 

เมื่อคุณซื้อรถด้วยเงินสด ค่าใช้จ่ายหลักๆ ในการซื้อรถมือสอง 1 คันจะมีดังนี้

CARRO Automall แหล่งรวมรถมือสองคุณภาพเยี่ยม ผ่านการตรวจสภาพแบบ Double Check รับประกันพร้อมโอนทุกคัน

1. ค่ารถ ตามราคาที่ได้ตกลงกันไว้ระหว่างผู้ซื้อกับผู้ขาย ซึ่งในส่วนนี้จะมี VAT หรือ ภาษีมูลค่าเพิ่ม 7% บวกรวมเข้าไปด้วย ฉะนั้นก่อนที่จะเลือกรถแต่ละคันควรคำนึงถึงภาษีส่วนนี้ไว้เช่นกัน เพราะราคาที่คุณตกลงกับคนขายนั้นยังไม่ใช่ราคาสุทธิแต่อย่างใด

ตัวอย่าง คุณสนใจ Honda Civic ราคา 500,000 บาท เงินที่คุณต้องใช้จ่ายจริงก็คือ 500,000 + VAT 7% ซึ่งเท่ากับ 535,000 บาท

เอาเป็นว่าในส่วนของค่ารถนี้ก็ต้องคำนวณกันดีๆ ก่อน! จะได้รู้ว่าเงินที่คุณมีอยู่ในมือครอบคลุมแค่ไหน และเพียงพอที่จะนำไปใช้จ่ายในส่วนอื่นๆ หรือไม่!

2. ค่าโอนรถ เป็นส่วนที่ต้องชำระที่กรมขนส่งทางบก ประกอบไปด้วย ค่าธรรมเนียม 5 บาท ค่าโอน 100 บาท และส่วนสุดท้ายที่แพงที่สุดคือ ค่าอากรซื้อขายซึ่งประเมินโดยสรรพากร คิดเป็นร้อยละ 0.5 ของราคารถยนต์ (ที่มักพูดกันว่าแสนละห้าร้อยนั่นเอง)

ตัวอย่าง คุณซื้อรถ Honda Civic มาในราคา 500,000 บาท ค่าใช้จ่ายในการโอนรถของคุณคือ ค่าธรรมเนียม 5 บาท + ค่าโอนรถ 100 บาท + ค่าอากรซื้อขายรถ 2,500 บาท รวมทั้งหมดเป็น 2,605 บาท

ในส่วนนี้บางคราวผู้ขายหรือเต้นท์รถก็จะเป็นผู้รับผิดชอบในการชำระค่าใช้จ่ายให้ และหากคุณซื้อรถมือสองจากเต้นท์ บางเต้นท์ก็อาจจะให้โปรโมชั่น หรือรวมอยู่ในค่าจองอยู่แล้ว ฉะนั้นต้องพูดคุยกันให้เคลียร์ก่อนว่าใครจะเป็นผู้รับผิดชอบค่าใช้จ่ายในส่วนนี้

3. ค่าประกัน ก็คือเงินที่คุณต้องจ่ายเพื่อทำประกันภัยรถยนต์นั่นเอง ค่าประกันจะสูงหรือต่ำขึ้นอยู่กับระดับชั้นที่คุณเลือก รวมถึง Segment ของรถด้วย เป็นที่รู้กันดีอยู่แล้วว่ายิ่งระดับชั้น (และค่าประกัน) สูงมากเท่าไหร่ ทุนประกันและความคุ้มครองก็ครอบคลุมมากขึ้นเท่านั้น ในส่วนนี้ หากคุณซื้อรถจากเต้นท์ บางเต้นท์อาจจะมีโปรโมชั่นแถมฟรีประกันภัยให้คุณด้วย ต้องลองสอบถามให้ดีๆ

ในส่วนของการซื้อด้วยเงินสด ค่าใช้จ่ายหลักๆ ก็จะมีดังที่กล่าวมานี้ แต่ในบางกรณี อาจจะมีค่าใช้จ่ายอื่นๆ ที่คุณต้องรับผิดชอบอีก เช่น ค่าจอง หากคุณเลือกดูรถยนต์มือสองจากเว็บไซต์ต่างๆ ผู้ขายก็อาจจะขอค่าจองไว้ก่อน เพื่อให้มั่นใจได้ว่าคุณจะซื้อรถจริง และยังอาจมีค่าใช้จ่ายในกรณีที่รถที่คุณซื้อเกินอายุที่จดทะเบียนไว้แล้ว เช่น ค่าพรบ. ค่าต่อภาษีรถยนต์ ค่าปรับของกรมขนส่งฯ รวมไปถึงค่าซ่อมบำรุง ค่าตกแต่ง ฯลฯ ตามความพอใจของคุณเองหลังการซื้อขาย ซึ่งนอกจากจะต้องสอบถามให้ดีก่อนตกลงซื้อขายกันแล้วก็ต้องเผื่อเงินและเผื่อใจไว้ด้วย

 

การซื้อรถด้วยการขอสินเชื่อหรือจัดไฟแนนซ์ก็เป็นวิธีการยอดนิยมอย่างมากในปัจจุบัน ข้อดีของการซื้อรถแบบผ่อนคือคุณไม่ต้องเสียเงินทีเดียวก้อนใหญ่ แต่ในขณะเดียวกัน ค่าใช้จ่ายในการซื้อรถมือสองก็จะเพิ่มขึ้นมาบางส่วนด้วย มาดูกันว่ามีอะไรบ้าง!

1. ค่าจองรถ (อาจมีหรือไม่มีก็ได้) เป็นค่าใช้จ่ายเพื่อยืนยันกับผู้ขายว่าคุณสนใจรถคันนี้จริงๆ และจะซื้อรถอย่างแน่นอน ซึ่งถ้าคุณเปลี่ยนใจ ไม่ซื้อรถตามที่ตกลงกันไว้ เงินส่วนนี้ก็จะถูกผู้ขายยึดไปเป็นค่าเสียเวลาและเสียโอกาสนั่นเอง

ค่าจองรถมักจะขึ้นอยู่กับราคาของรถด้วย กล่าวคือ หากคุณเลือกซื้อรถ segment ใหญ่ๆ หรือรถหรูราคาแพง ค่าจองก็จะขยับสูงขึ้นไปตามกัน แต่โดยทั่วไปแล้ว ค่าจองในกลุ่มรถตลาดก็จะอยู่ที่ราวๆ 5,000 – 10,000 บาท

หากคุณซื้อรถยนต์มือสองจากเต้นท์รถ ค่าจองรถอาจจะรวมค่าโอน และค่าใช้จ่ายส่วนอื่นๆ ไว้ด้วย ก่อนจะตกลงซื้อถามควรถามไถ่ให้เข้าใจตรงกันเสียก่อน

ค่าใช้จ่ายต่างๆ อาจถูกลง หากมีการดำเนินการขอสินเชื่อแล้วไม่ผ่าน บางบริษัทอาจจะคืนเงินส่วนนี้ให้คุณ (ต้องถามให้เคลียร์แต่แรก)

2. ค่ารถ ก็คือส่วนที่คุณต้องไปผ่อนให้ไฟแนนซ์นั่นเอง ดังที่ยกตัวอย่างไว้ข้างต้น หากคุณซื้อ Honda Civic ในราคา 500,000 บาท จ่ายเงินดาวน์ไป 50,000 บาท อีก 450,000 บาทที่เหลือ คุณก็จะต้องชำระเป็นรายเดือนให้กับไฟแนนซ์

แล้ว VAT 7% จะยังต้องเสียอยู่ไหม? คำตอบคือเสียแน่นอน! VAT 7% จะอยู่ในยอดผ่อนชำระแต่ละเดือนที่คุณต้องผ่อนให้กับไฟแนนซ์นั่นเอง ซึ่งแปลว่ายิ่งผ่อนนานก็ยิ่งเสีย VAT ไปเลยยาวๆ ควรจะรวบรัดการผ่อนชำระหนี้ให้ัสั้นที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้เพื่อผลประโยชน์ของตัวคุณเอง

3. เงินดาวน์ คือเงินสดที่คุณต้องสมทบในการกู้ยืมจากไฟแนนซ์ อธิบายง่ายๆ ก็คือ ไฟแนนซ์ไม่ได้ให้คุณกู้เงินได้ 100% คุณต้องชำระเงินค่ารถด้วยตัวเองส่วนหนึ่ง ซึ่งเงินก้อนที่คุณต้องออกเองนี้ เรียกว่า “เงินดาวน์” ปกติแล้วเงินดาวน์มักจะอยู่ที่ 10% ของราคารถ แต่อาจเพิ่มขึ้นได้ในกรณีที่คุณซื้อรถหรู รถเก่า หรือรถประเภทที่ไฟแนนซ์มองว่ามีความเสี่ยงสูงกว่ารถยนต์มือสองทั่วไป

ตัวอย่าง คุณซื้อรถ Honda Civic ราคา 500,000 บาทโดยการขอสินเชื่อจากไฟแนนซ์ คุณต้องจ่ายเงินดาวน์ 10% ซึ่งคิดเป็น 50,000 บาท (แล้วอีก 450,000 บาทไฟแนนซ์จะออกให้คุณ แล้วคุณก็ผ่อนชำระเป็นรายเดือน+ดอกเบี้ยให้กับไฟแนนซ์อีกที)

4. ค่าจัดไฟแนนซ์ ในการจัดไฟแนนซ์ก็จะมีค่าจัดที่ทางบริษัทรับจัดไฟแนนซ์จะคิดจากคุณอีกที ค่าจัดก็คือค่าดำเนินการด้านเอกสารและอื่นๆ ของไฟแนนซ์นั่นเอง หากคุณซื้อรถยนต์มือสองจากเต้นท์ การขอจัดไฟแนนซ์ก็จะง่ายกว่าเดิมอีกหน่อย เพราะเต้นท์รถมือสองมักมีคอนเนคชั่นที่ดีกับไฟแนนซ์

5. ค่าโอน คือเงินที่ต้องชำระที่กรมขนส่งทางบกดังที่อธิบายไว้คร่าวๆ แล้วด้านบน แต่หากคุณจัดไฟแนนซ์ ค่าโอนอาจจะเสียหลายต่อ เพราะต้องโอนรถเป็นกรรมสิทธิ์ของไฟแนนซ์ก่อน แล้วจึงโอนมาเป็นชื่อคุณหลังจากผ่อนชำระจนครบ แต่ส่วนนี้ไฟแนนซ์บางเจ้าอาจจะจัดการให้ ต้องถามให้ดีแต่แรก

6. ค่าประกัน คือค่าใช้จ่ายในการทำประกันภัยรถนต์ดังที่อธิบายไว้คร่าวๆ แล้วด้านบน

7. ดอกเบี้ย ทุกการกู้ยืมจากสถาบันการเงินก็ย่อมต้องมีการคิดดอกเบี้ย! ดอกเบี้ยไฟแนนซ์รถยนต์มือสองจะมีการประเมินจากยี่ห้อ รุ่น และปี (อายุ) ของรถมือสองคันนั้น ซึ่งถ้ารถยิ่งเก่า ยิ่งอายุการใช้งานมาก ดอกเบี้ยก็จะยิ่งแพง เพราะมีค่าเสื่อมสภาพสูง ปกติแล้วสถาบันการเงินต่างๆ จะมีการคิดดอกเบี้ยในอัตราที่ต่างกันไม่มากนัก โดยมากแล้วดอกเบี้ยรถยนต์มือสองจะไม่เกิน 7%