ผ่อนรถไม่ไหว-ทำอย่างไร

รถยนต์ ถือเป็นปัจจัยสำคัญที่หลายคนต้องการ ด้วยเหตุผลที่แตกต่างกันไป อาทิเช่น ความจำเป็นในการเดินทางแทนการใช้ระบบขนส่งมวลชน ใช้ประกอบอาชีพ ทำมาหากิน หรือใช้งานในครอบครัว เป็นต้น ทำให้รถยนต์เป็นพาหนะที่คนส่วนใหญ่ต้องการไว้เป็นเจ้าของ และมีการเปลี่ยนใหม่อยู่เสมอ

แน่นอนว่าการเป็นเจ้าของรถยนต์ ย่อมมีรายจ่ายตามมาอยู่เสมอ ไม่ว่าจะเป็นค่าน้ำมัน ค่าสึกหรอ ค่าตรวจเช็คต่างๆ ค่าภาษีรถยนต์ประจำปี ค่า พรบ. ค่าประกันภัย ค่าชนเขา ฯลฯ เป็นต้น ซึ่งผู้ซื้อหลายคนมักมองข้ามค่าใช้จ่ายเหล่านี้ ถ้าคุณพิจารณาอย่างรอบคอบว่าพร้อมซื้อรถจริงๆ ปัญหา เช่น ผ่อนรถต่อไม่ไหว ก็จะไม่เกิดขึ้น แต่ถ้าเกิดปัญหาขึ้นแล้ว ก็ต้องหาทางแก้ไข

ผ่อนรถไม่ไหว-ทำอย่างไร

ความต้องการซื้อรถ มีทั้งความจำเป็นในการใช้งาน ส่วนใหญ่มักมีรถเพียงคันเดียว และซื้อด้วยเหตุผลมากกว่าอารมณ์ การตัดสินใจซื้อมักขึ้นอยู่กับงบประมาณเป็นอันดับแรก ซึ่งอาจจะเลือกได้ทั้งรถยนต์ใหม่ป้ายแดง และรถมือสอง ส่วนปัจจัยรองลงมา ก็อาจจะเป็นที่คุณสมบัติการใช้งานของรถ ยี่ห้อ บริการหลังการขาย และความชอบรูปตัวรถรุ่นนั้นๆ เป็นต้น

แต่เมื่อคุณมีเงินสดที่จะซื้อรถไม่พอ ทางออกในการเป็นเจ้าของรถก็มีอยู่หลายแบบ อาทิเช่น …

ผ่อนรถไม่ไหว-ทำอย่างไร

การเช่าซื้อ

ทางออกสำหรับคนที่เงินไม่พอ แต่อยากเป็นเจ้าของรถยนต์ สถาบันการเงินต่างๆ มีบริการให้เช่าซื้อรถทั้งสำหรับรถใหม่และรถใช้แล้ว ซึ่งผู้เช่าซื้อจะต้องชำระเงินเป็นงวดๆ ตามจำนวนเงิน พร้อมดอกเบี้ย และระยะเวลาที่กำหนด และมีหน้าที่รับผิดชอบดูแลรักษาตัวรถ กรรมสิทธิ์ของรถยนต์ จะยังไม่เป็นของผู้เช่าซื้อจนกว่าจะชำระเงินครบตามสัญญา จึงจะได้กรรมสิทธิ์ในทรัพย์สินหลังจากชำระครบ ไม่จำเป็นต้องรอการโอนและรับมอบใบคู่มือจดทะเบียนจากผู้ให้ผู้เช่าซื้อ

ส่วนวงเงินเช่าซื้อรถ​​ สำหรับรถใหม่ วงเงินส่วนใหญ่จะอยู่ประมาณ 75-80% ของราคารถยนต์ ส่วนที่เหลือผู้ซื้อจะต้องวางเงินดาวน์ และรถมือสอง วงเงินจะขึ้นอยู่กับสภาพรถ ระยะทาง อายุการใช้งาน และสภาวะเศรษฐกิจ โดยอัตราดอกเบี้ยของรถมือสองจะสูงกว่ารถใหม่ เพราะเมื่อเทียบกับรถใหม่แล้ว เพราะสถาบันการเงินที่ให้เช่าซื้อรถใช้แล้ว มีความเสี่ยงสูงกว่าหากต้องนำรถมือสองมาขายทอดตลาด เพราะขายยากกว่า

การคิดดอกเบี้ยส่วนใหญ่ จะคิดแบบเงินต้นคงที่ (Flat Rate) คำนวณจากเงินต้นทั้งจำนวนและระยะเวลาการผ่อนชำระทั้งหมด เพื่อกำหนดว่าในแต่ละเดือนจะต้องจ่ายดอกเบี้ยและผ่อนชำระเดือนละเท่าไร และหากทำการสำรวจเงื่อนไขการเช่าซื้อแล้วพบว่ามีผู้ให้เช่าซื้อบางรายเสนออัตราดอกเบี้ยแบบเงินต้นคงที่ (Flat Rate) แต่ผู้ให้เช่าซื้อรายอื่นใช้อัตราดอกเบี้ยแบบลดต้นลดดอก (Effective Rate) เราก็สามารถเปรียบเทียบได้ว่าใครถูกหรือแพงด้วยการเปลี่ยน Flat Rate เป็น Effective Rate ​

ผ่อนรถไม่ไหว-ทำอย่างไร

แต่ถ้ามีเหตุไม่สามารถผ่อนชำระต่อได้ โดยเฉพาะหลายงวดติดต่อกัน อาจโดนยึดรถและฟ้องจากผู้ให้เช่าซื้อ (ปัจจุบันผู้ให้เช่าซื้อจะยึดรถได้ก็ต่อเมื่อผู้เช่าซื้อผิดนัดชำระค่าเช่าซื้อ 3 งวดติดต่อกัน โดยผู้ให้เช่าซื้อยังต้องมีหนังสือบอกกล่าวผู้เช่าซื้อให้ใช้เงินรายงวดที่ค้างชำระ ภายในเวลาอย่างน้อยอีก 30 วัน นับแต่วันที่ผู้เช่าซื้อได้รับหนังสือ พอครบกำหนดแล้วผู้เช่าซื้อยังไม่ชำระเงิน ผู้ให้เช่าซื้อจึงจะยึดรถได้)*

(*ตามประกาศคณะกรรมการว่าด้วยสัญญา เรื่องให้ธุรกิจให้เช่าซื้อรถยนต์และรถจักรยานยนต์เป็นธุรกิจที่ควบคุมสัญญา พ.ศ. 2555 ในราชกิจจานุเบกษา)

ยกตัวอย่างเช่น ยอดเงินกู้ซื้อรถยนต์ 240,000 บาท อัตราดอกเบี้ยคงที่ 2.75% ผู้กู้ตกลงผ่อนจ่ายเดือนละ 10,600 บาท (แบ่งเป็นเงินต้น 10,000 บาท ดอกเบี้ย 600 บาท) จำนวน 24 งวด

ต่อมา ขึ้นปีที่ 2 ผู้กู้ต้องการปิดบัญชี ซึ่งผู้กู้ได้จ่ายเงินต้นและดอกเบี้ยไปแล้ว 12 เดือน ยังคงเหลืออีก 12 เดือนที่ยังค้างชำระ ซึ่งจะมีวิธีการคำนวณ ดังนี้

– เงินต้นของงวดที่เหลือ (10,000 x 12 เดือน) 120,000 บาท
– ดอกเบี้ยของงวดที่เหลือ (600 x 12 เดือน) 7,200 บาท

หักส่วนลดแก่ผู้เช่า 50% ของดอกเบี้ยงวดที่เหลือ (7200 x 50%) (3,600) บาท ดังนั้น คงเหลือเงินที่ต้องชำระคืน 123,600 บาท

ผ่อนรถไม่ไหว-ทำอย่างไร

ในแง่ของการจ่ายค่างวด ก็มีข้อควรคำนึงถึง ดังนี้

1. อย่าจ่ายน้อยๆ แต่นานๆ เพราะการเพิ่มเงินผ่อนต่อเดือนอีกเล็กน้อย โดยไม่กระทบกับค่าใช้จ่ายที่จำเป็นและการออมเผื่อฉุกเฉิน จะช่วยให้ประหยัดดอกเบี้ยและปลดหนี้ได้เร็วขึ้น​

2. อยากจ่ายดอกเบี้ยและผ่อนต่องวดน้อย ๆ วางเงินดาวน์มากๆ ช่วยได้ ถ้ายังไม่จำเป็นต้องรีบซื้อรถ ควรเก็บสะสมเงินดาวน์ไปเรื่อยๆ ดีกว่า เพราะยิ่งมีเงินดาวน์มาก (เช่น วางเงินดาวน์ 30% ของราคาตัวรถ) ก็จะช่วยให้เราจ่ายดอกเบี้ยน้อยลง

ผ่อนรถไม่ไหว-ทำอย่างไร

เมื่อผ่อนไม่ไหวจริงๆ ทางออกที่มี นั่นคือ

1. ขายดาวน์ เป็นการขายรถเพื่อให้ผู้เช่าซื้อใหม่มารับช่วงผ่อนต่อ โดยการเปลี่ยนชื่อสัญญา บางทีอาจต้องยอมเพิ่มเงินส่วนต่างให้กับผู้เช่าซื้อรายใหม่ คุณอาจจะขายในเกณฑ์เท่ากับที่คุณผ่อนมา แล้วลดราคาให้เจ้าของใหม่อีกนิดหน่อย แต่ข้อเสียก็มี เช่น มีค่าเปลี่ยนสัญญา และต้องมีคนค้ำประกัน รถบางรุ่นที่ดาวน์น้อย ราคาตกมากๆ ก็ยิ่งปล่อยออกยาก

2. ปล่อยให้สถาบันการเงินยึดรถ ก็มักจะนำไปขายต่อทั้งคัน ซึ่งมักต่ำกว่าราคาซื้อขาย จึงทำให้คุณต้องจ่ายส่วนต่างมากกว่ากรณีขายดาวน์แน่นอน และยังมีดอกเบี้ยจากการผิดสัญญา ฯลฯ แถมเสียประวัติเครดิตบูโรอีกครับ

3. ยืมเงิน (คนรอบข้าง) เพื่อมาปิดสัญญาเช่าซื้อ และขายต่อ เพื่อนำส่วนต่างมาใช้คืน เมื่อนำเงินไปปิดสัญญาแล้วนำรถไปขายต่อ ซึ่งอาจจะได้ส่วนต่างเป็นเงินเพิ่มก็นับว่าโชคดี แต่ส่วนใหญ่แล้วจะได้น้อยกว่าที่จ่ายไป เพราะรถราคาตกไปตามปี และสภาพการใช้งานแล้ว

ส่วนใครที่อยากขายรถ เพื่อลดปัญหาหนี้สิน CARRO เรารับซื้อรถของคุณ รถติดไฟแนนซ์เราก็รับซื้อ! สามารถเข้าไปเช็คราคา ตีราคาขายรถก่อนได้ โดยใส่ข้อมูลรถของคุณที่นี่เลย กับ CARRO Express > https://th.carro.co/sell-car/express หรือโทร. 02-508-8425

หรือใครจะ Inbox มาสอบถามก็ได้เช่นกัน ที่ Facebook CARRO Thailand หรือสะดวก Add Line ก็ที่ @Carrothai หรือคลิกที่นี่ครับ —> เพิ่มเพื่อน

ขอขอบคุณข้อมูลบางส่วนจาก:

  • ศูนย์คุ้มครองผู้ใช้บริการทางการเงิน (ศคง.)
  • ธปท.

อย่าให้แค่เรื่องการทำใบขับขี่ เป็นเรื่องยากสำหรับคุณ

เพราะปัจจุบันการทำใบขับขี่อาจใช้เวลาทั้งวัน หรือสองถึงสามวันโดยประมาณ เนื่องจากพื้นที่อบรมนั้นมีค่อนข้างจำกัด เมื่อเทียบกับปริมาณผู้ขับขี่ในประเทศบ้านเรา ทำให้รอคิวนานกลายเป็นเรื่องที่เสียเวลาอย่างมาก จนเกิดเป็นความขี้เกียจที่จะไปสอบ แต่สำหรับคนที่มีเวลาน้อยกังวลว่าจะไม่มีเวลาไปสอบใบขับขี่

ไม่ต้องกังวลเพราะทุกปัญหามีทางออกเสมอ เพราะกรมขนส่งมวลชนได้ร่วมมือกับหน่วยงานเอกชนต่างๆ มีการจัดอบรมเพื่อการสอบใบขับขี่ ลดปัญหารอคิวนานเป็นเดือน เพิ่มความสะดวกสบายมากขึ้น โดยมีสถานที่ที่อบรมเพื่อทำใบขับขี่ดังนี้

  • อบรมภาคทฤษฎี กับ สถาบันการศึกษา

รัฐบาลได้ร่วมมือกับมหาวิทยาลัยชื่อดังอย่าง รามคำแหง, ธรรมศาสตร์ และราชภัฏสวนดุสิต เป็นต้น เพื่อเปิดอบรมกฏหมายจราจร ไม่จำเป็นต้องไปตามกรมขนส่งมวลชนเพียงอย่างเดียว นับเป็นทางเลือกที่ดีสำหรับคนที่ไม่ชอบพื้นที่แออัดในกรมขนส่ง อีกทั้งสามารถย่นระยะเวลาในการทำใบขับขี่อีกด้วย แต่แน่นอนว่ามีค่าใช้จ่ายเพิ่มเติมบ้างเล็กน้อย มีรายละเอียด ดังนี้

  1. มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี เปิดอบรมทุกวันพฤหัสบดี ค่าธรรมเนียมการอบรม 500 บาท
  2. มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ เปิดอบรมทุกวันเสาร์ ค่าธรรมเนียมอบรม 500 บาท
  3. มหาวิทยาลัยราชภัฏสวนดุสิต อบรมสัปดาห์ละ 4 วัน วันพฤหัสบดี วันศุกร์ วันเสาร์ และวันอาทิตย์ ค่าธรรมเนียมอบรม 500 บาท
  4. มหาวิทยาลัยรามคำแหง อบรมเดือนละ 1 ครั้งในวันเสาร์ ค่าธรรมเนียมอบรม 400 บาท
  5. มหาวิทยาลัยราชภัฏสวนสุนันทา อบรมเดือนละ 2 ครั้ง วันเสาร์ต้นเดือน และวันอาทิตย์ที่ 3 ของเดือน ค่าธรรมเนียมอบรม 500 บาท
  6. วิทยาลัยเทคนิคกาญจนาภิเษกกรุงเทพมหานคร อบรมสัปดาห์ละ 2 วัน ทุกวันพุธ และวันพฤหัสบดี ค่าธรรมเนียมอบรม 500 บาท
  • โรงเรียนสอนขับรถ

มีโรงเรียนสอนขับรถยนต์หลายที่ที่มีมาตรฐานได้ตามที่รัฐบาลกำหนด (จนถึงปัจจุบัน) สามารถเรียนขับรถแล้วอบรมต่อได้เลย ประหยัดเวลา ไม่ต้องจองคิว แต่ก็มีค่าใช้จ่ายค่อยข้างแพงกว่าปกติทั่วไปของการสอบทำใบขับขี่ และถึงแม้จะไม่ค่อยมีสาขาในกรุงเทพมากนัก แต่ก็กระจายไปทั่วทั้งประเทศ

ส่วนใครที่สนใจเรียนขับรถกับโรงเรียนสอนขับรถเอกชน ที่กรมการขนส่งทางบกรับรอง สามารถตรวจดูรายชื่อได้ที่ โรงเรียนสอนขับรถเอกชน

หรือ สำนักงานขนส่งจังหวัดที่โรงเรียนสอนขับรถตั้งสถานประกอบการอยู่ในเขตพื้นที่

หรือ กลุ่มมาตรฐานใบอนุญาตและโรงเรียนสอนขับรถ สำนักสวัสดิภาพการขนส่งทางบก หมายเลขโทรศัพท์ 0-2271-8888 ต่อ 6611.

หรือ สำนักงานขนส่งจังหวัดที่โรงเรียนสอนขับรถตั้งอยู่ในเขตพื้นที่ หรือ กลุ่มมาตรฐานใบอนุญาตและโรงเรียนสอนขับรถ กรมการขนส่งทางบก 0 2271 8622-3

  • จองคิวออนไลน์

แม้ต้องไปอบรมการทำใบขับขี่ที่เดิม แต่ก็ประหยัดเวลาในการไปจองคิวที่กรมขนส่งมากขึ้น ถึงจะรู่ว่าการอบรมของคุณจะเกิดขึ้นในอีกสี่เดือนข้างหน้าแน่นอน แต่ข้อดีคือ รองรับทั้งใบอนุญาตขับรถยนต์, รถจักรยานยนต์ ทั้งผู้ที่ไม่เคยได้รับใบอนุญาตมาก่อน ซึ่งสามารถจองคิวอบรมของสำนักงานขนส่งกรุงเทพมหานครพื้นที่ 1-5 ผ่านระบบออนไลน์ได้เลย ที่นี้ หรือดาว์นโหลด คู่มือการใช้งาน จองคิวทำใบขับขี่กับ e-Booking

  • โรงเรียนการขนส่ง

กรมการขนส่งทางบกเปิดสูตรการฝึกหัดขับรถยนต์ โดยเปิดสอนทั้งภาคทฤษฎี และภาคปฏิบัติ สถานที่เปิดสอนหลักสูตร ณ อาคาร 8 กรมการขนส่งทางบก โทร. 0-2271-8626 ดูรายละเอียดได้ที่ คลิก

  • อบรมเสริมความรู้ วันเสาร์-อาทิตย์

กรมการขนส่งทางบก จัดโครงการอบรมเสริมความรู้แก่ผู้ขอรับใบอนุญาตขับรถในวันเสาร์และอาทิตย์ โดยไม่เสียค่าใช้จ่าย โดยมีเอกชนร่วมสนับสนุนการนักขับรถปลอดภัย สถานที่อบรมจัดกันที่ กรมการขนส่งทางบก จตุจักร อาคาร 4 ชั้น 3 สามารถสมัครร่วมโครงการฯ ได้กับภาคเอกชนใจดีได้โดย รายละเอียด คลิก ซึ่งจะใช้ระยะเวลาในการอบรม และทดสอบรวม 2 วัน ประกอบด้วย

– วันเสาร์ เป็นการอบรมตามหลักสูตร ประมาณ 5 ชั่วโมงของกรมการขนส่งทางบกให้ความรู้เกี่ยวกับกฎหมายจราจร มารยาทในการขับรถ เทคนิคการขับขี่รถจักรยานยนต์อย่างปลอดภัยในสถานการณ์ต่างๆ การปฐมพยาบาลเบื้องต้นเมื่อเกิดอุบัติเหตุ และเข้ารับการทดสอบข้อเขียนระบบอิเล็กทรอนิกส์ (E-exam)

– วันอาทิตย์ ทดสอบขับรถในสนามขับรถโดยมีเจ้าหน้าที่ควบคุม กำกับ ดูแลการอบรมทดสอบให้เป็นไปตามมาตรฐานความปลอดภัยและระเบียบเดียวกับการขอรับใบอนุญาตขับรถในวันเวลาราชการ

อบรมใบขัขขี่

 ตารางอบรมเสริมความรู้ให้กับผู้ขอรับใบอนุญาตขับรถจักรยานยนต์ เดือนมกราคม-กันยายน 2562

  • รุ่นที่ 230 วันที่ 19-20 มกราคม 2562
  • รุ่นที่ 231 วันที่ 26-27 มกราคม 2562
  • รุ่นที่ 232 วันที่ 16-17 มีนาคม 2562
  • รุ่นที่ 233 วันที่ 20-21 เมษายน 2562
  • รุ่นที่ 234 วันที่ 11-12 พฤษภาคม 2562
  • รุ่นที่ 235 วันที่ 15-16 มิถุนายน 2562
  • รุ่นที่ 236 วันที่ 20-21 กรกฏาคม 2562
  • รุ่นที่ 237 วันที่ 17-18 สิงหาคม 2562
  • รุ่นที่ 238 วันที่ 14-15 กันยายน 2562

หรือจะเดินทางไปที่สำนักงานขนส่งใกล้บ้านก็ได้เหมือนกัน แต่เพื่อความรวดเร็วแนะนำให้โทรสอบถาม หรือจองคิวไว้ก่อน จะสะดวกและประหยัดเวลาที่สุด

อย่างไรก็ตาม ทั้ง 5 วิธีก็มีทั้งข้อดีและข้อเสียแตกต่างกันไป แต่อย่างน้อยก็ช่วยประหยัดเวลา และลดความน่าเบื่อหน่ายของการไปนั่งรอคิวอบรมใบขับขี่ที่กรมขนส่งได้มากจริงๆค่ะ

 

Source : กรมการขนส่งทางบก PR.DLT.News

 

 

Emergency-Numbers

เหตุการณ์ที่ไม่คาดคิดอย่างอุบัติเหตุต่างๆ บนท้องถนน มักจะเกิดขึ้นแบบไม่ทันได้ตั้งตัวเสมอ รวมถึงเหตุคับขันต่างๆ ไม่ว่าจะเป็น ปัญหารถยนต์สตาร์ทไม่ติดในชั่วโมงเร่งรีบ น้ำมันหมดระหว่างทาง แม้กระทั่งกุญแจหาย หรือเผลอลืมทิ้งไว้ในรถ

ซึ่งคนเราเวลาเกิดเหตุแบบนี้มักตกใจ ทำอะไรต่อไม่ถูก อย่างแรกที่ควรทำเมื่อเจอเหตุการณ์เหล่านี้คือ ตั้งสติ แล้วโทรแจ้งขอความช่วยเหลือกับหน่วยงานที่รับผิดชอบนั้นๆ ซึ่ง คาร์โร ได้รวบรวมมาให้คุณแล้ว ดังนี้

เบอร์ฉุกเฉินแจ้งเหตุด่วน เหตุร้าย ที่ ‘คนขับรถ’ ต้องรู้!

หมายเลขโทรศัพท์ สำหรับแจ้งเหตุด่วนเหตุร้าย

เหตุด่วนเหตุร้าย โทร.191 หรือ โทร.1190

ตำรวจทางหลวง โทร.1193

โจรกรรมรถยนต์ โทร.1192

ข้อมูลจราจร โทร.1197

อุบัติเหตุบนทางหลวง โทร.1193

ศูนย์ความปลอดภัย กรมทางหลวงชนบท โทร.1146

เบอร์ฉุกเฉินแจ้งเหตุด่วน เหตุร้าย ที่ ‘คนขับรถ’ ต้องรู้!

หมายเลขโทรศัพท์ สำหรับแจ้งเหตุด่วนเหตุร้าย

สอบถามเส้นทางบนทางด่วน (การทางพิเศษแห่งประเทศไทย) โทร.1543

ศูนย์ความปลอดภัย กรมทางหลวงชนบท โทร.1146

สายด่วนอุบัติเหตุ โทร.02-711-9161-2

สายด่วนรถหาย โทร.02-711-9160

หน่วยแพทย์กู้ชีพ โทร.1154

ตำรวจท่องเที่ยว โทร.1155

สายด่วนประกันภัย โทร.1186

แจ้งอุบัติเหตุ รพ.ตำรวจ โทร.1691

ศูนย์นเรนทร กระทรวงสาธารณสุข โทร.1669

ศูนย์เอราวัณ โทร.1646

หน่วยกู้ชีวิต วชิรพยาบาล โทร.1554

เบอร์ฉุกเฉินแจ้งเหตุด่วน เหตุร้าย ที่ ‘คนขับรถ’ ต้องรู้!

หมายเลขโทรศัพท์ สำหรับแจ้งเหตุด่วนเหตุร้าย (ศูนย์วิทยุ)

สถานีวิทยุ สวพ.91 โทร.1644

จส.100 โทร.1137 หรือ *1808

ร่วมด้วยช่วยกัน โทร.1677

ศูนย์วิทยุรามา โทร.02-3546999

ศูนย์วิทยุกรุงธน โทร.02-4517227-9

ศูนย์วิทยุปอเต๊กตึ๊ง โทร.02-2264444-8

สายด่วนเมาไม่ขับ โทร.1717

หมายเลขโทรศัพท์ สำหรับสอบถามข้อมูลต่างๆ / ร้องเรียน

การรถไฟแห่งประเทศไทย โทร.1690

องค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ (ขสมก.) โทร. 1348

สหกรณ์แท็กซี่สยาม โทร.1661

TAXI-RADIO โทร.1681

บริษัท โอเรียนท์ ไทย แอร์ไลน์ จำกัด โทร.1126

บริษัท สายการบินนกแอร์ จำกัด โทร.1318

บริษัท การบินไทย จำกัด (มหาชน) โทร.1566

บริษัท บางกอก แอร์เวย์ จำกัด โทร.1771

ศูนย์รับเรื่องราวร้องทุกข์ของรัฐบาล โทร.1111

เชื่อว่าใครหลายคนอาจคิดว่าไม่จำเป็น เพราะอุบัติเหตุต่างๆยังไม่เกิดขึ้นกับคุณ ซึ่งนั้นเป็นเรื่องที่ดี แต่ด้วยความไม่ประมาท ควรบันทึกหมายเลขโทรศัพท์เหล่านี้ไว้ในมือถือของคุณ เพราะขณะเกิดเหตุจริงๆจะได้ใช้ได้ทันท่วงที

อย่างไรก็ตาม สำหรับผู้ที่ต้องเดินทางในช่วงปกติหรือเทศกาลต่างๆ สิ่งสำคัญควรเพิ่มความระมัดระวังให้เป็นพิเศษเพื่อความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินของตัวคุณเองนะคะ

หากคุณต้องการขายรถด่วน เพื่อไปซื้อรถคันใหม่ หรือรับเงินก้อนไปใช้ สามารถขายรถคันเก่า หรือตีราคารถกับทาง CARRO ได้ ง่ายๆ ได้เงินไว! กับ CARRO Express เพียงแค่คลิก https://th.carro.co/sell-car/express หรือสามารถ Inbox มาขอรายละเอียดได้ที่ Facebook CARRO Thailand

หรือจะ Add Line สอบถามรายละเอียดได้ที่ @Carrothailand หรือคลิกที่นี่ —> เพิ่มเพื่อน

10-Car-Equipment-Less-In-This-Time

รถยนต์ในปัจจุบัน มีเทคโนโลยีที่พัฒนาก้าวหน้าไปไกลจากในอดีตมาก อุปกรณ์ติดรถบางอย่าง ที่เคยจำเป็นในอดีต แม้ว่าในการใช้งาน จะต้องออกแรงกันเป็นหลัก แต่มันก็ให้ความทนทาน และไม่ต้องพึ่งพิงระบบไฟฟ้า ในการทำงาน

รถยุค 70 รถยุค 80 สิ่งของจำเป็นเหล่านี้ยังได้รับความนิยม แต่พอมาจนถึงรถยุค 90 จวบจนในปัจจุบัน อาจจะหมดความสำคัญ ถูก Disrupt ออกไปจนแทบจะไม่มี หรือหายไปจากในรถยนต์แล้ว ก็มีอยู่หลายอย่าง …

ทาง CARRO ขอรวบรวม 10 อุปกรณ์ติดรถ ที่กำลังจะสูญพันธ์ มาให้ท่านผู้อ่านได้ทราบกันครับ

10-Car-Equipment-Less-In-This-Time

1. กระจกมือหมุน

ถือเป็น 1 ในอุปกรณ์ติดรถที่สำคัญมาตั้งแต่อดีต “กระจกมือหมุน” อาศัยการทำงานแบบกลไกเป็นหลัก พอถึงในยุคที่มีกระจกไฟฟ้าแล้ว ก็จะเหลือแต่รถยนต์รุ่นล่างๆ ที่ยังติดตั้งกระจกหน้าต่างมือหมุนมาให้เป็นอุปกรณ์มาตรฐาน แม้จะดูว่าโบราณ และบางทีต้องเอี้ยวตัวไปเปิด (ฝั่งด้านคนนั่ง) ซึ่งไม่สะดวกเอาซะเลย

แต่ก็ได้เรื่องความทนทาน เวลาไม่ได้สตาร์ทรถ ก็ยังสามารถหมุนกระจกได้ รวมถึงเวลาฉุกเฉิน ก็ยังสามารถหมุนกระจกได้ และดูแลรักษาง่าย ใช้งานได้ยาวนาน จนกว่ารถจะพัง หรือรางหมุนกระจกด้านใน สนิมกินหมดซะก่อน

10-Car-Equipment-Less-In-This-Time

2. ที่จุดบุหรี่

ในอดีตรถยุคก่อนมักจะติดที่จุดบุหรี่ มาให้คู่กับที่เขี่ยบุหรี่ เพราะการสูบบุหรี่ในสมัยก่อนถือเป็นเรื่องธรรมดา แต่ช่วง 20 กว่าปีที่ผ่านมา ผู้คนเริ่มตระหนักถึงพิษภัยของบุหรี่มากขึ้น

ทำให้บรรดาค่ายรถต่างๆ เริ่มเปลี่ยนที่จุดบุหรี่ มาเป็นช่องเสียบปลั๊กไฟขนาด 12V พร้อมกับฝาพลาสติกปิดตรงจุดจ่ายไฟ แทนที่จุดบุหรี่ ส่วนที่เขี่ยบุหรี่ ก็เปลี่ยนเป็นที่เก็บเศษสตางค์ไปแทน

10-Car-Equipment-Less-In-This-Time

3. เกียร์ธรรมดา

รถเกียร์ธรรมดา ปัจจุบันยังได้รับความนิยมในประเทศแถบยุโรป เนื่องจากความทนทาน ประหยัด ขับในเมืองเล็กๆ หรือขึ้นเขาลงเขาได้สนุก ต่างจากประเทศในแถบเอเชีย ที่หลายประเทศรถติดอันดับโลก หรือรถติดมากๆ ในช่วงเวลาเร่งด่วน

ทำให้เกียร์ธรรมดา มีเฉพาะในรถรุ่นล่างๆ กับรถกระบะเท่านั้น เพราะการขับรถเกียร์ธรรมดา ผู้คนไม่นิยมแล้ว เนื่องจากขับค่อนข้างยาก สำหรับคนที่ยังไม่ชำนาญ และกรุงเทพฯ ขึ้นชื่อว่ารถติดอันดับต้นๆ ของโลก การขับรถเกียร์ธรรมดาตอนรถติดๆ ต้องเหยียบคลัทช์กันแทบตลอดเวลา เล่นซะขาซ้ายน่องโป่งข้างเดียวซะก่อน

10-Car-Equipment-Less-In-This-Time

4. วิทยุติดรถยนต์แบบ 1 DIN

DIN ย่อมาจาก Deutsches Institut fur Normung (ในภาษาอังกฤษ คือ German Institute for Standardization) ซึ่งอาจจะไม่ได้เกี่ยวข้องกับเครื่องเสียงโดยตรงนัก แต่ DIN มีกำหนดมาตรฐานของเครื่องเสียงของเยอรมนีเอาไว้ด้วย (มาตรฐาน “DIN 75490”) เลยกลายเป็นคำยอดฮิตสำหรับเรียกวิทยุติดรถยนต์ไป

วิทยุ 1 DIN หรือ EURO-DIN จะมีขนาดของวิทยุกว้าง 180 มม. สูง 50 มม. ราวๆ ประมาณนี้ บวกลบนิดหน่อย ในอดีตจะเป็นวิทยุ FM/AM พร้อมช่องใส่เทปคาสเซท หรือ CD แต่ในปัจจุบัน ก็ปรับเปลี่ยนเป็นช่องเสียบ USB และ AUX แทน

แต่วิทยุติดรถยนต์ปัจจุบัน แทบทั้งหมดในท้องตลาดจะเป็นแบบ 2 DIN มีทั้งแบบปุ่มกด และแบบจอสัมผัส หรือวิทยุรูปทรง Built-In เข้ากับตัวคอนโซลรถ จำหน่ายหรือติดตั้งมาจากโรงงาน ทำให้วิทยุติดรถ 1 DIN แบบเก่า ที่เคยนิยมมาตั้งแต่ในรถยุค 80 และรถยุค 90 เริ่มน้อยลงจากในรถยนต์รุ่นใหม่ที่ออกมาจากโรงงานมากขึ้นเรื่อยๆ

10-Car-Equipment-Less-In-This-Time

5. ยางอะไหล่แบบกระทะเหล็ก และล้อแม็ก

แม้ว่ายางอะไหล่แต่เดิมนั้น ส่วนใหญ่มักใช้แบบกระทะเหล็กขนาดเดียวกับล้อรถ แต่รถราคาแพงหน่อย ก็จะเป็นล้อแม็กลายเดียวกับที่ติดมากับตัวรถ

แต่เพราะยางอะไหล่ แค่ใช้งานชั่วคราว แต่การลดต้นทุน รวมถึงการเพิ่มเนื้อที่เก็บสัมภาระท้ายรถได้มากขึ้น บริษัทรถจึงเริ่มนิยมใช้ยาวหน้าแคบ และล้อกะทะเหล็กขนาดบาง สำหรับเป็นยางอะไหล่ แถมช่วยให้น้ำหนักด้านท้ายรถเบาลง

แต่ในปัจจุบัน ชุดปะยางสำเร็จรูป ที่กำลังมาแทนที่ยางอะไหล่ และได้รับความนิยมมากขึ้นเรื่อยๆ

10-Car-Equipment-Less-In-This-Time

6. คิ้วกันกระแทกรอบคัน

ในอดีต รถส่วนใหญ่มักนิยมประดับตัวรถ ด้วยคิ้วกันแทกบริเวณด้านหน้า ด้านข้างตัวรถ และด้านหลัง อาจจะทำจากวัสดุเช่น ยาง โครเมียม หรือสแตนเลส เป็นต้น เพื่อกันกระแทกเวลาเลี้ยวหรือเปิดประตู เพื่อป้องกันตัวถังเป็นรอยหรือโดนเบียด และดูสวยงาม หรูหรา

แต่ในปัจจุบัน รถส่วนใหญ่ไม่นิยมติดคิ้วกันกระแทกให้แล้ว เน้นการเล่นเส้นสายด้านข้างของตัวรถมากกว่า

10-Car-Equipment-Less-In-This-Time

7. เบรกมือ

ในอดีต เบรกมือนั้นมักติดตั้งอยู่บริเวณด้านใต้พวงมาลัยรถ เป็นก้านสำหรับดึงเข้า-ออก ดังเห็นได้จากรถกระบะในอดีตหลายๆ รุ่น หรือเบรกแบบใช้เท้าเหยียบ (รถอเมริกันสมัยก่อนนิยมใช้) พอช่วงประมาณต้นยุค 70 เป็นต้นมา เบรกมือเริ่มนิยมติดตั้งบริเวณระหว่างกึ่งกลางเบาะคู่หน้า พร้อมก้านดึงและปุ่มสำหรับกด เพื่อใช้ปลดล็อก

แต่ในปัจจุบัน รถหลายรุ่นเริ่มนิยมใช้เบรกมือไฟฟ้า เพราะใช้งานได้สะดวกมากยิ่งขึ้น แต่เบรกมือรถยนต์ในรูปแบบเก่า ยังคงมีติดตั้งอยู่แต่ก็เริ่มน้อยลงเรื่อยๆ

10-Car-Equipment-Less-In-This-Time

8. เสาอากาศไฟฟ้า

นับตั้งแต่ยุค 50 ที่วิทยุเริ่มแพร่หลายในรถยนต์ เสาอากาศไฟฟ้าก็ถือเป็น 1 ในออพชั่นที่รถยนต์หรูหราจากทั่วโลกนิยมติดตั้งมาให้บริเวณหน้ารถ หรือท้ายรถ จนถึงในยุค 2000 เสาอากาศไฟฟ้าในรถยนต์ก็เริ่มลดบทบาทลง

เนื่องจากมีการพัฒนาเสาอากาศแบบเป็นเส้นฝังอยู่ในกระจก รวมไปถึงมีเสาอากาศขนาดเล็ก (ซึ่งมีทั้งแบบเป็นยาง หรือแบบครีบหูฉลาม ติดตั้งบนหลังคา) มาแทนที่ เสาอากาศไฟฟ้าในรถยนต์รุ่นใหม่ๆ จึงค่อยๆ หายไป

10-Car-Equipment-Less-In-This-Time

9. กระจกมองข้าง ปรับจากภายในรถ

ในยุคที่กระจกมองข้างยังเป็นแบบธรรมด้า ธรรมดา ผู้ใช้รถต้องซื้อมาติดเอง (เพราะสมัยก่อน รถยนต์ส่วนใหญ่ ไม่มีกระจกมองข้างติดตั้งมาให้) เวลาจะปรับจะพับ ก็ใช้มือนี่ล่ะครับ ปรับกับกะระยะมุมมองเอา

ถ้ากระจกมองข้างติดบริเวณมุมล้อหน้า (ยอดฮิตในรถญี่ปุ่นช่วงยุค 60 ถึงต้นยุค 80) ก็ต้องทั้งกะทั้งเล็งเป็นพิเศษหน่อย ในช่วงปลายยุค 70 กระจกมองข้างปรับไฟฟ้า เริ่มเข้ามานิยมในรถยนต์รุ่นหรูหรา กับรถรุ่นท็อป ต่อมาจึงกลายเป็นอุปกรณ์มาตรฐานที่ติดรถกันไปแล้วทุกยี่ห้อ (บางรุ่น ก็มีแค่ปรับด้วยไฟฟ้าอย่างเดียว เวลาพับ ต้องใช้มือพับ)

เหลือแต่ในรถยนต์รุ่นล่างๆ ที่ยังใช้กระจกมองข้าง แบบมีก้านปรับจากภายในรถ แต่ก็มีให้เห็นน้อยลงเรื่อยๆ

10-Car-Equipment-Less-In-This-Time

10. ล้อแม็ก 13 นิ้ว และ 14 นิ้ว

ย้อนไปดูรถยุค 80 เป็นยุคที่ล้อแม็กติดรถ เริ่มมีให้เห็นกันมากขึ้น มากกว่าล้อกระทะเหล็กและฝาครอบล้อ โดยล้อแม็กในขณะนั้นส่วนมากก็จะเป็นลายแบบเรียบๆ ง่ายๆ หรือเน้นแนวเหลี่ยม ล้อซี่ลวด หรือล้อกล้วยเป็นหลัก และส่วนใหญ่มีขนาดแค่ 13 นิ้ว

ล้อแม็กยี่ห้อฮิตๆ หน่อยในยุคนั้น เท่าที่เห็นก็มี Tom’s, Enkai, Dunlop, Lenso, Speedstar, Bridgestone Zona, Watanabe, Hayashi, Kosei, Yachiyoda, RG, Rial, Cromodora หรือ BBS เป็นต้น

ทำให้ล้อแม็กขนาด 14 นิ้ว ยังมีติดรถเป็นอุปกรณ์มาตรฐานให้เห็นอยู่เฉพาะในรุ่นเล็กๆ และรุ่นย่อยล่างๆ เท่านั้น

ดูอุปกรณ์รถย้อนยุคแต่ละคันกันไปแล้ว ถ้าใครอยากเล่นรถยุค 70 รถยุค 80 รถยุค 90 ที่คนเล่นรถเก่าชอบ ก็ลองมาปรึกษาดูได้ครับ

หากช่วงนี้ใครต้องการซื้อรถมือสองคุณภาพเยี่ยม ผ่านการตรวจสภาพได้มาตรฐาน รับประกันพร้อมโอนทุกคัน หรือหารถมือสองรุ่นที่ต้องการ สามารถเข้ามาดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ CARRO Automall > https://th.carro.co/buy-car หรือโทร. 02-508-8690 หรือจะ Inbox มาสอบถามก็ได้เช่นกัน ที่ Facebook CARRO Automall – รถบ้านมือสอง ถ้าสะดวก Add Line ก็ที่ @carroautomall

ส่วนถ้าคุณอยากขายรถด่วน เพื่อไปซื้อรถคันใหม่ หรือรับเงินก้อนไปใช้สามารถขายรถคันเก่า หรือตีราคารถกับทาง CARRO ได้ ง่ายๆ ได้เงินไว! กับ CARRO Express เพียงแค่คลิก https://th.carro.co/sell-car/express หรือสามารถ Inbox มาขอรายละเอียดได้ที่ Facebook CARRO Thailand

หรือจะ Add Line สอบถามรายละเอียดได้ที่ @Carrothai หรือคลิกที่นี่ —> เพิ่มเพื่อน

10-Need-To-Change-In-Car

10 ชิ้นส่วนและอะไหล่รถ ที่ต้องเปลี่ยนประจำ

เป็นเรื่องธรรมดาของสรรพสิ่งในโลกใบนี้ อะไรก็ตามที่ใช้ไปนานๆ ย่อมมีการเสื่อมสภาพเป็นธรรมดา อุปกรณ์ต่างๆ ในรถยนต์ก็เช่นกัน ทุกชิ้นส่วนต่างก็มีระยะเวลาการใช้งาน หรือต้องเปลี่ยนถ่ายตามระยะทาง

Car-Maintenance

Carro ขอแนะนำถึง 10 ชิ้นส่วนและอะไหล่รถ ที่ต้องเปลี่ยนประจำนั้น มีอะไรบ้าง เชิญอ่านได้เลยครับ.

1.น้ำมันเครื่อง พร้อมไส้กรองน้ำมันเครื่อง

น้ำมันเครื่อง

น้ำมันเครื่อง พร้อมไส้กรองน้ำมันเครื่อง เมื่อถึงกำหนดควรเปลี่ยนถ่ายทุกครั้ง สำหรับระยะเวลาเปลี่ยนคือ ทุกๆ 5,000-10,000 กิโลเมตร (แล้วแต่ยี่ห้อ และประเภทของน้ำมันเครื่อง เช่น แบบธรรมดา แบบกึ่งสังเคราะห์ หรือแบบสังเคราะห์) หรือพบว่าน้ำมันเครื่องเป็นสีเริ่มดำ หรือเป็นตะกอนโคลน ก็สามารถเปลี่ยนก่อนได้เลย เพราะน้ำมันเครื่องเสื่อมสภาพแล้ว โดยเมื่อเปลี่ยนน้ำมันเครื่องแล้ว ก็ควรเปลี่ยนไส้กรองน้ำมันเครื่องไปพร้อมกันเลย

หากเป็นรถใหม่บางยี่ห้อ ทางศูนย์บริการจะแนะนำให้เปลี่ยนถ่ายน้ำมันเครื่องทุกๆ 6 เดือน และในส่วนของรถยนต์ที่ใช้น้อย เมื่อครบ 1 ปีแล้ว ไม่ว่าจะวิ่งมากี่กิโลเมตรก็ตาม ก็ควรเปลี่ยนถ่ายน้ำมันเครื่องเช่นกันครับ

การเปลี่ยนถ่ายน้ำมันเครื่องทุกครั้ง ต้องมีการจดบันทึก วันที่ เดือน ปี และเลขกิโลเมตร ไว้ด้วย เพื่อใช้เป็นการคำนวณกำหนดการเปลี่ยนถ่าย

2. แบตเตอรี่

แบตเตอรี่

แบตเตอรี่ ถ้าเป็นแบตเตอรี่แบบเปียก ควรเติมน้ำกลั่นให้ได้ระดับปกติอยู่เสมอ เพื่อให้แบตเตอรี่เก็บประจุไฟได้อย่างเต็มที่ ส่วนแบตเตอรี่ที่เป็นแบบแห้ง ก็สามารถใช้งานได้ตลอดอายุการใช้งาน ไม่ต้องดูแลรักษาอะไรใดๆ ส่วนใหญ่ระยะเวลาการเปลี่ยนจะอยู่ที่ 1.5 -3 ปี แล้วแต่ขนาด และการใช้งาน

3. ยางรถยนต์

ยางรถยนต์

ยางรถยนต์ อายุการใช้งานส่วนใหญ่ที่ควรเปลี่ยน คือ 2 ปี หรือ 50,000 กิโลเมตร แต่ถ้าเป็นยางที่คุณภาพสูงๆ จะมีอายุการใช้งานนานถึง 5-6 ปี นับตั้งแต่วันที่ผลิต หากความลึกของดอกยางที่น้อยลงมาก โดยดูจากจุด “สามเหลี่ยม” บริเวณขอบยาง หรือ สภาพโครงสร้างของยาง มีรอยแตกลายงาหรือไม่ ก็ควรเปลี่ยนยางเส้นใหม่ครับ เพื่อความปลอดภัยของคุณ

แต่ก็มีวิธียืดอายุการใช้งานยางให้ได้นานที่สุด (เพราะเปลี่ยนใหม่หมด 4 เส้น ก็ใช้เงินไม่ใช่น้อย) พยายามเลี่ยงถนนที่มีหลุมบ่อ สิ่งกีดขวาง ระวังกระแทกขอบถนน วัตถุมีคม และลูกระนาดชะลอความเร็ว ตรวจดูการสึกหรอของดอกยาง ดูแรงดันลมยาง และคอยตั้งศูนย์ล้อสม่ำเสมอ เป็นต้น

4. ผ้าเบรก

ผ้าเบรก

ผ้าเบรก ถือว่าเป็นชิ้นส่วนสำคัญ หากผ้าเบรกใกล้หมด จะมีเสียงดังเอี๊ยดๆ เกิดขึ้นขณะเหยียบเบรค หรือตอนรถออกวิ่งใหม่ๆ บ่งบอกว่าถึงเวลาเปลี่ยนได้แล้ว เพราะถ้าหากยังใช้ต่อ เหล็กของก้ามเบรกจะสีกับจานเบรก ทำให้จานเบรกเป็นรอยได้ ระยะเวลาในการเปลี่ยนประมาณ 40,000–70,000 กิโลเมตร

5. ไส้กรองอากาศ

ไส้กรองอากาศ

ไส้กรองอากาศ เป็นตัวสำคัญที่จะคอยกรองสิ่งสกปรกในอากาศก่อนเข้าเครื่องยนต์ ช่วยให้การเผาไหม้สมบูรณ์ ระยะเวลาในการเปลี่ยน 20,000 กิโลเมตร หรือ 1 ปี และควรเป่าทำความสะอาดทุกๆ เดือน

6. หัวเทียน

หัวเทียน

หัวเทียน ควรเปลี่ยนทุกๆ 40,000 กิโลเมตร เพื่อการจุดระเบิดที่ดีของเครื่องยนต์ หรือทุก 1 ปีก็ได้

7. สายพานไทม์มิ่ง

สายพานไทม์มิ่ง

สายพานไทม์มิ่ง ถือเป็นสายพานหลักสำหรับส่งกำลังเครื่องยนต์ หากสายพานเริ่มมีเสียงดังเอี้ยดอ๊าด ก็ควรเปลี่ยนได้ โดยสายพานไทม์มิ่ง ควรเปลี่ยนทุกๆ 100,000 กิโลเมตร เปลี่ยนความปลอดภัยของเครื่องยนต์

8. น้ำมันเกียร์ และไส้กรองน้ำมันเกียร์

น้ำมันเกียร์

น้ำมันเกียร์ และไส้กรองน้ำมันเกียร์ ระบบเกียร์ทุกระบบประกอบไปด้วยโลหะจำนวนมาก รวมไปถึงความร้อนสูง น้ำมันเกียร์ จะช่วยลดการสึกหรอของการทำงานภายในเกียร์ได้ โดยระยะเวลาในการเปลี่ยน ประมาณ 20,000 – 40,000 กิโลเมตร ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับรุ่นรถ และคำแนะนำของรถยนต์แต่ละยี่ห้อ

9. ยางใบปัดน้ำฝน

ใบปัดน้ำฝน

ยางใบปัดน้ำฝน ควรเปลี่ยนทุกๆ 1 ปี หรือเมื่อยางเสื่อมสภาพ กรอบแตก ปัดแล้วมีเสียงดัง หรือกวาดน้ำออกมาจากกระจกไม่หมด ปัดแล้วไม่เรียบ เป็นต้น

10. ระบบส่องสว่างและหลอดไฟต่างๆ

ไฟหน้า

ระบบส่องสว่างและหลอดไฟต่างๆ ทั้งภายนอกรถและภายในรถ ไม่มีระยะเปลี่ยนที่แน่นอน ส่วนใหญ่จะเปลี่ยนใหม่เมื่อหลอดขาดเท่านั้น

ถือเป็นเคล็ดลับในการดูแลรถยนต์ง่ายๆ ที่ทาง Carro นำมาฝาก ซึ่งทุกคนสามารถตรวจเช็คได้ หรือให้ช่างผู้ชำนาญตรวจเช็คก็ได้เช่นกัน เพื่อความปลอดภัยในการขับขี่และเดินทางของท่านครับ

ใบขับขี่

กรมการขนส่งทางบก เตรียมออกใบขับขี่โฉมใหม่รูปแบบ Smart card
ยกระดับสู่มาตราฐานสากล มีความไฉไลอย่างไรบ้างมาดูกัน

 

ใบอนุญาตขับรถแบบใหม่ จะเป็นบัตรพลาสติกที่มีความทนทานกว่าแบบเดิม มีความปลอดภัยน่าเชื่อถือมากขึ้น ด้วยจัดเก็บข้อมูลทางอิเล็กทรอนิกส์อย่าง แทบข้อมูลแม่เหล็ก และเทคโนโลยี QR Code ซึ่งรองรับการเชื่อมโยงข้อมูลผ่านระบบ GPS Tracking เป็นเครื่องมือในการใช้บันทึกข้อมูลการขับรถทุกประเภทตามที่กรมการขนส่งทางบกประกาศบังคับใช้แล้ว

 

 

นอกจากนี้ ใบขับขี่ยังปรากฏข้อมูลของเจ้าของบัตร ทั้งภาษาไทยและภาษาอังกฤษควบคู่กัน สามารถนำไปใช้ขับขี่ได้ในประเทศสมาชิกอาเซียน ได้แก่ อินโดนีเซีย มาเลเซีย ฟิลิปปินส์ สิงคโปร์ บรูไน เวียดนาม ลาว พม่า และกัมพูชา โดยไม่ต้องทำใบอนุญาตขับรถสากลตามความตกลงร่วมกัน

 

 

อย่างไรก็ตาม ในระยะแรกของการเตรียมปรับรูปแบบใบขับขี่สู่มาตรฐานสากล กรมการขนส่งทางบกได้กำหนดยกเลิกการออกใบอนุญาตขับรถรูปแบบกระดาษ ตั้งแต่วันที่ 15 สิงหาคม 60 เป็นต้นไป โดยประชาชนจะได้รับใบอนุญาตขับรถ Smart card รูปแบบที่ใช้อยู่ในปัจจุบัน โดยไม่เสียค่าใช้จ่ายเพิ่ม 100 บาท

ดังนั้น กรณีที่ขอรับใบอนุญาตขับรถยนต์ชั่วคราว จากอัตราเดิมคือ 305 บาท จะเสียเฉพาะค่าธรรมเนียมและค่าคำขอรวม 205 บาท กรณีเป็นใบอนุญาตขับรถยนต์ส่วนบุคคล จากอัตราเดิมคือ 605 บาท จะเสียเฉพาะค่าธรรมเนียมและค่าคำขอรวม 505 บาท

ซึ่งตั้งแต่วันที่ 4 กันยายน 2560 เป็นต้นไป กรมการขนส่งทางบกจะเริ่มดำเนินการออกใบขับขี่ Smart card รูปแบบใหม่ ที่มีเทคโนโลยี QR Code ให้แก่ผู้ขอรับใบอนุญาตขับรถทั้งตามกฎหมายว่าด้วยรถยนต์และกฎหมายว่าด้วยกรมการขนส่งทางบก เพียงรูปแบบเดียว

ทั้งนี้ ใบขับขี่ทั้งรูปแบบกระดาษและสมาร์ทการ์ดที่ออกก่อนวันที่ 4 กันยายน 2560 จะยังคงสามารถใช้งานได้ตามกำหนดอายุการใช้งานของใบอนุญาตนั้น แต่หากชำรุด สูญหาย หรือขอออกบัตรใหม่ หลังวันที่ 4 กันยายน 2560 เป็นต้นไป จะได้รับใบอนุญาตขับขี่รูปแบบใหม่ที่มี QR Code เท่านั้น

 

 

Source : thairath.co.th

ในช่วงที่ฝนตกกันเป็นประจำอยู่แทบทุกวันนั้น สิ่งที่สำคัญสิ่งหนึ่ง ที่ช่วยให้การขับรถตอนฝนตกของคุณเป็นไปอย่างราบรื่นนั่นคือ “ใบปัดน้ำฝน” อุปกรณ์ชิ้นเล็กๆ แต่มีความสำคัญไม่แพ้ส่วนอื่นๆ ของรถยนต์ ที่บางทีหลายคนอาจละเลยหรือมองข้ามไป

ยิ่งบ้านเราเมืองร้อน ยางปัดน้ำฝนโดนแดดมักเสื่อมสภาพไว บางทีก็กรอบ รถบางคันไม่ได้ใช้นานๆ พอเอาออกมาขับตอนฝนตก อ้าว ปัดน้ำฝน ปัดแล้วยางแข็ง ขูดกระจกเสียงดัง แถมปัดไม่เกลี้ยงอีก

ทาง MR.CARRO ขอแนะนำเคล็ดลับ ในการใช้งานและเลือกใช้ใบปัดน้ำฝนครับ

Check-Wiper-Your-Car

การเลือกซื้อใบปัดน้ำฝน

การเลือกซื้อใบปัดน้ำฝนที่ดี ควรเลือกขนาดตามแบบมาตรฐานที่ติดรถยนต์มาจึงจะดีที่สุด เพราะตรงตามมาตรฐานของผู้ผลิตรถยนต์เลือกใช้ หากนำใบปัดน้ำฝนขนาดเล็กกว่าที่ติดอยู่เดิม อาจทำให้รัศมีในการปัดน้ำฝนบนหน้ากระจกน้อยลง หากใบปัดน้ำฝนมีขนาดใหญ่มากไป ใบปัดจะเลยขอบกระจก ทำให้มีอายุการใช้งานสั้นลง

ที่สำคัญ ยางใบปัดน้ำฝนต้องผลิตจากวัสดุและเนื้อยาง (หรือซิลิโคน) ที่มีคุณภาพ ทนทานต่อสภาพอากาศร้อน โครงของใบปัดน้ำฝนทำจากโลหะ เพื่อป้องกันการกระพือจากแรงลมในขณะขับรถด้วยความเร็วสูง และช่วยเพิ่มน้ำหนักในการรีดน้ำจากกระจก แนบสนิทกับกระบังลมหน้า-หลัง

และอีกแบบที่นิยมกันในปัจจุบัน ก็จะเป็นแบบไร้โครง (Flat-Blade Wiper) โดยจะเป็นเนื้อยางชิ้นหนา สามารถกระจายแรงกดของใบปัดไปยังพื้นผิวกระจกได้เท่ากันทั้งชิ้น ต่างจากที่ปัดน้ำฝนแบบมีโครงก้านยึดจำนวนหลายจุด ส่งผลให้การกระจายแรงกดไม่เท่ากัน

Thick-To-Change-Wiper-By-Yourself

เช็คใบปัดน้ำฝนเสื่อมสภาพ

ใบปัดน้ำฝนที่เสื่อมสภาพแล้วเป็นอย่างไร? สังเกตได้จาก เนื้อยางเริ่มแข็งกรอบและมีรอยแตกฉีกขาด เวลาปัด มีเสียงปัดน้ำฝนเสียดสีกับกระจกเสียงดังครืดคราด ปัดแล้วรีดน้ำออกจากกระจกไม่หมด มีคราบน้ำ ละอองน้ำ เป็นม่านบนกระจก

Check-Wiper-Your-Car

วิธีดูแลใบปัดน้ำฝน

วิธีดูแลใบปัดน้ำฝน หากเป็นไปได้ หมั่นจอดรถในที่ร่ม เพื่อป้องกันแสงแดด ที่ทำให้ยางใบปัดน้ำฝนแข็งกรอบ เพราะยางต้องแนบกับกระจกที่รับความร้อน ควรยกก้านใบปัดน้ำฝนขึ้น และใช้ผ้าชุบน้ำ เช็ดตามแนวยาวของใบปัดน้ำฝน ถ้าเป็นไปได้ ควรใช้น้ำยาเช็ดกระจกให้ลื่นและเงา เพื่อเสริมให้ปัดน้ำฝนทำงานได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ

อ่านเพิ่มเติม : ที่ปัดน้ำฝนมีเสียง! เปลี่ยนใหม่ง่ายๆ ได้ด้วยตัวเอง

ในส่วนของหัวฉีดปัดน้ำฝนก็สำคัญ หากเกิดการอุดตัน ให้นำเข็มหมุดแหย่บริเวณรูฉีดน้ำ เพราะอาจจะเศษฝุ่นอุดตันอยู่ ทำให้น้ำไม่พุ่งออกมาเต็มที่ อีกทั้งหมั่นเติมน้ำแชมพูสำหรับไว้ฉีดล้างกระจกให้พร้อม เพื่อขจัดคราบสกปรกเวลาใช้งานปัดน้ำฝน

Check-Wiper-Your-Car

ถือเป็นเคล็ดลับที่คุณควรรู้ไว้ สำหรับในการดูแลรักษารถยนต์ของคุณครับ MR.CARRO ขอแนะนำให้คุณควรเปลี่ยนปัดน้ำฝน ทุกๆ 1 ปี เพื่อให้คุณขับขี่รถลุยฝนได้อย่างมั่นใจ

ส่วนใครที่อยากขายรถ หรือมีเพื่อนฝูงกำลังหาที่ขายรถอยู่ CARRO เรารับซื้อรถของคุณ สามารถเข้าไปเช็กราคา ตีราคาขายรถก่อนได้ โดยใส่ข้อมูลรถของคุณที่นี่เลย กับ CARRO Express > https://th.carro.co/sell-car/express หรือโทร. 02-508-8425

หรือใครจะ Inbox มาสอบถามก็ได้เช่นกัน ที่ Facebook CARRO Thailand หรือสะดวก Add Line ก็ที่ @Carrothailand หรือคลิกที่นี่ครับ —> เพิ่มเพื่อน

รถมือสอง

จะซื้อรถมือสองสักคันดีไหม ? คำถามนี้ต้องอยู่ในใจมนุษย์เงินเดือนในกรุงเทพฯ

อย่างที่หลายคนรู้กันว่าระบบขนส่งสาธารณะของบ้านเรายังไม่ครอบคลุมมากนัก แถมเรื่องความสะดวกสบายนั้นไม่ต้องพูดถึง เผลอๆ การเดินทางไป – กลับจากที่ทำงานยังเหนื่อยกว่าการนั่งทำงานทั้งวันเสียอีก ! 

การมีรถเป็นของตัวเองสักคันน่าจะช่วยให้ชีวิตของมนุษย์เงินเดือนชาวกรุงฯ สบายขึ้นมากทีเดียว แต่การซื้อรถมือหนึ่งอาจจะเป็นภาระที่หนักหน่วงเกินไปสำหรับพนักงานเบี้ยน้อยหอยน้อย ฉะนั้นซื้อรถมือสองดีกว่า ประหยัดกว่ากันเยอะ

ใครที่ยังไม่รู้ว่าจะซื้อรถรุ่นไหนดีที่เหมาะกับชีวิตมนุษย์เงินเดือน CARRO ได้รวบรวมรถมือสอง 5 รุ่นขวัญใจมนุษย์เงินเดือนมาให้ชมกันแล้ว! รับรองว่าราคาไม่พาช้ำใจ ประหยัดน้ำมัน และเหมาะกับชีวิตในเมืองอย่างแน่นอน

รถมือสอง ยอดนิยม

อันดับ 5 : Mazda 2

ถือเป็นรถที่ถูกถามถึงอย่างมากมายจากคนใช้รถมือสอง เพราะเป็นรถที่มีขนาดกะทัดรัด แต่ดีไซน์ที่ให้ความปลอดโปร่งภายในห้องโดยสารทำให้ไม่รู้สึกไม่อึดอัด Mazda 2 เป็นรถที่ขึ้นชื่อในเรื่องช่วงล่างดี เกาะถนนแน่น ตีวงเลี้ยวได้แคบ และไม่มีหลุด อีกทั้งยังเป็นรถที่ไม่ซดน้ำมันอีกด้วย ! แต่หากต้องการรถ Mazda 2 รุ่นที่ประหยัดน้ำมันมากกว่าก็เลือกรุ่นที่เป็น Eco Car ได้เลย 

รถมือสอง ยอดนิยม

อันดับ 4 : Toyota Corolla Altis

อันดับต่อมา มาพร้อมกับราคาที่ขยับขึ้นมาอีกเล็กน้อย Altis ถือเป็นรถยอดนิยมอีกรุ่นหนึ่งที่พบเห็นได้ทั่วไปทั้งจากมนุษย์เงินเดือนและจาก Taxi (ของเค้าดีจริง!) ข้อดีของอัลติสที่หลายคนประทับใจคือ เครื่องยนต์เล็กแต่ขับสนุก เสียงเครื่องยนต์ไม่ดังหนวกหู ภายในรถโล่งโปร่ง เบาะนั่งสบาย สาดโค้งได้ดีพอใช้ และไฟท้ายสวยโดดเด่น ที่สำคัญคือพะยี่ห้อ Toyota มาแล้ว ไม่มีปัญหาเรื่องศูนย์บริการและอะไหล่แน่นอน

รถมือสอง ยอดนิยม

อันดับ 3 : Nissan March

ใครชอบรถที่ดูน่ารักต้องไม่พลาด Nissan March แน่นอน! จัดว่าเป็นรถที่ได้ใจสาวๆ และหนุ่มๆ จำนวนมากทีเดียวด้วยดีไซน์ตัวถังที่กลมมนน่ารัก (แต่ March รุ่นใหม่ล่าสุดมีการเปลี่ยนดีไซน์ให้ดุขึ้นแล้ว) ห้องโดยสารกว้างโล่ง รวมถึงขนาดตัวถังที่กะทัดรัดปราดเปรียว สามารถจอดตามซอกตามหลืบได้ง่าย อีกทั้งยังประหยัดน้ำมันมากอีกด้วยเพราะเป็น Eco Car แต่! ในทุกข้อดีย่อมมีข้อเสีย ข้อเสียของ March ก็คือ เป็นรถน้ำหนักเบา ไม่เหมาะแก่การสาดโค้งหรือเร่งเครื่องแรงๆ ไม่เหมาะแก่การขับแบบฮาร์ดคอร์ ขับทางไกล หรือขับขึ้นดอย และเป็นรถที่ไม่ค่อยจะเก็บเสียงอีกด้วย แต่ถ้าคุณกำลังมองหารถราคาไม่แพงไว้ขับชิลๆ ไปทำงาน มาร์ชนี่แหละใช่เลย!

รถมือสอง ยอดนิยม

อันดับ 2 : Suzuki Swift

ถ้า Nissan March ครองตำแหน่งรถน่ารัก Suzuki Swift ก็ต้องครองตำแหน่งรถสวย! Swift นั้นขึ้นชื่อมากในเรื่องของดีไซน์ ทั้งดีไซน์ตัวถัง และดีไซน์ภายในห้องโดยสาร เป็นรถที่ดูสวยแบบคลาสสิก แถมยังแต่งขึ้นด้วย! เหมาะกับคนที่มองหารถสำหรับใช้ไปยาวๆ จุดเด่นอื่นๆ ของสวิฟต์ก็คือช่วงล่างดี เข้าโค้งง่าย ไม่มีเป๋ เบาะสวยและนั่งสบาย อีกทั้งออพชั่นภายในก็จัดมาเต็มด้วย เช่น ปุ่ม Start Engine กระจกมองข้างพับไฟฟ้า ฯลฯ ถือว่าเกินคาดหมายในหลายด้านสำหรับรถ Segment นี้

รถมือสอง ยอดนิยม

อันดับ 1 : Toyota Vios

ตำแหน่งอันดับ 1 ตกเป็นของ Toyota Vios อย่างไม่มีการพลิกโผ! ด้วยอัตราการประหยัดน้ำมันที่ขึ้นชื่อ ดีไซน์ตัวถังที่เรียบแต่หรู เครื่องยนต์แรง และทนทานสมชื่อโตโยต้า ศูนย์บริการและอะไหล่หาง่าย อายุการใช้งานยืนยาว อีกทั้งเป็นรถที่เหมาะมากสำหรับคนที่ต้องการรถสำหรับใช้งานนานๆ ขับขี่ประจำวันที่ไม่สมบุกสมบันมาก รวมถึงคนที่ต้องการติดแก๊สเพื่อเพิ่มความคุ้มค่า หากมองด้านความคุ้ม ความประหยัด ความทนทาน Vios คือคำตอบแน่นอน

Sale-Isuzu-D-Max-With-Carro-Express

รถมือสองทั้งหมดนี้ บอกเลยว่า เหมาะกับชีวิตมนุษย์เงินเดือนอย่างแน่นอน! หากคุณต้องการซื้อรถมือสองคุณภาพ ทาง CARRO เราก็มีรถมือสองให้เลือกหลากหลาย สามารถเข้าไปเลือกชมได้ที่ https://th.carro.co/taladrod ถ้าสนใจที่จะขายรถของคุณแบบด่วนๆ เชิญที่ https://th.carro.co/sell-car/express หรือ Inbox สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ Fanpage CARRO Thailand ครับ


ซื้อรถมือสองเถอะ แล้วชีวิตคุณจะง่ายขึ้นอีกเยอะ !

ราคาตก-กดราคา

นี้คือความจริง! ของราคารถมือสอง

ทุกครั้งที่มีคนพูดถึงการกดราคารถยนต์มือสอง เต็นท์รถมักจะกลุ่มแรกๆ ที่ถูกโจมตี ทั้งที่ความจริงแล้ว สาเหตุที่ทำให้รถมือสองบางคันขายได้ราคาไม่ดีนั้น ไม่ได้เป็นเพราะเต็นท์รถกดราคากับคนขาย อย่างที่หลายคนชอบกล่าวหาแต่อย่างใด

ความเป็นจริงอาจจะแสลงใจเจ้าของรถมือสองที่นำรถมาประกาศขายอยู่บ้าง แต่ต้องยอมรับว่ารถมือสองหลายรุ่นนั้นราคาตกรวดเร็วมากโดยไม่ได้มีใครไปกดราคาเพื่อหาผลประโยชน์ใดๆ

คำว่า “ราคาตก” ในที่นี้ต่างกับคำว่า “กดราคา” เพราะการกดราคาก็เท่ากับว่า รถมือสองคันที่ขายมีมูลค่าจริงสูงกว่า แต่ถูกซื้อด้วยราคาที่ต่ำกว่าจริง แต่ราคาตก แปลว่า มูลค่าของรถมือสองนั้นลดลงด้วยปัจจัยหลายประการ และมีกลไกการตลาดมาเกี่ยวข้องด้วย

สำหรับเหตุผลทำให้รถมือสองบางคันราคาตกนั้น Carro ได้เคยวิเคราะห์ปัจจัยสำคัญที่ทำให้รถยนต์มือสองได้ราคาไม่ดีเท่าที่ควรไว้ 10 ประการ ซึ่งในบทความนี้จะขอยกมาอธิบายเป็นข้อๆ ดังนี้ค่ะ

  1. ความนิยมต่อแบรนด์

ตอนซื้อรถมือหนึ่ง คนซื้อมักคิดว่าชอบแบรนด์ไหน รุ่นอะไรก็ซื้อคันนั้น แต่เมื่อนำมาขายต่อเป็นรถยนต์มือสองแล้ว ความนิยมที่ผู้คนมีต่อแบรนด์นั้นๆ จะส่งผลโดยตรงต่อราคาที่ขายได้ จะเห็นได้ว่ารถตลาดอย่าง Honda , Toyota รถมักจะขายต่อได้ไว และราคาไม่ตกมากนัก แต่หากเป็นยี่ห้อที่คนไทยไม่คุ้นหู (แม้จะดังระดับโลกก็ตาม) การขายต่อก็จะยากกว่าเดิม และราคาก็จะตกลงมากด้วย

ตัวอย่าง หากคุณซื้อรถ Honda City และ MG6 พร้อมกันในวันนี้ อีก 1 ปีข้างหน้า Honda City อาจจะราคาตกลงไป 30% แต่ MG6 อาจจะราคาตกลงไป 50% หรือมากกว่านั้น!

สาเหตุก็เป็นเพราะคนไทยรู้จัก Honda ดีมาก ต่างกับ MG ซึ่งเป็นแบรนด์ที่ยังไม่ติดหูคนไทยมากนัก มีการสำรวจความคิดเห็นโดย Carro ที่พบว่า คนไทยมักจะรู้สึกดีกับรถตลาดมากกว่า ไม่ใช่เพราะความชื่นชอบในตัวแบรนด์เท่านั้น แต่รวมถึงเรื่องความสะดวกในการซ่อมบำรุง เช่น มีศูนย์เยอะ เข้าถึงง่าย หาอะไหล่ได้ง่าย เป็นต้น ซึ่งรถตลาดมักจะตอบโจทย์ในข้อนี้ได้ดีกว่า

 

  1. อายุของรถ

ปกติแล้วรถยิ่งใหม่ก็ยิ่งมีโอกาสจะขายได้ไว และในทางกลับกัน รถยิ่งมีอายุการใช้งานมากก็ยิ่งส่งต่อยาก เพราะผู้ซื้อมีความกังวลว่ารถอาจชำรุดหรือมีอุปกรณ์สึกหรอ ทำให้ต้องรับภาระในการซ่อมบำรุงต่อไป

อีกเหตุผลหนึ่งคือ การซื้อรถยนต์ที่มีอายุมากมักจะขอจัดไฟแนนซ์ได้ยาก เพราะรถที่สถาบันการเงินจะอนุมัติวงเงินกู้ให้นั้นจะต้องเป็นรถที่มีอายุไม่เกิน 10 ปี

ฉะนั้นกลุ่มผู้ซื้อก็จะยิ่งแคบลงอีก คือต้องเป็นกลุ่มที่ไม่มีปัญหากับการซ่อมบำรุงในอนาคต ขณะเดียวกันก็ต้องไม่มีปัญหากับการวางเงินดาวน์สูงๆ หรือสามารถซื้อสดได้ เป็นเหตุให้ราคารถที่อายุการใช้งานมากตกลงนั่นเอง

 

  1. สภาพรถ

รถยิ่งสภาพดียิ่งขายได้ไว! แต่หากรถผ่านอุบัติเหตุหนักมาก่อน หรือมีการชำรุดที่โครงสร้างสำคัญ รถจะขายออกได้ยากมาก และทำให้ราคาดิ่งลงมากด้วยเช่นกัน เนื่องจากสภาพรถมีผลโดยตรงต่อความปลอดภัยของผู้ขับขี่ คนส่วนใหญ่ยินดีจะซื้อรถที่มีอายุการใช้งานมาก ดีกว่าซื้อรถที่ถอยป้ายแดงออกมาจากศูนย์ไม่ได้นาน แต่เพิ่งไปชนหนักมา

 

  1. เคยเกิดอุบัติเหตุ หรือ มีประวัติความเป็นมาที่ชวนให้ไม่สบายใจ

อีกสิ่งหนึ่งที่คนไทยมักกังวลคือ “สิ่งลี้ลับ” ฉะนั้น รถคันไหนมีประวัติความเป็นมาชวนให้กังวล (เช่น เจ้าของรถคนก่อนเสียชีวิตในรถ เคยชนคน ฯลฯ) ผู้ซื้อก็จะหลีกเลี่ยงไว้ก่อน ทำให้รถคันนั้นราคาตก

ราคาตก กดราคา

  1. ไมล์

แม้ว่าจะเป็นที่กังขาว่าไมล์สามารถเชื่อถือได้มากน้อยแค่ไหน เพราะไมล์รถสามารถกรอได้ แต่ไมล์ก็มักจะถูกนำมาพิจารณาเป็นอันดับต้นๆ ในการเลือกซื้อรถยนต์มือสองเสมอ เพราะเป็นจุดที่จะบอกว่ารถคันดังกล่าวผ่านการใช้งานมามากหรือน้อย และรถมีแนวโน้มที่จะเสื่อมสภาพมากน้อยแค่ไหน

ตัวอย่าง รถ Toyota Altis ของนาย A อายุการใช้งาน 1 ปี วิ่งมาแล้ว 80,000 กม. กับรถ Toyota Altis ของนาย B อายุการใช้งาน 3 ปี วิ่งมาแล้ว 40,000 กม. ในสายตาของคนที่สนใจซื้อ Toyota Altis มือสอง รถของนาย B จะน่าสนใจมากกว่าและได้ราคาดีกว่า เพราะรถที่ใช้งานมาน้อยก็จะเยินน้อย ในขณะที่รถของนาย A แม้จะเป็นรถใหม่แต่เจ้าของรถใช้งานอย่างสมบุกสมบันมาก รถก็จะเยินมากกว่า และราคาตกมาก

 

  1. รุ่นย่อย

รุ่นย่อยของรถก็มีผลต่อความสูง – ต่ำของราคาที่ขายได้เช่นกัน ปกติแล้วรถรุ่นท็อปจะขายได้ราคาดีกว่ารถรุ่นพื้นฐาน (รุ่นที่ราคาถูกที่สุด) เพราะรุ่นท็อปจะมาพร้อมกับออฟชั่นต่างๆ ที่ครบครัน รวมถึงมาพร้อมกับข้าวของที่ได้รับการลดแลกแจกแถมมาจากเซลส์ที่ศูนย์ตอนออกป้ายแดงอีกด้วย

ส่วนรถรุ่นพื้นฐานนั้น ในเมื่อซื้อป้ายแดงมาราคาถูกกว่า ขายต่อมือสองก็ย่อมขายได้ในราคาต่ำกว่าอยู่แล้ว อีกทั้งอุปกรณ์อำนวยความสะดวกต่างๆ ก็มีให้ไม่มากนัก

ผู้ซื้อรถยนต์มือสองจำนวนมากจึงสนใจรุ่นท็อปมากกว่า เป็นเหตุให้รถรุ่นพื้นฐานไม่ว่าของแบรนด์ใดก็ตามมักจะมีราคาตกลง เมื่อเอาไปเทียบกับรถรุ่นที่สูงขึ้นมา ปีเดียวกัน สภาพใกล้เคียงกัน ก็จะเห็นความแตกต่างได้ชัด

 

  1. รถแต่ง / รถซิ่ง

ปกติแล้วรถมือสองที่ขายได้ราคาดีคือรถที่คงสภาพไว้ใกล้เคียงวันที่ถอยป้ายแดงออกมาจากศูนย์มากที่สุด แม้ว่าคุณจะเอารถไปแต่งมาอย่างสวยงาม หมดเงินค่าแต่งรถไปเป็นหลักล้าน แต่มูลค่ารถเมื่อนำไปขายต่อก็จะไม่เพิ่มขึ้นแต่อย่างใด (ในบางกรณีควรเปลี่ยนกลับเป็นแบบเดิมก่อนขายต่อด้วยซ้ำ)

ส่วนรถซิ่งนั้น หากเป็นรถที่ได้รับความนิยมในกลุ่มนักซิ่งอย่างจริงจัง (เช่น รถ Mitsubishi Evolution เป็นต้น) ราคาก็จะไม่ตก และจะยิ่งพุ่งสูงขึ้นไปอีกในประเภทที่เลิกผลิตแล้วหรือหาได้ยาก แต่หากเป็นรถตลาดอย่าง Toyota Vios Honda Civic ฯลฯ ที่ผ่านการแต่งซิ่งมา ราคาจะดิ่งลงเหวและขายต่อยากอย่างแน่นอน เพราะรถซิ่งต่างๆ มักถูกรีดเค้นสมรรถนะเครื่องยนต์อย่างหนัก รวมถึงมีการเปลี่ยนนั่นเติมนี่อยู่บ่อยๆ

 

  1. รถติดแก๊ส

รถที่ติดแก๊สนั้น แม้จะเป็นรุ่นเดียวกัน ปีเดียวกัน ไมล์ไม่ต่างกัน แต่ราคาจะต่ำกว่ารถที่ไม่ติดแก๊สอย่างแน่นอน เพราะคนส่วนใหญ่มักกังวลว่าการติดแก๊สจะส่งผลต่อการทำงานของเครื่องยนต์ อีกทั้งยังส่งผลด้านความรู้สึกอีกด้วย เพราะคนซื้อมักคิดว่ารถที่ติดแก๊สมา คือรถที่เจ้าของใช้งานมาเยอะ จึงรู้สึกกังวลว่าสภาพรถอาจแย่กว่ารถที่ไม่ติดแก๊ส

 

  1. สี

ปกติแล้วสีรถยอดนิยมของคนไทยคือ สีดำ สีขาว สีบรอนซ์ สีเทา ด้วยความเป็นสียอดนิยม รถที่มีสีเหล่านี้ก็จะขายต่อง่าย ได้ราคาดี ขณะเดียวกัน รถที่สีไม่ค่อยได้รับความนิยมจากคนส่วนใหญ่ เช่น สีแดง สีเหลือง จึงมักจะขายต่อได้ในราคาที่ต่ำกว่า

 

  1. Book service

คือ สมุดพกที่ศูนย์มอบให้เจ้าของรถตั้งแต่วันที่ซื้อ (หรือวันที่เข้าศูนย์ครั้งแรก) นั่นเอง ใน Book Service จะมีข้อมูลการใช้รถ ข้อมูลการซ่อมบำรุง ซึ่งจะบ่งบอกถึงสภาพรถ และความทะนุถนอมของเจ้าของรถ เช่น มีการนำรถเข้าศูนย์ตามระยะหรือไม่ เคยประสบอุบัติเหตุแล้วส่งเข้าศูนย์มากี่ครั้ง เป็นต้น

รถที่มีบุ๊กเซอร์วิส และมีประวัติการซ่อมบำรุงดีมาตลอดจึงมักจะขายได้ราคาดี ในขณะเดียวกัน หากไม่มีบุ๊กเซอร์วิส หรือข้อมูลในบุ๊กบอกความไม่เอาใจใส่ ไม่เข้าศูนย์ตามระยะ ราคาที่ขายได้ก็จะลดลง

ในการซื้อ – ขายรถยนต์มือสองนั้น ทางที่ดีควรจะตกลงขายในราคาที่ผู้ซื้อและผู้ขายรู้สึกพึงพอใจกันทั้งสองฝ่าย แต่ก็มีโอกาสที่รถยนต์มือสองดีๆ อาจจะขายได้ราคาต่ำกว่าที่ควร เพราะผู้ซื้อรู้สึกว่าราคาที่ผู้ขายตั้งไว้ไม่คุ้มค่ากับสิ่งที่ผู้ซื้อจะได้รับจึงขอต่อรองราคาลงมา (แต่ก็มีผู้ซื้อประเภทที่ไม่ว่ายังไงก็ขอต่อไว้ก่อนเช่นกัน) ซึ่งในกรณีนี้ ผู้ขายจะตัดสินใจไม่ขายก็ได้ หากรู้สึกว่าราคาที่ได้ไม่ยุติธรรมกับตนเอง

อย่างไรก็ตาม มีผู้ขายบางคนที่มีความต้องการใช้เงินอย่างเร่งด่วนจึงยอมขายรถแม้จะได้ราคาต่ำ แต่กรณีแบบนี้เรียกว่า “กดราคา” (แถมคนขายยอมให้กดด้วย) ไม่ใช่ “ราคาตก”

ราคาตก กดราคา

หลายคนอาจจะกังวลว่า แล้วจะขายรถมือสองอย่างไรให้ราคาไม่ตก และไม่ถูกกดราคา ? ในส่วนนี้เว็บไซต์ Carro ของเรามีบริการขายรถแบบด่วนอย่าง Carro Express ที่สามารถขายออกได้จริง รวดเร็ว ภายใน 1 วันเท่านั้น ซึ่งมีไม่กี่เจ้าที่หลังจากปิดการขายได้รับเงินสดทันที แต่หากคุณกำลังกังวลว่าขายด่วนอาจโดนกดราคา ทาง Carro ขอยืนยันว่าคุณจะได้ราคาดีไม่ถูกกดราคาอย่างแน่นอน

เคยสงสัยไหม? ทำไมรถบางรุ่นราคาแพงแสนแพง บางรุ่นราคาถูกจนงง รถบางคันเป็นรุ่นยอดนิยมที่เห็นขับกันเต็มถนน แต่ไม่รู้ทำไมขายออกยากเหลือเกิน เหตุการณ์ต่างๆ เหล่านี้มันเกิดขึ้นได้อย่างไร?

เชื่อไหมว่าสิ่งที่ Carro เกริ่นมานี้เป็นสิ่งที่คนขายรถมือสองหลายคนก็สงสัย คนซื้อรถมือสองจำนวนมากก็ยังงงงวย แต่ไม่ต้องกังวลไปจ้า!

ในบทความนี้ Carro ได้รวบรวม 10 ปัจจัยสำคัญที่ทำให้รถมีราคาถูก-แพง ต่างกันมาให้คุณอย่างคร่าวๆ แล้ว! รับรองอ่านแล้วเก็ท เข้าใจตรงกันทั้งคนซื้อคนขายแน่นอน!

1. รถตลาดมักขายง่ายและได้ราคาดี

ข้อนี้พูดถึงแบรนด์ล้วนๆ ขอให้ตัดเรื่อง สภาพ ราคา และปัจจัยอื่นๆ ออกไปก่อนเลย เป็นที่รู้กันดีว่า ในวงการรถยนต์มือสอง รถตลาด (อย่าง Toyota หรือ Honda) นั้นจะราคาตกน้อยกว่าหากเทียบกับแบรนด์อื่นๆ ต่อให้เป็นแบรนด์ที่ดังระดับโลก แต่หากไม่ค่อยมีชื่อเสียงในไทย รถก็มีโอกาสที่จะราคาดิ่งลงเหว เพราะไม่ตรงกับความนิยมของผู้ซื้อส่วนใหญ่

2. รถยิ่งใหม่ ยิ่งราคาสูง

อายุของรถมีผลต่อราคามาก ขึ้นชื่อว่าเป็นรถมือสองนั้นราคาก็ต้องถูกกว่าป้ายแดงอยู่แล้ว แต่จะถูกกว่าแค่ไหนก็ขึ้นอยู่กับว่าผ่านการใช้งานนานแค่ไหนด้วย หากเป็นรถที่ใช้มาไม่เท่าไหร่ แล้วเจ้าของนำมาขายต่อในสภาพสุดนิ้ง รถก็ย่อมมีราคาสูงเป็นธรรมดา

นอกจากนี้ อายุของรถยังมีผลต่อการขอจัดไฟแนนซ์ ด้วยเพราะรถที่อายุเกิน 7 – 8 ปีขึ้นไป ก็จะเริ่มขอจัดไฟแนนซ์ยากแล้ว อีกทั้งรถแต่ละคันก็ย่อมมีการเสื่อมสภาพไปตามเวลา ฉะนั้นก็ถือเป็นเรื่องธรรมดาอีกเช่นกันที่รถอายุมากหน่อยมักจะมีราคาตก

3. ยิ่งสภาพดี ยิ่งราคาดี

สภาพรถนั้นสำคัญมากสำหรับคนซื้อ เพราะไม่มีใครอยากได้รถที่ผ่านอุบัติเหตุหนักมา หรือเสียหายที่โครงสร้างสำคัญอยู่แล้ว ต่อให้เป็นรถที่เพิ่งถอยป้ายแดงออกมาใหม่ๆ ก็ตาม ในทางกลับกัน หากเป็นรถที่อายุการใช้งานมากหน่อย แต่เจ้าของเดิมดูแลอย่างดี มีประวัติการซ่อมบำรุงที่เชื่อถือได้ รถก็มีโอกาสที่จะได้ราคาดีตามไปด้วย

หากอยากทราบรายละเอียดเรื่องราคารถมือสองแต่ละรุ่นที่ Carro มีจำหน่าย สามารถสอบถามได้ที่ โทร. 02-460-9380 หรือช่องทางการติดต่อ Facebook : Carro Thailand / Line : @carrothai

4. ไมล์ยิ่งน้อยยิ่งดี

แม้ว่าไมล์จะกรอได้ แต่คนส่วนใหญ่ก็ยังชมชอบรถที่ไมล์น้อยๆ เพราะเชื่อว่ารถที่ไมล์น้อยกว่า แปลว่าผ่านการใช้งานมาน้อยกว่า การเสื่อมสภาพย่อมจะน้อยกว่า มาตรฐานที่ใช้เป็นเกณฑ์กันทั่วไปคือประมาณ 10,000 กม./ปี หากเกินกว่านี้คนซื้อบางคนก็จะรู้สึกไม่โอเคแล้ว

5. รถที่ประวัติไม่ดี จะขายยากและราคาตกมาก

ประวัติในที่นี้มีตั้งแต่ประวัติอาชญากรรม ไปจนถึงเรื่องหลอนๆ ลี้ลับ เรื่องเหล่านี้เป็นสิ่งที่คนซื้อส่วนใหญ่เลี่ยงได้ก็จะเลี่ยง เพราะฉะนั้นรถจึงขายยาก และราคาตกมาก

6. รุ่นย่อยดี ราคาก็ดีตาม

คนซื้อมือสองมักไม่ค่อยมองหารถรุ่นพื้นฐาน เพราะรู้สึกว่าออพชั่นมาไม่ค่อยครบ และเพิ่มงบขึ้นมาอีกนิดก็ได้รถที่ดีกว่าแล้ว อีกทั้งรุ่นย่อยที่สูงๆ ขึ้นหน่อย มักมาพร้อมกับของสมนาคุณจากเซลส์ขายรถ เป็นสิ่งที่คนซื้อบางคนนิยมชมชอบเช่นกัน

7. รถแต่งมาดี ราคาขายต่ออาจไม่ดีตาม

หลายคนชื่นชอบการแต่งรถ และอาจลงทุนกับอุปกรณ์ตกแต่งไปจนถึงหลักแสนหลักล้าน แต่ Carro ขอแนะนำว่ารถที่จะขายได้ราคาดีที่สุด ก็คือรถที่ใกล้เคียงกับสภาพตอนถอยป้ายแดงออกมามากที่สุด

ฉะนั้น หากใครอยากจะขายรถแต่ง แนะนำให้ควรถอดของแต่งออกแล้วใส่ชิ้นส่วนเดิมกลับคืน ส่วนพวกอุปกรณ์ตกแต่งนั้นเอาไปขายต่อให้ถูกแหล่งอาจจะทำเงินคุ้มค่ามากกว่า

8. ติดแก๊ส LPG / NGV มา ราคาตกชัวร์

คนซื้อหลายคนมักมีความกลัวว่ารถที่ติดแก๊ส LPG หรือ NGV มาจะทำให้เครื่องยนต์เสื่อมเร็ว อีกทั้งโดยมากแล้ว รถที่ติดแก๊ส LPG / NGV มักจะผ่านการใช้งานมาค่อนข้างมาก ฉะนั้นหากคุณมีรถอยู่ และคิดว่าวันหนึ่งอาจส่งต่อ อย่าเพิ่งติดแก๊สมาจะดีกว่า เพราะรถจะได้ราคาดีกว่า แต่ถ้าจะซื้อมาใช้งานไม่คิดมากเรื่องราคาขายต่อก็ไม่ว่ากัน

9. สีพื้นๆ ราคาดีกว่า

สีรถยอดนิยมของคนไทย คือ ขาว ดำ บรอนซ์ และเทา หากจะขายต่อรถสีเหลือง แดง เขียว ชมพู ฯลฯ ทำใจไว้ก่อนเลยว่ารถจะขายต่อยาก และราคาจะตกลงอย่างแน่นอน เว้นแต่ว่าบังเอิญเจอคนรสนิยมเดียวกัน

10. ประวัติการซ่อมบำรุง มีไว้อุ่นใจกว่า!

หลายคนให้ความสำคัญกับ Book Service เพราะแสดงถึงการดูแลรักษาอย่างสม่ำเสมอของเจ้าของรถ ยิ่งมีเก็บใบเสร็จที่ซ่อมแซมรถไว้หลายๆ ปี มีรายการตรวจเปลี่ยนอะไหล่ หรือมีประวัติที่เช็คได้จากศูนย์บริการ ซึ่งเป็นข้อหนึ่งที่ส่งผลให้รถมีราคาสูงขึ้นเช่นกัน

วันที่ซื้อรถมา หลายคนอาจจะไม่ทันคิดว่าวันหนึ่งอาจจะต้องส่งต่อ หลายข้อที่ Carro ลิสต์มานี้เป็นสิ่งที่ควรคำนึงถึงอย่างยิ่งหากคุณกำลังจะซื้อหรือขายรถ เพราะเป็นปัจจัยที่จะช่วยบอกว่ารถที่คุณซื้อ/ขาย ควรจะมีราคาสูงต่ำได้แค่ไหน และหากรถคันนั้นราคาตกมาก เหตุผลคืออะไร? รู้ไว้ก่อนจะได้เข้าใจตรงกันทั้งคนซื้อและคนขาย และไม่ถูกใครเอาเปรียบด้วย!

Carro Express ขายรถกับคาร์โร อยากขายรถ ขายรถด่วน

สำหรับใครที่อยากขายรถคันเดิม ไปซื้อรถยนต์คันใหม่ มาขายรถกับทาง Carro Express สิ! คลิกเลยที่ https://th.carro.co/sell-car/express รับรองได้เงินเร็ว ไว ทันใจแน่นอน!

Carro Automall ตลาดรถ

ส่วนใครสนใจจะซื้อรถมือสองสภาพเยี่ยมๆ แถมคุณสมบัติครบทั้ง 10 ข้อในด้านบน Carro แหล่งรวมรถมือสองคุณภาพเยี่ยมผ่านระบบออนไลน์ คุณสามารถจองรถได้ในเวลาเพียง 1 นาทีเท่านั้น! พร้อมคำนวณสินเชื่อและค่างวด ได้ภายในเว็บไซต์ทันที!

ซึ่ง Carro เรามีรถให้คุณเลือกมากมาย รถทุกคันผ่านการตรวจสภาพโดย Carro Certified อย่างละเอียดแบบ Double Check มากกว่า 160 จุด, การันตีคืนเงินภายใน 5 วัน, รับประกันเครื่องยนต์และเกียร์ 1 ปี, รับประกันไม่กรอไมล์ และไม่ประสบอุบัติเหตุหนัก ไฟไหม้ หรือน้ำท่วม พร้อมรับประกันคุณภาพรถ 1 ปี หรือ 30,000 กิโลเมตร!

อีกทั้งยังมีเทคโนโลยี “360 View & Sound Engine Analysis” เลือกชมรถยนต์เสมือนจริงออนไลน์รายแรกในไทย ทั้งภาพและเสียงในรูปแบบ 360 องศา รวมถึงมีเทคโนโลยีสนับสนุนฝ่ายขาย ทั้ง Digital Device ที่เชื่อมต่อกับ Digital Screen นำเสนอสิ่งที่ลูกค้าต้องการ และจัดการเรื่องเอกสารให้กับลูกค้าให้ตั้งแต่ต้นจนจบ บวกกับ Online Viewing Service ที่ลูกค้าสามารถวิดีโอคอล ตรวจสภาพรถยนต์คันที่สนใจได้แบบเรียลไทม์ ซื้อรถคุณภาพเยี่ยม ต้องที่ Carro สิ!

หรือถ้าหากคุณสนใจรถรุ่นไหนอยู่ แต่ยังหาที่ถูกใจไม่ได้ เรายินดีหาให้! เพียงกรอกชื่อ-เบอร์โทรศัพท์ และรถที่คุณสนใจ ไว้ที่ “รับการแจ้งเตือน” เมื่อมีรถที่คุณต้องการ Carro จะรีบติดต่อไปยังคุณทันที สอบถามรายละเอียดได้ที่ Facebook -> Carro Thailand โทร. 02-460-9380 หรือทาง Line @carrothai