Carro-Roojai-Why-Air-Conditioner-In-Car-Not-Cold

ปัญหาแอร์รถไม่เย็นที่ผู้ขับขี่หลาย ๆ คนมักพบเจอ จริงอยู่ที่ในช่วงออกรถใหม่ ๆ เปิดแอร์รถได้เย็นฉ่ำ แต่พอใช้งานไปได้สักปี 2 ปี แอร์รถไม่เย็นเหมือนเดิม ทั้ง ๆ ที่เร่งแอร์รถให้เย็นที่สุดแต่กลับรู้สึกไม่ค่อยเย็นแบบที่ควร หรือบางครั้งก็อาจจะเย็นเกินไป มันเป็นเพราะอะไร ? มีสาเหตุหลัก ๆ มาจากอะไร แล้วมีวิธีแก้ไขอย่างไร

Why-Air-Conditioner-In-Car-Not-Cold

วันนี้ Roojai.com ได้รวบรวมสาระดี ๆ ที่จะเป็นประโยชน์ในการรับมือกับปัญหาแอร์รถไม่เย็นด้วยตัวเองได้ แน่นอนว่ามีหลายปัจจัยที่ทำให้แอร์รถไม่เย็น แต่หากรู้สักนิดว่า ปัจจัยไหนที่ทำแล้วเสี่ยงต่อการทำให้แอร์รถเสีย ก็ควรเลี่ยง และโอกาสที่ต้องนั่งร้อนภายในรถก็คงมีน้อยลงเช่นกัน

ปัญหา แอร์รถไม่เย็น หากเกิดขึ้นบ่อย จะเป็นอย่างไร ?

อย่าปล่อยให้ปัญหาแอร์รถไม่เย็นเกิดขึ้นบ่อย ๆ เพราะไม่ส่งผลดีต่อคุณและรถยนต์ของคุณแน่ ๆ ควรรู้ไว้เลยว่าแอร์รถไม่เย็น แปลว่ารถยนต์ของคุณกำลังมีปัญหาและทำให้ประสิทธิภาพในการทำงานลดน้อยลงด้วย เป็นคำตอบว่า แอร์รถไม่เย็นเกิดจากอะไร สามารถเกิดขึ้นได้กับรถยนต์ทุกคัน ไม่ว่าจะเป็นรถเก่าหรือรถใหม่ ซึ่งมีหลายสาเหตุ ผู้ขับขี่ส่วนใหญ่มักจะไม่ค่อยรู้และไม่ค่อยให้ความสนใจ มองว่าอาจจะเป็นเรื่องเล็ก ๆ น้อย ๆ แต่เชื่อไหมว่าแค่แอร์รถไม่เย็นสามารถส่งผลให้อายุการใช้งานของรถคุณสั้นลงกว่าปกติได้ ยังไม่รวมถึงปัญหาที่จะส่งผลให้รถเสียในภายหลังได้อีกมากมาย

Why-Air-Conditioner-In-Car-Not-Cold

ปัจจัยหลักที่ทำให้ แอร์รถไม่เย็น เกิดจากอะไรได้บ้าง ?

แน่นอนว่าปัจจัยหลักๆ ที่ส่งผลให้ แอร์รถไม่เย็น มีแต่ลม มีหลายปัจจัย ไม่ว่าจะเป็นน้ำยาแอร์หมด สายท่อแอร์รั่ว ระบบระบายความร้อนไม่ดี ลูกสูบคอมเพรสเซอร์หลวม คลัทช์คอมเพรสเซอร์จับไม่สนิท และอื่นๆ อีกหลายปัจจัย แต่เพื่อให้คุณแน่ใจว่ารถยนต์ของคุณแอร์ไม่เย็นหรือผิดปกติไหม ? ลองเช็คดูว่าตอนนี้กำลังประสบปัญหาเหล่านี้อยู่หรือไม่ ดังนี้

1.น้ำยาแอร์ขาดหรือหมด

น้ำยาแอร์ขาดหรือหมดก็เป็นปัญหาหลักที่ทำให้แอร์รถไม่เย็นได้ เพราะจะทำให้แอร์เย็นน้อยหรือไม่เย็นเลย จะมีแต่ลมร้อนๆ ออกมาจากช่องแอร์ วิธีแก้ไขให้ลองสตาร์ทเครื่องแล้วเปิดระบบเครื่องปรับอากาศปุ่ม A/C เพื่อให้คอมเพรสเซอร์ทำงาน แล้วส่องดูในช่องตรวจสอบน้ำยาที่อยู่ระหว่างแผงระบายความร้อนทางด้านหน้ารถ หากเห็นเป็นฟองอากาศเล็ก ๆ สีขาว แสดงว่าน้ำยาแอร์กำลังจะหมดให้รีบเติมน้ำยาทันที

2. ตู้แอร์ สายท่อแอร์ หรือข้อต่อต่าง ๆ เกิดรอยรั่วซึม

หากตู้แอร์ สายท่อแอร์ หรือข้อต่อต่าง ๆ เกิดรอยรั่ว ก็ส่งผลให้แอร์รถไม่เย็นได้ เพราะจะทำให้ค่าแรงดันของน้ำยาแอร์ตก ลองตรวจสอบได้โดยการนำน้ำสบู่หรือน้ำแชมพูมาตีให้เป็นฟองแล้วนำไปทาตามข้อต่อต่าง ๆ ของระบบแอร์ เมื่อทาทั่วแล้วให้สังเกตว่าตรงจุดไหนเกิดเป็นฟองอากาศลอยขึ้นมา แสดงว่าจุดนั้นเกิดการรั่วซึมอยู่ ให้ทำการขันให้แน่น

3. ระบบระบายความร้อนบนแผงคอยล์ร้อนไม่ดี

เป็นอีกสาเหตุที่พบบ่อย ลองเช็คโดยการเปิดฝากระโปรงรถ ติดเครื่องยนต์ และเปิดแอร์ไว้ เมื่อคอมเพรสเซอร์รถยนต์ทำงาน ลองสังเกตดูพัดลมหน้าแผงคอยล์ร้อนว่าหมุนช้าหรือมีเสียงดังไหม? หากมีปัญหาต้องเปลี่ยนพัดลมใหม่ หรือถ้าแผงคอยล์ร้อนสกปรกก็ต้องทำความสะอาดเพื่อให้การระบายความร้อนของน้ำยาแอร์ทำงานได้ดีขึ้น ระบบแอร์ก็จะทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้นด้วย

Why-Air-Conditioner-In-Car-Not-Cold

4. ลูกสูบภายในคอมเพรสเซอร์หลวมไม่มีกำลังอัด

แอร์รถไม่เย็น สาเหตุ มาจากปัญหาลูกสูบคอมเพรสเซอร์หลวม เพราะถ้าลูกลูกสูบคอมเพรสเซอร์หลวมจะทำให้ระดับความดันของน้ำยาแอร์มีน้อย เมื่อมีน้อยส่งผลให้มีปริมาณน้ำยาแอร์ฉีดเข้าคอยล์เย็นได้ไม่เพียงพอ ทำให้แอร์รถไม่เย็นในที่สุดนั่นเอง ลองเช็คโดยการติดเครื่องยนต์แล้วเปิดแอร์ แล้วลองเร่งเครื่องยนต์แล้วแอร์เย็น แสดงว่าลูกสูบคอมเพรสเซอร์หลวม โดยปกติจะต้องไม่เย็นขึ้นตอนเร่งเครื่องยนต์ ต้องแก้ไขโดยการเปลี่ยนลูกสูบใหม่ทันที

5. ชุดวาล์ว และดรายเออร์อุดตัน หรือเสื่อมคุณภาพ

เมื่อชุดวาล์วและดรายเออร์อุดตันหรือเสื่อมคุณภาพลง ส่งผลให้แอร์รถไม่เย็นได้เท่าที่ควร อาจเย็นบ้าง ไม่เย็นบ้าง เพราะเมื่อชุดวาล์วและดรายเออร์อุดตันจะทำให้แรงดันน้ำยาแอร์ที่ออกจากคอมเพรสเซอร์ไหลผ่านเข้าคอยล์เย็นได้ไม่ดี เมื่อมีน้อยส่งผลให้มีปริมาณน้ำยาแอร์ฉีดเข้าคอยล์เย็นได้ไม่เพียงพอ ทำให้ระบบแอร์ทำงานได้ไม่เต็มที่ แอร์รถจึงไม่ค่อยเย็นนั่นเอง ลองเช็คโดยการติดเครื่องยนต์แล้วเปิดแอร์ หากแอร์ไม่ค่อยเย็นและมีเสียงดัง ลองเร่งเครื่องยนต์แล้วสังเกตุดูว่าแอร์มีความเย็นขึ้นไหม หากเร่งเครื่องแล้วเย็นขึ้น นั่นแปลว่าชุดวาล์วและดรายเออร์เกิดการอุดตัน ต้องถอดเปลี่ยนชุดวาล์วและดรายเออร์ใหม่

6. คลัตช์คอมเพรสเซอร์จับไม่สนิท

ปัญหาคลัตช์คอมเพรสเซอร์จับไม่สนิท หรือปัญหาคลัตช์ลื่น เป็นอีกสาเหตุที่ทำให้แอร์รถเย็นบ้าง ไม่เย็นบ้าง หรือบางทีอาจจะไม่มีความเย็นเลย มีแต่ลมออกมาจากช่องแอร์ ซึ่งเกิดจากกระแสไฟที่ส่งเข้ามายังคลัตช์แม่เหล็กมีปริมาณน้อย ไม่เพียงพอที่จะทำให้คลัตช์คอมเพรสเซอร์ติดเข้ากับมูลเลย์ได้ หรือติดได้แต่อาจไม่แน่นพอ เกิดการฟรีในบางจังหวะ ทำให้คอมเพรสเซอร์ทำงานได้ไม่เต็มที่ ส่งผลให้แอร์รถเย็นบ้าง ไม่เย็นบ้าง สามารถแก้ไขโดยการเช็ค 3 จุดนี้ คือ

  • ลองเช็คดูว่าระบบสายไฟที่ส่งมายังคลัตช์คอมเพรสเซอร์นั้นทำงานปกติไหม? บกพร่องหรือไม่
  • ลองเช็คชุดสวิตช์ระดับเซ็นเซอร์ที่ทำหน้าที่ควบคุมความเย็นว่าทำงานปกติไหม หรือมีการเสื่อมสภาพ
  • ทำการปรับแต่งหน้าคลัตช์ให้เรียบเสมอ และตั้งระยะคลัตช์ใหม่ (การติดตั้งคลัตช์ใหม่จะมีค่าใช้จ่ายสูง)

7. สายพานคอมเพรสเซอร์หย่อนมากเกินไป

หากสายพานคอมเพรสเซอร์แอร์หย่อนมากเกินไป ก็เป็นปัญหาหลักที่ทำให้แอร์ไม่เย็นได้ เพราะจะทำให้คอมเพรสเซอร์ที่กำลังทำงานอยู่เกิดการฟรีได้ ส่งผลให้ไม่สามารถที่จะฉุดให้คอมเพรสเซอร์หมุนได้ ลองเช็คโดยการติดเครื่องยนต์แล้วเปิดแอร์ จากนั้นสังเกตุดูว่าหากมีอาการคอมเพรสเซอร์ทำงานอยู่แล้วเกิดเสียงดัง ส่งผลให้แอร์รถไม่ค่อยเย็นหรือไม่มีความเย็นเลย สามารถแก้ไขโดยการปรับระดับสายพานให้ตึงขึ้น แต่ต้องระวัง หากสายพานมีรอยแตกหรือฉีกขาดควรเปลี่ยนเส้นใหม่ ไม่ควรใช้เส้นเดิม

8. การใช้น้ำยาแอร์ที่ผิดประเภท

การเลือกใช้น้ำยาแอร์ก็เป็นสิ่งสำคัญที่ควรให้ความสนใจ เพราะนอกจากจะส่งผลให้ แอร์รถไม่เย็น แล้ว ยังสร้างความเสียหายให้กับเครื่องยนต์ได้อีกด้วย รวมถึงการเลือกใช้น้ำยาแอร์ผิดประเภทหรือใช้น้ำยาแอร์ที่ผสมน้ำยาปลอมมา จะส่งผลเสียต่อระบบแอร์รถยนต์ได้ ทำให้อุปกรณ์ในระบบแอร์รถยนต์เกิดความเสียหาย เนื่องจากไม่สามารถทนแรงดันสูงที่บริษัทผู้ผลิตรถยนต์ได้ออกแบบไว้ ยังทำให้อุปกรณ์ต่างๆ ภายในเครื่องยนต์ค่อยๆ เสียหายและหมดอายุการใช้งานก่อนกำหนด

Why-Air-Conditioner-In-Car-Not-Cold

ทั้งหมดนี้เป็นต้นเหตุที่ทำให้ แอร์รถไม่เย็น ซึ่งคุณสามารถเช็คอาการเหล่านี้ได้ด้วยตัวเอง และนำวิธีแก้ไขของแต่ละสาเหตุไปใช้กับรถยนต์ของคุณได้ เพราะหากพบว่ามีอาการใดอาการหนึ่งที่เราได้บอกไป ให้รีบทำการแก้ไขและซ่อมแซมทันที เพื่ออายุการใช้งานของรถที่ยาวนานขึ้น และประสิทธิภาพในการขับขี่รถยนต์ที่ดีของคุณ หากรถยนต์มีประสิทธิภาพที่ดี ความปลอดภัยในการขับขี่ก็ดีตามไปด้วยเช่นกัน

แต่ถ้าอยากได้รับความคุ้มครองในกรณีเกิดเหตุที่คาดไม่ถึงจากการใช้รถใช้ถนน ก็อย่าลืมทำประกันรถยนต์ให้กับรถคู่ชีพของคุณด้วย เพราะอุบัติเหตุเกิดขึ้นได้เสมอ และเมื่อคุณมีประกันรถยนต์ที่ครอบคลุมเอาไว้ด้วยแล้ว ก็จะช่วยให้คลายความกังวลใจไปได้ ที่ Roojai.com ประกันรถยนต์และมอเตอร์ไซค์ออนไลน์ ซื้อง่าย ราคาดี และเชื่อถือได้ พร้อมชำระเบี้ยแบบผ่อนได้ด้วยสูงสุด 10 งวดผ่านบัตรเดบิต ซื้อประกันออนไลน์ที่ Roojai.com คุ้มครองทันที ราคาดีโดนใจ

และถ้าไม่อยากพลาดโปรโมชั่นใหม่ ๆ และเรื่องราวดี ๆ ก็สามารถติดตามเราได้ผ่านทาง Official Fanpage: Roojai.com หรือ add Official Line ของเราไว้ได้เลย

To-Do-List-When-Buying-New-Car

ว่าด้วยการ ซื้อรถใหม่ รถใหม่ราคาถูก ที่จัด “โปรฯ แรง” ราคารถใหม่ที่เงินดาวน์รถต่ำ ผ่อนรถถูก จะซื้อรถด้วยเหตุผลแค่นี้อาจยังไม่พอ เพราะก่อนคุณเป็นเจ้าของรถสักคันอาจต้องทำการบ้านสักหน่อย เมื่อรถไม่ใช่ราคาบาทสองบาท ถ้าจ่ายเงินเป็นหลักแสนหลักล้านแต่ได้รถที่ไม่คุ้มค่าคุ้มราคา จะเอาไปเปลี่ยนเหมือนเสื้อผ้าที่ใส่ไม่ได้ก็คงไม่ใช่ คุณว่าจริงมั้ย ?

To-Do-List-When-Buying-New-Car

ดังนั้น Roojai.com จึงอยากพาคุณไปดูกันกับ “สิ่งที่ต้องทำ” To Do List ก่อนที่คุณจะตัดสินใจซื้อรถใหม่สักคัน ไม่ยาก เพียงตอบคำถามง่าย ๆ คุณก็จะได้มาซึ่งรถคันที่ถูกใจตอบโจทย์ในการใช้งานมากที่สุดแล้ว ซื้อรถใหม่ ต้องดูอะไรบ้าง วันนี้เรามีคำตอบมาให้แล้ว

ซื้อรถใหม่ ต้องไม่ลืมทำเช็คลิสต์ต่อไปนี้

สิ่งแรกใน ขั้นตอนการซื้อรถใหม่ ป้ายแดงทำได้ไม่ยากเลย เพียงแค่คุณต้องตอบคำถามของตัวเองเกี่ยวกับรถคันที่กำลังสนใจซื้อตามเช็คลิสต์ต่อไปนี้ ดูว่าทำแล้วหรือยัง ซึ่งคำถามที่สำคัญจะมีดังต่อไปนี้

1. เช็คลิสต์งบประมาณในการซื้อรถอยู่ที่เท่าไร

สำคัญที่สุดใน การซื้อรถใหม่ นั่นก็คือเรื่องของงบประมาณในการซื้อ ถ้าคุณตอบได้ในข้อนี้ ตัวเลือกรถที่ชัดเจนขึ้นก็จะมากกว่าเดิม หาได้แค่ว่าฉันชอบรถรุ่นนั้น คันนี้สวยดี หรือกำลังจัดโปรเร้ากระชากใจดาวน์ 0% ผ่อนถูกสบาย ๆ แบบนั้นไม่ได้ เพราะคุณจะต้องรู้งบประมาณในการซื้อรถของคุณก่อนว่าอยู่ที่เท่าไร (หรือพอใจที่จะเป็นหนี้แค่ไหน) ในกรณีที่ซื้อผ่านไฟแนนซ์

2. เช็คลิสต์ว่ารถประเภทไหนที่คุณต้องการ “จริงๆ”

ต่อไปที่ต้องเช็คลิสต์กันก็คือเรื่องของประเภทรถ ซึ่งในตลาดบ้านเรามีที่นิยมอยู่หลายประเภทแตกต่างตามการใช้งาน และคำถามที่คุณต้องตอบให้นั้นก็คือ คุณจะซื้อรถไปทำอะไรเป็นหลัก เน้นโดยสารคนหรือบรรทุกของใช้ประกอบอาชีพ เป็นรถสำหรับครอบครัวโดยสารหลายคนหรือเน้นขับไปทำงานใช้ 1-2 คนเป็นประจำมากกว่า ถ้าตรงนี้ชัด รถที่ใช่สำหรับคุณก็จะชัดเจนมากขึ้นตามว่าเป็นรุ่นไหน แบรนด์อะไร

To-Do-List-When-Buying-New-Car

3. เช็คลิสต์ศูนย์บริการใกล้บ้านว่ามีมั้ยด้วย

ข้อนี้คงต้องโฟกัสไปที่เรื่องของแบรนด์รถหรือยี่ห้อ โดยเฉพาะสาว ๆ ที่บางทีการแก้ปัญหาเกี่ยวกับรถคือการเลี้ยวเข้าศูนย์บริการเป็นหลัก ดังนั้นเรื่องศูนย์บริการเพื่อการตรวจเช็คสภาพหรือแก้ปัญหาเกี่ยวกับรถจึงมีความสำคัญด้วยไม่น้อย เพราะบางทีคุณอาจได้รถที่ใช่ตรงใจออกมาแล้ว แต่ติดที่แบรนด์รถนั้น ๆ มีศูนย์บริการอยู่ไกลบ้านเกินไปก็อาจทำให้ต้องเปลี่ยนใจไปเป็นรถตัวเลือกที่ 2-3 ได้ด้วยเหมือนกัน

4. เช็คลิสต์ “ฟีล” การใช้งานจริงเมื่อทดลองขับ

อีกขั้นตอนสำคัญของการซื้อรถใหม่ ป้ายแดง ราคาถูก และให้ถูกจริตคุณมากที่สุดจะต้อง “ทดลองขับ” ทดลองการใช้งานเหมือนใช้รถจริง การขับขี่เป็นอย่างไรเมื่อนำรถไปใช้จริง อัตราเร่งโอเคมั้ย ห้องโดยสารกว้างพอสำหรับคุณหรือเปล่า การทดลองขับนี้จะช่วยตอบทุกคำถามให้คุณได้หมดในนี้

5. เช็คลิสต์เงินดาวน์ที่มีและยอดค่างวดที่ไหวไม่หนักเกินไป

ซื้อรถป้ายแดงถ้าไม่มีโปรเร้าใจอะไรให้ตื่นตา อย่างดาวน์ 0% ก็จะต้องมีเรื่องเงินดาวน์เข้ามาเกี่ยวข้องซึ่งคุณต้องมีเตรียมไว้ 15%-30% หรือมากกว่านั้นของราคารถ คุณมีอยู่เท่าไร เตรียมไว้แค่ไหน อย่าลืมว่า! ยิ่งดาวน์มากค่างวดผ่อนก็จะยิ่งถูกลง ระยะเวลาในการผ่อนก็สั้นลง เช่นเดียวกันกับยอดค่างวดที่ผ่อนไหวคุณก็ต้องรู้ประมาณตัวเองได้ด้วยว่าต้องไม่หนักอึ้งจนเกินไป เพราะไม่เช่นนั้นจะเข้าอีหรอบประมาณว่ามีรถใหม่ป้ายแดงขับ แต่ชีวิตความเป็นอยู่กลับแย่ลงกว่าเดิมได้เพราะเอาเงินไปผ่อนค่ารถหมดนั่นเอง

To-Do-List-When-Buying-New-Car

6. เช็คลิสต์เอกสารซื้อรถ มีอะไรบ้างที่คุณต้องเตรียม

สมมติว่าเมื่อได้ออกมาแล้วสำหรับรถคันที่ตรงใจคุณมากที่สุด จะไปซื้อละก็ต้องมีการเตรียมเอกสารต่าง ๆ ไปด้วย เช็คลิสต์ให้ดีเตรียมให้พร้อม และต่อไปนี้คือเอกสารซื้อรถที่คุณจะต้องใช้เมื่อซื้อรถป้ายแดง มีอะไรบ้างไปดูกันเลย

  • สำเนาบัตรประชาชน
  • สำเนาทะเบียนบ้าน
  • หนังสือรับรองเงินเดือน หนังสือรับรองการทำงาน หรือสลิปเงินเดือน
  • สเตทเมนต์เงินเดินบัญชีย้อนหลัง 6 เดือน

7. เช็คลิสต์เตรียมค่าประกันภัยรถยนต์เอาไว้ด้วย

ซื้อรถป้ายแดง รถยนต์ จากศูนย์ใหม่ ๆ เขาจะบังคับให้ทำประกันกับทางศูนย์ซึ่งคุณอาจเลือกประกันรถยนต์ไม่ได้ในปีแรก และในส่วนนี้คุณจำเป็นจะต้องมีเตรียมไว้ด้วยในกระเป๋า ราคาของประกันก็จะอยู่ประมาณ 10,000-30,000 บาท/ปี โดยเฉลี่ย คุณต้องมีเตรียมไว้ในกระเป๋าด้วยเพิ่มเติมจากเงินดาวน์

ข่าวดีก็คือถ้าใช้รถเข้าปีที่สองแล้ว คุณก็สามารถ เลือกประกันรถยนต์ ได้ด้วยตัวเองเพื่อให้ตอบโจทย์การใช้งานและงบประมาณได้มากขึ้น แนะนำ! เลือกซื้อประกันรถยนต์ออนไลน์ จาก Roojai.com ที่มีให้เลือกเยอะกว่า ปรับแต่งแผนกรมธรรม์เองได้ตามที่คุณใช้งานจริง ที่สำคัญยังผ่อนได้นานสูงสุดถึง 10 งวด สบาย ๆ ไม่บล็อกวงเงิน ผ่อนผ่านบัตรเดบิตก็ได้อีกด้วย ช่วยให้ค่าใช้จ่ายในส่วนนี้เป็นเรื่องง่ายมากกว่าเดิมที่ต้องจ่ายตู้ม! เดียวเป็นหลักหมื่น

ซื้อรถใหม่ ป้ายแดง “ให้คุ้มกว่า” ไม่ใช่เรื่องยาก เพียงทำเช็คลิสต์ตามที่เรานำมาฝากนี้ คุณก็จะได้รถที่ตอบโจทย์ตรงใจมากกว่าแค่รถใหม่ธรรมดาคันหนึ่งแล้ว ก่อนเลือกซื้อรถ ลองนำไปใช้กันดูกับสิ่งที่ต้องทำ รับประกันว่ารถคันใหม่ที่คุณขับนี้จะคุ้มค่า ไม่มีคำว่า “คิดผิด” เข้ามารบกวนใจอย่างแน่นอน

Pros-And-Cons-About-New-Mag-Wheel

สิ่งหนึ่งที่นิยมทำกันเพื่อช่วยเพิ่มความสวยงามหรือเสริมความเท่ห์ให้กับรถคันเก่งของคุณก็คือ การเปลี่ยนล้อแม็กรถยนต์ ซึ่งโดยทั่วไปจะนิยมเพิ่มขนาดความกว้างของล้อแม็กไปพร้อมๆ กับการใช้ชุดแต่งสเกิร์ต เพื่อทำให้รถดูโหลดเตี้ยลงอีกนิด ถือเป็นการปรับโฉมยอดนิยมที่ “เพิ่มความคูล” ให้กับรถของคุณได้แบบผิดหูผิดตา

แต่อย่างไรก็ตาม ข้อเสียของการเปลี่ยนล้อแม็กรถยนต์ที่คุณอาจจะยังนึกไม่ถึง มีด้วยกันอยู่หลายข้อ ไม่นับรวมกับค่าใช้จ่ายหลักหมื่นที่เพิ่มขึ้นมาจากการซื้อแม็กทั้ง 4 ล้อ ยิ่งถ้าหากเลือกวัสดุทำสีพิเศษ แล้วเป็นอัลลอยน้ำหนักเบาด้วยแล้วล่ะก็ ต้นทุนค่าทำสวยครั้งนี้ก็หมดไปไม่น้อยเลยทีเดียว

โดยสิ่งที่คุณควรรู้ก่อนเปลี่ยนล้อแม็กนั้น เป็นสิ่งที่คุณควรพิจารณาร่วมกับขนาดของล้อแม็กที่ต้องการจะเปลี่ยน เพราะว่าส่งผลกับความปลอดภัยในการขับขี่ของคุณได้นั่นเอง

การขับขี่หลังจากเปลี่ยนล้อแม็กรถยนต์

ทั่วไปแล้วคนมักจะมีความเข้าใจว่า การเปลี่ยนล้อแม็กรถยนต์ให้มีขนาดใหญ่ขึ้น ซึ่งก็จะต้องใช้ยางรถยนต์ที่มีหน้ายางกว้างขึ้นกว่าเดิมด้วยนั้น จะช่วยให้รถของคุณเกาะถนนได้ดีขึ้นกว่าเดิม เรื่องนี้ก็มีความจริงอยู่ แต่ว่าก็ไม่ได้เป็นแบบนี้ในทุกกรณี เนื่องจากต้องพิจารณาในเรื่องของกำลังแรงม้า และขนาดของล้อแม็กที่คุณเลือกด้วย เพราะว่าถ้าผิวสัมผัสของหน้ายางกับพื้นถนนมีมาก อีกทั้งกำลังส่งหรือเครื่องยนต์ของรถคุณนั้นมีกำลังไม่มากพอ จะเกิดอาการ “พวงมาลัยรถหนัก”

อาการที่ว่านี้จะทำให้คุณขับขี่ไม่คล่องตัวเหมือนเดิม การบังคับพวงมาลัยรถเพื่อเลี้ยวจะทำได้ลำบากขึ้น เรียกง่ายๆ ว่า เกิดแรงต้านมากขึ้น เพราะล้อทั้ง 4 ล้อมีผิวสัมผัสกับถนนเพิ่มมากขึ้น ถึงแม้จะทำให้คุณรู้สึกว่ารถเกาะถนนดีขึ้น แต่กลับไม่สามารถบังคับพวงมาลัยรถได้ง่ายเหมือนเดิม ซึ่งอาจจะทำให้เกิดอันตรายได้เมื่อมีการเปลี่ยนเลนในระยะกระชั้นชิด รวมไปทั้งการถอยรถเข้าจอดในซองก็จะค่อนข้างลำบาก

Pros-And-Cons-About-New-Mag-Wheel

ข้อเสียของการเปลี่ยนล้อแม็กรถยนต์ มีอะไรบ้าง? ไปดูกัน

นอกจากปัญหาเรื่องการบังคับรถยาก ซึ่งอาจส่งผลให้เกิดอุบัติเหตุระหว่างขับขี่ได้แล้วนั้น ข้อเสียของการเปลี่ยนล้อแม็กรถยนต์ที่คุณควรรู้เอาไว้ก่อนตัดสินใจ ยังมีด้วยกันอีกหลายข้อ ดังนี้

  • ทำให้ช่วงล่างแข็งขึ้น

โดยทั่วไปเมื่อยางมีขนาดใหญ่ขึ้น แก้มยางก็จะเตี้ยลง ผลที่ตามมาก็คือ ช่วงล่างจะแข็งขึ้น ไม่นุ่มสบายเหมือนกับที่โรงงานตั้งค่ามาให้ตั้งแต่ต้น แก้มยางที่บางลงจะส่งผลโดยตรง กับการซับแรงกระแทกหรือแรงสั่นสะเทือนจากพื้นถนน ถ้าหากโชคร้ายขับรถตกหลุมด้วยความเร็วสูงล่ะก็ โอกาสเสี่ยงที่ยางระเบิดจะมีสูงด้วยเช่นกัน ในกรณีที่เลวร้ายมาก ๆ อาจทำให้ “ล้อดุ้ง” เลยก็มี

  • ออกตัวอืดและมีอัตราเร่งแย่ลง

ล้อและยางที่มีขนาดใหญ่ขึ้นนั้น จำเป็นต้องใช้แรงบิดจากเครื่องยนต์มากขึ้นกว่าเดิม เพื่อไปกระทำต่อล้อและส่งกำลังให้ล้อหมุนไปข้างหน้าได้ จึงส่งผลให้รถออกตัวได้อืดกว่าเดิม รวมถึงในกรณีที่ต้องการเร่งแซง คุณจำเป็นที่จะต้องเหยียบคันเร่งมากขึ้น เพื่อเร่งให้รถวิ่งได้เร็วขึ้นตามที่ต้องการ เพราะพื้นผิวสัมผัสของยางรถยนต์ กับพื้นถนนมีมาก จึงเร่งเครื่องรถยนต์ ได้ไม่ดีเท่ากับล้อมาตรฐานที่มาจากโรงงาน

  • กินน้ำมันมากกว่าเดิม

ผลที่ตามมาจากการที่ต้องเร่งเครื่องยนต์ให้แรงขึ้นเพื่อให้รถวิ่งได้ในความเร็วที่ต้องการ แน่นอนว่ารถจะกินน้ำมันมากขึ้น เพราะเกิดพื้นที่เสียดทานระหว่างหน้ายางและผิวถนน มากกว่าเดิม จึงต้องใช้กำลังเครื่องยนต์มากกว่าเดิมในการขับเคลื่อน โดยทั่วไปจะสิ้นเปลืองเพิ่มขึ้นประมาณ 2-3 กิโลเมตรต่อลิตร แต่ทั้งนี้ก็ขึ้นอยู่กับวิธีการขับรถของแต่ละคนด้วย

  • ไมล์ความเร็วอ่านค่าผิดเพี้ยน

การตั้งค่าไมล์ความเร็วของวิศวกรจากโรงงาน จะตั้งค่าเรือนไมล์ให้มีความเร็วถูกต้องตรงตามขนาดล้อและยางของรถแต่ละรุ่น สเปคตามโรงงาน แต่ถ้าคุณนำรถไปเปลี่ยนแม็กและยางเอง จะทำให้เกิดปัญหาที่เรียกว่า “ไมล์แข็งขึ้น” หรือความเร็วบนหน้าปัดที่แสดงนั้น น้อยกว่าความเร็วจริงที่คุณขับขี่อยู่ ซึ่งจะส่งผลให้คุณได้รับใบสั่งที่บอกว่า ขับด้วยความเร็วเกินกำหนดแบบไม่รู้ตัว

  • ค่าบำรุงรักษาแสนแพง

เมื่ออยากได้รถสวยก็ต้องทำใจ เรื่องนี้เป็นความจริงเกี่ยวกับยางรถยนต์ด้วย เพราะยางที่ใหญ่ขึ้น จะมีราคาสูงกว่ายางขนาดปกติพอสมควรเลย เมื่อถึงอายุการใช้งานที่จะต้องเปลี่ยนยางแต่ละครั้ง มีค่าใช้จ่ายหลักหมื่นรออยู่แน่นอน และถ้าหากคุณไม่ได้อาศัยอยู่ในพื้นที่ตัวเมือง ยางบางรุ่นก็จะกลายเป็นของหายากโดยปริยาย เพราะที่ร้านก็จะไม่ค่อยสต๊อกยางแต่งในลักษณะนี้เอาไว้เท่าไหร่

ถึงแม้ข้อเสียของการแต่งล้อแม็กรถยนต์นั้นจะมีด้วยกันอยู่หลายข้อ แต่ใช่ว่าจะไม่มีข้อดีเสียทีเดียว เพราะการเลือกขนาดของล้อแม็กที่ใหญ่ขึ้นกว่าเดิมเพียงเล็กน้อย จะช่วยให้รถของคุณมีสมรรถนะในการขับขี่ที่ดีขึ้น

Pros-And-Cons-About-New-Mag-Wheel

แล้วข้อดีของการเปลี่ยนล้อแม็กรถยนต์ล่ะ มีอะไรบ้าง?

ในวงการยานยนต์เริ่มมีการใช้ล้อขนาดใหญ่ขึ้น เนื่องจากทางวิศวกรมีความต้องการที่จะเช็กรถให้มีความสามารถในการขับขี่มากขึ้น อีกทั้งต้องการเพิ่มความสวยงามโดดเด่นให้กับรถรุ่นใหม่ ๆ ให้มีความสะดุดตามากกว่า ดังนั้นจึงเป็นที่ยอมรับกันดีว่า การเปลี่ยนล้อแม็กรถยนต์นั้นมีข้อดีด้วยกันหลายอย่าง ดังนี้

  • เพิ่มความสวยงามสะดุดตา

การเปลี่ยนล้อแม็กให้มีขนาดใหญ่ขึ้น จะช่วยให้ล้อดูเต็มซุ้ม ไม่มีพื้นที่ช่องว่างระหว่างซุ้มล้อกับยาง ดูแล้วสวยงาม อีกทั้งยังสามารถบ่งบอกถึงคาแรกเตอร์ของเจ้าของรถ หรือให้ความรู้สึกที่เป็นเอกลักษณ์เกี่ยวกับรถคันนั้นได้อีกด้วย ไม่ต่างจากการทำสีรถเลย

  • เพิ่มการเกาะถนนให้ดียิ่งขึ้น

อย่างที่เกริ่นไปแล้วว่าเมื่อแต่งล้อแม็กรถยนต์ให้มีขนาดใหญ่ขึ้น ก็จำเป็นที่จะต้องเปลี่ยนยางที่มีขนาดใหญ่ขึ้นตามไปด้วย ขนาดยางที่มีหน้าสัมผัสเพิ่มมากขึ้น จะทำให้รถสามารถเกาะถนนได้ดีขึ้นกว่าเดิม เข้าโค้งได้ดีกว่าเก่า เพราะพื้นสัมผัสที่เพิ่มขึ้นในทั้ง 4 ล้อ รวมไปถึงแก้มยางที่เตี้ยลง จะช่วยลดการโยนตัวในระหว่างที่เข้าโค้งด้วยความเร็วนั่นเอง

  • เบรกดีกว่าเดิม

คุณจะได้ประสิทธิภาพของระบบเบรกที่ดีขึ้นกว่าเดิมซึ่งเป็นผลโดยตรงจากการใช้ยางที่มีหน้าสัมผัสใหญ่ขึ้น เมื่อคุณเหยียบเบรก จะสามารถสั่งห้ามล้อหรือลดความเร็วได้ดีกว่าเก่า ทำให้เกิดความรู้สึกมั่นใจและปลอดภัยกว่าเดิม โดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับการขับรถทางไกล ที่ใช้ความเร็วสูงสม่ำเสมอในการเดินทาง

เมื่อคุณรู้แล้วว่าข้อดีและข้อเสียของการเปลี่ยนล้อแม็กรถยนต์เป็นอย่างไร เมื่อต้องการเลือกที่จะเปลี่ยนล้อ ก็อย่าลืมคำนึงถึงขนาดของล้อแม็กที่ไม่ใหญ่จนเกินไป ซึ่งจะทำให้เกิดความปลอดภัยและได้สมรรถนะการขับขี่ที่ดีขึ้น แต่ก็เป็นเรื่องที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ที่จะมีค่าใช้จ่ายสูงขึ้นกว่าการใช้ล้อและยางมาตรฐานที่มาจากโรงงาน โดยในส่วนของความสิ้นเปลืองอัตราการใช้น้ำมันที่มากขึ้นนั้น ก็จะเป็นรายจ่ายคงที่ที่จะเกิดขึ้นต่อเนื่องเรื่อย ๆ ส่วนค่าใช้จ่ายสำหรับการบำรุงรักษาตามระยะทาง ก็จะโดนเป็นแบบครั้งคราวไป

และถ้าหากคุณอยากขับขี่และใช้รถใช้ถนนได้อย่างอุ่นใจ ก็อย่าลืมมองหาการคุ้มครองด้วยการซื้อประกันรถยนต์ที่เหมาะสมกับลักษณะการขับขี่ของคุณ ที่ Roojai.com เรามีประกันรถยนต์หลากหลายรูปแบบ รวมถึงประกันมอเตอร์ไซค์และบิ๊กไบค์สำหรับชาวไบค์เกอร์อีกด้วย เพียงกรอกข้อมูลเบื้องต้นเกี่ยวกับรถและผู้ขับขี่ สามารถเช็คเบี้ยประกันและความคุ้มครองของประกันแต่ละรูปแบบ พร้อมทั้งซื้อได้ภายใน 5 นาที พร้อมผู้เชี่ยวชาญที่จะคอยให้คำปรึกษากับคุณ เพื่อเลือกแผนประกันรถยนต์ที่เหมาะสมกับคุณมากที่สุด

และถ้าหากไม่อยากพลาดโปรโมชั่นใหม่ๆ และเรื่องราวดีๆ ก็สามารถ Add Official Line ของเราได้ที่ http://nav.cx/8tzQPw8

Prevent-Back-Pain-While-Driving

ขับรถบ่อย ๆ นั่งอยู่หลังพวงมาลัยวันละหลาย ๆ ชั่วโมง ไม่ว่าจะเป็นการขับฝ่ารถติดในคืนวันศุกร์แห่งชาติ หรือเดินทางไปเที่ยวพักผ่อนต่างจังหวัด หากคุณไม่ได้ปรับท่านั่งในการขับรถให้ดี ระวังจะมีปัญหาปวดหลัง ปวดเอวเมื่อเดินทางถึงที่หมาย ซ้ำร้ายกว่านั้น หากต้องขับรถในท่าทางที่ไม่ถูกต้องอยู่เป็นประจำ อาจส่งผลให้ปวดหลังเรื้อรัง อีกทั้งอาจทำให้ขับรถไม่ปลอดภัยอีกด้วย เราจึงได้รวบรวมเทคนิคขับรถไม่ให้ปวดหลัง ซึ่งจะช่วยให้คุณมีท่าทางในการขับรถที่ถูกต้องเมื่ออยู่หลังพวงมาลัย ซึ่งจะช่วยให้คุณสามารถขับรถได้อย่างสบาย อีกทั้งยังเพิ่มความปลอดภัยในการขับขี่ด้วยเช่นกัน

Prevent-Back-Pain-While-Driving

มานั่งขับรถให้ถูกวิธีกันดีกว่า Roojai.com จะพาทุกคนไปดูวิธีปรับท่านั่งบนรถให้ถูกวิธี หนีอาการปวดหลังเมื่อต้องอยู่บนรถนาน ๆ วิธีการจะเป็นอย่างไร ตามไปดูกันเลย

ขับรถไม่ให้ปวดหลัง เรื่องง่าย ๆ แค่ปรับเบาะกับท่าทาง

คนขับรถหลาย ๆ คนมักจะเข้าใจผิดว่าการขับรถให้สบายนั้น ควรจะปรับเอนหลังเบาะลงไปเยอะหน่อย แล้วนั่งพิงหลังไป วางแขนวางเท้าให้สบาย จะทำให้สามารถขับรถได้ผ่อนคลายและร่างกายไม่เมื่อยล้า ซึ่งทั้งหมดนี้เป็นความเชื่อที่ผิดเกี่ยวกับการปรับเบาะไม่ให้ปวดหลัง เพราะการขับรถนั้น ร่างกายหลาย ๆ ส่วนต้องทำงานให้สอดคล้องกัน เพื่อควบคุมรถของคุณให้ขับเคลื่อนไปได้อย่างปลอดภัย ใช้สายตาในการมองจ้องไปบนท้องถนนตลอดเวลา แขนทั้งสองข้างถือพวงมาลัย เตรียมเลี้ยวซ้าย เลี้ยวขวา เปลี่ยนเกียร์ และต้องใช้เท้าในการเหยียบคันเร่ง เหยียบเบรก เพื่อขับเคลื่อนรถไปข้างหน้า

ซึ่งถ้าคุณปรับเบาะเอนหลังต่ำจนเกินไป การมองเห็นของคุณก็จะทำได้ไม่ดี เหลือพื้นที่กระจกให้คุณสามารถมองเห็นได้น้อยลง จะมองกระจกข้างทีก็ต้องยกตัวขึ้นมา ชะโงกหน้า เอี้ยวตัวหลายครั้งกว่าจะเห็นจนชัด ต้องเอื้อมมือหรือยืดแขนมาบังคับพวงมาลัย ซึ่งส่งผลให้ต้องเกร็งแขนยกไหล่ตลอดเวลาที่ขับรถ เท้าเหยียบคันเร่ง เหยียบเบรกไม่ถนัด เพราะถอยเบาะไกลจากคันเร่งเกินไป ทำให้ต้องเกร็งขาเอาไว้ตลอดเวลาที่ขับรถ ทั้งหมดนี้เป็นปัจจัยที่ทำให้เกิดอาการปวดหลังได้ นอกจากนี้ยังเพิ่มความเสี่ยงในการเกิดอุบัติเหตุในการขับรถอีกด้วย เพราะท่าทางที่ไม่ถูกต้องส่งผลให้บังคับรถได้ไม่ดีเท่าที่ควร

Prevent-Back-Pain-While-Driving

ดังนั้น การปรับเบาะ ปรับท่าทางในการขับรถของคุณให้อยู่ในตำแหน่งที่เหมาะสม จะช่วยลดอาการเกร็งส่วนต่าง ๆ เพิ่มประสิทธิภาพในการตอบสนองของร่างกายเมื่อเกิดเหตุไม่คาดฝัน ช่วยให้มองเห็นถนนได้ดียิ่งขึ้น ลดการเอี้ยว การเอื้อม เพื่อมองกระจกข้าง กระจกหลังให้เห็นได้ชัดเจน โดยมีเทคนิคง่าย ๆ ดังนี้

  1. ปรับพนักพิงเอนหลังเล็กน้อยก็พอ

สำหรับองศาของพนักพิงเอนหลังจะอยู่ที่ประมาณ 110 องศา ซึ่งจะไม่ใช่การเอนเบาะลงไปมาก ๆ อย่างที่คุณเข้าใจว่าจะทำให้เกิดความสบาย แต่การปรับเบาะตามคำแนะนำนี้ จะช่วยให้คุณมีระยะในการมองเห็น หรือได้ทัศนวิสัยข้างหน้าสมบูรณ์ที่สุด ช่วยลดการชะเง้อ เบี่ยงตัว หันซ้าย หันขวา รวมทั้งไม่ต้องเอื้อมไปจับพวงมาลัยให้หัวไหล่ถูกใช้งานหนักตลอดเวลาด้วย

  1. ปรับเบาะนั่งขับรถ ให้ห่างแบบพอดี

การเลื่อนเบาะออกไปห่างจนเกินไป ส่งผลให้คุณจับพวงมาลัย และเหยียบคันเร่งได้ไม่ถนัด ซึ่งอาจจส่งผลให้เหยียบเบรกได้ไม่สุด หรือตอบสนองได้ไม่ดีเมื่อมีอุบัติเหตุเกิดขึ้น การเลื่อนเบาะให้อยู่ในระยะที่พอดี สามารถเหยียบคันเร่งและเบรกได้แบบเต็ม ๆ เท้า หัวเข่างอเล็กน้อย ช่วงแขนถึงพวงมาลัยอยู่ในระยะที่จับพวงมาลัยได้ถนัด สามารถบังคับทิศทางได้ง่าย จะช่วยให้คุณสามารถขับรถได้สบายมากขึ้น โดยที่คงความปลอดภัยสูงสุดเอาไว้

Prevent-Back-Pain-While-Driving

  1. ปรับความสูงเบาะรถยนต์ ให้สอดคล้องกับความสูงคุณ

รถยนต์รุ่นใหม่ ๆ ที่เป็นเบาะไฟฟ้าจะสามารถปรับความสูงของเบาะนั่งขึ้นลงได้ด้วย ซึ่งถ้าหากคุณเป็นคนตัวเล็ก ก็ควรยกเบาะให้สูงขึ้นเพื่อที่จะได้มองเห็นถนนได้ชัดเจนมากขึ้น ไม่ใช่เห็นพื้นที่ตรงคอนโซลเยอะจนเกินไป สำหรับคนตัวสูงก็ควรปรับเบาะลงมาให้ต่ำ โดยระยะห่างที่แนะนำระหว่างศีรษะถึงหลังคาจะอยู่ที่หนึ่งกำปั้น ซึ่งคุณสามารถเช็คได้ง่าย ๆ ด้วยตัวเองว่าปรับความสูงเบาะได้ระดับที่เหมาะสมหรือยัง

  1. ปรับพวงมาลัย ระยะห่างพวงมาลัยให้เหมาะสม

เช่นเดียวกันกับเรื่องการปรับเบาะที่นั่ง พวงมาลัยของรถยนต์รุ่นใหม่  ๆ สามารถปรับระดับได้ทั้งดึงเข้า ดึงออก และสูงขึ้นหรือต่ำลง คุณจึงหาระยะที่เหมาะสมที่จะทำให้คุณสามารถบังคับพวงมาลัยได้ถนัดมากที่สุด ไม่ต้องเกร็งร่างกายเมื่อต้องขับรถเป็นเวลานาน ๆ

  1. จับพวงมาลัยให้ถูกวิธีก็สำคัญ

อีกหนึ่งเรื่องที่มองข้ามไม่ได้เลยคือการจับพวงมาลัยให้ถูกต้อง เนื่องจากเป็นอุปกรณ์ที่ใช้ในการควบคุมรถยนต์ ซึ่งจะต้องอยู่ในมือของคุณตลอดการขับขี่ การจับพวงมาลัยหลวมหรือแน่นเกินไป นอกจากจะทำให้เมื่อยแล้ว ยังทำให้ไม่สามารถบังคับพวงมาลัยให้ดีได้เท่าที่ควร ตำแหน่งการจับพวงมาลัยที่ถูกต้อง มือของคุณจะต้องอยู่ที่ตำแหน่ง 9 และ 3 นาฬิกา ซึ่งจะช่วยให้คุณสามารถหมุนพวงมาลัยได้ถนัดและไม่หลุดมือนั่นเอง

  1. ปรับหัวเบาะให้รองรับคอให้พอดี

การขับขี่ทางไกล หรือการขับรถที่ใช้เวลานาน ควรปรับหัวเบาะของพนักพิงให้รองรับกับช่วงศีรษะและลำคอของคุณด้วย เพราะนอกจากจะทำให้คุณได้ใช้โอกาสพิงเพื่อผ่อนคลายความเมื่อยล้าที่คอของคุณแล้ว ในกรณีที่เกิดอุบัติเหตุขึ้นมา เจ้าเบาะนี้จะทำหน้าที่ช่วยรองรับแรงกระแทกที่เกิดขึ้นจากการชน ช่วยลดอาการบาดเจ็บที่จะเกิดขึ้นกับคอหรือศีรษะของคุณได้ ซึ่งเป็นอีกเรื่องที่ไม่ควรมองข้ามเช่นกัน

  1. ปรับกระจกมองข้างให้เป็นมุมกว้าง

การขับรถที่ดีต้องมีทัศนวิสัยในการขับขี่ที่สมบูรณ์ด้วย การปรับกระจกมองข้างจึงควรปรับให้เห็นเป็นมุมกว้าง เห็นรถคันอื่นชัด ๆ เห็นพื้นที่ถนนเยอะ ๆ มากกว่าที่จะเห็นตัวรถของคุณเป็นหลัก โดยให้กระจกข้างตั้งฉากกับตัวรถของคุณ จะได้เห็นสิ่งรอบข้างได้อย่างชัดเจน

  1. ปรับกระจกหลัง ให้เห็นรถหลังที่ขับตามมา

ซึ่งควรปรับแบบตรง ๆ ให้เห็นถนนด้านหลังทั้งหมดได้อย่างชัดเจน ซึ่งจะทำให้คุณสามารถมองกระจกหลังได้ง่ายขึ้น ร่างกายไม่ต้องยืดขึ้นยืดลง เอี้ยวไปเอี้ยวมา เพื่อทำให้เห็นรถข้างหลังได้อย่างชัดเจน เป็นอีกหนึ่งเทคนิคขับรถไม่ให้ปวดหลัง ที่ทำได้ง่ายและมอบความปลอดภัยในการขับรถให้คุณด้วย

เมื่อปรับท่าทางการนั่งให้ถูกต้องตามหลักสรีระแล้ว การขับรถทางไกล หรือผจญรถติดในเมืองก็ไม่ใช่ปัญหา นอกจากจะช่วยให้ขับรถได้สบายมากขึ้นแล้ว ยังเพิ่มความปลอดภัยในการขับขี่ให้คุณได้ด้วย โดยเทคนิคขับรถไม่ให้ปวดหลังที่เรานำมาฝากคุณในวันนี้ ก็สามารถนำไปปฏิบัติตามกันได้ง่าย ๆ และได้ผลดีมากมายเกินกว่าที่คิดไว้อย่างแน่นอน ในเมื่อปรับท่าทางให้ถูกต้องได้แล้ว คุณจะสังเกตเห็นได้เลยว่าอาการล้า ปวดหลังหายไป สามารถขับรถได้สบายมากขึ้นกว่าที่เคย นอกจากนี้ต้องไม่ลืมคาดเข็มขัดนิรภัยให้ถูกต้องทุกครั้งที่ขับรถ เพื่อช่วยปกป้องคุณจากสิ่งไม่คาดฝันบนท้องถนนด้วย

ที่ Roojai.com เราให้บริการประกันรถออนไลน์ ช่วยคุ้มครองคุณและรถยนต์ของคุณจากอุบัติเหตุบนท้องถนนได้ เข้ามาเช็คราคาด้วยตัวคุณเองได้ผ่านทางเว็บไซต์ของเราออนไลน์ฟรีตลอด 24 ชั่วโมง เพียงกรอกข้อมูลของรถและคนขับ ภายในไม่กี่นาที คุณก็จะได้แผนประกันภัยที่คุณต้องการ และยังปรับแผนได้เองตามที่ต้องการอีกด้วย ระบบจะแจ้งเบี้ยประกันให้คุณทราบพร้อมรายละเอียดความคุ้มครองทั้งหมด บริการรู้ใจกว่า ประหยัดกว่า…

และถ้าหากไม่อยากพลาดโปรโมชั่นใหม่ ๆ และเรื่องราวดี ๆ ก็สามารถ add Official Line ของเราได้ที่ http://nav.cx/8tzQPw8

Engine-Not-Starting-Causes

รถสตาร์ทไม่ติด อีกหนึ่งปัญหาชวนหงุดหงิดและกวนใจ ไม่ว่าใครก็ไม่ชอบ ไม่ว่าจะเป็นวันหยุดพักผ่อนที่ตั้งใจไว้ว่าจะไปเที่ยวชิลล์ให้หายเหนื่อยจากการทำงาน หรือแม้จะเป็นเช้าวันจันทร์อันแสนว้าวุ่น หากคุณสตาร์ทรถสุดที่รักไม่ติดขึ้นมา นอกจากจะเสียเวลาแล้ว ยังต้องเสียเงินซ่อมกันอีกด้วย ซึ่งถ้าหากว่าคุณใช้รถอยู่เป็นประจำ และมีการบำรุงรักษาตามระยะทางอย่างเหมาะสม โอกาสที่จะเกิดปัญหานี้ก็จะน้อยลงไปด้วย

วันนี้ Roojai.com จะพาคุณไปดูเจ้าตัวการหลักที่เป็นต้นตอของปัญหา รถสตาร์ทไม่ติด ว่ามีสาเหตุมาจากอะไรได้บ้าง บางทีสาเหตุก็อาจมาจากจุดเล็ก ๆ หรือบางทีก็อาจเป็นปัญหาใหญ่ของรถที่คุณต้องรีบแก้ไข ไปดูกันเลยดีกว่าว่าเป็นเพราะอะไรได้บ้าง

Engine-Not-Starting-Causes

รถสตาร์ทไม่ติด “มันติดที่ตรงไหน” ไปดูกัน

  • แบตเตอรี่เสื่อม

โดยทั่วไปอายุการใช้งานของแบตเตอรี่รถยนต์จะอยู่ที่ประมาณ 2 ปี ซึ่งถ้าหากคุณไม่เคยได้เปลี่ยนแบตเตอรี่ใหม่ตามระยะเวลาที่แนะนำแล้ว นี่ก็อาจเป็นสาเหตุที่ทำให้ รถสตาร์ทไม่ติด เงียบ ไม่มีไฟ นั่นเอง โดยคุณสามารถเช็คได้จากไฟที่แสดงสถานะบนหน้าปัดรถยนต์ โดยเมื่อเสียบกุญแจเข้าไปและหมุนไปครึ่งรอบ หากไฟแสดงสถานะแบตเตอรี่ไม่ติด ก็ให้สันนิษฐานไว้ได้เลยว่าแบตเตอรี่เสื่อมสภาพแล้วนั่นเอง

สำหรับอาการทั่วไปที่พบได้จากแบตเตอรี่เสื่อมนั้น มักจะเริ่มต้นจากสตาร์ทรถติดยากในช่วงเช้า หรือหลังจากที่มีการจอดรถทิ้งไว้นาน ๆ ซึ่งบางครั้งก็อาจจะเป็นการจอดค้างแบบข้ามคืน หรือไม่ก็เป็นลักษณะของการจอดระหว่างวันเมื่อไปทำงาน และในกรณีที่เสื่อมมาก ๆ ก็จะสตาร์ทรถไม่ติดเลย นั่นก็หมายความว่าถึงเวลาที่ต้องเปลี่ยนแบตเตอรี่รถยนต์ของคุณแล้วนั่นเอง

  • ไดชาร์จเสื่อม

ในกรณีที่เปลี่ยนแบตเตอรี่ลูกใหม่เรียบร้อยแล้ว แต่ปัญหาเรื่อง รถสตาร์ทไม่ติด เงียบ ยังไม่หายไป หรืออาจจะยังมีอาการสตาร์ทรถติดยากให้เห็นอยู่ ก็มีความเป็นไปได้สูงว่าไดชาร์จของรถคุณอาจมีปัญหา เนื่องจากไดร์ชาร์จคืออุปกรณ์ที่ทำหน้าที่ในการจ่ายไฟฟ้าเข้าสู่แบตเตอรี่ และคอยสร้างกระแสไฟฟ้าในขณะที่รถยนต์ทำงาน เมื่อไดชาร์จเสื่อมก็หมายความว่าไม่สามารถจ่ายไฟเข้าสู่แบตเตอรี่ได้ นั่นจึงทำให้รถสตาร์ทไม่ติดนั่นเอง

ไดชาร์จเสื่อม อาการนั้นอาจะมีลักษณะที่คล้ายกับแบตเตอรี่เสื่อม แต่สิ่งที่แตกต่างก็คือ คุณอาจพบปัญหาเครื่องยนต์ดับไปแบบดื้อ ๆ ในขณะที่กำลังขับอยู่นั่นเอง ซึ่งคุณสามารถเช็คอาการไดชาร์จเสื่อมได้จากการถอดขั้วแบตเตอรี่ออกหนึ่งข้าง หลังจากที่สตาร์ทรถทิ้งไวแล้วซักพัก ซึ่งถ้าหากว่ารถของคุณกระตุกหรือดับ นั่นหมายถึงไดชาร์จรถยนต์ของคุณเสื่อมแล้วอย่างแน่นอน

สำหรับกรณีที่ไดชาร์จเสียเลยนั้น เมื่อทำการพ่วงแบตเตอรี่กับรถคันอื่นเพื่อช่วยสตาร์ทแล้วก็จะยังสตาร์ทไม่ติดอยู่ดี ซึ่งสาเหตุที่ทำให้ไดชาร์จเสีย เช่น สายไฟที่ต่อไปยังไดสตาร์ทหลุด, ฟิวส์ไดสตาร์ทขาด หรือแปรงถ่านที่อยู่ในไดสตาร์ทอาจจะหมด เป็นต้น โดยอาการอื่น ๆ ที่ส่งสัญญาณให้คุณรู้ล่วงหน้าว่าไดชาร์จเสียนั้น นอกเหนือจาก รถสตาร์ทไม่ติด แล้ว คุณอาจพบว่า แอร์ไม่เย็นโดยไม่มีสาเหตุ หรืออยู่ ๆ ไฟหน้าไม่ค่อยสว่างเหมือนเดิม ทางออกเพียงอย่างเดียวของคุณคือการเรียกรถลากมารับไปให้ที่อู่ดูเท่านั้น

  • มอเตอร์สตาร์ทมีปัญหา

มอเตอร์สตาร์ทหรือ “ไดสตาร์ท” ในกรณีที่ลองทางแก้เบื้องต้นทุกหนทางแล้ว ทั้งพ่วงแบตเตอรี่กับรถยนต์คันอื่นหรือเปลี่ยนแบตก็ตาม ถ้ายังสตาร์ทรถไม่ติดอยู่ดี อีกหนึ่งสิ่งที่เป็นไปได้ก็คือ มอเตอร์สตาร์ทของรถคุณอาจมีปัญหา ซึ่งคุณสามารถตรวจสอบเบื้องต้นด้วยตัวเองง่าย ๆ โดยการเช็คที่แผงหน้าปัดไฟ ซึ่งถ้าไฟแบตเตอรี่ขึ้นตามมปกติ แต่สตาร์ทรถแล้วมีเสียงแชะ ๆ และไม่สตาร์ทรถไม่ติด ก็มีความเป็นไปได้แล้วว่า มอร์เตอร์สตาร์ทรถของคุณมีปัญหา

โดยทั่วไปแล้วจะเกิดจากพฤติกรรมการสตาร์ทรถที่ชอบบิดกุญแจแช่ค้างเอาไว้ ซึ่งจะส่งผลให้ไดสตาร์ทไหม้ได้ อีกหนึ่งสาเหตุก็คือ การขับรถลุยน้ำท่วม จนทำให้เกิดน้ำเข้าไดสตาร์ท ซึ่งจะทำให้แปรงถ่าน (Carbon Brush) ขัดตัวเพราะอุปกรณ์ภายในเกิดสนิมจนทำให้ไดสตาร์ทไม่หมุนนั่นเอง หรืออาจเกิดจากสาเหตุที่สามารถแก้ไขได้ง่าย ๆ อย่างการที่สายไฟที่ต่อไปยังสตาร์ทมอเตอร์ขาดหรือหลุดออกจากจุดต่อ หรือ แปรงถ่านหมด

  • ปั๊มติ๊กเสีย

ปั๊มติ๊กมีหน้าที่ดูดน้ำมันจากตัวถังไปยังเครื่องยนต์ ซึ่งเมื่อปั๊มติ๊กเสียหรือเสื่อมก็จะทำให้ไม่สามารถจุดระเบิดเครื่องเครื่องยนต์ได้นั่นเอง แต่เจ้าปั๊มเชื้อเพลิงลักษณะนี้ ปัจจุบันหาได้ยากแล้ว เพราะรถรุ่นใหม่ที่ผลิตออกมา จะใช้ปั๊มเชื้อเพลิงแบบขับด้วยเฟืองและมอเตอร์ไฟฟ้า โดยจะประกอบเป็นชุดเดียวกันกับชุดลูกลอยวัดระดับน้ำมัน ซึ่งติดตั้งอยู่ในถังน้ำมันเชื้อเพลิงมาตั้งแต่ต้น รถสตาร์ทไม่ติด น้ำมันไม่มา ก็เพราะอุปกรณ์ชิ้นนี้เสียไม่ทำงานนั่นเอง

และสาเหตุที่ทำให้ปั๊มติ๊กเสียหรือเสื่อมนั้น ส่วนใหญ่เกิดมาจากการปล่อยให้ไฟเตือนน้ำมันโชว์อยู่เป็นประจำ เพราะระดับน้ำมันเชื้อเพลิงเหลือน้อยเกินไป ทำให้ปั๊มติ๊กไม่สามารถดูดน้ำมันขึ้นมาได้ ดูดเอาอากาศเข้ามาแทน จนปั๊มเชื้อเพลิงเสียหายในที่สุด จึงเป็นอีกสาเหตุหนึ่งที่ทำให้รถสตาร์ทไม่ติดด้วยเช่นกัน

Engine-Not-Starting-Causes

  • สตาร์ทรถติด (ยาก) อาจเป็นเพราะขั้วแบตเตอรี่สกปรก

สิ่งแรก ๆ ที่คนส่วนใหญ่จะนึกถึงก็คือปัญหาเรื่องแบตเตอรี่เสื่อม แต่ก็ยังมีอีกสาเหตุที่เกิดขึ้นได้บ่อย และคุณอาจคิดไม่ถึงเสียด้วยซ้ำ นั่นก็คือ “ขั้วแบตเตอรี่สกปรก” ซึ่งมีสาเหตุหลักมาจากการใช้ รถโดยไม่ค่อยได้ดูแลรักษา โดยแบตเตอรี่เก่าที่ใช้งานมานาน มักจะเกิด “คราบขี้เกลือ” ซึ่งมีลักษณะเป็นคราบสีขาว ๆ ปนฟ้าปนเขียวเกาะอยู่ที่บริเวณขั้วแบตเตอรี่ ซึ่งจะทำให้กระแสไฟฟ้าที่ส่งไปยังส่วนอื่น ๆ ส่งไปได้ไม่สะดวกทั่วถึงเท่าที่ควร และเมื่อกระแสไฟฟ้าไหลติดขัด ก็เป็นสาเหตุให้ รถสตาร์ทไม่ติด นั่นเอง

สำหรับการแก้ไขขั้วแบตเตอรี่สกปรกก็สามารถทำได้ง่าย ๆ ด้วยตัวคุณเอง เพียงใช้น้ำโซดาและแปรงสีฟันค่อย ๆ ขัดออกเท่านั้น และเมื่อขั้วแบตเตอรี่กลับมาสะอาดเหมือนเดิมแล้ว ก็จะสามารถส่งกระแสไฟฟ้าไปเลี้ยงส่วนต่าง ๆ ได้ดียิ่งขึ้น และคุณก็จะสามารถสตาร์ทรถติดได้ง่ายเหมือนเดิม

  • อุปกรณ์คู่หูที่ควรมีไว้ ขาดไม่ได้สำหรับรถทุกคัน

ถึงแม้ว่าปัญหา รถสตาร์ทติดยาก หรือไม่ติด อาจจะไม่ได้เกิดขึ้นกับรถคุณได้ง่าย ๆ เพราะมั่นใจว่าบำรุงรักษาตามระยะทางเป็นอย่างดี แต่การมีตัวช่วยอย่าง “สายพ่วงแบตเตอรี่” ติดรถของคุณเอาไว้ ก็สามารถช่วยให้คุณอุ่นใจได้ในยามยาก เพราะในทุก ๆ วันที่คุณขับขี่รถยนต์ของคุณไปเรื่อย ๆ ถึงแม้จะไม่มีอาการอะไรให้คุณรู้สึกว่าเป็นปัญหา แต่ในความจริงแล้ว รถและชิ้นส่วนต่าง ๆ ก็เสื่อมสภาพไปตามกาลเวลา การมีอุปกรณ์สำหรับใช้แก้ไขอาการเบื้องต้นต่าง ๆ นั้น จะเป็นประโยชน์อย่างมากเมื่อรถของคุณเกิดปัญหาแบบไม่คาดฝัน ไม่ทันได้เตรียมตัว

สายพ่วงแบตเตอรี่เป็นอุปกรณ์ที่ใช้ในการช่วยในการสตาร์ทรถ โดยต่อสายพ่วงเข้ากับรถอีกคันหนึ่งที่แบตเตอรี่ยังใช้งานได้ตามปกติ เพื่อช่วยให้เกิดกระแสไฟฟ้าหมุนเวียนเข้าไปในแบต และทำให้คุณสามารถสตาร์ทรถติดได้ ซึ่งในกรณีที่รถสตาร์ทไม่ติดตอนเช้า หรือตอนไหน แล้วลองแก้ไขเบื้องต้นด้วยการพ่วงแบตแล้ว แต่ก็ยังไม่สตาร์ทรถไม่ได้ อย่างน้อยเวลาที่คุณโทรศัพท์เพื่อนัดให้ช่างมาแก้ไขปัญหาให้ที่หน้างาน เมื่อบอกข้อมูลตรงนี้ให้ช่างรับรู้แล้ว ก็จะช่วยให้ตั้งสมมติฐานต่าง ๆ ได้ง่ายยิ่งขึ้น ว่าปัญหาของรถสตาร์ทไม่ติด ไม่ได้มาจากแบตเตอรี่เสื่อมหรือหมด แต่อาจจะมาจากไดชาร์จหรือจุดอื่น ๆ ก็เป็นไปได้ด้วยเช่นกัน

Engine-Not-Starting-Causes

หากคุณเกิดปัญหา รถสตาร์ทไม่ติด ก็ไม่ต้องตกใจ ทีนี้คุณก็สามารถแก้ไขปัญหาเบื้องต้นด้วยการใช้สายพ่วงแบตเตอรี่เพื่อช่วยสตาร์ทรถแล้ว ถ้ารู้ปัญหาและวิธีการแก้ไขเบื้องต้น การใช้รถก็ไม่ใช่เรื่องยาก เช่นเดียวกับประกันรถยนต์ออนไลน์ที่ Roojai.com ที่มีบริการรถยกพร้อมด้วยบริการช่วยเหลือฉุกเฉินบนท้องถนน 24 ชม. ช่วยให้คุณอุ่นใจยิ่งขึ้นหากเกิดอุบัติเหตุที่ไม่คาดฝันนั่นเอง ซื้อประกันภัยรถยนต์ที่ราคาดี ซื้อง่าย ไม่ซับซ้อน และเชื่อใจได้ แถมผ่อนสบาย ๆ นานสูงสุดถึง 10 งวดผ่านบัตรเดบิต ครบจบเรื่องประกันรถยนต์ออนไลน์ ต้องที่ Roojai.com รู้ใจกว่า ประหยัดกว่า เช็คราคาออนไลน์ได้เลย

Drive-Safely-In-Flooding

ในช่วงนี้มีหลายพื้นที่ได้รับผลกระทบจากอิทธิพลของพายุโนอึล ซึ่งส่งผลให้หลายพื้นที่เกิดภัยน้ำท่วม มีน้ำท่วมสูง และเกิดน้ำท่วมขัง ต้องขับรถลุยน้ำท่วมตามที่เห็นในภาพข่าวกัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งต่างจังหวัด พายุถาโถมจนหลายเมือง หลายตำบลจมน้ำไปเรียบร้อยแล้ว ถึงขนาดต้องมีเจ้าหน้าที่รัฐเข้าไปส่งถุงยังชีพกัน เพราะว่าประชาชนติดอยู่ในบ้านไม่สามารถออกไปไหนได้

Drive-Safely-In-Flooding

ส่วนทางฝั่งคนกรุงเทพที่อยากจะร่วมด้วยช่วยกันเที่ยวเมืองไทย เพื่อฟื้นฟูเศรษฐกิจการท่องเที่ยวให้หายซบเซาจากพิษของโควิด 19 หากจะเดินทางไปพื้นที่ต่างจังหวัดในช่วงเวลานี้ ก็อย่าลืมติดตามข่าวสารดีๆ ว่าพื้นที่ไหนที่ฝนตกหนักน้ำท่วมสูงมาก “รอระบาย” ก็ควรจะหลีกเลี่ยง เพราะในตอนขับหรือหลังขับรถลุยน้ำท่วมแล้ว สามารถสร้างความเสียหายให้กับรถอันเป็นที่รักของคุณได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้าน้ำเข้าห้องเครื่องหรือห้องโดยสารแล้วละก็ ไม่แคล้วต้องเสียเงินซ่อมกันเป็นเรื่องใหญ่ได้

Roojai.com จึงอยากพาคุณไปดูวิธี “เอาตัวรอด” ให้กับรถของคุณเมื่อต้องเจอเส้นทางที่เปรียบเสมือนทะเลแบบนี้ จะต้องทำอย่างไร เพื่อให้รถของคุณขับผ่านน้ำท่วมได้โดยที่ไม่มีความเสียหายตามมา ตามไปดูกันเลย

ขับรถลุยน้ำท่วม ว่าแย่แล้ว ลุยฝนไปด้วย เครียดกว่าเดิมอีกสองเท่า

ช่วงนี้เราเข้าสู่หน้าฝนกันแบบเต็มตัวแล้ว ไม่ว่าจะเจอน้ำท่วมหรือไม่ แต่สิ่งที่ไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้แน่ๆ ก็คือสายฝนโปรยปราย ซึ่งในกรณีที่ไม่ได้ตกหนักมาก คุณก็ยังสามารถขับรถไปได้แบบชิลล์ๆ ไม่มีปัญหาอะไร แต่ถ้าเจอกับสายฝนโปรยปรายตกกระหน่ำเม็ดใหญ่ ๆ เปิดที่ปัดน้ำฝนเบอร์แรงสุดแล้วยังแทบไม่เห็นทาง วิสัยทัศน์ในการมองเห็นจะลดลงเป็นอย่างมาก แบบนี้ขับไปเครียดไปแน่นอน อีกทั้งมีความเป็นไปได้สูงมากที่ฝนตกหนักลักษณะนี้ จะทำให้คุณเจอกับน้ำท่วมด้วย เพราะน้ำมักจะระบายออกไปได้ไม่ทัน จนสุดท้ายถนนทุกสายกลายเป็นทะเลกรุงเทพดี ๆ นี่เอง

การขับรถภายใต้การมองเห็นที่จำกัด วิสัยทัศน์ไม่ดี จำเป็นต้องใช้สมาธิในการเพ่งท้องถนนเป็นอย่างมาก ยิ่งถ้าหากเจอน้ำท่วมซ้ำอีกด้วยแล้วล่ะก็ สามารถทำให้เครียดได้เลยทีเดียว เพราะมองทางก็ไม่เห็น จะขับต่อก็กลัว แต่จะหยุดรถกลางทางก็ไม่ได้ ดังนั้นคำแนะนำที่ดีที่สุดคือ พยายามอย่าขับรถฝ่าสายฝนที่ตกกระหน่ำไปไหนถ้าไม่จำเป็น รอจนฝนซาสักนิดแล้วค่อยเริ่มออกรถจะปลอดภัยกว่า หรือหาปั๊มน้ำมันใกล้ๆ เข้าไปพักรถก่อน เพื่อรอเวลาขับต่อไปนั่นเอง

อย่าลืมประเมินสถานการณ์

ในเมื่อหลีกเลี่ยงไม่ได้ก็คงต้อง “ลุยน้ำ” กันไป โดยสิ่งที่คุณควรเตรียมตัว เริ่มจากขั้นตอนการประเมินสถานการณ์ก่อนเลย ซึ่งถ้าหากว่าน้ำสูงเกินที่จะลุยไปได้ ยังไงก็ต้องจอดรอเพียงอย่างเดียวเท่านั้น โดยการประเมินสถานการณ์เบื้องต้นนั้น จะแบ่งออกเป็น 2 ส่วนก็คือ ประเมินความสูงของน้ำ และ ประเมินความเตี้ยของรถคุณ

ต้องเข้าใจก่อนว่ารถคันอื่นวิ่งได้ไม่ได้หมายความว่ารถคุณจะวิ่งได้ด้วย สำหรับรถที่ได้เปรียบมากกว่าในการขับลุยน้ำท่วม ก็จะเป็นรถกระบะยกสูงหรือรถยนต์อเนกประสงค์ SUV หรือ PPV ต่างๆ โดยจะมีระดับความสูงจากพื้นถึงใต้ท้องรถเฉลี่ยอยู่ที่ประมาณ 22 เซนติเมตร เปรียบเทียบกับรถเก๋งทั่วไป จะมีระดับความสูงจากพื้นถึงใต้ท้องรถอยู่ที่ประมาณ 14-15 เซนติเมตรเท่านั้นเอง ดังนั้นนอกจากคาดการณ์ว่าน้ำท่วมขังสูงแค่ไหนได้แล้ว ก็ต้องรู้ด้วยว่ารถของคุณมีระดับความสูงจากพื้นถึงใต้ท้องรถอยู่ที่เท่าไหร่อีกด้วย

Drive-Safely-In-Flooding

ขับรถลุยน้ำท่วม อย่างไรให้ปลอดภัยกับรถของคุณ

สำหรับระดับความสูงของน้ำท่วม ที่สามารถขับขี่และปลอดภัยอย่างแน่นอนก็คือ น้ำท่วมยังไม่ถึงใต้ท้องรถ หรือ ยังไม่ถึงขอบประตูรถ โดยข้อควรปฏิบัติให้รถลุยน้ำ ขับไปได้ มีดังนี้

  • ปิดแอร์

การเปิดแอร์เอาไว้จะทำให้พัดลมระบายความร้อนของหม้อน้ำทำงาน ซึ่งถ้าหากน้ำท่วมถึงพัดลมก็จะทำให้พัดลมตีน้ำกระจายไปทั่วห้องเครื่องได้ จึงเป็นสาเหตุที่ทำให้รถยนต์ดับ หรือถ้าเลวร้ายกว่านั้นอาจทำให้เกิดไฟฟ้าช็อตได้ ดังนั้นเมื่อมีความจำเป็นต้องขับรถในขณะน้ำท่วมก็ควรปิดแอร์ทุกครั้ง เพื่อป้องกันการเกิดปัญหาในภายหลัง

  • ใช้เกียร์ต่ำ

การขับรถด้วยการใช้เกียร์ต่ำ เป็นสภาวะที่เครื่องยนต์ดับได้ยากที่สุด เนื่องจากใช้รอบเครื่องยนต์ 1,500-2,000 รอบ/นาที  โดยสำหรับรถธรรมาดาก็จะหมายถึงการใช้เกียร์ 1 หรือ 2 เท่านั้น ส่วนรถเกียร์ออโต้ก็คือการขับด้วยเกียร์ L นั่นเอง

  • รักษาความเร็วคงที่

เมื่อใช้เกียร์ต่ำแล้วก็ควรรักษาความเร็วสม่ำเสมอด้วย ไม่เร่งเครื่องหรือเปลี่ยนความเร็วกะทันหัน เนื่องจากจะทำให้เกิดกระแสน้ำวิ่งไปกระทบกับฟุตพาท แล้วเกิดการตีกลับของกระแสน้ำเข้าสู่รถได้

  • ให้รถคันหน้านำทางให้

โดยการขับรถทิ้งระยะห่างจากรถคันหน้าประมาณ 50 เมตร เพื่อที่คุณจะได้เห็นว่ารถคันหน้าที่กำลังวิ่งบนเส้นทางเดียวกันกับคุณอยู่นั้น สามารถวิ่งได้อย่างปลอดภัยหรือไม่ มีหลุมหรือสิ่งกีดขวางต่าง ๆ หรือเปล่า เพื่อที่คุณจะได้หลีกเลี่ยงได้ทันเวลานั่นเอง

  • หากเครื่องดับห้ามสตาร์ทเครื่องใหม่เด็ดขาด

กรณีเลวร้ายที่สุดก็คือ เมื่อตัดสินใจขับรถตอนน้ำท่วมไปแล้ว เกิดรถดับกลางทาง สิ่งที่คุณควรทำคือการเข็นรถเข้าข้างทาง โดยพยายามหาพื้นที่สูงเข้าไว้ เพื่อลดความเสี่ยงไม่ให้คลื่นน้ำที่เกิดจากรถยนต์คันอื่นไหลเข้าสู่รถของคุณ โดยคุณต้องไม่พยายามสตาร์ทรถใหม่เด็ดขาด เนื่องจากเสี่ยงที่จะทำให้น้ำไหลเข้าสู่เครื่องยนต์และทำให้เกิดความเสียหาย

  • หลีกเลี่ยงการ ขับรถลุยน้ำท่วม ในพื้นที่ที่คุณไม่คุ้นเคย

กรณีที่เป็นการขับรถไปในพื้นที่คุ้นเคยหรือเส้นทางที่คุณใช้เป็นประจำ คุณจะสามารถประเมินสถานการณ์ได้ง่ายกว่า ว่าควรจะเสี่ยงขับรถลุยน้ำไปดีหรือไม่ เนื่องจากคุณจะรู้ว่าถนนเส้นนั้น ๆ เป็นเส้นที่น้ำท่วมขังเป็นระยะทางสั้นๆ หรือว่าท่วมยาวทั้งเส้นร่วมสิบกิโล รวมไปถึงการที่เคยเห็นสภาพถนนตอนที่น้ำไม่ท่วม ว่ามีตรงไหนต้องระวังหรือมีถนนช่วงไหนไม่ดี จะช่วยให้คุณสามารถขับขี่ได้อย่างปลอดภัยกว่า

แต่ด้วยความจำเป็นที่ทำให้คุณต้องเดินทางไปยังพื้นที่ที่ไม่คุ้นเคย แล้วยังต้องไปเสี่ยงกับการขับรถน้ำท่วมบนถนนที่คุณไม่คุ้นเคยมาก่อน คุณจะไม่รู้เลยว่ายิ่งขับไปน้ำจะยิ่งท่วมสูงขึ้นหรือว่าจะลดลงนั่นเอง รวมทั้งทางข้างหน้ามีการก่อสร้างทาง หรือถนนมีหลุมมีบ่ออย่างไรบ้าง คุณก็ไม่สามารถรู้ได้เลย ถ้าเป็นไปได้เราอยากแนะนำให้คุณแวะหลบฝนหลบน้ำที่ปั๊มน้ำมันก่อนจะปลอดภัยกว่า

Drive-Safely-In-Flooding

เมื่อผ่านพ้นเส้นทางลุยน้ำวิบากมาแล้วต้องทำอย่างไร

หลังจากที่คุณรอดจากสถานการณ์หลังขับรถลุยน้ำท่วม ก็อย่าเพิ่งรีบจอดรถลงไปหาซื้อของกินมาฉลอง เพราะว่ายังมีข้อควรปฏิบัติที่คุณควรรู้ หลังจากฝ่าน้ำท่วมมาได้ คือ

  • หลังจากที่เพิ่งขับพ้นช่วงถนนที่น้ำท่วมสูง ให้ขับต่อไปโดยใช้ความเร็วต่ำ และให้ทำการไล่น้ำออกจากคาลิเปอร์-ผ้าเบรก โดยการเหยียบเบรกเบาๆ ย้ำๆ ไปเรื่อยๆ ตลอดระยะเวลาที่ขับด้วยความเร็วต่ำอีกสักระยะ ซึ่งจะช่วยไล่น้ำและความชื้นจากเครื่องยนต์ได้
  • ไม่หยุดพักรถและดับเครื่องโดยทันทีหลังจากที่เพิ่งลุยน้ำท่วมมาเสร็จ เนื่องจากมีความเป็นไปได้ที่จะทำให้น้ำที่ค้างอยู่ที่ท่อไอเสียย้อนกลับเข้าไปได้ รวมทั้งความชื้นที่ยังมีอยู่อาจทำให้เครื่องยนต์เสียหายได้ด้วย ที่สำคัญอีกอย่างก็อย่าลืมเช็ครถหลังลุยน้ำท่วมด้วย ว่ามีอะไรผิดปกติหรือเปล่า

รถลุยน้ำได้ แต่ก็ใช่ว่าจะเป็นระดับน้ำสูง จะขับรถลุยน้ำ จำเป็นต้องใช้สมาธิอย่างสูง เพื่อที่จะประคองรถให้ฝ่าน้ำท่วมไปได้อย่างปลอดภัยทั้งรถและคุณ อีกทั้งยังมีโอกาสที่คุณจะเจอทั้งสายฝนกระหน่ำและน้ำท่วมในเวลาเดียวกัน ซึ่งทำให้คุณต้องใช้สมาธิจดจ่อในการขับรถมากกว่าเดิม การรู้เท่าทันและการเตรียมตัวที่ดี จะช่วยให้คุณสามารถประคับประคองสถานการณ์ หรือขับรถไปถึงจุดหมายปลายทางได้ง่ายยิ่งขึ้น ง่ายเหมือนซื้อประกันภัยรถยนต์ออนไลน์ ที่ Roojai.com ไม่ซับซ้อน ราคาดี และเชื่อใจได้ มาพร้อมตัวเลือกที่หลากหลาย สามารถปรับแต่งแผนกรมธรรม์ได้ด้วยตัวคุณเอง เลือกความคุ้มครองที่ตอบโจทย์คุณได้มากที่สุด ที่สำคัญผ่อนสบายๆ ผ่านบัตรเครดิตหรือเดบิตได้นานสูงสุดถึง 10 งวด คลิกเช็คราคาออนไลน์ได้ตลอด 24 ชม. เลย

Carro-Roojai-5-Bad-Reasons-Parking-Car-Under-The-Trees

หากพื้นที่จอดรถไม่มีหลังคาที่จอดรถ หลายคนมักจะคิดว่าขอจอดรถใต้ต้นไม้เพราะได้จอดรถในร่ม ยังไงก็ดีกว่า แต่นั่นอาจไม่จริงเสมอไปเพราะมันอาจมีภัยที่ทำร้ายกับรถของคุณมากกว่าข้อดีที่แค่ช่วยให้รถไม่ต้องตากแดดร้อน ๆ

Roojai.com จึงอยากพาผู้ใช้รถใช้ถนนทุกคนได้ “เบิกเนตร” เห็นความจริงของภัยร้ายข้อเสียเมื่อคุณเลือกจอดรถใต้ต้นไม้ ยิ่งจอดทิ้งไว้นาน ๆ ก็จะยิ่งส่งผลเสียกับรถของคุณโดยเฉพาะเรื่องของความเงางามของสีรถ และมากกว่านั้น ต่อไปนี้คือ 5 เหตุผลที่เราไม่อยากให้คุณนำรถไปทิ้งไว้ใต้ต้นไม้ ไม่ว่าจะต้นไหนที่ไหน จะมีอะไรบ้าง ตามไปดูกันเลย

เมื่อจอดรถใต้ต้นไม้ ไม่ได้ปกป้องสีรถของคุณ

จะเรียกว่าเป็น “ความเชื่อ การทำตาม หรือสัญชาตญาณ” ของผู้ใช้รถที่มักนิยมว่าการจอดรถใต้ต้นไม้นั้นเหมือนเป็นการช่วยปกป้องรถ ทั้งสีรถก็ดี ชิ้นส่วนภายในของรถก็ดีที่ไม่ต้องจอดกลางแดดร้อน ๆ จอดใต้ต้นไม้ยังไงก็ดีกว่า จอดรถตากแดด ปล่อยให้ต้องร้อน ข้อนั้นดีแน่นอนถ้ารถได้จอดไว้ในที่จอดซึ่งมีหลังคาที่จอดรถคลุมเป็นกิจจะลักษณะ นั่นเป็นทางเลือกที่ดีที่สุดสำหรับรถของคุณ แต่การที่อาศัย จอดรถในร่ม ด้วยร่มไม้จากต้นไม้อาจไม่ใช่คำตอบที่ดีในการช่วยรักษารถของคุณได้มากเท่าไร

ข้อเสียมากมายของร่มไม้ที่เมื่อคุณจอดรถ หลายคนอาจไม่รู้หรือลืมสังเกต มารู้อีกทีร่มไม้ที่คุณว่าช่วยให้รถของคุณไม่ต้องทนกับการตากแดดร้อน ๆ ก็กลับทำร้ายรถของคุณให้เสียหายจนเกินเยียวยาอย่างไม่คาดคิดแล้ว และต่อไปนี้คือเหตุผลที่เราไม่อยากให้คุณจอดรถไว้ใต้ต้นไม้

1. ยางต้นไม้ ทำลายสีรถของคุณมากกว่าที่คิด

เมื่อคุณหวังให้ต้นไม้บังแดดสำหรับการจอดรถของคุณ แน่นอนว่าทุกคนคงไม่เดินไปดูหรอกใช่มั้ยว่าต้นไม้ที่รถไปจอดนั้นเป็นต้นอะไร จะมียางต้นไม้ มีอะไรจะหยดใส่รถหรือเปล่า และนี่คือความจริงที่ต้องรู้ว่าภัยจากยางไม้คือศัตรูร้ายตัวฉกาจของสีรถ หยดใส่รถทีถ้าไม่ล้างให้ดีให้สะอาดแล้วปล่อยทิ้งไว้พาแต่จะกลายเป็นคราบฝังลึกขัดออกยาก หรือแย่กว่านั้น! คือขัดไม่ออก จนกลายเป็นตราบาปที่ติดรถของคุณไปตลอด และวิธีขัดสีรถ วิธีเดียวที่จะทำให้รถดูดีได้เหมือนเดิมก็คือการทำสีเป็นทางออกสุดท้าย

5-Bad-Reasons-Parking-Car-Under-The-Trees

2. ขี้นกก็ร้ายต่อสีรถไม่น้อย

“นี่ก็ร้าย” พอกัน สำหรับคราบขี้นก หยดใส่หัวยังล้างได้ แต่ถ้าใส่สีรถแล้วคุณไม่รีบล้าง มันคือฝันร้ายของสีรถอย่างแท้จริง นี่ยังเป็นกรณีที่คุณสังเกตเห็นนะ ถ้าดันมาหยดมาขี้ใส่ในส่วนที่คุณไม่ทันสังเกตแล้วปล่อยทิ้งไว้นาน มันก็อาจทำให้คุณต้องกุมขมับกันได้เลยถ้าจะขัดให้ออกที

5-Bad-Reasons-Parking-Car-Under-The-Trees

3. เศษกิ่งไม้ หล่นใส่รถจนกลายเป็นลักยิ้ม

นี่เราไม่ได้หมายถึงกิ่งใหญ่ ๆ นะ เป็นแค่เศษกิ่งเล็ก ๆ หรือตัวเมล็ด แค่นี้ก็ร้ายพอที่จะทำให้รถของคุณ “บุบ” เป็นริ้วรอยเล็ก ๆ น้อย ๆ ได้เหมือนกัน ไม่ว่าจะส่วนของหลังคา ส่วนของฝากระโปรงซึ่งเป็นพื้นที่รองรับแรงตกกระแทกเต็ม ๆ เมื่อนำรถไปจอด ซึ่งมันอาจทำให้รถของคุณเป็นรอยบุบลักยิ้มเล็ก ๆ ที่แก้ได้ยาก วิธีขัดสีรถต่าง ๆ ก็อาจช่วยไม่ได้และอาจเป็น “งานใหญ่” จนถึงขั้นทำสีรถในส่วนนั้น ๆ ใหม่ได้เลย

4. น้ำฝน ที่นำมาสู่คราบฝังลึก

เรารู้ว่าพื้นที่จอดรถอย่าง ต้นไม้ หรือ ลานจอดรถ ไม่สามารถช่วยบังน้ำฝันได้เต็ม ๆ ยังไงรถก็เปียกอยู่ดี แต่ข่าวร้ายก็คือการจอดรถใต้ต้นไม้ในตอนที่ฝนตก น้ำฝนจะชะล้างคราบยางของต้นไม้ลงมาโดนสีรถคุณด้วย จนกลายเป็นคราบเมื่อรถแห้งและล้างออกยาก ซึ่งจะว่าไปจอดรถที่โล่ง ๆ กลางฝนยังดีกว่าซะอีก

5-Bad-Reasons-Parking-Car-Under-The-Trees

5. สัตว์เลื้อยคลาน

จอดรถใต้ต้นไม้นาน ๆ คุณกลับมาใช้รถทีอาจมีเพื่อนร่วมทางไม่รู้ตัว พวกสัตว์เลื้อยคลานอาจอาศัยรถของคุณเป็นที่พักหลบฝน จะงูเงี้ยวเขี้ยวขอ ตะขาบ หนู หรือแม้กระทั่ง มด อาจนัดกันไปรวมตัวทำรังอยู่ที่รถคุณก็เป็นได้ มีต้นไม้ก็ต้องมีดินอยู่รอบ ๆ และพื้นที่เป็นดินซึ่งคุณใช้เป็นที่จอดรถ ก็คือเส้นทางให้พวกสัตว์เหล่านั้นไปหารถคุณ

พื้นที่จอดรถ และวิธีที่จะช่วยดูแลรถคุณได้อย่างแท้จริง

  • จอดรถในร่ม ในที่สำหรับจอดซึ่งเป็นหลังคาที่จอดรถที่บังแดด ไม่ใช่ร่มไม้
  • เลี่ยงการจอดรถบนพื้นที่เป็นดิน เพื่อช่วยป้องกันรถเป็นที่พักอาศัยของพวกสัตว์ทั้งหลาย
  • ถ้าต้องจอดรถตากแดดนาน ๆ ใช้ม่านบังแดดเพื่อลดอุณหภูมิภายในห้องโดยสาร
  • ถ้าสังเกตเจอคราบยางไม้หรือขี้นกให้รีบล้างออกด้วยน้ำสะอาดทันที
  • ถ้าต้องจอดรถกลางแดดเป็นประจำ ควรเลือกใช้ฟิล์มกันแดดที่มีคุณภาพ สามารถกันความร้อนได้จริง

เพียงเท่านี้การใช้รถของคุณเมื่อต้องจอดรถที่ไหนก็จะเหมือนเป็นการดูแลรถได้ ด้วยเทคนิคและสิ่งที่ควรเลี่ยงที่เรานำมาฝาก จะช่วยป้องกันการทำร้ายรถของคุณในทางอ้อมได้เป็นอย่างดี และถ้าคุณเป็นหนึ่งคนที่รักรถ ก็ย่อมต้องการการคุ้มครองจากประกันภัยรถยนต์คุณภาพใช่มั้ยล่ะ? เลือกประกันรถยนต์ออนไลน์จาก Roojai.com ที่มาพร้อมกับตัวเลือกในการคุ้มครองมากมายซึ่งคุณสามารถปรับแต่งแผนได้เอง เลือกได้ตามที่เหมาะกับการใช้งานรถของคุณ รู้ใจกว่า ประหยัดกว่า ที่สำคัญผ่อนได้ ไม่ง้อบัตรเครดิต ถูกใจคนรักรถทุกคนอย่างแน่นอน คลิกเช็คราคาประกันรถยนต์ออนไลน์ที่นี่ได้เลย

Carro-Roojai-Saving-Fuel-Even-In-A--Traffic-Jam

“น้ำมันก็เหลือน้อย รถก็ดันมาติดชนิดที่คุณไม่คาดคิดมาก่อน” เคยมั้ย ที่อยู่ในสถานการณ์แบบนี้ สถานการณ์ที่ตลอดเส้นทาง ฝนตก รถติด การจราจรไม่เป็นใจ แล้วที่คิดไว้ว่าน้ำมันที่เหลือในถัง “คงพอ” ให้ไปถึงปลายทาง กลับต้องมาคิดใหม่อีกครั้งว่าจุดหมายอาจจะต้องเปลี่ยนเป็นแวะเติมน้ำมันรถที่ปั๊ม และต้องใช้ วิธีแก้รถซดน้ำมัน เข้าไปช่วย

เงื่อนไขที่คุณจะทำได้ในตอนที่รถติด น้ำมันก็เหลือในถังไม่มาก แล้วต้องการให้รถประหยัดน้ำมัน อาจมีข้อจำกัดสักหน่อย เทคนิคพื้นๆ ที่ว่าของเยอะๆ ที่อยู่ในรถ ให้เอาออกไป ให้รถแบกน้ำหนักน้อยลงเพื่อช่วยประหยัดน้ำมัน หรือจะบอกให้ไปเปลี่ยนน้ำมันเครื่อง เป่ากรองอากาศ มันก็เหมือนเป็นการแก้ไขที่ปลายเหตุ ซึ่งนำมาใช้ไม่ได้กับสถานการณ์เร่งด่วนนี้

Saving-Fuel-Even-In-A--Traffic-Jam

สิ่งที่คุณสามารถทำได้ คือการปรับลักษณะการขับขี่ในขณะที่น้ำมันรถเหลือในถังเพียงน้อยนิดซะมากกว่า ให้ทุกหยดของน้ำมันที่เหลือถูกใช้อย่างคุ้มค่า ไปได้ไกลมากที่สุด ถึงจุดเติมน้ำมันรถที่ปลายทางและไม่ดับตายอยู่กลางถนน

Roojai.com จะพาคุณไปดูวิธีประหยัดน้ำมันรถที่จะช่วยให้รถของคุณไปได้ไกลกว่าเดิม โดยเฉพาะตอนที่รถติดหนักๆ คุณจะได้ไม่ต้องตกอยู่ในสถานการณ์น้ำมันรถหมด ต้องจอดตายอยู่กลางทาง วิธีการมีดังต่อไปนี้

Saving-Fuel-Even-In-A--Traffic-Jam

1. ปิดแอร์ ปิดเครื่องเสียง

ส่วนของอุปกรณ์ในรถยนต์ที่มีการใช้ไฟฟ้าจากแบตเตอรี่ มีผลโดยตรงต่ออัตราสิ้นเปลืองน้ำมัน โดยเฉพาะเครื่องปรับอากาศในรถ ยิ่งเปิดแรงมาก รถก็กินน้ำมันมาก ด้วยการทำงานของไดชาร์จที่ต้องทำหน้าที่ปั่นไฟเข้าไปในแบตฯ ให้เต็ม และการปิดแอร์จะเป็นการช่วยลดภาระของเครื่องยนต์ให้ไม่ต้องทำงานหนักเหมือนปกติ ส่งผลให้มีการดึงน้ำมันมาใช้สำหรับการเผาไหม้น้อยลง รถก็ใช้น้ำมันน้อยลง

และเช่นเดียวกัน ที่ส่วนของเครื่องเสียงภายในรถนั้นก็เป็นอีกส่วนของอุปกรณ์ใช้ไฟฟ้าในรถที่คุณสามารถเลือกปิดไม่ใช้งานได้ ช่วยให้ประหยัดน้ำมันได้อีกหน่อย ถึงแม้จะไม่มากถึงขั้นต้องว้าว! แต่มันก็อาจจะทำให้รถของคุณไปถึงจุดเติมน้ำมันรถและเลี่ยงไม่ต้องไปจอดกลางทางได้เหมือนกัน

Saving-Fuel-Even-In-A--Traffic-Jam

2. รถติดนาน ๆ ให้ใส่เกียร์ว่าง

บางคนด้วยความเคยชินก็เลือกที่จะใส่เกียร์ D ทิ้งไว้ทั้งที่รถยังติดอยู่วิ่งไปไหนไม่ได้ เพราะคิดว่าเดี๋ยวก็ไฟเขียวรถก็เลื่อนออกไป ไม่ต้องมานั่งเลื่อนเกียร์ไปมา ทว่าบ่อยครั้งสิ่งที่คาดไว้ไม่เป็นอย่างที่คิด รถเลื่อนไปได้นิดเดียวก็ติดอีกยาวๆ เผลอๆ คุณก็ใส่เกียร์ D ทิ้งไว้นานเกินไปด้วย จนทำให้เครื่องยนต์ทำงานหนักกว่าที่ควรจะเป็น ด้วยเหตุของการทำงานจากตัวเกียร์ ถ้าเกียร์มาอยู่ในตำแหน่งเกียร์ว่างหรือตัว N จะสามารถประหยัดน้ำมันรถได้มากกว่า

เพราะฉะนั้นเพื่อความประหยัดน้ำมันรถสูงสุด เมื่อคุณพิจารณาสภาพการจราจรแล้วว่าติดหนัก อย่าลืมเปลี่ยนเกียร์ให้ไปอยู่ในสถานะที่เหมาะสม ยิ่งบางคันที่มีระบบ Auto Hold ตัวรถช่วยเบรกไว้ให้อัตโนมัติ ไม่ต้องเหยียบเบรกค้างไว้ ยิ่งควรที่จะคอยปรับเลื่อนเกียร์ให้เหมาะ เพราะบางทีขับรถเพลิน ๆ อาจทำให้เข้าใจผิดว่าคุณเปลี่ยนเกียร์เป็น N ใส่เกียร์ว่างแล้ว แต่ที่จริงรถยังเร่งอยู่เบาๆ ที่เกียร์ D อยู่จากการทำงานของระบบนี้

Saving-Fuel-Even-In-A--Traffic-Jam

3. ค่อยๆ ออกตัว

เหยียบคันเร่งหนักๆ ให้รถออกตัวกระชากแรงๆ ก็ไม่ต่างกับการเร่งให้น้ำมันรถหมดเร็วขึ้น เพราะตัวเครื่องยนต์ต้องมีการดึงน้ำมันมาใช้เยอะกว่าปกติเพื่อตอบสนองการเหยียบคันเร่งแรง ๆ และนั่นอาจไม่เหมาะเท่าไรในยามที่น้ำมันทุกหยดมีค่า รถติดๆ แล้วน้ำมันรถใกล้หมด ดังนั้นการเลือกที่จะค่อยๆ เร่งออกตัวอย่างช้าๆ น่าจะเป็นทางเลือกที่ดีกว่าถ้าปลายทางท้ายสุดของคุณคือเรื่องความประหยัดเป็นที่ตั้งเหนือสิ่งอื่นใด

Saving-Fuel-Even-In-A--Traffic-Jam

4. เปลี่ยนเส้นทางใหม่

จะเปลี่ยนเพื่อให้ได้เจอปั๊มน้ำมันที่ใกล้ที่สุด หรือเพื่อหนีรถติดก็มีประโยชน์ด้วยกันทั้งนั้น ถ้าข้อแม้ของคุณเป็นเรื่องระดับของน้ำมันรถที่อยู่ในถังซึ่งใกล้จะหมด ควรเลือกใช้เส้นทางใหม่ถ้าเป็นไปได้ ที่สำคัญอาจต้องรีบตัดสินใจด้วยอย่าปล่อยทิ้งไว้จนน้ำมันรถใกล้หมด อาจจะเป็นการใช้แอปฯ เพื่อช่วยหาปั๊มน้ำมันรถที่ใกล้ที่สุดก่อนเพื่อแวะไปเติม แล้วค่อยกลับเข้าสู่เส้นทาง หรือหาเส้นทางใหม่เพื่อหนีรถติด ก็ได้ทั้งนั้น

อย่างไรก็ตาม ถ้าคุณไม่มีทางเลือก จำเป็นที่จะต้องอยู่บนเส้นทางที่รถติด คำแนะนำในข้อก่อนหน้าก็อาจเป็นทางเลือกที่ดีที่สุดในขณะที่คุณอยู่หลังพวงมาลัย

ทั้งหมดนี้ คือวิธีประหยัดน้ำมันยามรถติด เพียงปรับรูปแบบการขับขี่ของคุณเท่านั้น หลังจากแนะนำเทคนิคประหยัดน้ำมันรถไปแล้ว เราขอแนะนำเทคนิคประหยัดเบี้ยประกันรถยนต์บ้าง ถ้าคุณกำลังมองหาทางเลือกในการทำประกันรถยนต์ Roojai.com เสนอราคาที่คุ้มค่าที่สุดสำหรับผู้ขับขี่ปลอดภัย หากเจอที่อื่นถูกกว่า เราคืนเงิน 100% สามารถผ่อนชำระได้ผ่านบัตรเครดิตหรือบัตรเดบิต เช็คราคาออนไลน์ หรือปรับแผนความคุ้มครองเองได้ตามความเหมาะสมเลย

Carro-Roojai-How-To-Take-Care-Of-Unused-Car

ช่วงที่ ไวรัส โคโรนา (COVID-19) กลายเป็นสิ่งที่น่ากลัว ทุกคนต้องปรับตัวเองกับคำว่า “Social Distancing” เว้นระยะห่างจากบุคคลทั่วไป หลายคนก็ต้องทำงานจากที่บ้าน (Work From Home) อยู่แต่บ้านไม่ค่อยได้ไปไหน ซึ่งรถของคุณก็จะไม่ค่อยได้ใช้งานไปโดยปริยาย ต้องจอดรถไว้นานควรทำอย่างไร ต้องดูแลยังไงให้รถพร้อมใช้งานได้ตลอดเวลา

Roojai.com ไม่ได้เป็นห่วงรถคุณแค่เรื่องประกันภัยเพียงอย่างเดียว เราก็อยากให้คุณไม่เกิดปัญหาในการใช้งานรถด้วย ยิ่งในสภาวะเช่นนี้ รถไม่ค่อยได้ใช้งาน ต้องจอดรถทิ้งไว้นาน ๆ ย่อมส่งผลให้ตัวรถเกิดปัญหา แล้วพอจะใช้ทีก็ต้องมานั่งซ่อมที แบบนี้ไม่ดีแน่! ควรทำอย่างไรไปดูกันเลย

จอดรถไว้นานควรทําอย่างไร ในช่วงที่ โคโรนา เป็นภัย

How-To-Take-Care-Of-Unused-Car

1. หมั่นดูแลรถให้สะอาดอยู่เสมอ

ไม่ได้ใช้รถนานๆ บางทีคราบขี้นก ยางต้นไม้หยดใส่รถแต่ว่าคุณไม่รู้ ต้องหมั่นตรวจสอบอยู่เสมอ ถ้ามีคราบมีรอยเมื่อเห็นให้ล้างออกโดยทันทีก่อนที่ตัวคราบนั้น ๆ จะเข้าไปทำลายสีรถของคุณ ล้างไม่ออก ขัดยังไงก็ไม่หลุด เป็นเหมือน “ตราบาป” ติดรถของคุณไปตลอด

How-To-Take-Care-Of-Unused-Car

2. หาที่จอดรถที่เหมาะสม

คำว่า “เหมาะสม” ในที่นี้บริบทของมันใช่เพียงแค่ว่าจอดรถในที่ร่มไม่โดนแดดไม่โดนฝนเท่านั้น แต่พื้นที่โดยรอบของที่จอดรถและตำแหน่งการจอดนั้น ไม่ควรเป็นพื้นที่รกร้างที่อาจมีสัตว์นานาชนิดแอบใช้รถของคุณเป็นที่พักผ่อนได้ เช่น หนูหรืองู จอดรถนาน ๆ ไม่ได้ใช้ทุกวันตรงจุดนี้ต้องระวังให้ดี

How-To-Take-Care-Of-Unused-Car

3. หมั่นเปิดฝากระโปรงบ่อยๆ

ใต้ฝากระโปรงอาจเป็นแหล่ง “มั่วสุม” ของพวกหนูซึ่งมันอาจนำความพินาศมาสู่รถคุณได้ เข้าไปกัดสายไฟจนขาด นำอาหารไปกินแล้วทิ้งไว้ในห้องเครื่องเป็นขยะ ซึ่งถ้าไม่คอยเปิดเช็กฝากระโปรง ปิดสนิททิ้งไว้เป็นอาทิตย์บอกเลยว่า “บันเทิงแน่นอน” เปิดมาดูที รถของคุณอาจจะสตาร์ทไม่ติดหรือเห็นเศษขยะสะสมมากมายที่พวกมันมาแทะกัดแล้วทิ้งไว้ให้ดูต่างหน้า การเปิดฝากระโปรงทิ้งไว้หรือคอยเปิดบ่อย ๆ สามารถช่วยได้ เพื่อไม่ให้พวกสัตว์ต่าง ๆ เห็นว่าในห้องเครื่องของรถคุณเป็นที่หลบภัยของมันนั่นเอง

How-To-Take-Care-Of-Unused-Car-4

4. 3-4 วัน สตาร์ทรถสักที

บางคนอาจแนะนำว่าให้สตาร์ทรถสัปดาห์ละครั้งก็ได้ แต่เราอยากให้ความถี่ในการสตาร์ทรถของคุณมากขึ้นสักหน่อย เป็นสัก 3-4 วันให้เครื่องยนต์และระบบต่าง ๆ ของตัวรถได้ทำงาน ทั้งระบบไฟ ระบบแอร์ และอื่น ๆ รอบคัน สตาร์ททิ้งไว้สัก 10-15 นาทีให้ไฟได้ชาร์ทเข้าแบตฯ ไว้บ้าง หรือจะให้ดีกว่านั้นสตาร์ททั้งทีก็ขับวนรอบหมู่บ้านสักรอบสองรอบ ก็จะยิ่งช่วยให้ระบบช่วงล่างของรถได้ทำงานบ้างได้ด้วยอีกต่างหาก

How-To-Take-Care-Of-Unused-Car

5. เติมลมให้ “แข็งขึ้น” สักเล็กน้อย

รถไม่ค่อยได้ขับ จอดทิ้งไว้นาน ๆ ขับอุ่นเครื่องแต่ในหมู่บ้านไม่ได้เอาออกไปไหน เพื่อรักษาสภาพยางรถยนต์ของคุณให้ยังดีอยู่เสมอก็ควรเติมลมยางให้แข็งกว่าปกติสักหน่อย เพิ่มขึ้นสัก 5 ปอนด์จากมาตรฐานก็สามารถช่วยให้ตอนที่น้ำหนักเมื่อกดทับยางตอนจอดนิ่งนาน ๆ ไม่เสียรูป ใช้งานได้อีกยาวๆ

สำคัญไปกว่านั้นต้องหมั่นตรวจเช็กแรงดันลมยางอย่างสม่ำเสมอด้วย ไม่ควรปล่อยให้ลมยางอ่อนจนยางแบนล้อเกือบติดพื้น นอกจากมันจะไม่ดีกับสภาพยางของรถคุณแล้ว ตอนจะขับใช้งานทีก็อาจต้องถอดล้อไปเติมลมยาง เสียเวลาซ่อมอีกต่างหาก วัดลมยางบ่อย ๆ พอเห็นว่าเริ่มอ่อนก็ขับไปเติมไว้นี่แหละดีที่สุด

How-To-Take-Care-Of-Unused-Car

6. อย่ามองข้ามของเหลวของเครื่องยนต์

แม้ว่าคุณจะไม่ค่อยได้ใช้รถบ่อย ๆ ก็ตาม แต่เชื่อว่าคงไม่มีใครปลื้มหลอกถ้าจะขับทีต้องซ่อมที ดังนั้นเรื่องของเหลวในส่วนต่าง ๆ ของเครื่องยนต์คือสิ่งที่มองข้ามไม่ได้ ควรหมั่นตรวจเช็กให้อยู่ในระดับที่ตัวรถต้องการอยู่เสมอ ไม่ว่าจะเป็นระบบหล่อเย็น น้ำมันเครื่อง น้ำมันเกียร์ น้ำมันเบรก ฯลฯ ต้องเช็กให้ดีทุกส่วน

How-To-Take-Care-Of-Unused-Car

7. ถอดขั้วแบตเตอรี่

ถ้ารู้ว่าจะไม่ค่อยได้สตาร์ทรถนาน ๆ หลายสัปดาห์หรือเป็นเดือน ถอดขั้วแบตฯ ไปเลยน่าจะดีกว่า เพราะต้องไม่ลืมว่าแม้รถจะไม่ได้สตาร์ทแต่ระบบต่าง ๆ ของรถที่ต้องใช้ไฟยังทำงานอยู่ ซึ่งหมายความว่าตัวแบตฯ ก็ต้องจ่ายไฟ แล้วถ้าไม่ได้สตาร์ทรถชาร์จไฟก็อาจทำให้แบตฯ “เกลี้ยง” ได้ พอตอนจะสตาร์ทก็สตาร์ทไม่ติด ทางที่ดีถ้ารู้ว่าจะไม่ได้ใช้รถนาน ๆ ให้ถอดขั้วแบตฯ ออกเลยดีที่สุด

โคโรนา ไวรัสอาจทำให้หลาย ๆ คนต้องปรับตัว ซึ่งคนใช้รถ จอดรถไว้นานควรทำอย่างไร ทั้งหมดน่าจะเป็นคำตอบให้กับทุกคนแล้ว และถึงแม้รถจะจอดไว้ไม่ได้ใช้นาน ๆ เรื่องประกันภัยรถยนต์ก็ยังคงเป็นสิ่งที่ทุกคนต้องมี เพื่อให้ตอนที่ใช้รถก็จะสามารถขับขี่ได้อย่างมั่นใจ เพราะอุบัติเหตุสามารถเกิดขึ้นกับทุกคนได้ อันตรายไม่น้อยกว่า ไวรัส โคโรนา (COVID-19) ซึ่งสามารถซื้อประกันโควิดออนไลน์ เบี้ยต่ำ คุ้มครองสูง กับเราได้แล้ววันนี้ เลือกทำประกันไว้อุ่นใจกว่า

What-Is-Glass-Coating

เคลือบแก้วรถยนต์คืออะไร ราคาเท่าไหร่..คำตอบอยู่ที่นี่

หนึ่งในปัญหาและความกังวลของคนที่รักรถนั่นก็คือ กลัวว่ารถยนต์สุดรักจะมีริ้วรอย ไม่ว่าจะเป็นรอยขีดข่วนจากการใช้งาน รอยเบียด รอยขนแมว หรือรอยที่เกิดจากอุบัติเหตุเล็กๆ น้อยๆ แต่นั่นทำให้เจ้าของรถต้องจิตตกและกังวลอยู่ไม่น้อย แถมยังต้องเสียเวลาไปซ่อมทำสีรถใหม่อีก

วันนี้ Roojai.com ประกันรถยนต์ออนไลน์รูปแบบใหม่ สามารถเลือกราคาเบี้ยประกันรถยนต์ได้เองผ่านเว็บไซต์ มีเรื่องราวดี ๆ มาแนะนำกันอีกเช่นเคย ซึ่งปัญหารถเป็นรอยมีวิธีป้องกันที่อยากจะแนะนำคือการนำรถไปเคลือบแก้วนั่นเอง เรามาทำความรู้จักกับการเคลือบแก้วรถยนต์กัน

What-Is-Glass-Coating

การเคลือบแก้วรถยนต์ (Glass Coating) คือ การเคลือบชั้นผิวของสีรถยนต์ สภาพเหมือนกับกระจกเงาใสที่มีความแข็งและหนา บนชั้นของ Clear Lacquer (ชั้นเคลือบตัวถังรถที่มาจากโรงงาน) เหนือชั้นสีของตัวรถ ซึ่งระดับความหนาของชั้นเคลือบจะมีระดับที่แตกต่างกัน โดยมีหลายระดับราคาและคุณภาพ (ตั้งแต่ 1 – 9 H) รวมถึงการให้บริการของแต่ละร้านอีกด้วย ซึ่งในสารเคลือบแก้วจะมีส่วนผสมของซิลิกา หรือ SI ที่เป็นชื่อทางวิทยาศาสตร์ เป็นสารสำคัญที่ทำให้สารเคลือบแก้วมีความแข็งแรง ไม่บดบังและหักเหแสง ทำให้สีรถไม่เปลี่ยน ยังคงสีเดิมทำให้ดูเหมือนใหม่ตลอดเวลา

ประโยชน์ของการเคลือบแก้ว คือป้องกันรถจากรอยขนแมว สะเก็ดหิน กิ่งไม้เกี่ยว และรอยขีดข่วนได้มากกว่าชั้นเคลือบตัวถังรถที่มาจากโรงงาน รวมทั้งลดการเกิดรอยด่างบนสีตัวถังรถที่เกิดจากคราบต่าง ๆ ทำให้ตัวถังรถยังมีความสดใสและเงางามอยู่เสมอ

เคลือบแก้วต่างจากเคลือบสีรถธรรมดาตรงไหน? อธิบายง่าย ๆ ว่า การเคลือบสีปกติจะเป็นการเคลือบสีระยะสั้น เมื่อใช้ไปนาน ๆ สีก็จะเริ่มซีดจาง ชั้นผิวจะบางและป้องกันรอยขีดข่วนได้น้อย แต่ถ้าเป็นเคลือบแก้ว ชั้นของผิวเคลือบจะหนาและแข็งกว่า ป้องกันรอยขีดข่วนและรักษาสภาพชั้นสีตัวถังได้ดีกว่า รวมทั้งมีความแวววาวมากกว่า และแน่นอนว่าเคลือบแก้วรถยนต์ย่อมมีราคาที่สูงกว่าอยู่พอสมควร

โดยการทำเคลือบแก้วนั้น ไม่ได้วัดกันที่ความหนาของการเคลือบว่าหนากี่ไมครอน (Micron) ตามที่เข้าใจกันมา เพราะที่จริงแล้วจะพิจารณาจากความแข็งแกร่งของสารที่นำมาใช้เคลือบแก้วเป็นหลัก รวมทั้งต้องดูคุณสมบัติเกี่ยวกับการปกป้องสีจริงของรถที่ออกมาจากโรงงานว่า สารที่ใช้เคลือบนั้นสามารถป้องกันสีจากแสงแดดได้หรือไม่ หรือเป็นเพียงแค่สารเคลือบชั้นผิวทั่วไป ที่ต้องถามเยอะ เพราะราคาค่าเคลือบแก้วรถยนต์โดยทั่วไปมีราคาหลักหมื่น เมื่อจ่ายเงินแล้วควรได้การป้องกันและความคุ้มค่ากลับมาด้วย

What-Is-Glass-Coating

การเคลือบแก้วรถยนต์มีกี่แบบ? หากแบ่งตามเทคนิคและวิธีการเคลือบแก้ว จะแบ่งออกเป็น 2 แบบ ดังนี้

การเคลือบแก้วแบบทา เป็นวิธีการเคลือบแบบดั้งเดิม ที่ยังคงใช้มาถึงปัจจุบัน ก่อนการทาสารเคลือบแก้ว ต้องมีการปรับผิวสีรถให้พร้อมก่อนการลงสารเคลือบ ทำให้วิธีแบบนี้จำเป็นต้องอาศัยช่างที่มีความชำนาญเป็นพิเศษ เพราะต้องทาสารเคลือบแก้วให้ทั่วพื้นผิวตัวถังรถยนต์ ต้องไม่บางและไม่หนาจนเกินไป เพื่อให้เกิดการยึดติดผิวสีและมีความหนาที่เหมาะสม

การเคลือบแก้วแบบพ่น เป็นการเคลือบแก้วที่ได้รับความนิยมในปัจจุบัน ถูกพัฒนามาจากแผนกพ่นสีรถยนต์ในโรงงานประกอบรถยนต์ ซึ่งมีวิธีการพ่นเช่นเดียวกับการพ่นสีรถยนต์ ทำให้สารเคลือบกระจายตัวไปบนพื้นผิวรถได้อย่างทั่วถึงและครอบคลุม มีการระเหยได้รวดเร็วโดยที่ไม่ต้องเช็ดของเหลวออก ซึ่งวิธีการเคลือบแบบนี้จะทำให้เกิดความคงทน มีความเงางาม สีตัวถังรถดูฉ่ำตลอดเวลา เป็นวิธีที่ได้มาตรฐานในการเคลือบแก้วรถยนต์มากที่สุด

เคลือบแก้ว ราคาเท่าไร? ราคาของการเคลือบแก้วรถยนต์มีหลายราคาตั้งแต่หลักพันไปถึงหลักแสนบาท ขึ้นอยู่กับผู้ให้บริการและผลิตภัณฑ์ที่นำมาใช้เคลือบ ซึ่งแบ่งออกเป็นหลายเกรดอีกเช่นกัน ถ้าจะแบ่งกลุ่มและราคาคงจะต้องอ่านกันตาแฉะ เอาเป็นว่าขอสรุปเอาไว้คร่าว ๆ อ้างอิงตามคุณภาพระดับมาตรฐานแล้วกัน

ราคาเคลือบสีรถ (ราคาแต่ละศูนย์ไม่เท่ากัน รวมทั้งราคาแพ็คเกจเคลือบต่างกัน)

ขนาดตัวถังรถ ราคา (บาท)
S, M, L 300-700
XL, XXL 500-900

ราคาเคลือบแก้วรถยนต์ (ราคาแต่ละศูนย์ไม่เท่ากัน รวมทั้งราคาแพ็คเกจเคลือบต่างกัน)

ขนาดตัวถังรถ ราคา (บาท)
S 15,000-30,000
M 20,000-35,000
L 25,000-40,000
XL 30,000-40,000
XXL 30,000-45,000

ทีนี้จะเห็นว่าราคามีความแตกต่างกัน เจ้าไหนราคาถูกหรือแพงเกินไป ต้องดูที่ความน่าเชื่อถือกันอีกด้วย ตอนนี้ไม่ยาก ลองค้นหาใน Google ก็จะมีชื่อศูนย์เคลือบแก้วขึ้นมามากมาย ควรเลือกศูนย์ที่มีชื่อเสียง เลือกใช้ผลิตภัณฑ์ที่มีคุณภาพ ซึ่งตรงนี้เช็คได้ไม่ยาก รวมทั้งต้องดูบริการหลังการขายควบคู่กันไปด้วย เพราะหากมีปัญหาเกี่ยวกับการเคลือบแก้ว จำเป็นจะต้องกลับไปแก้ไขที่ศูนย์เดิมที่ให้บริการ เนื่องจากถ้าเปลี่ยนร้าน ตัวน้ำยาที่ใช้อาจจะเป็นคนละยี่ห้อ จะทำให้สารเคลือบตัวถังรถมีปัญหาได้

โดยปกติแล้วราคาของการเคลือบแก้วจะมีราคาที่สูงกว่าการเคลือบสีธรรมดา เพราะการเคลือบแก้วจะมีรายละเอียดและขั้นตอนการทำมากกว่า ต้นทุนสูงกว่า ทำให้เป็นข้อสังเกตว่าถ้าราคาเคลือบแก้วสูงกว่าเคลือบแบบธรรมดาเพียงเล็กน้อย มีโอกาสที่จะได้รับการเคลือบที่ไม่ได้มาตรฐานก็เป็นได้ นอกจากนี้ เมื่อเคลือบแก้วรถยนต์แต่ละครั้ง จำเป็นจะต้องนำรถไปบำรุงรักษาทุก 6 เดือน จึงควรดูเรื่องของระยะเวลาการรับประกันเอาไว้ด้วย เพราะจะเป็นการการันตีคุณภาพของศูนย์ว่ามีคุณภาพและมาตรฐานการบริการเพียงใด

ทิ้งท้ายเอาไว้อีกสักนิด เผื่อคุณลูกค้าจะนำรถไปเคลือบแก้ว ต้องรู้จักวิธีการดูแลรักษาเอาไว้ด้วย ซึ่งก็ไม่ยาก เพียงแค่ล้างรถตามปกติ สามารถลงแว็กซ์เคลือบเงาได้ตามปกติ แต่ควรที่จะหลีกเลี่ยงการขัดสีรถด้วยเครื่องขัดสีรถแบบรอบสูงหรือการขัดด้วยน้ำยาขัดสีรถแบบที่มีส่วนผสมของผงขัด หรือ Compound เพราะจะทำให้สารที่เคลือบอยู่หลุดออกมาได้ด้วยเช่นกัน

และเพื่อความอุ่นใจ หากรถคุณเกิดอุบัติเหตุเล็ก ๆ จนทำให้เกิดรอยความเสียหายบนรถที่คุณรัก Roojai.com ประกันรถออนไลน์แนะนำว่า คุณควรหาประกันดีๆ ไว้ดูแล และพร้อมช่วยเหลือคุณ 24 ชม.

เช็คราคาประกันรถออนไลน์คลิก https://bit.ly/34raJcM