Lexus-LS

Lexus-LS

Lexus LS (เลกซัส แอลเอส) ใหม่ นับเป็นเจนเนอเรชั่นที่ 5 พัฒนาขึ้นโดยผสมผสานรูปลักษณ์และเสน่ห์แห่งยนตกรรมแถวหน้าที่หรูหรา ผ่านมาตรฐานฝีมือการผลิต และความเอาใจใส่ขั้นสูงแบบญี่ปุ่น ที่ขึ้นชื่อถึงความปราณีต และพิถีพิถัน (Takumi Craftsmanship) จึงสะท้อนถึงขนบธรรมเนียมในการต้อนรับ และการบริการแบบญี่ปุ่นที่เรียกว่า “Omotenashi” ด้วยการทำให้ทุกรายละเอียดของยนตกรรมนี้ นำมาซึ่งบรรยากาศแห่งความสงบและผ่อนคลาย ในราคาเริ่มต้นที่ 11,530,000 บาท สำหรับ LS 350 รุ่น Luxury …

Lexus LS ได้รับการแนะนำเข้าสู่ตลาดรถยนต์ระดับหรูครั้งแรกในประเทศสหรัฐอเมริกา เมื่อปี 2532 ได้รับการตอบรับเป็นอย่างดีจากลูกค้า โดยเลกซัส LS เป็นที่ยอมรับด้านคุณภาพจากทั่วโลก และเด่นชัดด้วยยอดขายรวมจนถึงปัจจุบันกว่า 570,000 คัน* ในประเทศสหรัฐอเมริกา และมากกว่า 800,000 คัน* ทั่วโลก (ข้อมูล ณ เดือนกุมภาพันธ์ 2560)

เลกซัส LS ใหม่ เผยโฉมเป็นครั้งแรกเมื่อเดือนมกราคม 2560 ที่ประเทศสหรัฐอเมริกา และสำหรับประเทศไทย ถือเป็นประเทศแรกใน ASEAN ที่เปิดตัว เลกซัส LS ใหม่ ให้ลูกค้าชาวไทยได้สัมผัส

Lexus-LS

“Lexus LS400 เปิดตัวสู่ตลาดในประเทศไทยเป็นครั้งแรกเมื่อปี 2535 ณ เวลานั้น เลกซัสดึงความสนใจจากกลุ่มลูกค้าชาวไทยที่มีมุมมองในการแสวงหาความแตกต่างเพื่อรถระดับหรูที่ดีที่สุดท่ามกลางตัวเลือกอื่น ปัจจุบัน เลกซัส ได้รับความไว้วางใจและเป็นที่รักของกลุ่มคนไทยที่รับรู้ถึงความน่าเชื่อถือของผลิตภัณฑ์ ถือว่าเป็น “แฟนพันธุ์แท้ของเลกซัส LS” ซึ่งปัจจุบันมีมากกว่า 700 คน

Lexus-LS

เลกซัส LS เจนเนอเรขั่นที่ 5 พัฒนาขึ้น เพื่อสร้างนิยามใหม่แห่งความหรูหรา โดยคงไว้ซึ่ง DNA ของเลกซัส LS รุ่นแรก และได้ให้ความสำคัญเป็นพิเศษกับสุนทรียภาพการขับขี่อันยอดเยี่ยม ด้วยการออกแบบให้คงความเป็น LS แบบดั้งเดิม แต่เพิ่มความประทับใจในการออกแบบด้านอารมณ์ความรู้สึกเพื่อกระตุ้นทุกโสตสัมผัส โดยเลกซัส LS นับเป็นรุ่นเรือธงที่รวมนวัตกรรมด้านยานยนต์ของเลกซัส เป็นตัวตนที่เหนือกว่ายานยนต์ระดับหรูแบบเดิมอย่างสิ้นเชิง ภายใต้หลักการพัฒนา 4 จุดหลัก ดังนี้

Lexus-LS

“การออกแบบที่กล้าจะแตกต่าง” (Brave Design): โดดเด่นด้วยการออกแบบภายนอกที่เร่งเร้าและดุดัน มาพร้อมเส้นสายโฉบเฉี่ยวเฉพาะตัว ห้องโดยสารภายในหรูหราเหนือระดับ ให้ความ สำคัญสูงสุดสำหรับความสะดวกสบายของผู้โดยสารตอนหลัง
“ความปราณีตและความพิถีพิถัน” (Takumi Craftsmanship): สะท้อนผ่านการออกแบบที่ผสานความงดงามแห่งศิลปะดั้งเดิมของญี่ปุ่นกับเทคโนโลยีการผลิตอันก้าวล้ำ ละเมียดละไมในทุกรายละเอียดประดุจงานหัตถศิลป์ชั้นสูง
“สมรรถนะที่เร้าใจ” (Exhilarating Performance): แรงเต็มสมรรถนะด้วยขุมพลังเครื่องยนต์ 3 รูปแบบ อัตราเร่งนุ่มนวลตอบสนองความรู้สึกผู้ขับขี่ ควบคุมการทรงตัวได้อย่างมั่นใจ และตัวถังรถพัฒนาอย่างสมบูรณ์ เพื่อการขับขี่ที่รื่นรมย์
“เทคโนโลยีแห่งอนาคต” (Imaginative Technology): ครบครันและล้ำหน้าด้วยเทคโนโลยีระดับสูง เติมเต็มสุนทรียภาพความบันเทิงด้วยเครื่องเสียง Mark Levinson และมั่นใจสูงสุดด้วยระบบความปลอดภัย Lexus Safety System Plus

Lexus-LS

Lexus LS เจนเนอเรชั่นที่ 5 มาพร้อมกับระบบเครื่องยนต์ 3 ทางเลือก ไม่ว่าจะเป็น ระบบไฮบริด เครื่องยนต์ V6 ขนาด 3.5 ลิตร ในรุ่น LS 500h ให้แรงม้าสูงสุด 299 แรงม้า เต็มสมรรถนะยิ่งขึ้นและเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมที่มาพร้อมกับชุดเกียร์ใหม่ Lexus Multi Stage Hybrid สุดยอดนวัตกรรมที่จะทำให้เครื่องไฮบริดขับสนุกเร้าใจยิ่งขึ้น

อีกทั้งเครื่องยนต์ใหม่แบบเทอร์โบชาร์จคู่ V6 ขนาด 3.5 ลิตร ในรุ่น LS 500 ให้แรงม้าสูงสุด 421 แรงม้า มาพร้อมเกียร์อัตโนมัติ Direct Shift 10 ระดับ ตอบสนองสุนทรียะด้านการขับขี่สูงสุด

และ เครื่องยนต์ V6 ขนาด 3.5 ลิตร ในรุ่น LS 350 ให้แรงม้าสูงสุด 315 แรงม้า ให้ความนุ่มนวลตลอดการขับขี่

เลกซัส LS ใหม่ จะจัดแสดงและเปิดตัวอย่างเป็นทางการภายในงาน ไทยแลนด์ อินเตอร์เนชั่นแนล มอเตอร์ เอ็กซ์โป ครั้งที่ 34 ซึ่งผู้ที่จอง LS ใหม่ภายในงาน จะได้รับสิทธิ์เข้าร่วมทริป Lexus Test Drive The World และเนื่องด้วยเลกซัส LS คือต้นกำเนิดของประวัติศาสตร์เลกซัสด้วย

Lexus-LS

สำหรับกลยุทธ์ที่ 2 คือ การสร้างความประทับใจที่เหนือความคาดหมายให้กับลูกค้าคนสำคัญของเรา โดยหากลูกค้าท่านใดที่สนใจซื้อ LS ใหม่ เราจะมีบริการให้ทดลองขับส่งตรงถึงหน้าบ้าน ทั้งนี้ เลกซัสยังคงไว้ซึ่งการต้อนรับและบริการที่อบอุ่นแบบญี่ปุ่น หรือ Omotenashi โดยใส่ใจในรายละเอียดของการดูแลลูกค้าอย่างพิถีพิถัน อันเป็นเอกลักษณ์เฉพาะของเลกซัส และทำให้เลกซัสแตกต่างจากแบรนด์รถหรูทั่วๆไป

Lexus-LS

Lexus LS ใหม่ มีสีภายนอกให้เลือกมากถึง 11 สี พร้อมสีใหม่ 2 สี ได้แก่ สี Manganese Luster และ สี Sonic Agate ด้วยทั้งหมดที่กล่าวมาทำให้เลกซัส LS เจเนอเรชั่นที่ 5 คือยานยนต์ที่บ่งบอกตัวตนที่แตกต่างและยากจะเทียบเทียมของผู้ครอบครอง จึงเป็นที่มาของการสื่อสารภายใต้แนวคิด Amazing Statement

เลือกเป็นเจ้าของความหรูหรา สมบูรณ์แบบ…ของ เลกซัส LS ใหม่
สีภายนอก
– Sonic Quartz
– Sonic Silver
– Sonic Titanium
– Manganese Luster สีใหม่
– Black
– Graphite Black Glass Flake
– Red Mica Crystal Shine
– Sonic Agate สีใหม่
– Sleek Ecru Metallic
– Amber Crystal Shine
– Deep Blue Mica

Lexus-LS

สีภายในห้องโดยสาร
LS500h รุ่น Executive Pleat
– Black with Kiriko (Cut Glass)
– Crimson & Black with Kiriko (Cut Glass)

LS500h รุ่น Executive
– Black with Art wood (Organic)
– Crimson & Black with Art wood (Herringbone)

LS350 รุ่น Luxury
– Black with Shimamoku
– Topaz Brown with Walnut (Open Pore)

วัสดุแผงข้างประตู
– Kiriko (Cut Glass)
– Art wood (Organic)
– Art wood (Herringbone)
– Shimamoku
– Walnut (Open Pore)

ราคา เลกซัส LS ใหม่ ทั้ง 4 รุ่น / Lexus LS Price, Shown in Thai Baht.

– LS500h รุ่น Executive Pleat ราคา 15,830,000 บาท
– LS500h รุ่น Executive ราคา 14,500,000 บาท
– LS500 รุ่น Executive ราคา 13,080,000 บาท
– LS350 รุ่น Luxury ราคา 11,530,000 บาท

Lexus-LS

BMW-X3

เจนเนอเรชั่นที่สาม ของ “BMW X3” ใหม่ ดูโดดเด่น สง่างาม ยิ่งขึ้น

The-All-new-BMW-X3

BMW X3 xDrive20d xLine ใหม่ คือตัวอย่างที่สมบูรณ์แบบของความทุ่มเทนี้ ด้วยความโดดเด่น การออกแบบที่ปราดเปรียว ระบบการขับขี่อันทรงพลังที่ยังคงประสิทธิภาพอย่างเหนือชั้น และความหรูหราในทุกแง่มุมของตัวรถ BMW X3 xDrive20d xLine ใหม่ จึงพร้อมพุ่งทะยานสู่ท้องถนนและสานต่ออีกหนึ่งบทความแห่งสำเร็จจากรถยนต์ BMW X3

The-All-new-BMW-X3

สุดยอดขุมพลังนวัตกรรมแห่งความสปอร์ต

The-All-new-BMW-X3

บีเอ็มดับเบิลยู X3 รุ่นที่สาม ผสานรูปลักษณ์แข็งแกร่งแบบออฟโรด เข้ากับความสปอร์ต สัดส่วนอันคุ้นตาทั้งด้านหน้าและด้านหลัง ออกแบบเพื่อรองรับการกระจายน้ำหนักแบบ 50:50 ระหว่างเพลาหน้าและหลังอย่างสมบูรณ์แบบ ความปราดเปรียวอันทรงพลังของรถยนต์

The-All-new-BMW-X3

BMW X3 xDrive20d xLine ใหม่ ถูกเสริมให้ดุดันยิ่งขึ้นด้วยกระจังหน้าไตคู่แบบหนา และไฟตัดหมอกแบบหกเหลี่ยม ที่นำมาใช้เป็นครั้งแรกในรถยนต์บีเอ็มดับเบิลยูตระกูล X

The-All-new-BMW-X3

ชุดแต่ง BMW Individual และ xLine ของ BMW X3 xDrive20d xLine ใหม่ มาพร้อมกับล้ออัลลอยขนาด 19 นิ้วลาย Y-spoke ภายในรถเฉียบคม สมบูรณ์แบบ และวัสดุคุณภาพเยี่ยม ดูคลาสสิคหรูหรากว่ารถรุ่นก่อนหน้า และสะดวกสบายขึ้นอีกขั้น กับอุปกรณ์เสริมใหม่ล่าสุดด้วยระบบปรับอากาศอัตโนมัติแบบ 3 โซน ชุดไฟเพิ่มบรรยากาศในห้องโดยสาร 6 สี ม่านบังแดดด้านข้างผู้โดยสารตอนหลังแบบอัตโนมัติ ฟังก์ชั่นมาตรฐานในส่วนเก็บสัมภาระด้วยพนักพิงเบาะหลังแบ่งพับแบบ 40:20:40 และหลังคากระจกแบบพาโนรามาที่เสริมให้ภายในตัวรถโปร่งสบายยิ่งขึ้น ช่วยให้ B MW X3 xDrive20d xLine ใหม่ โดดเด่นยิ่งกว่า

พร้อมอีกหนึ่งอุปกรณ์ใหม่อย่าง BMW Display Key ที่ไม่เพียงล็อคและปลดล็อค BMW X3 xDrive20d xLine ใหม่ ด้วยสัญญาณวิทยุทางไกล แต่ยังแสดงสถานะและข้อมูลต่าง ๆ รวมถึงควบคุมฟังก์ชั่นการทำงานอื่น ๆ ของรถอีกด้วย

เครื่องยนต์ทรงประสิทธิภาพยิ่งกว่า ควบคู่การออกแบบเน้นน้ำหนักเบา

The-All-new-BMW-X3

BMW X3 xDrive20d xLine ใหม่ โฉบเฉี่ยวด้วยเทคโนโลยี BMW TwinPower Turbo เครื่องยนต์ดีเซล 4 สูบ ทำงานประสานเกียร์อัตโนมัติ 8 สปีด Strepsonic เครื่องยนต์ให้แรงม้าสูงสุด 190 แรงม้า พร้อมแรงบิดสูงสุด 400 นิวตันเมตร ส่งให้บีเอ็มดับเบิลยู X3 xDrive20d xLine ใหม่ เร่งเครื่องจาก 0-100 กม./ชม. ได้ภายใน 8 วินาที ก่อนที่จะพุ่งทะยานทำความเร็วสูงสุดที่ 213 กม./ชม. ด้านอัตราการสิ้นเปลืองเชื้อเพลิงอยู่ที่ 17.6 กม./ลิตร และอัตราการปล่อย CO2 ที่ 150 กรัม/กม.

เทคโนโลยี BMW EfficientDynamics ถูกนำมาใช้ในรถยนต์ BMW X3 xDrive20d xLine ใหม่ ซึ่งรวมถึงระบบส่งกำลังที่ช่วยประหยัดเชื้อเพลิงได้อย่างมีประสิทธิภาพ และการออกแบบทุกสัดส่วนเน้นน้ำหนักเบา เช่น การนำอลูมิเนียมมาใช้เป็นส่วนประกอบมากขึ้นในเครื่องยนต์และช่วงล่างที่ช่วยลดน้ำหนักของตัวรถได้มากขึ้น

ต่อยอดที่สุดแห่งความเพลิดเพลินในการขับขี่และระบบควบคุมล้ำสมัย

The-All-new-BMW-X3

BMW X3 xDrive20d xLine ใหม่ มาพร้อมกับปุ่มควบคุม iDrive สั่งงานด้วยระบบสัมผัสและจอแสดงผลความละเอียดสูงขนาด 10.25 นิ้ว ระบบการสั่งงานด้วยการเคลื่อนไหวของมือ (BMW gesture control) ช่วยควบคุมระบบนำทางและฟังก์ชั่นสาระบันเทิงต่าง ๆ ได้อย่างสะดวกสบาย ในขณะเดียวกัน ระบบการสั่งงานด้วยเสียง (Intelligent Voice Control Assistance) ซึ่งผู้ขับขี่ใช้ภาษาในชีวิตประจำวันได้อย่างง่ายดาย แทนคำสั่งที่มีการตั้งค่าไว้

The-All-new-BMW-X3

Toyota-Hilux-Revo-2018

โตโยต้า แนะนำรถกระบะ “Hilux Revo” (ไฮลักซ์ รีโว่) ภายใต้โครงการ “IMV: Innovative International Multi Purpose Vehicle” เจนเนอเรชั่นที่ 2 ในปี 2558 บนนิยามใหม่แห่ง “ความแกร่ง” สะท้อนภาพลักษณ์ตามแนวคิด “ยุคใหม่แห่งกระบะ ทุกตารางนิ้วต้องไฮลักซ์” จนเป็นที่มาของสโลแกน “ปฏิวัติทุกมิติ แห่งกระบะอนาคต” จนประสบความสำเร็จ และได้รับการตอบรับจากลูกค้าอย่างดีเยี่ยม

Toyota-Hilux-Revo-2018

ด้วยยอดจำหน่ายสะสมภายในประเทศกว่า 1,900,000 คัน และส่งออกรถยนต์ภายใต้โครงการ IMV ไปจำหน่ายยังประเทศต่างๆ ทั่วโลกกว่า 3,000,000 คัน

มาถึงวันนี้ … ได้เวลาตอกย้ำความแกร่งของผู้นำแห่งรถกระบะ…ไฮลักซ์ รีโว่ รุ่นปรับโฉมใหม่

Toyota-Hilux-Revo-2018

“ไฮลักซ์ รีโว่ รุ่นปรับโฉมใหม่” ซึ่งถูกพัฒนาขึ้นภายใต้แนวคิด “ตัวตนของคนจริง” ซึ่งเปรียบรถกระบะไฮลักซ์ รีโว่ ที่มีดีไซน์อันแข็งแกร่งดุดัน เปี่ยมด้วยสมรรถนะที่ยอดเยี่ยม สามารถตอบสนองต่อทุกการใช้งาน

Toyota-Hilux-Revo-2018

Toyota-Hilux-Revo-2018 Toyota-Hilux-Revo-2018

ออกแบบรูปลักษณ์ภายนอกใหม่ เพื่อแสดงถึงความแข็งแกร่ง ดุดัน เต็มพลัง ด้วยดีไซน์ใหม่ของกันชนหน้า กระจังหน้าแบบโครเมียมและสีดำเงา และกรอบไฟตัดหมอกสีดำเงา รับกับสีภายในห้องโดยสารใหม่โทนสีดำ ตลอดจนอุปกรณ์มาตรฐานต่างๆ ปรับเพิ่มให้ครอบคลุมทุกการใช้งาน ผสานกับสมรรถนะอันยอดเยี่ยมจากขุมกำลังของเครื่องยนต์ดีเซลระบบคอมมอนเรล เจเนอเรชั่นล่าสุด (GD Efficient Boost) ที่ให้แรงบิดสูงสุดในช่วงรอบกว้าง (Flat Torque) เต็มประสิทธิภาพทั้งการออกตัวและเร่งแซง แต่ยังประหยัดน้ำมันดีเยี่ยม เครื่องยนต์ทำงานเงียบ ไอเสียต่ำและเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม ตลอดจนแข็งแกร่งทนทาน มีอายุการใช้งานยืนยาว

Toyota-Hilux-Revo-2018

สู่อีกขั้นแห่งการขับขี่ ที่แกร่งดุจหินผา กับชีวิตท้าทายอีกขั้น … “Hilux Revo Rocco” (ไฮลักซ์ รีโว่ ร็อคโค่) รุ่นตกแต่งพิเศษ…แกร่งเกินนิยาม

Toyota-Hilux-Revo-2018

พร้อมกันนี้ Toyota ขอแนะนำ Toyota Hilux Revo Rocco (ไฮลักซ์ รีโว่ ร็อคโค่) รุ่นตกแต่งพิเศษ ที่พัฒนาขึ้นภายใต้แนวคิด “แกร่งเกินนิยาม” เป็นอีกหนึ่งทางเลือก สำหรับลูกค้าที่ชอบรถกระบะที่มีดีไซน์ที่แตกต่าง และโดดเด่นเหนือระดับ

โดย ไฮลักซ์ รีโว่ ร็อคโค่ (Rocco) มาพร้อมดีไซน์ที่ดุดัน ด้วยชุดแต่งพิเศษรอบคันทั้งภายนอกและภายใน ที่แตกต่างจากรุ่นธรรมดา พร้อมด้วยอุปกรณ์อำนวยความสะดวกที่ครบครัน

Toyota-Hilux-Revo-2018

Toyota-Hilux-Revo-2018

Toyota-Hilux-Revo-2018

Toyota-Hilux-Revo-2018

เชิญสัมผัสกับ ไฮลักซ์ รีโว่ รุ่นปรับโฉมใหม่ โดยจะเปิดตัวต่อสาธารณชนเป็นครั้งแรก ภายในงาน “Motor Expo 2017” ในระหว่างวันที่ 30 พฤศจิกายน – 11 ธันวาคม ตลอดจนการจัดงานเปิดตัวที่โชว์รูมผู้แทนจำหน่ายโตโยต้า ระหว่างวันที่ 8-10 ธันวาคม ศกนี้

และพร้อมส่งมอบรถไฮลักซ์ รีโว่ รุ่นปรับโฉมใหม่ ให้แก่ลูกค้าโตโยต้าได้ตั้งแต่วันที่ 10 ธันวาคม นี้ เป็นต้นไป …

ราคา โตโยต้า ไฮลักซ์ รีโว่ รุ่นปรับโฉมใหม่ / Toyota Hilux Revo (Minorchange) Price. Shown in Thai Baht.

Toyota-Hilux-Revo-Standard-Cab-2018-Price Toyota-Hilux-Revo-Smart-Cab-2018-Price Toyota-Hilux-Revo-Double-Cab-2018-Price

New-MG-GS

มิติใหม่ของการดีไซน์ภายใต้แนวคิด “Brit Dynamic” และมาพร้อมระบบอัจฉริยะ “i-SMART”

MG-ZS-Blue

บริษัท เอสเอไอซี มอเตอร์-ซีพี จำกัด และ บริษัท เอ็มจี เซลส์ (ประเทศไทย) จำกัด เปิดตัว “New MG ZS” รถเอสยูวีเพื่อชีวิตที่ไร้ขีดจำกัด ตอกย้ำความเป็นผู้นำเทคโนโลยีสมาร์ทคาร์ด้วยการติดตั้งระบบอัจฉริยะ i-SMART สามารถรองรับการสั่งการด้วยเสียงภาษาไทยครั้งแรกในโลก รูปลักษณ์โดดเด่นสไตล์ บริท ไดนามิค (Brit Dynamic) ที่ให้ความหรูหราทันสมัยและสปอร์ตยิ่งขึ้น ห้องโดยสารเพียบพร้อมความสะดวกสบาย กว้างขวาง พร้อมระบบความปลอดภัย Synchronized Protection System 9 ระบบ ในราคา 679,000 – 789,000 บาท

MG-GS

เป้าหมายหลักของการพัฒนา New MG ZS คือการนำเสนอ ‘สมาร์ทคาร์’ หรือ ‘รถยนต์อัจฉริยะ’ สร้างมาตรฐานใหม่ในแบบที่ไม่เคยมีบริษัทรถยนต์รายใดเคยทำมาก่อน โดยคาดการว่า New MG ZS จะมียอดจำหน่ายมากกว่า 12,000 คัน/ปี

MG-ZS-Red

New MG ZS คือรถยนต์รุ่นแรกของเอ็มจี ที่มาพร้อมกับระบบอัจฉริยะ i-SMART ซึ่งเพิ่งเปิดตัวอย่างเป็นทางการเมื่อเดือนกันยายนที่ผ่านมา ระบบสามารถควบคุมสั่งการได้ 3 วิธี คือ สั่งการผ่านระบบ Voice command ภาษาไทย สั่งการผ่านหน้าจอทัชสกรีนภายในรถ และการสั่งการผ่านไอสมาร์ทแอปพลิเคชั่น (i-SMART application) จากสมาร์ทโฟนซึ่งผู้ขับขี่สามารถเปิดระบบการทำงานของระบบปรับอากาศผ่านแอปพลิเคชั่นในสมาร์ทโฟน ค้นหาจุดหมายอาทิสถานที่ท่องเที่ยว โรงแรม หรือร้านอาหาร ด้วยสมาร์ทเนวิเกเตอร์ รวมถึงตรวจสอบสภาพการจราจรได้แบบเรียลไทม์

นอกจากนี้ระบบยังสามารถเรียนรู้พฤติกรรมของผู้ขับขี่ และพัฒนาความสามารถให้ดีขึ้นด้วยเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (Artificial Intelligence) สอดคล้องกับยุคอินเตอร์เน็ตในทุกสรรพสิ่งหรือ IoT (Internet of Things)

นอกจากนี้ ระบบ i-SMART ยังรวบรวมข้อมูลที่มีความสำคัญและแจ้งต่อผู้ขับได้ตลอดเวลา อาทิ ระดับน้ำมันเชื้อเพลิง สภาพการทำงานของแบตเตอรี่ เครื่องยนต์ และระบบเบรก ผ่านสมาร์ทโฟน พร้อมกับช่วยแจ้งเตือนการเคลื่อนที่ของรถที่ผิดปกติซึ่งอาจเกิดจากการโจรกรรม ซึ่งช่วยเพิ่มความปลอดภัยได้อีกระดับ

MG-GS

รูปลักษณ์ของ New MG ZS ได้รับการออกแบบภายใต้แนวคิดบริท ไดนามิค (Brit Dynamic) ที่มีความทันสมัยมากขึ้นและสปอร์ตยิ่งกว่าเดิม ซึ่งสอดคล้องกับความต้องการของคนรุ่นใหม่ที่ชื่นชอบความคล่องตัวและยังคงเอกลักษณ์แบบอังกฤษของเอ็มจี

MG-ZS-Panoramic-Sunroof

โดดเด่นด้วยกระจังหน้าดีไซน์ใหม่ขนาดใหญ่ ที่นำสายตาสู่เส้นสายบนฝากระโปรด้านท้าย ไฟท้ายแบบ LED Tube พร้อม Panoramic Sunroof ส่วนด้านข้างเน้นความปราดเปรียวกับเส้นสายชัดเจน และโดดเด่นด้วยล้ออัลลอยดีไซน์ใหม่ แบบ Bi-Colour ขนาด 17 นิ้ว

มิติตัวถังยาว 4,314 มม. กว้าง 1,809 มม. สูง 1,624 มม. ระยะฐานล้อ 2,585 มม.

MG-ZS-Interior

MG-GS

ภายในห้องโดยสารเน้นความหรูหราและความสปอร์ตสไตล์รถยุโรป ตกแต่งด้วยสีทูโทน และวัสดุ Soft Touch ที่บริเวณแผงประตู และแผงคอนโซล มาพร้อมช่องแอร์ดีไซน์ Jet Turbine ที่ฝั่งซ้าย-ขวา แบบสปอร์ต มาตรวัดเรืองแสงพร้อมหน้าจอแสดงผล เบาะที่นั่งด้านหลังพับแบบ 60:40 พื้นที่เก็บสัมภาระส่วนท้ายปรับได้สองระดับโดยปรับระดับเพิ่มขึ้นได้อีก 10 ซม. เพิ่มความอเนกประสงค์

MG-ZS-Trunk

นอกเหนือจากระบบการเชื่อมต่ออัจฉริยะ i-SMART ที่แสดงผลผ่านหน้าจอสีระบบสัมผัสขนาด 8 นิ้ว New MG ZS ยังเพียบไปด้วยอุปกรณ์อำนวยความสะดวกสบายที่ครบครันที่สุดในระดับเดียวกัน ทั้งระบบควบคุมความเร็วอัตโนมัติ พวงมาลัยมัลติฟังก์ชั่นแบบสปอร์ต ควบคุมเครื่องเสียง และปุ่มรับ-วางสายโทรศัพท์ด้วยปลายนิ้วสัมผัส ปุ่มสตาร์ท และยังสามารถรองรับการเชื่อมต่อไร้สายผ่านบลูทูธ พร้อม USB ช่องจ่ายไฟ 12V และกล้องมองหลังและเซ็นเซอร์ถอยหลัง

Engine-MG-ZS

New MG ZS ขับเคลื่อนด้วยเครื่องยนต์เบนซินรุ่นใหม่ รหัส 15S4C ขนาด 1.5 ลิตร แบบ 4 สูบ DOHC VTi-TECH ให้แรงม้าสูงสุด 114 แรงม้า ที่ 6,000 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 150 นิวตันเมตร ที่ 4,500 รอบ/นาที ส่งกำลังผ่านเกียร์อัตโนมัติ 4 สปีด พร้อม Manual Mode

เอ็มจี ให้ความสำคัญสูงสุดกับระบบความปลอดภัยเช่นเดียวกับรถยนต์รุ่นอื่นๆ ด้วยระบบโครงสร้างตัวถังนิรภัย FSF (Full Space Frame) เทคโนโลยีปกป้องทุกชีวิตในห้องโดยสาร และระบบ Synchronized Protection System 9 ระบบ ประกอบด้วย ระบบเบรกป้องกันล้อล็อก ABS (Anti-lock Braking System) พร้อมระบบกระจายแรงเบรก EBD (Electronic Brake Force Distribution) ระบบเสริมแรงเบรกด้วยอิเล็กทรอนิกส์ EBA (Electronic Brake Assist)

ระบบควบคุมการทรงตัว SCS (Stability Control System) ระบบควบคุมการเบรกในขณะเข้าโค้ง CBC (Curve Brake Control) ระบบป้องกันล้อหมุนฟรี และควบคุมการลื่นไถล TCS (Traction Control System) ระบบช่วยการออกตัวบนทางลาดชัน HAS (Hill Start Assist System) ระบบตรวจสอบความผิดปกติของลมยาง TPMS (Tire Pressure Monitor System) ระบบสัญญาณไฟแจ้งเตือนเมื่อมีการเบรกฉุกเฉิน ESS (Emergency Stop Signal) ตลอดจนถุงลมนิรภัยคู่หน้า ถุงลมนิรภัยด้านข้าง และม่านถุงลมนิรภัยรวมทั้งหมด 6 จุด รวมถึงกล้องมองหลังและเซ็นเซอร์

New MG ZS มีสีให้เลือก ทั้งหมด 5 สี ได้แก่ …

– สีแดงสกาเลตต์เรด (Scarlet Red)
– สีฟ้ามารีน่าบลู (Marina Blue)
– สีเงินซิลเวอร์เมทัลลิก (Silver Metallic)
– สีขาวอาร์คติคไวท์ (Arctic White)
และ สีดำแบล็คไนท์ (Black Knight)

MG-GS

ราคา เอ็มจี แซดเอ็กซ์ ใหม่ / The All-New MG ZS Price. Shown in Thai Baht.

– รุ่น C ราคา 679,000 บาท
– รุ่น D ราคา 729,000 บาท
– รุ่น X ราคา 789,000 บาท

Mazda-CX-5

“Make All Chapters Remarkable เป็นที่สุดในทุกบทบาท”

Mazda-CX5

มาสด้า เซลส์ ประเทศไทย ร่วมกับ มาสด้า มอเตอร์ คอร์ปอเรชั่น ประเทศญี่ปุ่น จัดงานเปิดตัวแนะนำที่สุดของรถอเนกประสงค์เอสยูวี All-New Mazda CX-5 โฉมใหม่ มาพร้อมรูปทรงการออกแบบอันสง่างามทั้งภายนอกและภายใน ที่ได้แรงบันดาลใจจากสุนทรียศาสตร์ของงานศิลปะญี่ปุ่นแบบดั้งเดิม ตามแนวทางการออกแบบ “Less is more” ภายนอกดูเรียบง่าย แต่สุขุม และยังคงให้ความสปอร์ตโฉบเฉี่ยวในแบบฉบับใหม่ อัดแน่นไปด้วยเทคโนโลยีเจนเนอเรชั่นใหม่ล่าสุด เปิดราคาเริ่มต้นเพียง 1.29 ล้านบาทเท่านั้น พร้อมรับฟรีประกันภัยชั้น 1 ที่สำคัญลูกค้าสามารถรับรถได้ทันที ทุกรุ่น ทุกสี ก่อนวันที่ 30 พฤศจิกายนนี้

All-New Mazda CX-5 โฉมใหม่ มาพร้อมกับคอนเซ็ปต์ “เป็นที่สุดในทุกบทบาท” Make All Chapters Remarkable นี้คือรถอเนกประสงค์ที่เป็นที่สุดในคลาส One Class Above ภายใต้การออกแบบใหม่ล่าสุดจาก โคโดะ ดีไซน์ (Kodo Design) เจนเนอเรชั่นใหม่ ที่สะท้อนถึงพลังของจิตวิญญาณที่ซ่อนอยู่ภายใต้ความเคลื่อนไหวอันสง่างาม ผนวกกับวิวัฒนาการที่ก้าวไปอีกขั้นของเทคโนโลยีสกายแอคทีฟ

Mazda-CX5

มาสด้า CX-5 เผยโฉมสู่สาธารณชนทั่วโลกครั้งแรกเมื่อปี 2555 และเข้าสู่ตลาดประเทศไทย เมื่อเดือนพฤศจิกายน 2556 ในฐานะรถยนต์รุ่นแรกที่มาพร้อม “Skyactiv Technology” และการออกแบบภายใต้ “KODO Design” Soul of Motion รถยนต์มาสด้า CX-5 กลายเป็นรถอเนกประสงค์เอสยูวีที่ได้รับเสียงตอบรับอย่างดียิ่งจากลูกค้าทั่วโลกภายในเวลาอันรวดเร็ว จนสามารถคว้ารางวัลรถยนต์ยอดเยี่ยมในประเทศญี่ปุ่น และรางวัลอันทรงเกียรติอีกมากมายจากทั่วทุกมุมโลก ด้วยสมรรถนะพลังแรงของเครื่องยนต์ แต่ประหยัดน้ำมันเป็นเลิศ เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม มีระบบความปลอดภัยสูงสุด และอุปกรณ์อำนวยความสะดวกต่างๆ มากมายครบครัน

Mazda-CX5

ส่งผลทำให้มาสด้า CX-5 ประสบความสำเร็จอย่างมากในทุกตลาด จวบจนปัจจุบันมียอดขายไปแล้วกว่า 1 ล้าน 5 แสนคันทั่วโลก ถือเป็นโมเดลหลักที่สำคัญของมาสด้ารองจาก Mazda3 ที่ขายได้กว่า 5 ล้านคันทั่วโลก โดยเฉพาะลูกค้าชาวไทยให้การตอบรับอย่างล้นหลาม และกำลังวิ่งอยู่บนถนนในประเทศไทยกว่า 18,000 คัน

การเปิดตัวมาสด้า CX-5 โฉมใหม่ มาสด้ากำหนดราคาขายเริ่มต้นเพียงล้านต้นๆ เท่านั้น จึงมั่นใจอย่างยิ่งว่า CX-5 จะได้รับการตอบรับเป็นอย่างดีจากลูกค้า มาสด้า จึงตั้งเป้ายอดขายรุ่นนี้ไว้สูงถึง 7,200 คัน/ปี

Mazda CX-5 เจาะกลุ่มเป้าหมาย 3 กลุ่ม …

Mazda-CX-5

กลุ่มแรก Executives คือ ผู้บริหารรุ่นใหม่ เน้นการใช้ชีวิตอย่างอิสระ รักความก้าวหน้าเป็นผู้ที่มีรสนิยมในการคัดสรรสิ่งที่ดีที่สุด
กลุ่มที่สอง Couple คือ คนที่ใช้ชิวิตสมับใหม่ มีการใช้เวลาเพื่อตัวเองและในชีวิตคู่ ชอบความตื่นเต้นแสวงหาสิ่งใหม่เพื่อสร้างครอบครัวให้มั่นคง
– และกลุ่มที่สาม Young Family คือ ครอบครัวเริ่มต้นและมีบุตร มีความมุ่งมั่นเพื่อก้าวสู่ความสำเร็จทั้งด้านการงานและชีวิตครอบครัว

Mazda-CX-5

การออกแบบ Taking KODO Design To A Higher Level อีกระดับของดีไซน์โคโดะ

มาสด้า CX-5 โฉมใหม่ พัฒนาแนวคิดการออกแบบ Kodo Design ให้โดดเด่นเหนือระดับยิ่งขึ้น ด้วยเส้นสายที่เรียบง่าย แต่แฝงด้วยความโฉบเฉี่ยว ซึ่งได้รับแรงบันดาลใจจากสุนทรียศาสตร์แบบญี่ปุ่น (Japanese Aesthetic) ภายใต้คอนเซ็ปต์ “Less is More” ผลลัพธ์ที่ได้ คือ รูปลักษณ์ภายนอกใหม่ที่งดงามและทรงพลังราวกับมีชีวิต หรูหรา ปราดเปรียวในสไตล์พรีเมี่ยม รวมไปถึงรูปลักษณ์ภายในใหม่ที่ถูกออกแบบอย่างประณีต ใช้วัสดุเกรดพรีเมี่ยม ทุกองค์ประกอบพร้อมมอบความเพลิดเพลิน และความสะดวกสบาย

Skyactiv-D

– SKYACTIV-D 2.2 เครื่องยนต์สกายแอคทีฟคลีนดีเซล 2.2 ลิตร ประหยัดสูงสุด 17.5 กม/ลิตร พัฒนาให้สามารถทํางานตอบสนองผู้ขับได้ดียิ่งขึ้น เครื่องยนต์ทํางานเงียบมากขึ้น ให้กําลัง 175 แรงม้า แรงบิดสูง 420 นิวตัน-เมตร ประหยัดน้ำมันและเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม

Skyactiv-G

– SKYACTIV-G 2.0 เครื่องยนต์สกายแอคทีฟ เบนซิน 2.0 ลิตร ประหยัดสูงสุด 13.9 กม/ลิตร พัฒนาให้สามารถตอบสนองอัตราเร่งได้ดีขึ้น ให้กําลัง 165 แรงม้า แรงบิดสูง 210 นิวตัน-เมตร ประหยัดน้ำมัน และเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม

– SKYACTIV-Drive เกียร์อัตโนมัติสกายแอคทีฟ 6 สปีด ที่รวมข้อดีของเกียร์อัตโนมัติทุกระบบตอบสนองได้แม่นยําเปลี่ยนเกียร์ราบรื่น ให้อัตราเร่งต่อเนื่อง และประหยัดน้ำมันในทุกรอบความเร็ว

– SKYACTIV-Body โครงสร้างตัวถังสกายแอคทีฟ โครงสร้างตัวถังที่ผลิตจากเหล็กกล้าคุณภาพสูง High Tensile Steel น้ำหนักเบาและแข็งแกร่ง ให้การควบคุมรถที่มั่นคงช่วยลดแรงสะเทือนจากถนนและกระจายแรงปะทะที่เข้าสู่ห้องโดยสารในกรณีที่เกิดอุบัติเหตุ

– SKYACTIV-Chassis ช่วงล่างและระบบบังคับเลี้ยวสกายแอคทีฟ ระบบช่วงล่างที่เกาะถนนมั่นคง และให้ความนุ่มนวลแก่ห้องโดยสาร พร้อมระบบบังคับเลี้ยวที่ช่วยให้เข้าโค้งได้แม่นยํา ปลอดภัยและประหยัดน้ำมัน

– i-ACTIV AWD ระบบขับเคลื่อน 4 ล้ออัตโนมัติ ช่วยปรับระบบการขับขี่ให้เหมาะสมกับทุกสภาพถนนมากยิ่งขึ้น

Enhance Driving Enjoyment พลังที่เหนือกว่า ขับเคลื่อนสู่ความสําเร็จอีกระดับ

– 2-Stage Turbocharger เทอร์โบชาร์จเจอร์แบบสองขั้น ช่วยให้เครื่องยนต์สกายแอคทีฟคลีนดีเซลมีแรงบิดสูงแม้ในรอบต่ำ เพื่อให้ได้สมรรถนะการขับขี่ที่ดีในทุกรอบความเร็วของเครื่องยนต์
– Natural Sound Smoother & Natural Sound Frequency Control ช่วยลดแรงสั่นสะเทือนของเครื่องยนต์สกายแอคทีฟคลีนดีเซลในรอบเดินเบา ช่วยให้เครื่องยนต์ทำงานเงียบขึ้น
– Drive Selection* สวิตช์ Drive Selection สามารถเลือกขับขี่ในโหมด Sport ได้ เมื่อต้องการเร่งแซง หรือให้อัตราเร่งที่เพิ่มขึ้นในรอบเครื่องยนต์ที่สูง ให้ความรู้สึกสนุกเร้าใจเหมือนขับเกียร์ธรรมดา
– i-Stop (Idling Stop System) ระบบประหยัดน้ำมันที่สั่งให้เครื่องยนต์หยุดการทํางานชั่วคราวเมื่อรถจอดนิ่งขณะที่อุปกรณ์ต่างๆ ภายในรถยังคงทํางานตามปกติ และเครื่องยนต์จะกลับมาทํางานอัตโนมัติทันที เมื่อรถพร้อมออกตัว

Mazda-CX-5-Interior

– SKYACTIV-Vehicle Dynamics อีกขั้นของเทคโนโลยีสกายแอคทีฟ ที่ผสานและควบคุมการทํางานของรถทั้งคัน ตั้งแต่เครื่องยนต์ ระบบเกียร์ โครงสร้างตัวถัง ไปจนถึงช่วงล่าง ให้ทํางานประสานกันอย่างมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น เพื่อมอบประสบการณ์ความสนุกในการขับขี่ตามแนวคิด จินบะ-อิไต (Jinba-Ittai) ของมาสด้า ให้ผู้ขับและรถเป็นหนึ่งเดียวกันมากขึ้น และยังให้ผู้โดยสารสัมผัสถึงความรู้สึกสบายตลอดการเดินทาง

Mazda-CX-5-Sunroof

– Power Sliding Glass Sunroof หลังคาซันรูฟแบบไฟฟ้า Electronic Parking Brake ระบบเบรกมือไฟฟ้า พร้อมระบบ Auto Hold เพื่อเพิ่มความสบายในการขับขี่
– Steering Wheel พวงมาลัยดีไซน์ใหม่แบบสปอร์ตพรีเมี่ยม จับกระชับมือพร้อมปุ่มควบคุมการทํางานที่พวงมาลัย
– BOSE® Sound System ระบบเสียง BOSE® รอบทิศทาง ลำโพง 10 ตำแหน่ง พร้อมเทคโนโลยี AUDIOPILOTTM2 และ Centerpoint®2 ที่ช่วยชดเชย และปรับแต่งเสียงให้สมจริงมากยิ่งขึ้น

Mazda-CX-5-Interior

Deliver Outstanding Passenger Comfort เติมเต็มความสะดวกสบายให้ทุกเส้นทางให้ทุกการเดินทางของคุณและครอบครัวเต็มเปี่ยมไปด้วยความสะดวกสบายกับมาสด้า CX-5 โฉมใหม่ ที่พัฒนาห้องโดยสารภายใต้ปรัชญา Human-Centered Design ด้วยการจัดวางฟังก์ชั่นการใช้งานในตําแหน่งศูนย์กลาง เหมาะสมกับการใช้งาน โดยผู้ขับไม่ต้องละสายตาจากถนน ห้องโดยสารกว้างขวาง พนักพิงเบาะหลังปรับเอนได้ และสามารถแยกพับได้ 3 ส่วน แบบ 40:20:40 อิสระจากกัน เบาะนั่งคู่หน้าปรับไฟฟ้า พร้อมระบบบันทึกตําแหน่งเบาะนั่งของผู้ขับขี่ที่สามารถบันทึกได้ 2 ตําแหน่งช่อง USB 2.1 แอมป์ ช่องเก็บของ พร้อมที่วางแก้ว ถูกจัดวางในตำแหน่งที่สะดวกต่อการใช้งาน และช่องแอร์สําหรับที่นั่งตอนหลังที่เพิ่มความสบายยิ่งขึ้น

Mazda-CX5

Seamless Connectivity With MZD Connect เชื่อมต่อทุกความสําเร็จได้ไร้ขีดจํากัดล้ำหน้าไปกับเทคโนโลยีเชื่อมต่อออนไลน์ MZD Connect ในมาสด้า CX-5 โฉมใหม่ ไม่พลาดทุกการติดต่อทั้งเรื่องงาน และครอบครัว อัพเดทข้อมูลข่าวสารได้ตลอดการเดินทาง หรือ รับ-ส่ง SMS จากสมาร์ทโฟนผ่านสัญญาณ Bluetooth พร้อม Infotainment ที่มีให้เลือกมากมายในแอพพลิเคชั่น Aha by HARMANTM รวมถึงระบบนำทาง Navigator – Center Display จอทัชสกรีนดีไซน์ใหม่ ขนาด 7 นิ้ว แสดงเมนูสั่งงานของระบบ MZD Connect และตั้งค่าฟังก์ชั่นการใช้งานอื่นๆ หรือเรียกดูข้อมูลผ่านระบบสั่งงานด้วยเสียง Voice Command

Center Commander ปุ่มควบคุมระบบ MZD Connect ที่คอนโซลกลางตรงตําแหน่งใกล้มือผู้ขับใช้งานง่ายเพียงหมุนหาคําสั่งที่ปรากฏขึ้นบนจอ Center Display ใช้ได้ทั้งขณะรถวิ่งหรือรถจอดนิ่ง ให้ผู้ขับใช้สมาธิกับการขับขี่ได้ดียิ่งขึ้น Windshield Active Driving Display แสดงข้อมูลสําคัญในการขับขี่แบบสี บนกระจกหน้ารถ ในระดับสายตาผู้ขับ

Mazda-CX-5-Interior

– HMI (Human-Machine Interface) คอนเซ็ปต์การออกแบบอุปกรณ์และฟังก์ชั่นใช้งานภายในรถ เน้นหลักการทำงานตามธรรมชาติจากการเคลื่อนไหวของมนุษย์ จัดวางอุปกรณ์ให้อยู่ในตําแหน่งศูนย์กลาง ช่วยให้ผู้ขับไม่ต้องละสายตาจากถนนภาพแสดงตำแหน่งคันเร่งและเบรก ในรถทั่วไปตําแหน่งของล้อหน้า ทําให้คันเร่งและเบรกต้องอยู่เยื้องไปด้านซ้าย ในรถมาสด้า CX-5 โฉมใหม่ ขยับตําแหน่งของล้อไปด้านหน้ามากขึ้น ทําให้สามารถยืดขาได้อย่างเป็นธรรมชาติ
– Power Liftgate ประตูท้ายเปิด-ปิดด้วยระบบไฟฟ้า มาสด้า CX-5 โฉมใหม่ ให้คุณจัดเก็บสัมภาระได้สะดวกสบายยิ่งขึ้น ด้วยประตูท้ายที่ควบคุมด้วยระบบไฟฟ้า สามารถเปิด-ปิดได้ง่ายเพียงปลายนิ้วสัมผัส และรีโมทคอนโทรล สามารถปรับตั้งระดับการเปิดได้ตามที่คุณต้องการ
– i-Activesense เทคโนโลยีเพื่อความปลอดภัยสุดล้ำ ที่สามารถคาดการณ์อย่างแม่นยำและส่งสัญญาณเตือนผู้ขับขี่ให้เพิ่มความระมัดระวังยิ่งขึ้น เพื่อป้องกันและลดความเสี่ยงการเกิดอุบัติเหตุได้รอบคัน อาทิระบบ SBS (Smart Brake Support), ALH (Adaptive LED Headlamps), SCBS, MRCC (Mazda Radar Cruise Control), LAS (Lane-keep Assist System) & LDWS (Lane Departure Warning System), DAA (Driver Attention Alert), ABSM (Advanced Blind Spot Monitoring), RCTA (Rear Cross Traffic Alert) และ SCBS-R (Smart City Brake Support-Reverse) เป็นต้น

World-Class Safety มาตรฐานความปลอดภัยระดับโลก มาสด้า CX-5 โฉมใหม่ มีจุดเด่นด้านความปลอดภัยทั้งแบบป้องกันก่อนเกิดเหตุ (Active Safety) และแบบปกป้องเมื่อเกิดเหตุ (Passive Safety) จึงมั่นใจได้ในทุกเส้นทางทุกสถานการณ์การขับขี่

โครงสร้างใต้เบาะนั่งด้านหลัง
เบาะนั่งด้านหลัง ออกแบบให้มีองศาที่รองรับน้ำหนักของคนนั่งได้อย่างเหมาะสม ซึ่งป้องกันไม่ให้ผู้โดยสารพุ่งออก จากเบาะนั่งไปทางด้านหน้า โดยเฉพาะเมื่อเกิดอุบัติเหตุจากการชนที่ด้านหน้ารถพื้นที่รับแรงกระแทก

Mazda-CX-5

Mazda CX-5 มาพร้อมสีให้เลือก 6 สี

สีแดง โซล เรด คริสตัล Soul Red Crystal สีเกรดพรีเมี่ยมใหม่ล่าสุดเฉพาะของมาสด้า เนื้อสีหนา 3 ชั้น พ่นด้วยเทคนิคขั้นสูง พร้อมเทคโนโลยีล้ำสมัยทำให้ได้เนื้อสีที่มีความละเอียดสูง สีสด มีความวาว สะท้อนแสงได้ดี และดูมีมิติยิ่งขึ้น
สีเทา แมชชีน เกรย์ Machine Gray สีเมทัลลิค เกรดพรีเมี่ยมเฉพาะของมาสด้า เนื้อสีหนา 3 ชั้น พ่นด้วยเทคนิคพิเศษ เนื้อสีจึงใส สะท้อนแสงได้ดี ส่องประกายมันวาว
– สีขาว สโนว์เฟลก ไวท์ เพิร์ล Snowflake White Pearl, สีเงิน โซนิค ซิลเวอร์ Sonic Silver, สีฟ้า ดีพ คริสตัล บลู Deep Crystal Blue และ สีดำ เจ็ท แบล็ก Jet black

ราคา มาสด้า ซีเอ็กซ์-5 ใหม่ / The All-New Mazda CX-5 Price. Shown in Thai Baht.

Mazda-CX-5-20C

– รุ่น 2.0 C ราคา 1,290,000 บาท

Mazda-CX-5-20S
– รุ่น 2.0 S ราคา 1,400,000 บาท

Mazda-CX-5-20SP
– รุ่น 2.0 SP ราคา 1,530,000 บาท

Mazda-CX-5-22XD
– รุ่น 2.2 XD ราคา 1,560,000 บาท

Mazda-CX-5-22XDL
– รุ่น 2.2 XDL ราคา 1,770,000 บาท

Mazda-CX-5-Acc

Toyota-C-HR-LED-Edition

Toyota C-HR รุ่นพิเศษ สำหรับคนชอบ LED

Toyota-C-HR-LED-Edition

Toyota C-HR (โตโยต้า ซี-เอชอาร์) รถ Crossover SUV แบบ Sub-Compact ที่มีข่าวว่าจะมาขายในประเทศไทยในปี 2560 แต่ก็ยังไม่มาซะทีซะที ซึ่งหลายฝ่ายคาดว่ามาแน่ๆ ล่ะ … แต่ก็ต้องรอดูในช่วงต้นปีหน้านี้ ที่ทางโตโยต้า ประเทศไทย จะเริ่มตัดสินขายรถรุ่นนี้

โดยในเวอร์ชั่นญี่ปุ่น ได้เปิดตัวไปกันตั้งแต่เดือนธันวาคมปีที่ผ่านมา ก่อนจะทยอยเปิดตัวไปตามประเทศต่างๆ ทั่วโลก ตั้งแต่ต้นปี 2560 … และที่ผ่านมาในญี่ปุ่นเอง ก็เพิ่งออกรุ่นพิเศษ สี Two-Tone เอาใจสาวก C-HR ที่อยากได้รุ่นนี้แบบสีทูโทนไปกันเมื่อเร็วๆ นี้

Toyota-C-HR-LED-Edition

ชื่อรุ่นของ Toyota C-HR นั้นย่อมาจากคำว่า Compact High Rider, Cross Hatch Runabout หรือ Coupé High–Rider ที่ออกแบบตัวถังลงบนแพลตฟอร์มใหม่ของ Toyota TAGA (Toyota New Global Architecture) ในรูปแบบ 4 ประตู แต่ดูคล้ายรถสปอร์ตคูเป้ มีที่เปิดประตูด้านหลัง ถูกซ่อนไว้บริเวณเสา C

Toyota-C-HR-LED-Edition

Toyota-C-HR-LED-Edition

สำหรับ Toyota C-HR LED Edition ภายนอกยังคงเดิม เพิ่มเติมด้วยไฟหน้าแบบ Bi-Beam LED พร้อมระบบปรับระดับไฟหน้า สูง-ต่ำ อัตโนมัติ พ่วงด้วยไฟหน้าแบบ LED Daytime Running Light กับไฟเลี้ยวบริเวณกระจกมองข้างแบบ LED ชุดไฟ LED Clearance และไฟท้ายแบบ LED รวมถึงที่จับประตูแบบโครเมี่ยม และล้อแม็กขนาด 17 นิ้ว คู่กับยาง 215/60R17

Toyota-C-HR-LED-Edition

ภายในไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง เพราะออพชั่นต่างๆ ก็มีมาให้อย่างเพียงพอแล้ว อาทิ เครื่องเสียงหน้าจอ Touch Screen ขนาด 8 นิ้ว พร้อมลำโพง 9 ตัว กำลังขับ 576 วัตต์ ระบบปรับอากาศแบบ Dual Zone มาตรวัดเรืองแสงพร้อมจอสี TFT ขนาด 4.2 นิ้ว พวงมาลัยมัลติฟังก์ชั่น 3 ก้าน และเบาะนั่งหลังพับได้แบบ 60:40

Toyota-C-HR-LED-Edition

Toyota C-HR มาพร้อมเครื่องยนต์ขนาด 1.2 ลิตร รหัส 8NR-FTS แบบ 4 สูบ DOHC 16 วาล์ว D-4T Turbo ให้แรงม้าสูงสุด 116 แรงม้า (PS) ที่ 5,200-5,600 รอบ/นาที และแรงบิดสูงสุด 18.9 กก.-ม. (185 นิวตันเมตร) ที่ 1,500-4,000 รอบ/นาที ให้อัตราสิ้นเปลืองเชื้อเพลิง (ตามโหมด JC08) ได้มากถึง 15.4 กม./ลิตร ส่งกำลังผ่านเกียร์อัตโนมัติ Super CVT-i 7 สปีด กับระบบขับเคลื่อน 4 ล้อ

และเครื่องยนต์ไฮบริด ขนาด 1.8 ลิตร รหัส 8NR-FTS แบบ 4 สูบ DOHC 16 วาล์ว VVT-i ให้แรงม้าสูงสุด 98 แรงม้า (PS) ที่ 5,200 รอบ/นาที และแรงบิดสูงสุด 14.5 กก.-ม. (142 นิวตัน-เมตร) ที่ 3,600 รอบ/นาที ทำงานร่วมกับมอเตอร์ไฟฟ้า 2 ตัว ให้แรงม้าสูงสุด 72 แรงม้า (PS) แรงบิดสูงสุด 16.6 กก.-ม. (163 นิวตัน-เมตร) ให้อัตราสิ้นเปลืองเชื้อเพลิง (ตามโหมด JC08) ได้มากถึง 30.2 กม./ลิตร และส่งกำลังผ่านเกียร์อัตโนมัติ CVT

Toyota-C-HR-LED-Edition

Toyota C-HR LED Edition มีให้เลือก 4 รุ่นย่อย ได้แก่รุ่น S, G, S-T และ G-T ในราคา 2,540,400 – 2,929,200 เยน หรือคิดเป็นเงินไทยประมาณ 739,000 – 852,000 บาท

Suzuki-Swift

Suzuki Swift ใหม่ มาแน่! พร้อมร่วมโครงการ Eco-Car เฟส 2

Suzuki-Swift

หลังจากที่ Suzuki แถลงข่าวเปิดตัว Suzuki Swift ใหม่ ไปตั้งแต่ในเดือนธันวาคม 2559 ที่ผ่านมา และเปิดตัว Swift Sport ไปเมื่อเดือนกันยายนปีนี้ในตลาดญี่ปุ่น ตอนนี้ก็ถึงคิวของ Suzuki Swift ในไทยบ้าง โดยทางซูซูกิ ประเทศไทย มีแผนที่จะเปิดตัว Suzuki Swift ใหม่ ในต้นปีหน้านี้

Suzuki-Swift-Design

Suzuki-Swift-Design

Suzuki-Swift-Design

นับตั้งแต่เปิดตัว Swift เป็นครั้งแรกในปี 2004 สามารถสร้างยอดขายได้มากกว่า 5 ล้านคันในทั่วโลก เป็นตัวเลขการันตีได้ว่า Swift เป็นรถที่ประสบความสำเร็จด้านยอดขายของ ซูซูกิ อีกหนึ่งรุ่น โดยทีมงานต่างออกแบบเจ้า Swift ในมากกว่า 50 รูปแบบของการดีไซน์ ตั้งแต่วาดลงบนกระดาษ จนได้แบบที่ถูกใจ ก่อนนำไปปั้นเป็นโมเดล แล้วก็คัดเลือกรูปแบบจนถูกใจอีกรอบ นำไปสู่การทำตัวรถ Mock-Up ใน Scale 1:1 แก้ไขปรับปรุงรูปแบบกันจนสำเร็จ และเดินทางไปสู่ Swift ที่ผลิตจากสายการผลิตออกขายจริง …

Suzuki-Swift Suzuki-Swift

Suzuki Swift Sport ที่วัยรุ่น หรือหนุ่มวัยทำงาน ต่างใฝ่ฝันอยากเป็นเจ้าของ

Suzuki Swift มาพร้อมโครงสร้างใหม่ “Heartect” ที่มีน้ำหนักเบาลง แต่ให้ความแข็งแรงมากขึ้น ช่วยลดน้ำหนัก และเพิ่มเนื้อที่ภายในห้องโดยสาร

Suzuki-Swift

ทั้งนี้ Suzuki Swift ใหม่ เรียกได้ว่าแตกต่างจากรุ่นเดิมมาก ทั้งไฟหน้าแบบ LED Projector พร้อม Daytime Running Light แบบ LED, พร้อมระบบเปิด-ปิด อัตโนมัติ, กันชนสไตล์สปอร์ต, กระจังหน้าทรงหกเหลี่ยมขนาดใหญ่ และเสาข้างประตูสีดำที่กลมกลืนกับกระจกหน้าต้าง และทำให้หลังคาดูลอยตัว

Suzuki-Swift-Interior Suzuki-Swift-Interior

มีการติดตั้งระบบความปลอดภัยอีกเพียบ เช่น ระบบป้องกันการชนด้านหน้า DSBS (Dual Sensor Brake Support) ทำงานด้วยกล้องและเรดาร์ที่ติดตั้งบริเวณกระจกบังลมด้านหน้า, ระบบเตือนเมื่อออกนอกเลน, ระบบเปิดไฟสูงอัตโนมัติ, ระบบเตือนเมื่อรถคันหน้าเคลื่อนตัว และกล้องมองภาพด้านหลัง เป็นต้น

Suzuki-Swift-Safety

มีมิติตัวรถ ยาว 3,840 มิลลิเมตร กว้าง 1,695 มิลลิเมตร สูง 1,500 มิลลิเมตร และระยะฐานล้อ 2,450 มิลลิเมตร

Suzuki Swift ใหม่ ที่จะขายในไทย อาจจะมาพร้อมเครื่องยนต์เบนซินรหัส K12C ขนาด 1.2 ลิตร 4 สูบ DOHC 16 วาล์ว VVT ชูจุดเด่นด้วย “Dual Jet Engine” ให้แรงม้าสูงสุด 91 แรงม้า ที่ 6,000 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 12.0 กก.-ม. (118 นิวตัน-เมตร) ที่ 4,400 รอบ/นาที ระบบส่งกำลังมีให้เลือกทั้งเกียร์ธรรมดา 5 สปีด และเกียร์อัตโนมัติแบบ CVT

ส่วนรุ่นพลังแรงอย่าง RS และ RSt ที่ในเวอร์ชั่นญี่ปุ่น ใช้เครื่องยนต์เบนซินรหัส K10C ขนาด 1.0 ลิตร 3 สูบ DOHC 12 วาล์ว VVT ชูจุดเด่นด้วย “Booster Jet Engine” Direct Injection Turbo ให้แรงม้าสูงสุด 102 แรงม้า และรุ่นเครื่องยนต์ Hybrid ขนาด 1.2 ลิตร 91 แรงม้า ในบ้านเรา คงต้องร้องเพลงรอกันไปก่อน โดยเฉพาะรุ่น Hybrid ไม่มาประกอบขายที่นี่แน่

Suzuki-Swift-Main

เก็บเงินกันไว้ก่อน แล้วอดใจรอประมาณต้นปีหน้านี้ครับ.

งานแสดงรถแต่งซิ่งยิ่งใหญ่ที่สุดในอเมริกา “SEMA Show 2017”

SEMA-2017-Event

ประมวลภาพรถยนต์รุ่นแต่งซิ่ง แต่งลุย จากค่ายรถและสำนักแต่งต่างๆ ในงานมหกรรมรถแต่ง “SEMA 2017” งานแสดงรถยนต์อีกหนึ่งงานในอเมริกา จัดต่อเนื่องมาตั้งแต่ปี 1967 ถึงปัจจุบัน โดยสมาคมอุปกรณ์ของแต่งรถยนต์ หรือ Speciality Equipment Market Association เป็นผู้จัดงานนี้ จึงเป็นที่มาของชื่องาน SEMA Show …

โดยงานนี้จัดขึ้นระหว่างวันที่ 31 ตุลาคม – 3 พฤศจิกายน 2560 ณ Las Vegas Convention Center เมือง Las Vegas ประเทศสหรัฐอเมริกา … ทาง CARRO ขอรวบรวมภาพบรรยากาศ พร้อมรถแต่งซิ่งสุดโดนมาให้ชมกันครับ

Audi-TT-Clubsport-Turbo-Concept

Audi TT Clubsport Turbo Concept

BMW-M3-30-Years-American-Edition

BMW M3 30 Years American Edition

BMW-M5-M-Performance-Parts

BMW M5 M Performance Parts

Chevrolet-C10-Concept

Chevrolet C10 Concept

Chevrolet-Colorado-ZR2-AEV-Concept

Chevrolet Colorado ZR2 AEV Concept

Chevrolet-Silverado-Performance-Concept

Chevrolet Silverado Performance Concept

Chevrolet-Suburban-Luke-Bryan-Concept

Chevrolet Suburban Luke Bryan Concept

Dodge-Charger-Defector

Dodge Charger Defector

FJ-Company-Signature-Model

FJ Company Signature Model

Hennessey-Velociraptor-6x6

Hennessey Velociraptor 6×6

Honda-Fit-HFP

Honda Fit HFP

Honda-Civic-Si-HFP

Honda Civic Si HFP

Honda-Civic-Type-R-Red-Carbon-Kit

Honda Civic Type R Red Carbon Kit

Jeep-Performance-Parts

Jeep Performance Parts

Ken-Block-Ford-Escort-Cosworth-RS

Ken Block Ford Escort Cosworth RS

KIA-Stinger-GT-Widebody-WCC

KIA Stinger GT Widebody WCC

Nascar-Drivers-Toyota-Camry

Nascar Drivers Toyota Camry

Mitsubishi-Evolution

Mitsubishi Evolution

Wheel-Tire-Hall-Highlights-Skylines

Wheel Tire Hall Highlights Skylines

Datsun-Z

Datsun Z

Gunther-Porsche

Gunther Porsche

Nissan-Skyline-RS-Turbo

Nissan Skyline RS Turbo

ขอบคุณภาพจาก https://www.autoblog.com/ และ http://www.superstreetonline.com/

Mazda-Kai-Concept

ว่าที่ Mazda3 โฉมใหม่ในอนาคต กับรูปแบบของ Kodo Design ใน Generation ถัดไป

Mazda-Kai-Concept

Mazda Kai Concept ที่เปิดตัวไปในงาน Tokyo Motor Show 2017 ครั้งนี้ สร้างความฮือฮาและความน่าสนใจสำหรับสาวกมาสด้าเป็นอย่างมาก ที่หลายคนคาดว่านี่คือ Mazda 3 เจเนอเรชั่นต่อไป ที่มาในรูปแบบ Hatchback 5 ประตู และขุมพลัง Skyactiv-X

Mazda-Kai-Concept

สำหรับชื่อรุ่น “Kai” ในภาษาญี่ปุ่น หมายถึง ผู้บุกเบิก เปรียบเสมือนการนำรูปแบบของ Kodo Design มาเป็นแนวทางในการออกแบบใหม่ และใช้กับรถต้นแบบรุ่นนี้ ซึ่ง Mazda ระบุว่านี่คือรถยนต์ตัวถัง Hatchback ที่มีสัดส่วนในอุดมคติ

Mazda-Kai-Concept

มีมิติตัวถัง ยาว 4,420 มม. กว้าง 1,855 มม. สูง 1,375 มม. และระยะฐานล้อ 2,750 มม.

Mazda Kai Concept มาพร้อมความยาวฐานล้อเพิ่มขึ้น 50 มม. เมื่อเทียบกับ Mazda3 Hatchback โฉมปัจจุบัน ซึ่งจะทำให้พื้นที่ภายในห้องโดยสารกว้างขวางขึ้น ขณะที่เวอร์ชั่นจำหน่ายจริงจะมาพร้อมแพล็ตฟอร์มใหม่ ที่ทำให้ทั้งผู้ขับขี่และผู้โดยสารรู้สึกถึงความสบายมากขึ้น

Mazda-Kai-Concept

การออกแบบภายนอก ยังคงใช้กระจังหน้าขนาดใหญ่อันเป็นเอกลักษณ์ของมาสด้า ไฟท้ายแบบโดนัทคู่ สปอยเลอร์หลังขนาดเล็ก ท่อไอเสียปลายคู่ และล้อแม็กขนาด 20 x 9 นิ้ว

Mazda-Kai-Concept

Mazda-Kai-Concept

Mazda-Kai-Concept

ภายในห้องโดยสารของ Mazda Kai Concept มาในโทนสีดำตัดด้วยสีแดง รองรับผู้โดยสาร 4 ตำแหน่ง ออกแบบภายใต้ปรัชญา Jinba-ittai ที่เน้นในด้าน “Less is more” ดูเรียบง่ายและแฝงความสปอร์ต ด้วยพวงมาลัย 3 ก้าน แบบสปอร์ต แผงคอนโซลหน้าตกแต่งโครเมี่ยม พร้อมหน้าจอแสดงผลแบบ 3 วง และหน้าปัดแบบเข็ม

Mazda-Kai-ConceptMazda-Kai-Concept

Mazda-Kai-Concept

Mazda Kai Concept มาพร้อมเครื่องยนต์วางหน้าและขับเคลื่อนล้อหน้า แบบ Skyactiv-X หรือเครื่องยนต์เบนซินที่จุดระเบิดด้วยการอัดแบบ Spark Controlled Compression Ignition (SPCCI) ซึ่งเมื่อเทียบกับ Skyactiv-G ที่มีความจุเดียวกัน จะพบว่าเครื่องยนต์ใหม่ ให้แรงบิดดีขึ้นอย่างน้อย 10% และมีอัตราสิ้นเปลืองต่ำลงถึง 20-30% รวมถึงยังรองรับการติดตั้งซุปเปอร์ชาร์จเจอร์ อีกด้วย

Daihatsu-Hijet-Cargo

หนึ่งในไฮไลท์ของบูธ Daihatsu ในงาน Tokyo Motor Show 2017 นอกจากที่ไดฮัทสุจะนำรถต้นแบบ และรถ K-Car ที่ใส่ชุดแต่งแบบต่างๆ มาโชว์ให้ผู้ชมได้ตื่นตาตื่นใจกันแล้ว

Daihatsu-Hijet-Cargo

แต่ในอีกมุมเล็กๆ มุมหนึ่งที่คนทั่วไปอาจไม่สนใจกันมากนัก นั่นคือ “Daihatsu Hijet Cargo” (ไดฮัทสุ ไฮเจ็ท คาร์โก้) ปรับโฉมไมเนอร์เชนจ์ ขวัญใจคนชอบรถตู้เล็ก ก็นำมาเปิดตัวในงานนี้ด้วย

Daihatsu-Hijet-Cargo

Daihatsu-Hijet-Cargo

กันชนหน้าแบ่งออกเป็น 3 สะดวกในการเปลี่ยนเมื่อเสียหายเฉพาะจุด

สำหรับ “Daihatsu Hijet Cargo” (ไดฮัทสุ ไฮเจ็ท คาร์โก้) เจเนอเรชั่นที่ 10 นี้ แม้ว่าจะผลิตขายกันตั้งแต่เดือนธันวาคม 2004 แล้ว ถึงเวลาพลิกโฉมครั้งใหญ่ทั้งภายนอกและภายใน ให้เข้ากับยุคสมัยมากขึ้น ด้วยหน้าตาที่ดูคล้ายกับหุ่นยนต์ ชุดไฟหน้าพร้อมไฟแบบ LED คู่ไปกันชุดกันชนหน้าที่ออกแบบใหม่เป็น 3 ส่วน เพื่อสะดวกในการเปลี่ยนเวลาชนถูกเฉพาะจุด และไฟตัดหมอกขนาดเล็กติดตั้งด้านล่าง พร้อมชุดไฟท้ายปรับรูปแบบใหม่เล็กน้อย

Daihatsu-Hijet-Cargo

Daihatsu-Hijet-Cargo

ภายใน ดีไซน์ใหม่ ส่วนด้านหลังเบาะนั่งขนาดเล็ก เน้นการใข้งานเป็นหลัก

ห้องโดยสารภายใน ปรับปรุงแผงคอนโซลหน้าให้ดูเหลี่ยมขึ้น ปรับปรุงจุดเก็บของต่างๆ ให้ดูอเนกประสงค์และสะดวกต่อการใช้งานมากยิ่งขึ้น ส่วนด้านหลังไม่เน้นการตกแต่ง เน้นการใช้งานเป็นหลัก

Daihatsu-Hijet-Cargo

กล้องคู่หน้าแบบ 3 มิติ หรือ Stereo Camera

ในส่วนของระบบความปลอดภัย ถือเป็นครั้งแรกเลยก็ว่าได้ ที่ ไดฮัทสุ ได้เพิ่มระบบช่วยเหลือผู้ขับขี่ Smart Assist III เข้ามาใน Hijet Cargo ประกอบไปด้วย ระบบ Autonomous Emergency Braking หยุดรถอัตโนมัติในกรณีที่อาจเกิดการชน ทำงานร่วมกับระบบ Pedestrian Detection ตรวจจับคนเดินถนนโดยอาศัยกล้องหน้าแบบ 3 มิติหรือ Stereo Camera เข้ามาช่วย, ระบบ Lane Departure Warning เตือนเมื่อรถออกนอกเลนโดยไม่ตั้งใจ, ระบบ False Start Suppression Control ป้องกันการเข้าเกียร์เดินหน้า-ถอยหลัง ผิด ขณะออกตัว, ระบบ Automatic High Beam ลดไฟสูงอัตโนมัติ และระบบ Vehicle Start Warning ส่งสัญญาณเตือนผู้ขับเมื่อรถด้านหน้าออกตัวหลังจากได้รับสัญญาณไฟเขียวโดยเพิ่มความสามารถในการหลีกเลี่ยงการชนคนเดินเท้า เป็นต้น

ในส่วนของเครื่องยนต์ … คาดว่ายังคงใช้เครื่องยนต์ตัวเดิมขนาด 660 ซีซี รหัส KF แบบ 3 สูบ DOHC 12 วาล์ว ให้แรงม้าสูงสุด 53 แรงม้า (PS) ที่ 7,200 รอบ/นาที และแรงบิดสูงสุด 6.1 กก.-ม. (60 นิวตันเมตร) ที่ 4,000 รอบ/นาที ประหยัดน้ำมันมากๆ ให้อัตราสิ้นเปลืองเชื้อเพลิง (ตามโหมด JC08) สูงสุด 17.2 กม./ลิตร ส่งกำลังผ่านเกียร์ธรรมดา 5 สปีด และเกียร์อัตโนมัติ 4 สปีด

ในส่วนของรุ่น Cruise เครื่องยนต์เป็นแบบ 660 ซีซี รหัส KF แบบ 3 สูบ DOHC 12 วาล์ว Turbo ให้แรงม้าสูงสุด 64 แรงม้า (PS) ที่ 5,700 รอบ/นาที และแรงบิดสูงสุด 9.3 กก.-ม. (91 นิวตันเมตร) ที่ 2,800 รอบ/นาที ให้อัตราสิ้นเปลืองเชื้อเพลิง (ตามโหมด JC08) เพียงแค่ 17.2 กม./ลิตร ในรุ่น 2WD และ 16.6 กม./ลิตร ในรุ่น 4WD ส่งกำลังผ่านเกียร์ธรรมดา 5 สปีด และเกียร์อัตโนมัติ 4 สปีด

Daihatsu-Hijet-Cargo

มีให้เลือกใน 3 รุ่นย่อย ได้แก่ “Special” “Deluxe” และ “Cruise”

Daihatsu-Hijet-Cargo

โดย ไดฮัทสุ เตรียมเปิดตัวจำหน่ายเจ้า Hijet Cargo กันอีกครั้งในเร็วๆ นี้ ที่ญี่ปุ่น ส่วนในไทย โอกาสที่จะนำเข้ามาขายนั้น คงบอกได้แต่เพียงว่า ถ้านำเข้ามาก็คงไม่มีใครซื้อ เพราะรวมภาษีแล้ว คงเกือบถึงหนึ่งล้านบาท …

ขอบคุณภาพและข้อมูลจาก http://car.watch.impress.co.jp/