4-Tricks-Safe-Driving-At-Newyear

ในช่วงสิ้นปีแบบนี้ แน่นอนเทศกาลปีใหม่ ที่ใคร ๆ หลายคนต่างตั้งหน้าตั้งตารอ คงจะเป็นช่วงเวลาที่ดี และเป็นเวลาพักผ่อนหย่อนใจหลังจากที่เหน็ดเหนื่อยมาตลอดทั้งปี ส่วนใครที่กำลังมีแพลนที่จะเดินทางไกลเพื่อกลับบ้านไปหาคนที่เรารัก หรือเดินทางท่องเที่ยว ช่วงที่การจราจรหนาแน่นแบบนี้ masii เลยมี 4 เทคนิคขับรถเดินทางช่วงปีใหม่ ให้ถึงจุดหมายอย่างปลอดภัย มาฝากกัน

4 เทคนิคขับรถเดินทางช่วงปีใหม่ ให้ถึงจุดหมายอย่างปลอดภัย

4-Tricks-Safe-Driving-At-Newyear

1. ไม่ขับขี่เร็วเกินไป และควรเว้นระยะห่างจากรถคันหน้า

การที่เราเอาจิตใจไปอยู่ที่จุดหมายปลายทางแล้ว อาจจะทำให้อัตราความเร็วในการขับขี่รถยนต์ของเราเกินกว่ากำหนดเพื่อที่จะได้ถึงที่หมายอย่างรวดเร็ว แต่เพื่อน ๆ ทราบกันดีอยู่แล้วว่า การใช้ความเร็วเกินกว่าที่กำหนดนั้นจะทำให้เราเสี่ยงต่อการเกิดอุบัติหตุบนท้องถนนได้ ในช่วงเทศกาลหยุดยาวปีใหม่แบบนี้ อัตราความเสี่ยงมักจะสูงขึ้น และควรเว้นระยะห่างจากรถคันหน้าให้มาก เพื่อให้เหลือพื้นที่สำหรับการเบรก หรือหักหลบกะทันหันนั่นเอง

4-Tricks-Safe-Driving-At-Newyear

2. ปฎิบัติตามกฎจราจร และป้ายจราจร

การปฎิบัติตามกฎจราจรเป็นสิ่งที่สำคัญ และจำเป็นอย่างมาก เพราะถ้าหากทำผิดกฎหมายจราจรแล้ว ไม่เพียงแต่จะโดนโทษปรับ หรือจำคุก แต่อาจจะส่งผลในการเป็นต้นเหตุของการเกิดอุบัติเหตุอีกด้วย ดังนั้นเพื่อความปลอดภัยในช่วงเทศกาลปีใหม่ ควรขับขี่รถยนต์แบบเคารพกฎจราจรอย่างเคร่งครัด ไม่ฝ่าไฟแดง ไม่ขับรถเร็วเกินกำหนด รวมไปถึงการขับขี่รถยนต์อย่างมีมารยาท

4-Tricks-Safe-Driving-At-Newyear

3. เพิ่มความระมัดระวังเมื่อถึงเขตชุมชน

เมื่อขับขี่ถึงเขตชุมชนแล้ว ผู้ขับขี่ควรเพิ่มความระมัดระวังให้มากขึ้นกว่าเดิมเพราะเป็นพื้นที่ที่มีผู้คนสัญจรอยู่ค่อนข้างเยอะเป็นพิเศษ บางที่เป็นพื้นที่ตลาดที่มีคนเดินข้ามถนนไปมา หากใช้ความเร็วเกินกำหนดไปจะเสี่ยงต่อการเฉี่ยวชนได้ ทางที่ดีเมื่อถึงเขตชุมชน ควรใช้ความเร็วไม่เกิน 30 กิโลเมตรต่อชั่วโมง เพื่อความปลอดภัยแก่ตัวเอง และคนรอบข้าง

4-Tricks-Safe-Driving-At-Newyear

4 หมั่นจอดพักเป็นระยะๆ

การขับขี่รถในช่วงปีใหม่นั้นอาจจะทำให้เพื่อน ๆ พบกับการจราจรที่ติดขัด บนท้องถนนเต็มไปด้วยรถยนต์ ทำให้การขับขี่เกิดความลำบาก รู้สึกเมื่อยล้าได้ง่ายขึ้น ดังนั้นการหมั่นจอดพักเป็นระยะๆ ลองแวะเข้าปั๊ม ยืดเส้นยืดสาย อาจจะลองแวะไปซื้อกาแฟดื่มแก้ง่วง หรือซื้อขนมของว่างรับประทานเพื่อจะได้มีแรงมากขึ้นแล้วค่อยลุยขับขี่กันใหม่

ทั้งหมดนี้คือ 4 เทคนิคขับรถเดินทางช่วงปีใหม่ ให้ถึงจุดหมายอย่างปลอดภัย ที่ มาสิ นำมาฝากให้เพื่อน ๆ หากใครที่ต้องขับขี่รถในช่วงปีใหม่นี้ อย่าลืมทำเทคนิคที่เรานำมาให้ไปใช้กันนะ ที่สำคัญอย่าลืมตรวจสภาพรถยนต์ให้พร้อมใช้งานด้วย และสุดท้ายการมีประกันรถยนต์ติดรถไว้จะช่วยให้เราอุ่นใจมากขึ้น ในทุกๆ ทริปการเดินทาง หากสนใจซื้อประกันรถยนต์ คลิกที่นี่

ขอขอบคุณบทความดี ๆ จาก www.masii.com

Compare-MU-X-Fortuner-Terra-Pajero-Sport-Everest

ถ้าพูดถึงรถ SUV ที่ถือว่าเป็นตลาดใหญ่ในกลุ่มรถบ้านเราเวลานี้ ด้วยการใช้งานที่สารพัดประโยชน์ และลุยน้ำท่วมได้ บวกกับตัวรถที่พัฒนามาอย่างต่อเนื่อง ซึ่งในตลาดรถยนต์ไทย ก็ยังมีรถประเภท SUV อีกแบบหนึ่ง ที่ในไทยมักเรียกกันว่ารถ “PPV” (Pick-Up Passenger Vehicle = รถอเนกประสงค์ที่มีพื้นฐานมาจากรถกระบะ) ซึ่งก็มียอดขายที่สูงมากด้วยเช่นกัน โดยมากแล้วจะมี 7 ที่นั่ง ในราคาค่าตัวอยู่ที่ 1 ล้านบาท ไปจนถึงเกือบๆ 2 ล้านบาท

ซึ่งผู้ผลิตรายแรกที่ผลิตรถในรูปแบบ PPV ขึ้นมา นั่นคือ ที่ขับเคี่ยวแข่งขันกันในตลาดรถยนต์อย่างดุเดือดกันมานานถึง 20 ปีได้

CARRO Thailand จึงขอนำรถ PPV ยอดฮิตในหมู่คนไทย ที่เพิ่งเปิดตัวสดใหม่ และมีขายอยู่แล้วในตลาดด้วยกัน 5 แบรนด์ 5 รุ่น อย่าง All-New Isuzu MU-X (ออลนิว อีซูซุมิว-เอ็กซ์), Toyota Fortuner (โตโยต้า ฟอร์จูนเนอร์), Mitsubishi Pajero Sport (มิตซูบิชิ ปาเจโร่ สปอร์ต), Nissan Terra (นิสสัน เทอร์ร่า) และ Ford Everest (ฟอร์ด เอเวอเรสต์) มาเปรียบเทียบกันให้เห็น ว่าแต่ละรุ่น มีข้อเสียข้อเสีย น่าใช้หรือไม่อย่างไร!

หากใครสนใจรุ่นไหนอยู่ ลองคำนวณงบประมาณที่มี แล้วเลือกดูว่า จะผ่อนกันแบบไหนได้เลย 

ถ้าคุณอยากขายรถด่วน เพื่อไปซื้อรถคันใหม่ หรือรับเงินก้อนไปใช้สามารถขายรถคันเก่า หรือตีราคารถกับทาง CARRO ได้ ง่ายๆ ได้เงินไว! กับ CARRO Express เพียงแค่คลิก https://th.carro.co/sell-car/express หรือสามารถ Inbox มาขอรายละเอียดได้ที่ Facebook CARRO Thailand

หรือจะ Add Line สอบถามรายละเอียดได้ที่ @Carrothai หรือคลิกที่นี่ —> เพิ่มเพื่อน

Isuzu-MU-X-Motor-Expo-2020

All-New Isuzu MU-X 2020

ข้อดี : พัฒนาตัวรถใหม่หมด (แต่บางคนก็บอกว่า ยังสลัดคราบของ D-Max ออกไม่หมดก็ตาม) แต่ก็ดูหรูหราขึ้น ช่วงล่างนุ่ม เกาะถนนได้มากขึ้น รุ่น 1.9 ลิตร เหมาะสำหรับคนชอบความประหยัด หรือใช้งานในเมือง ส่วนรุ่น 3.0 ลิตร เหมาะสำหรับใช้งานทางไกล สายซิ่ง ให้ความฉับไวในการออกตัวและเร่งแซง ขับขี่สบายมากขึ้น และยังเป็นรถมือสอง ที่ซื้อง่ายขายคล่องอีกด้วย

ข้อด้อย : รุ่น 1.9 ลิตร ตัวเครื่องยนต์ต้องแบกน้ำหนักตัวรถมาก การออกตัวให้อัตราเร่งช้าไปบ้าง แต่วิ่งสัก 80 กม./ชม. ขึ้นไป ก็ถือว่าดีขึ้นมาก และพวงมาลัยอาจคืนตัวช้าไปบ้าง

รายละเอียดตัวรถ : เป็นรถที่ออกแบบภายใต้แนวคิด Emotional & Solid ผสานความหนักแน่นและพลิ้วไหวเข้าไว้ด้วยกันตลอดทั้งคัน อาทิ กระจังหน้าแบบ World Cross Flow, ไฟหน้า Bi-LED Projector ดีไซน์แบบ Arrow Signature สอดรับกับเส้นสายด้านข้างอันเป็นเอกลักษณ์ ทอดยาวสู่ไฟท้าย LED ดีไซน์แบบ Winglet Signature

โครงสร้างแพลทฟอร์มใหม่ ช่วงล่างใหม่ ออกแบบตามแนวคิด ISUZU Symmetric Mobility ให้โครงสร้างตัวถัง แชสซีส์ การวางตำแหน่งเครื่องยนต์ และช่วงล่างทำงานร่วมกันได้ลงตัว ช่วงล่างหน้าแบบอิสระปีกนก 2 ชั้น Double Wishbone ออกแบบจุดยึดปีกนกด้านบนใหม่ พร้อมคอยล์สปริง โช้คอัพแก๊สและเหล็กกันโคลงขนาดใหญ่ ช่วงล่างด้านหลังแบบ 5-Link Suspension ออกแบบจุดยึดคานใหม่และเหล็กกันโคลงให้ยาวขึ้น พร้อมคอยล์สปริงและโช้คอัพแก๊ส

ภายในห้องโดยสาร แนวคิดการออกแบบ Fine, Rich & Impressive Craftsmanship ด้วยวิธีการออกแบบ Integrated Cockpit ให้คอนโซลหน้าเชื่อมต่อเป็นหนึ่งเดียวกับคอนโซลกลาง จัดวางเรียบหรู ด้วยเบาะนั่งสามแถว สี Saddle Brown ตัดเย็บด้วยวัสดุพิเศษ เดินด้ายแบบเครื่องหนังชั้นหรู พร้อมเทคโนโลยี COOLMAX ช่วยลดการสะสมความร้อน ออกแบบให้นั่งสบายทั้ง 7 ที่นั่ง และเบาะคู่หน้าปรับไฟฟ้า

ระบบความบันเทิง ISUZU Ultimate Entertainment หน้าจอ Infotainment Display ขนาดใหญ่ 9 นิ้ว รองรับ Apple CarPlay แบบไร้สาย และ Android Auto พร้อมลำโพง 8 จุด ให้มิติเสียงรอบทิศทาง

ระบบปรับอากาศอัตโนมัติแบบ Dual Zone แยกอิสระซ้าย-ขวา พร้อมฟิลเตอร์กรองฝุ่น PM 2.5 Charging Station รองรับการใช้งานอุปกรณ์ไฟฟ้าหลากหลาย ทั้ง USB Fast Charger ช่องต่อ AC Power Socket 220V และช่องต่อ DC 12V

และกุญแจ ISUZU Genius Entry สตาร์ทเครื่องยนต์ด้วย Remote Engine Start ใช้เปิด-ปิดประตูท้ายไฟฟ้าได้ด้วย

มีให้เลือกถึง 6 สี ได้แก่ น้ำตาลมาราเกซ (Marrakesh Brown) ขาวมุกโดโลไมท์ (Dolomite Pearl White) แดงเอทนา (Etna Red) ดำบาวาเรียน ไมก้า (Bavarian Black Mica) เงินไอซ์เบิร์ก (Iceberg Silver) และเงินโบฮีเมียน เมทัลลิค (Bohemian Silver Metallic)

All-New-Isuzu-MU-X-2020

อุปกรณ์มาตรฐานเด่นๆ :

  • ไฟหน้า Bi-LED Projector ดีไซน์แบบ Arrow Signature
  • ไฟท้าย LED ดีไซน์แบบ Winglet Signature
  • กล้องหน้าคู่ 3D Imaging Stereo Camera
  • ระบบเปิด-ปิด ไฟหน้าอัตโนมัติ
  • ระบบปัดน้ำฝนอัตโนมัติ
  • กระจกบังลมหน้าแบบ IR Cut
  • ล้ออัลลอยขนาดใหญ่ Dynamic Design
  • กุญแจ ISUZU Genius Entry
  • ระบบปรับอากาศอัตโนมัติแบบ Dual Zone แยกอิสระซ้าย-ขวา พร้อมฟิลเตอร์กรองฝุ่น PM 2.5
  • Charging Station รองรับการใช้งานอุปกรณ์ไฟฟ้าหลากหลาย
  • หน้าจอ Infotainment Display ขนาดใหญ่ 9 นิ้ว รองรับ Apple CarPlay แบบไร้สาย และ Android Auto
  • เบรกมือไฟฟ้า
  • ระบบ Auto Brake Hold ระบบช่วยหยุดอยู่กับที่โดยไม่ต้องเหยียบเบรกค้างไว้
  • ระบบควบคุมความเร็วอัตโนมัติ
  • ระบบเปิด-ปิดประตูท้ายด้วยไฟฟ้า Power Tailgate พร้อม Jam Protection
  • ACC (Full Speed Range Adaptive Cruise Control) ระบบควบคุมความเร็วอัตโนมัติแบบแปรผัน พร้อมฟังก์ชัน Stop and Go
  • FCW (Forward Collision Warning) ระบบแจ้งเตือนก่อนการชนด้านหน้า
  • AEB (Autonomous Emergency Braking) ระบบเบรกฉุกเฉินอัตโนมัติ
  • LDW (Lane Departure Warning) ระบบแจ้งเตือนออกนอกเลน
  • AHB (Automatic High Beam) ระบบควบคุมไฟสูงอัตโนมติ
  • PMM (Pedal Misapplication Mitigation) ระบบตัดกำลังเครื่องยนต์เมื่อเหยียบคันเร่งผิดพลาด
  • MSL (Manual Speed Limiter) ระบบตั้งค่าจำกัดความเร็วสูงสุดด้วยตัวเอง
  • BSM (Blind Spot Monitoring) ระบบแจ้งเตือนจุดอับสายตา
  • RCTA (Rear Cross Traffic Alert) ระบบช่วยเตือนขณะถอยรถยนต์
  • Parking Aid System ระบบเซ็นเซอร์ช่วยจอดรถยนต์
  • MCB (Multi-Collision Brake) ระบบเบรกอัตโนมัติหลังการเกิดอุบัติเหตุ ช่วยลดโอกาสการเกิดอุบัติเหตุซ้ำซ้อน

All-New-Isuzu-MU-X-2020

เครื่องยนต์ : ดีเซลขนาด 1.9 ลิตร รหัส RZ4E-TC แบบ 4 สูบ DOHC 16 วาล์ว Commonrail Direct Injection VGS Turbo ให้แรงม้าสูงสุด 150 แรงม้า ที่ 3,600 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 350 นิวตัน-เมตร ที่ 1,800 – 2,600 รอบ/นาที ประหยัดน้ำมัน 14.9 กม./ลิตร (ตาม Eco Sticker)

และดีเซลขนาด 3.0 ลิตร รหัส 4JJ3-TCX แบบ 4 สูบ DOHC 16 วาล์ว Commonrail Direct Injection VGS Turbo ให้แรงม้าสูงสุด 190 แรงม้า ที่ 3,600 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 450 นิวตัน-เมตร ที่ 1,600 – 2,600 รอบ/นาที ประหยัดน้ำมัน 13.3 กม./ลิตร (ตาม Eco Sticker)

ทั้ง 2 เครื่องยนต์ สามารถใช้กับน้ำมันดีเซล B20 ได้ ส่งกำลังผ่านเกียร์ธรรมดา 6 สปีด และอัตโนมัติแบบ 6 สปีด พร้อม REV Tronic รัศมีวงเลี้ยวแคบสุด 5.6 เมตร น้ำหนักรถ 1,950 – 2,165 กิโลกรัม

มิติตัวรถ : ยาว 4,850 มม. กว้าง 1,870 มม. สูง 1,815 มม. (รุ่น Active) 1,825 มม. (รุ่น Luxury) 1,875 มม. (รุ่น Elegant / Ultimate) ระยะฐานล้อ 2,855 มม. ระยะต่ำสุดจากพื้น 235 มม.

ราคาจำหน่าย : (Update ล่าสุด เดือนธันวาคม 2563)

  • 1.9 Ddi Active A/T ราคา 1,121,000 บาท
  • 1.9 Ddi Luxury M/T ราคา 1,266,000 บาท
  • 1.9 Ddi Luxury A/T ราคา 1,304,000 บาท
  • 1.9 Ddi Elegant A/T ราคา 1,349,000 บาท
  • 1.9 Ddi Ultimate A/T ราคา 1,434,000 บาท
  • 3.0 Ddi Ultimate A/T ราคา 1,479,000 บาท
  • 3.0 Ddi 4X4 Ultimate A/T ราคา 1,579,000 บาท

Toyota-Fortuner-Legender

Toyota Fortuner 2020

ข้อดี : โฉมนี้ถือว่าปรับปรุงหลายอย่าง นอกจากหน้าและออพชั่นใหม่ๆ แล้ว ดูสวยและดุดันขึ้น เหมาะสำหรับกลุ่มลูกค้าที่มีครอบครัว มองหารถที่ใหญ่ขึ้น ส่วนรุ่น เหมาะสำหรับกลุ่มลูกค้านักธุรกิจรุ่นใหม่ เครื่องยนต์ 2.8 แรงกว่ารถในระดับเดียวกัน โดดเด่นด้วยล้อแม็กขนาด 20 นิ้ว ตัวรถยังติดตั้ง Balance Shaft เพื่อลดเสียงและการสั่นสะเทือน พร้อมโหมดการขับแบบ Sport ปรับการตอบสนองของคันเร่งและพวงมาลัย ตัวเกียร์ตอบสนองได้ดี ไม่มีช่วงวูบหรือย้วยขณะเปลี่ยนเกียร์ขึ้นสูง เพิ่มความมั่นใจเมื่อใช้ความเร็วสูง

ระบบกันสะเทือนให้ความรู้สึกนุ่มนวล และหนักแน่นขึ้น ส่วนห้องโดยสารเก็บเสียง และการดูดซับแรงสั่นสะเทือนได้ดี แทบไม่รู้สึกถึงการกระแทก พวงมาลัยนิ่งแน่น ไม่สะท้านมือ

ในโหมดออฟโรด ปรับรอบเดินเบาจาก 850 เหลือ 680 รอบต่อนาที เพื่อให้ควบคุมคันเร่งได้ง่ายขึ้น และสามารถบรรทุกของได้เยอะ อีกทั้งเวลาเป็นรถมือสอง ก็ซื้อง่ายขายคล่อง

ข้อด้อย : อาจจะเป็นในเรื่องของราคา ที่แพงกว่ารถในระดับเดียวกันครับ

รายละเอียดตัวรถ : Toyota Fortuner นับตั้งแต่การเปิดตัวเมื่อ 15 ปีก่อน ก็จัดเป็นรถอเนกประสงค์ ที่ได้รับการตอบรับอย่างดีจากลูกค้า และครองอันดับ 1 ในตลาดรถอเนกประสงค์ ประเภท PPV มาอย่างต่อเนื่อง จึงเป็นที่มาของการสื่อสารทางการตลาด ภายใต้สโลแกน “Wisdom of a Leader” หรือ “สัญลักษณ์แห่งความสำเร็จ”

โดยรุ่นมาตรฐานนี้ได้ปรับปรุงเครื่องยนต์ 2.4 GD Super Power ให้ประหยัดน้ำมันมากขึ้นกว่าเดิม และตอบสนองทุกการขับขี่ด้วยระบบบังคับเลี้ยวแบบ VFC (Variable Flow Control) ทำให้น้ำหนักพวงมาลัยแปรผันตามความเร็ว ควบคุมรถได้แม่นยำและมั่นใจมากยิ่งขึ้น นอกจากนี้ยังมาพร้อมกับระบบ Cruise Control และสัญญาณกะระยะ 6 ตำแหน่ง พร้อมกับระบบ Apple Carplay ที่จะเชื่อมต่อคุณและความบันเทิงได้อย่างอิสระ

ส่วนรุ่น Legender มาพร้อมกับดีไซน์หรูหรา โฉบเฉี่ยว ด้วยกระจังหน้าและกันชนหลังดีไซน์ใหม่ และเครื่องยนต์ 2.8 GD Super Power ใหม่ เพิ่มสมรรถนะการขับขี่แรงขึ้นกว่าเดิม 15% ด้วยกำลังสูงสุด 204 แรงม้า และฟังก์ชัน Sport Mode

เพิ่มกล้องมองรอบคัน แท่นชาร์จไฟแบบไร้สาย และ ระบบประตูท้ายเปิด-ปิดด้วยไฟฟ้า พร้อม Kick Sensor และยังเป็นครั้งแรกในรถโตโยต้า ฟอร์จูนเนอร์ ที่ติดตั้งระบบ Toyota Safety Sense อีกด้วย

มีให้เลือกถึง 6 สี ได้แก่ สีขาวมุก White Pearl CS, สีแดง Emotional Red, สีเงิน Silver Metallic, สีน้ำเงิน Dark Blue Mica, สีเทา Dark Grey Metallic และสีดำ Attitude Black Mica

New-Toyota-Fortuner-Legender-2020

อุปกรณ์มาตรฐานเด่นๆ :

  • ไฟหน้าแบบเลนส์ LED Dual Projector พร้อมไฟเลี้ยวหน้า-หลัง LED แบบ Sequential
  • ระบบควบคุมการเปิด-ปิดไฟหน้าอัตโนมัติ พร้อมระบบ Follow-me-home
  • ไฟท้าย LED แบบ Light Guiding
  • กระจกมองข้าง ระบบ Welcome Light
  • ประตูท้ายเปิด-ปิดด้วยระบบไฟฟ้า พร้อมระบบป้องกันการหนีบ
  • พวงมาลัยปรับได้ทั้ง สูง-ต่ำ และเข้า-ออก (Tilt & Telescopic)
  • เบาะหุ้มหนังแบบ Soft Touch เดินด้ายสีแดง หรือเทา พร้อมลายไม้แบบ Galaxy Black และแถบสีเงิน
  • สวิตซ์ควบคุมเครื่องเสียง โทรศัพท์ และ MID ที่พวงมาลัย
  • อุปกรณ์ชาร์จไฟแบบไร้สาย (Wireless Charger)
  • หัวเกียร์หุ้มหนัง พร้อมแถบสีเงิน ส่วนฐานเกียร์ลายไม้แบบ Galaxy Black พร้อมแถบสีเงิน
  • มาตรวัดเรืองแสง Optitron
  • ฟังก์ชั่นแสดงสถานะการเลี้บวของล้อหน้า (Tire Turning Angle)
  • ระบบควบคุมความเร็วอัตโนมัติ Cruise Control
  • เครื่องเสียงจอสัมผัสขนาด 9 นิ้ว รองรับ Bluetooth/USB
  • ชุดเครื่องเสียง Premium Audio พาวเวอร์แอมป์ และลำโพง JBL
  • กล้องมองรอบคัน (PVM) พร้อมมุมมองแบบ 3D View
  • ระบบป้องกันล้อล็อก ABS, ระบบกระจายแรงเบรก EBD และระบบเสริมแรงเบรก BA
  • ระบบควบคุมการทรงตัว VSC
  • ระบบป้องกันล้อหมุนฟรี TRC
  • ระบบควบคุมการส่ายของส่วนพ่วงท้าย TSC
  • ระบบช่วยออกตัวบนทางลาดชัน HAC
  • ระบบควบคุมความเร็วขณะลงทางลาดชัน DAC
  • ระบบควบคุมเฟืองท้าย (Auto Limited Slip Differential)
  • ระบบบังคับเลี้ยวแบบ VFC (Variable Flow Control) ควบคุมพวงมาลัยแปรผันตามระดับความเร็ว
  • ระบบถุงลมเสริมความปลอดภัย SRS ด้านผู้ขับ ผู้โดยสาร และหัวเข่าผู้ขับ
  • ระบบถุงลมเสริมความปลอดภัย SRS ด้านข้าง และม่านนิรภัย
  • ระบบความปลอดภัยก่อนการชน PCS
  • ระบบเตือนเมื่อออกนอกเลน พร้อมเบรกหน่วงกลับอัตโนมัติ LDA
  • ระบบ Stop and Start พร้อม Evaporator เก็บความเย็น สำหรับระบบปรับอากาศ

เครื่องยนต์ : ดีเซลขนาด 2.4 ลิตร รหัส 2KD-FTV (High) แบบ 4 สูบ แถวเรียง DOHC 16 วาล์ว VN Turbo และ Intercooler ให้แรงม้าสูงสุด 150 แรงม้า ที่ 3,400 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 400 นิวตัน-เมตร ที่ 1,600 – 2,000 รอบ/นาที

และดีเซลขนาด 2.8 ลิตร รหัส 1KD-FTV (High) แบบ 4 สูบ แถวเรียง DOHC 16 วาล์ว VN Turbo และ Intercooler ให้แรงม้าสูงสุด 204 แรงม้า ที่ 3,400 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 500 นิวตัน-เมตร ที่ 1,600 – 2,800 รอบ/นาที

สามารถใช้กับน้ำมันดีเซล B20 ได้ ส่งกำลังผ่านเกียร์อัตโนมัติแบบ 6 สปีด พร้อม Sequential Shift และ Paddle Shift รัศมีวงเลี้ยวแคบสุด 5.8 เมตร

มิติตัวรถ : ยาว 4,795 มม. กว้าง 1,855 มม. สูง 1,835 มม. ระยะฐานล้อ 2,750 มม. ระยะต่ำสุดจากพื้น 193 มม.

ราคาจำหน่าย : (Update ล่าสุด เดือนธันวาคม 2563)

  • 2.4 G 2WD ราคา 1,349,000 บาท
  • 2.4 V 2WD ราคา 1,454,000 บาท
  • 2.4 V 4WD ราคา 1,524,000 บาท
  • 2.4 Legender 2WD ราคา 1,557,000 บาท ราคาอุปกรณ์ตกแต่งพิเศษ 7,000 บาท ราคารวม 1,564,000 บาท
  • 2.4 Legender 4WD ราคา 1,627,000 บาท ราคาอุปกรณ์ตกแต่งพิเศษ 7,000 บาท ราคารวม 1,634,000 บาท
  • 2.8 Legender 2WD ราคา 1,762,000 บาท ราคาอุปกรณ์ตกแต่งพิเศษ 7,000 บาท ราคารวม 1,769,000 บาท
  • 2.8 Legender 4WD ราคา 1,832,000 บาท ราคาอุปกรณ์ตกแต่งพิเศษ 7,000 บาท ราคารวม 1,839,000 บาท

*สำหรับรุ่นธรรมดา สีพิเศษ White Pearl CS และ Emotional Red เพิ่ม 12,000 บาท

**สำหรับรุ่น Legender สีพิเศษ White Pearl CS และ Emotional Red เพิ่ม 20,000 บาท

Mitsubishi-Pajero-Sport-Elite-Edition

Mitsubishi Pajero Sport 2020

ข้อดี : Mitsubishi จัดเต็มด้วยออพชั่นที่มีมาให้กับ Pajero Sport กับจุดเด่นที่ช่วงล่าง ถ้าใช้งานในเมืองเป็นหลัก ก็เลือกรุ่น 2WD ช่วยประหยัดค่าบำรุงรักษาได้มาก น้ำหนักรถเบากว่า ประหยัดน้ำมันกว่า แต่ถ้าชอบวิถีชีวิตลุยๆ ชอบการเดินทาง ต้องขึ้นเขา ลงห้วย กางเต๊นท์ หรือฝ่าสายฝนบ่อยๆ ก็เลือกรุ่น 4WD ได้เลย ค่าใช้จ่ายใในการดูแลรักษา ก็ไม่ต่างจากรถคู่แข่งนัก

ข้อด้อย : การออกตัวอาจอืดหน่อย พวงมาลัยหนักนิดๆ ส่วนช่วงล่างจะโคลงหน่อย เพราะพื้นฐานมาจากกระบะ Triton แต่ก็ถือว่าเกาะถนนพอตัว ส่วนเรื่องเบาะนั่งแถวที่ 3 ค่อนข้างเล็ก ก็ถือเป็นเรื่องที่แทบจะเป็นกันทุกรุ่น ทุกยี่ห้อ

รายละเอียดตัวรถ : ยังคงเป็นรถ PPV รุ่นขายดีของ Mitsubishi ภายใต้แนวคิด “ความสำเร็จที่เป็นคุณ” ซึ่งเวลานี้มีให้เลือกทั้งรุ่นธรรมดา และรุ่นพิเศษ Elite Edition … ดีไซน์ใหม่ โฉบเฉี่ยว สไตล์สปอร์ต โดดเด่นทุกมุมมอง พร้อมการออกแบบอันเป็นเอกลักษณ์ด้วย Advanced Dynamic Shield Design สะกดทุกสายตาด้วยไฟหน้าโปรเจคเตอร์ แบบ Bi-LED ปรับระดับลำแสงอัตโนมัติ และไฟส่องสว่างเวลากลางวันแบบ Spectrum LED

สะดวกสบายยิ่งขึ้น ด้วยระบบเปิด-ปิดประตูท้ายด้วยไฟฟ้า พร้อมระบบแฮนด์ฟรีและปุ่มปิดฝาท้ายพร้อมล็อกรถ (ทำงานคู่กับระบบกุญแจอัจฉริยะ KOS)

ห้องโดยสารกว้างขวางสะดวกสบาย ตกแต่งสีเงิน และเปียโนแบล็ค พร้อมด้วยฟังก์ชันการใช้งานที่ครบครัน เชื่อมต่อความบันเทิงด้วย Apple CarPlay เพียงเชื่อมต่อ iPhone ในรถมิตซูบิชิ ปาเจโร สปอร์ต สามารถรับสายโทรเข้า-โทรออก และรับ-ส่งข้อความ พร้อมฟังเพลงได้อย่างง่ายดาย

มอบความสมบูรณ์แบบในการขับขี่ เพิ่มความมั่นใจในทุกสภาพถนน ด้วยเทคโนโลยีขับเคลื่อน 4 ล้อ เอกลักษณ์เฉพาะของมิตซูบิชิ ให้คุณสามารถเปลี่ยนโหมดจากระบบขับเคลื่อน 2 ล้อ (2H) เป็นระบบขับเคลื่อน 4 ล้อ (4H) แบบ Full-Time All Wheel Control เพื่อเพิ่มความปลอดภัยบนถนนลื่น และเมื่อต้องการขับขี่บนเส้นทางแบบ Off-Road คุณยังสามารถเปลี่ยนระบบขับเคลื่อนเป็น 4HLc หรือ 4LLc ได้ตามความต้องการ

มีให้เลือกถึง 5 สี ได้แก่ สีขาวมุก White Diamond, สีเงิน Sterling Silver, สีเทา Graphite Grey, สีดำ Jet Black Mica และสีน้ำตาล Deep Bronze

New-Mitsubishi-Pajero-Sport-2019

อุปกรณ์มาตรฐานเด่นๆ :

  • ระบบควบคุมการเปลี่ยนเกียร์ที่พวงมาลัย
  • ระบบเบรกแบบ ABS พร้อมระบบกระจายแรงเบรกแบบอิเล็กทรอนิกส์ EBD
  • ประตูท้ายเปิด-ปิดด้วยไฟฟ้า พร้อมระบบแฮนด์ฟรี และปุ่มปิดฝาท้ายพร้อมล็อกรถ
  • ถุงลมนิรภัยคู่หน้า พร้อมสวิตช์เปิด-ปิด และไฟแสดงผล สำหรับด้านผู้โดยสาร
  • ถุงลมนิรภัยด้านข้าง, บริเวณหัวเข่าด้านคนขับ และม่านถุงลมนิรภัย
  • ระบบตัดกำลังเครื่องยนต์ชั่วขณะ เมื่อเหยียบคันเร่งอย่างรุนแรงและรวดเร็ว
  • ระบบลดกำลังเครื่องยนต์ เพื่อช่วยเบรก
  • ระบบเตือนการชนด้านหน้าตรง พร้อมระบบช่วยชะลอความเร็ว
  • ระบบ Brake Auto Hold
  • ระบบเบรกมือควบคุมด้วยไฟฟ้าอัตโนมัติ
  • ระบบเสริมแรงเบรก BA
  • ระบบควบคุมเสถียรภาพการทรงตัว พร้อมระบบป้องกันล้อหมุนฟรี และควบคุมการลื่นไถล
  • ระบบช่วยออกตัวบนทางลาดชัน
  • ระบบควบคุมความเร็วขณะลงทางลาดชัน
  • ระบบสัญญาณเตือนจุดอับสายตา
  • ระบบเตือนขณะเปลี่ยนเลน
  • ระบบเตือนด้านหลังขณะถอยออกจากช่องจอด
  • สวิตช์ควบคุมฟังก์ชันต่างๆ ที่พวงมาลัย
  • จอแสดงข้อมูลการขับขี่ พร้อมเมนูภาษาไทย แบบ LCD ขนาด 8 นิ้ว
  • กระจกมองหลังแบบปรับลดแสงสะท้อนอัตโนมัติ
  • ระบบล็อกความเร็วบนพวงมาลัยแบบแปรผันอัตโนมัติ
  • กล้องมองภาพรอบคัน พร้อมเส้นกะระยะ และเส้นแสดงทิศทางการเคลื่อนที่ของรถ
  • ระบบปรับอากาศ แบบปรับอุณหภูมิอัตโนมัติ แบบแยกปรับอุณหภูมิซ้าย-ขวา
  • ระบบกรองอากาศภายในห้องโดยสารนาโนอิ
  • หน้าจอระบบสัมผัส 8 นิ้ว รองรับการเชื่อมต่อผ่านสมาร์ทโฟน SDA พร้อมระบบนำทางในรถยนต์
  • รองรับ Apple CarPlay และ Android Auto
  • ช่องต่ออุปกรณ์ HDMI
  • ระบบเชื่อมต่อบลูทูธ แบบ A2DP
  • ระบบ Hands-Free และ Voice Command
  • จอภาพแบบ Wide Screen ขนาด 12.1 นิ้ว พร้อมรีโมท เชื่อมต่อ HDMI และ USB สำหรับผู้โดยสารตอนหลัง
  • หูฟังอินฟราเรด 2 ชุด สำหรับผู้โดยสารตอนหลัง
  • รองรับการเชื่อมต่อระบบ M-Connect
  • ระบบสั่งการทำงานผ่านสมาร์ทโฟนในระยะสัญญาณบลูทูธ
  • ระบบไฟสว่างอัตโนมัติเมื่อปลดล็อก ทำงานร่วมกับระบบควบคุมการเปิด-ปิดไฟหน้าอัตโนมัติ และระบบไฟนำทางหลังดับเครื่องยนต์

เครื่องยนต์ : ดีเซลขนาด 2.4 ลิตร รหัส 4N15 แบบ 4 สูบ แถวเรียง DOHC 16 วาล์ว MIVEC VG Turbo Intercooler ให้แรงม้าสูงสุด 181 แรงม้า ที่ 3,500 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 430 นิวตัน-เมตร ที่ 2,500 รอบ/นาที

สามารถใช้กับน้ำมันดีเซล B20 ได้ ส่งกำลังผ่านเกียร์อัตโนมัติแบบ 8 สปีด พร้อม Sport Mode และระบบ INC (Idle Neutral Control) และ G-Sensor รัศมีวงเลี้ยวแคบสุด 5.6 เมตร น้ำหนักรถ 1,940 – 2,075 กิโลกรัม

มิติตัวรถ : ยาว 4,885 มม. กว้าง 1,865 มม. สูง 1,835 มม. ระยะฐานล้อ 2,800 มม. ระยะต่ำสุดจากพื้น 218 มม.

ราคาจำหน่าย : (Update ล่าสุด เดือนธันวาคม 2563)

  • 2.4D GT 2WD ราคา 1,299,000 บาท
  • 2.4D GT Plus 2WD ราคา 1,349,000 บาท
  • 2.4D GT-Premium 2WD ราคา 1,469,000 บาท
  • 2.4D GT-Premium 4WD ราคา 1,599,000 บาท
  • 2.4D GT-Premium 2WD Elite Edition ราคา 1,524,000 บาท
  • 2.4D GT-Premium 4WD Elite Edition ราคา 1,629,000 บาท

*หมายเหตุ : สีขาวมุก White Diamond เพิ่ม 15,000 บาท, สีขาวมุก รุ่น Elite Edition เพิ่ม 20,000 บาท

Nissan-Terra-2019

Nissan Terra 2020

ข้อดี : ช่วงล่างนิ่ม ไม่ย้วย ขับสนุก ห้องโดยสารเก็บเสียงได้ดี แถมจุดเด่นอย่างกล้องติดรถรอบคัน 360 องศา ส่วนเครื่องยนต์มีจุดเด่น อย่างระบบน้ำมัน ปั๊มหัวฉีด หัวฉีด ราง ทั้งระบบทำโดย Continental และค่าบำรุงรักษาที่ไม่แพง

ข้อด้อย : การออกตัวอาจจะหน่วงไปบ้าง และเวลาถอยหลัง ช่องมองภาพจะอยู่บริเวณกระจกมองหลังแทน ซึ่งหลายคนอาจไม่ถนัด และอัตราสิ้นเปลืองเชื้อเพลิงที่มากหน่อย

รายละเอียดตัวรถ : รูปโฉมภายนอกของ Nissan Terra มาพร้อมไฟหน้าและไฟท้ายแบบบูมเมอร์แรง กระจังหน้าแบบ V-Motion ส่วนชุดประตูหน้านั้นเหมือน Navara และด้านท้ายถูกออกแบบใหม่หมด ไฟท้ายเป็นแบบ LED มาพร้อมล้อแม็กขนาด 18 นิ้ว พร้อมยางขนาด 255/60 R18

ห้องโดยสารภายในยกชุดมาจาก Navara แต่ตกแต่งให้หรูหราขึ้น ด้วยโทนสีดำตัดด้วยสีเงิน แบบ Gliding Wing 7 ที่นั่ง กว้างขวาง และเงียบ มีเครื่องเสียงระบบหน้าจอสัมผัส, ระบบปรับอากาศอัตโนมัติแบบ 2 โซน, กุญแจ Keyless Entry พร้อมปุ่มสตาร์ทเครื่องยนต์ เบาะคนขับปรับไฟฟ้า 8 ทิศทาง เบาะนั่งแถว 2 มีระบบพับอัตโนมัติแบบแบนราบ ระบบแอร์เพดานแยกส่วนกระจายทั่วห้องโดยสาร พร้อมระบบความบันเทิงด้วยจอมอนิเตอร์ ขนาด 11 นิ้ว สำหรับผู้โดยสารตอนหลัง เป็นต้น

ระบบพวงมาลัย แร็คแอนด์พิเนียน ควบคุมด้วยไฟฟ้า (EPS) สามารถปรับโหมดพวงมาลัยได้ถึง 3 โหมด คือ โหมด City สำหรับการขับขี่ในเมือง, โหมด Standard สำหรับการขับขี่ทั่วไป และโหมด Sport สำหรับการขับขี่สไตล์สปอร์ต พร้อมเทคโนโลยีขับเคลื่อนอัจฉริยะของนิสสัน Nissan Intelligent Mobility

มีให้เลือก 5 สี ได้แก่ สีน้ำตาล Earth Brown, สีดำ Black Star, สีขาว White Pearl, สีเงิน Brilliant Silver และ สีเทา Twilight Gray

อุปกรณ์มาตรฐานเด่นๆ :

  • ไฟหน้า LED โปรเจคเตอร์ , ไฟหรี่แบบ LED เปิด-ปิดอัตโนมัติ
  • ไฟส่องสว่างเวลากลางวัน (Daytime Running Light)
  • ไฟตัดหมอกหน้า พร้อมตกแต่งด้วยโครเมียม
  • บันไดข้าง
  • ช่องแอร์สำหรับผู้โดยสารแถว 2 และแถว 3 แบบอัตโนมัติ แยกซ้าย-ขวา และระบบควบคุมความเร็วพัดลมเบาะตอนหลัง
  • เครื่องเสียง พร้อมวิทยุ FM/AM Apple CarPlay / Android Auto พร้อม จอ Touch Screen 8 นิ้ว
  • ระบบนำทาง
  • จอภาพสำหรับผู้โดยสารตอนหลัง
  • พวงมาลัยพาวเวอร์ปรับระดับได้ ชนิดหุ้มหนัง 3 ก้าน พร้อมตกแต่งสีเงิน ปุ่มควบคุมเครื่องเสียง การสั่งงานด้วยเสียง
  • มาตรวัดแสดงข้อมูลการขับขี่ TFT 5 นิ้ว และ Off Road Meter
  • รองรับการเชื่อมต่อ Bluetooth
  • เบาะนั่งแถวที่ 1 ฝั่งผู้ขับขี่ปรับไฟฟ้าได้ 8 ทิศทาง พร้อมที่ดันหลังปรับไฟฟ้า ฝั่งผู้โดยสารปรับได้ 4 ทิศทาง พร้อมหมอนรองศีรษะ
  • เบาะนั่งแถวที่ 2 ชนิด แบบแยก 60:40 ปรับระดับได้ เลื่อนตำแหน่งหน้า-หลัง, ปรับเอนและพับได้จากตำแหน่งคนขับ พร้อมหมอนรองศีรษะสำหรับ 2 ที่นั่ง
  • เบาะนั่งแถวที่ 3 ชนิดแบบแยก 50:50 ปรับระดับได้ ปรับแบนราบกับพื้นห้องโดยสารได้ พร้อมหมอนรองศีรษะสำหรับ 2 ที่นั่ง
  • กระจกมองหลังแบบปรับลดแสงสะท้อนพร้อมกล้องส่องภาพจากภายนอก (Smart rear view mirror)
  • ระบบควบคุมความเร็วอัตโนมัติ Cruise Control
  • ระบบ Push Start
  • ระบบเบรก ABS พร้อม EBD และ BA
  • ถุงลม 6 จุด คู่หน้า / ด้านข้าง / และม่านถุงลม
  • ระบบลิมิเต็ดสลิป B-LSD
  • ระบบควบคุมการทรงตัวอัตโนมัติ Vehicle Dynamic Control (VDC)
  • ระบบควบคุมความเร็วขณะลงทางลาดชัน Hill Descent Control (HDC)
  • ระบบช่วยออกตัวบนทางลาดชัน Hill Start Assist (HSA)
  • ระบบเตือนเมื่อรถออกนอกทาง Lane Departure Warning (LDW)
  • ระบบเตือนจุดอับสายตา Blind Spot Warning (BSW)
  • กระจกบังลมหน้าแบบป้องกันเสียงรบกวน (Acoustic Glass) แบบอัดซ้อนนิรภัย (Laminated Glass)
  • กุญแจรีโมทพร้อม Immobilizer และสัญญาณกันขโมย
  • กล้องมองหลัง
  • กล้องอัจฉริยะมองภาพรอบทิศทาง Intelligent Around View Monitor (iAVM)
  • ระบบตรวจจับและส่งเตือนวัตถุ และบุคคลที่เคลื่อนไหวจากกล้องรอบคัน Moving Object Detection (MOD)
  • สัญญาณเตือนระยะจอดด้านหลัง 4 จุด
  • ระบบตรวจสอบแรงดันลมยาง

เครื่องยนต์ : ดีเซลขนาด 2.3 ลิตร รหัส YS23DDTT แบบ 4 สูบ แถวเรียง DOHC 16 วาล์ว Twin Turbo Intercooler ให้แรงม้าสูงสุด 190 แรงม้า ที่ 3,600 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 440 นิวตัน-เมตร ที่ 1,500 รอบ/นาที

ส่งกำลังผ่านเกียร์อัตโนมัติแบบ CVT 7 สปีด ทุกรุ่น ให้รัศมีวงเลี้ยวแคบสุด 5.7 เมตร

มิติตัวรถ : ยาว 4,885 มม. กว้าง 1,865 มม. สูง 1,835 มม. ระยะฐานล้อ 2,850 มม. ระยะต่ำสุดจากพื้น 225 มม.

ราคาจำหน่าย : (Update ล่าสุด เดือนธันวาคม 2563)

  • 2.3 V 2WD ราคา 1,299,000 บาท
  • 2.3 VL 2WD ราคา 1,349,000 บาท
  • 2.3 VL 4WD ราคา 1,459,000 บาท

*หมายเหตุ : สีขาวมุก เพิ่มเงิน 12,000 บาท

Ford-Everest-2021

Ford Everest 2020

ข้อดี : โฉมนี้มาพร้อมเครื่องยนต์ใหม่ ที่มีขนาดเล็กลง แต่ให้กำลังมากขึ้น พร้อมชุดเกียร์ใหม่ พร้อมแก้ปัญหาต่างๆ ของตัวรถที่เคยได้รับเสียงตำหนิมาจากผู้บริโภคก่อนหน้า เช่น ปัญหาคราบน้ำมันเครื่องบริเวณฝาครอบหน้าเครื่องยนต์ เป็นต้น ทาง Ford ได้ปรับปรุงซีลหน้าเครื่องให้มิดชิด เฟืองปั้มเกียร์ที่แข็งแรงขึ้น ผนังลูกสูบที่เรียบลื่นขึ้น และ Torque Converter ที่แน่นหนากว่าเดิม

ข้อด้อย : เบาะนั่งในแถวที่สาม นั่งค่อนข้างยากสำหรับผู้ใหญ่ แต่ในโฉมนี้ก็ได้ชดเชยด้วยระบบปรับพับด้วยไฟฟ้ามาให้ กับปัญหาของตัวรถ ที่ต้องลุ้นกันต่อว่าจะมีหรือไม่

รายละเอียดตัวรถ : สำหรับ Ford Everest แม้ว่าจะขายกันมานานหลายปีได้ ในโฉมปี 2020 – 2021 ได้ตกแต่งชุดกระจังหน้าใหม่, ตัวอักษร Everest บนฝากระโปรงหน้าแบบนูนต่ำ, มือเปิดประตูโครเมียม, กระจกมองข้างโครเมียม, บันไดข้างสีดำ และชุดตกแต่งสีเงิน เป็นต้น

มาพร้อมเครื่องยนต์ดีเซล 2.0 ลิตร เทอร์โบคู่สุดล้ำ และเกียร์อัตโนมัติ 10 สปีด ของฟอร์ด การทำงานของเทอร์โบทั้งสองเครื่องที่อิสระจากกัน มาพร้อมเครื่องยนต์อันทรงพลังถึง 213 แรงม้า (PS) และแรงบิดสูงสุดถึง 500 นิวตันเมตร ช่วยเพิ่มความแรง และความเร็วได้ดั่งใจคุณต้องการ อีกทั้งยังประหยัดน้ำมัน

ผสานความสะดวกสบายระดับพรีเมี่ยม ให้ทุกรายละเอียดของห้องโดยสารภายใน ไม่ว่าจะเป็นเบาะนั่งหุ้มหนัง 7 ที่นั่งที่เดินเส้นปักแบบใหม่ หัวเกียร์ที่ออกแบบใหม่ เทคโนโลยีการตัดเสียงรบกวนอัจฉริยะ และหลังคา Panoramic Moonroof แบบปรับไฟฟ้า พร้อมระบบประตูไฟฟ้าแบบแฮนด์ฟรี ทำให้ชีวิตคุณง่ายขึ้น

แถมทุกรุ่นมาพร้อมข้อเสนอพิเศษ โปรแกรมรับประกันเครื่องยนต์และระบบส่งกำลัง 10 ปี หรือ 150,000 กม. ฟรีประกันภัยชั้นหนึ่ง ฟรีชุดอุปกรณ์ตกแต่งไฟฟ้า (Electric Pack) มูลค่า 11,350 บาท

มีให้เลือกถึง 7 สี ได้แก่ สีขาวมุก Snowflake White Pearl, สีขาว Artic White, สีแดง Sunset Metallic, สีเงิน Aluminum Metallic, สีฟ้า Reflex Blue, สีน้ำเงิน Deep Crystal Blue และสีดำ Absolute Black Metallic

อุปกรณ์มาตรฐานเด่นๆ :

  • กุญแจอัจฉริยะและปุ่มสตาร์ท
  • หน้าจอ Multi-Touch ขนาด 8 นิ้ว
  • ระบบสั่งงานด้วยเสียง SYNC 3 ภาษาไทยพร้อมการเชื่อมต่อ Bluetooth และ Wi-fi
  • ประตูท้ายเปิด-ปิด ด้วยไฟฟ้าแบบ Hands Free
  • หลังคา Panoramic Moonroof
  • ไฟวิ่งกลางวันแบบ LED
  • ชุดชายบันไดสแตนเลสแบบ LED
  • ปลั๊กไฟบ้าน AC 230 V
  • ระบบช่วยจอดอัจฉริยะ
  • ระบบปรับอากาศอัตโนมัติแยกอิสระซ้าย-ขวาล
  • เบาะนั่งปรับไฟฟ้า 6 ทิศทาง พร้อมปรับดันหลัง 2 ทิศทาง ด้านคนขับและผู้โดยสารด้านหน้า
  • เบาะแถวที่ 3 พับไฟฟ้า
  • ระบบช่วยโทรฉุกเฉิน
  • ระบบตรวจจับรถในจุดบอด
  • ระบบป้องกันล้อหมุน TC และระบบควบคุมเสถียรภาพการทรงตัว ESP
  • ระบบควบคุมความเร็วขณะลงทางชัน
  • ระบบช่วยออกตัวขณะจอดบนทางลาดชัน HLA
  • จำนวนถุงลมนิรภัย ถุงลมนิรภัย 7 จุด คู่หน้า / ด้านข้าง / หัวเข่าฝั่งคนขับ / และม่านถุงลมนิรภัย

เครื่องยนต์ : ดีเซลขนาด 2.0 ลิตร แบบ 4 สูบ แถวเรียง DOHC 16 วาล์ว Turbo Intercooler ให้แรงม้าสูงสุด 180 แรงม้า ที่ 3,500 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 420 นิวตัน-เมตร ที่ 1,750 – 2,500 รอบ/นาที

และดีเซลขนาด 2.0 ลิตร แบบ 4 สูบ แถวเรียง DOHC 16 วาล์ว Bi-Turbo Intercooler ให้แรงม้าสูงสุด 213 แรงม้า ที่ 3,750 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 500 นิวตัน-เมตร ที่ 1,750 – 2,000 รอบ/นาที

สามารถใช้กับน้ำมันดีเซล B20 ได้ ส่งกำลังผ่านเกียร์อัตโนมัติแบบ 10 สปีด พร้อม Selection Shift

มิติตัวรถ : ยาว 4,903 มม. กว้าง 1,869 มม. สูง 1,837 มม. ระยะฐานล้อ 2,850 มม. ระยะต่ำสุดจากพื้น 225 มม.

ราคาจำหน่าย : (Update ล่าสุด เดือนธันวาคม 2563)

  • Trend 2.0L Turbo 2WD ราคา 1,299,000 บาท
  • Titanium 2.0L Turbo 2WD ราคา 1,399,000 บาท
  • Titanium (Sport) 2.0L Turbo 2WD ราคา 1,429,000 บาท
  • Titanium+ 2.0L Turbo 2WD ราคา 1,599,000 บาท
  • Titanium+ 2.0L Bi-Turbo 4WD ราคา 1,799,000 บาท

อย่างไรก็ตาม ขอให้บทความนี้เป็นเครื่องมือช่วยให้ทุกท่าน เลือกรถคู่ใจได้ตามความต้องการ และตามงบที่มี เพราะการเลือกซื้อรถแต่ละคัน แต่ละคนย่อมมีรสนิยม ความชอบ ความพึงพอใจ ในหลายองค์ประกอบไม่เหมือนกัน

รวมไปถึงความเชื่อมั่นในแบรนด์ด้วย ที่ต่างคนก็ต่างมีประสบการณ์ในการเจอที่ปรึกษาการขาย เจอดีลเลอร์ เจอการซ่อม การเคลม หรือราคาอะไหล่ที่ไม่เหมือนกัน ดังนั้น การที่คุณเลือกรถใช้แบรนด์ต่างจากคนอื่น ไม่ใช่เรื่องผิดแต่ประการใดจ้า

Carro-Tiresbid-4-Things-For-Buying-Car-Wheels

สวัสดีครับ ไทร์บิดกลับมาอีกครั้งกับเรื่องของยางๆ ยางก็ต้องคู่กับแม็กซ์ใช่ไหมครับ แต่เพื่อนๆ รู้กันไหมครับ ว่าจริงๆ แล้ว เมื่อการที่เราจะใช้แม็กซ์ต้องดูที่อะไรบ้าง วันนี้ไทร์บิดมีคำแนะนำให้เพื่อนๆ ครับ

4-Things-For-Buying-Car-Wheels

แม็กซ์นั้นเวลาเพื่อนๆ ต้องการหาแม็กซ์เรา ก็อาจจะหาคำว่าแม็กซ์ กี่นิ้ว เช่น 15” , 17” , 18” แต่สิ่งที่สำคัญอีกอย่างก็คือ ความกว้างของหน้าแม็กซ์นั้นต้องสัมพันธ์กับหน้ายางครับ เพราะว่าถ้าไม่สัมพันธ์กันจะทำให้มีอาการดึงยางเกิดขึ้นและจะทำให้ยางใช้งานได้ไม่ได้เต็มสมรรถนะ แถมยังส่งผลให้ยางจะมีอาการสึกผิดปกติอีกด้วยครับเช่น ยาง 195/55R15 นั่น จะใช้กับแม็กซ์หน้ากว้างตั้งแต่ 5.5 – 7 นิ้วครับ ซึ่งจะทำให้ยางใช้งานได้เต็มสมรรรถนะได้ดีที่สุดครับ เพราะฉะนั้นการการเลือกซื้อแม็กซ์นั้น ก็ต้องคำนึงถึงหน้ากว้างของแม็กซ์ด้วยนะครับเพื่อนๆ

4-Things-For-Buying-Car-Wheels

ส่วนต่อมาที่ต้องคำนึงถึงก็คือค่าออฟเซตครับ ค่าออฟเซตจะเป็นค่าของหน้าแปลนนั้นอยู่บริเวณกึ่งกลางของล้อแม็กซ์หรือไม่ ซึ่งค่าออฟเซตนั้นในแม็กซ์บางรุ่นอาจจะมีค่าบวกเพิ่มมากขึ้น อาจจะส่งผลให้หน้าแปลนที่ติดกับดุมล้อนั่นไม่อยู่ในตำแหน่งเดิมอาจจะส่งผลทำให้แม็กซ์นั้นไปขูดกับซุ้มล้อด้านใน หรือด้านนอกได้ครับ เพราะฉะนั้นการเปลี่ยนแม็กซ์นั้นเราต้องคำนึงถึงในส่วนนี้ด้วยครับ เพื่อป้องกันปัญหาการติดซุ้มล้อด้านในและด้านนอกครับ

4-Things-For-Buying-Car-Wheels

ส่วนต่อมาก็คือเรื่องของรูน็อต แม็กซ์ ในแต่ละวงจะมีรูน็อตที่มีช่องไฟที่แตกต่างกันถึงแม้ว่าจะมีสแตนดาร์ดอยู่แล้วก็ตามนะครับ แต่อย่างน้อยๆ ก็ควรเช็คไว้ครับเพราะรถบางยี่ห้อมี 6 รูน็อต บางยี่ห้อมี 5 รูน็อต แถมบางยี่ห้อมีรูน็อตที่มีช่องไฟไม่ตรงกับยี่ห้ออื่นๆโดยเฉพาะรถยุโรปบางยี่ห้อ เพราะฉะนั้นเพื่อนๆก่อนที่จะเลือกซื้อแม็กซ์ใหม่นั้นต้องคำนึงถึงเรื่องนี้ด้วยครับ

เพราะฉะนั้นจะมี 3 ข้อหลักๆ ที่อยากให้เพื่อนๆ คำนึงถึงนอกจากขนาดของแม็กซ์กี่นิ้วแล้ว ก็ต้องมีเรื่องของหน้ากว้างของแม็กซ์ต้องสัมพันธ์กับไซส์ยาง ค่าออฟเซตต้องให้พอดีไม่ให้ใส่ประกอบแล้วติดซุ้ม และรูน็อตของแม็กซ์วงใหม่ต้องเท่ากับรูน็อตเดิมของรถ ถ้ามี 4 อย่าง ครบทุกอย่างนั้น ก็ถือว่าครบองค์ประกอบในการเลือกซื้อแม็กซ์ใหม่ครับ

แต่ถ้าเพื่อนๆอยากหายางไซส์ไหนที่ตรงกับแม็กซ์ของตัวเอง สามารถติดต่อสอบถามทางไทร์บิดได้ที่ Line Official : @tiresbid หรืออ่านบทความรู้ยางรถยนต์มีมากมาย หากซื้อเช็กยางรุ่นต่างๆได้ที่ www.tiresbid.com เลยครับ ที่ไทร์บิดเราเป็นผู้เชี่ยวชาญยางรถยนต์ พร้อมให้คำแนะนำกับเพื่อนๆทุกท่านครับ

Carro-Tiresbid-Old-Tires-And-Usability

สวัสดีครับ ไทร์บิดกลับมาอีกครั้งครับผม วันนี้จะขอพูดถึงเรื่องปีผลิตยางว่ามีผลต่อการใช้งานไหมครับ ยางปีเก่า ผ่านไป 1 ปี จริงๆแล้วไม่มีผลต่อการใช้งานอะไรเลยครับ และโดยปกติแบรนด์ยางแทบจะทุกแบรนด์นับวันรับประกันจากวันที่ใส่ครับ ในเรื่องการรับประกันการผลิตอย่างน้อยๆ ก็ต้องมี 2 ปีขึ้นไป ถ้าแบรนด์ใหญ่ๆก็ 5-6 ปีก็ว่ากันไปครับ

แต่เพื่อนๆ ก็ยังเป็นห่วงเหมือนเดิมใช่ไหมครับ ว่ายังไงก็อยากได้ยางใหม่เอี่ยมที่สุดไว้ก่อน งั้นไทร์บิดเรามาจำลองเหตุการณ์ดูครับ ว่ากรณีที่เป็นยางปีเก่านั้นเก่าถึงปีไหมกันนะครับ

Old-Tires-And-Usability

กรณีเราซื้อยางเดือนมีนาคม แล้วยางที่เรากำลังจะซื้อนั้น เป็นยางผลิตสัปดาห์ที่ 40 ของปีที่ผ่านมา เพราะฉะนั้นยางที่เพื่อนๆได้มานั่นเพิ่งผลิตมาแค่ 5 เดือน ซึ่งไม่เกินปีเลยครับ แต่แค่ปีผลิตเป็นของปีที่แล้วครับ และกรณีที่การรับประกันจากการผลิตที่ทางแจ้งไว้จะรับประกันนับจากวันติดตั้งก็แปลว่ายางที่รับประกันจากเดือนมีนาคม บวกไปอีก 5 ปี

สมมติเพื่อนๆใช้รถปีละ 20,000 กิโลเมตร เท่ากับเพื่อนๆ สามารถใช้งานยังไงก็ไม่ถึงห้าปีแน่นอนครับ เพราะฉะนั้นถึงแม้ว่าเราจะซื้อยางปีเก่า แต่เก่าแค่ไม่กี่เดือนเพื่อนๆ สบายใจแน่นอนครับ

Old-Tires-And-Usability

เรามาดูตามความจริงกันว่าจริงๆแล้วโครงสร้างยางแต่ละส่วนนั้น ปีผลิตมีผลต่อการใช้งานจริงๆไหมครับ ข้อแรกเลยก็คือเรื่องของเนื้อยางกรณีที่เป็นยางปีเก่าเพื่อนๆอาจกลัวว่ายางนั้นอาจจะมีปัญหาใช่ไหมครับ แต่ถ้าร้านที่เพื่อนๆ ซื้อนั้นมีคลังเก็บสต็อกในที่ร่ม เพื่อนๆหายห่วงได้เลยครับว่าเนื้อยางที่อยู่ในโกดังนั้นมีสภาพใช้งาน 100% แน่นอนครับ

ส่วนต่อมาคือเรื่องของโครงยางเมื่อยางเก่าเก็บ 1 ปี ไทร์บิดกล้ารับประกันเลยครับว่าโครงยางนั้นไม่มีการคลายตัวหรือคลายความแข็งแรงแน่นอนครับ เพราะฉะนั้นเพื่อนๆ ไม่ต้องเป็นห่วงเลยครับ ว่ายางปีเก่าที่ซื้อจะมีปัญหาความแข็งแรงในการใช้งานครับ

Old-Tires-And-Usability

ข้อดีอีกอย่างหนึ่งในปัจจุบันเลยก็คือ ยางปีเก่าราคาจะถูกลง 10-20% จากราคาปกติเพราะฉะนั้นเพื่อนๆที่อยากใช้งบอย่างประหยัดกับค่ายางแต่ได้ยางที่มีคุณภาพดีลองหาร้านที่รู้จักใกล้บ้านท่าน หรือ ลองมาสอบถามกับทางไทร์บิดได้ครับว่ามีไซส์นี้รุ่นนี้ยางปีเก่าไหมเพื่อเพื่อนๆจะได้ของดีกันครับ หากเพื่อนๆต้องการคำปรึกษาเรื่องยางสามารถสอบถามทางไทร์บิดได้ผ่าน Line official : @tiresbid หรือเข้าเช็กราคายางได้ที่ www.tiresbid.com ได้ครับ สนใจจะอ่านบทความรู้ยางรถยนต์ก็มีให้อ่านฟรีๆ แถมทางเรายินดีให้บริการเพื่อนๆทุกท่านอย่างเต็มที่แน่นอนครับ

Carro-Masii-5-Risky-Driving-Behaviors-Car-Accident

เชื่อไหมว่าสถิติการเกิดอุบัติเหตุบนท้องถนนนั้นมีมากเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ มาตั้งแต่ต้นปี โดยสาเหตุหลักๆ จะมาจากพฤติกรรมของผู้ขับขี่เป็นหลักที่ไม่เคารพกฎหมาย และขาดวินัยในการขับขี่รถยนต์บนท้องถนน อีกทั้งการกระทำแบบนี้จะเพิ่มความเสี่ยงให้แก่ตัวผู้ขับขี่ และผู้ใช้รถใช้ถนนอีกด้วย เพื่อป้องกันการเกิดอุบัติเหตุ วันนี้ masii ได้นำ 5 พฤติกรรมเสี่ยงอุบัติเหตุ ที่ไม่น่าทำขณะขับรถมาเตือนเพื่อนๆ กัน ไปดูกันดีกว่าว่าจะมีอะไรบ้าง

5 พฤติกรรมเสี่ยงอุบัติเหตุ ที่ไม่ควรทำขณะขับรถ

5-Risky-Driving-Behaviors-Car-Accident

1. ฝ่าฝืนกฎจราจร

สาเหตุอันดับต้น ๆ ที่ทำให้เกิดอุบัติเหตุบนท้องถนนนั้น โดยส่วนใหญ่จะมาจากการฝ่าฝืนกฎจราจร เช่น ฝ่าไฟแดงจราจร ขับรถย้อนศร และใช้ความเร็วที่เกินกำหนด เป็นต้น สิ่งเหล่านี้เป็นการฝ่าฝืนต่อกฎจราจรทำให้เพิ่มอัตราความเสี่ยงต่อการเกิดอุบัติเหตุบนท้องถนนได้ ดังนั้นสิ่งที่ควรทำมากที่สุดสำหรับผู้ขับขี่คือ ผู้ขับขี่ควรปฏิบัติตามกฎจราจรอย่างเคร่งครัด เพื่อลดโอกาสในการเกิดอุบัติเหตุนั่นเอง

2. เมาแล้วขับ

เมาแล้วขับรถ เป็นอีกหนึ่งพฤติกรรมที่ทำให้เกิดอุบัติเหตุทางรถยนต์ เช่นกัน ดังนั้นหากเพื่อนๆ หรือใครก็ตามที่รู้ตัวว่าดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์จนมึนเมา ควรต้องพักการขับรถไว้ก่อน ควรหันมาใช้บริการขนส่งสาธารณะ หรือให้คนที่เราไว้วางไว้ใจมารับเราแทน เพราะการขาดสติ และมีอาการมึนเมานั้น ไม่ควรจะหันมาขับรถอย่างเด็ดขาด เพื่อความปลอดภัยของตัวเรา และผู้อื่น

5-Risky-Driving-Behaviors-Car-Accident

3. เล่นมือถือขณะขับรถ

มีหลายคนที่มักจะประมาทเวลาขับรถ โดยเฉพาะกับการเล่นโทรศัพท์มือถือขณะขับรถ เพราะคิดว่าขับรถมองทางสลับกับมองจอมือถือไปด้วยคงไม่เป็นไรหรอก แต่ความจริงแล้วนั้น พฤติกรรมนี้ถือเป็นสาเหตุที่ทำให้เกิดอุบัติเหตุอันดับต้น ๆ เช่นกัน เพราะเนื่องจากเราจดจ่อกับมือถือมากกว่าขับรถ การกระทำนี้ทำให้ลดความสามารถในการควบคุมรถยนต์ จนทำให้เกิดอุบัติเหตุได้ เช่น หากมีความจำเป็นต้องใช้โทรศัพท์ เราแนะนำว่าให้ใช้อุปกรณ์เสริมต่าง ๆ หรือจอดรถก่อนเพื่อคุยธุระให้เสร็จก่อนแล้วค่อยขับรถต่อไป

4. เอื้อมหยิบของในรถ

ไม่ว่าคุณจะมีความจำเป็นที่ต้องเอื้อมหยิบของในรถ ทั้งเบาะข้างๆ หรือเบาะหลัง ควรทำการจอดรถให้เรียบร้อยเสียก่อน อย่าเอื้อมตัวหรือมือไปหยิบของขณะที่กำลังขับรถเด็ดขาด เพราะแค่เสี้ยววินาทีที่เราหันไปมองของที่หยิบอยู่นั้น ก่อให้เกิดเหตุที่ไม่สามารถคาดฝันได้เช่นกัน อย่างไรก็ตาม ไม่ควรประมาท และควรจอดรถให้สนิทก่อนจะเอื้อมหยิบของ จะปลอดภัยที่สุด

5-Risky-Driving-Behaviors-Car-Accident

5. ไม่คาดเข็มขัดนิรภัย

แม้ว่าการไม่คาดเข็มขัดนิรภัยจะยังไม่ใช่สาเหตุหลักที่ทำให้เกิดอุบัติเหตุ แต่การคาดเข็มขัดนิรภัยก็เป็นสิ่งสำคัญมากๆ สำหรับผู้ขับขี่รถยนต์ทั้งหลายที่ไม่ควรละเลย ทางออกที่ดีที่สุด คือ การคาดเข็มขัดนิรภัยทุกๆ ครั้งก่อนออกเดินทางทั้งตัวผู้ขับขี่ และผู้โดยสาร เหตุผลที่ต้องคาดเข็มขัดนิรภัยก็เพื่อช่วยลดแรงกระแทกที่อาจเกิดกับตัวเราเมื่อเกิดอุบัติเหตุ โดยจะเป็นตัวฉุดรั้งไม่ให้เรากระเด็นออกจากเบาะ หรือตัวรถนั่นเอง

และทั้งหมดนี้คือ 5 พฤติกรรมเสี่ยงอุบัติเหตุ ที่ไม่ควรทำขณะขับรถที่ผู้ขับขี่ทุกคนควรรู้ เพื่อจะได้ช่วยกันลดความเสี่ยงการเกิดอุบัติเหตุบนท้องถนนได้ ที่สำคัญคือ การขับขี่อย่างปลอดภัย และมีสติ เคารพกฎจราจรหากใครอยากเพิ่มความอุ่นใจ สามารถ คลิกที่นี่ เพื่อซื้อประกันรถยนต์กับเว็บไซต์มาสิได้ง่ายๆ

ขอขอบคุณบทความดีๆ จาก www.masii.com

EV-Car-And-Annual-Tax-In-Thailand

ในเวลานี้ หากใครที่ยังใช้รถยนต์ที่ใช้เชื้อเพลิงเป็นตัวขับเคลื่อนอยู่ ปกติก็ต้องเสียภาษีรถยนต์ประจำปีกันตามปกติ แต่ก็มีคำถามกันมามากเลยว่า ถ้าเป็น “รถยนต์ไฟฟ้า” (หรือรถ EV) ต้องเสียภาษีรถยนต์ประจำปีเท่าไหร่กันล่ะ?

วันนี้ MR.CARRO มีคำตอบเกี่ยวกับ รถยนต์ไฟฟ้า (รถ EV) ตั้งแต่ค่าใช้จ่ายในการจดทะเบียน การจ่ายเสียภาษีรถยนต์ในแต่ละปี มาฝากกันครับ

สำหรับค่าใช้จ่ายในการจดทะเบียนรถยนต์ไฟฟ้า ต่างจากรถยนต์ทั่วไป ในการดำเนินการจดทะเบียนกรณีรถเก๋ง กระบะ ตามกฎหมายว่าด้วยรถยนต์ไฟฟ้า จะจัดเก็บค่าธรรมเนียมและภาษีประจำปี ในอัตราดังนี้

  • ค่าธรรมเนียม ได้แก่ คำขอ 5 บาท
  • ค่าแผ่นป้ายทะเบียน แผ่นละ 100 บาท 2 แผ่นป้าย รวมเป็น 205 บาท
  • ค่าใบคู่มือจดทะเบียนรถ 100 บาท
  • ค่าตรวจสภาพ 50 บาท

รวมทั้งหมด 355 บาท

MG-ZS-2020

และสำหรับรถยนต์ไฟฟ้า (รถ EV) ในส่วนของอัตราภาษีรถประจำปี หากเป็นรถยนต์นั่งส่วนบุคคลไม่เกิน 7 ที่นั่ง คิดอัตราภาษีตามน้ำหนักของรถ ซึ่งเป็นอัตราเดียวกับที่ใช้ในการจดทะเบียนรถกระบะ ซึ่งจะถูกกว่าภาษีรถยนต์ไม่เกิน 7 ที่นั่ง ที่ใช้น้ำมันเป็นเชื้อเพลิง

แต่ถ้าเป็นรถประเภทอื่นๆ นอกเหนือไปจากรถนั่งส่วนบุคคลไม่เกิน 7 ที่นั่ง เช่น รถตู้ รถบรรทุก การจัดเก็บภาษีตามน้ำหนักรถ แต่หาร 2 ซึ่งจะทำให้เสียภาษีถูกกว่าครึ่งหนึ่งครับ

นอกจากนี้ หากเป็นรถที่จดทะเบียนมาแล้ว 5 ปี จะได้รับการลดหย่อนภาษีประจำปีในปีต่อๆ ไป ดังนี้

  • ปีที่ 6 ร้อยละ 10
  • ปีที่ 7 ร้อยละ 20
  • ปีที่ 8 ร้อยละ 30
  • ปีที่ 9 ร้อยละ 40
  • ปีที่ 10 และปีต่อๆ ไป ร้อยละ 50

ทีนี้ก็กระจ่างกันถึงเรื่องภาษีรถยนต์ไฟฟ้าที่จะต้องจ่ายกันในแต่ละปีแล้วนะครับ และอย่าลืมเตรียมเงินไว้ต่อภาษีรถกันทุกปีนะครับผม

ส่วนใครที่อยากขายรถ เพื่ออยากลองรถยนต์ไฟฟ้าคันใหม่มาใช้ดูบ้าง CARRO เรารับซื้อรถของคุณ สามารถเข้าไปเช็คราคา ตีราคาขายรถก่อนได้ โดยใส่ข้อมูลรถของคุณที่นี่เลย กับ CARRO Express > https://th.carro.co/sell-car/express หรือโทร. 02-508-8425

หรือใครจะ Inbox มาสอบถามก็ได้เช่นกัน ที่ Facebook CARRO Thailand หรือสะดวก Add Line ก็ที่ @Carrothailand หรือคลิกที่นี่ครับ —> เพิ่มเพื่อน

Plymouth-Superbird-History

รถอเมริกันในยุค 60 เริ่มทิ้งห่างความเป็นรถยุคอวกาศจากปลายยุค 50 เข้าหาสู่ความเหลี่ยมและความใหญ่โตอลังการมากขึ้น ในขณะเดียวกันก็ได้พัฒนารถในรูปแบบ Pony Car และ Muscle Car เอาใจคนชอบรถสปอร์ต รวมไปถึงรถที่มีเครื่องยนต์ใหญ่โตมากๆ แบบฉบับ “มัดกล้าม” สไตล์อเมริกันจริงๆ ที่มีในบ้านเราสมัยนั้นก็มีนำเข้ามาใช้ และขายกันพอสมควร

วันนี้ผมนึกถึงเกมส์ Gran Turismo 2 ที่เคยเล่นกันตั้งแต่เกือบๆ 20 ปีที่แล้ว กับรถแบรนด์ “Plymouth” (พลีมัธ) ซึ่งพ้องกับชื่อเมืองของอังกฤษ และใน USA ที่ก่อตั้งแบรนด์นี้ขึ้นมาในปี 1928 เพื่อสู้กับรถตลาดอย่าง Chevrolet และ Ford แต่ Chrysler ผู้เป็นเจ้าของแบรนด์ก็ได้ตัดสินใจปิดตัวลงไปในปี 2001 เพื่อลดความซ้ำซ้อนของการทำรถยนต์ในตลาด

1970-Plymouth-Superbird

สำหรับเจ้า Plymouth Superbird ที่ผมจะเล่าให้ฟังกันในวันนี้ ที่จริงมีชื่อเต็มๆ ว่า Plymouth Road Runner Superbird เพราะว่า Plymouth Superbird แตกรุ่นมาจาก Plymouth Road Runner ที่ผลิตขึ้นในช่วงปี 1968 – 1980 กับทั้งหมด 3 เจเนอเรชั่นนั่นเอง

1970-Plymouth-Superbird

คำว่า “Road Runner” นั้น เป็นการซื้อลิขสิทธิ์มาจากตัวการ์ตูน Road Runner ของ Warner Bros. ด้วยเงินถึง 50,000 ดอลล่าร์สหรัฐ ซึ่งเป็นนกฝีเท้าจัดที่เจ้า Wile E. Coyote หรือ The Coyote ไม่สามารถไล่จับได้ซะที อีกทั้งเสียงแตรก็ยังลอกเลียนแบบเสียงของเจ้า Road Runner อีกด้วย ซึ่งใช้เงินในการพัฒนาถึง 10,000 ดอลล่าร์สหรัฐ … Beep Beep น่ารักไม่เหมือนใคร

1970-Plymouth-Superbird

Plymouth Superbird เป็นการพัฒนาต่อเนื่องบนพื้นฐานของ Road Runner เจนเนอเรชั่นแรก โดยตัวรถพัฒนาขึ้นมาเพื่อใช้ในการสานต่อความเร็วในสนามแข่ง NASCAR ต่อจาก Dodge Charger Daytona ที่สามารถพิชิตคู่ปรับอย่าง Ford Torino และ Mercury Cyclone ลงได้

ซึ่งเป้าหมายของ Superbird คือ การพิฆาตคู่ปรับใหม่อย่าง Ford Torino Talladega และก็ทำได้สำเร็จเสียด้วย แถมยังดึงนักแข่งฝีมือเยี่ยมอย่าง Richard Petty หรือเจ้าของฉายา The King ให้กลับมาสู่อ้อมอกของ Plymouth อีกครั้ง หลังจากหนีไปอยู่กับ Ford มาร่วมปี

1970-Plymouth-Superbird

ตัวรถรุ่นจำหน่ายจริงถูกพัฒนาขึ้นมาในปี 1970 พร้อมๆ กับลงแข่ง NASCAR ในปีเดียวกันนั้น ซึ่งแม้ว่าจะแชร์พื้นฐานร่วมกับ Road Runner เจนเนอเรชันที่ 1 แต่ว่าหน้าตาแตกต่างกันมาก ด้วยการออกแบบที่เรียกว่า NoseCone ที่ยื่นยาวและมากับไฟหน้าแบบ Pop-Up

แต่จุดเด่นจริงๆ นั่นคือ สปอยเลอร์หลังทรงสูง ที่ถูกตั้งฉายาว่า Goal Post หรือ เสาโกล์ของอเมริกันฟุตบอล และถือเป็นสไตล์การออกแบบของ Superbird ในยุคนั้นนี่สุดๆ สำหรับวงการรถยนต์อเมริกัน

1970-Plymouth-Superbird

ในเมื่อได้รับการยอมรับว่าเป็นหนึ่งใน Muscle Car รุ่นดัง จึงต้องใช้เครื่องยนต์ V8 ขนาดใหญ่ในตระกูล Hemi ชื่อดังของเครือไครสเลอร์ ซึ่งเป็นบริษัทแม่ของ Plymouth แน่นอน

โดยมีให้เลือกทั้งแบบ 426 Hemi V8 425 แรงม้า ซึ่งมีการผลิตออกมาเพียง 135 คันเท่านั้น และเครื่องยนต์ราคาประหยัดอย่าง 440 Super Commando V8 375 แรงม้า และ 440 Super Commando Six Barrel V8 390 แรงม้า

1970-Plymouth-Superbird

สำหรับจำนวนการผลิต ตามกฎของ NASCAR ในปี 1969 รถยนต์ที่จะเข้าร่วมได้จะต้องมีการผลิตขายในตลาดเพียง 500 คัน หรือเพียงพอต่อความต้องการในตลาด แต่เมื่อเข้าถึงปี 1970 กฎนี้ถูกเปลี่ยนไป โดยระบุว่าผลิต 1 คัน สำหรับขาย 1 ดีลเลอร์ ในสหรัฐอเมริกา นั่นเท่ากับว่าในตอนนั้น Superbird จึงถูกผลิตออกมาขายเพียง 1,920 คันเท่านั้นเอง และอีก 34 – 47 คัน ผลิตส่งขายในดีลเลอร์ประเทศแคนาดา ปัจจุบันเชื่อว่ามี Plymouth Superbird เหลือวิ่งได้บนท้องถนนแค่ประมาณ 1,000 คันเท่านั้น

1970-Plymouth-Superbird

จึงไม่ต้องแปลกใจเลยว่า Plymouth Superbird กลายเป็นของสะสมราคาแพงสำหรับคนชอบรถอเมริกันไปแล้ว ด้วยค่าตัวที่อยู่ระหว่าง 100,000 – 300,000 เหรียญสหรัฐฯ ขึ้นอยู่กับสภาพ และความพิเศษของคันนั้นๆ

ส่วนใครที่อยากขายรถ ไม่ว่าจะเป็นรถบ้าน รถมือสอง ก็สามารถปรึกษากับทางเราดูก่อนได้ เพียงแค่คุณขายรถคันเดิมกับ CARRO ได้ ง่ายๆ ได้เงินไว! กับ CARRO Express เพียงแค่คลิก https://th.carro.co/sell-car/express หรือสามารถ Inbox มาขอรายละเอียดได้ที่ Facebook CARRO Thailand

หรือจะ Add Line สอบถามรายละเอียดได้ที่ @Carrothailand หรือคลิกที่นี่ครับ —> เพิ่มเพื่อน

แหล่งที่มาบางส่วนจาก:

Claim-Car-Insurance-From-Flood-Damage

ช่วงนี้พวกเราคงต้องเผชิญพายุดีเปรสชั่นกันอย่างต่อเนื่อง ซึ่งแน่นอนว่าฝนตกแบบนี้คงเป็นเรื่องที่สร้างความลำบากใจให้ใครต่อใครหลายคน รวมไปถึงเพื่อน ๆ ที่อาศัยอยู่ในตัวเมือง เกิดน้ำท่วมทีไรมักจะพบกับปัญหาน้ำท่วม น้ำขัง ซึ่งส่งต่อผลเสียต่อรถยนต์ของเรา ถ้าเกิดกรณีน้ำท่วมรถเรา สามารถเคลมประกันได้ไหม ให้ masii บอกคำตอบเพื่อน ๆ กันดีกว่า

ถ้าน้ำท่วมรถเราจะเคลมประกันได้ไหม

Claim-Car-Insurance-From-Flood-Damage

บางครั้งที่ฝนตกหนัก ๆ ก็อาจส่งผลให้เกิดน้ำท่วมขังบนท้องถนน หรือท่วมบ้านเรือนที่พักอาศัย ซึ่งน้ำท่วมนี้ถือว่าเป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นจากธรรมชาติ ซึ่งจัดให้อยู่ในความคุ้มครองประเภทภัยธรรมชาติ สำหรับประเภทประกันภัยที่ครอบคลุมภัยธรรมชาตินั้น มีดังนี้

  • ประกันรถยนต์ชั้น 1
  • ประกันรถยนต์ชั้น 2+ (บางกรมธรรม์)
  • ประกันรถยนต์ชั้น 3+ (บางกรมธรรม์)

น้ำท่วมรถแบบไหนถึงสามารถเคลมประกันได้

Claim-Car-Insurance-From-Flood-Damage

น้ำท่วมรถขณะจอดอยู่ที่บ้านหรือลานจอดรถ

ในกรณีแบบนี้คือการจอดรถอยู่ที่บ้าน จอดที่ลานจอดรถ แล้วมีพายุฝนตกหนักติดต่อกันหลายวันจนเกิดน้ำท่วม น้ำป่าไหลหลาก ไม่สามารถย้ายรถได้ทัน

น้ำท่วมขณะเดินทางบนท้องถนน

รถติดอยู่บนท้องถนนขณะที่ฝนตก น้ำก็ท่วม ติดมาอยู่หลายชั่วโมงจนเกิดน้ำท่วมขังทำให้รถยนต์ของเพื่อน ๆ เกิดความเสียหาย สามารถแจ้งเคลมประกันได้เช่นกัน

น้ำท่วมรถแบบไหนที่ไม่สามารถเคลมประกันได้

Claim-Car-Insurance-From-Flood-Damage

ตั้งใจขับผ่านเส้นทางน้ำท่วม

กรณีเพื่อน ๆ ทราบอยู่แล้วว่าบริเวณพื้นที่ข้างหน้าที่เราจะต้องขับรถผ่านนั้นมีน้ำท่วม แต่ก็ยังขับรถลุยน้ำท่วมไป จนทำให้รถยนต์เกิดความเสียหาย เช่น น้ำเข้าห้องเครื่อง เครื่องยนต์ดับ ฯลฯ แบบนี้จะไม่สามารถเคลมประกันได้ เพราะมีเจตนาที่ชัดเจน

น้ำท่วมรถนอกอาณาเขต

กรณีต้องขับรถไปต่างประเทศ เช่น ขับรถไปประเทศเพื่อนบ้านแล้วเกิดเหตุการณ์น้ำท่วม จะไม่สามารถเคลมประกันได้ เพราะว่ารถยนต์ของเพื่อน ๆ ประสบเหตุนอกประเทศไทยซึ่งถือว่าอยู่นอกอาณาเขตที่ให้ความคุ้มครองนั่นเอง

เมื่อเพื่อน ๆ ทราบกันแล้วว่าหากน้ำท่วมแบบนี้ กรณีไหนที่สามารถเคลมประกันได้ และกรณีไหนที่ไม่สามารถเคลมประกันได้ ก็หวังว่าบทความนี้จะเป็นประโยชน์สำหรับทุกคนในช่วงนี้พายุหน้าฝนนี้ สุดท้ายใครที่มองหาประกันรถยนต์ สามารถ คลิกที่นี่ เพื่อเช็กเบี้ยประกันได้ทันที

ขอขอบคุณบทความดี ๆ จาก www.masii.com

If-Car-Air-Conditioner-Bad-Smell

ปัญหาแอร์รถยนต์เหม็นอับ ถือเป็นเรื่องกวนใจของใครหลายๆ คน เมื่อเข้าสู่ในช่วงหน้าฝนแบบนี้ก็ยิ่งทำให้ช่องระบายอากาศอับชื้น เกิดการหมักหมมของเชื้อโรค เชื้อรา และกลิ่นไม่พึงประสงค์ต่างๆ จนสร้างความรำคาญใจแก่ผู้ใช้รถไม่น้อย แต่ไม่ต้องกังวลไปนะครับ

วันนี้เราจะมาบอกวิธีแก้ปัญหาแอร์รถยนต์เหม็นอับที่เห็นผลได้จริง รับรองกลิ่นเหม็นอับจะไม่มากวนใจแน่นอน

If-Car-Air-Conditioner-Bad-Smell

1. เปิดพัดลมปิด A/C เพื่อไล่กลิ่นอับ

เริ่มจากกดปิด A/C และเปิดพัดลมให้สุดก่อนจดรถประมาณ 5 นาที เพื่อไล่ความชื้นออกจากคอยล์เย็น และช่วยลดกลิ่นอับของระบบแอร์ในรถ แล้วที่สำคัญอย่าลืมปรับอุณหภูมิให้เหมาะกับสภาพอากาศด้วย

2. เปิดกระจก-เปิดประตูรถไว้ทุกบาน

เพราะบางทีรถอาจจะมีกลิ่นเหม็นอับตกค้างอยู่ ให้เราลองเปิดกระจกหรือเปิดประตูรถไว้ทุกบาน จะช่วยให้อากาศภายในรถถ่ายเทมากขึ้น แต่ก่อนที่จะเปิดกระจกหรือเปิดประตูรถ เราอย่าลืมปิดระบบแอร์ด้วยนะครับ

If-Car-Air-Conditioner-Bad-Smell

3. เปลี่ยนไส้กรองอากาศ

สำหรับไส้กรองอากาศจะมีหน้าที่ช่วยดักจับฝุ่น เศษละอองต่างๆ ไม่ให้เข้าสู่ระบบแอร์ แต่ทั้งนี้ไส้กรองอากาศจะมีอายุการใช้งานประมาณ 5,000 กิโลเมตร ดังนั้น เราควรทำความสะอาดไส้กรองอากาศ หรือทางที่ดีเปลี่ยนไส้กรองอากาศใหม่ซะเลย จะช่วยป้องกันไม่ให้สิ่งสกปรกไปเกาะที่ไส้กรองอากาศ

4. ล้างแอร์รถยนต์

ในกรณีที่เรายังได้กลิ่นเหม็นอับ หรือกลิ่นไม่พึงประสงค์ติดอยู่ในรถ แนะนำให้นำรถเข้าศูนย์หรืออู่ซ่อมรถใกล้บ้าน เพื่อล้างแอร์มาทำความสะอาดดีกว่า เพราะถ้าจะให้ล้างแอร์เองคงจะยาก แล้วอีกอย่างเราอาจจะทำไม่ถูกต้องด้วย ซึ่งการล้างแอร์ปกติเราควรเปลี่ยนทุกๆ 30,000 กิโลเมตรครับ

If-Car-Air-Conditioner-Bad-Smell

5. ใช้สมุนไพรอ่อนๆ มาช่วยลดกลิ่น

นอกจากนี้เรายังสามารถใช้สมุนไพรอ่อนๆ มาเป็นตัวช่วยได้นะ เช่น กลิ่นมะกรูด กลิ่นดอกลาเวนเดอร์ กลิ่นมะลิ เป็นต้น เพราะความหอมจากธรรมชาติจะช่วยดูดซับกลิ่นไม่พึงประสงค์ต่างๆ ภายในรถได้ดี แล้วไม่เป็นอันตรายต่อผู้ขับขี่ และผู้โดยสารในรถด้วย

แต่ไม่แนะนำให้ใช้น้ำหอมที่มีสารเคมีมาติดหน้ารถ เพราะสารเคมีเหล่านี้จะไปเกาะติดเครื่องกรองแอร์ ทำให้แอร์อุดตัน และแอร์พังในที่สุด ไม่เพียงเท่านั้น น้ำหอมติดรถยนต์จะมีสารเคมีทำให้เป็นอันตรายต่อสุขภาพ แนะนำให้ใช้เป็นสมุนไพรหรือดอกไม้ที่มีกลิ่นหอมแทนจะดีกว่า

พอเข้าสู่ในช่วงหน้าฝนแบบนี้ ยิ่งทำให้แอร์รถเหม็นอับชื้นง่ายขึ้น ทางที่ดีเราควรหมั่นตรวจเช็กระบบแอร์เป็นประจำ เปลี่ยนไส้กรองอากาศตามกำหนด แล้วที่สำคัญอย่าลืมทำความสะอาดรถยนต์ให้ถูกวิธี ก็จะช่วยป้องกันกลิ่นเหม็นอับภายในรถได้ ไม่ต้องคอยกังวลใจด้วยครับ

ขอบคุณข้อมูลจาก : frank.co.th ประกันที่รวดเร็ว เรียบง่าย และจริงใจกับคุณ

10-Very-Old-SRT-Train-Locomotive

พูดถึงเรื่องรถไฟไทยในบ้านเรา หลายคนอาจคาดไม่ถึงว่า มีประวัติอันยาวนานมากๆ ตั้งแต่ยุคก่อนรัชกาลที่ 5 ซะอีก

ในปี 2398 รัฐบาลสหราชอาณาจักร ให้ Sir John Bowring (เซอร์ จอห์น เบาริง) ผู้สำเร็จราชการเกาะฮ่องกง ที่ได้รับการแต่งตั้งเป็นอัครราชทูตผู้มีอำนาจเต็ม พร้อมด้วย Mr. Harry Smith Parkes (มิสเตอร์ แฮรี่ สมิท ปาร์ค) กงสุลเมืองเอ้หมึง เป็นอุปทูต เดินทางโดยเรือรบหลวงอังกฤษ เข้ามาเจรจาขอแก้ไขสนธิสัญญาทางราชไมตรีฉบับที่รัฐบาลอังกฤษที่อินเดีย ทำไว้กับรัฐบาลสยามเมื่อ 20 มิถุนายน 2369

พร้อมกับอัญเชิญพระราชสาส์น และเครื่องราชบรรณาการของสมเด็จพระนางวิคตอเรีย แห่งสหราชอาณาจักร ทูลเกล้าฯ ถวาย รัชกาลที่ 4 ด้วย อาทิ รถไฟจำลองย่อส่วนจากของจริง ประกอบด้วย รถจักรไอน้ำ และรถพ่วงครบขบวน เดินบนรางด้วยแรงไอน้ำแบบเดียวกับรถใหญ่ที่ใช้อยู่ในอังกฤษ (ขณะนี้รถไฟเล็ก เก็บรักษาไว้ที่พิพิธภัณฑ์สถานแห่งชาติ)

แต่รถไฟในบ้านเรา กว่าจะได้กำเนิดขึ้นจริงๆ ก็ในยุคของรัชกาลที่ 5 เนื่องมาจากนโยบายขยายอาณานิคมของอังกฤษและฝรั่งเศส แผ่มาครอบคลุมบริเวณแหลมอินโดจีน จึงต้องสร้างทางรถไฟขึ้นในประเทศเพื่อติดต่อกับมณฑลชายแดนก่อนอื่น เพื่อสะดวกแก่การปกครอง ตรวจตราป้องกันการรุกราน และเปิดภูมิประเทศให้ประชาชนพลเมืองเข้าบุกเบิกพื้นที่

พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว จึงทรงพระราชทานพระบรมราชานุมัติให้กระทรวงโยธาธิการ ว่าจ้าง Mr. G. Murray Campbell (จี. มูเร แคมป์เบลล์) สร้างทางรถไฟหลวงจากกรุงเทพฯ – นครราชสีมา เป็นสายแรก เป็นทางขนาดกว้าง 1.435 เมตร และได้เสด็จพระราชดำเนินประกอบพระราชพิธีกระทำพระฤกษ์ เริ่มสร้างทางรถไฟ ณ บริเวณย่านสถานีกรุงเทพ เมื่อ 9 มีนาคม 2434

จนกระทั่งแล้วเสร็จในปี 2443 รัชกาลที่ 5 จึงได้เสด็จพระราชดำเนินไปทรงเปิดการเดินรถสายนี้ เมื่อวันที่ 21 ธันวาคม 2443

แต่หลายคนมักชอบพูดถึงว่า รถไฟไทย (โดยเฉพาะตัวรถจักร) ใช้มาตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ 5 ซึ่งเป็นความเชื่อผิดๆ และออกไปแนวทางเสียดสีมากกว่า MR.CARRO จึงขอพาไปดูรถไฟของ รฟท. ที่ยังมีใช้การในปัจจุบันกัน ว่ายังมีเหลือใช้งานกันได้อยู่กี่รุ่นบ้าง

Davenport-500

1. Davenport 500HP

รถจักรดีเซลไฟฟ้า Davenport รุ่น 500 แรงม้า การรถไฟแห่งประเทศไทย ได้นำเข้ามาใช้งานเมื่อปี 2507 จำนวน 30 คัน หมายเลข 511 – 540 สร้างโดย บริษัท Davenport Locomotive Works ประเทศสหรัฐอเมริกา ราคาคันละ 1,164,816.56 บาท (ในตอนนั้น)

ใช้เครื่องยนต์ Caterpillard.397 500 แรงม้า น้ำหนักกดเพลา 12 ตัน การจัดวางล้อแบบ Bo-Bo วิ่งบนทางขนาดทาง 1 เมตร ทำความเร็วได้สูงสุด 82 กม./ชม.

มิติตัวรถยาว 9,893.2 มม. กว้าง 2,801.15 มม. สูง 3,848.1 มม. น้ำหนัก 48,124 กิโลกรัม

ปัจจุบันถูกตัดบัญชีไปเกือบหมดแล้ว จอดทิ้งอยู่ตามโรงรถจักร และในพื้นที่โรงงานรถไฟ คงและมีเหลือใช้งานสับเปลี่ยน ภายในย่านสถานีใหญ่ๆ ตามต่างจังหวัดเพียงไม่กี่คัน โดยคันที่ยังวิ่งได้ อาทิหมายเลข 527 เป็นต้น

GE-GEK

2. GE UM12C (GEK)

รถจักรดีเซลไฟฟ้า GE รุ่น UM12C หรือ GEK การรถไฟแห่งประเทศไทย ได้นำเข้ามาใช้งานเมื่อปี 2507 จำนวน 40 คัน หมายเลข 4001 – 4040 สร้างโดย บริษัท General Electric ประเทศสหรัฐอเมริกา ราคาคันละ 4,590,384.30 บาท (ในตอนนั้น)

เครื่องยนต์ตอนแรกนั้นใช้ KT38-L ภายหลังเปลี่ยนเป็นเครื่องยนต์ Cummins KT38-L ขนาด 38,000 ซีซี. 12 สูบ 2 เครื่องยนต์ 1320 แรงม้า ที่ 1,985 รอบ/นาที น้ำหนักกดเพลา 12.5 ตัน การจัดวางล้อแบบ Co-Co วิ่งบนทางขนาดทาง 1 เมตร ทำความเร็วได้สูงสุด 103 กม./ชม. (แต่ถูกกำหนดไว้ที่ 90 กม./ชม.)

มิติตัวรถยาว 16,288 มม. กว้าง 2,794 มม. สูง 3,753 มม. น้ำหนัก 86,500 กิโลกรัม *ปัจจุบัน 70.178 ตัน (เมื่อจอดนิ่ง) / 75.00 ตัน (ขณะทำขบวน)

และรุ่นที่สอง (ปี 2509) รถจักรหมายเลข 4041 – 4050 โดยทางสหรัฐอเมริกาจัดหามาทดแทนรถจักรดีเซลไฮดรอลิก Plymouth ที่การรถไฟฯ ได้รับมอบจากอเมริกามาก่อนหน้านี้ 10 คัน ซึ่งทางอเมริกาจะนำรถจักร Plymouth ไปใช้ต่อที่ประเทศเวียดนามใต้

รถจักรดีเซลไฟฟ้า GE ปัจจุบันยังคงใช้งานทำขบวนรถโดยสารของ รฟท. อยู่ แม้ว่าจะมีอายุการใช้งาน 50 กว่าปีแล้วก็ตาม แต่ก็ยังใช้งานได้ดี ทั้งทำขบวนรถโดยสาร รถสินค้า หรือรถสับเปลี่ยน โดยคงเหลือใช้การได้ทั้งหมด 45 คัน และตัดบัญชีไป 5 คัน

Krupp

3. Krupp (KP)

รถจักรดีเซลไฮดรอลิก Krupp การรถไฟแห่งประเทศไทย ได้นำเข้ามาใช้งานเมื่อปี 2512 จำนวน 30 คัน หมายเลข 3101 – 3130 สร้างโดย บริษัท Krupp ประเทศเยอรมนี ราคาคันละ 4,530,907.06 บาท (ในตอนนั้น)

เครื่องยนต์ตอนแรกนั้นใช้ MB.835D6 (MTU) 12 สูบ 2 เครื่องยนต์ 1500 แรงม้า การจัดวางล้อแบบ Bo-Bo วิ่งบนทางขนาดทาง 1 เมตร ทำความเร็วได้สูงสุด 90 กม./ชม.

มิติตัวรถยาว 12,800 มม. กว้าง 2,800 มม. สูง 3,875 มม. น้ำหนัก 55,000 กิโลกรัม

สำหรับความพิเศษของรถจักร Krupp ด้วยการทำงานแบบดีเซลไฮดรอลิค ทำให้สามารถวิ่งลุยน้ำท่วมทางรถไฟที่สูงเกินกว่า 10 ซม. ได้ ปัจจุบันเหลือวิ่งได้แค่เพียงคันเดียว คือหมายเลข 3118 เนื่องจากปัญหาการซ่อมแซม อะไหล่ที่หายาก ทำให้รถจักรรุ่นนี้ ถูกตัดบัญชีไปจนเกือบหมด และบางส่วนถูกขายให้บริษัทก่อสร้างทางรถไฟของประเทศมาเลเซีย ซื้อไปซ่อมแซมใช้งานต่อ

Alsthom-ALS

4. Alsthom AD24C (ALS)

รถจักรดีเซลไฟฟ้า Alsthom รุ่น AD24C หรือ ALS (ย่อมาจาก Alsthom France) การรถไฟแห่งประเทศไทย ได้นำเข้ามาใช้งานเมื่อเดือนกรกฎาคม – ธันวาคม 2517 (หมายเลข 4101 – 4130) และมกราคม – มิถุนายน 2518 (หมายเลข 4131 – 4154) จำนวน 54 คัน หมายเลข 4101 – 4154 สร้างโดย บริษัท Alsthom Atlantique ประเทศฝรั่งเศส ราคาคันละ 11,060,252.11 บาท (ในตอนนั้น) ซึ่งเป็นการจัดซื้อเพื่อทดแทนรถจักรไอน้ำ ที่กำลังทยอยปลดระวาง

เครื่องยนต์ตอนแรกนั้นใช้ SEMT Pielstick 16PA4V185VG ขนาด 70,000 ซีซี. 16 สูบ เครื่องยนต์เดียว ให้แรงม้าสูงสุด 2,400 แรงม้า ที่ 1,500 รอบ/นาที น้ำหนักกดเพลา 13.75 ตัน การจัดวางล้อแบบ Co-Co วิ่งบนทางขนาดทาง 1 เมตร ทำความเร็วได้สูงสุด 95 กม./ชม.

ภายหลังเปลี่ยนเป็นเครื่องยนต์หลากหลายแบบ เริ่มตั้งแต่ของ Ganz ตอนหลังจึงเปลี่ยนมาเป็น MTU 16V4000R41R, Caterpillar 3516BHD แต่ก็ยังมีคันที่ใช้เครื่องยนต์เดิมอยู่เพียงไม่กี่คัน

มิติตัวรถยาว 16,258 มม. กว้าง 2,800 มม. สูง 3,880 มม. น้ำหนักตัวรถ 77.50 ตัน (เมื่อจอดนิ่ง) / 82.50 ตัน (ขณะทำขบวน)

รุ่นนี้นับได้ว่าเป็นรถจักรรุ่นยอดนิยมมากที่สุดของ รฟท. เพราะมีการสั่งผลิตถึง 4 ครั้งด้วยกัน และเป็นที่นิยมในการใช้งานแทบทุกรูปแบบ ตั้งแต่การทำขบวนรถธรรมดา รถเร็ว รถด่วน หรือรถสินค้า รถน้ำมัน เป็นต้น

Alsthom-AHK

5. Alsthom AD24C (AHK)

รถจักรดีเซลไฟฟ้า Alsthom รุ่น AD24C หรือ AHK (ย่อมาจาก Alsthom Henshel Krupp) การรถไฟแห่งประเทศไทย ได้นำเข้ามาใช้งานเมื่อปี 2523 – 2524 จำนวน 30 คัน หมายเลข 4201 – 4230 สร้างโดย บริษัท Alsthom, Henschel/Krupp ประเทศฝรั่งเศส และเยอรมนี โดยได้รับลิขสิทธิ์โครงประธาน (แชสซีส์) จาก Alsthom ราคาคันละ 23,541,744.98 บาท (ในตอนนั้น)

สำหรับมิติตัวรถ และรายละเอียดเครื่องยนต์ เหมือนกัน Alsthom (ALS) ทุกอย่าง เพียงแต่องค์ประกอบตัวรถภายนอก มีความแตกต่างกันเพียงเล็กน้อยในบางจุดเท่านั้น เช่น ด้านหน้ามีช่องเกี่ยวให้เครนยก เข้าบริเวณด้านใน พร้อมทำความเร็วได้สูงสุดเป็น 100 กม./ชม. และบางคันได้เป็นไปใช้เครื่องยนต์ของ MTU 16V4000R41R และ Caterpillar 3516BHD

Alsthom-ALD

6. Alsthom AD24C (ALD)

รถจักรดีเซลไฟฟ้า Alsthom รุ่น AD24C หรือ ALD (ย่อมาจาก Alsthom Atlantique Dynamic Brake) การรถไฟแห่งประเทศไทย ได้นำเข้ามาใช้งานเมื่อปี 2526 จำนวน 9 คัน หมายเลข 4301 – 4309 สร้างโดย บริษัท Alsthom Atlantique ประเทศฝรั่งเศส ราคาคันละ 26,919,211.15 บาท (ในตอนนั้น)

สำหรับมิติตัวรถ และรายละเอียดเครื่องยนต์ เหมือนกัน Alsthom (ALS) ทุกอย่าง เพียงแต่องค์ประกอบตัวรถภายนอก มีความแตกต่างกันเพียงเล็กน้อยในบางจุดเท่านั้น เช่น ด้านหน้ามีช่องเกี่ยวให้เครนยก ติดตั้งออกบริเวณด้านนอก และบางคันได้เป็นไปใช้เครื่องยนต์ของ Caterpillar 3516BHD

Alsthom-ADD

7. Alsthom AD24C (ADD)

รถจักรดีเซลไฟฟ้า Alsthom รุ่น AD24C หรือ ADD (ย่อมาจาก Alsthom Atlantique Dynamic & Dual) การรถไฟแห่งประเทศไทย ได้นำเข้ามาใช้งานเมื่อปี 2528 จำนวน 20 คัน หมายเลข 4401 – 4420 สร้างโดย บริษัท Alsthom Atlantique ประเทศฝรั่งเศส ราคาคันละ 42,387,625.24 บาท (ในตอนนั้น)

สำหรับมิติตัวรถ และรายละเอียดเครื่องยนต์ เหมือนกัน Alsthom (ALS) ทุกอย่าง เพียงแต่องค์ประกอบตัวรถภายนอก มีความแตกต่างกันเพียงเล็กน้อยในบางจุดเท่านั้น เช่น ด้านหน้าบริเวณแค็บ มีราวเหล็กติดตั้ง และบางคันได้เป็นไปใช้เครื่องยนต์ของ MTU 16V4000R41R และ Caterpillar 3516BHD

Hitachi-HID

8. Hitachi 8FA-36C (HID)

รถจักรดีเซลไฟฟ้า Hiatchi รุ่น 8FA-36C หรือ HID (ย่อมาจาก Hitachi DualBrake) มีจำนวน 22 คัน หมายเลข 4501 – 4522 สร้างโดย บริษัท Hitachi ที่โรงงาน Mito ประเทศญี่ปุ่น ราคาคันละ 75,059,743 บาท (ในตอนนั้น)

เริ่มทำการสร้างรถในสายการผลิตของโรงงานประมาณ เดือนตุลาคม 2535 กำหนดแล้วเสร็จครบถ้วนประมาณเดือนตุลาคม 2536 และรถจักร 4 คันแรก (4501 – 4504) กำหนดส่งเรือถึงประเทศไทยประมาณเดือน กรกฎาคม 2536

เครื่องยนต์เป็นแบบ KTTA50-L ขนาด 8,000 ซีซี. 16 สูบ 2 เครื่องยนต์ 1,430 แรงม้า ที่ 1,800 รอบ/นาที (ปัจจุบันได้มีการลด Stage Turbo เหลือแค่ 1250 แรงม้า X 2 และเปลี่ยนรหัสเครื่องยนต์เป็น KTA-50L เหมือน GEA) น้ำหนักกดเพลา 15 ตัน การจัดวางล้อแบบ Co-Co วิ่งบนทางขนาดทาง 1 เมตร ทำความเร็วได้สูงสุด 100 กม./ชม.

มิติตัวรถยาว 19,900 มม. กว้าง 2,780 มม. สูง 3,870 มม. น้ำหนัก 86.50 ตัน (เมื่อจอดนิ่ง) / 90.00 ตัน (ขณะทำขบวน)

รถจักรดีเซลไฟฟ้า Hitachi ปัจจุบันยังคงใช้งานทำขบวนรถโดยสาร และขบวนรถสินค้าของ รฟท. อยู่ โดยปัจจุบันถูกตัดบัญชีไป 1 คัน

GE-GEA

9. GE CM22-7i (GEA)

รถจักรดีเซลไฟฟ้า GE รุ่น CM22-7i หรือ GEA (ย่อมาจาก General Electric Airbrake) การรถไฟแห่งประเทศไทย ได้นำเข้ามาใช้งานเมื่อปี 2538 จำนวน 38 คัน หมายเลข 4523 – 4560 สร้างโดย บริษัท General Electric Transportation Systems ประเทศสหรัฐอเมริกา ราคาคันละ 54,350,498 บาท (ในตอนนั้น)

เครื่องยนต์ใช้ของ Cummins KTA50-L ขนาด 5,000 ซีซี. 16 สูบ 2 เครื่องยนต์ 1,250 แรงม้า ที่ 1,800 รอบ/นาที X 2 น้ำหนักกดเพลา 15 ตัน การจัดวางล้อแบบ Co-Co วิ่งบนทางขนาดทาง 1 เมตร ทำความเร็วได้สูงสุด 100 กม./ชม.

มิติตัวรถยาว 19,355 มม. กว้าง 2,820 มม. สูง 3,635 มม. น้ำหนัก 80.60 ตัน (จอดนิ่ง) / 86.50 ตัน (ขณะทำขบวน)

รถจักรดีเซลไฟฟ้า GE ปัจจุบันยังคงใช้งานทำขบวนรถโดยสาร และรถสินค้าของ รฟท. มีตัดบัญชีไป 2 คัน

CSR-Qishuyan-U20

10. CSR Qishuyan U20 (SDA3)

รถจักรดีเซลไฟฟ้า CSR Qishuyan รุ่น U20 (SDA3) การรถไฟแห่งประเทศไทย ได้สั่งรถจักรจากประเทศจีนเป็นครั้งแรก และนำเข้ามาใช้งานเมื่อเดือนมกราคม 2558 (หมายเลข 5101 – 5102) และเมษายน-มิถุนายน 2558 (หมายเลข 5103 – 5120) จำนวน 20 คัน หมายเลข 5101 – 5120 สร้างโดย บริษัท CRRC Qishuyan ประเทศจีน

ซึ่ง รฟท. ได้ลงนามจัดซื้อกับทาง บริษัท ป่าไม้สันติ จำกัด (ปัจจุบันเปลี่ยนชื่อเป็น บริษัท ซานโฟโก้อินเตอร์เนชันแนล จำกัด) เมื่อวันที่ 25 มิ.ย. 2556 มูลค่า 3,300 ล้านบาท!

เครื่องยนต์ใช้ของ Caterpillar C175-16 ACERT ขนาด 5,000 ซีซี. 16 สูบ 2 เครื่องยนต์ 3,800 แรงม้า (ใช้จริง 3,200 แรงม้า) น้ำหนักกดเพลา 20 ตัน การจัดวางล้อแบบ Co-Co วิ่งบนทางขนาดทาง 1 เมตร ทำความเร็วได้สูงสุด 120 กม./ชม.

มิติตัวรถยาว 20,490 มม. กว้าง 2,836 มม. สูง 4,000 มม. น้ำหนัก 120 ตัน

ปัจจุบันนับว่าเป็นรถจักรดีเซลรุ่นล่าสุดของ รฟท. ที่ใช้งานอยู่ในขณะนี้ เน้นใช้ในการขนสินค้าเป็นหลัก แต่ก็มีปัญหาตรงที่อะไหล่รอนาน ใช้เวลาซ่อมนาน ทั้งที่อยู่ในระยะรับประกัน เจอปัญหากำลังลากจูงต่ำ ปั๊มน้ำมันเชื้อเพลิงชำรุด หรือ Traction Motor Pinion ชำรุด เป็นต้น

*หมายเหตุ 10 อันดับ รถไฟใช้งานนานสุดของ รฟท. เป็นข้อมูล ณ เดือนกันยายน 2563

Carro Express ขายรถกับคาร์โร อยากขายรถ ขายรถด่วน

ถ้าเบื่อรอรถไฟแล้ว อยากซื้อรถใหม่ แต่มีงบไม่พอ หรืออยากขายรถเก่าออกแบบไวที่สุด ได้เงินเร็วที่สุด เพื่อนำเงินไปโปะรถคันใหม่ ก็ให้ CARRO เป็นผู้ช่วยมืออาชีพของคุณ … มาขายรถกับทาง CARRO Express ได้ที่ https://th.carro.co/sell-car/express

CARRO Automall แนะนำ Toyota Fortuner ยอดรถอเนกประสงค์ ลุยได้ทุกฤดู!

หรืออยากซื้อรถมือสองสภาพเยี่ยม ราคาสบายๆ และมั่นใจได้ในเรื่องคุณภาพทุกคัน CARRO Automall แหล่งรวมรถมือสองคุณภาพเยี่ยมผ่านระบบออนไลน์ ตอบโจทย์คุณด้วยคอนเซปต์ “click.buy.drive.” คุณสามารถจองรถออนไลน์ ได้ในเวลา 1 นาที!

ซึ่ง CARRO Automall เรามีรถให้คุณเลือกมากมาย รถทุกคันผ่านการตรวจสภาพโดย CARRO Certified อย่างละเอียดแบบ Double Check มากกว่า 160 จุด, การันตีคืนเงินภายใน 5 วัน, รับประกันเครื่องยนต์และเกียร์ 1 ปี, รับประกันไม่กรอไมล์ และไม่ประสบอุบัติเหตุหนัก ไฟไหม้ หรือน้ำท่วม พร้อมรับประกันคุณภาพรถ 1 ปี หรือ 30,000 กิโลเมตร!

อีกทั้งยังมีเทคโนโลยี “360 View & Sound Engine Analysis” เลือกชมรถยนต์เสมือนจริงออนไลน์รายแรกในไทย ทั้งภาพและเสียงในรูปแบบ 360 องศา รวมถึงมีเทคโนโลยีสนับสนุนฝ่ายขาย ทั้ง Digital Device ที่เชื่อมต่อกับ Digital Screen นำเสนอสิ่งที่ลูกค้าต้องการ และจัดการเรื่องเอกสารให้กับลูกค้าให้ตั้งแต่ต้นจนจบ บวกกับ Online Viewing Service ที่ลูกค้าสามารถวิดีโอคอล ตรวจสภาพรถยนต์คันที่สนใจได้แบบเรียลไทม์ ซื้อรถคุณภาพเยี่ยม ต้องที่ CARRO Automall สิ!

หรือถ้าหากสนใจรถรุ่นไหนอยู่ แต่ยังหาที่ถูกใจไม่ได้ เรายินดีหาให้! เพียงแค่กรอกเบอร์โทรศัพท์ ชื่อยี่ห้อ / รุ่นรถ ที่คุณต้องการก็ได้เช่นกันครับ อีกทั้งยังสามารถ Inbox เข้ามาสอบถามรายละเอียดได้ที่ Facebook -> CARRO Automall Thailand โทร. 02-508-8690 หรือทาง Line @carroautomall ครับ

รูป และแหล่งที่มาบางส่วนจาก: