ประวัติ Plymouth Superbird : นี่คือ Muscle Car ที่จับเจ้า Road Runner มาใส่พลังสูง!
รถอเมริกันในยุค 60 เริ่มทิ้งห่างความเป็นรถยุคอวกาศจากปลายยุค 50 เข้าหาสู่ความเหลี่ยมและความใหญ่โตอลังการมากขึ้น ในขณะเดียวกันก็ได้พัฒนารถในรูปแบบ Pony Car และ Muscle Car เอาใจคนชอบรถสปอร์ต รวมไปถึงรถที่มีเครื่องยนต์ใหญ่โตมากๆ แบบฉบับ “มัดกล้าม” สไตล์อเมริกันจริงๆ ที่มีในบ้านเราสมัยนั้นก็มีนำเข้ามาใช้ และขายกันพอสมควร
วันนี้ผมนึกถึงเกมส์ Gran Turismo 2 ที่เคยเล่นกันตั้งแต่เกือบๆ 20 ปีที่แล้ว กับรถแบรนด์ “Plymouth” (พลีมัธ) ซึ่งพ้องกับชื่อเมืองของอังกฤษ และใน USA ที่ก่อตั้งแบรนด์นี้ขึ้นมาในปี 1928 เพื่อสู้กับรถตลาดอย่าง Chevrolet และ Ford แต่ Chrysler ผู้เป็นเจ้าของแบรนด์ก็ได้ตัดสินใจปิดตัวลงไปในปี 2001 เพื่อลดความซ้ำซ้อนของการทำรถยนต์ในตลาด
สำหรับเจ้า Plymouth Superbird ที่ผมจะเล่าให้ฟังกันในวันนี้ ที่จริงมีชื่อเต็มๆ ว่า Plymouth Road Runner Superbird เพราะว่า Plymouth Superbird แตกรุ่นมาจาก Plymouth Road Runner ที่ผลิตขึ้นในช่วงปี 1968 – 1980 กับทั้งหมด 3 เจเนอเรชั่นนั่นเอง
คำว่า “Road Runner” นั้น เป็นการซื้อลิขสิทธิ์มาจากตัวการ์ตูน Road Runner ของ Warner Bros. ด้วยเงินถึง 50,000 ดอลล่าร์สหรัฐ ซึ่งเป็นนกฝีเท้าจัดที่เจ้า Wile E. Coyote หรือ The Coyote ไม่สามารถไล่จับได้ซะที อีกทั้งเสียงแตรก็ยังลอกเลียนแบบเสียงของเจ้า Road Runner อีกด้วย ซึ่งใช้เงินในการพัฒนาถึง 10,000 ดอลล่าร์สหรัฐ … Beep Beep น่ารักไม่เหมือนใคร
Plymouth Superbird เป็นการพัฒนาต่อเนื่องบนพื้นฐานของ Road Runner เจนเนอเรชั่นแรก โดยตัวรถพัฒนาขึ้นมาเพื่อใช้ในการสานต่อความเร็วในสนามแข่ง NASCAR ต่อจาก Dodge Charger Daytona ที่สามารถพิชิตคู่ปรับอย่าง Ford Torino และ Mercury Cyclone ลงได้
ซึ่งเป้าหมายของ Superbird คือ การพิฆาตคู่ปรับใหม่อย่าง Ford Torino Talladega และก็ทำได้สำเร็จเสียด้วย แถมยังดึงนักแข่งฝีมือเยี่ยมอย่าง Richard Petty หรือเจ้าของฉายา The King ให้กลับมาสู่อ้อมอกของ Plymouth อีกครั้ง หลังจากหนีไปอยู่กับ Ford มาร่วมปี
ตัวรถรุ่นจำหน่ายจริงถูกพัฒนาขึ้นมาในปี 1970 พร้อมๆ กับลงแข่ง NASCAR ในปีเดียวกันนั้น ซึ่งแม้ว่าจะแชร์พื้นฐานร่วมกับ Road Runner เจนเนอเรชันที่ 1 แต่ว่าหน้าตาแตกต่างกันมาก ด้วยการออกแบบที่เรียกว่า NoseCone ที่ยื่นยาวและมากับไฟหน้าแบบ Pop-Up
แต่จุดเด่นจริงๆ นั่นคือ สปอยเลอร์หลังทรงสูง ที่ถูกตั้งฉายาว่า Goal Post หรือ เสาโกล์ของอเมริกันฟุตบอล และถือเป็นสไตล์การออกแบบของ Superbird ในยุคนั้นนี่สุดๆ สำหรับวงการรถยนต์อเมริกัน
ในเมื่อได้รับการยอมรับว่าเป็นหนึ่งใน Muscle Car รุ่นดัง จึงต้องใช้เครื่องยนต์ V8 ขนาดใหญ่ในตระกูล Hemi ชื่อดังของเครือไครสเลอร์ ซึ่งเป็นบริษัทแม่ของ Plymouth แน่นอน
โดยมีให้เลือกทั้งแบบ 426 Hemi V8 425 แรงม้า ซึ่งมีการผลิตออกมาเพียง 135 คันเท่านั้น และเครื่องยนต์ราคาประหยัดอย่าง 440 Super Commando V8 375 แรงม้า และ 440 Super Commando Six Barrel V8 390 แรงม้า
สำหรับจำนวนการผลิต ตามกฎของ NASCAR ในปี 1969 รถยนต์ที่จะเข้าร่วมได้จะต้องมีการผลิตขายในตลาดเพียง 500 คัน หรือเพียงพอต่อความต้องการในตลาด แต่เมื่อเข้าถึงปี 1970 กฎนี้ถูกเปลี่ยนไป โดยระบุว่าผลิต 1 คัน สำหรับขาย 1 ดีลเลอร์ ในสหรัฐอเมริกา นั่นเท่ากับว่าในตอนนั้น Superbird จึงถูกผลิตออกมาขายเพียง 1,920 คันเท่านั้นเอง และอีก 34 – 47 คัน ผลิตส่งขายในดีลเลอร์ประเทศแคนาดา ปัจจุบันเชื่อว่ามี Plymouth Superbird เหลือวิ่งได้บนท้องถนนแค่ประมาณ 1,000 คันเท่านั้น
จึงไม่ต้องแปลกใจเลยว่า Plymouth Superbird กลายเป็นของสะสมราคาแพงสำหรับคนชอบรถอเมริกันไปแล้ว ด้วยค่าตัวที่อยู่ระหว่าง 100,000 – 300,000 เหรียญสหรัฐฯ ขึ้นอยู่กับสภาพ และความพิเศษของคันนั้นๆ
ส่วนใครที่อยากขายรถ ไม่ว่าจะเป็นรถบ้าน รถมือสอง ก็สามารถปรึกษากับทางเราดูก่อนได้ เพียงแค่คุณขายรถคันเดิมกับ CARRO ได้ ง่ายๆ ได้เงินไว! กับ CARRO Express เพียงแค่คลิก https://th.carro.co/sell-car/express หรือสามารถ Inbox มาขอรายละเอียดได้ที่ Facebook CARRO Thailand
หรือจะ Add Line สอบถามรายละเอียดได้ที่ @Carrothailand หรือคลิกที่นี่ครับ —>
แหล่งที่มาบางส่วนจาก:
- Wikipedia
- Motortrivia