CarroxGobear-May

เมื่อเพื่อนๆซื้อรถมาแล้ว สิ่งจำเป็นที่เพื่อนๆต้องทำเลยก็คือการหาอู่ซ่อมรถที่ไว้วางใจได้ ซึ่งจะเป็นผู้คอยดูแลรถยนต์ของเพื่อนๆ ทั้งการดูแลรถยนต์ ตรวจเช็กรถยนต์ประจําปี และการซ่อมแซมในรายละเอียดปลีกย่อยต่างๆ

หลายๆคนน่าจะเคยสงสัย และไม่แน่ใจว่าควรจะเลือกส่งรถซ่อมกับอู่ทั่วไปแถวบ้าน หรือส่งรถเข้าศูนย์บริการซ่อมดี พี่มีแนะนำเลยว่า ให้ดูจุดประสงค์การซ่อมรถ งบประมาณของเพื่อนๆ แล้วเลือกว่าแบบไหนจะเหมาะกว่ากัน เพราะอู่ซ่อมรถทั่วไปกับศูนย์ซ่อมรถก็มีข้อดีที่แตกต่างกันไป ไปดูกันเลยครับ ว่าแบบไหนถึงจะเหมาะกับรถยนต์ของคุณ

ศูนย์ซ่อมรถ เลือกแบบไหนดี

ข้อดีของศูนย์ซ่อมรถ

 

  1. ไม่ละเมิดเงื่อนไขการรับประกันแน่นอน

 

ถ้าหากเพื่อนๆซื้อรถยี่ห้อนั้นๆมา แล้วนำไปเข้าศูนย์ซ่อมรถของรถยี่ห้อนั้นๆ ก็แทบไม่ต้องคิดมากเรื่องการรับประกันเป็นโมฆะเลยครับ เพราะแน่นอนว่า ศูนย์ซ่อมรถจะทำการซ่อมรถได้มาตรฐานแบรนด์ แล้วถ้าหากเกิดอะไรขึ้นมา ศูนย์จำหน่ายรถก็ไม่สามารถอ้างได้ว่าเป็นเพราะเพื่อนๆเอารถไปซ่อมที่อู่ซ่อมรถอื่นนั่นเอง

 

  1. เข้าใจเทคโนโลยี ใหม่ๆของรถ

โดยในปัจจุบัน รถยี่ห้อต่างๆล้วนแข่งกันออกเทคโนโลยีล้ำใส่เข้ามาในรถไปเรื่อยๆ ทำให้ถ้าหากรถของเพื่อนๆเป็นรถรุ่นใหม่ๆ การหาอู่ซ่อมรถที่เป็นศูนย์ซ่อมของแบรนด์เองก็จะอุ่นใจได้มากกว่า เพราะศูนย์ซ่อมเหล่านี้จะรู้ไส้รู้พุงถึงระบบรถยนต์แบรนด์ของตัวเองเป็นอย่างดี ถ้าหากเพื่อนๆนำรถยนต์รุ่นใหม่ๆไปซ่อมที่อู่ทั่วไป ช่างก็อาจจะไม่ได้มีความรู้หรืออัพเดตเพียงพอ ทันต่อเทคโนโลยีใหม่ๆเหล่านี้ครับ

 

  1. ขายต่อได้ราคาดี

นั่นเป็นเพราะเวลาเพื่อนๆจะขายต่อรถยนต์ จะต้องมีการเช็กประวัติการดูแลรถยนต์อย่างละเอียดและดูว่าเพื่อนๆนำรถไปซ่อมที่ไหนบ้าง หากรถเพื่อนๆมีประวัติว่าซ่อมที่ศูนย์ซ่อมของแบรนด์มาตลอด ก็ถือว่าเป็นประวัติที่ดีและเชื่อใจได้ ทำให้ราคาขายรถยนต์มือสองสูงขึ้นไปอีกครับ

 

  1. ราคาคุ้มค่าคุณภาพ

หลายๆคนอาจเข้าใจผิดว่า การนำรถส่งเข้าศูนย์ซ่อมจะต้องมีราคาแพงกว่าอู่ซ่อมรถทั่วไปแน่นอน เพราะดูมีความโปรมากกว่า ราคาที่สูงกว่านิดหน่อยนี้ทำให้เพื่อนๆได้คุณภาพการบริการที่ได้มาตรฐาน อาจจะดีกว่าการนำไปซ่อมที่อู่ทั่วไปแล้วรถเสียบ่อยๆจนต้องกลับมาซ่อมใหม่เรื่อยๆ นะครับ

ศูนย์ซ่อมรถ เลือกแบบไหนดี

ข้อดีของอู่ซ่อมรถ

  1. ค่าแรงถูกกว่า

นี่คือข้อได้เปรียบสำคัญของการนำรถเข้าอู่ซ่อมรถทั่วไปเลยนะครับ ด้วยความที่ค่าแรงถูกกว่าทำให้เพื่อนๆเสียค่าใช้จ่ายน้อยกว่า แต่เพื่อนๆก็จะต้องคอยดูให้ดีว่าทางอู่ใช้อะไหล่ น้ำมัน และไส้กรองของแท้ โดยยอมจ่ายราคาเต็มสำหรับสิ่งของเหล่านี้ แล้วได้ประโยชน์สำหรับค่าแรงที่ถูกลงจะดีกว่านั่นเองครับ การใช้บริการอู่ซ่อมรถทั่วไปจึงเหมาะกับงานดูแลรถยนต์ที่ไม่ได้ซับซ้อนมากนัก อู่ที่ไหนก็สามารถทำได้

 

  1. การรับประกันไม่เป็นโมฆะเสมอไป

มักมีหลายๆคนที่กลัวว่าการนำรถเข้าอู่ซ่อมรถทั่วไปแทนการเข้าศูนย์ซ่อมจะทำให้การรับประกันเป็นโมฆะทันที แต่นั่นไม่ใช่เรื่องจริงครับ ถ้าหากเพื่อนๆ เพียงแค่ให้อู่เหล่านี้ช่วยเปลี่ยนถ่ายน้ำมันเครื่องหรือไส้กรอง อันเป็นงานเล็กๆน้อยๆ ก็จะไม่มีผลกระทบต่อการรับประกันรถยนต์แต่ละอย่างใดครับ

 

  1. มีอู่ซ่อมรถเฉพาะด้าน

นี่ก็เป็นอีกข้อดีที่ศูนย์ซ่อมรถอาจจะทำไม่ได้ เพราะศูนย์ซ่อมรถโดยทั่วไปจะมีมาตรฐานในการซ่อมที่เป็นแบบแผนเดียวกันหมด หากเพื่อนๆต้องการซ่อมรถ ที่ต้องใช้ความเชี่ยววชาญเฉพาะด้าน ในบางครั้งศูนย์ซ่อมรถก็อาจจะทำไม่ได้ แต่อู่บางแห่งอาจมีการบอกกันปากต่อปากว่าที่นี่เชี่ยววชาญด้านนี้เป็นพิเศษ สามารถเลือกใช้อู่เหล่านี้ได้เช่นกันครับ

 

ดังนั้นแล้ว ก่อนที่เพื่อนๆจะเลือกอู่ซ่อมรถ ก็ให้ดูว่าจุดประสงค์การซ่อม คุณภาพ และงบประมาณแบบไหนถึงจะเหมาะกับรถยนต์ของเพื่อนๆนั่นเองครับ หากเพื่อนๆเลือกอู่ซ่อมรถได้แล้วแต่ยังไม่รู้ว่าจะเลือกประกันรถยนต์ของอะไรดี ก็เข้ามาที่เว็บไซต์โกแบร์เพื่อเลือกประกันรถยนต์ออนไลน์ได้เลยนะครับ

ฟิล์มติดรถยนต์

การนำรถไปติดฟิล์มติดรถยนต์ หลายๆคนก็อาจจะไม่ค่อยแน่ใจว่าควรเลือกฟิล์มติดรถยนต์แบบไหนเพราะมีให้เลือกหลากหลายแบบมาก ทั้งนี้ทั้งนั้น การเลือกฟิล์มติดรถยนต์ ค่อนข้างเป็นตัวเลือกที่แล้วแต่ความชอบของบุคคลมากๆ เพื่อนๆก็จะต้องดูด้วยว่าฟิล์มแต่ละแบบมีคุณภาพคงทนมากน้อยแค่ไหน

ในวันนี้ พี่หมีจึงนำเอาประเภทของฟิล์มติดรถยนต์ยนต์ทั้ง 4 ประเภทมาฝากกัน เพื่อดูว่าในแต่ละแบบมีคุณสมบัติอะไรและมีข้อดีข้อเสียแตกต่างกันอย่างไร เป็นตัวช่วยเพื่อนๆสามารถเลือกฟิล์มติดกระจกที่เหมาะกับรถ และ lifestyle ของเพื่อนๆได้จริงๆครับ ไปดูกันเลย

 

  1. ฟิล์มติดรถยนต์ธรรมดา (Dyed Car Tint)

 

ฟิล์มกรองแสงประเภทนี้ถือว่าเป็นฟิล์มที่มีราคาถูกที่สุด และมีคุณภาพเบสิคที่สุด โดยจะมีการแทรกชั้นเคลือบสีไว้ที่ระหว่างชั้นกาวใสและชั้นนอกกันรอยขีดข่วน เพื่อนๆสามารถเลือกระดับการปกป้องรังสียูวีได้ตั้งแต่ 5%-50% ครับ

ทำให้ข้อดีของฟิล์มติดรถยนต์ประเภทนี้ก็คือ มีราคาน่าคบ สามารถกันแสงยูวีได้ในระดับที่ถือว่าโอเค มีสีเข้มเมื่อมองจากภายนอก แต่อย่างไรก็ดี ฟิล์มประเภทนี้อาจจะหลุดลอกได้ตามกาลเวลา หรือมีฟองอากาศแทรกตัวเข้าไปด้านในทำให้กระจกรถยนต์ดูไม่สวย และด้วยคุณสมบัติที่จะดูดซับความร้อนจากแสงอาทิตย์ได้เพียงส่วนหนึ่ง ก็ยังดูดซับความร้อนได้ไม่มีประสิทธิภาพหากอยู่ในอากาศเมืองไทยครับ

 

  1. ฟิล์มปรอท (Metallic Car Tint)

ฟิล์มติดรถยนต์ประเภทนี้ จะแทรกแผ่นฟิล์มเคลือบไอโลหะไว้ที่ตรงกลาง ซึ่งจะมีความสามารถในการกันแสง uv และสะท้อนความร้อนออกไป โดยเมื่อติดฟิล์มลงบนรถยนต์แล้ว ฟิล์มกรองแสงแบบนี้จะมีหน้าตาคล้ายกระจกเงาที่คนข้างนอกจะมองเข้าไปในตัวรถไม่ได้เลยในเวลากลางวัน แต่กลางคืนจะสามารถมองเข้าไปได้

ฟิล์มชนิดนี้ สามารถกันแสงได้มากตั้งแต่ 60%-90% และกันความร้อนได้ตั้งแต่ 35%-90%

ข้อเสียของฟิล์มติดรถยนต์ประเภทนี้ก็คือ ลักษณะเงาวับด้านนอกอาจจะไม่ได้เข้ากับรสนิยมของคนทุกคน รวมถึงแผ่นฟิล์มเคลือบโลหะอาจจะเข้ามารบกวนสัญญาณโทรศัพท์มือถือ  GPS หรือสัญญาณวิทยุได้ครับ นอกจากนี้ก็จะมีราคาที่แพงกว่าฟิล์มกรองแสงธรรมดาแน่นอน

 

  1. ฟิล์มคาร์บอน (Carbon Car Tint)

ฟิล์มติดรถยนต์แบบคาร์บอนจะไม่ได้มีชั้นฟิล์มโลหะแทรกอยู่ ทำให้ไม่มีปัญหากับเรื่องการใช้โทรศัพท์มือถือหรือระบบ GPS โดยฟิล์มคาร์บอนจะมีลักษณะมืดและมีเนื้อด้าน เมื่อนำไปติดบนรถยนต์ทำให้ดูมีรสนิยม โดยฟิล์มคาร์บอนสามารถกันแสงอินฟราเรดได้ถึง 40% ทำให้ปกป้องรถจากความร้อนที่ผ่านเข้ามาทางหน้าต่าง และสามารถกันรังสี UVA และ UVB ได้มากถึง 99% แม้ข้อดีเยอะแยะขนาดนี้ แต่แน่นอนว่า ฟิล์มกรองแสงคาร์บอนย่อมมาพร้อมกับราคาที่สูงมากนั่นเองครับ

 

  1. ฟิล์มเซรามิค (Ceramic Car Tint)

ฟิล์มติดรถยนต์แบบเซรามิคจะเป็นการแทรกฟิล์มบางๆด้วยวัสดุเซรามิกเข้าไป ทำให้สามารถกันการแผ่รังสี UV ได้มากถึง 50%-70% กันความร้อนได้ 70% และกันแสงอินฟราเรดได้มากถึง 97%

ฟิล์มกรองแสงชนิดนี้ จะไม่สะท้อนเป็นกระจกเงา สีไม่ซีด ไม่กันสัญญาณโทรศัพท์และบล็อกรังสี UV ลดแสงสะท้อนได้เป็นอย่างดี อย่างไรก็ดีฟิล์มชนิดนี้ก็มีราคาแพงมากๆเช่นกันครับ

โดยในประเทศไทย มีกฎหมายข้อบังคับเรื่องการติดฟิล์มกรองแสงออกมาว่า เพื่อนๆจะสามารถติดฟิล์ม ติดรถยนต์ที่กระจกหน้าและหลังที่ความเข้มไม่เกิน 40% ส่วนกระจกข้างจะติดฟิล์มที่ความเข้มได้ไม่เกิน 60% เพื่อความปลอดภัยในการขับขี่นั้นเองครับ ทำให้ไม่ว่าเพื่อนๆจะเลือกสิ่งใด ก็ขอให้เน้นเรื่องความปลอดภัยไว้ก่อนด้วยนะครับ และถ้าจะให้ชัวร์ ให้เพื่อนๆทำประกันรถยนต์ติดไว้ จะได้อุ่นใจได้ตลอดเวลานั่นเอง โดยเพื่อนๆสามารถเข้ามาเช็คว่าประกันรถยนต์ชั้นไหนเหมาะกับตัวคุณได้ที่เว็บไซต์โกแบร์เลยนะครับ

CarroxGobear อ่านหนังสือในรถอย่างไร ให้ไม่เมารถ

สวัสดีค่ะเพื่อนๆ เชื่อว่าหลายคนที่กำลังอ่านบทความอยู่ ณ ตอนนี้ คงรู้สึกเสียดายเวลาไปนั่งรถเที่ยวกับคนอื่นแล้วต้องนั่งเบื่ออยู่ในรถ เพราะไม่สามารถจะอ่านหนังสือในรถได้เลยเนื่องจากเป็นคนเมารถง่าย

หรือถ้าเพื่อนๆเป็นหนอนหนังสือตัวยงอยู่แล้ว ก็คงเสียดายเสียดายเวลาที่อยู่บนรถเอาอย่างมากเลยใช่ไหมล่ะค่ะ แทนที่จะได้อ่านหนังสือดีๆ หรือแม้แต่นักเรียนนักศึกษาที่กำลังต้องเข้าสอบ ก็อดใช้เวลาตรงนี้ไปให้คุ้มค่าเพราะกลัวว่าจะเมารถ

เพื่อนๆทราบไหมค่ะว่า ปัญหาการอ่านหนังสือในรถที่ทำให้เพื่อนๆเมารถนั้น เกิดจากการที่การทำงานของประสาทรับรู้การมองเห็นและสมองไม่ไปในทางเดียวกัน เพราะดวงตาของเพื่อนๆจะส่งสัญญาณบอกสมองเสมอว่าเพื่อนๆไม่ได้เคลื่อนไหว ซึ่งขัดแย้งกับสภาพความเป็นจริงที่ประสาทสัมผัสส่วนอื่นๆ ทั้งหูชั้นใน กล้ามเนื้อ และข้อต่อ ล้วนบอกว่าเพื่อนๆกำลังเคลื่อนไหวอยู่บนรถ ทำให้สมองเกิดอาการสับสนและคลื่นไส้จนเกิดเป็นอาการเมารถขึ้น

แต่ถ้าหากเพื่อนๆยังคงอยากอ่านหนังสือในรถ วันนี้เราได้พี่หมีจาก GoBear มาบอก 7 วิธีดีๆกันไม่ให้เพื่อนๆเมารถมาฝากกันค่ะ ไปดูกันเลย

 

1) อย่าจมกับหนังสือนานๆ

ถ้าหากเพื่อนๆอยากอ่านหนังสือในรถได้ ก็อย่าพยายามพุ่งสายตาหรือใช้สายตามากเกินไปเป็นระยะเวลานาน แต่ให้เพื่อนๆลองละสายตา จากหนังสือออกมาดูวิวข้างนอกบ้างทุกๆ 10-30 วินาที แล้วให้มองโฟกัสไปที่วัตถุนิ่งๆชิ้นใดชิ้นหนึ่งบนถนน จะช่วยปรับลักษณะการมองเห็นให้เข้ากับสิ่งที่ร่างกายรู้สึกได้

โดยเพื่อนๆสามารถถือหนังสือให้สูงขึ้นมาอยู่ที่ระดับสายตา ก็จะช่วยลดอาการเมารถได้เช่นกัน หรือถ้าหากเริ่มรู้สึกเมารถระหว่างอ่านหนังสือในรถ ก็ให้จ้องมองออกไปนอกหน้าต่างหลายๆนาทีเลย หรือจะหลับตาลงแล้วเอามือปิดตาเอาไว้ก็ช่วยได้เช่นกันค่ะ

 

2) ลดความรู้สึกสั่นสะเทือนลง

หากเพื่อนๆอยากอ่านหนังสือในรถได้ ก็ให้ลองหาวิธีที่จะทำให้ร่างกายของเพื่อนๆรู้สึกไม่สั่นสะเทือนมาก เช่น การนั่งที่เบาะหน้าที่จะสั่นน้อยกว่าการนั่งที่เบาะหลัง เป็นการป้องกันอาการเมารถได้ดี การพิงศีรษะไปที่พนักของเบาะ เพื่อให้ศีรษะไม่เคลื่อนไหวมากนัก หรือการละสายตาไม่อ่านหนังสือเมื่อเพื่อนๆกำลังลงจากทางด่วนหรือจากสะพานที่รถเคลื่อนเร็วแบบวูบ

 

3) เปิดหน้าต่าง

หากเพื่อนๆอยากจะอ่านหนังสือในรถโดยไม่เมารถ ให้ลองเปิดหน้าต่างที่จะช่วยนำเอาอากาศบริสุทธิ์ข้างนอกเข้ามาถ่ายเทและทำให้เพื่อนๆสดชื่นขึ้น แต่เพื่อนๆก็ต้องถือหนังสือดีๆหน่อยนะคะ ไม่งั้นหน้าที่อ่านอยู่ก็อาจจะปลิวไปหมดได้

CarroxGobear อ่านหนังสือในรถอย่างไร ให้ไม่เมารถ

4) ทานอาหารเพียงเบาๆก่อนขึ้นรถ

ถ้าเพื่อนๆอยากอ่านหนังสือในรถได้แบบไม่มีปัญหา ก็พยายามอย่าทานอะไรหนักๆก่อนขึ้นรถ โดยเฉพาะอาหารมัน อาหารเผ็ด หรือแอลกอฮอล์ เพราะการที่เพื่อนๆรู้สึกอิ่มมากจะยิ่งทำให้รู้สึกคลื่นไส้และอยากอาเจียนได้มากกว่าปกติ นอกจากนี้ หากเพื่อนๆไม่ยอมทานอะไรเลยก็ไม่ควรเช่นกันนะคะ ทำให้เมาได้เช่นกัน จึงควรทานแต่พอดีให้ไม่อิ่มจนเกินไป

 

5) ทานของขบเคี้ยว

เพื่อนๆสามารถทานของขบเคี้ยวที่ช่วยลดอาการเมารถระหว่างอ่านหนังสือในรถได้ เช่น แครกเกอร์แบบแห้ง ที่จะช่วยดูดซับกรดในกระเพาะบางส่วน ลูกอมแบบแข็งโดยเฉพาะลูกอมมินต์ และเครื่องดื่มประเภทคาร์บอเนตที่จะทำให้กระเพาะรู้สึกดีขึ้น และมีเกลือแร่ช่วยให้รู้สึกมึนงงน้อยลง

 

6) อยู่ให้ไกลบุหรี่

เพราะรถที่มีกลิ่นบุหรี่หรือหากมีผู้โดยสารสูบบุหรี่บนรถ กลิ่นนั้นๆจะยิ่งทำให้เพื่อนๆเมารถระหว่างอ่านหนังสือในรถ เพราะเมื่อเพื่อนๆเกิดอาการเมาขึ้นมา จะยิ่ง sensitive กับกลิ่นต่างๆมากขึ้นและยิ่งทำให้เพื่อนๆรู้สึกแย่เข้าไปใหญ่นั่นเองค่ะ นอกจากบุหรี่แล้ว กลิ่นเหล่านี้ยังรวมไปถึงน้ำหอมปรับอากาศในรถด้วยนะคะ

CarroxGobear อ่านหนังสือในรถอย่างไร ให้ไม่เมารถ

7) ทานขิง

เป็นอีกวิธีธรรมชาติหนึ่งที่พี่หมีอยากให้ลอง นั่นก็คือการใช้สมุนไพรธรรมชาติในการรักษาอาการเมารถ นั่นคือขิง ที่มีฤทธิ์ช่วยขับลมและทำให้กระเพาะอาหารทำงานได้เป็นปกติ แม้จะยังไม่มีผลการวิจัยใดออกมาพิสูจน์ได้ว่าขิงจะช่วยลดอาการได้ แต่ก็คุ้มที่จะลองอยู่นะคะ โดยเพื่อนๆสามารถดื่มน้ำขิง, เต้าฮวย ขนมคุกกี้ขิง หรือของขบเคี้ยวที่มีขิงเป็นส่วนประกอบค่ะ

 

หวังว่าเคล็ดลับที่พี่หมีเอามาฝากจะช่วยให้เพื่อนๆลดอาการเมารถระหว่างอ่านหนังสือในรถกันได้บ้างนะคะ และนอกจากการดูแลตัวเองให้ปลอดภัยระหว่างขับขี่แล้ว ก็อย่าลืมดูแลรถยนต์ของเพื่อนๆด้วยการทำประกันรถยนต์ติดเอาไว้ด้วยนะคะ โดยเพื่อนๆสามารถเข้ามาเปรียบเทียบราคาประกันรถยนต์ได้ที่ GoBear.com/th เลยนะคะ

6-สิ่งต้องมีในรถ-ที่จะทำให้ชีวิตคุณดีขึ้น!

ของที่ต้องมีบนรถ ชีวิตจะดีขึ้น!

เพราะเวลาที่เราต้องใช้ไปบนท้องถนนในแต่ละวันนั้นกินเวลารวมกันแล้วก็หลายชั่วโมง ยิ่งถ้าคุณทำงานในเขตเมืองย่านธุรกิจ และมีบ้านอยู่ชานเมือง หรือเป็นอาชีพที่ต้องเดินทางอยู่เป็นประจำ เช่น เซลล์ หรือวิศวกรที่ขับไปดูไซต์งาน ระยะเวลาที่อยู่บนรถก็อาจจะนานกว่านั้นมาก จนรถอาจจะกลายเป็นหลังที่ 3 (รองจากที่พักอาศัยจริงๆ และที่ทำงาน) ไปซะแล้ว

ดังนั้น การเตรียมของที่จำเป็นให้พร้อมสำหรับการใช้ชีวิตอยู่บนรถจึงเป็นเรื่องสำคัญอย่างหนึ่งที่ไม่ควรมองข้ามไป วันนี้ Carro ได้พี่หมี GoBear จะมาบอกว่า “6 สิ่งต้องมีในรถ ที่จะทำให้ชีวิตคุณดีขึ้น!” กันค่ะ

1. เอกสารสำคัญต่างๆ

เอกสารสำคัญบางอย่างก็ควรพกติดรถไว้เสมอนะคะ เพราะเมื่อเกิดอุบัติเหตุขึ้น เอกสารเหล่านี้จะเป็นสิ่งจำเป็นในการให้ข้อมูลต่อตำรวจ และบริษัทประกันค่ะ

1) เล่มทะเบียน ควรถ่ายเอกสารหน้าเจ้าของรถกับหน้าที่เราทำการต่อภาษีล่าสุดเก็บไว้ ไม่ควรเก็บตัวจริงไว้กับรถเนื่องจากหากรถหายหรือถูกขโมย เล่มทะเบียนก็จะหายไปด้วย หากมีเจ้าหน้าที่ขอดูแล้วเราไม่มีสำเนาแสดงต่อเจ้าหน้าที่ อาจถูกยึดรถไว้ชั่วคราวเพื่อตรวจสอบ หรือต้องเสียค่าปรับตามพระราชบัญญัติรถยนต์ พ.ศ. 2522 อีกด้วยค่ะ

2) กรมธรรม์ประกันภัย หรือสำเนาการประกันภัยรถยนต์ที่คุณซื้อไว้ เพราะหากเกิดอุบัติเหตุขึ้นมาไม่ว่าเราจะขับไปชนหรือมีอีกฝ่ายมาชนเราก็ตาม นี่คือเอกสารจำเป็นที่ต้องใช้ค่ะ โดยควรเอาเก็บไว้ในที่ๆหาได้ง่ายจะได้หาเจอยามต้องใช้จริงค่ะ

3) ใบอนุญาตขับขี่ นี่ก็สำคัญสุดๆ ควรมีติดรถไว้เช่นกันค่ะ บางคนทำกระเป๋าสตางค์หาย หรือลืมพกไปด้วยบ่อยๆ ก็ใช้วิธีใส่ไว้ในรถนี่แหละ เพราะไม่รู็ว่าเราจะเจอด่านตรวจหรือโดนเรียกขอดูเมื่อไหร่ พกไว้อุ่นใจกว่าแน่นอน

อย่างไรก็ตามอธิบดีกรมขนส่งทางบก ได้แจ้งว่ากำลังทำแอปพลิเคชั่นใบขับขี่ดิจิตัลเพื่อให้ประชนชนสามารถโหลดมาใช้แทนใบขับขี่ได้ โดยจะผูกเข้ากับเบอร์โทรศัพท์ 1 ใบต่อ 1 เลขหมาย  เตรียมเริ่มใช้งานกลางเดือนมกราคม 2562 นี้ ก็ต้องคอยดูกันต่อไปค่ะ ว่าผลจะเป็นเช่นไร หากใช้งานจริงจะได้ผลดีหรือไม่

 

2. แบตเตอรีสำรองหรือ Power Bank

ถึงแม้ว่าเราจะสามารถชาร์จมือถือได้จากที่จุดบุหรี่ในรถก็จริง แต่การชาร์จมือถือในรถนั้นก็มีข้อควรระวังอยู่ นั่นคือกระแสไฟที่จ่ายมาอาจไม่สม่ำเสมอเท่าที่ควร ทำให้เกิดไฟกระชาก ส่งผลเสียทั้งกับแบตเตอรีรถยนต์

ซึ่งอาจทำให้อายุการใช้งานของแบตเตอรีสั้นลง รถสตาร์ทติดยาก และแบตโทรศัพท์มือถือของเราเองด้วย ส่วนช่องเสียบ USB นั้นแทบไม่ต้องพูดถึงเลยค่ะ เพราะกระแสไฟที่จ่ายผ่านทางนี้มีน้อยมาก ถ้าชาร์จโทรศัพท์เครื่องใหญ่หน่อยหรือแท็บเล็ตจะเห็นได้ว่าตัวเลขแบตแทบไม่กระดิกขึ้นมาเลย จึงเหมาะกับการเสียบ USB เพื่อฟังเพลงมากกว่าค่ะ

ดังนั้น การชาร์จจากพาวเวอร์แบงค์ จึงปลอดภัยกว่าแน่นอน แต่ทั้งนี้ก็ไม่ควรวางพาวเวอร์แบงค์ทิ้งไว้ในรถนานๆเช่นกัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อเพื่อนๆต้องจอดรถตากแดดเป็นเวลานาน เพราะอาจเกิดการระเบิดได้ค่ะ

 

3. เงินเหรียญ

การมีเงินเหรียญติดรถไว้ช่วยให้คุณอุ่นใจได้อย่างไม่น่าเชื่อค่ะ เพราะไม่ว่าจะขึ้นทางด่วน เติมลมยาง ให้ทิปเด็กพนักงานเฝ้าที่จอดรถ ซื้อพวงมาลัยหรือกล้วยแขกกลางสี่แยก หรือแม้กระทั่งล้างรถจากตู้แบบหยอดเหรียญก็ตาม นอกจากเศษเหรียญเหล่านี้แล้ว เพื่อนๆยังอาจพกแบงค์ย่อยๆ อย่างแบงค์ยี่สิบ หรือ ห้าสิบติดรถไว้บ้างก็ดีนะคะ แต่อย่าลืมเอาออกจากรถให้เรียบร้อยเวลาไปใช้บริการคาร์แคร์ล่ะ เดี๋ยวที่เก็บเอาไว้หายหมดจะหาว่าไม่เตือน

 

4. มินต์

ใช่ค่ะ อ่านไม่ผิดหรอก “มินต์” เนี่ยแหละ เพราะกลิ่นที่ดีจะช่วยเพิ่มความมั่นใจ ไม่ว่าจะเป็นในรถหรือกลิ่นปากก็ตาม คุณอาจพกลูกอมรสมินต์ปราศจากน้ำตาลไว้ในที่เก็บของหน้ารถหากกังวลเรื่องกลิ่นปาก ส่วนในรถที่เรามักจะเอาการบูรแขวนในรถนั้นอาจไม่ใช่ทางเลือกที่ดีนัก เพราะการบูรมีสารที่มีคุณสมบัติในการดูดความชื้น เมื่อระเหิดจะไปเกาะตรงช่องของเครื่องปรับอากาศ พอสะสมมากๆมากเข้าจะทำให้ช่องตัน คอมเพรสเซอร์แอร์ทำงานหนักมากขึ้น อาจถึงขั้นแอร์พังได้ค่ะ ถ้าหากคุณอยากให้อากาศในรถหอมสดชื่นแล้วล่ะก็อาจใช้เป็นน้ำหอมปรับอากาศรถยนต์กลิ่นมิ้นท์แทนได้ค่ะ

 

5. ชุดปฐมพยาบาล และอุปกรณ์ซ่อมรถ

เพราะเหตุฉุกเฉินไม่คาดฝันอาจเกิดขึ้นได้ทุกเวลา ดังนั้นคุณควรจะมีชุดปฐมพยาบาลติดรถไว้เผื่อในกรณีที่ต้องห้ามเลือก ทำแผล ไปจนถึงชุดยาสามัญประจำบ้านที่สามารถพกไว้ได้ เช่น ยาแก้ท้องเสีย ยาแก้ปวด ยาลดไข้

อย่างไรก็ตามหากเป็นประเภทยาต้องสังเกตด้วยนะคะ ว่าสีและกลิ่นของยามีการเปลี่ยนแปลงไปหรือไม่ ยาบางประเภทต้องเก็บอยู่ในขวดหรือซองสีชาเท่านั้น ไม่เหมาะกับการเก็บในที่ที่มีแดดจ้า โดยเฉพาะหากเราต้องจอดรถจากแดดเป็นกิจวัตร อาจทำให้ยาเสื่อมคุณภาพได้ ควรมีการเอามาตรวจเช็คอยู่เป็นประจำ

นอกจากนี้ยังอาจเพิ่มของกินอื่นๆที่เราคิดว่าจำเป็น เช่น น้ำเปล่า อาหารแห้งอาหารเพิ่มพลังงาน  ของขบเคี้ยวต่างๆติดไว้ สำหรับคนที่เป็นโรคกระเพาะด้วยก็ดีค่ะ

ในส่วนของอุปกรณ์ซ่อมรถนั้น สิ่งของที่จำเป็นต้องมีติดรถไว้ก็มีตั้งแต่ สายพ่วงแบตเตอรี่รถยนต์ ไฟฉาย ป้ายสามเหลี่ยมสะท้อนแสง ชุดปั๊มลมและอุดยางรั่วฉุกเฉิน ยางอะไหล่ สลิงหรือเชือกสำหรับลากรถ เป็นต้น

 

6. เพลย์ลิสต์เพลงโปรดของคุณ

เชื่อไหมค่ะว่า เพลง เป็นสิ่งหนึ่งที่ช่วนบรรเทาความตึงเครียดได้เป็นอย่างดี และยังมีประโยชน์ที่คุณคาดไม่ถึงเมื่อฟังขณะขับรถได้อีกด้วย โดยมีงานวิจัยการฟังเพลงขณะขับรถจากมหาวิทยาลัย Groningen มหาวิทยาลัยเก่าแก่ที่สุดในเนเธอร์แลนด์ระบุว่า อาสาสมัครอายุตั้งแต่ 19-25 ปีจำนวน 47 คน ได้รับคำสั่งให้เลือกเพลงที่จะนำมาฟังขณะขับรถด้วยตนเอง โดยทำการทดลองทั้งสิ้น 3 รอบ รอบแรกขับไปพร้อมกับเปิดเพลงเสียงดัง รอบที่สองเปิดเพลงเสียงดังปานกลาง และรอบสุดท้ายขับรถโดยไม่เปิดเพลงเลย

พบว่า  อาสาสมัครทุกคนเมื่อฟังเพลงขณะขับรถจากเพลย์ลิสต์ที่ตนเลือกเอง (ทั้งป๊อบ ร็อค แจ๊ส คลาสสิค ฯลฯ) จะมีปฏิกิริยาตอบสนองต่อสภาพถนนไม่ว่าจะขณะที่มีการจราจรคับคั่งในเขตเมืองหรือการขับรถทางไกลได้อย่างรวดเร็วมากกว่ารอบที่ขับรถโดยไม่เปิดเพลง โดยวัดจากอัตราการเต้นต่อหัวใจ ซึ่งเสียงเพลงที่เปิดไว้ขณะขับรถนั้นทำหน้าที่เป็นตัวช่วยให้สมองตื่นตัว ไม่รู้สึกเบื่อ และยังช่วยให้มีสมาธิในการขับรถได้ดีขึ้นอีกด้วยค่ะ

เป็นอย่างไรกันบ้างค่ะ สำหรับ 6 สิ่งที่ต้องมีในรถ ที่ทางพี่หมี GoBear แนะนำกันไป มีข้อไหนที่ตรงใจเพื่อนๆบ้างไหมค่ะ ซึ่งสิ่งสำคัญที่สุดที่เราต้องมีทุกครั้งขณะขับรถก็คือ “สติ” นั่นเอง อย่างไรก็ตาม การทำประกันรถยนต์ไว้ก็เป็นตัวช่วยหนึ่งที่จะช่วยให้เราอุ่นใจได้เมื่ออุบัติเหตุหรือเหตุการณ์ไม่คาดฝันขึ้นได้ค่ะ

ขอบคุณข้อมูลจาก GoBear

10-สัญญาณเตือน-ว่าคุณควรเปลี่ยนยางได้แล้ว

 

ยางรถยนต์ที่ดี ถือเป็นอีกหัวใจหนึ่งของการขับขี่ให้ปลอดภัย และช่วยให้เราไปถึงจุดมุ่งหมายได้ตามต้องการ เพื่อให้แน่ใจว่าเราได้ลดความเสี่ยงจากการเกิดอุบัติเหตุที่มีสาเหตุมาจากยางรถยนต์ เช่น ยางเกิดการเสื่อมสภาพจนระเบิด จากข้อมูลของกระทรวงมหาดไทย โดยกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย(ปภ.) ได้ให้ข้อแนะนำที่น่าสนใจ แก่ผู้ใช้รถใช้ถนนเกี่ยวกับเรื่องของยางรถยนต์ ดังนี้

ลักษณะของยางรถยนต์ที่เสื่อมสภาพ

จะมีเนื้อยางแข็งกระด้าง ไม่ยืดหยุ่น แรงดันลมยางอ่อนกว่าค่าที่กำหนด ส่งผลให้รถมีอาการสั่น ควบคุมและบังคับทิศทางได้ยากกว่าปกติ

10 สัญญาณชี้ที่คุณควร “เปลี่ยนยาง” ได้แล้ว!

  1. ยางมีความร้อนสูง จากการบรรทุกน้ำหนักหรือของบนรถมากเกินไป ทำให้หน้ายางบิดตัวและสัมผัสพื้นผิวถนนมากกว่าปกติ ทำให้ยางร้อนได้ง่าย
  2. ดอกยางสึกหรอ จอดรถอยู่กับที่เป็นเวลานาน เป็นสาเหตุของการที่หน้ายางสัมผัสพื้นถนนมากเกินไป จนเกิดการสึกหรอได้
  3. ยางมีรอยปริแตก สาเหตุเกิดจากจอดรถกลางแดดเป็นเวลานาน รังสียูวีจะทำให้น้ำมันและสารเคมีในยางเสื่อมสภาพ ส่งผลให้เกิดรอยแตกที่เนื้อยาง
  4. มีเสียงดังแปลกๆ เช่น เสียงหอนของยาง มักเกิดจากหน้ายางสึกหรอไม่เท่ากัน หรือขณะขับรถเกิดเสียง ปัง ปัง คล้ายยางแตกและรถมีอาการกระตุก อาจเกิดจากลูกปืนล้อแตกค่ะ
  5. รู้สึกสั่นสะเทือนผิดปกติ หากคุณเริ่มสังเกตเห็นการสั่นสะเทือนมากขึ้นกว่าปกติผ่านล้อของคุณ อาจเป็นเพราะเกิดช่องว่างระหว่าง ดุมล้อ กับ ล้อแม็ก หรือเกิดจากตัวยางที่เสื่อมสภาพบิดเบี้ยวไม่สมดุล และชุดขับเคลื่อนช่วงล่างหลวม
  6. รถไถลไปข้างใดข้างหนึ่งขณะที่ปล่อยพวงมาลัย สาเหตุเกิดได้ทั้งจากยาง ศูนย์ล้อ เพลงล้อ และลูกหมาก ทางที่ดีควรเอารถเข้าศูนย์แล้วให้ศูนย์เช็กค่ะ
  7. การสึกหรอของยางไม่สม่ำเสมอ เกิดจากการพองตัวของยางที่ร้อนเกินไป จะทำให้มีการสึกหรอที่ด้านในของดอกยางมากกว่ารอบขอบ
  8. ลมยางอ่อนเร็วผิดปกติ อย่าชะล่าใจนะค่ะ เพราะอาจถึงขั้นยางระเบิดได้ทีเดียว ลองดูที่หน้ายางว่ามีอะไรตำยางอยู่หรือไม่
  9. รถแฉลบ ตอนที่ลุยแอ่งน้ำตื้นๆ กรณีนี้อาจเกิดจากดอกยางตื้นกว่ามาตรฐานหรือดอกยางหมด ควรดูที่สะพานยาง ภ้าช่องของดอกยางนั้นเสมอเท่ากับสะพานยาง แสดงว่าดอกยางของเรานั้นตื้นเกินไป
  10. ไม่ได้เปลี่ยนยางมานานกว่า 5 ปี

10-สัญญาณเตือน-ว่าคุณควรเปลี่ยนยางได้แล้ว

วิธีถนอมยางรถยนต์ให้อยู่กับเราไปนานๆ

  • เลือกใช้ยางที่มีขนาดพอดีกับเส้นรอบวงของยาง โดยมีขนาดใกล้เคียงกับมาตรฐานเดิม หรือขนาดของล้อแม็ก หากเปลี่ยนเป็นล้อเล็ก ให้เพิ่มขนาดแก้มยาง แต่หากเป็นล้อใหญ่ ให้ลดขนาดแก้มยาง
  • กรณีใช้งานบนถนนเรียบ ควรใช้ยาง ที่มีดอกยางละเอียด ร่องยางแคบและถี่ เพื่อเพิ่มพื้นผิวสัมผัสกับหน้าถนน จะช่วยยึดเกาะถนน และมีประสิทธิภาพในการรีดน้ำมากขึ้น
  • กรณีใช้งานบนถนนขรุขระ หรือลุยโคลน ควรใช้ยางที่มีดอกยางขนาดใหญ่ และร่องยางห่าง เพื่อช่วยสลัดโคลน หิน หรือน้ำไม่ให้เข้าไปติดตามดอกยาง และร่องยาง
  • หมั่นตรวจสอบแรงดันลมยางอยู่เสมอ อย่างน้อยสัปดาห์ละ 1 ครั้ง หรือประมาณเดือนละครั้ง กรณีเดินทางไกล ควรเติมลมยางให้มากกว่าปกติ 3 – 5 ปอนด์ต่อตารางนิ้ว
  • ตรวจสอบแรงดันลมยางด้วยเกจ์วัดลมที่ได้มาตรฐาน ไม่ควรตรวจสอบด้วยสายตา เพราะอาจเกิดความคลาดเคลื่อนได้
  • เติมแรงดันลมยางอะไหล่ให้พร้อมใช้งาน ลมยางมากกว่ามาตรฐาน 3 – 4 ปอนด์ต่อตารางนิ้ว เมื่อเกิดเหตุฉุกเฉิน จะได้นำมาใช้งานได้ทันที โดยลดค่าแรงดันลมยางให้อยู่ในค่าปกติ เติมแรงดันลมยางตามค่ามาตรฐานที่กำหนดในขณะที่ยางเย็นตัว จะได้ค่าแรงดันลมยางที่ถูกต้อง (หากเติมหลังขับรถหรือในขณะที่ยางยังมีความร้อน จะได้ค่าแรงดันลมยางสูงกว่าปกติ)
  • ไม่เติมแรงดันลมยางต่ำกว่ามาตรฐาน เพราะหน้ายางจะยุบตัว และสัมผัสพื้นผิวถนนมากกว่าปกติ ทำให้แก้มยางฉีกขาด ไหล่ยางเกิดความร้อนสูง และสึกหรอเร็วกว่าส่วนอื่น
  • สลับยางรถยนต์ทุกระยะทาง 10,000 กิโลเมตร จะช่วยลดการสึกหรอ และทำให้หน้ายางเรียบเสมอกันทั้ง 4 เส้น พร้อมปรับแรงดันลมยางของล้อหน้า และล้อหลังให้มีค่ามาตรฐานตามที่กำหนด
  • หมั่นตรวจสอบระบบช่วงล่าง และตั้งศูนย์ถ่วงล้อให้สมดุล เพื่อป้องกันแรงเสียดทาน และการลื่นไถล รวมถึงการกระจายน้ำหนักที่ไม่สมดุล ทำให้ยางได้รับความเสียหายได้

 

ขอบคุณข้อมูลจาก GoBear 

เหตผลที่ควรซื้อรรถใหม่

รถคันใหม่ คุณควรซื้อหรือไม่ซื้อดี ?

ไม่ว่าจะเป็นเสียงแปลกๆ หรือกลิ่นที่เข้ามาในรถ สิ่งเหล่านี้ไม่ได้มาจากสภาพแวดล้อมภายนอกเสมอไปนะคะ อาจเป็นสัญญาณเตือนจากรถของเราที่กำลังขับอยู่ก็ได้ ตลอดจนการปิดวิทยุ และลองฟังเสียงเครื่องยนต์ขณะรอสัญญาณไฟก็ตาม ความสามารถในการรับรู้สิ่งแปลกๆ แม้จะเรื่องเล็กน้อยเหล่านี้ ก็ถือเป็นสัญชาติญาณของคนขับรถที่มีความสำคัญสูงสุดต่อความปลอดภัยในการขับขี่ของคุณไม่น้อยเลยทีเดียว

และต่อไปนี้คือสัญญาณสำคัญ 5 อย่าง ที่เป็นเครื่องเตือนว่า อาจถึงเวลาที่ต้องเสียเงินซื้อรถใหม่แล้วก็เป็นได้ค่ะ

ถึงเวลาเสียเงิน! 5 สัญญาณบ่งบอกว่าคุณควรซื้อรถใหม่ 1

1. สัญญาณไฟตรงแผงควบคุม

เคยสังเกตสัญลักษณ์ต่างๆตรงแผงควบคุม หรือคอนโซลรถกันบ้างไหมค่ะ สัญลักษณ์ต่างๆเหล่านี้ล้วนมีความหมายแตกต่างกันออกไปตามแต่ละส่วนประกอบของรถและเครื่องยนต์

ซึ่งตามปกติแล้วหากรถของเรายังทำงานได้ดี สัญญาณไฟหน้ารถพวกนี้จะติดเมื่อเราสตาร์ทเครื่อง และดับลงภายในระยะเวลาอันรวดเร็ว หรือไม่ก็ขึ้นเป็นสีเขียวหากเรากำลังใช้งานฟังก์ชั่นการทำงานนั้นอยู่ แต่หากตรงบริเวณไหนที่ยังมีสัญญาณเตือนเป็นสีเหลือง หมายความว่าเรายังขับต่อได้อยู่ แต่ให้เตรียมจัดสรรเวลาเอารถเข้าตรวจสอบสภาพด้วยค่ะ และหากสัญลักษณ์ตรงไหนเป็นสีแดงขึ้นมาล่ะก็ ถือเป็นสัญญาณอันตรายแล้วนะคะ

 

2. มีเสียงดังแปลกๆ

ปกติแล้วหากไม่มีปัญหาอะไร เสียงต่างๆที่เกิดขึ้นระหว่างขับรถควรจะเงียบเชียบ และขับได้อย่างนุ่มนวลราบรื่น แต่หากเพื่อนๆได้ยินเสียงดังในรถ และเป็นเสียงที่แปลกไปจากปกติซึ่งไม่เคยได้ยินมาก่อน อาจเป็นไปได้ว่าเกิดปัญหากับกระบอกสูบเครื่องยนต์ หรือบริเวณอื่นๆ

ซึ่งข้อผิดพลาดดังกล่าวอาจนำไปสู่สถานการณ์ที่เป็นอันตรายได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากเรายังละเลยปัญหา และขับรถต่อไป หากคุณได้ยินเสียงขูดขณะสตาร์ทเครื่องยนต์ เป็นไปได้ว่าระบบไฟอาจถูกทำลาย และควรได้รับการซ่อมแซมหรือเปลี่ยนใหม่ค่ะ

 

3. มีกลิ่นไม่พึงประสงค์

กลิ่นแปลกๆ บางครั้งก็เป็นสัญญาณเตือนที่มาจากรถเราได้เช่นกันค่ะ อาจเริ่มตรวจสอบจากถังน้ำมัน และระบบท่อไอเสีย เพราะหากบริเวณนี้ผิดปกติขึ้นมา ก็จะมีกลิ่นเกิดขึ้นได้ แนะนำว่าให้เปิดหน้าต่างรถไว้ และไม่ควรฝืนขับไปไกลจนถึงจุดหมาย แม้กระทั่งกลิ่นหวานๆ เหมือนน้ำเชื่อม ก็เป็นไปได้ว่าถังพักน้ำหล่อเย็นอาจรั่ว

นอกจากนี้กลิ่นของยางไหม้ อาจหมายความว่าสายพานเลื่อน ท่อลมยางหลวม หรืออาจจะมีถุงพลาสติกไปติดอยู่ใต้เครื่องก็เป็นได้ค่ะ

ถึงเวลาเสียเงิน! 5 สัญญาณบ่งบอกว่าคุณควรซื้อรถใหม่ 1

4. ควันจากท่อไอเสีย

ควันจากท่อไอเสียรถเป็นเรื่องที่คนมักมองข้ามไป ในการจะตรวจเช็กว่ารถของเรายังปกติดีอยู่หรือเปล่า ซึ่งเราสามารถสังเกตความผิดปกติได้จากสีของควันที่ปล่อยออกมาค่ะ เพราะถึงแม้จะเป็นท่อไอเสียก็ตาม แต่เมื่อรถเราปกติ ควันที่ถูกปล่อยออกมาจะเป็นแบบไร้สี

แต่หากพบว่าควันที่ถูกปล่อยออกมา เป็นควันฉุยๆสีฟ้าอ่อน และมีกลิ่นแสบจมูก อาจเกิดจากน้ำมันเครื่องเล็ดเข้าไปในส่วนหัวลูกสูบ ทำให้ถูกเผาไหม้ออกมาพร้อมกับไอเสีย หรือเกิดจากการสึกหรอของแหวนลูกสูบ

และหากมีควันสีขาว แต่ไม่มีกลิ่นออกมา อาจหมายถึงระบบหล่อเย็นของเครื่องยนต์มีปัญหา น้ำเล็ดรอดเข้าห้องเผาไหม้ และเผาออกมาเป็นไอน้ำ กรณีร้ายแรงที่สุดคือน้ำไปปนเข้ากับน้ำมันเครื่อง ทำให้น้ำมันเครื่องเป็นโคลน และเครื่องยนต์น็อกได้ค่ะ

 

5. เครื่องยนต์กระตุก เดินสะดุดไม่เรียบ

กรณีที่เครื่องยต์กระตุก หรือเกิดอาการสะอึกนั้น อาจมีหลายสาเหตุด้วยกัน สำหรับรถรุ่นเก่าที่เครื่องยนต์ใช้คาบูเรเตอร์ อาจเกิดจากการไม่สัมพันธ์กันระหว่างน้ำมันและการจูนอากาศ หรือปลั๊กไฟบริเวณหัวเทียนหลวม หัวเทียนอาจจะบอดหรือเสียก็ได้ค่ะ  นอกจากนี้ตัวกรองอากาศอาจจะมีสิ่งสกปรกอุดตัน หรือแม้กระทั่งน้ำมันที่เติมไม่มีคุณภาพพอค่ะ

จากสัญญาณทั้ง 5 อย่างที่เราแนะนำมาในวันนี้ ก็เป็นสิ่งที่หนึ่งที่ช่วยเตือนเพื่อนๆให้ถึงเวลานำรถเข้าศูนย์ หรือไปซ่อมกับช่างที่ไว้ใจได้ก่อนค่ะ และหากประเมินแล้วว่า ค่าซ่อมดูจะหนักหนาสาหัสมากกว่าจนดูเหมือนไม่คุ้ม การอัพเกรดรถหรือซื้อรถใหม่ก็อาจเป็นอีกทางหนึ่งที่น่าสนใจกว่าค่ะ

ขอบคุณข้อมูลจาก GoBear