ย้ายประเทศ ซื้อรถในอเมริกา USA

ช่วงนี้กระแส “ย้ายประเทศ” กำลังมาแรงมากเลยทีเดียว นับตั้งแต่กลุ่มเฟซบุ๊ก “ย้ายประเทศกันเถอะ” (ปัจจุบันเปลี่ยนชื่อเป็น “โยกย้าย มาส่ายสะโพกโยกย้าย”) ที่ตอนนี้มีสมาชิกกว่า 1 ล้านคนแล้ว ทำให้กลุ่มคนรุ่นใหม่ในไทยนั้นตื่นตัวกันอย่างมากถึงการออกไปทำงานในประเทศอื่นๆ ของโลกใบนี้

สำหรับ “สหรัฐอเมริกา” ก็นับได้ว่าเป็นประเทศอันดับต้นๆ ของคนไทยที่อยากย้ายประเทศไปทำมาหากินที่นั่น ซึ่งในปัจจุบันเองก็มีคนไทยที่อพยพไปเรียนหนังสือ แต่งงาน ทำธุรกิจ หรือมีลูกหลานอยู่ที่สหรัฐอเมริกา เป็นจำนวนประมาณราวๆ 3 แสนคน

เมื่อหลายคนเริ่มลงหลักปักฐาน ทำมาหากิน ก่อนอื่นก็ต้องซื้อรถก่อนเลย เพราะถ้าหากคุณไปอาศัยอยู่ที่สหรัฐอเมริกา ถ้าไม่มีรถก็เหมือนไม่มีขาเดิน สำหรับประเทศที่มีเนื้อที่ใหญ่ระดับทวีป อีกทั้งระบบขนส่งสาธารณะนั้น มีเฉพาะในเมืองใหญ่ๆ เท่านั้น

ที่สำคัญ อัตราการเป็นเจ้าของรถยนต์ในสหรัฐฯ ที่มีถึงร้อยละ 80 ของประชากรทั้งหมด คุณก็คิดดูเอาละกันว่าปริมาณคนใช้รถยนต์ใน USA มันมากแค่ไหน แค่จำนวนประชากรที่มีใบขับขี่ ก็ปาเข้าไป 227 ล้านคนแล้ว

เอาล่ะ ไปเรียนรู้กับสิ่งที่คุณต้องรู้กันเลยดีกว่า เมื่อจะซื้อรถในอเมริกาครับ

CARRO Automall แหล่งรวมรถมือสองคุณภาพเยี่ยม ผ่านการตรวจสภาพแบบ Double Check รับประกันพร้อมโอนทุกคัน

Howto-Purchase-Car-In-USA

1. ใบขับขี่

เมื่อไปอยู่อเมริกา จะซื้อรถ ก็ต้องมีใบขับขี่ก่อน …

กรณีที่คุณต้องการใช้ใบขับขี่ที่มีจากไทยไป (กรณีที่คิดว่าไปอยู่ ไปเรียนต่อ หรือไปทำงานไม่นาน) ก็ให้ทำใบขับขี่สากลเตรียมตัวไปก่อน

ซึ่งกรมการขนส่งทางบก สามารถดำเนินการออกใบอนุญาตขับรถระหว่างประเทศภายใต้อนุสัญญาเวียนนา 1968 เพิ่มเติมจากใบอนุญาตขับรถระหว่างประเทศภายใต้อนุสัญญาเจนีวา 1949 เดิมที่มีผลบังคับใช้อยู่แล้ว ซึ่งมีรายละเอียดที่แตกต่างกัน ดังนี้

  • ใบอนุญาตขับรถระหว่างประเทศตามอนุสัญญาเจนีวา 1949 มีอายุ 1 ปี นำไปใช้ได้ใน 101 ประเทศทั่วโลก เช่น สหรัฐอเมริกา ออสเตรเลีย เกาหลีใต้ เป็นต้น
  • ส่วนใบขับขี่สากลแบบใหม่ของกรมการขนส่งทางบก (เริ่มใช้ตั้งแต่ 1 พ.ค. 2564) เป็นไปตามอนุสัญญาเวียนนา 1968 นำไปใช้ได้ใน 84 ประเทศทั่วโลก

และสำหรับประเทศที่เข้าร่วมเป็นภาคีอนุสัญญาทั้งสองฉบับ เช่น สหราชอาณาจักร อิตาลี ฝรั่งเศส เนเธอร์แลนด์ สวีเดน รวมถึงประเทศไทย สามารถใช้ใบอนุญาตขับรถระหว่างประเทศที่ออกตามอนุสัญญาเวียนนา 1968 เพียงฉบับเดียวได้

สำหรับผู้ที่ต้องการขอรับใบขับขี่สากล สามารถแจ้งรายชื่อประเทศที่ต้องการนำใบอนุญาตขับรถไปใช้ต่อเจ้าหน้าที่เพื่อตรวจสอบความเกี่ยวข้องในการร่วมเป็นภาคีตามอนุสัญญา และออกใบอนุญาตขับรถระหว่างประเทศให้ได้อย่างถูกต้องตามแบบที่กำหนด

โดยใบขับขี่สากล มีอายุ 3 ปี นับแต่วันออกใบอนุญาต หรือไม่เกินกว่าอายุของใบอนุญาตขับรถภายในประเทศที่ผู้ถือมีอยู่ โดยมีหลักฐานประกอบคำขอ ดังนี้

1. สำเนาหนังสือเดินทาง เล่มที่ใช้ในการเดินทาง ประวัติหน้าที่แก้ไข (พร้อมฉบับจริง) ซึ่งยังไม่สิ้นอายุ
2. บัตรประจำตัวประชาชน (ฉบับจริง) ซึ่งยังไม่สิ้นอายุ
3. ใบขับขี่ประเภทต่างๆ แล้วแต่กรณี (ต้องไม่ใช่ชนิดชั่วคราว)
4. รูปถ่าย ขนาด 2 นิ้ว 2 รูป (รูปถ่ายไม่เกิน 6 เดือน) ถ่ายรูปหน้าตรง ไม่สวมหมวกหรือสวมแว่นตาสีเข้ม, ไม่มีภาพวิวหลังรูป
5. สำเนาหลักฐานการแก้ไขชื่อ- สกุล, ทะเบียนสมรส หรือใบหย่า
6. ค่าธรรมเนียม 505 บาท

กรณีมอบอำนาจ เตรียมหลักฐานเพิ่มดังนี้

1. หนังมือสองอำนาจ ติดอากรแสตมป์ 10 บาท
2. สำเนาหลักฐานผู้มอบอำนาจพร้อมเซ็นชื่อรับรองสำเนา
3. บัตรประจำตัวประชาชนผู้รับมอบ (กรณีต่างชาติต้องแนบตัวจริงพร้อมสำเนา)

สามารถติดต่อทำได้ที่ สำนักงานขนส่งจังหวัดทุกจังหวัด หรือสำนักงานขนส่งกรุงเทพมหานครพื้นที่ 1-5

หรือจะให้ทางสถานทูตไทยในสหรัฐฯ ที่ฝ่ายกงสุล งานนิติกรณ์ แปลและรับรองคำแปลให้ กรณีที่ไม่ได้ทำใบขับขี่สากลมาจากประเทศไทย ดูรายละเอียดเพิ่มเติมที่ https://thaiembdc.org/th/translation/ (การรับรองคำแปลสำหรับเอกสารราชการไทย)

โดยในการรับรองคำแปล คุณต้องจัดทำคำแปลภาษาอังกฤษมา หรือจะให้ใครแปลมาให้ก็ได้ โดยต้องพิมพ์มาให้เรียบร้อย และผู้แปลต้องลงชื่อรับรองคำแปลถูกต้อง และจะต้องเป็นเอกสารต้นฉบับเท่านั้น

สถานเอกอัครราชทูตฯ จะประทับตรา “Seen at the Royal Thai Embassy” ในการรับรองคำแปล โดยสถานเอกอัครราชทูตฯ ไม่รับรองข้อความใดๆ ที่ปรากฎในเอกสาร

Howto-Purchase-Car-In-USA

แต่ในส่วนของใครที่ต้องการทำใบขับขี่ในสหรัฐอเมริกา เนื่องจากใบขับขี่เดิมหมดอายุแล้ว หรือต้องการอยู่นานกว่านั้น อันนี้รายละเอียดจัดว่าค่อนข้างเยอะ ผู้เขียนขอรวบรวม Link ที่คนไทยในอเมริกามาแนะนำการทำใบขับขี่ในหลายๆ รัฐของสหรัฐอเมริกา สามารถกดดูได้ในด้านล่างครับ (รัฐที่คนไทยอยู่เยอะๆ การสอบใบขับขี่ มีข้อสอบภาษาไทยให้เลือกด้วยครับ)

Howto-Purchase-Car-In-USA

2. เริ่มซื้อรถ

ซื้อรถที่อเมริกา ต้องเช็คราคา และประวัติของรถก่อนเสมอ ไม่ว่าจะเป็นรถมือหนึ่ง หรือรถมือสอง ก่อนจะซื้อ ก็ลองเข้าไปดูตามกลุ่ม Facebook ของรถรุ่นนั้นๆ ดูก่อน อ่าน User Voice ดู Consumer Report ดูก่อน ดูว่ารถรุ่นนี้มี Recall มั้ย หรือมีปัญหาอะไรบ้าง เพื่อที่ซื้อมาแล้ว จะได้เตรียมตัวซ่อมหรือเปลี่ยนได้

Howto-Purchase-Car-In-USA

ที่อเมริกานั้น รถญี่ปุ่น จะได้รับความนิยมค่อนข้างมาก เนื่องจากคุณภาพทนทาน ไม่จุกจิก (หลายคนอาจไม่ทราบว่า ค่าซ่อมรถในอเมริกานี่แพงแค่ไหน บางเคสค่าซ่อมแพงกว่าราคารถมือสองถูกๆ เสียอีก) ซึ่งรถญี่ปุ่นมือสอง ซื้อง่าย ขายคล่อง ราคาดีกว่า รถเกาหลี รถยุโรป และรถอเมริกัน โดยส่วนมากจะใช้งานกันไม่กี่ปีก็ขายแล้ว

ราคาขายรถมือสอง ก็มีตั้งแต่ไม่กี่ร้อยเหรียญ (ส่วนใหญ่นะ สภาพรถจะปีเก่าๆ หรือสภาพแย่ๆ หน่อย) แต่ถ้าสภาพรถดีๆ ก็จะมีราคาพันเหรียญขึ้นไป จนถึงหลักหมื่นเหรียญต้นๆ กรณีรถปีไม่เก่ามากนัก ทั้งนี้ราคาก็ขึ้นอยู่กับประเภทรถ ปีรถ สภาพรถ และยี่ห้อรถด้วย

Howto-Purchase-Car-In-USA

แต่ถ้าไม่มั่นใจ ที่อเมริกาก็มีบรรดา Pre-Purchase Car Inspections รับดูรถให้คุณด้วย ซึ่งก็คล้ายๆ กับที่มีในไทย เสียค่าบริการนะครับ! (ไม่ฟรี) เริ่มต้นค่าใช้จ่ายก็ประมาณ 100 ดอลล่าร์สหรัฐ เป็นต้น (*แต่อย่าลืมว่า Dealer ส่วนใหญ่ เขาอนุญาตให้ Inspection ไปดูรถได้เฉพาะที่ศูนย์ของเขานะครับ ไม่ให้เรานำรถออกไป Inspection นอกสถานที่ได้ ยกเว้นว่าคุณจะจ้างไปดูรถบ้านที่เจ้าของขายเอง)

แนะนำว่าถ้า Dealer ที่เราจะซื้อรถมีหน้าเว็บ ให้เช็คราคาจากหน้าเว็บไซต์ก่อน (หรือเช็คราคากลางรถยนต์ได้ที่ KBB (Kelly Blue Book) – https://www.kbb.com/) ลองเช็คราคารถจากหลายๆ โชว์รูมก่อน แล้วค่อยไปดูรถตัวจริง แนะนำให้ต่อราคาให้ได้ Invoice Price เลย เพราะเขาบวกราคาตัวรถไปค่อนข้างเยอะ

กรณีซื้อรถใหม่ ถ้าหากคุณเข้าไปดูรถแบบ Walk-In เข้าไปในโชว์รูมเลย เซลล์ขายรถก็จะให้ราคาแบบ Walk-In ซึ่งอาจจะแพงกว่าราคาที่เราเข้าไปดูหน้าเว็บไซต์ แล้วดูพวกของที่ใส่เข้ามาในรายการรถ ที่บางทีเราอาจมีในสิ่งที่เราไม่ต้องการ ทำให้ราคาสูงตัวรถขึ้นไปอีก

กรณีที่ซื้อรถมือสองที่ศูนย์ขายรถ หรือรถบ้านเจ้าของขายเอง ก็ต้องเช็ครายละเอียดของรถดูก่อนว่า เป๊ะ! ทุกอย่างหรือไม่ ตาดีได้ ตาร้ายเสีย ใช้ดูรถได้ทั่วโลก การดูรถก็ไม่ต่างกัน ดูตัวถัง การทำงานเครื่องยนต์ ของเกียร์ องค์ประกอบภายในรถ ทดลองขับ ฯลฯ อันนี้เป็น Basic เหมือนๆ กัน

Howto-Purchase-Car-In-USA

ยิ่งบางคัน เป็นรถ Rebuilt Title หรือ Salvage Title มา อันนี้ไม่น่าเล่นเท่าไหร่ แม้ว่าราคาตัวรถจะถูกมาก แต่เวลาคุณจะเอาไปขายต่อ ขายยาก ถ้าบ้านเราก็อาจจะเป็น รถย้อมแมวววววว …

รถ Rebuilt Title หรือ Salvage Title อาจจะเคยเป็นรถเคยโดนชนมา จะน้อยจะมาก หรือรถที่บริษัทประกันภัยตีเป็น Total Loss จ่ายเงินสดเป็นมูลค่าของตัวรถ หรือค่าซ่อมแพงกว่าราคาตัวรถ เลยขายทอดตลาดออกมา แล้วอู่ซ่อมรถเอามาซ่อมขาย หรือขายตามสภาพนั่นเอง รถประเภทนี้เบี้ยประกันภัยตัวรถจะแพงเป็นพิเศษ

ซึ่งรถประเภทนี้เมื่อซ่อมมาแล้ว เจ้าของรถต้องส่งเรื่องให้ DMV (กฎระเบียบตามรัฐนั้นๆ) กรณีจะใช้รถคันนี้ต่อ จากนั้น DMV จะส่ง Inspector มาเช็คสภาพรถ ถ้ารถผ่าน Inspection จะได้สถานะเป็น Rebuilt Title นั่นเอง

Howto-Purchase-Car-In-USA

ซึ่งคุณอาจจะเช็คใน Carfax ดูว่าข้อมูลรถของคุณจากเจ้าของเก่า รายละเอียดเป็นอย่างไรบ้าง ไมล์แท้ๆ เลยหรือไม่ เพราะคนอเมริกัน มักใช้รถกันแบบสมบุกสมบัน ไม่ค่อยดูแลรักษารถกันเท่าไหร่ อีกทั้งใช้รถกันเลขไมล์ค่อนข้างเยอะ

วิธีเช็คก็ง่ายนิดเดียว เพียงแค่กรอกรหัสตัวถังรถ (VIN = Vehicle Identification Number) ที่คุณจะซื้อเข้าไป แค่นี้ก็มีข้อมูลขึ้นมาแล้ว

เมื่อคุณตกลงปลงใจเลือกรถได้เรียบร้อย ก็เตรียมบัตรเครดิต หรือ Cashier Check ไปจ่ายเงินกับทางศูนย์ หรือถ้าคุณซื้อรถบ้าน ก็อาจจะจ่ายเงินสดก็ได้ พร้อมจ่าย Sales Tax ไปด้วย

Howto-Purchase-Car-In-USA

3. ประกันภัย

คุณรู้หรือไม่ว่าที่อเมริกา รถยนต์ทุกคัน จะต้องทำประกันภัยทุกคัน มิฉะนั้นจะนำออกมาวิ่งบนถนนไม่ได้เลย เพราะถ้าหากถูกตำรวจตรวจเจอ อาจติดคุกและโดนปรับหนักได้ หรือถ้าเกิดอุบัติเหตุขึ้นมา อาจต้องจ่ายกันจนหมดตัวได้

ซึ่งไม่ว่าคุณจะซื้อรถมือหนึ่ง หรือรถมือสอง ทางศูนย์ หรือบริษัทไฟแนนซ์ ก่อนจ่ายเงินซื้อ เขาจะบังคับให้คุณซื้อประกันภัยรถ (ที่ทางศูนย์มีดีลไว้อยู่แล้ว) ก่อนเลย หรือเราจะซื้อประกันรถออนไลน์ไปเองก็ได้

สำหรับประกันภัยรถยอดฮิตในอเมริกา หลักๆ ก็จะมีอยู่สองอย่าง คือ Full-Coverage และ Liability …

1. Full-Coverage เปรียบเหมือนประกันภัยชั้นหนึ่งในไทย ไม่ว่าเราจะผิด หรือ ถูก ประกันก็จ่ายให้หมด เรียกได้ว่า คุ้มครองทุกกรณีที่เกิดอุบัติเหตุ แต่ว่าค่าเบี้ยประกันภัยก็แพงด้วยเช่นกัน

2. Liability เปรียบเหมือนกับประกันภัยชั้นสาม ที่คุ้มครองเฉพาะบุคคลอื่นเท่านั้น คือถ้าเราเป็นฝ่ายผิด คุณต้องรับผิดชอบจ่ายค่าเสียหายให้กับคู่กรณีเอง แต่ถ้าเราเป็นฝ่ายถูกชน คู่กรณีของคุณเป็นคนรับผิดชอบ

ทั้งนี้ เบี้ยประกันก็มีราคาแตกต่างกันไป ตั้งแต่ เพศ, อายุของผู้ถือใบขับขี่, ประเภทใบขับขี่ (ถ้าหากคุณใช้ใบขับขี่สากลที่มาจากไทย ค่าเบี้ยประกันก็จะแพงกว่าใบขับขี่ใน USA มาก) ยี่ห้อรถยนต์, อายุของรถยนต์, ปีที่ซื้อรถ, เลขไมล์, ประวัติการขับรถ หรือสถานที่เก็บรถ

ซึ่งถ้าหากคุณมีประวัติชนบ่อย หรือเป็นรถที่มีราคาแพง, รถรุ่นยอดฮิตของขโมย หรืออายุผู้ขับขี่ที่ต่ำกว่า 25 ปี มือใหม่หัดขับ ค่าเบี้ยประกันก็จะแพงขึ้น ทางที่ดีไม่อยากจ่ายแพง ให้ทำใบขับขี่ของอเมริกาครับ

แต่ถ้าหากคุณขับรถดี ใช้รถยี่ห้อตลาดทั่วไป ขับรถไม่เคยโดนใบสั่ง ไม่เคยไปชนอะไร มีอายุมากกว่า 25 ปี และมีประสบการณ์ขับรถมาก หรือรถเลขไมล์ใช้งานไม่เยอะ อันนี้ก็จ่ายค่าเบี้ยประกันภัยถูกกว่า

ในเรื่องเพศสภาพ เพศหญิง จ่ายเบี้ยประกันภัยถูกกว่าเพศชาย เพราะบริษัทประกันศึกษามาแล้วว่า ผู้ชายขับรถอันตรายและมีอุบัติเหตุบ่อยกว่าผู้หญิง

และการย้ายบริษัทประกันภัยไปทำเจ้าใหม่ ก็ไม่ได้หมายความว่าฐานข้อมูลจะเริ่มต้นใหม่แบบไทยๆ นะครับ เพราะที่ USA มีหน่วยงานกลางเพื่อเก็บข้อมูลประกันภัยไว้เลย!

Howto-Purchase-Car-In-USA

4. จดทะเบียนรถ

กรณีที่คุณซื้อรถป้ายแดงจากศูนย์ อันนี้ง่ายหน่อย เพราะทางศูนย์เขาจะจัดการเดินเรื่องทำทะเบียนรถให้เสร็จสรรพ แต่ต้องจ่าย Dealer Fee เพิ่มต่างหาก

แต่ถ้าหากคุณซื้อรถมือสองจากรถบ้านมา (ซึ่งเจ้าของรถเดิมเขาจะเก็บทะเบียนรถเอาไว้) คุณต้องไปจดทะเบียนรถใหม่เอง โดยนำ Certificate of Title (ประมาณเล่มทะเบียนในบ้านเรา) ที่เจ้าของรถคนเดิมต้องเซ็นโอนรถมาให้ด้านหลัง พร้อม Bill of Sale (ใบซื้อขาย) หรือ Pink Slip (ใบรับรองการเป็นเจ้าของรถ)

แล้วคุณก็มีหน้าที่ไปจัดแจงโอนรถที่ Department of Motor Vehicles (DMV) ทันที! เพราะขับแบบไม่มีป้ายทะเบียน มิสิทธิ์โดนตำรวจเรียกทุกวัน แม้ว่ากฎหมายให้เวลาในการโอนรถ 30 วัน ก็ตาม (ถ้าโอนรถหลังจากนั้น โดนปรับนะครับ) เว้นเสียแต่ว่าคุณซื้อรถจาก Dealer จะมีป้ายของศูนย์มาให้ ตำรวจไม่จับ ขับได้ 30 วันก่อนได้ป้ายจริง ซึ่งคุณต้องเตรียม Title รถไว้ + ประกันภัย เตรียมให้ตำรวจดูได้เลย

ทางที่ดี กรณีซื้อรถบ้านเสร็จ นัดเจ้าของไปโอนรถที่ Tag Office เลย จะได้ขอทะเบียนใหม่ทีเดียว พร้อมใช้งาน

สำหรับการโอนรถ ในบางรัฐ หรือการโอนรถต่างรัฐ (คล้ายๆกับในไทย รถ กทม. โอนไปต่างจังหวัด) ก็อาจจะต้องตรวจสภาพรถ Brake And Lamp Inspection / Smog Check ก่อนนะครับ ถึงจะจดทะเบียนใหม่ได้ ซึ่งก็มีอู่ทั่วไปรับ Adjusting ด้วย (คล้ายๆ กับตรวจ ตรอ. ในไทย) แต่บางรัฐก็ไม่ต้องตรวจสภาพ กรณีที่โอนรถในรัฐเดียวกัน

สำหรับหลักฐานในการโอนรถ แต่ละรัฐก็มีเงื่อนไขไม่เหมือนกัน คร่าวๆ คือต้องใช้ …

  • Title
  • เอกสารยืนยันที่อยู่ 2 ฉบับ
  • ใบขับขี่
  • ประกันภัย
  • Emission Test / Smog Check ในบางรัฐ เช่น แคลิฟอร์เนีย … ตอนซื้อรถถามเจ้าของด้วยว่า รถตรวจสภาพไอเสีย (Emission Control) ผ่านหรือยัง ถ้ายังไม่ผ่าน โอนรถไม่ได้นะครับ ข้อมูลจะขึ้นในระบบออนไลน์ โดยใบ Smog สามารถใช้ได้ภายใน 90 วันจากวันที่ตรวจผ่าน (เหมือนการตรวจไอเสีย ของ ตรอ. ในไทย)

ซึ่งคนซื้อรถต้องแจ้ง DMV ภายใน 10 วัน จากวันที่มีการซื้อขาย ส่วนคนขายรถต้องแจ้ง DMV ภายใน 5 วัน หลังจากการขายรถให้กับเจ้าของใหม่ พร้อมกรอกแบบฟอร์ม Notice of Transfer and Release of Liability (NRL) ให้ DMV ทันที เพื่อที่คนขายไม่ต้องรับผิดชอบ ในกรณีเช่น ผู้ซื้อขับไปชนใคร หรือนำรถไปใช้ทำอะไรผิดกฎหมาย คนขายไม่ต้องรับผิดชอบหากมีการฟ้องร้องในภายหลัง

Howto-Purchase-Car-In-USA

ไปวันเดียวก็ได้ป้ายทะเบียนมาเลย พร้อมจ่ายค่าป้ายทะเบียน + ภาษี ถ้าอยากได้ป้ายทะเบียนเป็นตัวอักษรแจ๋วๆ ใส่เลขสวยๆ หน่อย แค่เพิ่มเงินก็ได้แล้ว

ในส่วนของภาษีรถยนต์ประจำของสหรัฐ ก็จัดเก็บในแต่ละปีไม่เหมือนกันอีก ขึ้นอยู่กับเงื่อนไขของแต่ละรัฐ

ขอให้สนุกกับการไปเรียน ไปทำงาน หรือแต่งงานไปอยู่ประเทศใหม่ และการซื้อรถยนต์คันใหม่ ใน USA นะครับ!

สำหรับใครที่อยากขายรถก่อนย้ายประเทศ เอารถคันเดิมของคุณมาขายที่ CARRO สิ ได้ราคาดี พร้อมปิดการขายภายใน 24 ชั่วโมง! มาขายรถกับ CARRO Express สิ! ได้ราคาดี พร้อมปิดการขายภายใน 24 ชั่วโมง! หรือจะ Inbox มาขอรายละเอียดได้ที่ Facebook -> CARRO Thailand และ Add Line สอบถามรายละเอียดได้เช่นกัน ที่ @carrothai

และอีกหนึ่งบริการใหม่! CARRO Automall แหล่งรวมรถมือสองคุณภาพเยี่ยม ผ่านการตรวจสภาพแบบ Double Check รับประกันพร้อมโอนทุกคัน ฟรี! ค่าจัดโอน มีให้เลือกชมเพียบ เปิดบริการทุกวัน อยากซื้อรถคุณภาพเยี่ยม มาซื้อกับ CARRO Automall สิ!

หรือสนใจรถรุ่นไหนอยู่ แต่หาไม่ได้ สามารถสั่งตามออเดอร์ได้ที่นี้ > https://th.carro.co/buy-car หรือโทร. 02-508-8690 อีกทั้งยัง Inbox เข้ามาสอบถามก็ได้เช่นกันได้ที่ Facebook -> CARRO Automall – รถบ้านมือสอง หรือทาง Line เชิญเลยครับที่ @carroautomall

แหล่งที่มาบางส่วนจาก