ขั้นตอนการตรวจสภาพรถที่ ตรอ. ต้องตรวจอะไรบ้าง คนใช้รถต้องรู้!
เป็นเรื่องธรรมด๊า ธรรมดา ของคนที่ซื้อรถใหม่มาใช้ (แต่ใช้งานมาหลายปีแล้ว) หรือจะเป็นรถมือสองอายุหลายปีก็ตาม …
สิ่งหนึ่งที่สำคัญที่ต้องจัดการก่อนต่อภาษีรถประจำปี นั่นก็คือ “การตรวจสภาพรถ” เพื่อให้ทราบถึงสภาพรถหรือรถจักรยานยนต์ของคุณว่ายังอยู่ในสภาพพร้อมใช้งานหรือไม่ และต้องใช้เป็นหลักฐานในการต่อภาษีรถยนต์ประจำปีอีกด้วย
อ่านเพิ่มเติม >> ชาวรถเก่าเฮ! รถอายุเกิน 7 ปี กรมการขนส่งทางบก ให้ต่อภาษีรถออนไลน์ได้แล้ว!
อ่านเพิ่มเติม >> 9 ขั้นตอน ต่อภาษีรถยนต์ออนไลน์ ง่าย สะดวก ปลอดภัย ไม่เสี่ยงโควิด-19!
ซึ่งหลายคนก็อาจจะสงสัยว่า สถานตรวจสภาพรถ หรือ ตรอ. เขามีขั้นตอนการทำงานอย่างไร กี่ขั้นตอน และค่าบริการเท่าไหร่ ก่อนไปต่อภาษีรถ Mr.Carro มีรายละเอียดต่างๆ มาแนะนำให้คุณได้เป็นความรู้กันครับ
โดยพื้นฐานแล้ว สถานตรวจสภาพรถ (ตรอ.) แบ่งออกเป็น 3 ประเภท ได้แก่
- สถานตรวจสภาพรถจักรยานยนต์ (อย่างเดียว)
- สถานตรวจสภาพรถตามกฎหมายว่าด้วยรถยนต์ ขนาดน้ำหนักรถเปล่าไม่เกิน 2,200 กิโลกรัม และรถจักรยานยนต์
- สถานตรวจสภาพรถตามกฎหมายว่าด้วยการขนส่งทางบก และกฎหมายว่าด้วยรถยนต์ ทุกประเภทและทุกขนาดน้ำหนัก
รถประเภทต่างๆ ที่ต้องตรวจสภาพรถยนต์ ที่สถานตรวจสภาพรถ (ตรอ.) ก่อนต่อภาษีรถประจำปี
1. รถที่จดทะเบียนตามกฎหมายว่าด้วยการขนส่งทางบก
- รถตามกฎหมายว่าด้วยการขนส่งทางบกทุกประเภท โดยไม่จำกัดอายุการใช้งาน (เช่น รถกระป๊อ, รถแท็กซี่, รถเมล์ เป็นต้น)
- รถที่ใช้ในการขนส่งสัตว์หรือสิ่งของ เว้นแต่รถที่ใช้ในการบรรทุกวัสดุอันตราย และรถพ่วง หรือรถกึ่งพ่วง ที่ติดตั้งถังบรรทุกวัสดุอันตราย
2. รถที่จดทะเบียนตามกฎหมายว่าด้วยรถยนต์ ที่มีอายุการใช้งานครบ 7 ปี นับตั้งแต่วันที่จดทะเบียนครั้งแรก
- รถยนต์นั่งส่วนบุคคลไม่เกิน 7 คน (รย.1)
- รถยนต์นั่งส่วนบุคคลเกิน 7 คน (รย.2)
- รถบรรทุกส่วนบุคคลที่มีน้ำหนักรถไม่เกิน 2,200 กก. (รย.3)
- รถจักรยานยนต์ส่วนบุคคล (รย.12) ที่มีอายุการใช้งานครบ 5 ปี นับตั้งแต่วันที่จดทะเบียนครั้งแรก
3. รถยนต์ส่วนบุคคลและรถจักรยานยนต์ส่วนบุคคลที่ค้างชำระภาษีประจำปีเกิน 1 ปี แต่ไม่เกิน 3 ปี
โดยรถที่จดทะเบียนตามกฎหมายว่าด้วยรถยนต์ ประเภทรถยนต์ส่วนบุคคลและรถจักรยานยนต์ ต้องตรวจสภาพกับสถานตรวจสภาพรถ (ตรอ.) ที่ได้รับอนุญาตจากกรมการขนส่งทางบกเท่านั้น ยกเว้น
- รถยนต์ที่มีน้ำหนักรถเปล่าเกิน 1,600 กิโลกรัม จะตรวจสภาพที่ ตรอ. หรือหน่วยงานของกรมการขนส่งทางบกก็ได้
- รถของส่วนราชการ บุคคลในคณะผู้แทนทางการฑูต คณะผู้แทนทางกงสุล องค์การระหว่างประเทศ ฯลฯ จะตรวจสภาพที่ ตรอ. หรือหน่วยงานของกรมการขนส่งทางบก ก็ได้
- รถที่มีการดัดแปลงสภาพ รถที่เปลี่ยนสี เปลี่ยนเครื่องยนต์ รถที่มีปัญหาเกี่ยวกับเลขตัวรถ หรือเลขเครื่องยนต์ รถที่ขาดต่ออายุทะเบียนเกิน 1 ปี ฯลฯ ให้นำรถไปตรวจสภาพ ณ หน่วยงานของกรมการขนส่งทางบก
ค่าบริการการตรวจสภาพรถ
- รถยนต์ที่มีน้ำหนักรถเปล่าไม่เกิน 2,000 กก. ค่าบริการ 200 บาท/คัน
- รถยนต์ที่มีน้ำหนักรถเปล่าเกิน 2,000 กก. ค่าบริการ 300 บาท/คัน
- รถจักรยานยนต์ ค่าบริการ 60 บาท/คัน
ขั้นตอนการตรวจ ตรอ. มีอะไรบ้าง?
1. ตรวจสอบเล่มทะเบียนกันก่อน (รวมถึงสำเนา) ว่ารายละเอียดของรถยนต์ เลขตัวถัง เลขเครื่องยนต์ สีรถ ชนิดเชื้อเพลิง ชื่อเจ้าของรถ มีความถูกต้องตรงกันหรือไม่
หากรถของคุณติดตั้งแก๊ส LPG หรือ NGV จำเป็นจะต้องมีใบตรวจสภาพระบบแก๊ส LPG และ NGV มาก่อนนำรถมาตรวจที่ ตรอ. มิฉะนั้นจะยังไม่สามารถตรวจสภาพรถได้ และการติดตั้งแก๊ส LPG/NGV ต้องลงเล่มแล้วเท่านั้น (กรณีติดตั้งแก๊ส LPG หรือ NGV มาใหม่ จะต้องมีหนังสือรับรองการตรวจและทดสอบส่วนควบและเครื่องอุปกรณ์ด้วย)
อีกทั้งกรณีแผ่นป้ายทะเบียนสูญหาย, ชำรุด หรือตัวเลข ชื่อจังหวัดลบเลือน ก็ยังไม่สามารถตรวจสภาพรถที่ ตรอ. ได้ ต้องไปจัดการซ่อม หรือทำแผ่นป้ายทะเบียนรถใหม่ก่อน
2. ตรวจสภาพรถทั้งคัน ตามรายละเอียดต่างๆ ด้านล่าง …
ตรวจสภาพภายนอกรถโดยรวม
- กระจกกันลมหน้า-หลังและส่วนที่เป็นกระจก
- ล้อและยาง
- ศูนย์ล้อ
- ค่าไฟพุ่งไกล ไฟพุ่งต่ำ
- ตำแหน่งไฟพุ่งไกล ด้านซ้าย-ขวา
- ตำแหน่งไฟพุ่งต่ำ ด้านซ้าย-ขวา
- ไฟเลี้ยว ไฟท้าย ไฟหยุด
- ไฟส่องป้ายทะเบียน ไฟอื่นๆ
- สภาพตัวถังและโครงรถ
- ประตูและพื้นรถ
- ปัดน้ำฝน
ค่าไอเสีย-วัดเสียงท่อไอเสีย
- ค่า CO (Carbon Monoxide)
- ค่า HC (Hydrocarbon)
- ค่าเครื่องวัดเสียง
สภาพใต้ท้องรถ-เครื่องยนต์
- ระบบบังคับเลี้ยวและพวงมาลัย
- ถังเชื้อเพลิง และท่อส่ง
- เครื่องล่าง
- หมายเลขเครื่องยนต์
ภายในรถ-การบังคับรถ
- แตรรถยนต์
- มาตรวัดความเร็ว
- เข็มขัดนิรภัย
- เบรกมือ
- เบรก
- ประสิทธิภาพห้ามล้อ
- ประสิทธิภาพเบรกมือ
- แรงห้ามล้อของแต่ละล้อ
- น้ำหนักลงเพลาหน้า-หลัง
3. ตรวจวัดโคมไฟแสงพุ่งไกล (ไฟสูง) และโคมไฟแสงพุ่งต่ำ (ไฟต่ำ) ของไฟหน้าแต่ละข้าง
4. การทดสอบศูนย์ล้อคู่หน้า โดยขับรถผ่านเครื่องทดสอบด้วยความเร็วประมาณ 3-5 กม./ชม. ขณะล้อหน้าผ่านเครื่องทดสอบ ค่าเบี่ยงเบนของศูนย์ล้อหน้าจะต้องไม่เกิน +-5 เมตรต่อกิโลเมตร
5. ทดสอบระบบเบรก ด้วยวิธีการค่อยๆ เหยียบเบรกจนจมสุด
- เบรกมือ แรงเบรกทุกล้อ รวมกันไม่น้อยกว่า 20% ของน้ำหนักรถ
- เบรกเท้า แรงเบรกทุกล้อ รวมกันไม่น้อยกว่า 50% ของน้ำหนักรถ
- ผลต่างของแรงเบรก ผลต่างแรงเบรกล้อซ้าย-ขวาต้องไม่เกิน 25% ของแรงเบรกสูงสุดในเพลานั้น
6. ตรวจสอบค่าไอเสีย และควันดำ ซึ่งต้องผ่านเกณฑ์วัดค่าก๊าซ CO และ HC ตามรายละเอียดด้านล่าง
รถยนต์นั่งส่วนบุคคลไม่เกิน 7 คน ลักษณะเก๋ง
- จดทะเบียนก่อน 1 พ.ย. 2536
- CO ต้องไม่เกินร้อยละ 4.5
- HC ต้องไม่เกิน 600 ส่วนในล้านส่วน
- จดทะเบียน 1 พ.ย. 2536 – 31 ธ.ค. 2549
- CO ไม่เกินร้อยละ 1.5
- HC ไม่เกินร้อยละ 200 ส่วนในล้านส่วน
รถยนต์อื่นนอกจากข้อ 1 ที่จดทะเบียนก่อน 1 ม.ค. 2550
- CO ต้องไม่เกินร้อยละ 4.5
- HC ต้องไม่เกิน 600 ส่วนในล้านส่วน
รถยนต์ที่จดทะเบียนตั้งแต่ 1 ม.ค. 2550
- CO ต้องไม่เกินร้อยละ 0.5
- HC ต้องไม่เกิน 100 ส่วนในล้านส่วน
ส่วนการตรวจวัดควันดำ (โดยเฉพาะรถเครื่องยนต์ดีเซล) จะตรวจวัดขณะเร่งเครื่องประมาณ 3-4 พันรอบ ในเกียร์ว่างและปิดแอร์ ผ่านเครื่องมือวัดแบบกระดาษกรอง (Filter) โดยเก็บค่าควันดำจำนวน 2 ครั้ง ใช้ค่าที่วัดได้สูงสุด ค่าควันดำต้องไม่เกิน 50% และเครื่องมือวัดระบบวัดความทึบแสง (Opacity) ค่าควันดำต้องไม่เกิน 45%
และวัดความดังของท่อไอเสีย กรณีเป็นเครื่องยนต์ดีเซล จะเร่งเครื่องยนต์จนสุดคันเร่ง ส่วนเครื่องยนต์เบนซิน จะเร่งเครื่องยนต์ประมาณ 3 ใน 4 ของรอบที่ให้กำลังม้าสูงสุดจนกระทั่งเครื่องยนต์ทำงานด้วยความเร็วรอบคงที่ ค่าระดับเสียงสูงสุดต้องไม่เกิน 100 เดซิเบล เอ
รายงานผลตรวจสภาพรถ
รถที่ผ่านการตรวจสภาพรถ เจ้าหน้าที่จะจัดพิมพ์รายงานผลการตรวจสภาพรถตามกฎหมายว่าด้วยรถยนต์ จากระบบสารสนเทศของกรมการขนส่งทางบก โดยจะมีระบุวันที่ส่งผลการตรวจ สถานที่ตรวจ เลขใบอนุญาติจัดตั้ง ตรอ. และหมายเลขทะเบียนของรถที่ตรวจ ประเภทรถ และสรุปผลการตรวจสภาพ ซึ่งคุณสามารถดูผานระบบออนไลน์ได้ที่ – https://v5.inspection.in.th/inspectionreport/searchinfo
ซึ่ง ตรอ. จะจัดเก็บเอกสารส่วนที่ 1 และมอบเอกสารส่วนที่ 2 ให้กับผู้ที่นำรถมาตรวจสภาพเก็บไว้เป็นหลักฐานสำหรับต่อภาษีรถยนต์ โดยมีอายุ 3 เดือน นับตั้งแต่วันที่ผ่านการตรวจสภาพรถ
กรณีตรวจสภาพรถไม่ผ่าน จะมีการแจ้งผลการตรวจสภาพและข้อบกพร่องให้ทราบ พร้อมมอบเอกสารส่วนที่ 2 เพื่อให้เป็นหลักฐานในการตรวจสภาพรถอีกครั้ง ภายหลังจากแก้ไขข้อบกพร่องแล้ว โดยมีรายละเอียดการตรวจสภาพรถใหม่ ดังนี้
- กรณีตรวจสภาพรถใหม่ภายใน 15 วัน นับตั้งแต่วันที่ไม่ผ่านการตรวจสภาพครั้งแรก ให้ตรวจเฉพาะรายการข้อบกพร่องที่ไม่ผ่านการตรวจสภาพ เสียค่าใช้จ่ายครึ่งหนึ่งตามอัตราปกติ
- กรณีตรวจสภาพรถใหม่เกิน 15 วัน นับตั้งแต่วันที่ไม่ผ่านการตรวจสภาพครั้งแรก ให้ตรวจสภาพใหม่ทุกรายการ เสียค่าใช้จ่ายเต็มอัตรา
หากตรวจสภาพรถเรียบร้อยแล้ว ถ้าคุณไม่สะดวกไปจ่ายภาษีเอง ก็สามารถจ่ายภาษีรถออนไลน์ได้แล้ว+ กรมการขนส่งทางบก ยังได้ปรับปรุงระบบชำระภาษี ให้กับผู้ที่มีรถยนต์อายุเกิน 7 ปี และรถจักรยานยนต์ที่มีอายุเกิน 5 ปี ที่ตรวจ ตรอ. ผ่านเรียบร้อยแล้ว สามารถต่อภาษีประจำปีผ่านระบบออนไลน์ได้ และจ่ายภาษีได้ผ่านทางระบบ e-Banking ของแต่ละธนาคาร, บัตรเครดิต, บัตรเดบิต, เคาน์เตอร์ธนาคาร และสถาบันการเงินที่เข้าร่วมโครงการ
จากนั้น จะได้รับเครื่องหมายแสดงการเสียภาษีและใบเสร็จรับเงินทางไปรษณีย์ภายใน 5 วันทำการ รวมถึงสามารถชำระภาษีล่วงหน้าได้ไม่เกิน 90 วันก่อนวันครบกำหนดชำระภาษี
ถ้าใครสนใจอยากขายรถคันเดิมที่อายุมากกว่า 7 ปี เพราะเบื่อตรวจสภาพรถ ตรอ. หรือต้องการรับเป็นเงินก้อนไปใช้ สามารถนำรถคันเดิมมาขายกับ Carro ได้เลย เราพร้อมรับซื้อรถของคุณทุกเวลา ง่ายๆ ได้เงินไว! กับ Carro Express คลิกเลยที่ https://th.carro.co/sell-car/express รับรองได้เงินเร็ว ไว ทันใจแน่นอน!
ส่วนใครสนใจจะซื้อรถมือสอง Carro แหล่งรวมรถมือสองคุณภาพเยี่ยมผ่านระบบออนไลน์ คุณสามารถจองรถได้ในเวลาเพียง 1 นาทีเท่านั้น! พร้อมคำนวณสินเชื่อและค่างวด ได้ภายในเว็บไซต์ทันที!
ซึ่ง Carro เรามีรถให้คุณเลือกมากมาย รถทุกคันผ่านการตรวจสภาพโดย Carro Certified อย่างละเอียดแบบ Double Check มากกว่า 160 จุด, การันตีคืนเงินภายใน 5 วัน, รับประกันเครื่องยนต์และเกียร์ 1 ปี, รับประกันไม่กรอไมล์ และไม่ประสบอุบัติเหตุหนัก ไฟไหม้ หรือน้ำท่วม พร้อมรับประกันคุณภาพรถ 1 ปี หรือ 30,000 กิโลเมตร!
อีกทั้งยังมีเทคโนโลยี “360 View & Sound Engine Analysis” เลือกชมรถยนต์เสมือนจริงออนไลน์รายแรกในไทย ทั้งภาพและเสียงในรูปแบบ 360 องศา รวมถึงมีเทคโนโลยีสนับสนุนฝ่ายขาย ทั้ง Digital Device ที่เชื่อมต่อกับ Digital Screen นำเสนอสิ่งที่ลูกค้าต้องการ และจัดการเรื่องเอกสารให้กับลูกค้าให้ตั้งแต่ต้นจนจบ บวกกับ Online Viewing Service ที่ลูกค้าสามารถวิดีโอคอล ตรวจสภาพรถยนต์คันที่สนใจได้แบบเรียลไทม์ ซื้อรถคุณภาพเยี่ยม ต้องที่ Carro สิ!
หรือถ้าหากคุณสนใจรถรุ่นไหนอยู่ แต่ยังหาที่ถูกใจไม่ได้ เรายินดีหาให้! เพียงกรอกชื่อ-เบอร์โทรศัพท์ และรถที่คุณสนใจ ไว้ที่ “รับการแจ้งเตือน” เมื่อมีรถที่คุณต้องการ Carro จะรีบติดต่อไปยังคุณทันที สอบถามรายละเอียดได้ที่ Facebook -> Carro Thailand โทร. 02-460-9380 หรือทาง Line @carrothai
แหล่งที่มาบางส่วนจาก: