คนที่เข้าร่วมโครงการซื้อรถคันแรกเมื่อปี 2011 ถึงตอนนี้ก็คงจะมีคนที่ทยอยปลดล็อครถคันแรกกันไปบ้างแล้ว เพราะนับตั้งแต่ที่โครงการนี้มีผลบังคับใช้ มาจนถึงปี 2016 นี้ เวลาก็หมุนวนครบมาถึงกำหนด 5 ปีพอดี โดยรถที่เข้าร่วมโครงการรถคันแรกนี้ก็มีจำนวนมากกว่า 1,200,000 คัน และหลังจากที่ครบกำหนดเวลาปลดล็อคโครงการนี้ ก็จะเริ่มมีผู้คนนำรถไปทยอยขายเข้าสู่ตลาดมือสองกันมากขึ้น อ้างอิงผลสำรวจจาก SCB EIC จะพบว่า จำนวนคนที่สนใจจะขายรถออกไป คิดเป็นเปอร์เซ็นต์แล้วมีจำนวน 7.2 % หรือคิดเป็นจำนวนมากกว่า 80,000 คัน ทำให้ผู้ซื้อมีตัวเลือกมากขึ้น


สำหรับใครที่ต้องการซื้อรถมือสอง ช่วงเวลานี้ถือเป็นจังหวะที่ดี เพราะการปลดล็อคโครงการรถคันแรก ได้ส่งผลทำให้

1. มีจำนวนรถมือสองหมุนเวียนมากขึ้น
จากแต่เดิมที่ในตลาดมือสองมีรถหมุนเวียนอยู่แล้ว พอได้เวลาปลดล็อคโครงการรถคันแรก ก็ยิ่งทำให้มีจำนวนรถหมุนเวียนมาให้เลือกซื้อกันมากขึ้นกว่าเดิม ซึ่งจะส่งผลดีต่อผู้บริโภค ทำให้ผู้ซื้อมีตัวเลือกที่มากขึ้น

TIPS: ที่สำคัญการซื้อรถมือสองจากโครงการนี้ ยังมีข้อดีตรงที่ รถเหล่านั้นจะมีอายุการใช้งานประมาณ 5 ปีเป็นอย่างต่ำ ทำให้ยังสามารถยี่นขอไฟแนนซ์รถมือสองได้ เพราะอายุการใช้งานยังไม่เกินเกณฑ์ที่บริษัทไฟแนนซ์ส่วนมากฟตั้งไว้

2. ราคารถอาจจะถูกลง
ผลกระทบข้อนี้ อาจจะช่วยดึงดูดทำให้คนหันมาสนใจรถมือสองกันมากขึ้น เนื่องด้วยจากรถที่หมุนเวียนอยู่ในตลาดมือสองมากขึ้น และข้อกำหนดของโครงการรถคันแรก ทำให้รถที่หมุนเวียนอยู่นั้น อาจจะมีรุ่นเดียวกันซ้ำๆ ทำให้ผู้ประกอบการรถมือสองหันมาแข่งขันกันเพื่อทำการตลาดด้วยการลดราคา และโปรโมชั่นมากมาย

CARRO Automall แหล่งรวมรถมือสองคุณภาพเยี่ยม ผ่านการตรวจสภาพแบบ Double Check รับประกันพร้อมโอนทุกคัน

ที่สำคัญการปลดล็อคโครงการรถคันแรกนี้ จะเป็นการเพิ่มโอกาสที่จะทำให้ผู้ซื้อมีสิทธิ์ครอบครองเป็นเจ้าของรถมือสองสภาพดี ซึ่งถึงแม้ว่าปริมาณรถมือสองที่หมุนเวียนอยู่ในตลาดมีจำนวนที่เพิ่มมากขึ้นก็ไม่เป็นอุปสรรคต่อการเลือกรถสภาพดีแต่อย่างใด ถ้าหากคุณได้คัดกรองรถมือสองเหล่านั้นตามวิธีเบื้องต้นนี้


1. เช็คข้อมูลจากเล่มทะเบียน
ขั้นตอนนี้ถือว่าเป็นขั้นตอนที่ง่ายที่สุดเลยก็ว่าได้ เพราะผู้ซื้อทุกคนสามารถตรวจสอบได้ด้วยตัวเอง โดยการดูประวัติข้อมูลรถ (หน้า 18) ว่ารถคันนั้นเคยมีการเปลี่ยนแปลงอะไรมาบ้าง อาทิ การเปลี่ยนสี แจ้งใช้แก๊ส เติมถังแก๊ส และอื่นๆ ซึ่งการดูข้อมูลนี้ จะทำให้คุณได้ทราบถึงการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นกับรถคันที่คุณต้องการซื้อ

2. ตรวจเช็คประวัติการซ่อมบำรุง (เข้าศูนย์)
ผู้ซื้อสามารถโทรไปสอบถามเรื่องประวัติการซ่อมบำรุงได้จากศูนย์ที่รถคันนั้นเคยเข้ารับบริการ หรือสอบถามประวัติการซ่อมบำรุงจากเจ้าของรถ (ในกรณีที่คุณซื้อรถบ้าน) ซึ่งคุณจะสามารถรู้ได้ว่าประวัติการซ่อมบำรุง หรือการเข้าศูนย์จากรถคันนั้นเป็นอย่างไร

3. ตรวจเช็คกับบริษัทประกัน
นอกจากประวัติการซ่อมบำรุงที่คุณสามารถเช็คได้แล้วนั้น ผู้ซื้อยังสามารถเช็คประวัติรถ (ประวัติการเคลม) กับบริษัทประกันได้ แต่ข้อมูลที่ได้มาอาจจะเป็นข้อมูลเบื้องต้น

TIPS: บางครั้งการสอบถามข้อมูลกับบริษัทประกัน อาจจะต้องใช้ข้อมูลที่ค่อนข้างละเอียด ดังนั้นคุณควรที่จะขอข้อมูลกรมธรรม์ประกันจากเจ้าของรถ เพื่อใช้ในการตอบคำถามเจ้าหน้าที่บริษัทประกัน

4. เช็คสภาพรถด้วยตนเองคร่าวๆ
ก่อนที่คุณจะตัดสินใจซื้อรถ คุณควรที่จะเช็คสภาพรถเบื้องต้นด้วยการดูจาก ไมล์ สภาพเครื่องยนต์ สภาพความเรียบร้อยภายใน-นอก และอุปกรณ์ต่างๆ ภายในรถ หรือสามารถอ่านการตรวจเช็คอุปกรณ์ที่สำคัญต่อได้ คลิ๊ก> https://th.carro.co/blog/inspect-basic-option-in-used-car-beforebuying-2016/

ซึ่งหลักการคัดกรองรถเบื้องต้นนี้ เป็นการตรวจแบบคร่าวๆ เท่านั้น ซึ่งอาจจะทำให้ผู้ซื้ออุ่นใจได้ในระดับหนึ่ง แต่ถ้าหากคุณกำลังมองหาการคัดกรองรถมือสองทีี่ละเอียด และน่าเชื่อถือได้มากกว่านั้น ในปัจจุบันนี้ก็มีผู้ให้บริการตรวจเช็คสภาพรถ อย่างเช่น เว็บไซต์ทรัสตี้คาร์ (https://th.carro.co) ที่มีบริการประเมินสมรรถนะในการขับขี่ของรถมือสองก่อนการซื้อ-ขาย สนใจติดต่อโทร. 02-196-1868