Toyota-Hilux-Revo-2018

โตโยต้า แนะนำรถกระบะ “Hilux Revo” (ไฮลักซ์ รีโว่) ภายใต้โครงการ “IMV: Innovative International Multi Purpose Vehicle” เจนเนอเรชั่นที่ 2 ในปี 2558 บนนิยามใหม่แห่ง “ความแกร่ง” สะท้อนภาพลักษณ์ตามแนวคิด “ยุคใหม่แห่งกระบะ ทุกตารางนิ้วต้องไฮลักซ์” จนเป็นที่มาของสโลแกน “ปฏิวัติทุกมิติ แห่งกระบะอนาคต” จนประสบความสำเร็จ และได้รับการตอบรับจากลูกค้าอย่างดีเยี่ยม

Toyota-Hilux-Revo-2018

ด้วยยอดจำหน่ายสะสมภายในประเทศกว่า 1,900,000 คัน และส่งออกรถยนต์ภายใต้โครงการ IMV ไปจำหน่ายยังประเทศต่างๆ ทั่วโลกกว่า 3,000,000 คัน

มาถึงวันนี้ … ได้เวลาตอกย้ำความแกร่งของผู้นำแห่งรถกระบะ…ไฮลักซ์ รีโว่ รุ่นปรับโฉมใหม่

Toyota-Hilux-Revo-2018

“ไฮลักซ์ รีโว่ รุ่นปรับโฉมใหม่” ซึ่งถูกพัฒนาขึ้นภายใต้แนวคิด “ตัวตนของคนจริง” ซึ่งเปรียบรถกระบะไฮลักซ์ รีโว่ ที่มีดีไซน์อันแข็งแกร่งดุดัน เปี่ยมด้วยสมรรถนะที่ยอดเยี่ยม สามารถตอบสนองต่อทุกการใช้งาน

Toyota-Hilux-Revo-2018

Toyota-Hilux-Revo-2018 Toyota-Hilux-Revo-2018

ออกแบบรูปลักษณ์ภายนอกใหม่ เพื่อแสดงถึงความแข็งแกร่ง ดุดัน เต็มพลัง ด้วยดีไซน์ใหม่ของกันชนหน้า กระจังหน้าแบบโครเมียมและสีดำเงา และกรอบไฟตัดหมอกสีดำเงา รับกับสีภายในห้องโดยสารใหม่โทนสีดำ ตลอดจนอุปกรณ์มาตรฐานต่างๆ ปรับเพิ่มให้ครอบคลุมทุกการใช้งาน ผสานกับสมรรถนะอันยอดเยี่ยมจากขุมกำลังของเครื่องยนต์ดีเซลระบบคอมมอนเรล เจเนอเรชั่นล่าสุด (GD Efficient Boost) ที่ให้แรงบิดสูงสุดในช่วงรอบกว้าง (Flat Torque) เต็มประสิทธิภาพทั้งการออกตัวและเร่งแซง แต่ยังประหยัดน้ำมันดีเยี่ยม เครื่องยนต์ทำงานเงียบ ไอเสียต่ำและเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม ตลอดจนแข็งแกร่งทนทาน มีอายุการใช้งานยืนยาว

Toyota-Hilux-Revo-2018

สู่อีกขั้นแห่งการขับขี่ ที่แกร่งดุจหินผา กับชีวิตท้าทายอีกขั้น … “Hilux Revo Rocco” (ไฮลักซ์ รีโว่ ร็อคโค่) รุ่นตกแต่งพิเศษ…แกร่งเกินนิยาม

Toyota-Hilux-Revo-2018

พร้อมกันนี้ Toyota ขอแนะนำ Toyota Hilux Revo Rocco (ไฮลักซ์ รีโว่ ร็อคโค่) รุ่นตกแต่งพิเศษ ที่พัฒนาขึ้นภายใต้แนวคิด “แกร่งเกินนิยาม” เป็นอีกหนึ่งทางเลือก สำหรับลูกค้าที่ชอบรถกระบะที่มีดีไซน์ที่แตกต่าง และโดดเด่นเหนือระดับ

โดย ไฮลักซ์ รีโว่ ร็อคโค่ (Rocco) มาพร้อมดีไซน์ที่ดุดัน ด้วยชุดแต่งพิเศษรอบคันทั้งภายนอกและภายใน ที่แตกต่างจากรุ่นธรรมดา พร้อมด้วยอุปกรณ์อำนวยความสะดวกที่ครบครัน

Toyota-Hilux-Revo-2018

Toyota-Hilux-Revo-2018

Toyota-Hilux-Revo-2018

Toyota-Hilux-Revo-2018

เชิญสัมผัสกับ ไฮลักซ์ รีโว่ รุ่นปรับโฉมใหม่ โดยจะเปิดตัวต่อสาธารณชนเป็นครั้งแรก ภายในงาน “Motor Expo 2017” ในระหว่างวันที่ 30 พฤศจิกายน – 11 ธันวาคม ตลอดจนการจัดงานเปิดตัวที่โชว์รูมผู้แทนจำหน่ายโตโยต้า ระหว่างวันที่ 8-10 ธันวาคม ศกนี้

และพร้อมส่งมอบรถไฮลักซ์ รีโว่ รุ่นปรับโฉมใหม่ ให้แก่ลูกค้าโตโยต้าได้ตั้งแต่วันที่ 10 ธันวาคม นี้ เป็นต้นไป …

ราคา โตโยต้า ไฮลักซ์ รีโว่ รุ่นปรับโฉมใหม่ / Toyota Hilux Revo (Minorchange) Price. Shown in Thai Baht.

Toyota-Hilux-Revo-Standard-Cab-2018-Price Toyota-Hilux-Revo-Smart-Cab-2018-Price Toyota-Hilux-Revo-Double-Cab-2018-Price

New-MG-GS

มิติใหม่ของการดีไซน์ภายใต้แนวคิด “Brit Dynamic” และมาพร้อมระบบอัจฉริยะ “i-SMART”

MG-ZS-Blue

บริษัท เอสเอไอซี มอเตอร์-ซีพี จำกัด และ บริษัท เอ็มจี เซลส์ (ประเทศไทย) จำกัด เปิดตัว “New MG ZS” รถเอสยูวีเพื่อชีวิตที่ไร้ขีดจำกัด ตอกย้ำความเป็นผู้นำเทคโนโลยีสมาร์ทคาร์ด้วยการติดตั้งระบบอัจฉริยะ i-SMART สามารถรองรับการสั่งการด้วยเสียงภาษาไทยครั้งแรกในโลก รูปลักษณ์โดดเด่นสไตล์ บริท ไดนามิค (Brit Dynamic) ที่ให้ความหรูหราทันสมัยและสปอร์ตยิ่งขึ้น ห้องโดยสารเพียบพร้อมความสะดวกสบาย กว้างขวาง พร้อมระบบความปลอดภัย Synchronized Protection System 9 ระบบ ในราคา 679,000 – 789,000 บาท

MG-GS

เป้าหมายหลักของการพัฒนา New MG ZS คือการนำเสนอ ‘สมาร์ทคาร์’ หรือ ‘รถยนต์อัจฉริยะ’ สร้างมาตรฐานใหม่ในแบบที่ไม่เคยมีบริษัทรถยนต์รายใดเคยทำมาก่อน โดยคาดการว่า New MG ZS จะมียอดจำหน่ายมากกว่า 12,000 คัน/ปี

MG-ZS-Red

New MG ZS คือรถยนต์รุ่นแรกของเอ็มจี ที่มาพร้อมกับระบบอัจฉริยะ i-SMART ซึ่งเพิ่งเปิดตัวอย่างเป็นทางการเมื่อเดือนกันยายนที่ผ่านมา ระบบสามารถควบคุมสั่งการได้ 3 วิธี คือ สั่งการผ่านระบบ Voice command ภาษาไทย สั่งการผ่านหน้าจอทัชสกรีนภายในรถ และการสั่งการผ่านไอสมาร์ทแอปพลิเคชั่น (i-SMART application) จากสมาร์ทโฟนซึ่งผู้ขับขี่สามารถเปิดระบบการทำงานของระบบปรับอากาศผ่านแอปพลิเคชั่นในสมาร์ทโฟน ค้นหาจุดหมายอาทิสถานที่ท่องเที่ยว โรงแรม หรือร้านอาหาร ด้วยสมาร์ทเนวิเกเตอร์ รวมถึงตรวจสอบสภาพการจราจรได้แบบเรียลไทม์

นอกจากนี้ระบบยังสามารถเรียนรู้พฤติกรรมของผู้ขับขี่ และพัฒนาความสามารถให้ดีขึ้นด้วยเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (Artificial Intelligence) สอดคล้องกับยุคอินเตอร์เน็ตในทุกสรรพสิ่งหรือ IoT (Internet of Things)

นอกจากนี้ ระบบ i-SMART ยังรวบรวมข้อมูลที่มีความสำคัญและแจ้งต่อผู้ขับได้ตลอดเวลา อาทิ ระดับน้ำมันเชื้อเพลิง สภาพการทำงานของแบตเตอรี่ เครื่องยนต์ และระบบเบรก ผ่านสมาร์ทโฟน พร้อมกับช่วยแจ้งเตือนการเคลื่อนที่ของรถที่ผิดปกติซึ่งอาจเกิดจากการโจรกรรม ซึ่งช่วยเพิ่มความปลอดภัยได้อีกระดับ

MG-GS

รูปลักษณ์ของ New MG ZS ได้รับการออกแบบภายใต้แนวคิดบริท ไดนามิค (Brit Dynamic) ที่มีความทันสมัยมากขึ้นและสปอร์ตยิ่งกว่าเดิม ซึ่งสอดคล้องกับความต้องการของคนรุ่นใหม่ที่ชื่นชอบความคล่องตัวและยังคงเอกลักษณ์แบบอังกฤษของเอ็มจี

MG-ZS-Panoramic-Sunroof

โดดเด่นด้วยกระจังหน้าดีไซน์ใหม่ขนาดใหญ่ ที่นำสายตาสู่เส้นสายบนฝากระโปรด้านท้าย ไฟท้ายแบบ LED Tube พร้อม Panoramic Sunroof ส่วนด้านข้างเน้นความปราดเปรียวกับเส้นสายชัดเจน และโดดเด่นด้วยล้ออัลลอยดีไซน์ใหม่ แบบ Bi-Colour ขนาด 17 นิ้ว

มิติตัวถังยาว 4,314 มม. กว้าง 1,809 มม. สูง 1,624 มม. ระยะฐานล้อ 2,585 มม.

MG-ZS-Interior

MG-GS

ภายในห้องโดยสารเน้นความหรูหราและความสปอร์ตสไตล์รถยุโรป ตกแต่งด้วยสีทูโทน และวัสดุ Soft Touch ที่บริเวณแผงประตู และแผงคอนโซล มาพร้อมช่องแอร์ดีไซน์ Jet Turbine ที่ฝั่งซ้าย-ขวา แบบสปอร์ต มาตรวัดเรืองแสงพร้อมหน้าจอแสดงผล เบาะที่นั่งด้านหลังพับแบบ 60:40 พื้นที่เก็บสัมภาระส่วนท้ายปรับได้สองระดับโดยปรับระดับเพิ่มขึ้นได้อีก 10 ซม. เพิ่มความอเนกประสงค์

MG-ZS-Trunk

นอกเหนือจากระบบการเชื่อมต่ออัจฉริยะ i-SMART ที่แสดงผลผ่านหน้าจอสีระบบสัมผัสขนาด 8 นิ้ว New MG ZS ยังเพียบไปด้วยอุปกรณ์อำนวยความสะดวกสบายที่ครบครันที่สุดในระดับเดียวกัน ทั้งระบบควบคุมความเร็วอัตโนมัติ พวงมาลัยมัลติฟังก์ชั่นแบบสปอร์ต ควบคุมเครื่องเสียง และปุ่มรับ-วางสายโทรศัพท์ด้วยปลายนิ้วสัมผัส ปุ่มสตาร์ท และยังสามารถรองรับการเชื่อมต่อไร้สายผ่านบลูทูธ พร้อม USB ช่องจ่ายไฟ 12V และกล้องมองหลังและเซ็นเซอร์ถอยหลัง

Engine-MG-ZS

New MG ZS ขับเคลื่อนด้วยเครื่องยนต์เบนซินรุ่นใหม่ รหัส 15S4C ขนาด 1.5 ลิตร แบบ 4 สูบ DOHC VTi-TECH ให้แรงม้าสูงสุด 114 แรงม้า ที่ 6,000 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 150 นิวตันเมตร ที่ 4,500 รอบ/นาที ส่งกำลังผ่านเกียร์อัตโนมัติ 4 สปีด พร้อม Manual Mode

เอ็มจี ให้ความสำคัญสูงสุดกับระบบความปลอดภัยเช่นเดียวกับรถยนต์รุ่นอื่นๆ ด้วยระบบโครงสร้างตัวถังนิรภัย FSF (Full Space Frame) เทคโนโลยีปกป้องทุกชีวิตในห้องโดยสาร และระบบ Synchronized Protection System 9 ระบบ ประกอบด้วย ระบบเบรกป้องกันล้อล็อก ABS (Anti-lock Braking System) พร้อมระบบกระจายแรงเบรก EBD (Electronic Brake Force Distribution) ระบบเสริมแรงเบรกด้วยอิเล็กทรอนิกส์ EBA (Electronic Brake Assist)

ระบบควบคุมการทรงตัว SCS (Stability Control System) ระบบควบคุมการเบรกในขณะเข้าโค้ง CBC (Curve Brake Control) ระบบป้องกันล้อหมุนฟรี และควบคุมการลื่นไถล TCS (Traction Control System) ระบบช่วยการออกตัวบนทางลาดชัน HAS (Hill Start Assist System) ระบบตรวจสอบความผิดปกติของลมยาง TPMS (Tire Pressure Monitor System) ระบบสัญญาณไฟแจ้งเตือนเมื่อมีการเบรกฉุกเฉิน ESS (Emergency Stop Signal) ตลอดจนถุงลมนิรภัยคู่หน้า ถุงลมนิรภัยด้านข้าง และม่านถุงลมนิรภัยรวมทั้งหมด 6 จุด รวมถึงกล้องมองหลังและเซ็นเซอร์

New MG ZS มีสีให้เลือก ทั้งหมด 5 สี ได้แก่ …

– สีแดงสกาเลตต์เรด (Scarlet Red)
– สีฟ้ามารีน่าบลู (Marina Blue)
– สีเงินซิลเวอร์เมทัลลิก (Silver Metallic)
– สีขาวอาร์คติคไวท์ (Arctic White)
และ สีดำแบล็คไนท์ (Black Knight)

MG-GS

ราคา เอ็มจี แซดเอ็กซ์ ใหม่ / The All-New MG ZS Price. Shown in Thai Baht.

– รุ่น C ราคา 679,000 บาท
– รุ่น D ราคา 729,000 บาท
– รุ่น X ราคา 789,000 บาท

10 รถมือสอง ที่คุณสามารถซื้อได้ในราคาของ "iPhone X"

เป็นที่ทราบกันแล้วนะครับว่า สำหรับ iPhone 8 / iPhone 8 Plus และ iPhone X ที่เพิ่งเปิดตัวใหม่ไปใน USA ตั้งแต่เมื่อคืนของวันที่ 13 กันยายน 2560 (ตามเวลาในประเทศไทย) ซึ่งมีคุณสมบัติและฟังก์ชั่นต่างๆ ที่เพิ่มมามากขึ้น (ซึ่งจะถูกใจคุณผู้อ่านหรือเปล่านั้น … ไม่แน่ใจ!)

อีกทั้งราคาของ iPhone 8 / iPhone 8 Plus และ iPhone X ที่ขยับเพิ่มขึ้นมามากขึ้นในทุกรุ่น ทำให้ผู้บริโภคต้องคิดหนักว่า ถ้าวางจำหน่ายในประเทศไทยแล้ว เมื่อตีราคาออกมาเป็นเงินไทยแล้ว ค่อนข้างสูงเลยทีเดียว (รุ่น Top ปาเข้าไปประมาณ 4 หมื่นบาทได้) จะคุ้มค่ากับการใช้งานหรือไม่ หรือนำเงินนี้ ไปซื้อสิ่งของอย่างอื่นดี?

Mazda-323-Astina

MR.CARRO ขอแนะนำ 10 รถมือสอง ที่คุณสามารถซื้อได้ในราคาของ “iPhone X” ซึ่งตามจริงแล้ว มีรถมือสองปีเก่าๆ (ตั้งแต่ยุค 60 เป็นต้นมา) ที่มีราคาถูกกว่า iPhone 8 / iPhone 8 Plus และ iPhone X อยู่มาก แต่เนื่องจากราคาที่ถูกมากๆ นั้น ก็ต้องใช้งบประมาณในการซ่อมที่มาก และใช้เวลาหาอะไหล่กันลำบากหน่อย

MR.CARRO จึงขอนำเสนอรถยนต์มือสอง ในช่วงประมาณยุค 80-90 ที่มีราคาตั้งแต่ 2 – 4 หมื่นบาท ที่มีความทนทาน ดูแลง่าย อะไหล่พอหาได้เยอะหน่อย จะมีรุ่นใดบ้าง … เชิญอ่านได้เลยครับ

Toyota-Corolla-AE92

1. Toyota Corolla 1.3 XL, GL, 1.6 SE Limited (EE90/AE92)

Toyota Corolla (โตโยต้า โคโรลล่า) รุ่นที่ถือได้ว่า มีอุปกรณ์มาตรฐานมากมายราวกับของวิเศษของ “โดเรมอน” ต่างกับรถในคลาสเดียวกัน จึงเป็นที่มาของฉายานี้ (แต่ชาวต่างประเทศได้ยินแล้ว งงน่าดู) เปิดตัวในไทยเมื่อเดือนธันวาคม 2530 มาพร้อมสโลแกน “เร้าใจทุกเส้นทาง ยุคหน้า TOYOTA” (คล้ายกับของญี่ปุ่น “Fun To Drive”)

ใช้เครื่องยนต์ขนาด 1.3 ลิตร รหัส 2E และเครื่องยนต์ขนาด 1.6 ลิตร รหัส 4A-F, รหัส 4A-F คาร์บูเรเตอร์คู่ ในรุ่น Sporty รวมไปถึงเครื่องยนต์ 1.6 ลิตร พลังแรงอย่างรหัส 4A-GE 130.5 แรงม้า ที่มาตอนไมเนอร์เชนจ์ ในรุ่น GTi

ราคาในตลาด แบบตามสภาพ มีเงิน 2 หมื่นกว่าบาท ก็สามารถซื้อรถรุ่นนี้มาขับได้แล้ว

Toyota-Corona-ST171

2. Toyota Corona 1.6 XL, GL / 2.0 GL, GLi (AT171/ST171)

Toyota Corona (โตโยต้า โคโรน่า) โฉมนี้เปิดตัวในไทยตั้งแต่ปี 2531 โดยโคโรน่ารุ่นนี้ ถือเป็นรถญี่ปุ่นรุ่นแรกในประเทศไทย (เครื่องยนต์ 2.0 ลิตร) ที่ใช้ระบบจ่ายน้ำมันเชื้อเพลิงแบบหัวฉีด EFI (Electronic Fuel Injection) แบบเดียวกับรถยุโรป

ใช้เครื่องยนต์ขนาด 1.6 ลิตร รหัส 4A-F, เครื่องยนต์ขนาด 2.0 ลิตร รหัส 3S-F คาร์บูเรเตอร์เดี่ยว 113 แรงม้า และเครื่องยนต์ขนาด 2.0 ลิตร รหัส 3S-FE หัวฉีด EFi 128 แรงม้า

ราคาในตลาด แบบตามสภาพ มีเงิน 2 หมื่นกว่าบาท ก็สามารถซื้อรถรุ่นนี้มาขับได้เช่นกัน

Honda-Civic-EF

3. Honda Civic 1.5 LX, LX-S / EX (EF)

Honda Civic (ฮอนด้า ซีวิค) รุ่นนี้เปิดตัวเมื่อต้นปี 2531 ชูจุดเด่นด้วยเทคโนโลยีการออกแบบรถให้เตี้ย แบน ลู่ลม และพัฒนาเครื่องยนต์ใหม่ เหมือนรถแข่ง Formula 1 รวมถึงระบบช่วงล่างแบบปีกนกอิสระ 4 ล้อ และเครื่องยนต์ทวินแคม 16 วาล์ว

ใช้เครื่องยนต์ขนาด 1.5 ลิตร 90 แรงม้า (และยังมีรุ่นพิเศษ LX-S เครื่องยนต์ขนาด 1.6 ลิตร คาร์บูเรเตอร์คู่ 105 แรงม้า) มีให้เลือกทั้งแบบเกียร์ธรรมดา 5 สปีด และเกียร์อัตโนมัติ 4 สปีด ราคาในตลาด แบบตามสภาพ มีเงิน 2 หมื่นบาทปลายๆ ก็สามารถซื้อรถรุ่นนี้มาขับได้เช่นกัน

Honda-Accord-CA

4. Honda Accord 2.0 LX / EX (CA)

Honda Accord (ฮอนด้า แอคคอร์ด) รุ่นนี้เปิดตัวเมื่อปี 2530 ซึ่งก็เซอร์ไพรส์ด้วยการสร้างยอดจองจนฮอนด้าผลิตขายไม่ทัน ชูจุดเด่นด้วยเทคโนโลยีการออกแบบรถให้เตี้ย แบน ลู่ลม และพัฒนาเครื่องยนต์ใหม่ 12 วาล์ว พ่วงระบบ Cross Flow อันลือชื่อของฮอนด้า รวมถึงระบบช่วงล่างแบบดับเบิลวิชโบนอิสระ 4 ล้อ … ในรุ่นไมเนอร์เชนจ์ ปรับปรุงหน้าตาใหม่ พร้อมเพิ่มล้อแม็กเข้ามาแทนที่กะทะล้อพร้อมฝาครอบล้อ

ใช้เครื่องยนต์ขนาด 2.0 ลิตร 106 แรงม้า มีให้เลือกทั้งแบบเกียร์ธรรมดา 5 สปีด และเกียร์อัตโนมัติ 4 สปีด ราคาในตลาด แบบตามสภาพ มีเงิน 2 หมื่นบาทกลางๆ ก็สามารถซื้อรถรุ่นนี้มาขับเท่ๆ ได้

Nissan-Sunny-B11

5. Nissan Sunny 1.3 / 1.5 GL (B11)

Nissan Sunny (นิสสัน ซันนี่) รถรุ่นยอดนิยมจากค่ายสยามกลการสมัยนั้น สำหรับ นิสสัน ซันนี่ FF เจเนอเรชั่นที่ 5 เปิดตัวตั้งแต่เดือนมกราคม 2526 ขายกันมาอย่างยาวนานถึงสิบกว่าปี ปรับโฉมไมเนอร์เชนจ์กันก็หลายครั้ง เป็นรถยอดนิยมมากในยุคนั้น ในโฉมนี้มาพร้อมสโลแกน “รถที่ไว้ใจได้ตลอดกาล”

ยุคแรก มีให้เลือกทั้งเครื่องยนต์ขนาด 1.3 ลิตร รหัส E13S 74 แรงม้า และเครื่องยนต์ขนาด 1.5 ลิตร รหัส E15S ส่งกำลังผ่านเกียร์ธรรมดา 5 สปีด ประจำการทั้งในรุ่นซีดาน 4 ประตู และคูเป้ ภายหลังจึงตัดออกไป

ราคาในตลาด แบบตามสภาพ ถ้าว่ากันตามตรง สภาพแบบต้องซ่อมทั้งคัน (แต่รถยังขับได้) เคยมีคนขายที่ราคา 9,500 บาท ก็ซื้อได้แล้ว แต่ตามสภาพแบบวิ่งได้ ใช้งานได้ปรกติ ราคา 1.5 – 4 หมื่นบาท ก็มีรถรุ่นนี้ให้เลือกซื้อเยอะแยะครับ

Nissan-Sentra-B13

6. Nissan Sentra 1.5 EX Saloon / 1.6 SuperSaloon e (B13)

Nissan Sentra (นิสสัน เซนทร้า) รุ่นที่ 2 ที่ขายในบ้านเรา เป็นรถยอดฮิตแท็กซี่ในยุคนั้นเลย เพราะสยามกลการ พยายามระบายรถล็อตใหญ่ ให้กับกลุ่มสหกรณ์แท็กซี่ ที่กำลังรีบหารถมาจดทะเบียนทำแท็กซี่มิเตอร์ (ป้ายทะเบียน 6ท) ในยุคแท็กซี่เปิดเสรีใหม่ๆ โดยในโฉมไมเนอร์เชนจ์ สังเกตได้จากชุดกระจังหน้าแบบใหม่ ชุดกันชนใหม่ และไฟท้ายเลนส์แบบใหม่ เป็นต้น

มาพร้อมเครื่องยนต์ขนาด 1.5 ลิตร รหัส GA15S 87 แรงม้า และขนาด 1.6 ลิตร รหัส GA16DE 110 แรงม้า ส่งกำลังผ่านเกียร์ธรรมดา 5 สปีด และเกียร์อัตโนมัติ 4 สปีด

ราคาในตลาด แบบตามสภาพ มีเงิน 3 หมื่นบาท ก็สามารถซื้อรถรุ่นนี้มาขับได้เช่นกัน

Nissan-NV

Nissan-NV-Van

7. Nissan NV Pickup 1.6 / NV AD Resort 1.6 SLX, SGX (Y10)

Nissan NV (นิสสัน เอ็นวี) หลายคนจะรู้กันบ้างไหมว่า “NV” นี่ย่อมาจากคำว่า “National Vehicle” หรือ “รถยนต์แห่งชาติ” ที่ทางสยามกลการตั้งใจให้เป็นเช่นนั้น ที่จะเน้นการผลิตรถยนต์นั่งขนาดกลาง 1600 ซีซี แต่กลายมาเป็นรูปแบบของรถ Pickup และรถแวน Nissaan NV AD Resort ที่หยิบยืมพื้นฐานมาจาก Nissan AD Van (และ Sunny California เวอร์ชั่นญี่ปุ่น) โดยเปิดตัวในเดือนกันยายน 2536

สำหรับ Nissan NV Pickup มีขายกันมาหลายโฉมมาก ทั้งแบบธรรมดาในยุคแรก หลังจากนั้นเป็น Queen Cab (ต่อมาคือ Q-Cab) ขยายพื้นที่ห้องโดยสารกว้างขึ้น เบาะปรับเอนนอนได้ ต่อมาภายหลังจึงกลายเป็นกระบะ Nissan Wingroad ไป

ทั้งสองแบบ ใช้เครื่องยนต์ขนาด 1.6 ลิตร รหัส GA16DS 95 แรงม้า และเครื่องยนต์ขนาด 1.6 ลิตร รหัส GA16DNE 110 แรงม้า ส่งกำลังผ่านเกียร์ธรรรมดา 5 สปีด และเกียร์อัตโนมัติ 4 สปีด (เพิ่มมาภายหลัง ทั้งในรุ่นกระบะ และรุ่นแวน AD Resort)

ราคาในตลาด แบบตามสภาพ มีเงิน 3 หมื่นบาท ก็สามารถซื้อรถรุ่นนี้มาขับได้เช่นกัน ส่วนรุ่นแวนราคาอาจจะแพงกว่านั้นหน่อย แต่ราคานี้ก็มี ถ้าสภาพรถเน่าจริงๆ

Mitsubishi-Lancer-E-Car

8. Mitsubishi Lancer 1.3 GL, EL, 1.5 GLX, GLXi, 1.6 GLX, GLXi (E-Car)

Mitsubishi Lancer (มิตซูบิชิ แลนเซอร์) เป็น Lancer อีกหนึ่งรุ่น ที่ขายดีมากในบ้านเรา ในปัจจุบันก็ยังได้รับความนิยมจากคนชอบแต่งรถ และรถรุ่นนี้ยังถือเป็นต้นกำเนิดของรุ่น Evolution อีกด้วย (ช่วงล่างดี เครื่องทนทาน หลังคาชอบผุ อะไหล่แพงนิดๆ) เปิดตัวในปี 2535 ในรุ่น 1.3 GL, 1.5 GLX, 1.6 GLXi (นำเข้า) และ 1.8 GTi (นำเข้า)

ต่อมาเมื่อปี 2538 Lancer E-Car ได้ยกเลิกการจำหน่าย 1.3 และ 1.8 เปลื่ยนระบบจ่ายเชี้อเพลิงในรุ่น 1.5 จากคาร์บูเรเตอร์ เป็นระบบหัวฉีด ECi-MULTI และนำรุ่น 1.6 มาประกอบในประเทศ โดยคงเหลือรุ่นย่อย คือ 1.5 GLXi และ 1.6 GLXi

และในปี 2539 Lancer E-Car ได้ปรับโฉมไมเนอร์เชนจ์ เปลื่ยนล้อแม็กลายใหม่ เปลื่ยนกันชนให้ยาวและหนาขึ้น รวมถึงเปลื่ยนกระจังหน้าใหม่ เปลื่ยนท่อร่วมไอดีในรุ่น 1.5 โดยตัวอักษรคำว่า ECi-MULTI จะเล็กลง และนำรุ่น 1.3 กลับมาเพื่อตอบสนองลูกค้าระดับล่าง โดยมีรุ่นย่อย อาทิ 1.3 EL, 1.5 GLXi และ 1.6 GLXi

ราคาในตลาด แบบตามสภาพ มีเงิน 3 หมื่นกว่าบาท ก็สามารถซื้อรถรุ่นนี้มาขับได้แล้ว

Mazda-323

Mazda-323-Astina

9. Mazda 323 1.6 GLX (BG) / 323 Astina 1.8 GT (BG)

Mazda 323 (มาสด้า 323) และ Mazda 323 Astina (มาสด้า 323 แอสติน่า) รุ่นยอดนิยม เปิดตัวในไทยเมื่อปี 2533 มีวิ่งเป็นแท็กซี่กันเพียบ รวมไปถึง มาสด้า 323 แอสติน่า 5 ประตูแฮทช์แบค ก็มีเป็นแท็กซี่หลายคันอยู่ ถือเป็นรถยอดนิยมสำหรับครอบครัว และวัยรุ่นสุดๆ โดยเฉพาะ มาสด้า 323 แอสติน่า ไฟป๊อปอัพ สามารถทำความเร็วได้มากกว่า 200 กม./ชม. ในตอนนั้นถือว่าไม่ธรรมดา! และโดดเด่นด้วยช่วงล่างหลังแบบปีกนกคู่สัมพันธ์ TTL

มาสด้า 323 ใช้เครื่องยนต์ขนาด 1.6 ลิตร รหัส B6 87 แรงม้า ส่งกำลังผ่านเกียร์ธรรรมดา 5 สปีด และเกียร์อัตโนมัติ 4 สปีด

ส่วนในรุ่น Astina ใช้เครื่องยนต์ขนาด 1.8 ลิตร รหัส BPD 140 แรงม้า (รุ่นไมเนอร์เชนจ์ ลดแรงม้าลงมาเหลือ 125 แรงม้า) ส่งกำลังผ่านเกียร์ธรรรมดา 5 สปีด

ราคาในตลาด แบบตามสภาพ มีเงิน 2 หมื่นกว่าบาท ก็สามารถซื้อรถรุ่นนี้มาขับได้เช่นกัน ส่วน Astina อาจจะต้องเพิ่มเงินมาหน่อย เพราะราคารถตลาดสภาพ ก็อยู่ที่ 3 หมื่นปลายๆ แล้วครับ

BMW-E30

10. อันสุดท้าย เผื่อคนอยากได้รถยุโรป … BMW 316 / 318i (E30)

BMW ซีรี่ส์ 3 ในยุคที่บริษัท ยนตรกิจ จำกัด เป็นผู้จำหน่าย เริ่มเผยโฉมในปี 2527 มีทั้งแบบ 2 ประตู และ 4 ประตู ในรุ่น 316, 316i, 318i และ 318iA เกียร์อัตโนมัติ ในช่วงท้ายๆ อายุตลาด ตัวรถภายนอกสวยสปอร์ต เท่ ท้าทาย แน่นหนา ภายในโอ่อ่า หรูหรา ถูกใจวัยรุ่นวัยเฒ่าทั้งหลายที่โปรดปรานการขับอวดกันเพิ่มขึ้นอีก

มาพร้อมเครื่องยนต์ขนาด 1.6 ลิตร รหัส M10 90 แรงม้า ส่งกำลังผ่านเกียร์ธรรมดา 4 สปีด และ 5 สปีด, เครื่องยนต์ 1.6 ลิตร รหัส M40 และเครื่องยนต์ขนาด 1.8 ลิตร รหัส M10 105 แรงม้า ทำความเร็วได้สูงสุดถึง 184 กม./ชม.

พอในรุ่นไมเนอร์เชนจ์ จึงเพิ่มเครื่องยนต์ขนาด 1.8 ลิตร รหัส M40 115 แรงม้า เข้ามา ส่งกำลังผ่านเกียร์ธรรมดา 5 สปีด และเกียร์อัตโนมัติ 4 สปีด

ราคาในตลาด แบบตามสภาพ มีเงิน 2 หมื่นกว่าบาท ก็สามารถซื้อรถรุ่นนี้มาขับได้เช่นกัน แต่ก็ต้องเตรียมงบไว้ปั้นต่อบานอยู่!

ส่วนถ้าใครอยากขายรถ สามารถขายคันเดิมกับ CARRO Express ได้ เรายินดีรับซื้อรถของคุณ ได้เงินไว เร็ว พร้อมปิดการขายได้ทันที แค่คลิก https://th.carro.co/sell-car/express หรืออยากตีราคารถก่อน สามารถ Inbox สอบถามรายละเอียดได้ที่ Facebook CARRO Thailand

หรือจะ Add Line สอบถามรายละเอียดได้ที่ @Carrothailand หรือคลิกที่นี่ —> เพิ่มเพื่อน

(บทความนี้สงวนลิขสิทธิ์)

Trick-Use-Car-Camera

เลือกกล้องติดหน้ารถ เลือกราคาเท่าไหร่ สเปคแบบไหน ต้องอ่าน

Car-Cameraภาพจาก ausdom

            ปฏิเสธไม่ได้เลยว่า ทุกวันนี้ “กล้องติดรถยนต์” หรือ “กล้องติดหน้ารถ” นั้น มีความสำคัญอย่างยิ่ง การมีกล้องติดรถยนต์นั้นถือเป็นเรื่องที่สำคัญแล้วจำเป็นไปแล้ว ทั้งสามารถบันทึกเรื่องราวต่างๆ อาทิเช่น บันทึกภาพรถยนต์ที่ทำผิดกฎจราจร หรือกรณีเกิดอุบัติเหตุ รวมถึงเป็นหลักฐานชิ้นสำคัญที่ช่วยให้ตำรวจสามารถทำงานได้ง่ายขึ้น ตัดสินได้ง่ายขึ้นว่าใครถูกใครผิด ทาง

Carro ขอแนะนำวิธีการเลือกซื้อกล้องติดรถยนต์ให้ได้คุณภาพ และคุ้มค่ากับเงินที่จ่ายไปครับ.

Car-Camera-2

ภาพจาก Youtube Nopparit Lee

1. ความคมชัดของกล้อง

ความคมชัดของกล้อง ถือเป็นสิ่งสำคัญในการเลือกซื้อเลยก็ว่าได้ เพราะราคาที่ถูก กับ ราคาที่แพง ความคมชัดของภาพก็ย่อมต่างกัน แต่ถ้ายึดตามการใช้งานแล้ว ระดับ Full HD 1080P หรือ HD Ready (720P) ก็ถือว่าเหมาะสม ส่วนค่า FPS (Frame Per Second – อัดเฟรมภาพต่อวินาที) หากอยู่ที่ 20-30 FPS (หมายถึง ใน 1 วินาที จะบันทึกภาพต่อเนื่องได้ 20-30 ภาพ) ก็ถือว่าใช้ได้ เพราะให้ภาพที่คมชัดสมจริง และไม่กระตุก

ในส่วนของรูรับแสง หรือ Lens Aperture ของกล้องติดรถยนต์มีความหมายเดียวกับของกล้องถ่ายรูป ที่ช่างภาพมักนิยมเรียนว่า ค่า “F/Stop” ใช้ตัวเลขกำกับแสดงขนาดของรูรับแสง ค่าตัวเลข F น้อยๆ รูรับแสงกว้าง แสงเข้าได้มาก หรือชัดตื้น ภาพจะชัดแค่ช่วงจุดโฟกัส ส่วนที่ค่าตัวเลข F มากๆ รูรับแสงจะแคบลง แสงเข้าได้น้อย หรือชัดลึก ภาพจะคมชัดทั้งหมดของภาพ

สำหรับโหมดการบันทึกภาพแบบ WDR (Wide Dynamic Range) ในช่วงกลางคืน ควรเลือกกล้องที่มีรูรับแสงกว้าง หรือมีระบบอินฟราเรด เพื่อให้ถ่ายภาพในเวลากลางคืน หรือในสภาพที่มีแสงน้อยได้อย่างชัดเจน และมีระบบ G-Sensor บันทึกภาพฉุกเฉิน และระบบ Motion detect (ระบบตรวจจับความเคลื่อนไหว) ด้วยก็ดี

Toyota-Car-Camera

2. มุมมองของกล้อง

ควรเลือกกล้องติดรถยนต์ที่มีมุมมองด้านหน้ากว้างและอยู่กึ่งกลาง เพื่อเห็นบริเวณหน้ารถให้มากที่สุด หรือเห็นทั้งมุม ซ้าย-ขวา ได้ บางรุ่นก็มีเลนส์ Fish Eye ให้เลือกด้วย

Car-Camera-4

ภาพจาก Aliexpress

3. ความคมชัด และ รองรับความจุเมมโมรี่

กล้องติดรถยนต์แต่ละตัวก็รองรับชนิดเมมโมรี่ขนาดความจุได้ไม่เท่ากัน ทางที่ดีควรเลือกแบบรองรับเมมโมรี่การ์ดได้ 64GB จะทำให้เก็บไฟล์ VDO ได้ต่อเนื่อง แต่ส่วนใหญ่มักรองรับที่ 32GB และควรเลือกกล้องที่มีสามารถอัดทับได้ (หรือ Loop Recording) คือ การเลือกบันทึกวีดีโอความยาว 3-10 นาที และเริ่มบันทึกวีดีโอใหม่ไปเรื่อยๆ หากเมมโมรี่การ์ดเต็มความจุ ก็จะวนกลับไปบันทึกทับไฟล์วีดีโอของเก่าโดยอัตโนมัติ ทำให้เมมโมรี่การ์ดไม่เต็ม เพราะไฟล์วีดีโอเก่าจะถูกลบไปเรื่อยๆ

4. แบตเตอรี่

กล้องติดรถยนต์มีทั้งเป็นแบบที่มีแบตเตอรี่ในตัว และแบบคือไม่มีแบตเตอรี่ในตัวเอง โดยมีแค่เพียงตัวเก็บประจุไฟ หรือ คาปาซิเตอร์ (Capacitor) คล้ายกับแบตเตอรี่สำรองในตัวกล้อง แต่ก็ต้องต่อเชื่อมต่อไฟกับที่จุดบุหรี่ ก็มีข้อดีอยู่ตรงที่ไม่ต้องกังวลเรื่องแบตเตอรี่ในตัวกล้องเสื่อม หรือความร้อนจากแบตเตอรี่ที่เกิดจากการใช้งาน

Car-Camera-5

ภาพจาก Aliexpress

5. คุณภาพ ราคา และ การรับประกันหลังการขาย

ราคาของกล้องติดรถยนต์นั้น มีแต่ตั้งหลักหลายร้อยบาท ไปจนถึงราคาหลักหมื่นบาท ขึ้นอยู่กับคุณสมบัติความทนทาน และคุณภาพ โดยที่กล้องบางรุ่น บางยี่ห้อ ราคาถูกก็จริง แต่ใช้งานไปได้ไม่นานนักก็รวน หรือพัง บางชนิดก็ไม่สามารถทนแดดแรงๆ ในบ้านเราได้

ทางที่ดีเมื่อไม่ได้ใช้กล้องแล้ว ก็ควรที่จะถอดเก็บ เพื่อไม่ให้โดนแดด หรืออาจจะหาอะไรบังป้องกันแสงแดดไว้ไม่ให้โดนตัวกล้อง หรือชาร์จไฟเต็มแล้ว ให้ถอดแบตเตอรี่ออก

ทางที่ดีควรดูด้วยว่า ผู้แทนจำหน่าย มีระบุเงื่อนไขในการรับประกันหลังการขายด้วยหรือไม่ ทางที่ดีควรเลือกซื้อจากตัวแทนจำหน่ายที่มีในประเทศไทย มีราคาที่เหมาะสมต่อการใช้งานของคุณ และมีการรับประกันสินค้าให้ก็ดีครับ แม้ว่าราคาอาจจะแพงกว่า แต่ก็ดีกว่าเสียแล้วต้องโยนทิ้งเลย

Car-Camera-6

ภาพจาก ebay

หากใครที่กำลังมองหากล้องติดรถยนต์ในขณะนี้ ก็ลองนำข้อมูลจากทาง Carro ไปเปรียบเทียบและพิจารณาในการเลือกซื้อกล้องติดรถยนต์ได้เลยครับผม เพื่อความคุ้มค่ากับเงินที่จ่ายไปครับ