ใบจองรถ, Check, รถใหม่, โปรโมชั่น, Motor Show

ความจริง 4 ข้อที่ควรรู้ก่อนเซ็น “ใบจองรถ” ป้องกันการเกิดสารพัดปัญหาในภายหลัง

ในช่วงปลายเดือนนี้ หลายๆคนอาจจะเห็นข่าวกิจกรรม พร้อมกับรูปรถสวยๆหลากหลายแบรนด์บน Facebook และ Instagram จากงาน Motor expo 2018 กันบ้าง

ซึ่งมีตั้งแต่รถแบรนด์ตลาดไปจนถึง Super Car ในงานนี้หลายๆ ค่ายรถก็แข่งกันเสนอโปรโมชั่น ลด แลก แจก แถมให้กับลูกค้าในงานกันอย่างดุเดือด จนเหยื่อการตลาดหลายๆ คนโดนแรงดึงดูดจากข้อเสนอต่างๆ ไปจับไปดูไปทดลองสินค้าจนเกิดกิเลส และในที่สุดก็ตัดสินใจซื้อ เพราะแพ้ข้อเสนอที่แสนดึงดูดใจนั่นเอง (การซื้อของได้ถูกหรือได้ของแถมเยอะกว่าชาวบ้าน เป็นลาภอันประเสริฐ)

ซึ่งการซื้อรถยนต์คันหนึ่งนั้น หากเจอเซลส์ดีก็ถือว่าโชคดีไป แต่เซลส์บางคน ก็มักจะรับปากกับลูกค้าในสิ่งที่ไม่สามารถให้ได้ตั้งแต่แรก เพื่อหวังจะเพิ่มยอดขายให้บริษัท ซึ่งอาจก่อปัญหาให้ลูกค้าที่ซื้อรถไปในภายหลัง ในวันนี้

Carro จึงมานำเสนอความจริง 4 ข้อที่ควรทำ ก่อนที่คุณจะตัดสินใจเซ็นใบจองรถ เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดปัญหาภายหลังการได้รับสินค้าหรือรถคันใหม่ของคุณนั่นเอง

 

1.ใบจองรถต้องมีหัวกระดาษของโชว์รูม

ใบจองรถที่ถูกต้อง ต้องเป็นกระดาษฟอร์ม พร้อมหัวกระดาษของโชว์รูมที่คุณกำลังซื้อรถอยู่เท่านั้น เพราะสิ่งเหล่านี้มีผลทางกฎหมายหากเกิดเหตุขัดแย้งในภายหลัง และใบจองรถต้องเขียนข้อมูลราคา, เงินดาวน์, ค่างวด, รายการของแถม, ส่วนลดและรายละเอียดต่างๆ ให้ครบถ้วน

 

2.ต้องให้เซลส์เป็นผู้เขียนรายการทั้งหมดด้วยลายมือ

รายการของแถมและส่วนลดต่างๆ ควรเขียนด้วยลายมือของเซลส์เองทั้งหมด เพื่อป้องกันข้อโต้แย้งในกรณีได้รับของแถมไม่ครบ หรือไม่ได้ส่วนลดตามที่ได้ตกลงกันไว้ตั้งแต่แรก

 

3.ใบจองรถต้องระบุชื่อเซลส์ และลงวันที่


ใบจองรถควรระบุชื่อจริงของเซลส์เอาไว้ รวมถึงลงวันที่ทำสัญญา และวันกำหนดรับรถให้ชัดเจน เพราะจะสามารถใช้เป็นหลักฐาน ในกรณีที่ต้องรอรับรถเป็นระยะเวลานาน เผื่อกรณีไม่ได้รถตามเวลาที่ตกลงไว้แต่แรก กรณีนี้ ผู้ซื้อสามารถยกเลิกสัญญาแล้วเปลี่ยนไปหาโชว์รูมที่ผู้ซื้อรับรถเร็วกว่าได้

 

4.อุปกรณ์เสริมแท้, เทียบ หรือของนอก ต้องระบุให้ชัด

กรณีที่ได้รับของแถม หรือซื้ออุปกรณ์ตกแต่งเพิ่มเติม ต้องให้เซลล์ระบุให้ชัดเจนว่า อุปกรณ์ตกแต่งดังกล่าวเป็นของแท้จากผู้ผลิต หรือเป็นของเทียบจากอู่นอก ซึ่งของแท้มักมีคุณภาพสูงกว่า ติดตั้งได้พอดีกับตัวรถ แต่ก็ราคาสูงกว่าของเทียบ ซึ่งบางครั้งเซลส์อาจนำของเทียบมาใส่ให้ แล้วบอกว่าเป็นของแท้จากศูนย์ คุณจึงต้องคุยและตกลงกับเซลล์ให้ทุกอย่างเคลียร์ตั้งแต่แรก


ซึ่งการตรวจสอบใบจองรถโดยละเอียดก่อนตกลงทำสัญญานั้น หากถึงวันรับรถแล้วพบว่ามีรายการใดที่ขาดตกบกพร่องไปจากสัญญา ผู้ซื้อจะยังมีโอกาสปฏิเสธรับรถคันนั้นได้ ดังนั้น อย่าลืมปฏิบัติตามคำแนะนำที่กล่าวไปทั้งหมด 4 ข้อ เพื่อสิทธิประโยชน์ของผู้ซื้อทุกคนนะคะ

New-SUV-And-Crossover-In-Motor-Show-2018

พบกับรถ SUV และ Crossover รุ่นใหม่ จากงาน Motor Show 2018 ได้ที่นี่

ในยุคปัจจุบัน ถ้าจะให้พูดถึงรถยนต์อเนกประสงค์ หรือ รถยนต์ในรูปแบบ SUV, PPV หรือ Crossover นั้น เป็นที่นิยมมากขึ้นทุกปี (ดูได้จากยอดขายรถประเภทนี้ ย้อนหลังไป 5 ปีที่ผ่านมา) เพราะเป็นรถที่สามารถใช้งานได้หลากหลาย ไม่ว่าจะไว้วิ่งในเมือง ไว้ออกต่างจังหวัด ลุยน้ำท่วม ขนสัมภาระมากมาย หรือเดินทางไปกับครอบครัวหลายคนก็ตาม

ในงาน Motor Show 2018 นี้ บรรดาผู้ผลิตรถยนต์ที่มีไลน์การผลิตรถแนว SUV, PPV หรือ Crossover ต่างรีบนำผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ ของตนออกสู่ตลาดโดยเร็ว เพื่อช่วงชิงยอดจองและยอดขาย ซึ่งในงาน Motor Show 2018 จะมีรุ่นใดมาโชว์นั้น CARRO ขอนำเสนอข้อมูลให้ทุกท่านดูกันได้เลยครับ …

Toyota C-HR

Toyota-C-HR

Toyota C-HR (โตโยต้า ซี-เฮชอาร์) รถ Crossover อเนกประสงค์ ที่ทาง Toyota นำมาโชว์ ถือว่าได้รับความสนใจอย่างล้มหลามเลยทีเดียว มีทั้งรุ่นเบนซิน และรุ่นไฮบริดให้เลือกกันถึง 4 รุ่นย่อย

ซึ่ง Toyota C-HR ในรุ่นเครื่องยนต์เบนซินขนาด 1.8 ลิตร รหัส 2ZR-FBE ให้แรงม้าสูงสุด 140 แรงม้า และเครื่องยนต์ไฮบริดขนาด 1.8 ลิตร รหัส 2ZR-FXE ให้แรงม้าสูงสุด 122 แรงม้า ที่ยกชุดมาจากในตัว Prius รุ่นล่าสุด ชูจุดเด่นเรื่องความประหยัดน้ำมัน นอกจากนี้ยังติดตั้งระบบความปลอดภัย Toyota Safety Sense และมีระบบ Toyota T-Connect Telematics เชื่อมต่อกับโทรศัพท์มือถือได้สะดวกและง่ายดาย

ราคาของ Toyota C-HR ใหม่

– รุ่น 1.8 Entry ราคา 979,000 บาท
– รุ่น 1.8 Mid ราคา 1,039,000 บาท
– รุ่น Hybrid Mid ราคา 1,069,000 บาท
– รุ่น Hybrid Hi ราคา 1,159,000 บาท

Mazda CX-5

Mazda-CX-5

Mazda (มาสด้า) เปิดตัว Crossover SUV รุ่นใหม่ล่าสุดอย่าง “Mazda CX-5” ใหม่ มาพร้อมรูปทรงการออกแบบอันสง่างามทั้งภายนอกและภายใน ที่ได้แรงบันดาลใจจากสุนทรียศาสตร์ของงานศิลปะญี่ปุ่นแบบดั้งเดิม ตามแนวทางการออกแบบ “Less is more” ภายนอกดูเรียบง่าย แต่สุขุม และยังคงให้ความสปอร์ตโฉบเฉี่ยวในแบบฉบับใหม่ อัดแน่นไปด้วยเทคโนโลยีเจนเนอเรชั่นใหม่ล่าสุด

Mazda CX-5 มาพร้อมเครื่องยนต์ SKYACTIV-G ขนาด 2.0 ลิตร ให้แรงม้า 165 แรงม้า ที่ 6,000 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 210 นิวตัน-เมตร ที่ 4,000 รอบ/นาที ประหยัดน้ำมันสูงสุด 13.9 กม./ลิตร

และเครื่องยนต์คลีนดีเซล SKYACTIV-D ขนาด 2.2 ลิตร ให้แรงม้า 175 แรงม้า ที่ 4,500 รอบ/นาที แรงบิดสูง 420 นิวตัน-เมตร ที่ 2,000 รอบ/นาที ประหยัดสูงสุด 17.5 กม./ลิตร

ราคา Mazda CX-5 ใหม่

– รุ่น 2.0 C ราคา 1,290,000 บาท
– รุ่น 2.0 S ราคา 1,400,000 บาท
– รุ่น 2.0 SP ราคา 1,530,000 บาท
– รุ่น 2.2 XD ราคา 1,560,000 บาท
– รุ่น 2.2 XDL ราคา 1,770,000 บาท

Mitsubishi Pajero Sport

Mitsubishi-Pajero-Sport

Mitsubishi Pajero Sport (มิตซูบิชิ ปาเจโร สปอร์ต) ใหม่ รุ่นปี 2018 เพียบพร้อมด้วยความเหนือระดับ ทั้งอุปกรณ์อำนวยความสะดวก เทคโนโลยี ความปลอดภัยและสมรรถนะ พร้อมแพ็คเกจอุปกรณ์ตกแต่งใหม่ล่าสุดที่ได้รับการออกแบบเพื่อเพิ่มความหรูหราของรถอเนกประสงค์ยอดนิยมรุ่นนี้

ตกแต่งพิเศษด้วยชุดอุปกรณ์เหนือระดับ 10 รายการ เพื่อเพิ่มสัมผัสความประณีตสไตล์สปอร์ตพรีเมี่ยม นอกจากเสาอากาศแบบฝังกระจกหลังแล้ว การตกแต่งปรับโฉมเน้นไปที่การยกระดับความหรูหราเหนือระดับของห้องโดยสาร

ขับเคลื่อนด้วยเครื่องยนต์ดีเซล MIVEC VG Turbo ที่มาพร้อมเสื้อสูบและฝาสูบอลูมินัม อัลลอย ความจุ 2.4 ลิตร ช่วยให้เครื่องยนต์มีแรงบิดดีขึ้นในรอบต่ำ ให้พละกำลังสูงสุด 181 แรงม้า ที่ 3,500 รอบ/นาที มีแรงบิดสูงสุดถึง 430 นิวตันเมตร ที่ 2,500 รอบ/นาที

ราคาของ Mitsubishi Pajero Sport ใหม่

– รุ่น 2WD GT ราคา 1,296,000 บาท
– รุ่น 2WD GT-Premium ราคา 1,399,000 บาท
– รุ่น 4WD GT-Premium ราคา 1,539,000 บาท

Subaru XV

Subaru-XV

Subaru XV (ซูบารุ เอ็กซ์วี) รถ Crossover ที่เคยสร้างกระแสความนิยมในช่วงหลายปีที่ผ่านมา และสร้างยอดขายให้กับ Motorimage ผู้นำเข้ารถยนต์ซูบารุในบ้านเราได้มากพอสมควร ถึงเวลาเปลี่ยนโฉมใหม่ตามญี่ปุ่น พัฒนาขึ้นบนแพล็ตฟอร์มล่าสุด “Subaru Global Platform” ร่วมกันกับ Impreza ใหม่ คาดว่ามาพร้อมเครื่องยนต์ 2.0 ลิตร ส่งกำลังผ่านเกียร์ CVT แบบ 7 สปีด เตรียมเปิดตัวในงาน Motor Expo 2017 นี้

Subaru XV ใหม่ ใช้เครื่องยนต์ขนาด 2.0 ลิตร รหัส FB20 แบบ Boxer 4 สูบ DOHC 16 วาล์ว พัฒนาขึ้นใหม่กว่า 80% เพิ่มกำลังอัดเป็น 12.5:1 (จากเดิม 10.5:1) ให้แรงม้าสูงสุด 156 แรงม้า ที่ 6,000 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 196 นิวตัน-เมตร ที่ 4,000 รอบ/นาที ส่งกำลังด้วยเกียร์อัตโนมัติ CVT แบบ 7 สปีด พร้อมระบบขับเคลื่อนสี่ล้อ Symmetrical AWD และระบบ X-Mode สำหรับส่งถ่ายกำลังขับเคลื่อน 4 ล้อ

ราคาของ Subaru XV ใหม่

– รุ่น 2.0i ราคา 1,159,000 บาท
– รุ่น 2.0i-P ราคา 1,259,000 บาท

Isuzu MU-X

Isuzu-MU-X

Isuzu (อีซูซุ) ส่ง Isuzu MU-X The Iconic (อีซูซุ มิวเอ็กซ์ ดิ ไอคอนนิค) รถยนต์นั่งอเนกประสงค์สุดหรูรุ่นล่าสุด ที่มาเพิ่มทางเลือกและต่อยอดความแรงของ “The New Isuzu MU-X” ภายใต้นิยาม Signature of Privilege เอกลักษณ์แห่งเอกสิทธิ์

เพิ่มเติมความโฉบเฉี่ยว หรูหรา งดงามทุกรายละเอียด อาทิ สปอร์ตเท่รอบคันกับชุดแต่ง Iconic Style ห้องโดยสารโทนเข้ม Lava Black ขับเน้นอารมณ์สปอร์ต ระบบความบันเทิงพร้อม Built-in Navigator และ Digital TV Tuner และล้ออัลลอย 18″ Iconic Cross ทำให้เป็นยนตรกรรมไลฟ์สไตล์ที่ครอบคลุมทุกความต้องการของผู้ใช้รถที่มีสไตล์อันโดดเด่น ไม่ซ้ำใคร

มีให้เลือกทั้งเครื่องยนต์ 1.9 และ 3.0 ดีดีไอ บลูเพาเวอร์ ที่ให้การตอบสนองการขับขี่ที่ดี ประหยัดน้ำมัน และรักษาสิ่งแวดล้อม ชุดเกียร์อัตโนมัติ ขับเคลื่อน 2 ล้อ พร้อมช่วงล่างที่นุ่มนวล รวมถึงเทคโนโลยีและฟังก์ชั่นต่างๆ ที่ตอบสนองการใช้ชีวิตยุคใหม่ให้ผู้ใช้รถได้สูงสุดในทุกด้าน โดยมีให้เลือก 2 สี ได้แก่ ขาวมุกเอเวอร์เรสต์ (Everest Pearl White) และ ดำออสเตรเลียนโคล (Australian Coal Black)

ราคาของ Isuzu MU-X ใหม่

– รุ่น 1.9 Ddi 4×2 CD A/T ราคา 1,099,000 บาท
– รุ่น 1.9 Ddi 4×2 DVD M/T 1,214,000 บาท
– รุ่น 1.9 Ddi 4×2 DVD AT 1,264,000 บาท
– รุ่น1.9 Ddi 4×2 DVD Navi DA AT 1,329,000 บาท
– รุ่น 3.0 Ddi 4×2 DVD NAVI AT 1,374,000 บาท
– รุ่น 3.0 Ddi 4×4 DVD NAVI AT 1,474,000 บาท
– รุ่น 1.9 Ddi 4×2 AT The Iconic ราคา 1,354,000 บาท
– รุ่น 3.0 Ddi 4×2 AT The Iconic ราคา 1,399,000 บาท

MG ZS

MG-ZS

MG (เอ็มจี) ประเทศไทย นำ MG ZS (เอ็มจี แซดเอส) มาโชว์รูปลักษณ์ของ New MG ZS ได้รับการออกแบบภายใต้แนวคิดบริท ไดนามิค (Brit Dynamic) ที่มีความทันสมัยมากขึ้นและสปอร์ตยิ่งกว่าเดิม พร้อมชูจุดเด่นรถยนต์รุ่นแรกของเอ็มจี ที่มาพร้อมกับระบบอัจฉริยะ i-SMART มีระบบ Voice Command ภาษาไทย

New MG ZS ขับเคลื่อนด้วยเครื่องยนต์เบนซินรุ่นใหม่ รหัส 15S4C ขนาด 1.5 ลิตร แบบ 4 สูบ DOHC VTi-TECH ให้แรงม้าสูงสุด 114 แรงม้า ที่ 6,000 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 150 นิวตันเมตร ที่ 4,500 รอบ/นาที ส่งกำลังผ่านเกียร์อัตโนมัติ 4 สปีด พร้อม Manual Mode

ราคาของ MG ZS ใหม่

– รุ่น C ราคา 679,000 บาท
– รุ่น D ราคา 729,000 บาท
– รุ่น X ราคา 789,000 บาท

BMW X2

BMW-X2

BMW X2 (บีเอ็มดับบลิว เอ็กซ์2) สมาชิกใหม่ล่าสุดในตระกูล X ของบีเอ็มดับเบิลยู ฉีกภาพลักษณ์แบบเดิมๆ ด้วยดีไซน์ที่สะท้อนให้เห็นถึงความสปอร์ตทรงพลังตั้งแต่แรกเห็น

มาพร้อมรูปทรงโฉบเฉี่ยวและดีไซน์ที่เป็นเอกลักษณ์ ผสานรูปลักษณ์สไตล์สปอร์ตคูเป้เข้ากับความแข็งแกร่งทรงพลังในแบบฉบับบีเอ็มดับเบิลยู ตระกูล X โดยเป็นครั้งแรกที่กระจังหน้าไตคู่อันเป็นเอกลักษณ์ของ BMW มีรูปทรงส่วนฐานด้านล่างกว้างกว่าด้านบน สร้างมิติให้รถดูกว้างและโฉบเฉี่ยวมากขึ้น ตอกย้ำความสปอร์ตด้วยช่องดักอากาศลวดลายหกเหลี่ยม นอกจากนี้ BMW X2 ยังเป็นรุ่นแรกในตระกูล X ที่มีตราของบีเอ็มดับเบิลยูประดับอยู่บนเสา C-pillar ทั้งสองข้าง

BMW X2 มาพร้อมชุดแต่งรอบคัน M Sport X สะดุดตาด้วยสเกิร์ตและซุ้มล้อสี Frozen Grey ตัดกับสีตัวถังอย่างลงตัว ท่อไอเสียแบบคู่ ล้ออัลลอยน้ำหนักเบาลาย Y-spoke ในสไตล์ M ขนาด 19 นิ้ว และเฟรมรอบซุ้มล้อรูปทรงเหลี่ยมอันเป็นเอกลักษณ์ในสี Frozen Grey เช่นกัน

BMW X2 sDrive20i M Sport X ขับเคลื่อนด้วยเครื่องยนต์เบนซิน เทคโนโลยี BMW TwinPower Turbo 4 สูบ ให้แรงม้าสูงสุด 192 แรงม้า ที่ 5,000-6,000 รอบ/นาที และแรงบิดสูงสุด 280 นิวตันเมตร ที่ 1,350-4,600 รอบ/นาที เมื่อจับคู่กับเกียร์อัตโนมัติแบบ Steptronic คลัตช์คู่ 7 สปีด มีอัตราเร่ง 0-100 กม./ชม. ภายใน 7.7 วินาที ที่ความเร็วสูงสุด 227 กม./ชม.

อีกหนึ่งไฮไลท์อันโดดเด่นของ BMW X2 คือ หลังคากระจกแบบ Panorama สองส่วน ส่วนหน้าสามารถเปิด-ปิดด้วยระบบไฟฟ้า พร้อมอุปกรณ์มาตรฐานอื่น ๆ รวมถึงหน้าจอ Control Display ขนาด 8.8 นิ้ว ปุ่มควบคุม iDrive พร้อมระบบสัมผัส ระบบแสดงข้อมูลการขับขี่ที่กระจกหน้าฝั่งคนขับ (BMW Head-Up Display) วิทยุพร้อมการเชื่อมต่อโทรศัพท์ผ่าน Bluetooth และช่อง USB การเชื่อมต่อโทรศัพท์ผ่าน Bluetooth ช่อง USB และแท่นสำหรับอุปกรณ์เสริม

BMW X2 ราคา 2,999,000 บาท

Mercedes-Benz GLC-Class

Mercedes-Benz-GLC-Class

Mercedes-Benz นำ GLC-Class มาโชว์ พร้อมกับเผยรุ่นใหม่อย่าง GLC 250 4MATIC Coupé AMG Plus (เมอร์เซเดส-เบนซ์ จีแอลซี 240 4แมติก คูเป้ เอเอ็มจี พลัส) ใหม่ ยนตรกรรมที่ผสานความอเนกประสงค์ของรถยนต์สไตล์เอสยูวีและความสปอร์ต โฉบเฉี่ยว ของรถยนต์คูเป้เข้าไว้ด้วยกัน พร้อมโดดเด่นด้วยการขับเคลื่อนแบบ 4 ล้อ ที่สามารถตอบโจทย์ทุกไลฟ์สไตล์ของลูกค้าได้อย่างลงตัว มีพื้นที่จัดเก็บสัมภาระที่กว้างขวางด้วยความจุ 500-1,400 ลิตร

GLC 250 4MATIC Coupé AMG Plus มาพร้อมเครื่องยนต์เบนซินขนาด 2.0 ลิตร 4 สูบ แถวเรียง ให้แรงม้าสูงสุด 211 แรงม้า ที่ 5,500 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 350 นิวตัน-เมตร ที่ 1,200 – 4,000 รอบ/นาที มาพร้อมกับระบบส่งกำลังแบบ 9G-Tronic อัตราเร่ง 0-100 กม./ชม. ใน 7.3 วินาที ทำความเร็วได้สูงสุด 222 กม./ชม.

ราคาของ Mercedes-Benz GLC-Class ใหม่

– GLC 250 4MATIC Coupé AMG Plus ราคา 4,060,000 บาท

Pickup-In-Motor-Show-2018

ต้อนรับหน้าร้อน กับรถกระบะรุ่นเด่นๆ ในงาน Motor Show 2018

รถกระบะ ถือเป็นรถที่ยอดนิยมอย่างยิ่งของชาวไทยมานานนับหลายสิบปี ที่มาพร้อมเทคโนโลยี ออพชั่น และกำลังเครื่องยนต์ที่มากขึ้นเรื่อยๆ และยอดขายยังเป็นปัจจัยที่แสดงให้เห็นถึงสภาวะเศรษฐกิจได้อีกทางหนึ่ง เป็นรถสารพัดประโยชน์ในเชิงพาณิชย์ ใช้งานได้ทั้งในเมือง ในที่ทุรกันดาร ขนของ ขนสัตว์ ใช้รับจ้างหาเงิน ทำเป็นรถสองแถวก็ได้ หรือใช้งานส่วนตัวก็ดี ฯลฯ

ในงาน Motor Show 2018 นี้ ผู้ผลิตรถกระบะหลายเจ้าอย่าง โตโยต้า, อีซูซุ, มิตซูบิชิ, ฟอร์ด หรือ เชฟโรเลต ต่างส่งรถกระบะโฉมใหม่ หรือรุ่นพิเศษของตัวเองออกมาเพื่อกระตุ้นตลาด ช่วงชิงยอดจองและยอดขาย โดนใจผู้บริโภคที่อยากเปลี่ยนรถกระบะคันใหม่

โดยในงาน Motor Show 2018 จะมีรถกระบะรุ่นใดมาโชว์นั้น CARRO ขอนำเสนอข้อมูลให้ทุกท่านดูกันได้เลยครับ …

Toyota Hilux Revo

Toyota-Hilux-Revo-Rocco

Toyota นำเสนอ “Hilux Revo รุ่นปรับโฉมใหม่” ซึ่งถูกพัฒนาขึ้นภายใต้แนวคิด “ตัวตนของคนจริง” ด้วยดีไซน์ใหม่ของกันชนหน้า กระจังหน้าแบบโครเมียมและสีดำเงา และกรอบไฟตัดหมอกสีดำเงา สอดรับกับสีภายในห้องโดยสารใหม่โทนสีดำ ตลอดจนอุปกรณ์มาตรฐานต่างๆ ที่มีการปรับเพิ่มให้ครอบคลุมทุกการใช้งาน

และยังมี Hilux Revo Rocco (ไฮลักซ์ รีโว่ ร็อคโค่) ใหม่! รุ่นตกแต่งพิเศษ เปิดตัวในงานนี้ด้วย ถูกพัฒนาขึ้นภายใต้แนวคิด “แกร่งเกินนิยาม” โดยมาพร้อมเครื่องยนต์ขนาด 2.8 ลิตร รหัส 1GD-FTV แบบ 4 สูบ 16 วาล์ว DOHC VN Turbo Intercooler ให้แรงม้าสูงสุด 177 แรงม้า ที่ 3,400 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 420 นิวตัน-เมตร ที่ 1,400-2,600 รอบ/นาที

ราคาของ Toyota Hilux Revo ใหม่ อยู่ที่ 523,000 – 1,154,500 บาท

Isuzu D-Max X-Series

Isuzu-D-Max-X-Series

Isuzu (อีซูซุ) เปิดตัว “ใหม่! อีซูซุ เอ็กซ์-ซีรี่ส์ 1.9 ดีดีไอ บลูเพาเวอร์” แรงขีดสุด…เต็มสปีดพันธุ์เอ็กซ์ ไลฟ์สไตล์ปิกอัพเพื่อคนสายพันธุ์สปอร์ต ปรับโฉมใหม่เพิ่มเอกลักษณ์ให้โดดเด่นยิ่งขึ้น ทั้งภายนอกและภายใน มีให้เลือก 2 รุ่น ได้แก่ รุ่น Speed สปอร์ตเข้าถึงจิตวิญญาณชาวเรซซิ่ง และครั้งแรกกับทางเลือก ใหม่! Speed Cab4 ปิกอัพสปอร์ต 4 ประตูของคนพันธุ์เท่ พร้อมด้วยรุ่น Hi-Lander สปอร์ตพรีเมี่ยม เท่ หรูหรามีสไตล์ดุจรถยนต์นั่ง

ทั้ง 2 รุ่นมาพร้อมขุมพลังสปอร์ตสไตล์เอ็กซ์ เครื่องยนต์ 1.9 ดีดีไอ บลูเพาเวอร์ และระบบส่งกำลังสไตล์สปอร์ตโดยทั้งรุ่นเกียร์ออโตเมติก 6 สปีด แบบ Rev Tronic และรุ่นเกียร์ธรรมดา 6 สปีด มาพร้อมโอเวอร์ไดร์ฟ 2 ตำแหน่งที่เกียร์ 5 และ 6

ราคาของ Isuzu D-Max อยู่ที่ 502,000 – 1,099,000 บาท

ราคาของ Isuzu D-Max X-Series ใหม่ อยู่ที่ 742,000 – 966,000 บาท

Nissan Navara (MY2018)

Nissan-NP300-Navara

ครั้งแรกในรถปิคอัพ ที่มาพร้อมเทคโนโลยีขับเคลื่อนอัจฉริยะ ใน Nissan NP300 Navara (นิสสัน เอ็นพี 300 นาวารา) ใหม่ กับกล้องมองภาพรอบทิศทาง AVM (Around View Monitor) 360 องศา มองเห็นภาพภายนอกได้รอบคัน และเพิ่มถุงลมนิรภัย 7 ตำแหน่งรอบคัน (เฉพาะรุ่น Top)

มาพร้อมเครื่องยนต์ให้เลือก 2 รุ่น ได้แก่ขนาด 2.5 ลิตร รหัส YD25DDTi แบบ 4 สูบ DOHC 16 วาล์ว VGS Turbo Intercooler ให้แรงม้าสูงสุด 163 แรงม้า ที่ 3,600 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 403 นิวตัน-เมตร ที่ 2,000 รอบ/นาที

ส่วนในรุ่น 4WD รหัส YD25DDTi แบบ 4 สูบ DOHC 16 วาล์ว VGS Turbo Intercooler ให้แรงม้าสูงสุด 190 แรงม้า ที่ 3,600 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 450 นิวตัน-เมตร ที่ 2,000 รอบ/นาที

ราคาของ Nissan NP300 Navara อยู่ที่ 549,500 – 1,106,000 บาท

Mitsubishi Triton Athlete

Mitsubishi-Triton

Mitsubishi (มิตซูบิชิ) นำ Triton รุ่นพิเศษ “Triton Athlete” (ไทรทัน แอทลีท) สปอร์ต พันธุ์เข้ม มาโชว์ เร้าใจทุกมุมมองด้วยชุดแต่งพิเศษรอบคันจากโรงงาน มีสีให้เลือก 3 สี ได้แก่สีขาว, สีเทา และสีดำ ตกแต่งภายในด้วยโทนสีดำ-ส้ม พร้อมสัญลักษณ์ Athlete เครืองเสียงแบบหน้าจอสัมผัสพร้อมรองรับระบบ Apple CarPlay เป็นต้น

มาพร้อมเครื่องยนต์ขนาด 2.5 ลิตร รหัส 4N15 แบบ 4 สูบ DOHC 16 วาล์ว VG Turbo ให้แรงม้าสูงสุด 181 แรงม้า ที่ 3,500 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 430 นิวตันเมตร ที่ 2,500 รอบ/นาที

ราคาของ Mitsubishi Triton อยู่ที่ 522,000 – 1,111,000 บาท

ราคาของ Mitsubishi Triton Athlete อยู่ที่ 746,000 – 1,072,000 บาท

Ford Ranger Raptor

Ford-Ranger-Raptor

Ford Ranger Raptor (ฟอร์ด เรนเตอร์ แรพเตอร์) ถูกสร้างมาไม่ซ้ำใคร เพราะนี่คือรถกระบะออฟโรดคันแรกของเอเชีย ที่ตั้งใจสร้างมาแบบไร้ข้อจำกัด สร้างและพัฒนายนตรกรรมออฟโรดทั้งคัน ทำใหม่หมด! ส่งตรงจากโรงงานของฟอร์ด นี่แหละกระบะพันธุ์โหดออฟโรดตัวจริงที่พร้อมลุยทุกเส้นทาง

โครงสร้างทั้งหมดประกอบไปด้วยเหล็ก High-strength Low-alloy (HSLA) หลายเกรด เพื่อให้พร้อมรับทุกความโหด และเข้าถึงสมรรถนะขั้นสุด แชสซีส์ถูกปรับโครงสร้างใหม่หมด มาพร้อมโช้คอัพคู่ด้านหน้าและหลังของ Fox Racing Shox ที่มาพร้อมระบบบายพาสภายใน (Internal Bypass) และระบบกันสะเทือนหลังแบบใหม่ รวมถึงระบบวัตต์ลิงค์และคอยล์โอเวอร์ช็อค ที่เน้นสมรรถนะการขับขี่บนทางออฟโรดเป็นพิเศษ

มาพร้อมเครื่องยนต์ดีเซล EcoBlue TDCi 4 สูบแถวเรียง ขนาด 2.0 ลิตร (1,996 ซีซี) Twin Turbo (ทำงานร่วมกันระหว่าง High-Pressure (HP Turbo) เทอร์โบแรงดันสูง และ Low-Pressure (LP Turbo) เทอร์โบแรงดันต่ำ ควบคุมด้วยวาล์ว Bypass) ให้แรงม้าสูงสุด 213 แรงม้า (PS) แรงบิดสูงสุด 500 นิวตันเมตร ส่งกำลังผ่านเกียร์อัตโนมัติ 10 สปีด พร้อมระบบเปลี่ยนเกียร์ที่พวงมาลัย Paddle Shift มาพร้อมระบบ Terrain Management System (TMS) สามารถปรับโหมดการขับขี่ได้ถึง 6 แบบ รวมถึงโหมดการขับขี่บาฮาสำหรับการขับขี่ออฟโรดด้วยความเร็วสูง

ราคาของ Ford Ranger อยู่ที่ 599,000 – 1,199,000 บาท

ราคาของ Ford Ranger Raptor อยู่ที่ 1,699,000 บาท

Chevrolet Colorado

Chevrolet-Colorado-High-Country-Storm

Chevrolet (เชฟโรเลต) เชฟโรเลต ประเทศไทย เปิดตัวรถกระบะ Colorado High Country Storm รุ่นล่าสุด ซึ่งมาพร้อมสีภายนอกใหม่ล่าสุด “Orange Crush” และตกแต่งพิเศษเพิ่มเติมจากชุดอุปกรณ์ตกแต่ง “Thunder” ชุดใหม่

อุปกรณ์ตกแต่งบนรถกระบะสีส้ม “Orange Crush” มีจัดจำหน่ายแบบแยกชิ้น ขณะที่ชุดแต่ง “Thunder” มอบความคุ้มค่าให้แก่ลูกค้า ด้วยการรวมชุดอุปกรณ์ตกแต่งที่ได้รับความนิยมเข้าไว้ด้วยกัน ในราคาพิเศษ

และ เชฟโรเลต ยังให้ความสำคัญกับความปลอดภัยและความพึงพอใจของลูกค้า จึงนำระบบความปลอดภัยแบบ Active ล้ำสมัยไว้ใน Colorado รุ่น 2 ประตู (X-Cab) LT Z71 และรุ่น 4 ประตู (C-Cab) LT Z71 (ทั้งรุ่นเกียร์ธรรมดา และเกียร์อัตโนมัติ) ซึ่งประกอบด้วย ระบบควบคุมเสถียรภาพของรถขณะลากจูง (TSC) ระบบควบคุมเสถียรภาพการทรงตัว (ESC) ระบบป้องกันการพลิกคว่ำ (ARP) ระบบควบคุมความเร็วขณะลงทางลาดชัน (HDC) และ ระบบป้องกันการไหลของรถเมื่อขึ้นทางลาดชัน (HSA) เป็นต้น

ราคาของ Chevrolet Colorado อยู่ที่ 530,000 – 1,103,000 บาท

ดูแลรถหน้าร้อน

9 เคล็ดลับที่ช่วย Keep Cool
และดูแลรถยนต์ของคุณในหน้าร้อน ใช้ได้เสมอ

ช่วงนี้! ออเจ้าทุกคนคงสัมผัสได้ถึงอากาศที่ร้อนเป็นพิเศษ เพราะเราชาวสยามประเทศกำลังเข้าสู่เดือนที่ทั้งเดือดทั้งร้อนที่สุดของปี คือ เดือนเมษายน ที่ร้อนจนถึงขนาดว่า น้ำเย็นๆ ที่เพศตรงข้ามสาดใส่เราตอนสงกรานต์ก็หาได้ดับร้อนไม่ และไม่ใช่แค่เราที่รู้สึกร้อนไปตามสภาพอากาศ สิ่งมีชีวิตอื่นก็เช่นกัน ขนาดสิ่งไม่มีชีวิตอย่าง “รถ” ก็ยังร้อนตามไปด้วย

แม้รถยนต์จะถูกสร้างให้แข็งแรง หรือทนทานขนาดไหน แต่หากขาดการดูแลก็ยากที่จะใช้งานได้อย่างราบรื่น และความร้อนมักส่งผลร้ายต่อทุกส่วนของรถยนต์ คุณจึงจำเป็นต้องตรวจสอบดูแลรถมากขึ้นในหน้าร้อน แต่หากคุณอยากรู้ว่า ต้องตรวจสอบอะไร และอย่างไรบ้าง 

Carro ก็มี 9 เคล็ดลับการดูแลรถยนต์ในช่วงหน้าร้อนมาเสิร์ฟดูแลรถหน้าร้อน

1. ตรวจสอบลมยางรถยนต์

อากาศร้อนมีผลต่อสภาพของยางเสมอ โดยจะเพิ่มความดันภายในยาง ทำให้พื้นสัมผัสของยางต่อถนนน้อยลง หากเจอพื้นถนนเปียกลื­่นก็จะหยุดยากกว่าปกติ เสี่ยงต่อการเกิดอุบัติเหตุได้ คุณจึงควรตรวจสอบสภาพยาง ลมยาง และยางอะไหล่อย่างน้อยเดือนละ 1 ครั้ง

 

2. ตรวจระบบปรับอากาศ

ควรตรวจสอบระบบปรับอากาศ อย่างเช่น ระดับของน้ำยาแอร์ ซึ่งหากเห­ลือน้อยก็อาจก่อปัญหากับระบบทำความเย็นของรถได้ ควรตรวจสอบอย่างน้อย 1 ครั้งต่อปี เพราะคงไม่ดีแน่ถ้ารถมาแอร์เสียหรือน้ำยาแอร์หมด ในช่วงที่อากาศร้อนระอุที่สุดของปี แค่คิดก็เหนียวตัวไปหมด!

 

3. แบตเตอรี่รถยนต์

อากาศร้อนแบบเฉียดนรกของบ้านเรา ส่งผลต่อระบบไฟฟ้าทั้งหมดรวมถึงแบตเ­ตอรี่รถยนต์ด้วย คุณควรหมั่นตรวจสอบระบบทั้งหมดเดือนละครั้ง ทั้งสายไฟและขั้วต่างๆ ให้อยู่ในสภาพดีเสมอ รวมถึงระดับของน้ำกลั่นในแบตเตอรี่ก็ห้ามพร่อง เพราะยิ่งอากาศร้อนน้ำยิ่งระเหยง่ายมาก

 

4. ระบบเบรก

เบรคเป็นระบบความปลอดภัยที่คนใช้รถห้ามมองข้าม หากคุณสังเกตได้ว่าเกิดความผิดปกติขณะเบรก ไม่ว่าจะเป็นการสั่นมากกว่าปกติ มีเสียงดัง หรือมีระยะการหยุดยาวกว่าปกติ ก็ควรนำรถเข้าศูนย์เพื่อตรวจสอบความผิดปกติ อย่ารอ เพราะอาจเกิดอุบัติเหตุตอนขับขี่ได้ดูแลรถหน้าร้อน

5. น้ำมันเครื่อง

อากาศร้อนอาจทำให้เครื่องยนต์ต้องทำงานหนักขึ้น ดังนั้นการเลือกน้ำมันเครื่องที่เหมาะสมจะช่วยบรรเทาภาระของเครื่องยนต­์ได้มาก นอกจากนี้ การเปลี่ยนน้ำมันเครื่องอย่างสม่ำเสมอตามที่คู่มือแนะนำก็จำเป็นเช่นกัน ทั้งหมดนี้จะช่วยรักษาสภาพของเครื่องยนต์ให้ทำงานให้ใช้งานได้อ­ีกนาน

 

6.ระบบหล่อเย็นเครื่องยนต์

นอกจากน้ำมันเครื่องที่ดีแล้ว ระบบหล่อเย็นก็ควรทำงานได้อย่างปกติด้วย คุณควรหมั่นตรวจสภาพของหม้อน้ำและระบบต่าง ๆ ให้อยู่ในสภาพสมบูรณ์ ไม่มีรอยขาดหรือชำรุด รวมถึงทำความสะอาดหม้อน้ำเมื่อพบสิ่งสกปรก

 

7. สายยาง และสายพานต่างๆ


สายยางและสายพานเป็นส่วนที่เชื่อมต่อระบบต่างๆ ของรถเข้าด้วยกัน ซึ่งแม้จะมีความทนทานสูง แต่หากมีรอยชำรุดเพียงเล็กน้อยก็อาจทำให้ระบบของรถเกิดความผิดป­กติได้ จึงควรตรวจสอบอย่างสม่ำเสมอ โดยเฉพาะในฤดูร้อนที่ระบบภายในต่างๆ อาจเสียหายได้ง่ายเป็นพิเศษ

 

8. จอดรถในที่ร่ม

หากจำเป็นต้องจอดรถนานๆ คุณควรเลี่ยงการจอดรถในที่กลางแจ้ง เพราะนอกจากแสงแดดจะทำให้ห้องโดยสารร้อนแล้ว ยังส่งผลต่อสีตัวถังที่ซีดและเสียคุณสมบัติการปกป้องไปในไม่ช้า­ แต่หากเลี่ยงไม่ได้จริงๆ ก็ควรหาผ้าคลุมตัวถังเอาไว้เพื่อเลี่ยงการเผชิญกับแสงแดดโดยตรง­

 

9. เปิดกระจกก่อนเร่งแอร์

การที่หลายๆ คนเร่งแอร์ท­ันทีเมื่อขึ้นรถ โดยไม่สนว่ารถจะร้อนแค่ไหนก็ตาม จะทำให้รถทำงานหนักกว่าปกติและเปลืองน้ำมันมากขึ้น ดังนั้น ก่อนเปิดแอร์ คุณควรเปิดกระจกและพัดลมแอร์ให้แรงสักหน่อยเพื่อไล่ความร้อนออกไป ทำแบบนี้เพียง 1-2 นาที รับรองว่าแอร์ในรถจะเย็นเร็วกว่าเดิมมาก แถมประหยัดน้ำมันได้มากขึ้น

ดูแลรถหน้าร้อน

จริงๆ แล้วเคล็ดลับ 9 ข้อที่ Carro นำมาเสิร์ฟก็ไม่ใช่เรื่องใหม่ แต่เป็นสิ่งที่คนใช้รถยนต์ทุกคนควรจะตรวจสอบเป็นปกติอยู่แล้ว ยิ่งในฤดูร้อนอาจต้องเพิ่มความรอบคอบเป็นพิเศษ ทั้งหมดนี้ก็เพื่อป้องกันการเกิดเหตุสุดวิสัยบนถนน และยังช่วยรักษารถยนต์ให้อยู่กับออเจ้าไปนานๆ ตลอดภพนี้ชาตินี้เลยล่ะเจ้าค่ะ

Car-In-Motorshow-2018

Motor Show 2018 จัดเต็มทั้งรถต้นแบบ รถไฟฟ้า รถแต่ง นวัตกรรมยานยนต์ และพริตตี้สาวสวย

Volvo-Motorshow-2018

“มอเตอร์โชว์ ครั้งที่ 39” หรือ The 39th Bangkok International Motor Show 2018 ภายใต้แนวคิด “ปฏิวัติทุกการเคลื่อนไหว” หรือ “Revolution in Motion” พร้อมนำรถรุ่นใหม่ ทั้งที่เปิดตัวในปีนี้และปีที่ผ่านมา รวมทั้งรุ่นยอดนิยม มาจัดแสดงต้อนรับต้นปีอย่างยิ่งใหญ่ โดยงานมอเตอร์โชว์ 2018 ปีนี้จัดขึ้นระหว่างวันที่ 28 มีนาคม – 8 เมษายน 2561 ณ อิมแพค ชาเลนเจอร์ 1-3 เมืองทองธานี

CARRO ขอนำเสนอรถยนต์ใหม่ๆ ที่ปิดตัวก่อนและในงาน Motor Show 2018 โดยบริษัทรถยนต์หลายแบรนด์ ต่างเปิดตัวรถยนต์รุ่นใหม่ๆ กันหลายค่าย CARRO ขอแนะนำให้ทุกท่านได้ทราบข้อมูลและรายละเอียดต่างๆ ครับผม …

เชิญพบกับรถยนต์ที่ร่วมงานจำนวนมากถึง 30 แบรนด์ หลากหลายประเทศ และรถจักรยานยนต์อีก 15 แบรนด์

ทาง CARRO อยากให้คนรักรถทุกท่าน หาโอกาสไปเดินเที่ยวกันจริงๆ ครับ … เชิญชมกับภาพบรรยากาศภายในงาน Motor Show 2018 กันได้เลย

Nissan-GT-R

Nissan GT-R

Toyota-C-HR

Toyota C-HR

Toyota-Alphard

Toyota Alphard (Minorchange)

Honda-Civic-Hatchback-Red

Honda Civic Hatchback RED

Honda-Clarity-Fuel-Cell

Honda Clarity Fuel Cell

Mazda3

Mazda3

Mitsubishi-eX-Concept

Mitsubishi eX Concept

Suzuki-Swift

Suzuki Swift

Isuzu-D-Max-X-Series

Isuzu D-Max X-Series

Mercedes-Benz-E-200-Coupé-AMG-Dynamic

Mercedes-Benz E 200 Coupé AMG Dynamic

Mercedes-Benz-CLS-300-d-AMG-Premium

Mercedes-Benz CLS 300 d AMG Premium

Audi-A8-L

Audi A8 L

Aston-Martin-V8-Vantage

Aston Martin V8 Vantage

Jaguar-E-Pace

Jaguar E-Pace

Maserati-Ghibli

Maserati Ghibli

Rolls-Royce-Phantom

Rolls-Royce Phantom

BMW-X2

BMW X2

BMW-M4

BMW M4 CS

BMW-M5

BMW M5

BMW-530i-M-Sport

BMW 530i M Sport

Ford-Ranger-Raptor

Ford Ranger Raptor

Chevrolet-Colorado-High-Country-Storm

Chevrolet Colorado High Country Storm

Fomm-EV

Fomm EV

BYD-e6

BYD e6

Hyundai-Ioniq

Hyundai Ioniq

mercedes-benz-top-5

ที่สุดของ Benz! สุดยอดรถ 5 รุ่น
ที่ดีที่สุดจาก Mercedes-Benz

“เมอร์เซเดส-เบนซ์” เป็นแบรนด์รถยนต์ที่มียอดขายที่น่าประทับใจมาโดยตลอด ซึ่งครอบคลุมตลาดและช่องทางการตลาดเกือบทุกประเภทตั้งแต่รถ SUV ไปจนถึงรถสปอร์ต ตั้งแต่รถหรู ไปถึงรถปิคอัพรุ่นแรกที่เบนซ์เคยผลิตมาเลยทีเดียว

mercedes-benz Top 5

ซึ่งรุ่นที่ดีที่สุดของเบนซ์ก็มีจำนวนไม่น้อยกว่า 6 รุ่น ซึ่งแต่ละคันก็เป็นตัวท็อปของรุ่น มีทั้งเวอร์ชั่น C-, E-, S-Class, SLC, SL Roadster ก็ยังมี และ AMG GT Roadster ก็เป็นหนึ่งในรุ่นที่ยอดเยี่ยมเช่นกัน

mercedes-benz Top 4

ถึงแม้ว่าเบนซ์จะมีรถดีๆหลายรุ่นอยู่แล้ว  แต่เบนซ์ก็ไม่เคยหยุดพัฒนา เพราะเบนซ์เป็นบริษัทที่มักจะมีการเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา โดยเบนซ์ชอบที่จะสร้างเซอร์ไพรส์โดยการผลิตอะไรใหม่ๆ ออกมาเสมอ

เช่น ในอนาคตอันใกล้นี้ พวกเราอาจจะได้พบกับ Mercedes-AMG GT Roadster อีกครั้ง ซึ่งครั้งนี้ เบนซ์รุ่น AMG GT Roadster จะมีแรงบิดถึง 547 แรงม้า หรือแรงบิด 501 ปอนด์-ฟุต (680 นิวตัน-เมตร) ที่ใช้เวลาเพียง 3.7 วินาทีถึง 62 ไมล์ต่อชั่วโมง (100 กม./ชม.) และมีความเร็วสูงสุด 196 ไมล์ต่อชั่วโมง ในรูปแบบที่มีประสิทธิภาพสูงสุด

mercedes-benz Top 3

mercedes-benz top 2อย่างไรก็ตาม AMG GT C Roadster อาจจะยังไม่ใช่รุ่นที่ดีที่สุดแม้ว่าจะอยู่ในรายชื่อ Top 5 เช่นเดียวกันกับรุ่นที่หรูหราอย่าง S-Class Cabriolet และรุ่น Mercedes-Maybach Vision 6mercedes-benz top 1

โดย YouTube ได้ปล่อยวิดีโอที่จัดทำขึ้นโดยผู้ผลิตรถยนต์ชาวเยอรมัน ที่กล่าวถึงรถคลาสสิกรุ่น 280 SE 3.5 Cabriolet โดยให้ข้อมูลว่า รุ่นนี้ตัวรถและแผงหน้ารถทำจากไม้วีเนียร์ กระจกใช้ระบบไฟฟ้า ซึ่งรุ่นนี้ได้สมญานามว่าเป็นรถหรูไร้กาลเวลาของเบนซ์ ตามข้อมูลของบริษัท

และสำหรับคำว่าอันดับหนึ่ง ก็ต้องถูกสงวนไว้ให้กับรถที่พิเศษและดีที่สุด ซึ่งก็ตกเป็นของ Mercedes-Benz ที่สามารถตอบสนองผู้ที่ต้องการขับขี่ “ยนตรกรรมที่ดีที่สุด” ได้เสมอ ซึ่งแฟนตัวจริงของ “Benz” จะรู้ดีว่าอะไรคือ “The Best” และหากคุณกำลังมองหารถ Benz มือสอง (คลิก) หรือต้องการขายรถ Benz คันเก่าแบบได้เงินสดที่รวดเร็วทันใจ (คลิก)

 

ที่มา : carscoops.com

วิธี,-รถ,-กำจัดขน,-tips

5 Tips ดีๆ ในการกำจัดขนสัตว์บนรถ
ด้วยวิธีง่ายๆและได้ผลแน่นอน

การมีสัตว์เลี้ยงเป็นเรื่องที่ดี ยิ่งมีสัตว์เลี้ยงคู่ใจเป็นเพื่อนร่วมเดินทางไปด้วยกันยิ่งเป็นประสบการณ์ที่แสนพิเศษ แต่อย่างไรก็ตาม สุนัขหรือสัตว์เลี้ยงตัวโปรดของคุณก็สามารถสร้างความหายนะภายในรถได้เช่นกัน เพราะพวกเขามักจะกัด,แทะเบาะ และทิ้งขนเอาไว้จนฟุ้งกระจายไปทั่วรถ

และถึงแม้ว่า คุณจะสามารถฝึกให้สัตว์เลี้ยงของคุณไม่ให้กัดเบาะหน้ารถ หรือสามารถฝึกให้พวกเขารู้จักอดทนอยู่บนรถจนกว่าจะเจอที่ขับถ่ายที่เหมาะสม แต่คุณก็ไม่สามารถฝึกหรือห้ามสัตว์เลี้ยงของคุณ ให้พวกเขาไม่ทิ้งขนไว้บนรถได้แน่ๆ แต่ปัญหาทั้งหมดที่กล่าวมาสามารถจัดการได้ เพียงแค่คุณทำตามคำแนะนำง่ายๆเหล่านี้ คุณก็สามารถจัดการ “ขน” ภายในรถได้อย่างง่ายดายและมีประสิทธิภาพ

 

1. ใช้มือเปียกๆลูบเบาะภายในรถ

ใช้มือเปียกๆลูบเบาะภายในรถ

ไม่สำคัญว่าสุนัขของคุณจะมีขนาดใหญ่หรือเล็ก เพราะสุนัขทุกตัวจะทิ้งขนไว้ภายในรถอยู่ดี และคุณจะต้องทำความสะอาดหลังจากนั้น วิธีทำความสะอาดหรือกำจัดขนสุนัขที่ง่ายที่สุดคือ การทำให้มือเปียกด้วยน้ำ แต่ไม่ควรเปียกจนชุ่ม เพียงแค่เปียกหมาดๆก็พอ แล้วใช้มือเช็ดเบาะที่นั่งจนขนสุนัขติดมือขึ้นมา ทำซ้ำๆจนกว่าคุณจะทำความสะอาดพื้นผิวที่ต้องการได้หมดจด หากคุณไม่ต้องการใช้มือคุณสามารถใช้ผ้าชุบน้ำหมาดๆแทนก็ได้ แต่ผลลัพธ์อาจได้ผลน้อยกว่าการใช้มือทำความสะอาด

 

2. ใช้เทปกาว

เทปกาว

วิธีที่นิยมในการทำความสะอาดขนสุนัขภายในรถของ คือ การใช้เทปหรือผลิตภัณฑ์ที่คล้ายคลึงกัน โดยใช้เทปที่มีส่วนเหนียวหรือหน้าที่เป็นกาวแตะรอบบริเวณภายในรถ จนขนสัตว์ติดหน้าเทปขึ้นมา วิธีนี้เป็นวิธีที่มีประสิทธิภาพมากและสามารถทำความสะอาดภายในรถได้ในเวลาอันรวดเร็ว

 

3. ใช้ไม้กวาดหรือแปรงปัดขน

แปรงปัดขน

มีผลิตภัณฑ์หลายอย่าง เช่น ไม้กวาดหรือแปรงปัดขนที่ผลิตออกมาขายในตลาด ซึ่งออกแบบมาเพื่อการกำจัดขนสัตว์โดยเฉพาะ ผลิตภัณฑ์เหล่านี้จึงเหมาะที่สุดที่จะใช้ทำความสะอาดภายในรถของคุณ และเมื่อใช้งานเสร็จ อย่าลืมทำความสะอาดแปรงหรือไม้กวาดด้วย เพราะขนสัตว์จะเกาะติดอยู่บนแปรงเช่นกัน

 

4. ใช้ไฟฟ้าสถิตย์

ไฟฟ้าสถิตย์

นี่เป็นวิธีที่น่าสนใจ ฉลาด และทันสมัยในการกำจัดขนสัตว์ภายในรถ โดยรวมระหว่างหลักฟิสิกส์และการใช้ถุงมือยางไว้ด้วยกัน ที่คุณต้องทำก็คือ ใช้ถุงมือยางธรรมดาถูกับพื้นผิวบนรถ ซึ่งจะทำให้มือของคุณเต็มไปด้วยไฟฟ้าสถิตย์ และขนสุนัขก็จะติดมาบนถุงมือ กระบวนการทำความสะอาดนี้เป็นเรื่องง่ายๆ เพียงคุณลูบ, เช็ดเบาะหรือพื้นที่ภายในรถด้วยถุงมือที่มีไฟฟ้าสถิตย์ เมื่อทำความสะอาดเสร็จก็แค่ถอดถุงมือออก วิธีนี้เป็นการกำจัดขนสัตว์ที่สมบูรณ์แบบ ง่ายและมีประสิทธิภาพ

 

5. เครื่องดูดฝุ่น

เครื่องดูดฝุ่น

คุณสามารถทำความสะอาดภายในรถด้วยเครื่องดูดฝุ่นได้เหมือนกับที่ทำภายในบ้าน วิธีนี้ไม่เพียงแค่จะกำจัดขนสุนัขออกไป แต่ยังขจัดสิ่งสกปรกอนุภาคเล็กอื่นๆ ได้อีกมากมาย

อย่างไรก็ตาม Carro ขอแนะนำให้ทำความสะอาดร่วมกับวิธีอื่นๆ ด้วย เพราะบางครั้งจะมีเส้นผมที่ร่วงบนรถ ติดอยู่ในซอกเบาะ หรือร่วงตกอยู่ตามพื้นรถ ดังนั้นการดูดฝุ่นอย่างเดียวจึงไม่เพียงพอ แต่ถ้าคุณทำความสะอาดภายในรถด้วยเครื่องดูดฝุ่นร่วมกับวิธีทำความสะอาดอื่นๆ ก็จะทำให้ภายในรถของคุณสะอาดเหมือนกับรถคันใหม่เลยทีเดียว

Chevrolet-Colorado-High-Country-Storm-2019

เปิดตัวโคโลราโด ไฮ คันทรี สตอร์ม ปี 2019 ด้วยสีภายนอกใหม่ กับตกแต่งรถกระบะ “Thunder” ใหม่ล่าสุด และเพิ่มเติมเทคโนโลยีความปลอดภัยแบบ Active

เชฟโรเลต ประเทศไทย เปิดตัวรถกระบะ Colorado High Country Storm รุ่นล่าสุด ซึ่งมาพร้อมสีภายนอกใหม่ล่าสุด “Orange Crush” บนชั้นดาดฟ้าของห้างสรรพสินค้าฟอร์จูนทาวน์ กรุงเทพฯ ท่ามกลางบรรยากาศยามเย็น ที่มีแสงสีส้มเรืองรองของพระอาทิตย์ตกดิน เป็นฉากหลังที่สมบูรณ์แบบ

Chevrolet-Colorado-High-Country-Storm-2019

Storm มีสีภายนอกทั้งหมด 8 สี ได้แก่ สีใหม่ Orange Crush, Blue Me Away, Pull Me Over Red, Black Meet Kettle Metallic, Summit White, Satin Steel Grey Metallic, Auburn Brown Metallic รวมถึงอีกหนึ่งสีใหม่ ที่จะเปิดตัวภายในงาน บางกอก อินเตอร์เนชั่นแนล มอเตอร์โชว์ ครั้งที่ 39

Chevrolet-Colorado-High-Country-Storm-2019

เชฟโรเลต ยังตกแต่งโคโลราโด สี Orange Crush พระเอกของงานให้โดดเด่นสะดุดตายิ่งขึ้น ด้วยการตกแต่งพิเศษเพิ่มเติมจากชุดอุปกรณ์ตกแต่ง “Thunder” ชุดใหม่ ประกอบด้วย

– ซุ้มล้อสีดำด้าน
– ตราสัญลักษณ์เชฟโรเลต โบว์ไท สีดำ ด้านหน้า
– ตราสัญลักษณ์เชฟโรเลต โบว์ไท สีดำ ด้านหลัง
– เบดไลเนอร์
– บันไดข้างสีดำแบบสปอร์ต
– กระจังหน้าสีดำ
– สติ๊กเกอร์สีดาด้าน พร้อมสัญลักษณ์โคโรลาโดสาหรับตกแต่งฝากระบะท้าย
– ฝาปิดถังน้ามัน พร้อมตราสัญลักษณ์เชฟโรเลตสีดำ
– ฮูด สกู๊ป

ท่านสามารถดูรายละเอียดชุดอุปกรณ์ตกแต่ง “Thunder” สำหรับรถกระบะโคโรลาโดทั้งหมดได้ที่เว็บไซต์ Chevrolet

Chevrolet-Colorado-Thunder-2019

นอกจากนี้ ยังมีชุดอุปกรณ์ตกแต่งภายในห้องโดยสารของโคโลราโด ที่ลูกค้าสามารถเลือกสรรได้ตามต้องการ ดังนี้

– ชุดตกแต่งแผงคอนโซลหน้ากลางสีส้ม
– ชุดตกแต่งคันเกียร์สีบรอนซ์เงิน
– ชุดตกแต่งช่องแอร์สีบรอนซ์เงิน
– ชุดตกแต่งข้างประตูสีส้ม

Chevrolet-Colorado-Thunder-2019

ชุดอุปกรณ์ตกแต่ง “Thunder” มีจำหน่ายแยกไม่รวมอยู่ในชุดแต่งบนรถรุ่น High Country Storm ซึ่งประกอบไปด้วย สปอร์ตบาร์ ล้ออัลลอย 18 นิ้ว สติกเกอร์บนฝากระโปรงหน้าพร้อมโลโก้ High Country กระจกมองข้าง มือจับที่เปิดประตู มือจับทีเปิดฝาท้าย ขอบหน้าต่าง กันชนท้ายสีดำพร้อมเซ็นเซอร์ถอยหลัง และสติกเกอร์สตอร์มตกแต่งข้างตัวรถ โดยชุดแต่งเป็นสีดำทั้งหมด

Chevrolet-Colorado-High-Country-Storm-2019

ทั้งนี้ อุปกรณ์ตกแต่งบนรถกระบะสีส้ม “Orange Crush” มีจัดจำหน่ายแบบแยกชิ้น ขณะที่ชุดแต่ง “Thunder” มอบความคุ้มค่าให้แก่ลูกค้า ด้วยการรวมชุดอุปกรณ์ตกแต่งที่ได้รับความนิยมเข้าไว้ด้วยกัน ในราคาพิเศษ

Chevrolet-Colorado-Thunder-2019

เชฟโรเลต ให้ความสำคัญกับความปลอดภัยและความพึงพอใจของลูกค้า จึงนำระบบความปลอดภัยแบบ Active ล้ำสมัยไว้ใน Colorado รุ่น 2 ประตู (X-Cab) LT Z71 และรุ่น 4 ประตู (C-Cab) LT Z71 (ทั้งรุ่นเกียร์ธรรมดา และเกียร์อัตโนมัติ) ซึ่งประกอบด้วย ระบบควบคุมเสถียรภาพของรถขณะลากจูง (TSC) ระบบควบคุมเสถียรภาพการทรงตัว (ESC) ระบบป้องกันการพลิกคว่ำ (ARP) ระบบควบคุมความเร็วขณะลงทางลาดชัน (HDC) และ ระบบป้องกันการไหลของรถเมื่อขึ้นทางลาดชัน (HSA)

Chevrolet-Colorado-Thunder-2019

รถกระบะ Colorado High Country Storm และ High Country ยังมาพร้อมเทคโนโลยีความปลอดภัยแอคทีฟอื่นๆ ได้แก่ ระบบแจ้งเตือนเมื่อออกจากช่องจราจรระบบแจ้งเตือนการชนด้านหน้า ระบบช่วยจอดด้านหน้าและด้านหลัง รวมถึงระบบตรวจสอบแรงดันลมยาง

Chevrolet-Colorado-Thunder-2019 รถกระบะ Colorado High Country Storm เพียบพร้อมด้วยระบบอำนวยความสะดวกสบาย ได้แก่ กล้องมองหลัง เซ็นเซอร์ตรวจจับน้ำฝน ไฟหน้าเปิด-ปิดอัตโนมัติ นอกจากนี้ ยังมีฟังก์ชั่นรีโมทสตาร์ท ดีไซน์ใหม่ เพื่อให้ผู้ขับขี่สามารถเปิดระบบปรับอากาศภายในห้องโดยสารก่อนขึ้นรถ

Chevrolet-Colorado-Thunder-2019

รถกระบะรุ่นนี้ ยังมาพร้อมระบบ Infotainment เชฟโรเลต มายลิงค์ เจนเนอเรชั่นล่าสุด ระบบควบคุมสั่งการด้วยเสียง สิริ อายส์ ฟรี ทั้งยังรองรับการเชื่อมต่อแอปเปิล คาร์เพลย์ และกระจกหน้าต่างคู่หน้า ที่เลื่อนลงเล็กน้อยอัตโนมัติ เพื่อช่วยในการปิดประตู

“และเมื่อสีสันที่โดดเด่น ผสานกับการตกแต่งที่สะดุดตา บนรถกระบะที่บึกบึนอย่างโคโลราโด แน่นอนว่าจะทำให้รถกระบะรุ่นนี้กลายเป็นซูเปอร์ฮีโร่ ที่สะท้อนตัวตนและแสดงถึงบุคลิกที่แท้จริงของเราทุกครั้ง ที่ได้นั่งอยู่หลังพวงมาลัย”

Toyota-Alphard-Vellfire-2018

โตโยต้า มอเตอร์ ประเทศไทย แนะนำ Toyota Alphard 3.5 VIP, 2.5 Hybrid และ Vellfire 2.5 รุ่นปรับโฉมใหม่ ด้วยแนวคิด “My Vision My Decision”

Toyota-Alphard-2018

โตโยต้า มอเตอร์ ประเทศไทย เป็นผู้นำเข้าและจัดจำหน่ายรถยนต์นั่งอเนกประสงค์ระดับหรู Toyota Alphard (โตโยต้า อัลฟาร์ด) อย่างเป็นทางการ ตั้งแต่ปี 2552 ด้วยการใส่ใจในการออกแบบทุกรายละเอียด ทั้งภายในและภายนอกอย่างประณีต ซึ่งผ่านการทดสอบคุณภาพรถยนต์ให้เหมาะสมกับสภาพแวดล้อมของประเทศไทย

Toyota-Alphard-2018

ต่อมาในปี 2558 ได้แนะนำโตโยต้า อัลฟาร์ด ใหม่ เจเนอเรชั่นที่ 3 ประกอบด้วยรุ่นอัลฟาร์ด 3.5 VIP และ อัลฟาร์ด 2.5 ไฮบริด พร้อมทั้งแนะนำ โตโยต้า เวลไฟร์ 2.5 เพื่อเป็นอีกหนึ่งทางเลือก สำหรับผู้ที่ชื่นชอบความหรูหราที่มาพร้อมความสปอร์ต

Toyota-Vellfire-2018

โตโยต้า อัลฟาร์ด และเวลไฟร์ รุ่นปรับโฉมใหม่ สะท้อนความสมบูรณ์แบบเหนือระดับ ด้วยรูปลักษณ์อันโดดเด่น และความสะดวกสบายครบครันอันเป็นเอกลักษณ์ มาพร้อมกับความพิเศษสำหรับลูกค้าในประเทศไทยโดยเฉพาะ กับชุดแต่งสเกิร์ตด้านหน้าและด้านหลัง อุปกรณ์บริหารหลังแบบไฟฟ้า กล่องรับสัญญาณดิจิตอลทีวี อีกทั้งระบบ T-connect Telematics

Toyota-Vellfire-2018

เพื่อเป็นการขอบคุณและสร้างความมั่นใจให้กับลูกค้า จึงขอมอบข้อเสนอพิเศษ ด้วยการขยายเวลารับประกันคุณภาพรถใหม่เป็น 5 ปี หรือ 150,000 กม. พร้อมฟรีค่าแรงเช็คระยะถึง 100,000 กม. หรือ 5 ปี แล้วแต่ระยะใดถึงก่อน

อัลฟาร์ด รุ่นเครื่องยนต์ 2.5 ไฮบริด มาพร้อมความคุ้มครองที่ครบครันยิ่งขึ้นด้วย Hybrid Worry Free กับการรับประกันแบตเตอรี่ไฮบริด 10 ปี และระบบไฮบริด 5 ปี ตอกย้ำความเป็นผู้นำและคุณภาพระบบไฮบริดของโตโยต้า

สำหรับรุ่นอัลฟาร์ด 3.5 VIP มาพร้อมขุมพลังใหม่ V6 24วาล์ว DOHC Chain Drive VVT-iW และ D-4S เกียร์อัตโนมัติ 8 สปีดพร้อม Direct Shift เพื่อสมรรถนะเต็มกำลังและประหยัดน้ำมันได้ดียิ่งขึ้น นอกจากนี้ในรุ่นเวลไฟร์ 2.5 ยังได้เพิ่มสีใหม่ Steel Bronze Metallic เป็นอีกหนึ่งทางเลือก

โตโยต้า อัลฟาร์ด และ เวลไฟร์ รุ่นปรับโฉมใหม่

Toyota-Vellfire-2018

I. ดีไซน์ภายนอกใหม่เป็นเอกลักษณ์

– กระจังหน้าโครเมียมใหม่ … ดีไซน์หรู
– ไฟหน้าโปรเจคเตอร์ LED พร้อมไฟ Daytime Running Lights และไฟเลี้ยวหน้า-หลังแบบ Sequential …
– ไฟตัดหมอก …
– ชุดไฟท้ายแบบ LED …
– ล้ออัลลอย …

Toyota-Alphard-Vellfire-Guarantee

– ป้ายติดกระจกหลัง “Officially Authorized By Toyota Motor Thailand Co., Ltd.” และ “10-Year Hybrid Battery Guarantee” … นำเข้าและจัดจำหน่ายอย่างเป็นทางการจาก บริษัท โตโยต้า มอเตอร์ ประเทศไทย จำกัด และการรับประกันแบตเตอรี่ไฮบริด 10 ปี

Toyota-Alphard-2018 Toyota-Alphard-2018 Toyota-Alphard-2018

II. ดีไซน์ภายในและอุปกรณ์อำนวยความสะดวก

– โดดเด่นด้วยการตกแต่งภายใน … ทั้งลายไม้ภายในตัวรถ สีมาตรวัดความเร็ว และการตกแต่งของลายเบาะหนัง* (เฉพาะรุ่น 3.5 VIP)
– อุปกรณ์ชาร์จไฟแบบไร้สาย (Wireless Charger) … รองรับการชาร์จไฟตามมาตรฐาน Qi (เฉพาะอุปกรณ์ที่รองรับและขนาดที่กำหนด)
– ไฟอ่านหนังสือบริเวณเบาะนั่งด้านหลังแถวที่ 1 … สำหรับผู้โดยสาร
– เบาะนั่งแบบ Seat Ventilator & Heater บริเวณเบาะนั่งคู่หน้าและเพิ่มระบบบริหารหลังไฟฟ้า Air Lumba Pro ในอัลฟาร์ด 2.5 ไฮบริด และเวลไฟร์ 2.5 …
– กล่องรับสัญญาณดิจิทัลทีวี …

Toyota-Vellfire-2018

III. ระบบความปลอดภัยที่สมบูรณ์แบบ

– ไฟตัดหมอกด้านหลัง … เพิ่มความชัดเจนในการมองเห็นแก่ผู้ร่วมทาง
– ระบบช่วยเตือนมุมอับสายตาที่กระจกมองข้าง (Blind Spot Monitor) … หากมีรถอยู่ในมุมอับสายตาที่ไม่สามารถมองเห็นได้ด้วยกระจกมองข้าง ระบบจะส่งสัญญาณเตือนที่กระจกมองข้างด้านนั้นๆ เพื่อให้ผู้ขับระมัดระวังในการเปลี่ยนเลน
– กระจกมองหลังแบบดิจิตอล (Digital Rear View Mirror) … พร้อมฟังก์ชั่นตัดแสงอัตโนมัติ (EC Mirror)

Toyota-Vellfire-2018

IV. ระบบ T-Connect Telematics เชื่อมต่อทุกไลฟ์สไตล์

– Find My Car เช็คตำแหน่งรถผ่านแอพพลิเคชั่น Find My Car หรือ Apple Watch
– Stolen Vehicle Tracking ระบบตรวจสอบตำแหน่งรถยนต์เมื่อถูกโจรกรรม
– SOS Emergency Service ประสานงานช่วยเหลือฉุกเฉินตลอด 24 ชั่วโมง (อาจมีค่าใช้จ่ายเพิ่มเติมในบางกรณี)
– Parking Alert ระบบแจ้งเตือนผ่าน Notification เมื่อรถถูกสตาร์ท หรือเคลื่อนที่
– Pay As You Drive ประกัน “ขับน้อย จ่ายน้อย” ข้อเสนอการคุ้มครองสุดพิเศษให้คุณจ่ายตามการใช้งานจริง
*สำหรับการทำประกันภัยกับบริษัทฯ ที่กำหนดไว้เท่านั้น
– My Toyota Wi-Fi เชื่อมต่อความบันเทิงพร้อมกันสูงสุด 9 อุปกรณ์ *ตามเงื่อนไขที่กำหนดในแพ็กเกจ
– Navigator ระบบนำทางพร้อมแสดงข้อมูลจราจร
– OPS (Operator Service) ผู้ช่วยค้นหาเส้นทางตลอด 24 ชั่วโมง พร้อมบริการจองร้านค้าชั้นนำ

Toyota-Vellfire-2018

โตโยต้า อัลฟาร์ด และ เวลไฟร์ กับสีรถที่มีให้เลือก

Steel Bronze Metallic (ใหม่) / White Pearl Crystal / Burning Black ในเวลไฟร์

และ White Pearl Crystal / Luxury White Pearl Crystal / Black ในอัลฟาร์ด

ราคา / Price

Vellfire 2.5 ราคา 3,809,000 บาท
Alphard 2.5 Hybrid ราคา 3,939,000 บาท
Alphard 3.5 VIP ราคา 5,429,000 บาท

**ราคาดังกล่าวเป็นราคารถยนต์พร้อมอุปกรณ์มาตรฐานที่ผลิตจากโรงงาน และชุดอุปกรณ์ตกแต่งพิเศษ พร้อมค่าติดตั้งโดยบริษัท TAC จำกัด*

(*เวลไฟร์ 2.5 และ อัลฟาร์ด 2.5 ไฮบริด มูลค่า 62,000 บาท // อัลฟาร์ด 3.5 VIP มูลค่า 47,000 บาท)

ชนแล้วหนี

ปรับกฎใหม่ “ชนแล้วหนี” เพิ่มความผิดเป็น 2 คดี
ต้องโทษอาญา โดนทั้งจำทั้งปรับ

พูดถึงปัญหาที่สังคมไทยเจอมาอย่างยาวนานบนท้องถนน และยังแก้ปัญหาไม่ได้นั่นก็คือ ปัญหาการจราจรที่หนาแน่นในกรุงเทพฯ รวมถึงเขตปริมณฑลที่ทุกคนได้รับผลกระทบ แม้ทางภาครัฐหรือทางตำรวจจราจร ได้พยายามวางแผนเพื่อขจัดปัญหาเหล่านี้ แต่ยังไม่ประสบผลสำเร็จเท่าที่ควร และปัญหาที่มาคู่กัน กับการเป็นประเทศที่มีการจราจรหนาแน่นเป็นอันดับต้นๆของโลกก็คือ การเกิดอุบัติเหตุบนท้องถนน ซึ่งประเทศไทยก็ไม่น้อยหน้า ยังคงอยู่ในลิสท์สถิติสูงสุดติดอันดับโลกเช่นกัน (ซึ่งก็ไม่ดีเท่าไหร่นัก)

ชนแล้วหนี พรบ. จราจร กฎหมาย พรบ.

วันนี้ เราจะมาพูดถึงอุบัติเหตุบนถนน (กรณียอดฮิต) ที่บางคนอาจเคยประสบพบเจอกับตัวเอง หรือเห็นในข่าวบ่อยๆ ซึ่งกรณีนี้มักก่อให้เกิดกระแสวิพากษ์วิจารณ์ไปทั่วประเทศ เกี่ยวกับความเหลื่อมล้ำทางสังคม เนื่องจากผู้ได้รับความเสียหายมักไม่ได้รับความเป็นธรรมที่มากพอ นั่นก็คือ กรณี “ชนแล้วหนี” จากหลายคดีดังที่ทุกวันนี้ก็ยังไม่รู้ว่าจะมีจุดจบอย่างไร และคำถามนานัปการที่สังคมมีต่อกฎหมาย ทำให้ในปัจจุบันมีการปรับเปลี่ยนกฏหมายในกรณี “ชนแล้วหนี” ให้มีโทษหนักมากขึ้นตาม พรบ.จราจรทางมาตรา 78 ที่บัญญัติไว้ว่า

“ผู้ขับรถในทางซึ่งก่อให้เกิดความเสียหายแก่บุคคลหรือทรัพย์สินจะต้องหยุดรถให้ความช่วยเหลือ พร้อมทั้งแสดงตัวและแจ้งเหตุต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ใกล้เคียงทันที ไม่ว่าจะเป็นความผิดของผู้ขับขี่หรือไม่ก็ตาม”

ชนแล้วหนี, พรบ. จราจร, กฎหมาย, พรบ.

ซึ่งถ้าเกิดอุบัติเหตุขึ้นแล้ว เราปฏิบัติตาม พ.ร.บ.จราจรทางมาตรา 78 ก็ไม่ต้องกลัวว่าเราจะต้องโทษ เพราะต้องมาพิจารณาหาสาเหตุของอุบัติเหตุอีกที เพื่อหาฝ่ายผิด หลังจากนั้นจึงเข้าสู่กระบวนการทางกฎหมาย ที่จะมีประกันภัยรถยนต์เข้ามาเกี่ยวข้องด้วยในส่วนของการจ่ายค่าสินไหมทดแทน แต่ถ้าหากหลบหนีแล้วโดนจับได้ หรือเข้ามอบตัวเองในภายหลัง ก็จะมีบทลงโทษ ดังนี้

“พ.ร.บ.จราจรทางมาตรา 160 ผู้ใดไม่ปฏิบัติตามมาตรา 78 ​ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน 3 เดือน หรือปรับตั้งแต่ 2,000 บาทถึง 10,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ ถ้าการไม่ปฏิบัติตามมาตรา 78 เป็นเหตุให้บุคคลอื่นได้รับอันตรายสาหัส หรือเสียชีวิต​ ผู้ไม่ปฏิบัติตามต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน 6 เดือน หรือปรับตั้งแต่ 5,000 บาท ถึง 20,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ”

โดยบทลงโทษนี้ จะแยกจากคดีที่เกิดอุบัติเหตุอีกคดีนึง หรืออธิบายง่าย​ๆ ว่าถ้าเราชนแล้วหนี เราจะมีคดีติดตัวเพิ่มมาอีก 1 คดีฟรีๆ! ซึ่งหากเกิดอุบัติเหตุขึ้นจริงๆ สิ่งที่เราควรทำคือ “อย่าหนี” เพราะความผิดฐานขับรถประมาทนั้น ผู้ทำผิดไม่ใช่อาชญากร เราจึงควรอยู่รับผิดชอบสิ่งที่เกิดขึ้น ซึ่งดีกว่าการหลบหนีแน่นอน ยิ่งถ้าในอุบัติเหตุมีผู้เสียชีวิต เราก็จะต้องหลบหนีถึง 15 ปีเลยทีเดียว รวมถึงอาจจะเจอข้อหาอื่น​ๆ เพิ่มอีกด้วย แต่หากเราเลือกจะอยู่และให้ความช่วยเหลือผู้ได้รับบาดเจ็บ มอบตัวเพื่อสู้คดี ผลลัพธ์ที่ตามมาอาจจะไม่ร้ายแรงอย่างที่คิดเพราะบางคดีอาจยอมความกันได้ หรือ ศาลมีการลดโทษให้ตามความถูกต้องเหมาะสม

ชนแล้วหนี พรบ. จารจร

แต่จะดีที่สุดคือ การไม่ต้องตกอยู่ในสถานการณ์ “ชนแล้วหนี” ไม่ว่าในฐานะใดก็ตาม ซึ่งทุกนสามารถป้องกันได้ ด้วยการเตรียมร่างกายให้พร้อมขับขี่ มีสติอยู่ตลอดเวลา แต่หากผู้อ่านพบเจอเหตุการณ์หรืออุบัติเหตุเช่นนี้ Carro หวังว่าผู้อ่าน จะมีสติ รับมือ และจัดการกับสิ่งที่เกิดขึ้นได้โดยสูญเสียน้อยที่สุด ขับขี่ปลอดภัยค่ะ