When-Your-Friend-Crashes-Your-Car

เชื่อว่าคนมีรถหลาย ๆ คนต้องเคยเจอกับเหตุการณ์นี้ คือการที่มีคนใกล้ตัวที่สนิทชิดเชื้อกัน หรือเหล่าเพื่อนฝูงที่มาขอยืมรถยนต์ไปใช้งาน ด้วยความสนิทก็อาจจะให้ไปโดยไม่ได้คิดอะไร แต่ถ้าเกิดเพื่อนของคุณดันโชคไม่ดี ขับรถยนต์ของคุณไปประสบอุบัติเหตุเข้า และเกิดความเสียหายขึ้นกับตัวรถ เจอแบบนี้เข้าไป เจ้าของรถยนต์อย่างคุณจะทำยังไงดี? แล้วประกันรถยนต์จะจ่ายเงินให้ไหมนะ

When-Your-Friend-Crashes-Your-Car

ประกันภัยรถยนต์คุ้มครองใครบ้าง?

ทุกครั้งที่มีการซื้อรถยนต์ใหม่ เจ้าของรถยนต์จะต้องทำประกันภัยรถยนต์ภาคบังคับ (พ.ร.บ.) และประกันภาคสมัครใจซึ่งก็คือประกันรถยนต์ชั้น 1, ชั้น 2 และชั้น 3 โดยต้องมาพิจารณากันตรงนี้ว่า รูปแบบของประกันภัยรถยนต์ที่เจ้าของรถยนต์ทำไว้เป็นแบบใด มีขอบเขตความคุ้มครองเท่าใด และคุ้มครองใครบ้าง โดยหลัก ๆ แล้ว จะแบ่งออกเป็นดังต่อไปนี้

ประกันรถยนต์แบบไม่ระบุชื่อผู้ขับขี่

หากเจ้าของรถยนต์ทำประกันภัยรถยนต์ภาคสมัครใจแบบไม่ระบุชื่อผู้ขับขี่เอาไว้ ก็คือประกันจะคุ้มครองความรับผิดและความเสียหายอันจะเกิดขึ้นกับตัวรถยนต์ในระหว่างที่ใช้งานรถยนต์ ถึงแม้ว่าผู้ขับจะไม่ใช่เจ้าของรถยนต์ แต่ถ้าเป็นผู้ขับขี่ ณ ขณะนั้นโดยได้รับความยินยอมจากเจ้าของก่อนใช้งานรถยนต์แล้ว ก็จะอยู่ในขอบเขตความคุ้มครองของประกันในรูปแบบนี้

โดยทางบริษัทฯ จะชดเชยค่าเสียหายของตัวรถยนต์ตามเงื่อนไขที่กำหนด ถึงแม้ว่าเพื่อนจะยืมรถไปขับ ก็ยังสามารถรับความคุ้มครองจากประกันได้

ประกันภัยรถยนต์แบบระบุชื่อผู้ขับขี่

หากเจ้าของรถยนต์ทำประกันภัยแบบระบุชื่อผู้ขับขี่ ซึ่งเป็นประกันที่มีรูปแบบการคุ้มครองความรับผิดและความเสียหายของรถยนต์ในกรณีที่เกิดเหตุกับรถยนต์ในขณะที่มีผู้ที่ถูกระบุชื่อไว้ในกรมธรรม์เป็นผู้ขับรถยนต์เท่านั้น

โดยการทำประกันแบบระบุชื่อ จะสามารถระบุชื่อผู้ขับขี่ลงในกรมธรรม์ได้ถึง 2 คน กรณีที่มีเพื่อนยืมรถไปแล้วขับชน หากเพื่อนไม่ใช่เจ้าของชื่อที่ระบุไว้ในกรมธรรม์ ก็จะไม่ได้รับความคุ้มครองหรือเงินชดเชยจากจากประกันรูปแบบนี้

When-Your-Friend-Crashes-Your-Car

ถ้าเพื่อนเอารถไปขับ แต่ไม่มีใบขับขี่?

ถ้าเพื่อนที่ยืมรถยนต์ไปขับ ไม่มีใบอนุญาตขับขี่ แล้วขับรถยนต์ของคุณไปเกิดอุบัติเหตุ ก็จะมีความผิดฐานไม่มีใบขับขี่ รัฐจะเป็นผู้เสียหาย ไม่ใช่คู่กรณี แต่ถ้ารถยนต์ของเราเป็นฝ่ายถูกชน เจ้าของรถยนต์สามารถเรียกร้องค่าเสียหายจากคู่กรณีได้ แต่ถ้าเรา(หรือเพื่อนที่ยืมรถไปขับ) เป็นฝ่ายผิด ก็ต้องพิจารณาแยกเป็นกรณีดังต่อไปนี้

ไม่เคยสอบใบขับขี่มาก่อน ไม่มีใบขับขี่

หากผู้ขับไม่มีใบขับขี่มาก่อน บริษัทประกันจะคุ้มครองเฉพาะความเสียหายของบุคคลภายนอก หรือ ความเสียหายของตัวรถยนต์เท่านั้น

มีใบขับขี่ แต่ไม่ได้พกมาด้วย/หมดอายุ/ถูกยึด

หากเพื่อนที่ยืมรถยนต์ไปมีใบขับขี่ แต่อาจจะไม่ได้พกมาด้วย หรือใบขับขี่หมดอายุ-ถูกยึด กรณีนี้ประกันภัยรถยนต์แบบไม่ระบุชื่อผู้ขับ จะให้ความคุ้มครองและชดเชยค่าเสียหายให้ตามเงื่อนไข

อย่างไรก็ตาม การขับขี่ยานยนต์โดยไม่มีใบอนุญาตขับขี่ เป็นการทำผิดกฎหมายจราจร ไม่ควรปฏิบัติเป็นอย่างยิ่ง เพราะมีความเสี่ยงอุบัติเหตุสูง และถ้าถูกจับได้ก็จะมีความผิดและโดนปรับได้

นอกจากประกันภัยรถยนต์ แล้วเพื่อนที่ยืมรถยนต์ไปขับ ต้องรับผิดชอบอะไรไหม?

นอกเหนือจากความคุ้มครองจากประกันภัยรถยนต์แล้ว หากเรารู้สึกว่ารถยนต์เกิดความเสียหายมาก ก็สามารถเจรจาต่อรองเพื่อให้เพื่อนรับผิดชอบค่าเสียหายได้

หรือในกรณีที่เพื่อนนำรถไปชนจนไม่สามารถเคลมได้ คู่กรณีก็สามารถยื่นเรื่องฟ้องร้องทางแพ่งและทางอาญาที่ตัวของเพื่อนคนนั้นได้เช่นกัน

หากคู่กรณีเป็นฝ่ายขับมาชน เจ้าของรถยนต์ก็ต้องเป็นผู้ไปเรียกร้องค่าชดเชยจากคู่กรณีและต้องรับผิดชอบค่าใช้จ่ายที่เป็นส่วนต่างเอง แต่สามารถเจรจาให้เพื่อนที่ยืมรถไปขับเป็นผู้จ่ายเงินส่วนนั้นแทนได้

ดูเหมือนว่า ขั้นตอนการขอเคลมต่างๆ จากประกันภัยรถยนต์ ในกรณีนี้ ไม่ใช่เรื่องง่ายเลย เพราะมีบุคคลอื่นเข้ามาเกี่ยวข้องด้วยนั่นเอง เชื่อว่าถ้าเจอแบบนี้เข้าไป ก็คงจะปวดหัวไม่น้อยเลยทีเดียว เพราะฉะนั้น ก่อนที่จะตัดสินใจให้ใครยืมรถยนต์ไปใช้ ให้คิดไตร่ตรองให้ดี หรือสังเกตพฤติกรรมการขับขี่ของคนคนนั้นให้ดีเสียก่อน หากรู้สึกว่ามีความเสี่ยงที่จะเกิดอุบัติเหตุทางรถยนต์สูง ก็อย่าให้ยืมเลยดีกว่า เพราะมันอาจจะไม่คุ้ม

Claim-Car-Insurance-From-Flood-Damage

ช่วงนี้พวกเราคงต้องเผชิญพายุดีเปรสชั่นกันอย่างต่อเนื่อง ซึ่งแน่นอนว่าฝนตกแบบนี้คงเป็นเรื่องที่สร้างความลำบากใจให้ใครต่อใครหลายคน รวมไปถึงเพื่อน ๆ ที่อาศัยอยู่ในตัวเมือง เกิดน้ำท่วมทีไรมักจะพบกับปัญหาน้ำท่วม น้ำขัง ซึ่งส่งต่อผลเสียต่อรถยนต์ของเรา ถ้าเกิดกรณีน้ำท่วมรถเรา สามารถเคลมประกันได้ไหม ให้ masii บอกคำตอบเพื่อน ๆ กันดีกว่า

ถ้าน้ำท่วมรถเราจะเคลมประกันได้ไหม

Claim-Car-Insurance-From-Flood-Damage

บางครั้งที่ฝนตกหนัก ๆ ก็อาจส่งผลให้เกิดน้ำท่วมขังบนท้องถนน หรือท่วมบ้านเรือนที่พักอาศัย ซึ่งน้ำท่วมนี้ถือว่าเป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นจากธรรมชาติ ซึ่งจัดให้อยู่ในความคุ้มครองประเภทภัยธรรมชาติ สำหรับประเภทประกันภัยที่ครอบคลุมภัยธรรมชาตินั้น มีดังนี้

  • ประกันรถยนต์ชั้น 1
  • ประกันรถยนต์ชั้น 2+ (บางกรมธรรม์)
  • ประกันรถยนต์ชั้น 3+ (บางกรมธรรม์)

น้ำท่วมรถแบบไหนถึงสามารถเคลมประกันได้

Claim-Car-Insurance-From-Flood-Damage

น้ำท่วมรถขณะจอดอยู่ที่บ้านหรือลานจอดรถ

ในกรณีแบบนี้คือการจอดรถอยู่ที่บ้าน จอดที่ลานจอดรถ แล้วมีพายุฝนตกหนักติดต่อกันหลายวันจนเกิดน้ำท่วม น้ำป่าไหลหลาก ไม่สามารถย้ายรถได้ทัน

น้ำท่วมขณะเดินทางบนท้องถนน

รถติดอยู่บนท้องถนนขณะที่ฝนตก น้ำก็ท่วม ติดมาอยู่หลายชั่วโมงจนเกิดน้ำท่วมขังทำให้รถยนต์ของเพื่อน ๆ เกิดความเสียหาย สามารถแจ้งเคลมประกันได้เช่นกัน

น้ำท่วมรถแบบไหนที่ไม่สามารถเคลมประกันได้

Claim-Car-Insurance-From-Flood-Damage

ตั้งใจขับผ่านเส้นทางน้ำท่วม

กรณีเพื่อน ๆ ทราบอยู่แล้วว่าบริเวณพื้นที่ข้างหน้าที่เราจะต้องขับรถผ่านนั้นมีน้ำท่วม แต่ก็ยังขับรถลุยน้ำท่วมไป จนทำให้รถยนต์เกิดความเสียหาย เช่น น้ำเข้าห้องเครื่อง เครื่องยนต์ดับ ฯลฯ แบบนี้จะไม่สามารถเคลมประกันได้ เพราะมีเจตนาที่ชัดเจน

น้ำท่วมรถนอกอาณาเขต

กรณีต้องขับรถไปต่างประเทศ เช่น ขับรถไปประเทศเพื่อนบ้านแล้วเกิดเหตุการณ์น้ำท่วม จะไม่สามารถเคลมประกันได้ เพราะว่ารถยนต์ของเพื่อน ๆ ประสบเหตุนอกประเทศไทยซึ่งถือว่าอยู่นอกอาณาเขตที่ให้ความคุ้มครองนั่นเอง

เมื่อเพื่อน ๆ ทราบกันแล้วว่าหากน้ำท่วมแบบนี้ กรณีไหนที่สามารถเคลมประกันได้ และกรณีไหนที่ไม่สามารถเคลมประกันได้ ก็หวังว่าบทความนี้จะเป็นประโยชน์สำหรับทุกคนในช่วงนี้พายุหน้าฝนนี้ สุดท้ายใครที่มองหาประกันรถยนต์ สามารถ คลิกที่นี่ เพื่อเช็กเบี้ยประกันได้ทันที

ขอขอบคุณบทความดี ๆ จาก www.masii.com

Carro-Priceza-Insurance-For-Secondhand-Car

ในกรณีที่คุณซื้อรถมือหนึ่งป้ายแดงคุณจะได้รับประกันชั้น 1 มากับรถของคุณด้วย แต่หากคุณซื้อรถยนต์มือสองมาแล้ว ในบ้างครั้งก็อาจจะไม่มีประกันภัยมาให้ด้วย ซึ่งหลายๆ คนก็คงเกิดคำถามที่ว่า แล้วจะซื้อประกันแบบไหนดีให้กับรถมือสองละ?

ในส่วนนี้แนะนำให้ลองดูหลายๆ ปัจจัยเป็นส่วนประกอบ ตั้งแต่ลักษณะการขับขี่ หรือการใช้งานรถของคุณ จนไปถึงสภาพและอายุของรถ หากเป็นไปได้การเลือกใช้ประกันภัยรถยนต์ชั้น 1 ก็ยังคงเป็นตัวเลือกที่เหมาะสมที่สุด

แต่หากคุณไม่สามารถซื้อประกันภัยรถยนต์ชั้น 1 ได้ ประกันภัยรถยนต์ชั้น 2+ ก็ถือเป็นอีกทางเลือกหนึ่งที่น่าสนใจไม่น้อย ที่นี้เรามาดูถึงเหตุผลกันบ้างดีกว่า ว่าทำไมถึงต้องเลือกใช้ประกันภัยรถยนต์ 2 ตัวนี้

Insurance-For-Secondhand-Car

ประกันภัยรถยนต์ชั้น 1

จะทำให้คุณสามารถขับขี่รถยนต์มือสองได้อย่างอุ่นใจมากขึ้น เนื่องจากประกันภัยชนิดนี้ถือได้ว่าเป็นประกันภัยที่ให้การคุ้มครองทั้งคนทั้งรถครอบคลุมมากที่สุดเลยก็ว่าได้ หากรถของคุณเกิดอุบัติเหตุ ไม่ว่าจะจากรถชนกัน รถชนริมฟุตบาท หรือแม้แต่เศษหินกระเด็นมาชนกระจกก็สามารถเรียกเครมได้ทุกกรณี หากมีการได้รับบาดเจ็บประกันภัยชนิดนี้ก็ให้ความดูแลทั้งกับตัวคุณ และคู่กรณีอีกด้วย

Insurance-For-Secondhand-Car

ประกันภัยรถยนต์ชั้น 2+

เป็นประกันภัยที่ให้การคุ้มครองเกือบเทียบเท่ากับประกันภัยรถยนต์ชั้น 1 เพียงจะประกันภัยชนิดนี้จะมีความแตกต่างกันตรงที่เมื่อเกิดอุบัติเหตุจะต้องมีคู่กรณีร่วมด้วย นั่นจึงทำให้ประกันภัยชนิดนี้ไม่ได้คุ้มครองอุบัติเหตุชนสิ่งอื่น ๆ เช่น เสาไฟฟ้า รั้ว ต้นไม้ กำแพง หรือการพลิกคว่ำ และหากเกิดอุบัติเหตุกับรถยนต์คุณจะต้องทราบถึงเลขทะเบียนรถของฝ่ายคู่กรณีด้วยเพื่อใช้แจ้งเครมประกันกับเจ้าหน้าที่

ดังนั้น หากจะเลือกซื้อประกันภัยรถยนต์ชั้น 2+ แนะนำให้คุณติดตั้งกล้องหน้า-หลังรถ และขับขี่อย่างระมัดระวังมากกว่าการทำประกันภัยรถยนต์ชั้น 1 ขึ้นมาเล็กน้อย

การทำประกันรถยนต์มือสองนั้น ก็ไม่ได้มีความแตกต่างจากการเลือกซื้อประกันภัยให้รถยนต์มือหนึ่งสักเท่าไร เพราะสุดท้ายแล้วคุณก็ต้องเลือกซื้อประกันภัยรถยนต์ตามความเหมาะสมกับประเภทรถ และลักษณะการขับขี่

ก่อนเลือกซื้อแนะนำให้คุณลองหาข้อมูลของบริษัทประกันภัยเอาไว้หลายๆ เจ้า ร่วมความถึงรีวิวต่างๆ จากผู้ใช้งานจริง เพื่อนำมาเปรียบเทียบถึงข้อดี-ข้อเสีย จะได้เลือกประกันภัยที่มีความคุ้มค่า และเหมาะกับคุณได้มากที่สุด ไม่ว่าจะเรื่องของค่าเบี้ยประกันภัยที่ต้องจ่าย ทุนประกันที่ให้ความคุ้มครอง ไปจนถึงรายละเอียดและเงื่อนไขของกรมธรรม์ ก็ล้วนแล้วแต่เป็นสิ่งที่คุณไม่ควรมองข้าม จะได้ไม่เกิดปัญหาตามมาแล้วมานั่งปวดหัวในภายหลัง

หากสนใจเปรียบเทียบประกันรถยนต์ คลิกที่นี่ เปรียบเทียบฟรี ทั้งเบี้ย ความคุ้มครอง ครบทุกรูปแบบในที่เดียว หรือสามารถติดตามข่าวสารได้ที่เพจ Pricezamoney เรามีแอดมินคอยให้คำแนะนำครับ

Carro-What-Reason-To-Get-Car-Insurance

เพื่อนๆ หลายคน มักจะมองว่าการซื้อประกันภัยรถยนต์ไม่ว่าจะเป็นชั้นไหนๆ เป็นเพื่อการคุ้มครองทั้งเรา และตัวรถในกรณีที่เกิดอุบัติเหตุบนท้องถนน รวมไปถึงครอบคลุมค่าใช้จ่าย ในกรณีที่ตัวเราต้องเข้าโรงพยาบาล หรือรถยนต์ของเราเกิดความเสียหาย

เหตุผลที่ควรทำประกันรถยนต์ติดรถไว้

อาจจะไม่ใช่เรื่องแปลกเท่าไรนักที่เพื่อนๆ หลายคนอาจจะมองว่าการทำประกันรถยนต์ไม่ใช่สิ่งจำเป็นสักเท่าไรเพราะเนื่องจากตัวเราเองก็รู้จักในการขับขี่อย่างมีสติ และมีความปลอดภัย จึงรู้สึกว่าการทำประกันรถยนต์ที่ต้องคอยเสียเบี้ยประกันไม่ใช่เรื่องที่คุ้มค่า อีกทั้งยังมี พ.ร.บ. รถยนต์ที่คอยดูแลเรื่องค่ารักษาพยาบาลเบื้องต้นให้เราอยู่แล้ว

ทาง masii อยากจะขอแนะนำให้เพื่อนๆ ให้ความสำคัญกับการทำประกันดูนะครับ เพราะว่าหากเราทำประกันรถยนต์ไว้จะเป็นการแบ่งเบาภาระ และค่าใช้จ่ายของเราได้เยอะเลย สำหรับใครยังไม่มั่นใจ วันนี้ตามผมไปอ่านเหตุผลดีๆ ที่ควรทำประกันติดรถไว้กันนะครับ

What-Reason-To-Get-Car-Insurance

1. คุ้มครองหากเกิดอุบัติเหตุรถชน

อุ่นใจได้เลยครับ ไม่ว่าเพื่อนๆ จะเลือกทำประกันชั้นไหนก็จะคุ้มครองทั้งรถเรา รถคู่กรณีด้วยนะ โดยจะแบ่งความคุ้มครองตามกรมธรรม์ ดังนี้

ประกันรถยนต์ชั้น 1 คุ้มครองมากที่สุด ทุกกรณี ไม่ว่าจะเป็นชนรถ ชนสิ่งของต่างๆ ที่ไม่ใช่รถยนต์ก็คุ้มครองด้วยครับ หรือเคลมได้ทุกกรณีหากเกิดการชน
ประกันรถยนต์ชั้น 2+ คุ้มครองเทียบกับชั้น 1 เลย จะต่างตรงที่ว่า ต้องสามารถระบุคู่กรณีได้
ประกันรถยนต์ชั้น 3+ คุ้มครองซ่อมรถเราให้กรณีที่ระบุคู่กรณีได่เท่านั้น

2. ดูแลค่าใช้จ่าย รักษา หากเกิดอุบัติเหตุ

แน่นอนว่า เราทำประกันรถยนต์เพื่อคอยช่วยดูแลครอบคลุมความรับผิดชอบต่อคู่กรณี ทั้งชีวิตและทรัพย์สินของตัวเราและคู่กรณี เช่น ช่วยดูแลค่าใช้จ่ายสำหรับค่ารักษาพยาบาล รวมไปถึงค่าซอมแซ่มรถยนต์ตามทุนประกันด้วยครับ

What-Reason-To-Get-Car-Insurance

3. มีเจ้าหน้าที่จากประกันช่วยเจรจาหากเกิดอุบัติเหตุ

ใครๆ ก็ต่างรักรถยนต์ของเราเป็นธรรมดา หากเกิดอุบัติเหตุบนท้องถนน มักจะพบเจอกับคู่กรณีที่อารมณ์ร้อน พูดจาด้วยถ้อยคำไม่สุภาพ ถ้าเป็นแบบนั้นคงยากที่เราจะเจรจาต่อรองกัน แต่หากเราทำประกันรถยนต์ไว้ อุ่นใจได้แน่นอน เพราะเราสามารถโทรเรียกเจ้าหน้าที่ประกันมายังที่เกิดเหตุ และเจรจากับคู่กรณีได้ครับ แถมยังช่วยต่อรองกับคู่กรณีได้ง่ายมากขึ้นด้วย

เพียงเท่านี้เพือนๆ ก็คงจะทราบถึงข้อดีสำหรับการทำประกันรถยนต์ติดไว้กันแล้วใช่มั้ยครับ จริงๆ แล้วประกันรถยนต์ยังครอบคลุมอีกหลากหลายกรณีเลยนะครับ หากใครที่สนใจอยากทำประกันรถยนต์ คลิกที่นี่ เพื่อเช็กเบี้ยประกันได้ทันที มีข้อมูลอยากสอบถามโทรเข้ามา 02 710 3100 เรามีทีมงานคอยให้คำตอบอยู่ครับ

ขอขอบคุณบทความดีๆ จาก www.masii.com

Carro-Masii-Old-Car-Can-Do-First-Class-Insurance

ในปัจจุบัน การเลือกซื้อหรือใช้งานรถยนต์มือสอง ยังคงได้รับความนิยมอย่างต่อเนื่อง โดยเหตุผลที่ว่ารถมือสองมักจะเสนอขายในราคาที่ถูกกว่า รวมไปถึงถ้าหากเราเลือกรถมือสองที่มีคุณภาพ ไม่ว่าจะเป็นสภาพรถทั้งในและนอก เราเองก็จะได้รถมือสองที่คุณภาพดีไม่แพ้รถมือหนึ่งเลย

หากมีรถยนต์เป็นของตัวเอง การเลือกทำประกันรถยนต์เป็นสิ่งสำคัญที่เพื่อนๆ หลายคนควรทำ แต่สำหรับรถมือสอง เราควรจะทำประกันรถยนต์ชั้น 1 เลยดีมั้ยนะ หรือว่าควรเลือกตามความเหมาะสมกับตัวเองดี วันนี้ masii มาคำตอบมาฝากชาว Carro กันจ้า

Carro-Masii-Old-Car-Can-Do-First-Class-Insurance

เพื่อนๆ หลายคนมักจะมองว่าการเลือกทำประกันรถยนต์ชั้น 1 ให้กับรถมือสองเป็นสิ่งที่สิ้นเปลือง เพราะเนื่องจากมีการใช้งานมาสักระยะแล้ว หากเป็นรถมือหนึ่ง หรือรถป้ายแดง แบบนี้สิที่ควรจะทำ

แต่การทำประกันรถยนต์นั้นเรามีไว้เพื่อความอุ่นใจ ในกรณีที่เกิดความเสี่ยงด้านอุบัติเหตุกับเพื่อนๆ แม้จะมีความมั่นใจว่าขับรถปลอดภัยอยู่แล้ว แต่อุบัติเหตุบนท้องถนนสามารถเกิดขึ้นได้เสมอ

ดังนั้น การเลือกทำประกันรถยนต์ชั้น 1 จะช่วยให้เพื่อนๆ อุ่นใจได้มากขึ้นกว่าเดิม เพราะได้รับความคุ้มครองที่ครอบคลุมกว่าประกันรถยนต์ชั้นอื่นๆ อย่างแน่นอน

Carro-Masii-Old-Car-Can-Do-First-Class-Insurance

แต่เพื่อนๆ คนไหนที่ขับรถมือสอง เกิดอยากจะทำประกันชั้น 1 ควรจะเป็นรถยนต์ที่อายุไม่เกิน 10 ปีนะ แต่ทั้งนี้ก็ขึ้นอยู่กับเงื่อนไขของแต่ละบริษัทประกัน เพราะบางแห่งก็สามารถรับรถยนต์ที่มีอายุมากกว่า 10 ปี ได้อีกด้วยนะ

สำหรับเพื่อนๆ คนไหนที่มองหาประกันรถยนต์ที่เบี้ยไม่แพงนัก ประกันรถยนต์ชั้น 2+ นั้นเหมาะมากๆ สำหรับรถมือสอง เพราะให้ความคุ้มครองใกล้เคียงกับประกันชั้น 1 เลย หลักๆ คือ คุ้มครองความเสียหายต่อร่างกายและทรัพย์สินของคู่กรณี ค่ารักษาพยาบาล และค่าชดเชยอุบัติเหตุ

หากสนใจอยากทำประกันรถยนต์ เพื่อนๆ สามารถ คลิกที่นี่ เพื่อเปรียบเทียบประกันรถยนต์​ รวมไปถึงเช็กเบี้ยประกันรถยนต์ได้อีกด้วยนะ หากมีคำถามสงสัย สามารถโทรเข้ามาได้ที่ 02-7103100 เรามีทีมงานคอยให้คำตอบอยู่จ้า

ขอขอบคุณบทความดีๆ จาก www.masii.com

Renew-Or-Choose-New-Company-Car-Insurance

ลังเลใจไม่น้อยเมื่อประกันรถยนต์ใกล้หมดแบบนี้ จะต่อประกันรถยนต์ที่เก่าดี หรือที่ใหม่ดีนะ มีข้อดีข้อเสียต่างกันยังไง ตามเรามาดูกันเลยดีกว่า 

ต่อประกันรถยนต์กับที่เดิม

ใครที่อยากจะต่อประกันรถยนต์ที่เดิมนั่น เหมาะมากๆ สำหรับใครที่ธุรกิจรัดตัว เวลาว่างไม่เยอะ ไม่ต้องการความยุ่งยากให้กับชีวิต เพราะจะต่อประกันรถยนต์ใหม่สักเจ้า นอกเหนือจากเบี้ยประกันแล้ว เราต้องศึกษาเงื่อนไขอื่นๆ เพิ่มเติม แถมต้องคอยเปรียบเทียบประกันอีก ทำให้หลายคนตัดปัญหาที่แสนยุ่งยากเหล่านั้นดว้ยการต่อประกันภัยรถยนต์ที่เดิมแทน

นอกจากนี้ ข้อดีของการต่อประกันรถยนต์ที่เดิม คือ มีส่วนลดเบี้ยประกันภัยในปีต่อไป หากคุณต้องการตัดรายจ่าย ถ้าได้ความคุ้มครองเท่าเดิม แต่จ่ายน้อยลง ที่เดิมนี่แหละที่ตอบโจทย์! แถมยังสะดวกสบายไม่ต้องตระเตรียมเอกสารใหม่ๆ ให้ยุ่งยาก 

ถ้าประกันรถยนต์เจ้าเดิมของคุณไม่มีปัญหา ตอบโจทย์ครบถ้วนอยู่แล้ว ก็คงไม่มีใครคิดจะอยากเปลี่ยนเจ้าประกันรถยนต์หรอก จริงไหมล่ะ

Renew-Or-Choose-New-Company-Car-Insurance

ต่อประกันรถยนต์เปลี่ยนที่ใหม่

ถ้าประกันรถยนต์เจ้าเก่าไม่ค่อยตอบโจทย์เอาเสียเลย การเปลี่ยนไปต่อประกันรถยนต์เจ้าใหม่ๆ น่าจะตอบโจทย์มากกว่า! นอกจากนี้การเปลี่ยนเจ้าต่อประกันรถยนต์นั้น ให้ข้อดีใจแง่การเคลมนั่นเอง เพราะหากคุณเคลมบ่อย อยากจ่ายเบี้ยปีหน้าถูกลง จะต้องย้ายค่ายไปหาเจ้าใหม่จะช่วยให้เบี้ยประกันคุณถูกลงมากกว่า

นอกจากนี้ อาจจะมีสิทธิ์ได้รับส่วนลดมากกว่าอีกด้วย เพราะหลายเจ้ามักมีโปรโมชั่นลดแลกแจกแถมให้กับลูกค้าใหม่ๆ  แต่การเปลี่ยนเจ้า เปลี่ยนที่ต่อประกันรถยนต์ใหม่นั่น มีข้อเสียคือเสี่ยงนั่นเอง เสี่ยงว่าถ้าเราเปรียบเทียบไม่ดี ก็อาจจะเจอประกันรถยนต์ที่แย่กว่าเจ้าเก่าได้ และกว่าจะเปลี่ยนก็ต้องรออีกทีปีหน้าเลยนะ! 

แบบนี้เลือกยังไงให้ชัวร์ ? 

สำหรับใครที่ยังลังเล ชั่งใจว่าจะต่อประกันรถยนต์ที่ไหนดี ที่เก่า หรือที่ใหม่ดีนะ ขอแบบนี้บอกเลยว่าไม่ตายตัว และขึ้นอยู่กับเงื่อนไข ปัจจัยต่างๆ ขอแต่ละคน เช่น ถ้าประกันเจ้าเดิมดี มีส่วนลดต่างๆ ที่น่าสนใจ เวลาเคลม ไปอู่ซ่อมก็สบาย ไม่ยากอะไร คุณก็อาจจะต่อที่เดิมก็ได้

แต่ถ้าใครที่อยากจะเปลี่ยนที่ใหม่ แสวงหาประกันรถยนต์ที่ดีกว่าประกันรถยนต์เดิมๆ ลองมาทำความรู้จักกับ บริการเปรียบเทียบประกันรถยนต์จาก rabbit finance ที่ให้คุณเปรียบเทียบประกันรถยนต์ได้สะดวกสบาย ไม่ต้องยุ่งยาก ใช้เวลาเพียงไม่กี่นาทีก็สามารถค้นหาประกัรรถยนต์พร้อมโปรโมชั่นที่โดนใจ เหมาะกับเงินในกระเป๋าได้ง่ายๆ ไม่ต้องยุ่งยากอีกต่อไป

Masii-Auto-Insurance-And-Secondhand-Car

หากพูดถึงรถยนต์มือสอง แน่นอนว่าหลายๆ คน ก็มักจะเลือกซื้อใช้ เพราะเนื่องจากมีราคาที่ถูกกว่ารถยนต์มือหนึ่งป้ายแดงอย่างเห็นได้ชัดเจน และรวมไปถึงเรื่องของคุณภาพ และสภาพรถยนต์มือสองทั่วไปในปัจจุบัน ก็คงสภาพได้ดีด้วยอีกด้วย ดังนั้น ไม่แปลกใจเท่าไรที่เพื่อนๆ หลายคนเลือกใช้รถยนต์มือสองกันมากขึ้น

Carro-Masii-Auto-Insurance-And-Secondhand-Car

ใช้รถมือสอง ประกันรถยนต์ยังจำเป็นอยู่ไหม?

แน่นอนว่าอาจจะมีเพื่อนๆ หลายคนที่มักมีความคิดว่าการซื้อรถยนต์มือสองคือการซื้อขาย หรือใช้รถยนต์ต่อจากคนอื่น ดังนั้นเราไม่จำเป็นต้องมีประกันรถยนต์ก็ได้เหมือนกัน อาจจะดูเป็นความคิดที่ไม่สมเหตุสมผลสักเท่าไรนัก แต่เชื่อสิว่ายังมีคนคิดแบบนี้อยู่จริงๆ นะ ทางมาสิ ขอแนะนำให้เพื่อนๆ พักความเชื่อเหล่านี้เอาไว้ก่อน

เราอยากจะบอกว่ากับเพื่อนๆ ทุกคนว่า ประกันภัยรถยนต์ยังถือว่าเป็นสิ่งสำคัญและจำเป็นอย่างมากสำหรับเพื่อนๆ ที่มีรถยนต์เป็นของตัวเอง ไม่ว่าจะเป็นมือหนึ่งป้ายแดงหรือมือสองก็ตาม เพราะหน้าที่หลักของการทำประกันรถยนต์ คือ การคุ้มครองทั้งตัวเราและรถยนต์ในกรณีที่เกิดอุบัติเหตุทางรถยนต์ เกิดเหตุที่ไม่คาดคิด เห็นไหมว่า มันไม่เกี่ยวกันเลยว่าต้องเป็นรถยนต์มือหนึ่งอย่างเดียวที่ควรทำ รถยนต์ใดๆ ก็สามารถทำประกันรถยนต์ได้ทั้งนั้น

แต่สำหรับเพื่อนๆ ที่ซื้อรถมือสองมาใช้งาน แล้วพบว่าไม่รู้ว่า เราควรจะเลือกทำประกันรถมือสองประเภทไหนดีถึงจะเหมาะสม วันนี้ มาสิ มีคำแนะนำดีๆ มาฝากกัน ไปดูกันว่า รถมือสอง ทำประกันรถยนต์แบบไหนดี

Carro-Masii-Auto-Insurance-And-Secondhand-Car

ประกันภัยรถยนต์ชั้น 1

สำหรับเพื่อนๆ คนไหนที่มีอายุรถมือสองที่ไม่เก่ามากนัก และใช้งานเป็นประกันทางเราขอแนะนำให้ทำประกันชั้น 1 ไปเลยเพราะว่า จะให้ความคุ้มครองที่มากกว่าชั้นอื่นๆ นอกเหนือจากค่ารักษาพยาบาล เงินชดเชยต่างๆ แต่ยังครอบคลุมไปถึงการคุ้มครองกรณีรถชนไม่มีคู่กรณีอีกด้วยนะ เช่น รถชนต้นไม้ ชนกำแพง เป็นต้น

ประกันภัยรถยนต์ชั้น 2+

สำหรับเพื่อนๆ ที่อยากประหยัดค่าเบี้ยประกันน้อยลง ประกันรถยนต์ชั้น 2+ เป็นตัวเลือกที่เหมาะมากสำหรับรถมือสอง โดยเฉพาะหากรถมือสองมีอายุมากกว่า 3 ปีขึ้นไป สำหรับความคุ้มครองนั้นจะใกล้เคียงกับประกันรถยนต์ชั้น 1 เลย แตกต่างตรงกันที่ชั้น 2+ จะชดเชยความเสียหายกรณีรถชนที่มีคู่กรณีเท่านั้น

ประกันภัยรถยนต์ชั้น 3+

ประหยัดได้เพิ่มขึ้นด้วยเบี้ยประกันที่ถูกลง แต่ความคุ้มครองสำหรับชั้น 3+ นั้นไม่ได้แตกต่างกับชั้น 1 และ 2+ โดยเฉพาะรถมือสองที่มีอายุมากกว่า 5 ปีขึ้นไป ประกันชั้นนี้จะเหมาะกับรถของเพื่อนๆ เลย สำหรับความคุ้มครองจะแตกต่างตรงที่ไม่ครอบคลุมถึงรถหาย และไฟไหม้รถ

เพียงเท่านี้ทาง มาสิ ก็หวังว่าเพื่อนๆ ที่มีรถมือสองอยู่น่าจะทราบและหาได้แล้วว่ารถยนต์ของเราเหมาะกับประกันรถยนต์ชั้นไหน หากใครสนใจหรือมองหาประกันรถยนต์ สามารถโทรเข้ามาสอบถามเบี้ยได้เลยที่ 02-710-3100 หรือ คลิกที่นี่ เพื่อเปรียบเทียบประกันรถยนต์

ขอขอบคุณบทความดีๆ จาก www.masii.com

Claim-Car-Insurance-About-Flood

ช่วงนี้ หลายต่อหลายพื้นที่ของประเทศไทย ก็อยู่ในช่วงฤดูมรสุม โดนพายุฝนกระหน่ำกันไปถ้วนหน้า ถ้าท่านใดสามารถขนข้าวของ ขนรถหนีน้ำได้ทัน ก็ถือว่าโชคดีไป แต่บางหลายอาจจะขนข้าวขนของ ขนรถหนีไม่ทัน (เช่น รถจอดอยู่ชั้นใต้ดินของคอนโดมิเนียม) โดนน้ำท่วมไปต่อหน้าต่อตาเลยทีเดียว นับเป็นความสูญเสียที่มหาศาล ทั้งทรัพย์สินและที่อยู่อาศัย

สำหรับประกันภัยรถยนต์บางชนิด เช่น ประกันภัยชั้น 1 ที่มีครอบคลุมไปถึงภัยธรรมชาติ หรือประกันภัยแบบพิเศษ อาทิเช่น ประกันภัยชั้น 2+ และ 3+ เป็นต้น หากรถใครที่มีประกันภัยชนิดดังกล่าว ก็จะช่วยลดความกังวลในการจ่ายค่าซ่อมไปได้บ้าง

Claim-Car-Insurance-About-Flood

หากรถโดนน้ำท่วมแล้ว (แล้วรถมีประภันภัย เช่น ชั้น 1) จะมีวิธีเคลมประกันได้อย่างไร กรณีน้ำท่วมรถ

1. แจ้งเคลมกับบริษัทประกันภัย ให้มาตรวจสอบความเสียหายที่เกิดขึ้น หรือถ้าไม่สะดวกก็ถ่ายรูปรถยนต์รอบๆ รถเอาไว้ ตอนที่เกิดน้ำท่วมเพื่อเก็บไว้เป็นหลักฐาน

2. บริษัทประกันภัยก็จะติดต่อนัดหมายผู้เอาประกันภัย เพื่อเข้าไปตรวจสอบรถยนต์คันที่เสียหาย หรือาจจะขอนัดคุณไปดูว่า รถคันที่เสียหายตอนนี้ จอดอยู่ ณ สถานที่แห่งใด ก่อนจะลากรถไปยังอู่ซ่อมรถ หรือศูนย์บริการ เพื่อทำการตรวจสอบสภาพรถ

3. อู่หรือศูนย์บริการ ก็จะทำการประเมินความเสียหาย ประเมินรายการจัดซ่อม ซึ่งสามารถตัดสินออกได้เป็นอีก 2 แบบ ได้แก่

  • กรณีรถยนต์เสียหายอย่างสิ้นเชิง (หรือ Total Loss) คือ ส่วนใหญ่บริษัทประกันภัย จะประเมินมูลค่าความเสียหายที่ 70% ของมูลค่ารถคันนั้น ซึ่งหากพิจารณาจากความเสียหาย ในกรณีนี้คือ รถจมน้ำท่วมมิดคัน หรือ ท่วมเกินช่วงคอนโซลหน้า ซึ่งจะสร้างความเสียหายให้กับทั้งห้องโดยสาร
    หากบริษัทประกันภัยพิจารณาแล้วว่า รถยนต์คันดังกล่าว ไม่คุ้มที่จะซ่อมให้กลับมาสภาพเดิมได้ ซึ่งรวมถึงเครื่องยนต์ ก็จะชดใช้ค่าสินไหมทดแทน ให้ตามทุนประกันภัยที่ได้ระบุไว้ในกรมธรรม์ โดยเจ้าของรถหรือผู้รับผลประโยชน์ ต้องโอนกรรมสิทธิ์ (คืนซากรถ) ให้กับบริษัทประกันภัย และกรมธรรม์ฉบับดังกล่าวก็ถือเป็นอันสิ้นสุดความคุ้มครองไป
  • กรณีรถยนต์เสียหายบางส่วน (หรือ Partial Loss) คือ รถยนต์ไม่เสียหายมากนัก สามารถซ่อมให้กลับมาใช้งานได้ตามเดิม บริษัทประกันภัยก็จะพิจารณาให้เป็นลักษณะความเสียหายบางส่วนเท่านั้น ทั้งนี้ก็ขึ้นอยู่กับการประเมินของบริษัทประกันภัยด้วย ซึ่งมีรายละเอียดตามนี้

 

OIC-Repair-method-of-each-water-level-rank

 

ระดับ A น้ำท่วมถึงพื้นรถยนต์ ประเมินค่าซ่อม 8,000-10,000 บาท มีรายการที่ต้องดำเนินการ 15 รายการ เช่น ตรวจสอบแบ็ตเตอรี่ (ถอดขั้ว/ตรวจสอบน้ำกลั่น/ไฟ-ชาร์ท) ทำความสะอาดตัวรถ ล้าง-อัด-ฉีด ขัดสี ถอดเบาะนั่ง หน้า-หลัง ถอดคอนโซลกลาง (คันเกียร์) ถอดพรมในเก๋ง-ซักล้าง-ตาก-อบแห้ง ถอดคันเร่ง (รถที่ควบคุมด้วยระบบไฟฟ้าและเซ็นเซอร์)

ถอดลูกยางอุดรูพื้นรถและทำความสะอาด ล้างทำความสะอาดห้องเครื่อง-เป่าแห้ง ตรวจสอบทำความสะอาดระบบเบรก 4 ล้อ/ผ้าเบรก ทำความสะอาดสายไฟ-ปลั๊กไฟด้วยน้ำยาเคมีภัณฑ์ ตรวจสอบชุดท่อพักไอเสีย (แคทธาเรติค)

ระดับ B น้ำท่วมถึงเบาะนั่ง ประเมินค่าซ่อม 15,000 -20,000 บาท มีรายการที่ต้องดำเนินการ 26 รายการ โดยเพิ่มเติมจาก 15 รายการในระดับ A คือ การถ่ายน้ำมันเครื่อง-เกียร์-เฟืองท้าย กรองน้ำมันเครื่อง-กรองอากาศ-กรองเบนซิน-กรองโซล่า ตรวจระบบจุดระเบิด หัวเทียน จานจ่าย หัวฉีด ตรวจสอบชุดเพลาขับ

ถอดทำความสะอาดแผงประตูทั้ง 4 บาน ตรวจชุดสวิทซ์สตาร์ท-กล่องควบคุมไฟ- กล่องฟิวส์ ถอดทำความสะอาดไล่ความชื้นระบบเข็มขัดนิรภัย ถอดทำความสะอาดชุดมอเตอร์ยกกระจกไฟฟ้า ตรวจสอบทำความสะอาดเบาะ ถอดทำความสะอาด (ไดสตาร์ทและไดชาร์จ) เพื่อไล่ความชื้น

Claim-Car-Insurance-About-Flood

ระดับ C น้ำท่วมถึงส่วนล่างของคอนโซลหน้า ประเมินค่าซ่อม 25,000-30,000 บาท มีรายการที่ต้องดำเนินการ 39 รายการ โดยเพิ่มเติมจาก ระดับ A และ B คือ ตรวจสอบชุดอีโมไรท์เซอร์/ระบบ GPS (ที่ติดมากับรุ่นรถ) ตรวจสอบไล่น้ำออกจากเครื่องยนต์ ท่อไอดี ห้องเผาไหม้ ตรวจสอบลูกปืนไดชาร์ท ลูกรอก ตรวจสอบทำความสะอาดระบบไฟส่องสว่าง (ไฟหน้า-ท้าย-เลี้ยว) ตรวจเช็คระบบขับเลี้ยวไฟฟ้า

ถอดตรวจเช็คตู้แอร์ มอเตอร์ โบวเวอร์ เซ็นเซอร์ ถอดหน้าปัดเรือนไมล์ เกจ์ ถอดตรวจเช็คระบบไฟฟ้าและสายไฟขั้วต่างๆ ตรวจเช็คระบบเครื่องเสียง-วิทยุ-แอมป์-ลำโพง ตรวจเช็คระบบเบรก (ABS) ตรวจชุดหม้อลมเบรก/ แม่ปั้มบน-ล่าง ตรวจสอบลูกปืนล้อ-ลูกหมาก-ลูกยางต่างๆ ผ้าหลังคา/แมกกะไลท์

ระดับ D น้ำท่วมถึงส่วนบนของคอนโซลหน้า ประเมินค่าซ่อมเริ่มต้นที่ 30,000 บาท ขึ้นไป มีรายการที่ต้องดำเนินการ 40 รายการ โดยเพิ่มเติมจาก ระดับ A – C มา 1 รายการ คือ ทำสี (กรณีสีรถได้รับความเสียหาย) ซึ่งในกรณีนี้ทางบริษัทผู้รับประกันภัยอาจพิจารณาคืนทุนประกันภัยให้กับผู้เอาประกันภัยก็ได้

และระดับ E รถยนต์จมน้ำทั้งคัน ซึ่งในกรณีนี้ บริษัทผู้รับประกันภัยจะคืนทุนประกันภัย ให้กับผู้รับประกันภัยสถานเดียว

Claim-Car-Insurance-About-Flood

โดยที่บริษัทประกันภัย จะเป็นผู้รับผิดชอบค่าใช้จ่ายทั้งหมด เช่น ค่าทำความสะอาดภายในรถ ซักเบาะ พรม ขัดสี ทำความสะอาดต่างๆ ซึ่งคุณสามารถนำหลักฐานไปเคลมประกันภัยได้เช่นกัน

และเมื่อรถซ่อมเสร็จนำกลับมาใช้ ถ้าพบปัญหาจากระบบต่างๆ ของตัวรถ ที่เป็นสาเหตุเกิดจากตอนถูกน้ำท่วม ก็สามารถแจ้งบริษัทประกันภัยได้ทันที เพื่อเคลมความเสียหายต่อเนื่องครับ

CARRO-MSIG-Insurance-Promotion-2020

หากรถของคุณที่ใช้งานในช่วงนี้ ต้องเสี่ยงกับการเจอน้ำท่วมบ่อยๆ ไม่ว่าจะขับรถไปเจอ หรือจอดรถไว้อยู่กับที่ ก็ลองทำประกันภัยชั้น 2+ (Safe Guard 2+) หรือ 3+ (Safe Guard 3+) ของทาง MSIG Insurance ดูสิ เพราะว่าประกันภัยดังกล่าวมี Cover เรื่องซ่อมรถกรณีรถถูกน้ำท่วมเพิ่มเติมด้วย คลิกเลยที่ ซื้อประกันภัยรถยนต์ CARRO X MSIG ประกันภัย อีกทั้งช่วงนี้ยังมี ฟรี! บริการช่วยเหลือฉุกเฉิน 24 ชั่วโมง ทั่วประเทศอีกด้วย

ส่วนใครที่อยากขายรถที่ถูกน้ำท่วมมา ไม่ว่าจะเป็นรถบ้าน รถมือสอง ก็สามารถปรึกษากับทางเราดูก่อนได้ เพียงแค่คุณขายรถคันเดิมกับ CARRO ได้ ง่ายๆ ได้เงินไว! กับ CARRO Express เพียงแค่คลิก https://th.carro.co/sell-car/express หรือสามารถ Inbox มาขอรายละเอียดได้ที่ Facebook CARRO Thailand

หรือจะ Add Line สอบถามรายละเอียดได้ที่ @Carrothailand หรือคลิกที่นี่ครับ —> เพิ่มเพื่อน

หากท่านใดอ่านแล้วยังมีข้อสงสัย หรือมีปัญหาไม่ได้รับความเป็นธรรม ในการเคลมประกันภัยจากบริษัทประกันภัย ก็สามารถติดต่อได้ที่ สายด่วน คปภ. 1186 ครับผม

แหล่งที่มา :

Carro x Frank - จะให้ดี... ควรต่อประกันรถตอนไหน

มีรถยนต์ก็ต้องดูแล! ต้องเทคแคร์อย่าให้ขาดทั้งน้ำมัน ทั้งซ่อมบำรุง ทั้งเติมลมยาง และอื่นๆ มากมาย และที่ลืมไม่ได้เลยคือการต่อประกันรถยนต์เพิ่มความคุ้มครองนอกเหนือจาก พ.ร.บ.รถยนต์

ถามว่าเราควรต่อประกันรถยนต์ตอนไหน ?

คงต้องตอบตรงๆ ว่า มีให้เลือกต่อประกันรถยนต์หลายช่วงเวลาตามนี้

1. ต่อล่วงหน้า 3 เดือนก่อนหมดอายุ
2. ต่อล่วงหน้า 1 เดือนก่อนหมดอายุ
3. ต่อล่วงหน้า 1 วันก่อนหมดอายุ

และเพื่อชาว CARRO ให้เข้าใจอย่างถ่องแท้ เพนกวิน Frank.co.th โบรกเกอร์ประกันภัยออนไลน์ขออธิบายตามนี้ครับ!!

Car-Insurance-For-New-Driver

1. ต่อประกันรถล่วงหน้า 3 เดือน

คงต้องบอกว่า “หากกลัวลืม!!” และต้องการความดูแลต่อเนื่อง
เราสามารถต่อประกันรถยนต์ล่วงหน้า 3 เดือนก่อนประกันหมดอายุ

สำหรับการต่อประกันล่วงหน้ามีข้อดียังไงบ้าง ?

  • มีเวลาได้พิจารณาเงื่อนไขที่ดีที่สุด
  • มีเวลาอ่านข้อตกลง และเปรียบเทียบเบี้ยประกันภัยที่ต้องการ
  • มีเวลาผ่อนจ่ายยาว ๆ สบาย ๆ ไม่ตึงมือ
  • มีเวลาเคลมรถยนต์และนำเข้าซ่อมก่อนต่อประกันกับที่ใหม่
  • และที่สำคัญคือมีความคุ้มครองต่อเนื่อง

ดังนั้น การต่อประกันภัยล่วงหน้า 3 เดือนนั้น เหมาะสำหรับคนขี้ลืมและเหมาะกับคนที่ต้องการเปลี่ยนบริษัทฯ ประกันรถยนต์เป็นบริษัทใหม่ แนะนำให้ซื้อประกันล่วงหน้าเลย หากใครเงินไม่พออยากได้ประกันชั้น 1 บางโบรกเกอร์มีผ่อน 0% ให้เลือกด้วยนะ

What-Is-Excess-In-Insurance

2. ต่อประกันรถล่วงหน้า 1 เดือน

ไม่มากไม่น้อยครับสำหรับช่วงเวลา 1 เดือน สำหรับคนที่ต้องการต่อประกันกับเจ้าใหม่ เมินบริษัทฯ เดิม เรายังมีเวลาได้หายใจหายคอดูเบี้ยประกันภัย เทียบความคุ้มครอง เลือกทุนประกัน และมองหาบริการเสริมอื่นๆ จากโบรกเกอร์ออนไลน์เจ้าดังทั้งหลายที่พร้อมให้บริการ

ข้อดีของการต่อประกันรถล่วงหน้า 1 เดือน คือ

  • ไม่ต้องจ่ายเงินล่วงหน้านานเกินไป
  • มีเวลาเคลมรอยรอบคัน หรือเคลมแห้งซ่อมกับประกันเจ้าเดิม
  • รับความคุ้มครองต่อเนื่อง (แต่ต้องตัดสินใจในทันนะ)

Old-Car-Over-7-Years-With-Insurance

3. ต่อประกันรถล่วงหน้า 1 วันก่อนหมดอายุ

ถ้าเลือกเพลินเกินห้ามใจ อันนี้ก็ดีอันโน้นก็ดี ตัดใจไม่ได้สักที อันนี้ก็ต้องบอกว่าอาจเสี่ยงหน่อย ๆ ครับ สำหรับการซื้อล่วงหน้า 1 วันก่อนหมดอายุ เพราะประกันรถยนต์บางเจ้าอาจจะต้องใช้เวลาตรวจสอบรถยนต์ก่อนรับประกันก็มี และอาจจะมีระยะเวลาดำเนินการอยู่บ้างครับ

อ่านมาถึงตรงนี้เลือกได้หรือยังครับ ? ว่าต่อประกันรถยนต์ล่วงหน้าแบบไหนเหมาะกับเรา ?

ขอบคุณข้อมูลจาก Frank.co.th ประกันที่รวดเร็ว เรียบง่าย และจริงใจกับคุณ

ขอขอบคุณภาพประกอบจาก จส.100

5-Ways-To-Save-Insurance-Premium

เป็นที่ทราบกันดีว่า ประกันภัยชั้น 1 มักจะแถมมาให้กับรถป้ายแดงแทบจะทุกคันอยู่แล้ว เรียกว่าเป็นมาตรฐานเลยก็ว่าได้ ซึ่งถือว่าเป็นความคุ้มครองที่มีให้อย่างครบถ้วน ไม่ว่าจะเป็น เราชนเขา เขาชนเรา หรือเกิดจากสิ่งที่เหนือความคาดหมาย เช่น ภัยธรรมชาติ ภัยจากก่อการร้าย เป็นต้น

แต่พอหลังจากที่ประกันภัยชั้น 1 หมดอายุแล้ว ถ้าเราต้องการจะต่ออายุใหม่ ก็ต้องเตรียมเงินไว้จ่ายค่าเบิ้ยประกันนับหมื่นบาทเลยทีเดียว ซึ่งหลายคนในเศรษฐกิจฝืดเคืองแบบนี้ มีรายจ่ายสารพัด นอกจากค่าผ่อนรถแล้ว รายจ่ายในการทำประกันภัยรถ ก็ยังจำเป็นต้องทำอีกด้วย (สำหรับคนที่เพิ่งซื้อรถได้ไม่นาน หรือเพิ่งมือใหม่หัดขับ มีไว้มันก็อุ่นใจน่ะ)

Mr.Carro จึงขอแนะนำวิธีทำประกันภัยชั้น 1 อย่างไร ให้ถูกกว่าปกติสูงสุดถึง 50% ครับ.

5-Ways-To-Save-Insurance-Premium

1. ส่วนลดเบี้ยประกันรถจากประวัติดี

อันนี้ถือเป็นรางวัลของคนที่ขับรถดี ไม่มีเคลมครับ (ซึ่งบริษัทประกันภัยก็ชอบด้วย ฮา…) จึงมีส่วนรถเบี้ยประกันสำหรับประวัติการขับรถดี มีทั้งหมด 4 ขั้นตอน

– ขั้นแรก ลด 20% เมื่อไม่มีการเคลมในปีแรก
– ขั้นที่ 2 ลด 30% เมื่อเมื่อไม่มีการเคลมใน 2 ปีติดต่อกัน
– ขั้นที่ 3 ลด 40% เมื่อเมื่อไม่มีการเคลมใน 3 ปีติดต่อกัน
– ขั้นที่ 4 ลด 50% เมื่อเมื่อไม่มีการเคลมใน 4 ปีติดต่อกัน หรือมากกว่านั้น

แต่ถ้าเกิดว่า เราเกิดเป็นฝ่ายผิดหรือประมาท (พูดง่ายๆ คือ ขับรถไปชนคน หรือสิ่งของ นั่นล่ะ) ส่วนลดเบี้ยประกันของคุณ ก็จะลดลงตามขั้นไป

2. เลือกทุนประกันรถยนต์ที่เหมาะสม

การเลือกทุนประกันรถยนต์ครับ ล้วนมีผลต่อเบี้ยประกันเช่นกัน ซึ่งจะมีโปรแกรมคำนวณอัตโนมัติ จากนักคณิตศาสตร์ประกันภัย ให้ได้ทุนประกันที่เหมาะสมที่สุดอยุ่ที่ 80% ของราคารถยนต์ในปีแรก และจะคำนวณเป็น 90% ของทุนประกันปีก่อนหน้าไปเรื่อยๆ ซึ่งช่วงราคานี้ สามารถเพิ่มขึ้นหรือลดลงได้ตามการคำนวณ เพราะทุนประกันมาก ก็ต้องจ่ายค่าเบื้ยประกันมากตามไปด้วย

แต่ไม่สามารถเลือกทุนประกันให้สูงเกินมูลค่ารถได้นะครับ เพราะว่ารถทุกคันมันมีค่าเสื่อมจากการใช้งานครับ ซึ่งมูลค่ารถยนต์จะลดลงเรื่อยๆ ปีละ 10% หรือตามราคากลางรถยนต์ในปีนั้นๆ

3. เพิ่มค่า Excess Fee ช่วยลดค่าเบี้ยได้

ค่า Excess Fee ถือเป็นค่าเสียหายส่วนแรกในกรณีเกิดอุบัติเหตุแล้วเป็นฝ่ายผิด หรือไม่มีคู่กรณี ซึ่งปกติจะอยู่ที่ครั้งละ 1,000 บาท แต่หากมั่นใจว่าเราคนขับรถดี ไม่ชนบ่อยๆ การเลือกประกันภัยที่มีค่าเสียหายส่วนแรกสูงๆ (ประมาณ 2,000 – 5,000 บาท) ก็ช่วยประหยัดค่าเบี้ยประกันได้เช่นกัน

4. ระบุชื่อคนขับรถ

การระบุชื่อและอายุของผู้ขับขี่ (ว่าใครเป็นคนขับรถคันนี้แน่นอน) ก็ลดเบี้ยประกันภัยชั้น 1 ได้เช่นกัน โดยอัตราค่าเบี้ยประกันที่ลดลง มีลักษณะเป็นลำดับขั้นตามอายุของผู้เอาประกัน โดยหากระบุผู้ขับขี่ 2 คน ให้ยึดผู้ที่มีอายุน้อยสุดเป็นหลัก ดังนี้

– อายุ 18-24 ปี ได้ส่วนลด 5%
– อายุ 25-35 ปี ได้ส่วนลด 10%
– อายุ 36-50 ปี ได้ส่วนลด 15%
– อายุ 50 ปีขึ้นไป ได้ส่วนลด 20%

5. เลือกซ่อมอู่นอกก็ได้

บางกรณีที่รถคุณมีแค่รอบเฉี่ยวชนเล็กๆ น้อยๆ ก็ไม่จำเป็นต้องเคลมเพื่อเข้าศูนย์บริการอย่างเดียวก็ได้ ลองเลือกอู่ซ่อมรถที่ไว้ในได้ และเป็นพันธมิตรกับบริษัทประกันภัยที่คุณจะทำอยู่ดู เพราะการเลือกประกันแบบซ่อมอู่ ช่วยประหยัดค่าเบี้ยประกันได้ 10-30% ทีเดียว

ลองเลือกดูตามความเหมาะสมนะครับ แล้วคุณจะได้ขับรถอย่างสบายใจ และประหยัดเงินอีกด้วยครับ