พื้นที่เสี่ยงน้ำท่วมในกรุงเทพฯ ก่อนซื้อรถซื้อบ้าน ต้องรู้!

ขึ้นชื่อว่า “กรุงเทพฯ” เมืองหลวงของประเทศไทยแล้ว นับได้ว่าเป็นศูนย์รวมของทุกสิ่งมานานตั้งแต่หลายสิบปีก่อน ตั้งแต่มีทุ่งนา โรงงานอุตสาหกรรม ไปจนถึงมีบ้านเรือน หมู่บ้าน มีทางด่วน มีรถไฟฟ้า หรือมีชุมชนแออัดขนาดใหญ่ มีทั้งอยู่รวมกันและกระจายกัน ตั้งแต่ยุคก่อนที่จะมีผังเมืองด้วยซ้ำไป

พื้นที่เสี่ยงน้ำท่วมในกรุงเทพฯ ก่อนซื้อรถซื้อบ้าน ต้องรู้!

และปัญหายอดฮิตสุดๆ ของกรุงเทพฯ นั่นก็คือ “น้ำท่วม” นั่นเอง เพราะฝนตกหนักๆ หรือพายุเข้าทีไร เรื่องน้ำท่วมต้องมีบ้าง จะมากหรือน้อย ก็ขึ้นอยู่กับสภาพพื้นที่เดิม ว่าเป็นที่ราบลุ่ม เป็นโคก ดอน หนอง หรือบึง และระบบการบริหารจัดการน้ำ (เช่น เครื่องสูบน้ำเสีย หรือหากุญแจเครื่องสูบน้ำไม่เจอ) รวมไปถึงปัจจัยอื่นๆ เช่น ท่อระบายน้ำ ท่อตัน ไม่เคยลอกท่อ มีเศษขยะกีดขวางทางระบายน้ำ ฯลฯ

อ่านเพิ่มเติม >> ต้องรู้! วิธีดูรถน้ำท่วม จมน้ำ 5 จุด แบบง่ายๆ

อ่านเพิ่มเติม >> 3 วิธีเคลมประกันภัย เมื่อรถถูกน้ำท่วม

อ่านเพิ่มเติม >> 5 วิธีขับรถลุยน้ำท่วม ที่คุณต้องรู้!

ดังนั้น ก่อนที่คุณจะซื้อรถ ซื้อบ้าน ซื้อคอนโด ควรรู้ไว้หน่อยก็ดีว่าย่านไหนในกรุงเทพฯ เป็นพื้นที่เสี่ยงน้ำท่วม (หรือน้ำรอระบาย) เพื่อช่วยให้คุณเลือกรถได้ตรงกับลักษณะการใช้งาน หรือตกแต่งซ่อมแซมบ้าน ให้รับมือน้ำท่วมได้ทั้งปี

Mr.Carro รวบรวมข้อมูลพื้นที่เสี่ยงน้ำท่วมในกรุงเทพฯ มาให้อ่านกันครับ

พื้นที่เสี่ยงน้ำท่วมในกรุงเทพฯ ก่อนซื้อรถซื้อบ้าน ต้องรู้!

ภาพจาก Chairop Ch

เพราะอะไรกรุงเทพฯ ถึงน้ำท่วมบ่อย?

กรุงเทพฯ เป็นเมืองที่ตั้งอยู่เหนืออ่าวไทยเพียง 30 กิโลเมตร ผู้เชี่ยวชาญคาดว่า ระดับน้ำทะเลในอ่าวไทยจะสูงขึ้น 19 – 29 ซม. ภายในปี 2050 เพราะโลกร้อนขึ้น

กรมทรัพยากรธรณี และสถาบันเทคโนโลยีแห่งเอเชีย เคยทำสำรวจช่วงปี 2521-2524 พบว่า มีแผ่นดินทรุดตัวมากกว่าปีละ 10 ซม. ขณะที่ การสำรวจของกรมแผนที่ทหาร พบว่าตลอดระยะเวลา 30 ปี ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2521 – 2551 กรุงเทพมหานคร มีระดับการทรุดตัวสะสมมากกว่า 1 เมตร โดยมีการทรุดตัวสะสมประมาณปีละ 2-3 ซม.

ทำให้ระดับน้ำสูงขึ้น น้ำในแม่น้ำเจ้าพระยา ซึ่งเป็นแม่น้ำสายหลักผ่ากลางกรุงเทพฯ ก็สูงขึ้นตามไปด้วย รวมถึงการสูบน้ำบาดาลมาใช้ในอดีต ทำให้แผ่นดินทรุดลง และการถมคลองเป็นถนนจำนวนมาก จนไม่มีทางน้ำไหลออก

พื้นที่เสี่ยงน้ำท่วมในกรุงเทพฯ ก่อนซื้อรถซื้อบ้าน ต้องรู้!

ภาพจาก RT@Bbikinii

หลายคนที่ซื้อรถมาแล้ว แต่บ้านอยู่ในเขตพื้นที่ต่ำ หรือซอยที่เป็นหมู่บ้านยุคเก่า เจอถนนสายหลักสูงกว่าถนนในซอย ท่อระบายน้ำเล็ก แคบ หรือไม่เคยลอกท่อมานาน จนท่อตัน

และภัยธรรมชาติที่เกิดถี่ขึ้น รวมไปถึงที่ที่เคยเป็นพื้นที่รับน้ำ อย่างทุ่งนา ร่องสวน ป่า หายไป กลายเป็นป่าคอนกรีต (เช่น บ้าน และ คอนโดมิเนียม) แทน และส่วนมากโครงการที่สร้างใหม่ๆ ก็มักทำให้สูงกว่าถนน นี่ก็เป็นปัญหาหลักๆ ของน้ำท่วมในกรุงเทพฯ ที่ถนนต้องเป็นพื้นที่รับน้ำแทนนั่นเอง ….

พื้นที่เสี่ยงน้ำท่วมในกรุงเทพฯ ก่อนซื้อรถซื้อบ้าน ต้องรู้!

เลือกรถแบบไหน ลุยน้ำท่วมกรุงเทพฯ?

ตามปกติแล้ว รถ Eco-Car, รถเก๋ง, รถ Hatchback ที่เราๆ ท่านๆ ใช้งานกันเต็มบ้านเต็มเมือง จะมีระยะต่ำสุดจากพื้น (หรือ ความสูงใต้ท้องรถ) (Ground Clearance) อยู่ในระดับ 120 – 150 มม. (หรือ 12 – 15 ซม.) ซึ่งสามารถลุยน้ำได้ในระดับเกือบๆ ครึ่งล้อ หรือความลึกประมาณ 20 – 30 ซม. เท่านั้น แต่ถ้าลุยน้ำระดับสูงกว่านี้ ไม่ไหวแน่ๆ

สำหรับรถที่ลุยน้ำได้ ที่ดูเหมาะกับการใช้งานในพื้นที่ที่เสี่ยงน้ำท่วมบ่อย เราขอแนะนำรถประเภท รถกระบะ, รถ Crossover SUV หรือรถ SUV และ PPV ที่ออกแบบมาให้ยกสูงหน่อย ใช้ระบบขับเคลื่อนทั้ง 2 ล้อ และ 4 ล้อ ลุยน้ำได้ในระดับหนึ่ง เนื่องจากความอเนกประสงค์ในการใช้งานแล้ว ยังลุยน้ำท่วมได้ไหวอีกต่างหาก (แม้ว่ารถทุกคัน จะไม่ได้ออกแบบมาให้ลุยน้ำเป็นหลักก็ตาม)

โดยรถที่มีระยะต่ำสุดจากพื้น (หรือ ความสูงใต้ท้องรถ) (Ground Clearance) น้อยหรือมาก ก็มีผลต่อการลุยน้ำของรถรุ่นนั้นๆ ด้วย และรถที่ลุยน้ำได้ รวมไปถึงช่วงล่างหน้า เครื่องยนต์ ท่ออากาศ ไดชาร์จ และระบบไฟฟ้าที่ติดตั้งในห้องเครื่องยนต์ ล้วนมีผลต่อการลุยน้ำทั้งสิ้น

พื้นที่เสี่ยงน้ำท่วมในกรุงเทพฯ ก่อนซื้อรถซื้อบ้าน ต้องรู้!

ภาพจาก RT@Bee_Nidarat

รถกระบะ ที่เหมาะกับไว้ใช้ลุยน้ำท่วม อาทิ Toyota Hilux Revo (โตโยต้า ไฮลักซ์ รีโว่), Nissan Navara (นิสสัน นาวาร่า), Isuzu D-Max (อีซูซุ ดีแม็คซ์), Mitsubishi Triton (มิตซูบิชิ ไทรทัน), Mazda BT-50 (มาสด้า บีที-50), Ford Ranger (ฟอร์ด เรนเตอร์), MG Extender (เอ็มจี เอ็กซ์เทนเดอร์) หรือ Chevrolet Colorado (เชฟโรเลต โคโรลาโด้) เป็นต้น

รถ PPV ที่เหมาะกับไว้ใช้ลุยน้ำท่วม อาทิ Toyota Fortuner (โตโยต้า ฟอร์จูนเนอร์), Nissan Terra (นิสสัน เทอร์ร่า), Mitsubishi Pajero Sport (มิตซูบิชิ ปาเจโร่ สปอร์ต), Isuzu MU-X (อีซูซุ มิวเอ็กซ์), Ford Everest (ฟอร์ด เอเวอเรสต์) หรือ Chevrolet Trailblazer (เชฟโรเลต เทรลเบลเซอร์) เป็นต้น

พื้นที่เสี่ยงน้ำท่วมในกรุงเทพฯ ก่อนซื้อรถซื้อบ้าน ต้องรู้!

ภาพจาก Tuddao Dao

รถ Crossover SUV ที่เหมาะกับไว้ใช้ลุยน้ำท่วม อาทิ Toyota Corolla Cross (โตโยต้า โคโรลล่า ครอส), Nissan X-Trail (นิสสัน เอ็กซ์เทรล), Honda HR-V (ฮอนด้า เอชอาร์วี), Honda CR-V (ฮอนด้า ซีอาร์วี), Mazda CX-3 (มาสด้า ซีเอ็กซ์-3), Mazda CX-30 (มาสด้า ซีเอ็กซ์-30), Mazda CX-5 (มาสด้า ซีเอ็กซ์-5), Mazda CX-8 (มาสด้า ซีเอ็กซ์-8), MG ZS (เอ็มจี แซดเอส), MG HS (เอ็มจี เอชเอส), Subaru XV (ซูบารุ เอ็กซ์วี), Subaru Forester (ซูบารุ ฟอเรสเตอร์), Haval Jolion Hybrid SUV (ฮาวาล โจไลอ้อน), DFSK Glory 560 (ดีเอฟเอสเค กลอรี่ 560) หรือ DFSK Glory i-Auto (ดีเอฟเอสเค กลอรี่ ไอ-ออโต้) เป็นต้น

ส่วน รถ MPV หรือ Crossover MPV ที่เหมาะกับไว้ใช้ลุยน้ำท่วมได้ อาทิ Toyota Avanza (โตโยต้า อแวนซ่า), Toyota Innova (โตโยต้า อินโนว่า), Honda BR-V (ฮอนด้า บีอาร์วี), Mitsubishi Xpander (มิตซูบิชิ เอ็กซ์แพนเดอร์), Mitsubishi Xpander Cross (มิตซูบิชิ เอ็กซ์แพนเดอร์ ครอส), Suzuki Ertiga (ซูซูกิ เออร์ติก้า), Suzuki XL7 (ซูซูกิ เอ็กซ์แอล7) หรือ Chevrolet Spin (เชฟโรเลต สปิน) เป็นต้น

หรือจะเป็นรถ MPV, Crossover MPV หรือ SUV จากค่ายรถฝั่งยุโรปก็ได้เช่นกันครับ

พื้นที่เสี่ยงน้ำท่วมในกรุงเทพฯ ก่อนซื้อรถซื้อบ้าน ต้องรู้!

จุดไหนในกรุงเทพฯ น้ำท่วมอย่างบ่อย?

จากการสำรวจของสำนักการระบายน้ำ กรุงเทพมหานคร พบว่า ในกรุงเทพฯ มีจุดเสี่ยงน้ำท่วมขัง จำนวน 12 จุด ในพื้นที่ 8 เขต ประกอบด้วย

พื้นที่ฝั่งพระนคร จำนวน 9 จุดใน 6 เขต

  • เขตจตุจักร ถนนรัชดาภิเษก บริเวณหน้าธนาคารกรุงเทพ
  • เขตบางซื่อ ถนนประชาราษฎร์สาย 2 บริเวณแยกเตาปูน
  • เขตหลักสี่ ถนนแจ้งวัฒนะ ช่วงจากคลองประปา ถึงคลองเปรมประชากร
  • เขตดุสิต ถนนราชวิถี บริเวณหน้าราชภัฏสวนดุสิตและเชิงสะพานกรุงธนบุรี
  • เขตราชเทวี ถนนพญาไท บริเวณหน้ากรมปศุสัตว์
  • เขตราชเทวี ถนนศรีอยุธยา บริเวณหน้า สน.พญาไท
  • เขตสาทร ถนนจันทน์ ช่วงจากซอยบำเพ็ญกุศล ถึงที่ทำการไปรษณีย์ยานนาวา
  • เขตสาทร ถนนสวนพลู ช่วงจากถนนสาทรใต้ ถึงถนนนางลิ้นจี่
  • เขตสาทร ถนนสาธุประดิษฐ์ บริเวณแยกตัดถนนจันทน์

พื้นที่ฝั่งธนบุรี จำนวน 3 จุดใน 2 เขต

  • เขตบางขุนเทียน ถนนบางขุนเทียน-ชายทะเล ช่วงจากถนนพระรามที่ 2 ถึงคลองสะแกงาม
  • เขตบางแค ถนนเพชรเกษม ช่วงจากคลองทวีวัฒนา ถึงคลองราชมนตรี
  • เขตบางแค ถนนหมู่บ้านเศรษฐกิจ ช่วงจากถนนเพชรเกษม ถึงวงเวียนกาญจนาภิเษก

พื้นที่เสี่ยงน้ำท่วมในกรุงเทพฯ ก่อนซื้อรถซื้อบ้าน ต้องรู้!

ส่วนจุดอื่นๆ ที่ไม่มีในการสำรวจของสำนักการระบายน้ำ กรุงเทพมหานคร ฝนตกหนักๆ มักเกิดน้ำท่วม (น้ำรอการระบาย) ที่มีทั้งพื้นที่สาธารณะ ซอย ถนน และพื้นที่หมู่บ้าน หรือที่ส่วนบุคคล)

  • เขตห้วยขวาง ถนนสุทธิสารวินิจฉัย, ถนนประชาสุข, ถนนเทียมร่วมมิตร, ซอยทวีมิตร (พระราม 9 ซอย 7), ซอยศูนย์วิจัย
  • เขตคลองเตย ซอยสุขุมวิท 16, ซอยสุขุมวิท 22, ซอยสุขุมวิท 26, ซอยสุขุมวิท 38, ถนนพระรามที่ 4
  • เขตวัฒนา ถนนสุขุมวิท 21, ซอยสุขุมวิท 39, ซอยพร้อมศรี, ถนนสุขุมวิท 55, ถนนสุขุมวิท 63, ซอยสุขุมวิท 69, ถนนสุขุมวิท 71
  • เขตพระโขนง ซอยสุขุมวิท 62, ถนนสุขุมวิท 101/1, ถนนสุขุมวิท 103 (อุดมสุข)
  • เขตสวนหลวง ถนนสุขุมวิท 77, ซอยอ่อนนุช 39, ถนนพัฒนาการ, ซอยพัฒนาการ 28, ซอยพัฒนาการ 30
  • เขตประเวศ ซอยพัฒนาการ 69, ถนนเฉลิมพระเกียรติ ร.9
  • เขตดินแดง ซอยโพธิ์ปั้น
  • เขตจตุจักร ถนนพหลโยธิน (แยกรัชโยธิน-ลาดพร้าว), ถนนรัชดาภิเษก, ซอยรัชดาภิเษก 36, ซอยเสือใหญ่อุทิศ
  • เขตลาดพร้าว ถนนสุคนธ์สวัสดิ์
  • เขตบางกะปิ ถนนรามคำแหง, ซอยรามคำแหง 24, ซอยรามคำแหง 60, ถนนศรีนครินทร์
  • เขตวังทองหลาง ซอยลาดพร้าว 64
  • เขตบางนา ถนนศรีนครินทร์, ถนนสุขุมวิท 107
  • เขตบางเขน ถนนพหลโยธิน
  • เขตหลักสี่ ถนนวิภาวดีรังสิต, ถนนแจ้งวัฒนะ ช่วงหน้าศูนย์ราชการฯ กทม. – ห้าแยกปากเกร็ด
  • เขตบางกอกน้อย ถนนสมเด็จพระปิ่นเกล้า ช่วงแยกบรมราชชนนี – หน้าห้างพาต้า

หากท่านใดมีข้อมูลเพิ่มเติม สามารถนำเสนอมาได้ครับ

พื้นที่เสี่ยงน้ำท่วมในกรุงเทพฯ ก่อนซื้อรถซื้อบ้าน ต้องรู้!

ภาพจาก RT@SuwitKittitien

จากข้อมูลของกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย กระทรวงมหาดไทย ได้เก็บข้อมูลตลอด 9 ปี (พ.ศ. 2548-2556) พบว่า หลายพื้นที่ในกรุงเทพฯ มีปัญหาน้ำท่วมซ้ำซาก โดยเฉพาะพื้นที่รอบนอก โดยมีรายละเอียดดังนี้

พื้นที่เสี่ยงอุทกภัยระดับ 1 พื้นที่ที่เกิดน้ำท่วมซ้ำซาก 7-9 ปี และพื้นที่เสี่ยงอุทกภัยระดับ 2 พื้นที่ที่เกิดน้ำท่วมซ้ำซาก 5-6 ปี ส่วนใหญ่อยู่ในพื้นที่รอบนอกกรุงเทพฯ ได้แก่

  • หนองจอก
  • คลองสามวา
  • ลาดกระบัง
  • มีนบุรี

และบางส่วนในเขต

  • สายไหม
  • บางเขน
  • คันนายาว

เอาเป็นว่า ไม่ว่าใครจะซื้อรถ หรือซื้อบ้านในกรุงเทพฯ ข้างต้น ก็ต้องพิจารณาเลือกทั้งบ้านทั้งรถดูกันละกันนะครับ

Carro Express ขายรถกับคาร์โร อยากขายรถ ขายรถด่วน

สำหรับใครที่อยากขายรถคันเดิม ไปซื้อรถยนต์คันใหม่ให้เหมาะกับบ้านของคุณ มาขายรถกับทาง Carro Express สิ! คลิกเลยที่ https://th.carro.co/sell-car/express รับรองได้เงินเร็ว ไว ทันใจแน่นอน!

Carro Automall ตลาดรถ

ส่วนใครสนใจจะซื้อรถมือสอง Carro แหล่งรวมรถมือสองคุณภาพเยี่ยมผ่านระบบออนไลน์ คุณสามารถจองรถได้ในเวลาเพียง 1 นาทีเท่านั้น! พร้อมคำนวณสินเชื่อและค่างวด ได้ภายในเว็บไซต์ทันที!

ซึ่ง Carro เรามีรถให้คุณเลือกมากมาย รถทุกคันผ่านการตรวจสภาพโดย Carro Certified อย่างละเอียดแบบ Double Check มากกว่า 160 จุด, การันตีคืนเงินภายใน 5 วัน, รับประกันเครื่องยนต์และเกียร์ 1 ปี, รับประกันไม่กรอไมล์ และไม่ประสบอุบัติเหตุหนัก ไฟไหม้ หรือน้ำท่วม พร้อมรับประกันคุณภาพรถ 1 ปี หรือ 30,000 กิโลเมตร!

อีกทั้งยังมีเทคโนโลยี “360 View & Sound Engine Analysis” เลือกชมรถยนต์เสมือนจริงออนไลน์รายแรกในไทย ทั้งภาพและเสียงในรูปแบบ 360 องศา รวมถึงมีเทคโนโลยีสนับสนุนฝ่ายขาย ทั้ง Digital Device ที่เชื่อมต่อกับ Digital Screen นำเสนอสิ่งที่ลูกค้าต้องการ และจัดการเรื่องเอกสารให้กับลูกค้าให้ตั้งแต่ต้นจนจบ บวกกับ Online Viewing Service ที่ลูกค้าสามารถวิดีโอคอล ตรวจสภาพรถยนต์คันที่สนใจได้แบบเรียลไทม์ ซื้อรถคุณภาพเยี่ยม ต้องที่ Carro สิ!

หรือถ้าหากคุณสนใจรถรุ่นไหนอยู่ แต่ยังหาที่ถูกใจไม่ได้ เรายินดีหาให้! เพียงกรอกชื่อ-เบอร์โทรศัพท์ และรถที่คุณสนใจ ไว้ที่ “รับการแจ้งเตือน” เมื่อมีรถที่คุณต้องการ Carro จะรีบติดต่อไปยังคุณทันที สอบถามรายละเอียดได้ที่ Facebook -> Carro Thailand โทร. 02-460-9380 หรือทาง Line @carrothai

แหล่งที่มาบางส่วนจาก:

ต้องรู้! วิธีดูรถน้ำท่วม จมน้ำ 5 จุด แบบง่ายๆ

ถ้าหากคุณต้องการจะซื้อรถมือสองในเวลานี้ นอกจากเราจะต้องตรวจดูสภาพรถอย่างละเอียดถี่ถ้วนแล้ว ไม่ว่าจะเป็นทั้งตัวถังรถ สีรถ เครื่องยนต์ เกียร์ ช่วงล่าง สภาพภายในรถ รวมไปถึงการทดลองขับขี่ ฯลฯ

แต่ … สิ่งสำคัญที่สุดอีกอย่าง นั่นคือคุณต้องดูด้วยว่า “รถคันนี้ ผ่านการถูกน้ำท่วมมาหรือไม่” ด้วยนะครับ!

“น้ำท่วม” หรือ “น้ำรอการระบาย” ถือเป็นปัญหาสุดคลาสสิกในหลายพื้นที่ของไทย จึงไม่แปลกที่ในตลาดรถมือสองจะมี “รถจมน้ำ” โผล่มาขายอยู่บ้าง แต่ก็สังเกตได้ยากเนื่องจากถูกซ่อมแซมมาใหม่หมดแล้ว แต่เราจะมีวิธีดูรถอย่างไรบ้าง? Mr.Carro ก็ขออาสามาแนะนำวิธีดูรถน้ำท่วม หรือรถจมน้ำมา 5 จุด แบบง่ายที่สุด ให้ทุกคนเป็นความรู้กันครับ

ก่อนซื้อต้องรู้! วิธีดูรถน้ำท่วม รถจมน้ำ 5 จุด แบบง่ายที่สุด

ภาพจาก วิเชษฐ ศรีสวาสดิ์

1. เช็คตัวถัง หาสนิม

จุดแรกที่ควรสังเกตกันก่อนเลย นั่นคือ สภาพตัวถังรถ ซึ่งหลายคันภายนอกอาจจะทำการสาดสีใหม่มาแล้ว ก็อาจจะสังเกตยากหน่อย แต่ในกรณีที่ยังเป็นสีเดิมๆ ของตัวรถ ก็ขอให้สังเกตดูในบริเวณรอยตะเข็บตัวถังจุดต่างๆ ของรถ โดยเฉพาะใต้ท้องรถ ใต้กันชน ขอบยางประตูรถ พวกน็อตยึดต่างๆ หรือบริเวณแชสซีส์รถ

ถ้ามีสนิมขึ้นในที่ที่ไม่น่าจะมี เช่น มุมที่ไม่ได้อยู่บริเวณด้านล่างของตัวรถ ชายล่าง ก็ให้สงสัยไว้ก่อนว่า อาจเป็นไปได้ว่าเคยแช่น้ำ แช่โคลน หรือจมน้ำมาก่อน

ส่วนถ้าเป็นภายในรถ ให้ลองดูบริเวณชิ้นส่วนเหล็ก ใต้บังโคลนล้อหน้า-หลัง แผงฟิวส์บริเวณข้างแป้นคันเร่ง หรือที่วางเท้าคนนั่ง และน็อตยึดฐานเบาะนั่งคู่หน้าของตัวรถ ว่ามีสนิมขึ้นหรือไม่ หรือเบาะนั่งเลื่อนได้สะดวกหรือไม่ ก็อาจจะสังเกตตรงจุดนี้ได้เช่นกัน

ก่อนซื้อต้องรู้! วิธีดูรถน้ำท่วม รถจมน้ำ 5 จุด แบบง่ายที่สุด

ภาพจาก Nobuyasu Watada / Masanobu Hatsuchi

2. ระบบไฟฟ้า

ขึ้นชื่อว่าน้ำกับไฟย่อมไม่ถูกกัน เมื่อไฟเจอน้ำก็มักจะช็อต ซึ่งอาจจะทำให้ระบบไฟในรถมักรวน เพราะมีความชื้นอยู่ในแผงวงจร สายไฟ หรือแผงฟิวส์ ส่งผลให้การทำงานของระบบไฟฟ้าในรถ เดี๋ยวใช้ได้บ้างไม่ได้บ้าง

วิธีสังเกต ให้ลองสตาร์ทรถดูการทำงานของเครื่องยนต์ ดูระบบไฟฟ้าต่าง ว่าทำงานได้ปกติหรือไม่ ยกเว้นว่าคันที่จะเปลี่ยนระบบไฟฟ้า หรือเดินสายไฟมาใหม่ อันนี้ก็อาจยากที่จะสังเกต

ก่อนซื้อต้องรู้! วิธีดูรถน้ำท่วม รถจมน้ำ 5 จุด แบบง่ายที่สุด

ภาพจาก Atipong Pongpat

3. เครื่องยนต์

รถยนต์ที่ถูกน้ำท่วมบริเวณเครื่องยนต์ มักจะถูกยกและถอดออกมาทำความสะอาดขจัดคราบน้ำและโคลนที่เข้าไป แต่หลายๆ อู่ มักจะไม่เปลี่ยนน๊อตที่ประกอบเครื่องยนต์ใหม่เท่าไหร่ ก็อาจจะสังเกตตรงจุดได้ว่าถ้าเห็นชิ้นส่วนน็อตที่ขึ้นสนิม หรือมีร่องรอยการถอดประกอบเครื่อง โดยเฉพาะรอยยากาวตรงฝาสูบ หรือสังเกตตรงฝาตาน้ำเครื่องยนต์ เป็นต้น

แต่ในกรณีที่เจ้าของเดิมยกเครื่องยนต์ใหม่มาวางแทนเครื่องยนต์เดิม อันนี้ก็อาจจะสังเกตได้ยากหน่อย

ก่อนซื้อต้องรู้! วิธีดูรถน้ำท่วม รถจมน้ำ 5 จุด แบบง่ายที่สุด

ภาพจาก Kh Un Per

4. เครื่องมือช่างประจำรถ

ชุดเครื่องมือช่างประจำรถ เช่น ประแจ หรือแม่แรง มักจะเก็บไว้ในท้ายรถ บริเวณยางอะไหล่ อาจสังเกตได้หากชุดเครื่องมือเหล่านี้มีสนิมขึ้นอยู่ รวมถึงบริเวณยางอะไหล่ ตามรอยอาร์ค รอยยาแนว อาจสังเกตได้จากคราบดำๆ หรือคราบน้ำ คราบโคลน ที่อาจมีติดฝังแน่นอยู่

ก่อนซื้อต้องรู้! วิธีดูรถน้ำท่วม รถจมน้ำ 5 จุด แบบง่ายที่สุด

ภาพจาก Sutha Luaknaree

5. กลิ่นในห้องโดยสาร

เรื่องกลิ่นนี่ก็พอจะบ่งบอกได้ว่า รถคันนี้เคยถูกน้ำท่วมมาเช่นกัน แม้ว่ารถที่นำมาขายจะถูกปรับปรุงสภาพมาแล้วก็ตาม ซึ่งพรม และเบาะนั่ง จะถูกนำออกไปซักและตากแดด หรือถูกเปลี่ยนเป็นของใหม่

กลิ่นในห้องโดยสารที่ติดอยู่ตามซอกมุมต่างๆ ของตัวถังรถ อันนี้เป็นเรื่องยากที่จะกำจัด เนื่องจากน้ำที่ท่วมเป็นน้ำโคลน กลิ่นต่างๆ จะติดอยู่ได้นาน

แต่ถ้าคุณเลือกรถกับที่ Carro ทั้ง 5 ปัญหาเหล่านี้จะหมดไป เพราะเราตรวจสอบรถยนต์โดยละเอียดถึง 160 จุด ตรวจสอบทุกจุด

Carro Express ขายรถกับคาร์โร อยากขายรถ ขายรถด่วน

สำหรับใครที่อยากขายรถคันเดิม ไปซื้อรถยนต์คันใหม่มาใช้ในช่วงนี้ มาขายรถกับทาง Carro Express สิ! คลิกเลยที่ https://th.carro.co/sell-car/express รับรองได้เงินเร็ว ไว ทันใจแน่นอน!

CARRO Automall

ส่วนใครสนใจจะซื้อรถมือสอง Carro แหล่งรวมรถมือสองคุณภาพเยี่ยมผ่านระบบออนไลน์ คุณสามารถจองรถได้ในเวลาเพียง 1 นาทีเท่านั้น! พร้อมคำนวณสินเชื่อและค่างวด ได้ภายในเว็บไซต์ทันที!

ซึ่ง Carro เรามีรถให้คุณเลือกมากมาย รถทุกคันผ่านการตรวจสภาพโดย Carro Certified อย่างละเอียดแบบ Double Check มากกว่า 160 จุด, การันตีคืนเงินภายใน 5 วัน, รับประกันเครื่องยนต์และเกียร์ 1 ปี, รับประกันไม่กรอไมล์ และไม่ประสบอุบัติเหตุหนัก ไฟไหม้ หรือน้ำท่วม พร้อมรับประกันคุณภาพรถ 1 ปี หรือ 30,000 กิโลเมตร!

อีกทั้งยังมีเทคโนโลยี “360 View & Sound Engine Analysis” เลือกชมรถยนต์เสมือนจริงออนไลน์รายแรกในไทย ทั้งภาพและเสียงในรูปแบบ 360 องศา รวมถึงมีเทคโนโลยีสนับสนุนฝ่ายขาย ทั้ง Digital Device ที่เชื่อมต่อกับ Digital Screen นำเสนอสิ่งที่ลูกค้าต้องการ และจัดการเรื่องเอกสารให้กับลูกค้าให้ตั้งแต่ต้นจนจบ บวกกับ Online Viewing Service ที่ลูกค้าสามารถวิดีโอคอล ตรวจสภาพรถยนต์คันที่สนใจได้แบบเรียลไทม์ ซื้อรถคุณภาพเยี่ยม ต้องที่ Carro สิ!

หรือถ้าหากคุณสนใจรถรุ่นไหนอยู่ แต่ยังหาที่ถูกใจไม่ได้ เรายินดีหาให้! เพียงกรอกชื่อ-เบอร์โทรศัพท์ และรถที่คุณสนใจ ไว้ที่ “รับการแจ้งเตือน” เมื่อมีรถที่คุณต้องการ Carro จะรีบติดต่อไปยังคุณทันที สอบถามรายละเอียดได้ที่ Facebook -> Carro Thailand โทร. 02-460-9380 หรือทาง Line @carrothai

ภูมิปัญญาไทยๆ! โฟมยักษ์ลอยน้ำ ช่วยไม่ให้รถจมน้ำ เมื่อน้ำท่วมใหญ่!

ช่วงหน้าฝนของไทย ในแต่ละปีก็ต้องมีเรื่องอุทกภัยอย่าง “น้ำท่วม” มาให้เป็นข่าวกันในโซเชียลมีเดียไม่มากก็น้อย ต่างกรรมต่างวาระกันไปในแต่ละปี ไม่ว่าจะเป็น น้ำมาก น้ำรอระบาย เจอพายุเข้าลูกเดียว เจอพายุหลายลูก หรือการบริหารจัดการน้ำผิดพลาด ฯลฯ

นี่ถือเป็นทุกข์ของคนที่มีบ้านอยู่ริมแม่น้ำ อยู่บนพื้นที่เป็นแอ่งกระทะ หรืออยู่ในภูธรโดยแท้ จะให้หนีน้ำขึ้นไปอยู่บนดอยก็ไม่โอเค เพราะฝนตกหนักๆ ทีไร เขา (หัวโล้น) ก็มักจะพาท่อนซุง ลงมาพร้อมน้ำป่าไหลหลากทุกที!

หลายคนที่รับรู้ข่าวสารและมีเวลาเตรียมการตั้งตัว โดยเฉพาะคนที่มีรถยนต์ หรือมีรถหลายๆ คัน ก็ต้องหาวิธีอพยพเอาตัวรอดต่างๆ นานาๆ เอารถหนีน้ำ หรือหาถุงพลาสติกยักษ์มาคลุมรถ ขนรถขึ้นไปจอดในที่สูง ตามสะพานลอย เป็นต้น

หรืออีกหนึ่งไอเดีย ที่ก็ดูน่าจะดีในยุคน้ำท่วมไทย นั่นก็คือ “โฟมยักษ์” นั่นเอง …

ภูมิปัญญาไทยๆ! โฟมยักษ์ลอยน้ำ ช่วยไม่ให้รถจมน้ำ เมื่อน้ำท่วมใหญ่!

ภาพจากคุณ จันทร์กลาง กันทอง

ถ้าใครยังจำได้ ในช่วงปี 2554 มีคนนำโฟมยักษ์ มาใช้ลอยน้ำกับรถยนต์ แล้วก็เป็นที่ได้ผลด้วย ซึ่งก็มีหลายโรงงานผลิตออกมา

สำหรับโฟมยักษ์ จะทำจาก EPS หรือ Expandable Polystyrene เป็นผลิตภัณฑ์พลาสติกชนิดหนึ่ง ที่เกิดจากผลพลอยได้จากกระบวนการผลิตปิโตรเลียม (จึงทำให้โฟมติดไฟได้ดี ซึ่งต่างไปจากโฟมกันไฟที่ใช้งานในบ้าน ซึ่งได้เติมสารที่ไม่ให้ไฟลุกลาม) ในรูปเม็ดพลาสติกเล็กๆ กลมๆ รีๆ ถูกผ่านกระบวนการให้ความร้อนจากไอน้ำ จนเกิดเป็นเม็ดโฟม EPS สีขาว ขยายตัวประมาณ 10-80 เท่า (แล้วแต่ทางผู้ผลิต) จากนั้นจึงนำไปขึ้นรูปโฟมบล็อก และโฟมโมลด์ ตามรูปแบบต่างๆ

ภูมิปัญญาไทยๆ! โฟมยักษ์ลอยน้ำ ช่วยไม่ให้รถจมน้ำ เมื่อน้ำท่วมใหญ่!

ภาพจากคุณ จันทร์กลาง กันทอง

โดยเท่าที่สังเกตจะมีอยู่หลายขนาด ได้แก่ ขนาด 1.5 X 2.4 เมตร ความหนา 1 ฟุต สามารถรับน้ำหนักได้ประมาณ 1 ตัน หรือ 1,000 กิโลกรัม เหมาะสำหรับรถเก๋ง และขนาด 2.4 X 3 เมตร ความหนา 1 ฟุต สามารถรับน้ำหนักได้ประมาณ 2 ตัน หรือ 2,000 กิโลกรัม เหมาะสำหรับรถกระบะ ราคาก็อยู่ราวๆ 2,000 – 4,000 บาท (ขึ้นอยู่กับแต่ละโรงงาน ราคาไม่เท่ากัน)

โฟมที่ยิ่งมีความหนาแน่นมาก ยิ่งหนัก ยิ่งแข็ง ราคาก็ยิ่งแพงไปด้วยเช่นกัน

ภูมิปัญญาไทยๆ! โฟมยักษ์ลอยน้ำ ช่วยไม่ให้รถจมน้ำ เมื่อน้ำท่วมใหญ่!

ภาพจากคุณ Thitiwat Ton M

โฟมที่ดี ต้องมีผิวเนียน ลูบแล้วไม่สะดุด ไม่มีเศษโฟมปน กดที่เนื้อโฟมแล้วต้องเนื้อแน่น มีสีขาวสม่ำเสมอกันทั้งแผ่น/ชิ้น

ถ้ามีสีขาวไม่สม่ำเสมอ อาจเกิดโฟมที่ผลิดช่วงเปลี่ยนเกรดโฟม ทางโรงงานทำความสะอาด เป่าไล่ลมท่อทางเครื่องจักรไม่ดี ทำให้มีเม็ดสองเกรดมาปนกัน ค่าความหนาแน่นของโฟมจะไม่ได้ หรือทางโรงงานตั้งใจทำเพื่อผลิตโฟม ในเกรดที่ตัวเองไม่มีในเกรดน้ำหนักนั้นๆ

ภูมิปัญญาไทยๆ! โฟมยักษ์ลอยน้ำ ช่วยไม่ให้รถจมน้ำ เมื่อน้ำท่วมใหญ่!

ภาพจากคุณ Jazz Socity / อำนวย เดชชัยศรี

วิธีทำ ใช้โฟมอัดแผ่นใหญ่ตามขนาดรถยนต์ 2-3 แผ่น มัดและขึงรวมกัน มารองไว้บริเวณใต้ท้องรถ และหาไม้มาสอดคานด้านล่าง แล้วนำล้อมาอีก 4 ล้อเพื่อถ่วงไม่ให้รถมีโอกาสพลิกคว่ำได้ ที่สำคัญอย่าลืมหาเชือกผูกกันรถ ลอยไปไหนต่อไหนด้วย

แต่การใช้โฟมลอยน้ำ แม้ว่าจะสามารถพยุงรถให้ลอยเหนือน้ำได้ จากแรงลอยตัวมาก แต่ก็ต้องระมัดระวังในเรื่องของจุดศูนย์ถ่วง ความหนาแน่น (เพราะโฟมอาจต้องรองรับน้ำหนักล้อทั้ง 4 ล้อ กรณีใช้แผ่นโฟมแบบเต็มคัน) การไม่แตกหักจากแรงดันน้ำที่ดันอยู่ใต้แผ่นโฟม หรือเรื่องการรับน้ำหนักของเนื้อโฟม และราคาที่ต้องจ่ายด้วยเช่นกัน

เพราะบางทีการกะสมดุลไม่ดี ไม่ได้จุดศูนย์ถ่วง ตัวชิ้นโฟมไม่พอดีกับตัวรถ และน้ำหนักรถ เมื่อรถลอยน้ำได้แล้ว ก็อาจเจอแรงน้ำมา ซัดหงายท้องลงน้ำแทนก็เป็นได้! ดังนั้นต้องระวังให้ดีครับ

ภูมิปัญญาไทยๆ! โฟมยักษ์ลอยน้ำ ช่วยไม่ให้รถจมน้ำ เมื่อน้ำท่วมใหญ่!

ภาพจากคุณ Mitri B Nademahakul

10 ข้อบ่งใช้ โฟมรองรถ หรือสิ่งของ

1. เป็นโฟมที่ใช้รองรถ หรือสิ่งของ ในยามฉุกเฉินเมื่อน้ำท่วม เพียงชั่วคราวเท่านั้น
2. โฟมรองรถ หรือสิ่งของนี้ ไม่ได้รับการทดสอบตามมาตรฐานใดๆ เนื่องจากถูกออกแบบและผลิตขึ้นอย่างเร่งด่วน ท่ามกลางวิกฤตการณ์น้ำท่วม
3. โฟมเป็นวัสดุซึมน้ำ หากไม่มีวัสดุอื่นปิดเคลือบผิว อัตราการซึมน้ำจะมากขึ้นตามระยะเวลาที่นานขึ้น
4. เมื่อไม่มีวัสดุปิดเคลือบผิว เนื้อโฟมจะเสียหายจากการใช้งานเมื่อถูกกระแทกเสียดสี
5. หากเพิ่มวัสดุปิดเคลือบผิว (เช่น ฉาบปูน, ปูไม้อัด, ห่อพลาสติก) จะทำให้ใช้งานได้ทนทานยิ่งขึ้น
6. เมื่อลอยน้ำโฟมปริมาตรหนึ่งลูกบาศก์เมตร (เช่น กว้าง, ยาว, หนา ด้านละหนึ่งเมตร) จะรับน้ำหนักได้ประมาณ 500 กิโลกรัม
7. โฟมรองรถ หรือสิ่งของนี้ เหมาะกับการใช้งานเพียงชั่วคราวเท่านั้น
8.โฟมรองรถ หรือสิ่งของนี้ เป็นวัสดุที่ติด และลามไฟ (มีโฟมเกรดไม่ลามไฟ ซึ่งต้องสั่งผลิตพิเศษ)
9. โฟมเป็นวัสดุที่รีไซเคิลได้ หากไม่เปียก หรือสกปรกจนเกินไป
10. โปรดใช้วิจารณญาณ เพื่อการใช้งานอย่างเหมาะสม (ไม่มีการรับประกันใดๆ)

Carro Express ขายรถกับคาร์โร อยากขายรถ ขายรถด่วน

สำหรับใครที่กำลังอยากขายรถคันเดิม เอาเงินไปซื้อรถคันใหม่ มาขายรถคันเดิมกับ CARRO Express สิ! หรือจะ Inbox มาขอรายละเอียดได้ที่ Facebook -> CARRO Thailand และ Add Line สอบถามรายละเอียดได้เช่นกัน ที่ @carrothai

Carro Automall / คาร์โร ออโต้มอลล์

ถ้าใครกำลังอยากซื้อรถใหม่ แต่กำลังเงินซื้อรถมือหนึ่งไม่ไหว CARRO อยากให้ลองเปิดใจกับรถมือสอง เนื่องจากรถมือสองสภาพดีสมัยนี้มีให้เลือกเยอะแยะ แถมถ้าเป็นรถรุ่นประหยัดน้ำมันได้ก็ยังดี ซึ่ง CARRO Automall แหล่งรวมรถมือสองคุณภาพเยี่ยมผ่านระบบออนไลน์ พร้อมตอบโจทย์ให้คุณด้วยคอนเซปต์ “click.buy.drive.” คุณสามารถจองรถออนไลน์ ได้ในเวลาเพียง 1 นาทีเท่านั้น!

รถทุกคันผ่านการตรวจสภาพแบบ Double Check มากกว่า 200 จุด และยังมีเทคโนโลยี “360 View & Sound Engine Analysis” ให้คุณเลือกชมรถยนต์เสมือนจริงออนไลน์รายแรกในไทย ทั้งภาพและเสียงในรูปแบบ 360 องศา พร้อมรับประกันคุณภาพรถนานถึง 2 ปี หรือ 20,000 กิโลเมตร!

อีกทั้งยังการันตีความพึงพอใจ คืนเงินได้ภายใน 5 วันอีกด้วย! เรามีรถให้คุณเลือกชมเพียบ เปิดบริการทุกวัน ซื้อรถคุณภาพเยี่ยม ต้องที่ CARRO Automall สิ!

หรือถ้าหากสนใจรถรุ่นไหนอยู่ แต่ยังหาที่ถูกใจไม่ได้ เรายินดีหาให้! เพียงแค่กรอกเบอร์โทรศัพท์ ชื่อยี่ห้อ / รุ่นรถ ที่คุณต้องการก็ได้เช่นกันครับ อีกทั้งยังสามารถ Inbox เข้ามาสอบถามรายละเอียดได้ที่ Facebook -> CARRO Automall Official โทร. 02-508-8690 หรือทาง Line @carroautomall ครับ

แหล่งที่มาบางส่วนจาก:

คิดได้แต่อย่าทำ! เอาพลาสติกคลุมรถกันน้ำท่วม เสี่ยงราขึ้นทั้งคัน!

ในช่วงที่ประเทศเกิดน้ำท่วมใหญ่ในหลายจังหวัดที่ผ่านมา ตามบรรดาสื่อโซเชียลมีเดียและเว็บไซต์ต่างๆ มีการลงโฆษณาขายถุงพลาสติกสำหรับคลุมรถทั้งคัน เพื่อป้องกันน้ำเข้ารถหากน้ำท่วม กรณีไม่สามารถย้ายรถไปไว้ที่อื่นได้

ทำให้หลายฝ่ายที่เคยมีประสบการณ์ช่วงน้ำท่วมใหญ่ในปี 2554 ต่างออกมาเล่าประสบการณ์เกี่ยวกับถุงพลาสติกสำหรับคลุมรถทั้งคัน ถึงแม้ว่าจะช่วยป้องกันน้ำเข้ารถได้ แต่ไม่สามารถกันความชื้นได้ ซึ่งทำให้เชื้อราสามารถเจริญเติบโตได้ดีในรถ (ซึ่งรถยุคใหม่นี้ ภายในรถมักเน้นใช้วัสดุที่เป็นหนังแท้ หรือผ้าต่างๆ ซึ่งเชื้อราชอบเลย)

และเผลอๆ ตอนห่อหุ้มรถ ภายในถุงเกิดมีอากาศมากพอที่จะทำให้ถุงลอยน้ำได้ ก็ยกรถทั้งคันลอยไปกับน้ำได้ด้วย!

คิดได้แต่อย่าทำ! เอาพลาสติกคลุมรถกันน้ำท่วม เสี่ยงราขึ้นทั้งคัน!

ด้าน รศ.ดร.เจษฎา เด่นดวงบริพันธ์ (อาจารย์เจษฎา) อาจารย์ประจำภาควิชาชีววิทยา คณะวิทยาศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ได้โพสต์ข้อความถึงกรณีห่อรถด้วยถุงพลาสติกแล้วราขึ้น ระบุว่า …

“ใครที่คิดจะซื้อถุงพลาสติกขนาดยักษ์ ที่เอาไว้หุ้มรถ เผื่อจะป้องกันน้ำท่วมรถได้ ขอให้ใช้ด้วยความระมัดระวังนะครับ เพราะจากประสบการณ์ที่มีคนใช้กัน เมื่อน้ำท่วมใหญ่ปี 2554 และมีรถที่ห่อถุงแบบนี้ไว้ จอดจมน้ำกันไว้หลายคัน กลายเป็นว่า แกะออกมาแล้วเชื้อราขึ้นเต็มรถเลย !!

คิดได้แต่อย่าทำ! เอาพลาสติกคลุมรถกันน้ำท่วม เสี่ยงราขึ้นทั้งคัน!

ภาพจาก Healthfoods Share

ที่เกินคาดไปกว่านั้นคือ แม้ว่ารถจะหนักมาก แต่ด้วยอากาศที่อยู่ในถุง กลับทำให้ลอยน้ำได้ แล้วก็ลอยไปจากจุดที่จอดไกลทีเดียว จึงไม่สนับสนุนให้ใช้ถุงห่อรถแบบนี้นะครับ วิธีที่เหมาะสมมากกว่าคือ รีบหาที่สูง ไปจอดรถเก็บเอาไว้หนีน้ำท่วม

แต่ถ้าใครคิดจะใช้จริงๆ อย่างแรก คงต้องหาทางถ่วงน้ำหนักของถุงเอาไว้ ไม่ให้ลอยได้ … อย่างที่สองคือ คงต้องหาพวกกล่องสารเคมีดูดความชื้น มาใส่ไว้ในถุงด้วยเยอะๆ งั้นได้กินเห็ดฟรี หลังน้ำลดแน่ๆ ฮะๆ”

คิดได้แต่อย่าทำ! เอาพลาสติกคลุมรถกันน้ำท่วม เสี่ยงราขึ้นทั้งคัน!

ภาพจาก Healthfoods Share

“เพราะแม้ว่าถุงจะกันน้ำได้ 100% แต่ถุงกักเก็บอากาศไว้ภายใน เวลากระแสน้ำพัด ก็จะทำให้ถุงลอยไปกับน้ำ หอบเอารถของเราไปด้วย หากใครจะใช้ ก็ควรหาอะไรมาถ่วงในถุงไว้ด้วย

นอกจากนี้ ปัญหาเวลาน้ำลด คือ รถที่คลุมถุงแช่อยู่อย่างนั้นเป็นแรมเดือน พอแกะถุงออกมา พบว่ามีเชื้อราเกาะเต็มรถ ตามเบาะ พวงมาลัย หรือวัสดุผ้าต่างๆ เพราะตัวรถเองมีความชื้นอยู่แล้ว พอเอาถุงห่อไว้ก็ไม่มีอากาศถ่ายเท ความชื้นจึงทำให้เกิดเชื้อรา เจริญเติบโตไปเรื่อยๆ ลุกลามไปทั่วรถ จึงไม่อยากส่งเสริมให้ใช้วิธีนี้” อาจารย์เจษฎา กล่าว

อ่านเพิ่มเติม >> 3 วิธีเคลมประกันภัย เมื่อรถถูกน้ำท่วม

คิดได้แต่อย่าทำ! เอาพลาสติกคลุมรถกันน้ำท่วม เสี่ยงราขึ้นทั้งคัน!

ภาพจากคุณ Shinnachot Limprayoon

และปัญหาจากเชื้อราในรถ ที่เป็นดวงๆ ดำๆ และมีกลิ่นเหม็นแล้ว หากสปอร์ของเชื้อราเข้าสู่ร่างกาย อาจส่งผลให้เกิดการระคายเคืองดวงตา น้ำตาไหล หรือตาแดง และผิวหนัง เกิดไอ จาม ภูมิแพ้ หอบหืด หรือปอดอักเสบได้

และยังส่งผลให้เกิดอันตรายต่อระบบประสาท แถมอาจก่อให้เกิดมะเร็งได้! ยิ่งในเฉพาะกลุ่มเสี่ยง เช่น เด็กเล็ก ผู้สูงอายุ หรือผู้มีภูมิคุ้มกันต่ำ

บางคนอาจบอกว่าราขึ้น ดีกว่ารถจมน้ำทั้งคัน แต่ผมว่าทางที่ดี พยายามหาที่จอดรถไว้ในที่สูงๆ ดีกว่าครับ!

Carro Automall / คาร์โร ออโต้มอลล์

ถ้าใครที่กำลังมองหารถคันใหม่ในตอนนี้ CARRO Automall แหล่งรวมรถมือสองคุณภาพเยี่ยมผ่านระบบออนไลน์ เราพร้อมตอบโจทย์คุณด้วยคอนเซปต์ “click.buy.drive.” คุณสามารถจองรถได้ในเวลาเพียง 1 นาทีเท่านั้น! พร้อมคำนวณสินเชื่อและค่างวด ได้ภายในเว็บไซต์ทันที!

ซึ่งรถทุกคันของ CARRO Automall คุณไม่ต้องกังวลเลยในเรื่องของรถจมน้ำ รถน้ำท่วม หรือรถจมบาดาล เพราะเราไม่นำรถที่ถูกน้ำท่วมมาขายโดยเด็ดขาด และรถทุกคันยังผ่านการตรวจสภาพอย่างละเอียดแบบ Double Check มากกว่า 200 จุด อีกด้วย

อีกทั้งยังมีเทคโนโลยี “360 View & Sound Engine Analysis” ฟีเจอร์ใหม่ล่าสุดในการดูรถเสมือนจริงผ่านระบบออนไลน์ เป็นรายแรกของธุรกิจรถมือสองในประเทศไทย คุณสามารถดูรูปรถทั้งภายนอก ภายใน กันได้แบบ 360 องศา รวมถึงยังสามารถฟังเสียงเครื่องยนต์จากรถคันที่คุณสนใจได้อีกด้วย!

เพราะเรามั่นใจในคุณของรถยนต์ทุกคัน เราจึงกล้ารับประกันคุณภาพรถนานถึง 2 ปี หรือ 20,000 กิโลเมตร! อีกทั้งยังการันตีความพึงพอใจ คืนเงินได้ภายใน 5 วันอีกด้วย! ซื้อรถคุณภาพเยี่ยม ต้องที่ CARRO Automall สิ!

หรือถ้าหากสนใจรถรุ่นไหนอยู่ แต่ยังหาที่ถูกใจไม่ได้ เรายินดีหาให้! เพียงแค่กรอกเบอร์โทรศัพท์ ชื่อยี่ห้อ / รุ่นรถ ที่คุณต้องการก็ได้เช่นกันครับ อีกทั้งยังสามารถ Inbox เข้ามาสอบถามรายละเอียดได้ที่ Facebook -> CARRO Automall Thailand โทร. 02-508-8690 หรือทาง Line @carroautomall ครับ

แหล่งที่มาข้อมูลจาก:

8 รถกระบะน่าใช้ ลุยน้ำเก่ง ลุยน้ำท่วม ลุยได้ลึก เหมาะกับหน้าฝน!

ช่วงหน้าฝนนี้ อีกสิ่งหนึ่งที่เรามักเลี่ยงได้ยาก หากอยู่ในเขตพื้นที่ต่ำ ที่ลุ่ม ที่ป่าเขาลำเนาไพร หรือจุดที่ท่อระบายน้ำ ไม่ได้ลอกท่อมานาน เมื่อฝนตกหนักๆ ลงมา สิ่งที่ตามมานั่นก็คือ “น้ำท่วม” (หรือเรียกว่า “น้ำรอการระบาย”) นั่นเอง

ซึ่งทำให้รถยนต์แบบกระบะ, รถแบบ Crossover SUV หรือรถ SUV ที่ออกแบบมาให้ยกสูงหน่อย ใช้ระบบขับเคลื่อนทั้ง 2 ล้อ และ 4 ล้อ สามารถลุยน้ำได้ในระดับหนึ่ง เป็นที่ต้องการของคนใช้รถในบ้านเรามาก เพราะความอเนกประสงค์ในการใช้งานแล้ว ยังลุยน้ำท่วมได้ไหวอีกต่างหาก (แม้ว่ารถทุกคัน จะไม่ได้ออกแบบมาให้ลุยน้ำเป็นหลักก็ตาม)

โดยรถที่มีระยะต่ำสุดจากพื้น (หรือ ความสูงใต้ท้องรถ) (Ground Clearance) น้อยหรือมาก ก็มีผลต่อการลุยน้ำของรถรุ่นนั้นๆ ด้วย และรถที่ลุยน้ำได้ รวมไปถึงช่วงล่างหน้า เครื่องยนต์ ท่ออากาศ ไดชาร์จ และระบบไฟฟ้าที่ติดตั้งในห้องเครื่องยนต์ ล้วนมีผลต่อการลุยน้ำทั้งสิ้น

สำหรับในบทความนี้ ใครที่กำลังมองหารถกระบะมาใช้งานในช่วงหน้าฝนนี้ แล้วอยากรู้ว่า รถกระบะป้ายแดง หรือรถกระบะมือสองที่มีขายในท้องตลาด มีความสามารถในการลุยน้ำได้มากน้อยแค่ไหน หรือลุยน้ำได้ลึกสุดเท่าไหร่ Mr.Carro จะมาแนะนำ 8 รถกระบะให้ชมกัน

8 รถกระบะน่าใช้ ลุยน้ำเก่ง ลุยน้ำท่วม ลุยได้ลึก เหมาะกับหน้าฝน! / Isuzu D-Max

1. Isuzu D-Max

กระบะ Isuzu D-Max (อีซูซุ ดีแมคซ์) รถกระบะยอดนิยมของชาวไทย นับตั้งแต่โฉมปี 2011 – 2019 ในรุ่นโฉม Spark, Spacecab, Cab4 หรือ X-Series (ตัวเตี้ย) มีระยะต่ำสุดจากพื้น 190 – 200 มม. และในแบบ Spark 4X4, Hi-Lander, V-Cross 4X4 หรือ X-Series (ยกสูง) มีระยะต่ำสุดจากพื้น 225 – 235 มม.

สำหรับ Isuzu D-Max ในส่วนที่เป็นรุ่นโฉมปี 2020 – ปัจจุบัน ในรุ่นโฉม Spark, Spacecab, Cab4 หรือ X-Series (ตัวเตี้ย) มีระยะต่ำสุดจากพื้น 190 – 200 มม. และในแบบ Spark 4X4, Hi-Lander, V-Cross 4X4 หรือ X-Series (ยกสูง) มีระยะต่ำสุดจากพื้น 220 – 240 มม.

พูดง่ายๆ คือถ้าคุณเลือกรถกระบะ Isuzu D-Max รุ่น Spark 4X4, Hi-Lander, V-Cross 4X4 หรือ X-Series (ยกสูง) สามารถลุยน้ำได้ประมาณ 80 เซนติเมตร (ในรุ่นยกสูงนะครับ) คือตั้งแต่ช่วงประมาณใต้กระจังหน้าของรถ หรือบริเวณใต้โป่งซุ้มล้อของรถนั่นเอง ส่วนรุ่นนอกเหนือจากนั้น ลุยได้แค่ครึ่งล้อรถก็น่าพอใจมาก มากกว่านี้อย่าเสี่ยง

8 รถกระบะน่าใช้ ลุยน้ำเก่ง ลุยน้ำท่วม ลุยได้ลึก เหมาะกับหน้าฝน! / Toyota Hilux Revo

2. Toyota Revo

Toyota Hilux Revo (โตโยต้า ไฮลักซ์ รีโว่) รุ่นตั้งแต่โฉมปี 2015 – 2021 ในรุ่นโฉม Standard Cab, Smart Cab, Double Cab รวมถึง Z Edition (ตัวเตี้ย) มีระยะต่ำสุดจากพื้น 154 – 165 มม. และในแบบ Prerunner, 4X4, Rocco และ TRD Sporivo / GR Sport (ยกสูง) มีระยะต่ำสุดจากพื้น 205 มม. และ 216 – 217 มม.

แม้ว่าตัวรถจะมีระยะต่ำสุดจากพื้นน้อยกว่าในกระบะยี่ห้ออื่นๆ แต่ทาง Toyota ก็ให้ความมั่นใจว่า สามารถนำ Toyota Revo ไปลุยน้ำได้ลึกที่สุดถึง 80 เซนติเมตร (ในรุ่นยกสูง) เลยทีเดียว

8 รถกระบะน่าใช้ ลุยน้ำเก่ง ลุยน้ำท่วม ลุยได้ลึก เหมาะกับหน้าฝน! / Nissan Navara

3. Nissan Navara

Nissan Navara (นิสสัน นาวารา) กระบะพันธุ์กล้าแกร่ง ขับดีแต่ขายไม่ค่อยดี รุ่นตั้งแต่โฉมปี 2014 – 2020 ในโฉม Single Cab, King Cab Cab, Double Cab (ตัวเตี้ย) มีระยะต่ำสุดจากพื้น 180 – 205 มม. และในแบบ Double Cab, 4X4, Calibre และ Sportech หรือ Black Edition (ยกสูง) มีระยะต่ำสุดจากพื้น 204 – 220 มม.

ส่วนโฉมปัจจุบัน ในรุ่นโฉม Single Cab, King Cab Cab, Double Cab มีระยะต่ำสุดจากพื้น 205 มม. และในแบบ Double Cab, 4X4, Calibre หรือ PRO2X และ PRO4X มีระยะต่ำสุดจากพื้น 205 มม. และ 225 มม.

ในส่วนของ Nissan Navara (รุ่นยกสูง) สามารถลุยน้ำได้ถึง 70 เซนติเมตร แต่ถ้าเป็นโฉมใหม่ในรุ่น PRO2X และ PRO4X ลุยน้ำได้ถึง 80 เซนติเมตรเลยทีเดียว แต่ถ้าจะเอาระยะปลอดภัย ลุยน้ำสูงแค่ 45 เซนติเมตร ตามที่ Nissan เคยบอกเมื่อหลายปีก่อนก็พอละกัน …

8 รถกระบะน่าใช้ ลุยน้ำเก่ง ลุยน้ำท่วม ลุยได้ลึก เหมาะกับหน้าฝน! / Mitsubishi Triton

4. Mitsubishi Triton

Mitsubishi Triton (มิตซูบิชิ ไทรทัน) สุดหล่อจอมลุย รุ่นตั้งแต่โฉมปี 2014 – ปัจจุบัน ในรุ่นโฉม Standard Cab, Mega Cab, Double Cab (ตัวเตี้ย) มีระยะต่ำสุดจากพื้น 200 มม. และในแบบ Triton Plus, 4X4 และ Athlete (ยกสูง) มีระยะต่ำสุดจากพื้น 200 – 220 มม.

สามารถลุยน้ำได้ลึกสุดถึง 70 – 80 เซนติเมตร (ในรุ่นยกสูง) เลยครับ

8 รถกระบะน่าใช้ ลุยน้ำเก่ง ลุยน้ำท่วม ลุยได้ลึก เหมาะกับหน้าฝน! / Mazda BT-50

5. Mazda BT-50

อีกหนึ่งในรถกระบะจากค่ายมาสด้า อย่าง Mazda BT-50 PRO (มาสด้า บีที-50) รุ่นตั้งแต่ปี 2011 – 2020 ในรุ่นโฉม Standard Cab, Freestyle Cab และ Double Cab (ตัวเตี้ย) มีระยะต่ำสุดจากพื้น 201 มม. และในแบบ Hi-Racer, 4X4 และ Thunder (ยกสูง) มีระยะต่ำสุดจากพื้น 237 มม.

ส่วน Mazda BT-50 ใหม่ ที่เป็นคู่แฝดกันกับ Isuzu D-Max ในรุ่นโฉม Standard Cab, Freestyle Cab และ Double Cab (ตัวเตี้ย) มีระยะต่ำสุดจากพื้น 190 – 200 มม. และในแบบ Hi-Racer และ 4X4 (ยกสูง) มีระยะต่ำสุดจากพื้น 235 – 240 มม.

สามารถลุยน้ำลึกได้ถึง 80 เซนติเมตรเช่นกัน ไม่แพ้รถจากค่ายอื่นๆ

8 รถกระบะน่าใช้ ลุยน้ำเก่ง ลุยน้ำท่วม ลุยได้ลึก เหมาะกับหน้าฝน! / MG Extender

6. MG Extender

กระบะน้องใหม่ในตลาดรถยนต์บ้านเราอย่าง MG Extender (เอ็มจี เอ็กซ์เทนเดอร์) ก็มีคุณสมบัติพร้อมลุยไม่แพ้เพื่อนๆ ปิคอัพในระดับเดียวกัน สามารถลุยน้ำได้สูงถึง 70 เซนติเมตร (ตัวเตี้ย) และ 80 เซนติเมตร (รุ่นยกสูง)

ในรุ่นโฉม Giant Cab และ Extended Cab (ตัวเตี้ย) มีระยะต่ำสุดจากพื้น 145 มม. และ 183 มม. กับในแบบ Giant Cab และ Extended Cab (ยกสูง) มีระยะต่ำสุดจากพื้น 231 มม.

8 รถกระบะน่าใช้ ลุยน้ำเก่ง ลุยน้ำท่วม ลุยได้ลึก เหมาะกับหน้าฝน! / Ford Ranger Raptor

8 รถกระบะน่าใช้ ลุยน้ำเก่ง ลุยน้ำท่วม ลุยได้ลึก เหมาะกับหน้าฝน! / Ford Ranger

7. Ford Ranger

สำหรับรถกระบะ Ford Ranger (ฟอร์ด เรนเจอร์) ที่สุดสายลุยทั้งรุ่นเก่าและรุ่นใหม่ ในโฉม Hi-Rider, Wildtrak และ 4X4 ที่ออกมาตั้งแต่ปี 2011 – 2021 ทาง Ford เอง รับประกันว่าสามารถลุยน้ำได้ลึกถึง 800 มม. (หรือ 80 เซนติเมตร) ก็อยู่ช่วงประมาณใต้กระจังหน้าของรถ หรือบริเวณใต้โป่งซุ้มล้อของรถ โดยใช้ความเร็วไม่เกิน 7 กม./ชม. ตามที่ระบุไว้ในคู่มือรถ

ส่วนในรุ่นกระบะพื้นฐาน ความสูงปกติ สามารถลุยน้ำที่สูงได้ไม่เกิน 600 มม. (60 เซนติเมตร)

ซึ่ง Ford Ranger โฉมปี 2011 – 2014 ตัวรถมีระยะต่ำสุดจากพื้น 201- 232 มม., โฉมปี 2015 – 2021 อยู่ที่ 230 มม. ส่วนในรุ่น Ranger Raptor (ฟอร์ด เรนเจอร์ แร็พเตอร์) ระยะต่ำสุดจากพื้นอยู่ที่ 281 มม. สามารถลุยน้ำได้ลึกที่สุด 850 มม. (85 เซนติเมตร)

ส่วนประกอบสำคัญๆ ของเครื่องยนต์ ไดชาร์จ ระบบไฟฟ้า ถูกออกแบบมาให้สูงพ้นระดับน้ำดังกล่าว และจุดที่เป็นระบบไฟฟ้าก็หุ้มห่อถึง 2 ชั้น อีกทั้งหม้อกรองอากาศก็ติดตั้งวาล์วกันน้ำเข้าอีกด้วย

8 รถกระบะน่าใช้ ลุยน้ำเก่ง ลุยน้ำท่วม ลุยได้ลึก เหมาะกับหน้าฝน! / Chevrolet Colorado

8. Chevrolet Colorado

สำหรับ Chevrolet Colorado (เชฟโรเลต โคโรลาโด้) ที่แม้ว่าจะกลายเป็นตำนานไปซะแล้ว (เพราะบริษัทแม่กลับประเทศไป) แต่ความน่าใช้ และความทนทาน ก็ยังมีอยู่เต็มเปี่ยม

ในรุ่นโฉม S-Cab, X-Cab และ G-Cab (ตัวเตี้ย) มีระยะต่ำสุดจากพื้น 187 มม. – 194 มม. กับในแบบ High Country, Z71 และ Z71 4X4 และรุ่นพิเศษต่างๆ (ที่ยกสูง) มีระยะต่ำสุดจากพื้น 198 – 270 มม.

สามารถลุยน้ำที่สูงถึงระดับ 70 – 80 เซนติเมตร อย่างไม่ลำบากยากเย็นนัก

แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น แม้ว่าทางผู้ผลิตรถยนต์จะระบุว่า ลุยน้ำได้ลึกสุดกี่เซนติเมตรก็ตาม ไม่ได้หมายความว่า น้ำจะไม่ได้เข้ามาในรถนะครับ! การขับขี่ให้ใช้เกียร์ 1 หรือเกียร์ต่ำ รักษาความเร็วคงที่ หลีกเลี่ยงคลื่นที่อยู่ด้านหน้าของรถยนต์และอย่าหยุดรถ และต้องระมัดระวังเครื่องยนต์และชุดกรองอากาศ หากน้ำไหลเข้าหม้อกรองอากาศจะทำให้เครื่องยนต์เสียหายได้

ที่สำคัญ หลังจากการลุยน้ำท่วมมาแล้ว อย่าลืมนำรถไปตรวจเช็คสภาพเครื่องยนต์ เกียร์ เบรก ที่อู่ซ่อมรถหรือศูนย์ด้วยนะครับผม

Carro Express ขายรถกับคาร์โร อยากขายรถ ขายรถด่วน

สำหรับใครที่อยากขายรถคันเดิม ไปซื้อรถยนต์คันใหม่ มาขายรถกับทาง Carro Express สิ! คลิกเลยที่ https://th.carro.co/sell-car/express รับรองได้เงินเร็ว ไว ทันใจแน่นอน!

Carro Automall ตลาดรถ

ส่วนใครสนใจจะซื้อรถมือสอง Carro แหล่งรวมรถมือสองคุณภาพเยี่ยมผ่านระบบออนไลน์ คุณสามารถจองรถได้ในเวลาเพียง 1 นาทีเท่านั้น! พร้อมคำนวณสินเชื่อและค่างวด ได้ภายในเว็บไซต์ทันที!

ซึ่ง Carro เรามีรถให้คุณเลือกมากมาย รถทุกคันผ่านการตรวจสภาพโดย Carro Certified อย่างละเอียดแบบ Double Check มากกว่า 160 จุด, การันตีคืนเงินภายใน 5 วัน, รับประกันเครื่องยนต์และเกียร์ 1 ปี, รับประกันไม่กรอไมล์ และไม่ประสบอุบัติเหตุหนัก ไฟไหม้ หรือน้ำท่วม พร้อมรับประกันคุณภาพรถ 1 ปี หรือ 30,000 กิโลเมตร!

อีกทั้งยังมีเทคโนโลยี “360 View & Sound Engine Analysis” เลือกชมรถยนต์เสมือนจริงออนไลน์รายแรกในไทย ทั้งภาพและเสียงในรูปแบบ 360 องศา รวมถึงมีเทคโนโลยีสนับสนุนฝ่ายขาย ทั้ง Digital Device ที่เชื่อมต่อกับ Digital Screen นำเสนอสิ่งที่ลูกค้าต้องการ และจัดการเรื่องเอกสารให้กับลูกค้าให้ตั้งแต่ต้นจนจบ บวกกับ Online Viewing Service ที่ลูกค้าสามารถวิดีโอคอล ตรวจสภาพรถยนต์คันที่สนใจได้แบบเรียลไทม์ ซื้อรถคุณภาพเยี่ยม ต้องที่ Carro สิ!

หรือถ้าหากคุณสนใจรถรุ่นไหนอยู่ แต่ยังหาที่ถูกใจไม่ได้ เรายินดีหาให้! เพียงกรอกชื่อ-เบอร์โทรศัพท์ และรถที่คุณสนใจ ไว้ที่ “รับการแจ้งเตือน” เมื่อมีรถที่คุณต้องการ Carro จะรีบติดต่อไปยังคุณทันที สอบถามรายละเอียดได้ที่ Facebook -> Carro Thailand โทร. 02-460-9380 หรือทาง Line @carrothai

วิธีป้องกันรถเหินน้ำ และขับรถให้ปลอดภัยช่วงหน้าฝน

ช่วงนี้เข้าสู่ช่วงฤดูฝนอย่างเป็นทางการแล้ว แน่นอนว่าการขับรถฝ่าสายฝนคงเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ แต่เราจะมีวิธีขับรถในช่วงหน้าฝนอย่างไรให้ปลอดภัย ไม่เกิดอุบัติเหตุ และไม่เกิดเหตุการณ์รถเหินน้ำ เวลาที่ต้องขับลุยพื้นถนนที่เปียกลื่นหรือมีแอ่งน้ำขังกันได้บ้าง วันนี้ masii ก็มีคำตอบและวิธีขับรถในช่วงหน้าฝนมาฝากเพื่อนๆ ชาว CARRO กันแล้วค่ะ ไปดูกันเลยว่ามีอะไรบ้าง

วิธีป้องกันรถเหินน้ำ และขับรถให้ปลอดภัยช่วงหน้าฝน

อาการรถเหินน้ำ หรือ Hydroplane สามารถเกิดขึ้นได้เมื่อขับรถบนถนนเปียก หรือมีแอ่งน้ำขัง โดยมักเกิดขึ้นเมื่อรถยนต์ขับมาด้วยความเร็ว ทำให้ยางรถยนต์ไม่สามารถรีดน้ำบนหน้ายางออกได้ทันท่วงที กลายเป็นยางรถยนต์หมุนอยู่บนผิวน้ำ ไม่ได้สัมผัสกับพื้นถนน จึงทำให้ควบคุมรถได้ยาก รถลื่น และหากผู้ขับขี่เหยียบเบรกกะทันหัน หรือจับพวงมาลัยไม่แน่น ก็มีโอกาสที่รถจะเสียหลักหมุนได้อย่างรวดเร็ว

วิธีป้องกันรถเหินน้ำ และขับรถให้ปลอดภัยช่วงหน้าฝน

วิธีป้องกันรถเหินน้ำ

พื้นถนนที่เปียกมีโอกาสที่จะเกิดการเหินน้ำได้สูง ยิ่งหากเป็นพื้นถนนคอนกรีตด้วย ยิ่งมีโอกาสเหินน้ำมากกว่าถนนยางมะตอย เนื่องจากพื้นถนนอาจมีร่องน้ำตามรูของพื้นถนนมากกว่านั่นเอง ซึ่งเรามีวิธีป้องกันรถเหินน้ำ พร้อมกับวิธีขับรถให้ปลอดภัยในช่วงหน้าฝน ดังต่อไปนี้

1. ไม่ควรขับรถเร็วเกินไป

ควรลดความเร็วหรือใช้เกียร์ต่ำขณะขับรถในช่วงฝนตก หรือใช้ความเร็วประมาณ 70-80 กม./ชม. จะทำให้ยางรถยนต์เกาะยึดพื้นถนน และดอกยางสามารถรีดน้ำออกไปได้อย่างมีประสิทธิภาพ แต่หากต้องขับรถลุยแอ่งน้ำ ไม่ควรขับรถเร็วเกินไป เพราะจะทำให้รถเหินน้ำ ลื่นไถลออกนอกเส้นทาง หรือเสียหลักพลิกคว่ำได้

2. หลีกเลี่ยงการขับรถผ่านแอ่งน้ำ

แต่ถ้าจะให้ดีควรหลีกเลี่ยงการขับรถผ่านแอ่งน้ำ จะลดความเสี่ยงในการเหินน้ำได้ดีที่สุด หรือขับรถในเลนกลางเสมอ เพราะแอ่งน้ำขังมักอยู่เลนนอกสุด ริมข้างทาง ข้างแบริเออร์ หรือข้างเกาะกลางถนน

วิธีป้องกันรถเหินน้ำ และขับรถให้ปลอดภัยช่วงหน้าฝน

3. ไม่เหยียบเบรกกะทันหัน

ไม่ว่าจะขับรถอยู่บนแอ่งน้ำหรือไม่ก็ตาม แต่การขับรถบนพื้นถนนที่เปียกลื่นก็ไม่ควรเหยียบเบรกทันที เพราะจะทำให้ล้อหยุดหมุนทันที ส่งผลให้รถเสียหลักได้ ยิ่งถนนเปียกก็ยิ่งทำให้รถลื่นไถลได้มากกว่าเดิม ที่สำคัญไม่ควรเหยียบเบรกแรงขณะขับทางโค้ง เพราะมีโอกาสที่รถจะหลุดโค้งได้ง่ายๆ ทางที่ดีควรค่อยๆ ชะลอความเร็วและแตะเบรกทีละนิดจะดีที่สุด

4. จับพวงมาลัยแน่นๆ

ขณะขับรถในช่วงที่ฝนตก ถนนจะลื่นกว่าปกติ ซึ่งเสี่ยงต่อการลื่นไถล เสียหลักได้ง่าย ยังไงแล้วผู้ขับขี่ควรจับพวงมาลัยไว้ให้แน่นๆ เพื่อการควบคุมรถที่ดี และยิ่งหากต้องขับรถลุยแอ่งน้ำ หรือ รถเกิดอาการเหินน้ำแล้ว ให้จับพวงมาลัยแน่นๆ ประคองรถให้ดีๆ ชะลอความเร็ว และแตะเบรกเบาๆ ห้ามเบรกกะทันหัน หรือหันพวงมาลัยหนีเด็ดขาด

วิธีป้องกันรถเหินน้ำ และขับรถให้ปลอดภัยช่วงหน้าฝน

5. เติมลมยางให้พอดี

การเติมลมยางที่เหมาะสมก็ช่วยป้องกันรถยนต์เหินน้ำได้ หากลมยางอ่อนเกินไป ทำให้ประสิทธิภาพในการรีดน้ำลดลง และมีโอกาสเหินน้ำได้ง่ายกว่ายางรถยนต์ที่เติมลมยางปกติ นอกจากนี้ควรหมั่นเช็กสภาพยางรถยนต์เป็นประจำ หากดอกยางเริ่มตื้นหรือโล้นแล้ว ควรรีบเปลี่ยนยางทันที

และนี่ก็คือวิธีป้องกันรถเหินน้ำ รวมถึงวิธีขับรถให้ปลอดภัยในช่วงหน้าฝนที่ masii นำมาฝากกัน ยังไงแล้วก็ขอให้เพื่อนๆ ขับขี่รถยนต์กันอย่างปลอดภัย ไม่ประมาท และถ้าจะให้ดีอย่าลืมซื้อประกันรถยนต์ไว้ด้วยเพื่อความอุ่นใจ โดยสามารถ คลิกที่นี่ เพื่อซื้อประกันรถยนต์ หรือต่อประกันรถยนต์กับมาสิได้ง่ายๆ

ขอขอบคุณบทความดีๆ จาก www.masii.co.th

Drive-Safely-In-Flooding

ในช่วงนี้มีหลายพื้นที่ได้รับผลกระทบจากอิทธิพลของพายุโนอึล ซึ่งส่งผลให้หลายพื้นที่เกิดภัยน้ำท่วม มีน้ำท่วมสูง และเกิดน้ำท่วมขัง ต้องขับรถลุยน้ำท่วมตามที่เห็นในภาพข่าวกัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งต่างจังหวัด พายุถาโถมจนหลายเมือง หลายตำบลจมน้ำไปเรียบร้อยแล้ว ถึงขนาดต้องมีเจ้าหน้าที่รัฐเข้าไปส่งถุงยังชีพกัน เพราะว่าประชาชนติดอยู่ในบ้านไม่สามารถออกไปไหนได้

Drive-Safely-In-Flooding

ส่วนทางฝั่งคนกรุงเทพที่อยากจะร่วมด้วยช่วยกันเที่ยวเมืองไทย เพื่อฟื้นฟูเศรษฐกิจการท่องเที่ยวให้หายซบเซาจากพิษของโควิด 19 หากจะเดินทางไปพื้นที่ต่างจังหวัดในช่วงเวลานี้ ก็อย่าลืมติดตามข่าวสารดีๆ ว่าพื้นที่ไหนที่ฝนตกหนักน้ำท่วมสูงมาก “รอระบาย” ก็ควรจะหลีกเลี่ยง เพราะในตอนขับหรือหลังขับรถลุยน้ำท่วมแล้ว สามารถสร้างความเสียหายให้กับรถอันเป็นที่รักของคุณได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้าน้ำเข้าห้องเครื่องหรือห้องโดยสารแล้วละก็ ไม่แคล้วต้องเสียเงินซ่อมกันเป็นเรื่องใหญ่ได้

Roojai.com จึงอยากพาคุณไปดูวิธี “เอาตัวรอด” ให้กับรถของคุณเมื่อต้องเจอเส้นทางที่เปรียบเสมือนทะเลแบบนี้ จะต้องทำอย่างไร เพื่อให้รถของคุณขับผ่านน้ำท่วมได้โดยที่ไม่มีความเสียหายตามมา ตามไปดูกันเลย

ขับรถลุยน้ำท่วม ว่าแย่แล้ว ลุยฝนไปด้วย เครียดกว่าเดิมอีกสองเท่า

ช่วงนี้เราเข้าสู่หน้าฝนกันแบบเต็มตัวแล้ว ไม่ว่าจะเจอน้ำท่วมหรือไม่ แต่สิ่งที่ไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้แน่ๆ ก็คือสายฝนโปรยปราย ซึ่งในกรณีที่ไม่ได้ตกหนักมาก คุณก็ยังสามารถขับรถไปได้แบบชิลล์ๆ ไม่มีปัญหาอะไร แต่ถ้าเจอกับสายฝนโปรยปรายตกกระหน่ำเม็ดใหญ่ ๆ เปิดที่ปัดน้ำฝนเบอร์แรงสุดแล้วยังแทบไม่เห็นทาง วิสัยทัศน์ในการมองเห็นจะลดลงเป็นอย่างมาก แบบนี้ขับไปเครียดไปแน่นอน อีกทั้งมีความเป็นไปได้สูงมากที่ฝนตกหนักลักษณะนี้ จะทำให้คุณเจอกับน้ำท่วมด้วย เพราะน้ำมักจะระบายออกไปได้ไม่ทัน จนสุดท้ายถนนทุกสายกลายเป็นทะเลกรุงเทพดี ๆ นี่เอง

การขับรถภายใต้การมองเห็นที่จำกัด วิสัยทัศน์ไม่ดี จำเป็นต้องใช้สมาธิในการเพ่งท้องถนนเป็นอย่างมาก ยิ่งถ้าหากเจอน้ำท่วมซ้ำอีกด้วยแล้วล่ะก็ สามารถทำให้เครียดได้เลยทีเดียว เพราะมองทางก็ไม่เห็น จะขับต่อก็กลัว แต่จะหยุดรถกลางทางก็ไม่ได้ ดังนั้นคำแนะนำที่ดีที่สุดคือ พยายามอย่าขับรถฝ่าสายฝนที่ตกกระหน่ำไปไหนถ้าไม่จำเป็น รอจนฝนซาสักนิดแล้วค่อยเริ่มออกรถจะปลอดภัยกว่า หรือหาปั๊มน้ำมันใกล้ๆ เข้าไปพักรถก่อน เพื่อรอเวลาขับต่อไปนั่นเอง

อย่าลืมประเมินสถานการณ์

ในเมื่อหลีกเลี่ยงไม่ได้ก็คงต้อง “ลุยน้ำ” กันไป โดยสิ่งที่คุณควรเตรียมตัว เริ่มจากขั้นตอนการประเมินสถานการณ์ก่อนเลย ซึ่งถ้าหากว่าน้ำสูงเกินที่จะลุยไปได้ ยังไงก็ต้องจอดรอเพียงอย่างเดียวเท่านั้น โดยการประเมินสถานการณ์เบื้องต้นนั้น จะแบ่งออกเป็น 2 ส่วนก็คือ ประเมินความสูงของน้ำ และ ประเมินความเตี้ยของรถคุณ

ต้องเข้าใจก่อนว่ารถคันอื่นวิ่งได้ไม่ได้หมายความว่ารถคุณจะวิ่งได้ด้วย สำหรับรถที่ได้เปรียบมากกว่าในการขับลุยน้ำท่วม ก็จะเป็นรถกระบะยกสูงหรือรถยนต์อเนกประสงค์ SUV หรือ PPV ต่างๆ โดยจะมีระดับความสูงจากพื้นถึงใต้ท้องรถเฉลี่ยอยู่ที่ประมาณ 22 เซนติเมตร เปรียบเทียบกับรถเก๋งทั่วไป จะมีระดับความสูงจากพื้นถึงใต้ท้องรถอยู่ที่ประมาณ 14-15 เซนติเมตรเท่านั้นเอง ดังนั้นนอกจากคาดการณ์ว่าน้ำท่วมขังสูงแค่ไหนได้แล้ว ก็ต้องรู้ด้วยว่ารถของคุณมีระดับความสูงจากพื้นถึงใต้ท้องรถอยู่ที่เท่าไหร่อีกด้วย

Drive-Safely-In-Flooding

ขับรถลุยน้ำท่วม อย่างไรให้ปลอดภัยกับรถของคุณ

สำหรับระดับความสูงของน้ำท่วม ที่สามารถขับขี่และปลอดภัยอย่างแน่นอนก็คือ น้ำท่วมยังไม่ถึงใต้ท้องรถ หรือ ยังไม่ถึงขอบประตูรถ โดยข้อควรปฏิบัติให้รถลุยน้ำ ขับไปได้ มีดังนี้

  • ปิดแอร์

การเปิดแอร์เอาไว้จะทำให้พัดลมระบายความร้อนของหม้อน้ำทำงาน ซึ่งถ้าหากน้ำท่วมถึงพัดลมก็จะทำให้พัดลมตีน้ำกระจายไปทั่วห้องเครื่องได้ จึงเป็นสาเหตุที่ทำให้รถยนต์ดับ หรือถ้าเลวร้ายกว่านั้นอาจทำให้เกิดไฟฟ้าช็อตได้ ดังนั้นเมื่อมีความจำเป็นต้องขับรถในขณะน้ำท่วมก็ควรปิดแอร์ทุกครั้ง เพื่อป้องกันการเกิดปัญหาในภายหลัง

  • ใช้เกียร์ต่ำ

การขับรถด้วยการใช้เกียร์ต่ำ เป็นสภาวะที่เครื่องยนต์ดับได้ยากที่สุด เนื่องจากใช้รอบเครื่องยนต์ 1,500-2,000 รอบ/นาที  โดยสำหรับรถธรรมาดาก็จะหมายถึงการใช้เกียร์ 1 หรือ 2 เท่านั้น ส่วนรถเกียร์ออโต้ก็คือการขับด้วยเกียร์ L นั่นเอง

  • รักษาความเร็วคงที่

เมื่อใช้เกียร์ต่ำแล้วก็ควรรักษาความเร็วสม่ำเสมอด้วย ไม่เร่งเครื่องหรือเปลี่ยนความเร็วกะทันหัน เนื่องจากจะทำให้เกิดกระแสน้ำวิ่งไปกระทบกับฟุตพาท แล้วเกิดการตีกลับของกระแสน้ำเข้าสู่รถได้

  • ให้รถคันหน้านำทางให้

โดยการขับรถทิ้งระยะห่างจากรถคันหน้าประมาณ 50 เมตร เพื่อที่คุณจะได้เห็นว่ารถคันหน้าที่กำลังวิ่งบนเส้นทางเดียวกันกับคุณอยู่นั้น สามารถวิ่งได้อย่างปลอดภัยหรือไม่ มีหลุมหรือสิ่งกีดขวางต่าง ๆ หรือเปล่า เพื่อที่คุณจะได้หลีกเลี่ยงได้ทันเวลานั่นเอง

  • หากเครื่องดับห้ามสตาร์ทเครื่องใหม่เด็ดขาด

กรณีเลวร้ายที่สุดก็คือ เมื่อตัดสินใจขับรถตอนน้ำท่วมไปแล้ว เกิดรถดับกลางทาง สิ่งที่คุณควรทำคือการเข็นรถเข้าข้างทาง โดยพยายามหาพื้นที่สูงเข้าไว้ เพื่อลดความเสี่ยงไม่ให้คลื่นน้ำที่เกิดจากรถยนต์คันอื่นไหลเข้าสู่รถของคุณ โดยคุณต้องไม่พยายามสตาร์ทรถใหม่เด็ดขาด เนื่องจากเสี่ยงที่จะทำให้น้ำไหลเข้าสู่เครื่องยนต์และทำให้เกิดความเสียหาย

  • หลีกเลี่ยงการ ขับรถลุยน้ำท่วม ในพื้นที่ที่คุณไม่คุ้นเคย

กรณีที่เป็นการขับรถไปในพื้นที่คุ้นเคยหรือเส้นทางที่คุณใช้เป็นประจำ คุณจะสามารถประเมินสถานการณ์ได้ง่ายกว่า ว่าควรจะเสี่ยงขับรถลุยน้ำไปดีหรือไม่ เนื่องจากคุณจะรู้ว่าถนนเส้นนั้น ๆ เป็นเส้นที่น้ำท่วมขังเป็นระยะทางสั้นๆ หรือว่าท่วมยาวทั้งเส้นร่วมสิบกิโล รวมไปถึงการที่เคยเห็นสภาพถนนตอนที่น้ำไม่ท่วม ว่ามีตรงไหนต้องระวังหรือมีถนนช่วงไหนไม่ดี จะช่วยให้คุณสามารถขับขี่ได้อย่างปลอดภัยกว่า

แต่ด้วยความจำเป็นที่ทำให้คุณต้องเดินทางไปยังพื้นที่ที่ไม่คุ้นเคย แล้วยังต้องไปเสี่ยงกับการขับรถน้ำท่วมบนถนนที่คุณไม่คุ้นเคยมาก่อน คุณจะไม่รู้เลยว่ายิ่งขับไปน้ำจะยิ่งท่วมสูงขึ้นหรือว่าจะลดลงนั่นเอง รวมทั้งทางข้างหน้ามีการก่อสร้างทาง หรือถนนมีหลุมมีบ่ออย่างไรบ้าง คุณก็ไม่สามารถรู้ได้เลย ถ้าเป็นไปได้เราอยากแนะนำให้คุณแวะหลบฝนหลบน้ำที่ปั๊มน้ำมันก่อนจะปลอดภัยกว่า

Drive-Safely-In-Flooding

เมื่อผ่านพ้นเส้นทางลุยน้ำวิบากมาแล้วต้องทำอย่างไร

หลังจากที่คุณรอดจากสถานการณ์หลังขับรถลุยน้ำท่วม ก็อย่าเพิ่งรีบจอดรถลงไปหาซื้อของกินมาฉลอง เพราะว่ายังมีข้อควรปฏิบัติที่คุณควรรู้ หลังจากฝ่าน้ำท่วมมาได้ คือ

  • หลังจากที่เพิ่งขับพ้นช่วงถนนที่น้ำท่วมสูง ให้ขับต่อไปโดยใช้ความเร็วต่ำ และให้ทำการไล่น้ำออกจากคาลิเปอร์-ผ้าเบรก โดยการเหยียบเบรกเบาๆ ย้ำๆ ไปเรื่อยๆ ตลอดระยะเวลาที่ขับด้วยความเร็วต่ำอีกสักระยะ ซึ่งจะช่วยไล่น้ำและความชื้นจากเครื่องยนต์ได้
  • ไม่หยุดพักรถและดับเครื่องโดยทันทีหลังจากที่เพิ่งลุยน้ำท่วมมาเสร็จ เนื่องจากมีความเป็นไปได้ที่จะทำให้น้ำที่ค้างอยู่ที่ท่อไอเสียย้อนกลับเข้าไปได้ รวมทั้งความชื้นที่ยังมีอยู่อาจทำให้เครื่องยนต์เสียหายได้ด้วย ที่สำคัญอีกอย่างก็อย่าลืมเช็ครถหลังลุยน้ำท่วมด้วย ว่ามีอะไรผิดปกติหรือเปล่า

รถลุยน้ำได้ แต่ก็ใช่ว่าจะเป็นระดับน้ำสูง จะขับรถลุยน้ำ จำเป็นต้องใช้สมาธิอย่างสูง เพื่อที่จะประคองรถให้ฝ่าน้ำท่วมไปได้อย่างปลอดภัยทั้งรถและคุณ อีกทั้งยังมีโอกาสที่คุณจะเจอทั้งสายฝนกระหน่ำและน้ำท่วมในเวลาเดียวกัน ซึ่งทำให้คุณต้องใช้สมาธิจดจ่อในการขับรถมากกว่าเดิม การรู้เท่าทันและการเตรียมตัวที่ดี จะช่วยให้คุณสามารถประคับประคองสถานการณ์ หรือขับรถไปถึงจุดหมายปลายทางได้ง่ายยิ่งขึ้น ง่ายเหมือนซื้อประกันภัยรถยนต์ออนไลน์ ที่ Roojai.com ไม่ซับซ้อน ราคาดี และเชื่อใจได้ มาพร้อมตัวเลือกที่หลากหลาย สามารถปรับแต่งแผนกรมธรรม์ได้ด้วยตัวคุณเอง เลือกความคุ้มครองที่ตอบโจทย์คุณได้มากที่สุด ที่สำคัญผ่อนสบายๆ ผ่านบัตรเครดิตหรือเดบิตได้นานสูงสุดถึง 10 งวด คลิกเช็คราคาออนไลน์ได้ตลอด 24 ชม. เลย

Claim-Car-Insurance-From-Flood-Damage

ช่วงนี้พวกเราคงต้องเผชิญพายุดีเปรสชั่นกันอย่างต่อเนื่อง ซึ่งแน่นอนว่าฝนตกแบบนี้คงเป็นเรื่องที่สร้างความลำบากใจให้ใครต่อใครหลายคน รวมไปถึงเพื่อน ๆ ที่อาศัยอยู่ในตัวเมือง เกิดน้ำท่วมทีไรมักจะพบกับปัญหาน้ำท่วม น้ำขัง ซึ่งส่งต่อผลเสียต่อรถยนต์ของเรา ถ้าเกิดกรณีน้ำท่วมรถเรา สามารถเคลมประกันได้ไหม ให้ masii บอกคำตอบเพื่อน ๆ กันดีกว่า

ถ้าน้ำท่วมรถเราจะเคลมประกันได้ไหม

Claim-Car-Insurance-From-Flood-Damage

บางครั้งที่ฝนตกหนัก ๆ ก็อาจส่งผลให้เกิดน้ำท่วมขังบนท้องถนน หรือท่วมบ้านเรือนที่พักอาศัย ซึ่งน้ำท่วมนี้ถือว่าเป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นจากธรรมชาติ ซึ่งจัดให้อยู่ในความคุ้มครองประเภทภัยธรรมชาติ สำหรับประเภทประกันภัยที่ครอบคลุมภัยธรรมชาตินั้น มีดังนี้

  • ประกันรถยนต์ชั้น 1
  • ประกันรถยนต์ชั้น 2+ (บางกรมธรรม์)
  • ประกันรถยนต์ชั้น 3+ (บางกรมธรรม์)

น้ำท่วมรถแบบไหนถึงสามารถเคลมประกันได้

Claim-Car-Insurance-From-Flood-Damage

น้ำท่วมรถขณะจอดอยู่ที่บ้านหรือลานจอดรถ

ในกรณีแบบนี้คือการจอดรถอยู่ที่บ้าน จอดที่ลานจอดรถ แล้วมีพายุฝนตกหนักติดต่อกันหลายวันจนเกิดน้ำท่วม น้ำป่าไหลหลาก ไม่สามารถย้ายรถได้ทัน

น้ำท่วมขณะเดินทางบนท้องถนน

รถติดอยู่บนท้องถนนขณะที่ฝนตก น้ำก็ท่วม ติดมาอยู่หลายชั่วโมงจนเกิดน้ำท่วมขังทำให้รถยนต์ของเพื่อน ๆ เกิดความเสียหาย สามารถแจ้งเคลมประกันได้เช่นกัน

น้ำท่วมรถแบบไหนที่ไม่สามารถเคลมประกันได้

Claim-Car-Insurance-From-Flood-Damage

ตั้งใจขับผ่านเส้นทางน้ำท่วม

กรณีเพื่อน ๆ ทราบอยู่แล้วว่าบริเวณพื้นที่ข้างหน้าที่เราจะต้องขับรถผ่านนั้นมีน้ำท่วม แต่ก็ยังขับรถลุยน้ำท่วมไป จนทำให้รถยนต์เกิดความเสียหาย เช่น น้ำเข้าห้องเครื่อง เครื่องยนต์ดับ ฯลฯ แบบนี้จะไม่สามารถเคลมประกันได้ เพราะมีเจตนาที่ชัดเจน

น้ำท่วมรถนอกอาณาเขต

กรณีต้องขับรถไปต่างประเทศ เช่น ขับรถไปประเทศเพื่อนบ้านแล้วเกิดเหตุการณ์น้ำท่วม จะไม่สามารถเคลมประกันได้ เพราะว่ารถยนต์ของเพื่อน ๆ ประสบเหตุนอกประเทศไทยซึ่งถือว่าอยู่นอกอาณาเขตที่ให้ความคุ้มครองนั่นเอง

เมื่อเพื่อน ๆ ทราบกันแล้วว่าหากน้ำท่วมแบบนี้ กรณีไหนที่สามารถเคลมประกันได้ และกรณีไหนที่ไม่สามารถเคลมประกันได้ ก็หวังว่าบทความนี้จะเป็นประโยชน์สำหรับทุกคนในช่วงนี้พายุหน้าฝนนี้ สุดท้ายใครที่มองหาประกันรถยนต์ สามารถ คลิกที่นี่ เพื่อเช็กเบี้ยประกันได้ทันที

ขอขอบคุณบทความดี ๆ จาก www.masii.com

History-Soi-Taweemit-Village-Flood

เวลาที่กรุงเทพฯ เกิดเหตุการณ์พายุฝนกระหน่ำทีไร ก็รู้ๆ อยู่ ว่าระบบการระบายน้ำของกรุงเทพฯ นั้นค่อนข้างแย่ บวกกับกรุงเทพฯ อยู่ในพื้นที่ลุ่มต่ำ เมื่อเกิดฝนตกหนักมากๆ ตามถนนตามซอย มักจะเกิดน้ำท่วมแบบนี้อยู่เสมอๆ บวกกับปัญหาคนทิ้งขยะมักง่าย จนเศษขยะไปอุดติดตามท่อระบายน้ำมากมาย และท่อระบายน้ำขนาดเล็ก รับมวลน้ำไม่ทัน ซึ่งใครมาเป็นผู้ว่าฯ ก็ไม่มีปัญญาแก้ไขอะไรได้

และอีกหนึ่งจุดไฮไลท์ของกรุงเทพฯ ที่ฝนตกหนักมากๆ ทีไร น้ำต้องท่วมสูงมากทุกที! คงต้องยกให้กับ “ซอยทวีมิตร”, “หมู่บ้านทวีมิตร”, “ซอยพระราม 9 แยก 7” หรือที่เรียกติดปากว่า ซอย อสมท. เป็นจุดที่น้ำท่วมหนักสุด ต่ำกว่าถนนพระราม 9 ถึง 90 เซนติเมตร ใครที่จอดรถ จอดมอเตอร์ไซค์ไว้ และย้ายหนีน้ำไม่ทัน เป็นน้ำท่วมรถทุกราย!

เพราะอะไร ทำไมซอยนี้ ถึงได้ลือชื่อว่าน้ำท่วมหนักตลอด และเป็นแบบนี้มานานไม่ได้รับการแก้ไข จนค่าด่ากันขรม วันนี้ MR.CARRO จะมาเล่าให้ฟัง …

History-Soi-Taweemit-Village-Flood

ประวัติ ซอยทวีมิตร และ หมู่บ้านทวีมิตร …

เชื่อหรือไม่ครับว่า ซอยทวีมิตร และ หมู่บ้านทวีมิตร เกิดขึ้นมาก่อนที่จะมีถนนพระราม 9 และถนนรัชดาภิเษก ซะอีก!

ย้อนกลับไปเมื่อ 50 กว่าปีที่แล้ว ถนนอโศก-ดินแดง เริ่มตัดสร้างขึ้นมาในยุค จอมพลถนอม กิตติขจร เป็นนายกรัฐมนตรี แต่เดิมนั้นเป็นเพียงถนนที่เชื่อมกันระหว่างซอยอโศก (สุขุมวิท 21) และถนนดินแดงอย่างเดียว เป็นถนนราดยางแคบขนาด 2 เลน พูนดินสูงขึ้นมาจากระดับดินเดิมสักเมตรกว่าๆ มองไปทางห้วยขวางในปัจจุบัน มีสภาพเป็นท้องทุ่งนาจนสุดสายตาทั้งซ้ายและขวา

เล่ากันในสมัยนั้นว่า บรรดาท่านผู้เป็นใหญ่ในยุคนั้นได้ไปกว้านซื้อที่ดินย่านห้วยขวาง บางกะปิ กันมาก จนมีความคิดที่จะต้องตัดถนนเข้าไปในที่แปลงนั้น

โดยจุดที่เป็นสี่แยกพระราม 9 ในปัจจุบัน ในอดีตจงใจตัดถนนให้เป็นโค้งหักศอกแบบ 90 องศา หรือที่ชาวบ้านเรียกกันว่า “โค้งทรราช” เนื่องจากแค่ตัดถนนเข้าไปหาที่ดินของกลุ่มผู้ครองอำนาจในยุคนั้น (จอมพลถนอม-ประภาส)

ต่อมาในปี 2522 พลเอกเกรียงศักด์ ชมะนันทน์ อดีตนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีหลายกระทรวงในยุคนั้น ได้สั่งให้มีการตัดถนนเส้นใหม่จากถนนวิภาวดีรังสิต เลียบไปกับแนวโครงการทางรถไฟสายบางซื่อ – คลองตัน เดิม มาเชื่อมกับหัวโค้งดังกล่าว แล้วใช้ชื่อว่าถนนรัชดาภิเษก ในปัจจุบัน

หมู่บ้านทวีมิตรเองก็เช่นกัน ได้เริ่มสร้างขึ้นในช่วงร่วมสมัยเดียวกันนี้ …..

History-Soi-Taweemit-Village-Flood

อดีต Beverly Hills ของกรุงเทพฯ ที่ปัจจุบันโดนตึกสูงบังวิวหมด

ในปี 2518 นพ.บุญ วนาสิน (ปัจจุบัน คือ ผู้ก่อตั้งและประธานกรรมการ บริษัท ธนบุรี เฮลแคร์ กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) เจ้าของเครือโรงพยาบาลธนบุรี) ร่วมกับกลุ่มจางหมิงเทียน (Chang Ming Thien) นายทุนชาวจีนโพ้นทะเลจากมาเลเซีย-ฮ่องกง สร้างหมู่บ้านทวีมิตรขาย โดยต้องการให้เป็น “Beverly Hills” แห่งกรุงเทพฯ!

ซอยทวีมิตร จึงถือกำเนิดขึ้นกับพร้อมๆ หมู่บ้านทวีมิตรช่วงนี้นั่นเอง โดยแบ่งออกเป็นทั้งบ้านทาวน์เฮ้าส์ และบ้านเดี่ยว รวมถึงอาคารพาณิชย์บริเวณซอยทวีมิตรหลัก

MCOT-Headquarter-In-The-Past

อสมท. เมื่อยุคทศวรรษที่ 20 (ภาพจาก อสมท.)

ต่อมา บริษัท ไทยโทรทัศน์ จำกัด หรือ ช่อง 4 บางขุนพรหม ได้ยุบเลิกกิจการ และจัดตั้งองค์การสื่อสารมวลชนแห่งประเทศไทย เมื่อปี 2520 ได้ย้ายมาก่อตั้งสำนักงานที่ท้ายซอยทวีมิตรแห่งนี้ ซึ่งสมัยนั้นนับได้ว่าอยู่ห่างไกลจากเมืองมาก

จากนั้นก็มีหน่วยงานอื่นย้ายตามเข้ามา อาทิ ทิพยประกันภัย และธนาคารอาคารสงเคราะห์ รวมทั้งเป็นทางลัด ของผู้เดินทางไปถนนรัชดาภิเษก ถนนพระราม 9 และการมีคอนโดมิเนียมเกิดขึ้นหลายแห่ง ทำให้ซอยนี้เจริญขึ้นเป็นอย่างมาก

History-Soi-Taweemit-Village-Flood

ภาพจาก Backbone MCOT

แต่ปัญหาของที่นี่ คือ ถนนส่วนกลางที่สร้างมาตั้งแต่ยุคแรกเริ่ม ไม่ได้รับการแก้ไข (แต่ซอยแยกเข้าซอยหมู่บ้าน กลับยกพื้นสูงหมด) และเป็นถนนของเอกชน ของนิติบุคคลหมู่บ้านทวีมิตร ยังไม่ยกพื้นที่ให้ กทม. ที่หลายหน่วยงานที่มาตั้งอยู่ในท้ายซอยนี้ ต้องไปขอจดภาระจำยอม เพื่อให้รถเข้าออกหน่วยงานของตัวเอง

ซึ่งทางนิติบุคคล นอกจากเก็บค่าจอดรถแล้ว จะเก็บค่าผ่านทางเพิ่ม หรือ ไม่ยอมให้ผ่านทาง รับรองว่าสนุกแน่

History-Soi-Taweemit-Village-Flood

ภาพจาก ราชสีห์ จิตอาสา

แม้ว่า กทม. ได้ติดตั้งเครื่องสูบน้ำ 2 เครื่อง บริเวณปากซอยทวีมิตร เพื่อดึงน้ำเข้าสถานีสูบน้ำฝั่งตรงข้ามเพื่อลงคลองสามเสน อีกทั้งเป็นระบบระบายน้ำเก่าที่ไม่ได้บำรุงรักษา และบางบ้านมีการสร้างทางขึ้นทางลาดเข้าบ้านทับทางระบายน้ำ ส่งผลให้น้ำที่ไหลจากจุดที่ต่ำที่สุด ไปสู่บ่อสูบน้ำได้ล่าช้า และเมื่อฝนตกหนักทีไร ก็ต้องเจอน้ำท่วมสูง จนมิดรถครึ่งคันซ้ำซากแบบนี้ตลอดไปล่ะครับ!

History-Soi-Taweemit-Village-Flood

ภาพจาก เกาะติดสถานการณ์และอุบัติเหตุ

ส่วนใครที่อยากขายรถที่ถูกน้ำท่วมมา ไม่ว่าจะเป็นรถบ้าน รถมือสอง ก็สามารถปรึกษากับทางเราดูก่อนได้ เพียงแค่คุณขายรถคันเดิมกับ CARRO ได้ ง่ายๆ ได้เงินไว! กับ CARRO Express เพียงแค่คลิก https://th.carro.co/sell-car/express หรือสามารถ Inbox มาขอรายละเอียดได้ที่ Facebook CARRO Thailand

หรือจะ Add Line สอบถามรายละเอียดได้ที่ @Carrothailand หรือคลิกที่นี่ครับ —> เพิ่มเพื่อน

แหล่งที่มาบางส่วนจาก:

Bad-Result-For-Drive-Through-Water

พอเข้าสู่ช่วงเดือนหน้าฝนทีไร ก็คงหนีไม่พ้นกับปัญหา “ฝนตก รถติด” นอกจากจะสร้างความรำคาญใจและอันตรายแก่ผู้ใช้รถใช้ถนนแล้ว ยังเกิดผลเสียต่อรถของเราอีกด้วย โดยเฉพาะสถานการณ์จำเป็นที่ต้องขับรถลุยน้ำท่วมขัง หากคุณขับรถลุยน้ำไปนานๆ อาจจะทำให้รถพังเร็วกว่าที่คิดได้ แล้วปัญหานี้จะส่งผลเสียต่อรถของเรายังไงบ้าง มาอ่านกันเลยครับ

1. สภาพเครื่องยนต์ทำงานหนัก

แน่นอนเวลาขับรถลุยน้ำ พลังของมวลน้ำจะมาปะทะที่ตัวรถเรา จึงทำให้รถหนักและเคลื่อนตัวได้ช้าลง ยิ่งถ้าคุณเหยียบคันเร่งเพื่อที่จะเร่งเครื่อง ก็จะทำให้เครื่องยนต์ทำงานหนักหรือร้อนมากขึ้น ดังนั้น หากคุณขับรถลุยฝนไม่ถูกวิธี ท้ายที่สุดจะทำให้เครื่องยนต์ดูดน้ำเข้าไปในห้องเครื่อง และทำให้เครื่องยนต์พังนั่นเอง

Bad-Result-For-Drive-Through-Water

2. ผ้าเบรกเสื่อมสภาพไว

สำหรับระบบ “เบรก” ถือเป็นอีกหนึ่งจุดที่สำคัญมากๆ เมื่อเกิดน้ำท่วมอาจจะทำให้น้ำเข้าสู่การทำงานของเบรค แล้วทำให้เบรคเกิดอาการขัดข้องได้ง่าย ไม่เพียงเท่านั้นความชื้นของเบรคยังส่งผลให้เบรคมีประสิทธิภาพในการทำงานลดลง เช่น เบรคเป็นสนิม เบรคแล้วไม่อยู่ เบรคแล้วลื่น เป็นต้น ทางที่ดีเพื่อป้องกันไม่ให้เกิดอุบัติเหตุไม่คาดคิด หลังจากขับรถลุยน้ำแล้วอย่าลืมไล่ความชื่นด้วยการเหยียบเบรคเบาๆ มันก็จะช่วยให้ผ้าเบรคแห้ง และกลับมาเป็นปกติได้

3. ระบบไฟฟ้าในรถเสียหาย

เพราะน้ำกับไฟเป็นสิ่งไม่คู่กันอยู่แล้ว หากเราไม่ดูแลรถหลังจากขับรถลุยน้ำท่วม ก็อาจจะทำให้ระบบไฟฟ้าทั้งหมดภายในเครื่องเสียหายตามมาได้ครับ ไม่ว่าจะเป็นกล่องควบคุมไฟฟ้าภายในเครื่องยนต์ ระบบแอร์ เเบตเตอรี่รถยนต์ รวมถึงระบบต่างๆ ของเครื่องยนต์ ก็จะทำให้เกิดไฟฟ้าลัดวงจร หรือรถสตาร์ทไม่ติดอีกด้วย

Bad-Result-For-Drive-Through-Water

4. รถพัง รถเป็นสนิม

นอกจากปัญหาฝนตกรถติด น้ำท่วมจะทำให้ระบบภายในเครื่องยนต์เสียหายแล้ว หากคุณไม่ล้างรถและเช็ดรถให้แห้งหลังจากขับรถลุยฝน ยังส่งผลให้รถภายนอกของคุณเป็นสนิม เสื่อมโทรมเร็วกว่าที่คิดด้วย เพราะคราบน้ำฝนจะกลายเป็นคราบฝังแน่น และทำลายสีรถได้ รวมถึงเศษฝุ่น เศษดิน เศษใบไม้ใบกิ่งไม้ ทั้งหมดนี้ก็จะทำให้รถของคุณดูเก่าเร็ว เกิดคราบสนิมเกาะบนผิวรถอีกด้วย

ดังนั้น หากเราไม่รู้จักดูแลรถหลังจากขับรถลุยฝน ก็จะยิ่งทำให้รถของคุณพัง และเสื่อมสภาพตามมาครับ ไม่ว่าจะเป็นเครื่องยนต์ ระบบไฟฟ้าภายใน ระบบเบรค ระบบแอร์ ระบบท่อไอดี และสีของรถ ทางที่ดีเราควรหมั่นดูแลรักษาเครื่องยนต์ เพื่อให้รถสุดที่รักอยู่กับเราไปนานๆ

แล้วที่สำคัญเราอย่าลืมต่อประกันรถยนต์ให้ช่วยคุ้มครองรถจากอุบัติเหตุไม่คาดฝันด้วยนะ อย่างน้อยประกันรถยนต์จะช่วยดูแลเราในทุกการขับขี่มากขึ้น สบายใจได้เปราะหนึ่งเลยครับ

ขอบคุณข้อมูลจาก : frank.co.th ประกันที่รวดเร็ว เรียบง่าย และจริงใจกับคุณ