Work From Home ทำงานที่บ้านให้ถูก หลีกเลี่ยงโรคออฟฟิศซินโดรม

หลายคนเคยได้ยินว่ามนุษย์เงินเดือนที่ทำงานออฟฟิศ ต้องนั่งกับโต๊ะและใช้คอมพิวเตอร์เป็นเวลานาน มีความเจ็บป่วยชนิดหนึ่งเกิดขึ้นซึ่งทำให้คนเหล่านั้นทรมานจนบางคนถึงกับทำงานไม่ได้อีกเลย เรากำลังพูดถึงโรคออฟฟิศซินโดรม และใครว่าโรคออฟฟิศซินโดรม อาการเกิดขึ้นได้เฉพาะที่ออฟฟิศเท่านั้นล่ะ? จริง ๆ มันเกิดขึ้นได้ทุกที่แม้แต่ที่บ้านของเรา

ใช่แล้ว.. เรากำลังพูดถึง การทำงานที่บ้านแบบ “Work from home” เพราะการต้องทำงานที่บ้านนาน ๆ ก็เป็นบ่อเกิดของโรคออฟฟิศซินโดรมได้เช่นกัน รู้ใจเป็นห่วงชาวออฟฟิศทุกคนที่ต้องนั่งทำงานที่บ้านที่ทั้งเครียดและเงียบเหงา เราจึงอยากพามาเรียนรู้วิธีการทำงานที่บ้านแบบ Work from home ให้ดีต่อสุขภาพและไม่เป็นโรคออฟฟิศซินโดรมกัน จะเป็นอย่างไร ตามไปดูกันเลย!

Work From Home ทำงานที่บ้านให้ถูก หลีกเลี่ยงโรคออฟฟิศซินโดรม

โรคออฟฟิศซินโดรม คืออะไร?

นิยามของโรคออฟฟิศซินโดรมก็คือ กลุ่มอาการปวดกล้ามเนื้อและเยื่อพังผืด รวมทั้งการปวดจากการอักเสบของเนื้อเยื่อและเอ็น ปวดชาปลายประสาทที่เกิดจากการกดทับ ซึ่งสาเหตุมาจากการนั่งหรืออยู่ท่าเดิมเป็นเวลานาน ๆ ส่วนใหญ่แล้วจะเกิดกับผู้ป่วยที่ต้องนั่งโต๊ะทำงานเป็นเวลานาน ๆ ต่อวัน

การนั่งที่ทำให้เกิดการกดทับทั้งหลัง ขา แขน และข้อมือ เช่น การใช้คีย์บอร์ดหรือเมาส์ สภาวะทำงานที่มีแสงน้อยหรือรับแสงจากจอในปริมาณมากเกินไปจนเกินความเจ็บปวดกับปลายประสาทในร่างกาย ความเสียหายที่เกิดขึ้นทำให้มีอาการตามมา การปวดตามร่างข้อ เส้นเอ็นในร่างกาย ตาพร่ามัว ปวดหัว จนไปถึงอาการรุนแรง เช่น การวูบ หูอื้อ มึนงง ชา แม้อาการป่วยจะไม่ถึงแก่ชีวิต แต่ก็ทำให้ระบบในร่างกายผิดปกติ และอาจจะต้องเผชิญกับความเจ็บปวดแบบเรื้อรัง ทนทรมานไปตลอดชีวิต อีกทั้งมันยังส่งผลต่อสภาพจิตได้ด้วยอีกต่างหาก

Work From Home ทำงานที่บ้านให้ถูก หลีกเลี่ยงโรคออฟฟิศซินโดรม

Checklist โรคออฟฟิศซินโดรม อาการเป็นอย่างไร?

ถึงแม้จะเป็นการทำงานที่บ้าน แต่ลักษณะการทำงานของหลายคนก็ยังเหมือนการนั่งทำงานอยู่ออฟฟิศอยู่ดี ดังนั้นถ้าคุณมีอาการตามลักษณะต่อไปนี้ ต่อให้ทำงานที่บ้านแบบ Work from home คุณก็ยังมีความเสี่ยง

• นั่งทำงานอยู่หน้าจอคอมพิวเตอร์เกิน 6 ชั่วโมงต่อวัน
• ระหว่างนั่งทำงานคุณจะรู้สึกปวดเมื่อยต้นคอ ไหล่ หลัง เอว อยู่เสมอ
• หลังทำงานคุณจะรู้สึกปวดเมื่อยจนต้องกินยาแก้ปวด หรือบางครั้งต้องไปนวดเพื่อให้หายปวด
• บางครั้งคุณจะรู้สึกตาพร่ามัว อ่านตัวหนังสือที่หน้าจอคอมไม่ชัด

ถ้าคำตอบของคุณส่วนใหญ่คือใช่ ก็เป็นไปได้ว่าคุณกำลังเข้าข่ายที่จะป่วยด้วยโรคออฟฟิศซินโดรม ซึ่งสิ่งแรกที่ควรจะทำก็คือ ปรับเปลี่ยนพฤติกรรมที่ส่งผลต่ออาการป่วย เช่น การนั่งทำงานเป็นเวลานาน การจ้องจอคอมพิวเตอร์มากเกินไป หรือการไม่ค่อยออกกำลังกายของคุณ

Work From Home ทำงานที่บ้านให้ถูก หลีกเลี่ยงโรคออฟฟิศซินโดรม

นั่งทำงานที่บ้านให้ปลอดภัย ป้องกันโรคออฟฟิศซินโดรม

โรคออฟฟิศซินโดรม อาการอักเสบของกล้ามเนื้อ และส่วนต่าง ๆ ที่เกิดจากการถูกกดทับเป็นเวลานาน การทำงานที่บ้านน่าจะช่วยให้การเกิดอาการปวดโรคออฟฟิศซินโดรมน้อยลงได้ แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นก็ขึ้นอยู่กับการปฏิบัติตัวที่ถูกต้อง ดังนี้

  • ยืดเส้นยืดสาย เปลี่ยนอิริยาบถอยู่เสมอ การทำงานที่บ้านก็มีข้อดีที่เราจำเป็นต้องประจำอยู่ที่โต๊ะทำงานอยู่เสมอ แค่มีคอมพิวเตอร์แบบแล็ปท็อปก็สามารถย้ายไปนั่งทำงานที่ส่วนอื่น ๆ ของบ้านได้สบาย ๆ เพราะอาการของโรคออฟฟิศซินโดรมมีสาเหตุหนึ่งก็คือ การนั่งทำงานด้วยท่าเดิม ๆ เป็นเวลานาน ทางที่ดีเราควรขยับขึ้นมายืดเส้นยืดสายหรือย้ายที่ทำงานไปที่โซฟา หรือไปนอนทำงานบนเตียงก็ได้
  • ปรับการนั่งให้เหมาะกับสรีระ ซึ่งสำหรับคนที่จำเป็นต้องนั่งที่โต๊ะทำงานไม่สามารถย้ายได้ และบางงานจำเป็นต้องทำต่อเนื่อง ไม่สามารถลุกไปยืดเส้นยืดสายได้บ่อย สิ่งที่พอจะทำได้ก็คือการปรับที่นั่งให้เหมาะกับสรีระ ท่านั่งควรจะไปข้างหลังเล็กน้อยให้หลังมีส่วนช่วยรับน้ำหนัก ไม่ให้น้ำหนักกดทับไปที่ใดที่หนึ่ง ไม่ควรนั่งหลังงอมันจะทำให้หลังรับน้ำหนักมากเกินไป ความสูงของโต๊ะควรจะพอดีกับระดับแขนให้การวางแขนลงบนโต๊ะหรือคอมพิวเตอร์ สามารถวางแขนได้พอดีไม่ห่างกันมากไป ถ้าสูงไปไหล่จะต้องรับน้ำหนัก แต่ถ้าน้อยไปกลับเป็นข้อมือที่รับน้ำหนักเพียงอย่างเดียว ให้หาระยะห่างของความสูงที่สมดุล
  • ใช้หูฟังช่วยในการทำงาน เพราะการทำงานบางชนิดก็จำเป็นจะต้องใช้โทรศัพท์มือถือในการติดต่อพูดคุย การใช้เป็นเวลานานต่อเนื่องก็ทำให้ร่างกายส่วนที่เกี่ยวข้องต้องรับภาะหนัก เช่น ข้อมือ สายตา หรือหูที่ต้องแนบกับโทรศัพท์ ดังนั้นหาหูฟังที่ช่วยให้ไม่ต้องถือโทรศัพท์และเอาโทรศัพท์แนบหู หากรู้สึกว่าจ้องจอโทรศัพท์นานเกินไปก็ต้องหาเวลาพักบ้าง
  • พักสายตาทุก 20 นาที เป็นเวลาที่เหมาะสมในการใช้อวัยวะส่วนหนึ่งส่วนใดทำงานเป็นเวลานาน ๆ การทำงานหน้าจอคอมพิวเตอร์ก็เช่นกัน ทุก ๆ 20 นาที ควรพักสายตาออกจากจอคอมพิวเตอร์ หาที่สบายตามองเพื่อปรับสายตา มองต้นไม้เขียว ๆ หรือหลับตาสักพักก็ได้เพื่อให้ระบบประสาทตาไม่เครียดมากเกินไป
  • ออกกำลังกาย หลังการทำงานในทุกวัน ควรจะออกกำลังกาย เพราะเมื่อเรานั่งทำงานในออฟฟิศ ทุก ๆ วันการเดินทางกลับบ้านก็ยังมีระยะให้เราเดินให้ร่างกายได้ขยับ แต่การทำงานที่บ้าน ระยะห่างระหว่างโต๊ะทำงานกับเตียงนอนอาจจะใกล้เกินไป แนะนำว่าอย่าเพิ่งพุ่งตัวลงที่นอน ควรหาเวลาออกกำลังกาย เช่น ออกไปเดิน ไปวิ่ง หรือถ้าออกจากบ้านไม่ได้ก็บอดี้เวทหรือทำงานบ้านก็เป็นทางเลือกที่ดี

Work From Home ทำงานที่บ้านให้ถูก หลีกเลี่ยงโรคออฟฟิศซินโดรม

โรคออฟฟิศซินโดรม รักษายังไง?

โรคออฟฟิศซินโดรม อาการป่วยที่มีสาเหตุมาจากพฤติกรรมการใช้ชีวิต ดังนั้นความเจ็บป่วยจึงเกิดขึ้นพร้อมกันหลาย ๆ ระบบ ทั้งกล้ามเนื้อ เส้นเอ็น ระบบประสาท ซึ่งจะรักษาทางใดทางหนึ่งไม่ได้ ต้องอาศัยการวิเคราะห์ถึงสาเหตุและรักษาโดยทีมแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ ที่จะวางแผนการรักษาจากหลายวิธีด้วยกัน เพราะการรักษาจำเป็นต้องอาศัยเครื่องมือและเทคโนโลยีที่หลากหลายถึงจะรักษาได้อย่างมีประสิทธิภาพ

  • เครื่องกระตุ้นแม่เหล็กไฟฟ้า ซึ่งเป็นการปล่อยคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้ามากระตุ้นระบบประสาทเพื่อบรรเทาอาการปวด อาการชา และการอักเสบจากการทำงานที่ผิดปกติของปลายประสาท
  • คลื่นกระแทกช็อกเวฟ เป็นการใช้คลื่นกระแทกลงไปบนกล้ามเนื้อที่มีอาการปวดจากโรคออฟฟิศซินโดรม เพื่อช่วยลดอาการปวดและกระตุ้นให้เนื้อเยื่อซ่อมแซมตัวเอง ใช้ในกรณีที่มีอาการปวดเรื้อรังของระบบกล้ามเนื้อ เส้นเอ็นและกระดูก
  • การรักษาด้วยการจัดกระดูกสันหลัง ใช้เตียงจัดกระดูกสันหลังซึ่งปัจจุบันสามารถจัดกระดูกสันหลังได้แบบสามมิติ เพื่อจัดกระดูกสันหลังที่คดงอให้เข้าที่ เหมาะสำหรับคนที่มีปัญหาการปวดหลังจากการทำงานหนักเป็นเวลานานจนแนวกระดูกสันหลังเคลื่อน
  • การรักษาด้วยความเย็นจัด เป็นการใช้ความเย็นประมาณ -110 องศา เพื่อกระตุ้นให้ระบบต่าง ๆ ในร่างกายตอบสนองต่อความเย็น และปรับตัวสู้กับความเจ็บป่วยและความเครียด

Work From Home ทำงานที่บ้านให้ถูก หลีกเลี่ยงโรคออฟฟิศซินโดรม

โรคออฟฟิศซินโดรม อาจจะเป็นโรคที่ไม่ได้ร้ายแรงถึงชีวิตก็จริง แต่มันก็เป็นโรคที่ทำให้เจ็บปวดทรมานทางร่างกายและยังส่งผลต่อสุขภาพจิต แนวทางการรักษาก็เพียงแค่ปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการใช้ชีวิตสักหน่อย ไม่ให้กล้ามเนื้อหรืออวัยวะอื่นใดทำงานในแบบเดิม ๆ ซ้ำ ๆ มากเกินไป ไม่ว่าจะทำงานอยู่ออฟฟิศ ทำงานที่บ้าน หรือที่ใดก็ตาม เราควรปรับการใช้ชีวิตให้มีการเคลื่อนไหวบ่อย ๆ อย่างน้อยทุก 20 นาที รวมไปถึงเรื่องการพักผ่อนจากงานเป็นระยะก็สำคัญด้วยเช่นกัน

และหากพบว่าร่างกายมีอาการปวด ชา ตามปลายประสาท จนน่าสงสัยว่าตัวเองจะเข้าข่ายอาการของ “โรคออฟฟิศซินโดรม” ก็ควรจะเริ่มหันมา ดูแลสุขภาพตัวเอง อย่าปล่อยปละละเลยจนอาการปวดเรื้อรังรักษาไม่หายแก้ไม่ได้ ถ้าหากเปลี่ยนพฤติกรรมแล้วก็ยังไม่หายจริง ๆ ก็ถึงเวลาที่ต้องพบแพทย์ผู้เชี่ยวชาญแล้วแหละ

รู้ใจเป็นห่วงทุกคนที่จะต้องเผชิญทั้งการเปลี่ยนแปลงในสถานการณ์โรคระบาดจนต้องเปลี่ยนแปลงชีวิตปกติ ถึงแม้รอดพ้นจากโรคระบาด ก็ยังต้องเสี่ยงเผชิญกับโรคออฟฟิศซินโดรมอีก และหากคุณคิดว่าตัวเองเป็นหนึ่งคนที่อยู่ในความเสี่ยงของโรคนี้และกังวลเกี่ยวกับค่ารักษาพยาบาลที่ไม่แน่นอน คุณสามารถมองหาประกันสุขภาพที่จะคุ้มครองค่ารักษาพยาบาลได้แบบทั่วถึง รู้ใจกว่า ประหยัดกว่า ต้องที่รู้ใจ ประกันออนไลน์ เช็คราคาประกันออนไลน์ได้ใน 60 วิ ประหยัดสูงสุด 30% ซื้อง่ายใน 3 นาที ดูข้อมูลประกันภัยต่าง ๆ ได้เลย

สามารถติดตามข้อมูลข่าวสารและโปรโมชั่นใหม่ ๆ จากเราได้ทาง FB Fan page: Roojai หรือ คลิก add Official Line ของเราไว้ได้เช่นกัน

คนอยู่บ้านหรือ Work From Home ใครว่าไม่เสี่ยงอุบัติเหตุ

บ้าน คือสถานที่ที่ทุกคนจะรู้สึกปลอดภัยที่สุด ทุกมุมของบ้านผู้เป็นเจ้าของบ้านย่อมรู้สึกคุ้นเคย การอยู่บ้านของเราเองย่อมทำให้รู้สึกผ่อนคลาย แต่บ้านของเราอาจจะปกป้องเราจากภัยภายนอกได้ แต่ภายในบ้านยังมีหลายอย่างให้เราต้องระวัง รู้ใจจะบอกสิ่งที่เรารู้ให้ทุกคนได้หายสงสัยว่าไม่ว่าจะอยู่บ้านเฉย ๆ หรือทำงานที่บ้าน (Work From Home) ก็เสี่ยงอุบัติเหตุได้

สาเหตุการเกิดอุบัติเหตุจากการอยู่บ้าน มีอะไรบ้าง

สถิติการเกิดอุบัติเหตุ สิ่งอันตรายในบ้าน จนบาดเจ็บ พิการหรือเสียชีวิต เชื่อหรือไม่ว่า กว่า 70% เกิดขึ้นในบ้านมากกว่าบนถนนหรือที่อื่น ๆ หลายคนอาจจะไม่เชื่อ ถ้าเป็นผู้ใหญ่วัยทำงานอาจคิดว่า การอยู่บ้าน จะมีอุบัติเหตุได้อย่างไร แต่ถ้าบอกว่าอุบัติเหตุส่วนใหญ่แล้วจะเกิดกับเด็กและคนแก่มากกว่าล่ะ ?

เริ่มเข้าเค้าแล้วใช่มั้ย แต่อย่าคิดว่าถึงจะเป็นคนหนุ่มสาวแล้วจะรอด เพราะอุบัติเหตุที่เกิดขึ้นกับเด็กและคนแก่อยู่บ้านคนเดียว ส่วนใหญ่เป็นเพราะคนเหล่านี้ใช้เวลาอยู่บ้านมากกว่าคนวัยอื่น แต่ตอนนี้เมื่อทุกคนต้องทำงานที่บ้าน (Work from home) ตอนนี้ทุกคนกำลังตกอยู่ในอันตรายจากภัยลึกลับในบ้านเหมือนกันหมด ฉะนั้นกันไว้ดีกว่าแก้ มาทำความรู้จักกับความเสี่ยงอุบัติเหตุในบ้านกันเถอะ

คนอยู่บ้านหรือ Work From Home ใครว่าไม่เสี่ยงอุบัติเหตุ

บันไดพิฆาต

บันไดติดอันดับสถานที่ทำให้บาดเจ็บอันดับต้น ๆ มาตั้งแต่ไหนแต่ไร คนไทยสมัยก่อนอยู่บ้านยกใต้ถุนเพื่อหนีน้ำท่วม บันไดก็สูงเป็นเรื่องปกติ ตกบันไดได้รับบาดเจ็บก็เรื่องปกติเช่นกัน บ้านสมัยใหม่เองก็เช่นกัน บางบ้านบันไดสูง บ้านที่มีดีไซน์ออกแนวลอฟ ก็ไม่มีที่กั้นบันไดกันซะงั้น แล้วจะไม่ให้มีอุบัติเหตุได้ยังไง บันไดปกติก็ดูอันตรายสำหรับเด็กและคนแก่แล้ว วันรุ่นวัยทำงานที่บ้าน (Work from home) ก็มีสิทธิเจ็บตัวเพราะเกิดสะเพร่าวางของไว้เกะกะบันได อุบัติเหตุจึงเกิดขึ้นได้ง่าย ๆ

พื้นบ้านสไลเดอร์

ใครจะคิดว่าพื้นบ้านปกติที่เราเดินอยู่ทุกวัน อาจจะสร้างความลำบากให้เราได้ พื้นบ้านในปัจจุบันไม่ใช่ไม้นิ่ม ๆ อีกต่อไปแล้ว กลับเป็นปูน เป็นกระเบื้องแข็ง ที่ถ้ามีใครล้มลงไปแรง ๆ ล่ะก็ เจ็บหนักแน่ จริงแล้วความแข็งของพื้นบ้านไม่ใช่เรื่องใหญ่ แต่กลับเป็นองค์ประกอบอื่นที่ทำให้เกิด อันตรายที่เกิดขึ้นในบ้านง่าย ๆ

  • ทิ้งของเกะกะ อุปนิสัยของหลายคนนั่นเองที่เป็นอุปสรรคในการใช้ชีวิตของตัวเอง ชีวิตที่ไร้วินัย ไม่สนใจเก็บของเข้าที่ เมื่อเข้าบ้านก็วางกระเป๋าไว้บนพื้น สิ่งนี้เองที่เสี่ยงต่อการเกิดอุบัติเหตุ
  • พื้นลื่น การทำน้ำหกก็เป็นอย่างหนึ่งที่ทำให้เกิดอุบัติเหตุร้ายแรงได้ ดังนั้นเมื่อเห็นน้ำหกที่ไหนต้องรับเช็ดให้แห้งทันที เพราะถ้าปล่อยไว้อาจจะมีเด็กหรือคนแก่มาเหยียบจนลื่นล้มได้
  • พื้นเก่า อาจจะดูไม่มีอะไร แต่พื้นเก่าที่มีรอยแตกเกิดขึ้น ไม่ว่าจะพื้นปูนหรือกระเบื้อง หากพบรอยดังกล่าวต้องรีบซ่อมทันทีไม่อย่างนั้นอาจเกิดบาดแผลขึ้นได้ แต่หากอยากปลอดภัยไว้ก่อน ใส่รองเท้าภายในบ้านจะปลอดภัยกว่า

คนอยู่บ้านหรือ Work From Home ใครว่าไม่เสี่ยงอุบัติเหตุ

ของมีคมบาด

อันตรายจากของมีคม ขึ้นชื่อว่าของมีคมย่อมมากับอันตรายอยู่แล้ว แต่แปลกที่หลายคนไม่ระวังกับมัน อาจจะเพราะไม่ค่อยได้ใช้งาน มีดเป็นอุปกรณ์ที่เรียกเลือดจากเราได้ทุกที ไม่ใช่แค่ในครัวเท่านั้น มีดคัทเตอร์ก็ยิ่งอันตรายถ้าไม่ระวัง หรือถ้าไม่ใช่มีด ของจำพวกเข็มก็เสี่ยงทำให้บาดเจ็บได้ ของมีคมไม่ใช่แค่มีดและเข็มเท่านั้น ในเครื่องปั่นเครื่องบดก็มีใบมีดที่อันตรายเช่นกัน เพราะเป็นของที่ทำให้เกิดอุบัติเหตุร้ายแรง เป็นสิ่งอันตรายในบ้านได้ ดังนั้นเวลาใช้งานก็มีสติให้มาก เมื่อใช้งานเสร็จแล้วก็ต้องมีวินัยในการเก็บมันเข้าที่ไม่ให้ใครบาดเจ็บเพราะมัน

ไฟฟ้าช็อต

อันตรายจากของใช้ในบ้าน อุบัติเหตุจากไฟฟ้าเป็นอุบัติเหตุที่ทำให้เกิดการบาดเจ็บร้ายแรงมากที่สุด และเป็นอุบัติเหตุที่เกิดได้ง่ายที่สุด แค่ไม่ระวังปล่อยให้มือเปียกไปแตะสวิตช์ไฟก็อาจจะทำให้ไฟช็อตได้ ประมาทเพียงนิดเดียวอาจก่อให้เกิดอันตรายได้ ดังนั้นนอกจากความไม่ประมาทแล้วเราสามารถติดตั้งตัวตัดไฟเซฟตี้ ที่จะทำหน้าที่ตัดไฟทุกครั้งที่มีอุบัติเหตุไฟฟ้ารั่ว ทำให้ลดการสูญเสียได้มาก นอกจากนี้เราควรตรวจตราจุดแยก จุดจ่ายไฟฟ้าในบ้านให้ดีว่ามีตรงไหนชำรุดบ้าง เพื่อที่เราจะทำการปรับปรุงซ่อมแซมได้ทันท่วงทีก่อนที่จะมีอุบัติเหตุเกิดขึ้น

สัตว์ประหลาด

อย่าเพิ่งตกใจว่ากำลังอยู่ในหนัง Sci-fi รึเปล่า แต่สัตว์ที่ว่ารวมไปถึงสัตว์เลี้ยงในบ้านและสัตว์ที่มีพิษ อุบัติเหตุเหล่านี้มีทั้งร้ายแรงและไม่ร้ายแรง แต่ถึงอย่างนั้นก็ต้องระวังไว้ให้ดี เพราะถึงแม้จะเป็นน้องตูบหรือเจ้านายของบ่าวอย่างเจ้าเหมียว ถ้ามันได้กัดได้ข่วนจนมีเลือดแล้วล่ะก็ ยังไงก็ต้องไปหาหมอฉีดยากันพิษสุนัขบ้าหรือบาดทะยัก เพราะฉะนั้นจะเล่นกับมันยังไงก็ต้องระวังไว้ด้วย

อีกอย่างที่ต้องพูดถึงคือสัตว์แมลงและสัตว์มีพิษ สัตว์พวกนี้จะชอบเข้ามาหาที่หลบในที่ที่อบอุ่นและมีอาหาร เพราะฉะนั้นควรจะจัดบริเวณรอบบ้านให้ดี ไม่ให้รกหรือมีที่ซ่อนของสัตว์ และอย่าลืมกำจัดเศษอาหารเหลือทิ้งทุกวันไม่ให้ดึงดูดสัตว์ต่าง ๆ เข้ามาในบ้านเรา เพราะพิษของสัตว์พวกนี้ไม่ว่างูหรือตะขาบ หากแพ้ขึ้นมาไปโรงพยาบาลไม่ทันก็อันตรายถึงชีวิตได้เหมือนกัน

คนอยู่บ้านหรือ Work From Home ใครว่าไม่เสี่ยงอุบัติเหตุ

สารเคมีในบ้าน

อันตรายจากสารเคมี ก็น่ากลัว ! เคยมีอุบัติเหตุที่ไม่น่าเชื่ออย่างการเอาน้ำยาล้างห้องน้ำไปใส่ในขวดน้ำดื่ม แล้วมีคนเผลอมากิน หรือมีคนล้างห้องน้ำด้วยไฮเตอร์ผสมน้ำยาล้างห้องน้ำจนเกิดก๊าซไฮโดรคลอไร ทำลายระบบทางเดินหายใจจนเสียชีวิต อุบัติเหตุเหล่านี้เกิดขึ้นได้จากความไม่รู้ ดังนั้นก่อนจะใช้สารเคมีอะไรในบ้าน ศึกษาให้ดีก่อน เพราะสารอันตรายเหล่านี้ทำอันตรายต่อคนในบ้านได้มากทีเดียว

อุบัติเหตุเกี่ยวกับการกิน

การอยู่บ้านสบาย กินได้ทุกอย่างตามที่ต้องการ อาจจะกลายเป็นฝันร้ายเอาก็ได้ถ้าไม่ระวัง การเคี้ยวอาหารแล้วเศษอาหารพลาดไปติดหลอดลมก็เป็นอุบัติเหตุชนิดหนึ่งที่คร่าชีวิตเราได้ง่าย ๆ เพราะฉะนั้นจะกินอะไรก็ต้องระวัง เคี้ยวอย่างมีสติถึงจะเคี้ยวไปดูซีรีส์ไปก็ต้องระลึกไว้เสมอว่าอันตรายอาจจะมาพร้อมกับความอร่อย แต่ถึงอย่างไรอาการเศษอาหารติดหลอดลมก็มีวิธีปฐมพยาบาลได้ง่าย แต่มีข้อแม้คืออย่าอยู่คนเดียว เพราะการปฐมพยาบาลต้องมีคนช่วย

คนอยู่บ้านหรือ Work From Home ใครว่าไม่เสี่ยงอุบัติเหตุ

ไฟไหม้

อุบัติเหตุเกี่ยวกับไฟไหม้ก็เกิดขึ้นได้บ่อย ถึงแม้จะมีคนอยู่เต็มบ้านก็ไม่ได้หมายความว่ามันจะไม่เกิด แต่เพราะการทำงานที่บ้าน (Work from home) นี่แหละอาจทำให้เกิดการใช้ไฟฟ้าเกินพิกัดจนลัดวงจรได้ สาเหตุอื่น ๆ ก็อาจจะมาจากการเผาใบไม้ทำสวน กระแสลมอาจทำให้ไฟลุกลาม หรือเตาแก๊สในบ้านระเบิดก็มีตัวอย่างให้เห็นอยู่เป็นประจำ ดังนั้นไฟไหม้ไม่ใช่เรื่องเล็ก ๆ เป็นอุบัติเหตุร้ายแรงที่พรากทุกอย่างไปจากเราได้แบบหมดสิ้น

อุบัติเหตุจากการซ่อมบ้าน

ช่วงเวลากักตัว Work from home แบบนี้ หลายคนอาจจะตั้งเป้าหมายว่าจะทำการซ่อมบ้านครั้งใหญ่ ซึ่งเป็นเรื่องที่ดีที่เราจะซ่อมแซมแต่ก็อาจจะทำอันตรายให้กับคนในบ้านได้ด้วย แต่ก่อนที่จะซ่อมแซมอะไร จุดอันตรายในบ้าน ต้องตรวจดูอุปกรณ์ให้เรียบร้อย ไม่ว่าจะเป็นสว่าน เลื่อยไฟฟ้า หรือบันไดปีนหลังคา เพราะอุปกรณ์ที่สึกหรอเหล่านี้ก็เป็นสาเหตุของการเจ็บตัวได้ ในต่างประเทศมีหลายคนมากที่ต้องพิการเพราะตกจากหลังคาเวลาขึ้นไปซ่อมบ้านของพวกเขาเอง

คนอยู่บ้านหรือ Work From Home ใครว่าไม่เสี่ยงอุบัติเหตุ

นี่คือเหตุการณ์ที่เป็นไปได้ ที่เป็นความเสี่ยงที่จะเกิดอุบัติเหตุ ซึ่งขึ้นชื่อว่าอุบัติเหตุ มันสามารถเกิดจากอะไรก็ได้ไม่ว่าจะเป็นเรื่องเล็กน้อยแค่ไหนก็ตาม และในเมื่อมันเป็นเรื่องไม่คาดฝัน การเตรียมพร้อมไว้ก่อนน่าจะดีที่สุด รู้มั้ย รู้ใจมีประกันอุบัติเหตุส่วนบุคคล (Personal accident) ไว้คุ้มครองคุณหากเหตุการ์ที่ไม่คาดฝันเกิดขึ้น ไม่ว่าจะเป็นแผล กระดูกหัก สูญเสียอวัยวะ พิการหรือเสียชีวิต เราดูแลด้วยทุนประกันที่สูงและแผนความคุ้มครองที่สามารถเพิ่มหรือปรับแต่งได้ตามไลฟ์สไตล์ของคุณเอง เราหวังว่าในช่วงที่ทุกคนต้องอยู่บ้าน หรือบางคนทำงานที่บ้าน (Work from home) แบบนี้ ทุกคนจะมีแผนเตรียมพร้อมสำหรับเรื่องไม่คาดคิดเสมอ ด้วยความปรารถนาดีจาก รู้ใจ ประกันออนไลน์ รู้ใจกว่า ประหยัดกว่า

สามารถติดตามข้อมูลข่าวสารและโปรโมชั่นใหม่ ๆ จากเราได้ทาง FB Fan page: Roojai หรือ คลิก add Official Line ของเราไว้ได้เช่นกัน

Vehicle-Registration-Book-Lost-Not-Worry

ทำความรู้จักกับเล่มทะเบียนรถ ถ้าเล่มทะเบียนรถหาย ต้องทำอย่างไร?

หนึ่งในเอกสารสำคัญที่เกี่ยวข้องกับรถยนต์นั่นคือ “เล่มทะเบียนรถ” นั่นเอง ซึ่งเหมือนกับบัตรประชาชนนั่นล่ะ รถทุกคันจะต้องมีเล่มทะเบียน แต่ถ้าเกิดเล่มทะเบียนรถหายไปก็อย่าเพิ่งเครียดกันไปใหญ่ ให้ตั้งสติดีๆ ปัญหามีไว้แก้ไข และเรื่องแบบนี้ เรามีข้อแนะนำง่าย ๆ มาบอกกัน

ทำความรู้จักกับเล่มทะเบียนรถ

เล่มทะเบียนรถ (เล่มสีน้ำเงิน) คือ สมุดที่จดบันทึกรายละเอียดต่างๆ เกี่ยวกับรถยนต์คันนั้นๆ เอาไว้ และสามารถใช้แทนทะเบียนรถได้หากป้ายทะเบียนรถหาย ทะเบียนชำรุด แล้วถูกเจ้าหน้าที่ตำรวจจราจรเรียกตรวจ

คุณสามารถยื่นเล่มทะเบียนให้คุณตำรวจดูพร้อมชี้แจงตามความจริงได้ ซึ่งบางคนอาจจะกลัวเล่มทะเบียนตัวจริงหายจึงเก็บไว้ที่บ้าน กรณีนี้ คุณสามารถทำเป็นสำเนายื่นแจ้งกับเจ้าหน้าที่ตำรวจได้เช่นกัน

แต่ในความเป็นจริงควรจะมีเล่มทะเบียนรถตัวจริงเก็บเอาไว้ที่รถเป็นประจำ เพราะของจริงยังไงก็ดีกว่าสำเนาอยู่แล้ว ยกเว้นใครที่ยังผ่อนรถอยู่แล้วเล่มทะเบียนตัวจริงอยู่ที่ไฟแนนซ์ สามารถนำสำเนาและเอกสารการผ่อนชำระกับไฟแนนซ์ยื่นแทนได้

โดยในเล่มทะเบียนรถจะระบุรายละเอียดต่างๆ โดยเฉพาะรายละเอียดสำคัญอย่าง เลขทะเบียน รถ เลขตัวถังรถยนต์ ประวัติการครอบครองรถยนต์ ซึ่งจะระบุชื่อเจ้าของรถเอาไว้เพื่อป้องกันการขโมยแล้วนำไปขายต่อ

ตรงนี้ใครที่ซื้อรถมือสองต้องดูให้ละเอียดว่าชื่อเจ้าของรถในเล่มทะเบียนกับชื่อผู้ขายเป็นชื่อเดียวกันหรือไม่ ถ้าไม่ใช่ต้องตรวจสอบให้ดีว่ามีความเกี่ยวข้องกันอย่างไร แต่ถ้ามีความผิดปกติให้บอกผ่านไปเลย รวมทั้งในเล่มทะเบียนยังระบุบันทึกการโอนรถ
ปรับเปลี่ยน ยกเลิก ประวัติการเสียภาษีเอาไว้ทั้งหมด และที่ต้องสังเกตให้ดีคือ เล่มทะเบียนต้องอยู่ในสภาพปกติ หากมีการบันทึกรายละเอียดต่าง ๆ ในเล่มมาก่อนแล้ว เล่มต้องไม่ดูใหม่เกินไป หรือบางทีเล่มอาจจะมีการตีตรายกเลิกเล่มไปแล้ว และนำมาย้อมแมวอีกรอบ ต้องดูให้ดีๆ นะ

ถ้าเล่มทะเบียนรถหาย ต้องทำอย่างไร?

อย่างแรกอย่าเพิ่งเครียดเกินไป ขั้นตอนอาจจะดูเยอะนิดนึง แต่ไม่ยากหรอกนะ เพราะตอนนี้ทางกรมการขนส่งทางบก ทำงานได้รวดเร็วมากขึ้นและให้ประชาชนผู้ติดต่อใช้เวลาในการใช้บริการน้อยที่สุด แต่ควรไปติดต่อตั้งแต่เช้า เพราะผู้ใช้บริการแต่ละวันเยอะมาก
กลัวว่าจะทั้งเครียดทั้งหงุดหงิดไปก่อน ส่วนขั้นตอนการแจ้งเล่มทะเบียนรถหาย หรือ เล่มทะเบียนรถหาย ยังไม่ได้โอน ให้ปฏิบัติตามนี้

1. เมื่อรู้ตัวว่าเล่มทะเบียนรถหาย ต้องรีบไปแจ้งความ “แจ้งเล่มทะเบียนรถหาย” ที่สถานีตำรวจ ซึ่งเจ้าหน้าที่ตำรวจจะออกใบแจ้งความมาให้ เพื่อนำไปยื่นเรื่องกับกรมการขนส่งทางบก เพื่อทำเรื่องขอสมุดเล่มทะเบียนใหม่

แต่หากคุณลูกค้าที่เป็นเจ้าของรถไม่สามารถไปแจ้งความได้ด้วยตัวเอง สามารถเตรียมเอกสารสำคัญ คือ หนังสือมอบอำนาจสำหรับแจ้งความแทนและบัตรประชาชนตัวจริง ย้ำว่าตัวจริง รวมทั้งสำเนาบัตรประชาชนของเจ้าของรถไปยื่นร่วมด้วย และผู้รับมอบอำนาจต้องเตรียมเอกสารสำเนาบัตรประชาชน สำเนาทะเบียนบ้านของผู้รับมอบอำนาจ ติดอากรแสตมป์จำนวน 10 บาท ไปด้วย

2. นำใบแจ้งความไปยื่นเรื่องที่กรมการขนส่งทางบก

ซึ่งต้องยื่นไปที่กรมการขนส่งทางบกในจังหวัดที่ออกเล่มทะเบียนรถให้ เช่น ถ้ารถจดทะเบียนในจังหวัดนนทบุรี ให้ไปยื่นที่กรมการขนส่งทางบก จ.นนทบุรี ถ.ติวานนท์ หรือหากจดทะเบียนที่กรุงเทพฯ ให้ไปยื่นเรื่องที่กรมการขนส่งทางบก
จตุจักร นั่นเอง

3. ให้ตรงไปที่แผนกทะเบียน

หากไม่ทราบให้ติดต่อที่เจ้าหน้าที่ประชาสัมพันธ์ที่จะอำนวยความสะดวกได้อย่างรวดเร็ว ตอนนี้การติดต่อสอบถามง่ายขึ้น มีการกดคิวให้ติดต่อตามแผนกอีกด้วย

4. ยื่นเอกสารให้เจ้าหน้าที่ตรวจสอบ แล้วคุณจะได้รับแบบฟอร์มคำขอเล่มทะเบียนใหม่ รวมทั้งบันทึกถ้อยคำ กรณีแจ้งเอกสารหรือใบอนุญาตขับรถสูญหาย และเมื่อกรอกแบบฟอร์มเรียบร้อย เจ้าหน้าที่จะตรวจสอบเอกสารอีกครั้งและให้บัตรคิว (ถ้ากรอกไม่ถูก ไม่ต้องกังวล เพราะที่ขนส่งมีตัวอย่างการกรอกเอาไว้ทั้งหมดแล้ว)

5. รอสักครู่..เมื่อประกาศเรียกบัตรคิวที่ถืออยู่ นั่นคือ คุณกำลังจะได้รับเล่มทะเบียนรถเล่มใหม่เป็นที่เรียบร้อยแล้วนั่นเอง และในเล่มที่ได้รับมาใหม่ จะมีตราประทับระบุเอาไว้ว่า “ออกแทนเล่มที่สูญหาย” เอาไว้ด้วย ซึ่งเมื่อก่อนต้องรอ 1-2 วัน แต่ปัจจุบันรอรับได้เลย

6. จ่ายค่าธรรมเนียมการออกเอกสารเล่มทะเบียนรถเพียง 55 บาท เท่านั้น

เพียงเท่านี้ คุณก็จะได้รับเล่มทะเบียนรถใหม่มาง่ายๆ เพียงแต่ว่าอาจจะต้องไปติดต่อที่กรมการขนส่งทางบกตั้งแต่เช้าๆ เพราะตอนนี้หลายแห่งมีประชาชนเข้าใช้บริการเป็นจำนวนมาก แต่ที่แน่ๆ เมื่อได้รับเล่มทะเบียนรถเล่มใหม่มาแล้ว ควรเก็บเอาไว้ให้ดี หาซองใส่ที่สะดุดตา และควรเก็บติดเอาไว้ในรถ รวมทั้งทำสำเนาเอกสารอีกชุดหนึ่งไว้ด้วย จะได้ไม่ต้องมาแจ้งความแล้วไปติดต่อทำเล่มใหม่อีกครั้ง

เพราะถ้าไม่มีเล่มทะเบียน ก็ไม่สามารถต่อทะเบียนรถเสียภาษีประจำปี และพ.ร.บ. ประกันภัยได้ แต่ถ้าคุณถึงเวลาที่ต้องต่อทะเบียนรถเสียภาษีประจำปี แล้วต้องซื้อประกันรถยนต์ เราแนะนำ Roojai.com ประกันรถยนต์และบิ๊กไบค์ออนไลน์รูปแบบใหม่ ราคาดีที่สุดสำหรับผู้ขับขี่ปลอดภัย รับประกันภัยโดยบริษัทกรุงไทยพานิชย์สำหรับรถยนต์ และแอลเอ็มจีสำหรับรถจักรยานยนต์ สามารถเช็คราคา ซื้อประกันรถผ่านเว็บไซต์ ปรับเปลี่ยนรูปแบบความคุ้มครองเองได้ จะแจ้งเคลมผ่านแอปแบบเรียลไทม์ หรือตรวจสภาพรถผ่านวิดีโอคอลก็ได้อีกด้วย แถมยังผ่อนสบายผ่านบัตรเครดิตได้ 10 งวด

มีแค่บัตรเดบิตก็ผ่อนได้ และที่ Roojai.com ซื้อประกันรถยนต์ออนไลน์ ประหยัดกว่าประกันอื่นทั่วไป แถมบริการโดนใจ ลองพิสูจน์ได้จากคะแนนรีวิวความพึงพอใจจากลูกค้าจริงที่หน้าเว็บไซต์