DFSK เทพนคร เปิดตัว DFSK Glory i-Auto ใหม่

สำหรับชื่อชั้นของ DFSK (ดีเอฟเอสเค) หรือ “Dongfeng” (ตงฟง) รถยนต์ชื่อดังจากจีนแดง หลายคนอาจจะคุ้นเคยกันอยู่บ้านในช่วงเมื่อ 10 กว่าปีก่อน ที่มีการทำตลาดรถ “ฟู้ดทรัค” ในบ้านเรา ซึ่งก็ได้การตอบรับเป็นอย่างดี แต่ภายหลังก็ยุติการจำหน่ายรถไป เหลือแต่เพียงบริการหลังการขายอย่างเดียว

DFSK Glory i-Auto

ล่าสุด DFSK Thepnakorn ซึ่งเป็นดีลเลอร์รถยนต์ DFSK ใน จ.นครราชสีมา ได้แจ้งว่าจะสั่งนำเข้า DFSK Glory i-Auto (ดีเอฟเอสเค กลอรี่ ไอ-ออโต้) ใหม่ เป็นรถ Crossover SUV สัญชาติจีนแบบ 7 ที่นั่ง ซึ่งในตลาดจีนเองใช้ชื่อว่า Dongfeng Fengguang 580 (ตงฟง เฟิงกวง 580) เปิดตัวไปตั้งแต่ช่วงปี 2016 ก่อนจะส่งรุ่นที่หรูกว่าอย่าง 580 Pro ตามออกมาในปี 2019

DFSK Glory i-Auto

ส่วนรุ่นที่ขายในไทยนั้น คาดว่าเป็นแบบเดียวกับในอินโดนีเซีย ในชื่อ DFSK Glory i-Auto ที่เปิดตัวไปเมื่อเดือนกรกฎาคม 2020

มิติตัวรถยาว 4,680 มม. (ตัวรถยาวกว่า MG HS ที่ 4,574 มม. และ Haval H6 ที่ 4,653 มม.) กว้าง 1,845 มม. สูง 1,715 มม. และระยะฐานล้อ 2,780 มม.

DFSK Glory i-Auto

ตัวถังภายนอกโดดเด่นด้วยกระจังหน้าแบบ Infinite Starlight Design ชุดไฟหน้าแบบ Full LED พร้อมไฟส่องสว่างเวลากลางวัน ส่วนไฟท้ายแบบ Full LED พร้อมไฟเลี้ยวแบบ Sequential, หลังคาแบบ Panoramic Sunroof ที่สั่งการเปิดได้ด้วยเสียง, ประตูบานท้ายแบบไฟฟ้า พร้อมเซ็นเซอร์เท้า, กล้อง 360 องศารอบคันรถ และล้อแม็กแบบสปอร์ตขนาด 18 นิ้ว เป็นต้น

DFSK Glory i-Auto

ส่วนภายในห้องโดยสาร ตกแต่งหรูหราพร้อมลายไม้ มาพร้อมด้วยหน้าจอ Infotainment แบบสัมผัสขนาด 9 นิ้ว พร้อมปุ่มสั่งงานบริเวณแผงคอนโซล, ระบบสั่งการด้วยเสียง i-Talk, เบาะหนังแท้ 7 ที่นั่ง พร้อมปรับไฟฟ้าด้านคนขับ 6 ทิศทาง ด้านผู้โดยสาร 4 ทิศทาง, ปุ่มปรับเครื่องเสียงที่พวงมาลัย, เบรกมือไฟฟ้า, แอร์อัตโนมัติพร้อมแอร์ด้านหลัง, กล้องบันทึกภาพขณะรถวิ่ง และระบบความปลอดภัยมากมาย เป็นต้น

DFSK Glory i-Auto

ด้านขุมพลังมีขนาด 1.5 ลิตร ที่เสริมความแรงไว้ด้วย Turbo ให้แรงม้าสูงสุด 150 แรงม้า ที่ 5,600 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 220 นิวตัน-เมตร ที่ 1,800 – 4,000 รอบ/นาที ส่งกำลังผ่านเกียร์อัตโนมัติแบบ CVT บนน้ำหนักตัวรถ 1,510 กิโลกรัม

DFSK Glory i-Auto

DFSK Glory i-Auto ราคารถอยู่ที่ 899,000 บาท นำเข้ามาถึงไทยในเดือนสิงหาคม 2564 นี้ครับ

สำหรับใครที่อยากขายรถคันเดิมตอนนี้ หรือกำลังตัดสินใจจะซื้อรถป้ายแดงอยู่พอดี แต่งบไม่พอ! มาขายรถกับ CARRO Express สิ! Inbox มาขอรายละเอียดได้ที่ Facebook -> CARRO Thailand และ Add Line สอบถามรายละเอียดได้เช่นกัน ที่ @carrothai

อีกหนึ่งบริการใหม่! CARRO Automall แหล่งรวมรถมือสองคุณภาพเยี่ยม ผ่านการตรวจสภาพแบบ Double Check รับประกันพร้อมโอนทุกคัน ฟรี! ค่าจัดโอน มีให้เลือกชมเพียบ เปิดบริการทุกวัน อยากซื้อรถคุณภาพเยี่ยม มาซื้อกับ CARRO Automall สิ!

หรือสนใจรถรุ่นไหนอยู่ แต่ยังหาที่ถูกใจไม่ได้ เรายินดีหาให้! เพียงแค่กรอกเบอร์โทรศัพท์ ชื่อยี่ห้อ / รุ่นรถ ที่คุณต้องการก็ได้เช่นกันครับ อีกทั้งยังสามารถ Inbox เข้ามาสอบถามรายละเอียดได้ที่ Facebook -> CARRO Automall – รถบ้านมือสอง โทร. 02-508-8690 หรือทาง Line @carroautomall

Honda เปิดตัว Honda Civic Hatchback 2022 ใหม่

แม้ว่าในช่วงเวลาที่ผ่านมา หลายท่านอาจได้เห็นข่าวคราวการเปิดตัวของ Honda Civic (ฮอนด้า ซีวิค) ในเจเนอเรชั่นที่ 11 กันไปแล้ว โดยในรุ่น 4 ประตู Sedan ได้เปิดตัวกันในสหรัฐอเมริกาตั้งแต่ช่วงปลายเดือนเมษายน 2021 ที่ผ่านมา ซึ่งมาพร้อมความคล้ายกับ Accord ย่อส่วนมา ทั้งในด้านการออกแบบและหน้าตา โดยมาพร้อมเครื่องยนต์เบนซินขนาด 2.0 ลิตร 158 แรงม้า และ Turbo ขนาด 1.5 ลิตร 180 แรงม้า

สำหรับในบ้านเรา ในเดือนหน้านี้เตรียมเก็บตังค์รอซื้อ All-New Honda Civic Sedan กันได้เลย เพราะเริ่มมีจดหมายเชิญสื่อ ให้ไปทดลองขับกันแล้วครับ!

แม้ว่าตลาดรถยนต์ในญี่ปุ่น (และในบ้านเรา) ขณะนี้ ผู้เล่นหลายราย จะเปลี่ยนกลุ่มเป้าหมายไปโฟกัสการพัฒนารถ SUV และ Crossover ออกมาขายกันอย่างมากแล้ว เนื่องจากสามารถใช้งานได้อเนกประสงค์ รวมไปถึงสามารถลุยน้ำท่วมเบาๆ ได้อีกด้วย แต่ตลาดรถ 4 ประตูซีดาน ก็ยังคงต้องมีผลิตขายต่อไป แม้ว่าความนิยมอาจลดลงไปบ้างในหลายประเทศก็ตาม

Honda Civic Hatchback 2022 JDM

สำหรับ All-New Honda Civic (เนื่องจากที่ญี่ปุ่น ไม่มีการนำรุ่น 4 ประตู Sedan มาจำหน่าย ในตลาดญี่ปุ่นจึงเรียกว่า Honda Civic ไม่มีพ่วงคำว่า Hatchback ต่อท้าย) เวอร์ชั่นพวงมาลัยขวา ก็เป็นที่ค่อนข้างเซอร์ไพรส์นิดหน่อย เพราะเปิดตัวอย่างเป็นทางการที่ญี่ปุ่นเร็วมาก ตามหลังตลาดอเมริกาเหนือเพียงแค่ไม่กี่วัน โดยมีรูปลักษณ์ภายนอกใกล้เคียงกับเวอร์ชั่นอเมริกาเหนือ

Honda Civic Hatchback 2022 JDM

รูปลักษณ์ภายนอก ออกแบบเสาเอด้านหน้าให้ลาดไปมากกว่าเดิมถึงเกือบ 2 นิ้ว ช่วยให้ฝากระโปรงหน้าดูยาวขึ้นแบบรถหรู ใช้ชุดไฟหน้า-ไฟท้าย แบบ LED ทรงแนวนอน ดูหรูหรา และมีไฟ Daytime Running Light คู่หน้า แถมกระจังหน้าทรงรังผึ้ง ช่องดักลมบริเวณกันชนขนาดใหญ่ ดูสปอร์ต บวกกับติดตั้งกระจกมองข้างไว้ที่ประตู ช่วยเพิ่มมุมมองด้านข้างมากขึ้น และล้ออัลลอยขนาด 18 นิ้ว

Honda Civic Hatchback 2022 JDM

ห้องโดยสารภายในของ Honda Civic Hatchback เวอร์ชั่นญี่ปุ่น ออกแบบให้ดูคลีน เรียบง่าย แต่ใช้งานได้สะดวกสบาย กับแผงคอนโซลหน้าที่ลดเส้นสาย ลดแสงสะท้อนเวลาขับ และยังช่วยให้ผู้โดยสารนั่งได้สบายที่สุด กับการออกแบบเบาะนั่งในแนวคิด Body Stabilizing Seat โอบกระชับสรีระ นั่งสบายยิ่งขึ้น ซึ่งยังเป็นแบบเบาะไฟฟ้าด้านคนขับแบบ 8 ทิศทาง และเบาะนั่งผู้โดยสารด้านหน้าแบบ 4 ทิศทาง

Honda Civic Hatchback 2022 JDM

เย็นสบายกับระบบแอร์อัตโนมัติ แบบแยกอุณหภูมิซ้าย-ขวา พร้อมเทคโนโลยี Plasmacluster จากชุดช่องแอร์ลายรังผึ้ง รวมไปถึงระบบเชื่อมต่อ Honda CONNECT ที่สามารถใช้สมาร์ทโฟนแทนกุญแจรถได้ รวมถึงสั่งงานต่างๆ เช่น เปิด-ปิดแอร์, เช็คสถานะและตำแหน่งของรถ รวมถึงระบบ Wi-Fi ในรถ และที่ชาร์จไฟแบบ Wireless Charger

ที่สำคัญ ยังมาพร้อมชุดมาตรวัดแบบ แบบจอ LCD ขนาด 10.2 นิ้ว ส่วนรุ่นรองเป็นหน้าจอขนาด 7 นิ้ว ทำงานคู่กับมาตรวัดความเร็วแบบอนาล็อก ขณะที่หน้าจออินโฟเทนเมนท์แบบสัมผัสมีให้เลือกทั้งขนาด 9 นิ้ว และขนาด 7 นิ้ว (ขึ้นอยู่กับรุ่นย่อย) พร้อมฟังก์ชั่นเชื่อมต่อ Apple CarPlay (แบบ Wireless ในรุ่น 9 นิ้ว) และ Android Auto พร้อมระบบเสียง Bose Sound System ที่มากถึง 12 ลำโพง (เฉพาะรุ่น EX)

Honda Civic Hatchback 2022 JDM

สำหรับเวอร์ชั่นญี่ปุ่นมีให้เลือกทั้งหมด 2 รุ่นย่อย ได้แก่ LX และ EX โดยมีเฉพาะเครื่องยนต์เบนซินขนาด 1.5 ลิตร Turbo มาให้เลือกเท่านั้น ซึ่งต่างจากเวอร์ชั่นอเมริกาเหนือ ที่มีเครื่องยนต์เบนซิน i-VTEC ขนาด 2.0 ลิตร ใหเลือกด้วย

Honda Civic Hatchback 2022 JDM

ส่วนระบบส่งกำลัง มีให้เลือกทั้งเกียร์ธรรมดา 6 สปีด ในรุ่น EX และเกียร์อัตโนมัติแบบ CVT พร้อมกับ “Drive Mode Switch” สามารถเลือกโหมดการขับขี่ตามต้องการได้ถึง 3 แบบด้วยกัน ในรุ่น LX

Honda Civic Hatchback 2022 JDM

ในส่วนของราคาขาย Honda Civic Hatchback เวอร์ชั่นญี่ปุ่น ตอนนี้ยังไม่มี ทาง Honda จะเปิดราคาจำหน่ายอีกครั้งในเดือนสิงหาคม 2021 นี้

สำหรับใครที่อยากขายรถคันเดิมตอนนี้ หรือกำลังตัดสินใจจะซื้อรถป้ายแดงอยู่พอดี แต่งบไม่พอ! มาขายรถกับ CARRO Express สิ! Inbox มาขอรายละเอียดได้ที่ Facebook -> CARRO Thailand และ Add Line สอบถามรายละเอียดได้เช่นกัน ที่ @carrothai

อีกหนึ่งบริการใหม่! CARRO Automall แหล่งรวมรถมือสองคุณภาพเยี่ยม ผ่านการตรวจสภาพแบบ Double Check รับประกันพร้อมโอนทุกคัน ฟรี! ค่าจัดโอน มีให้เลือกชมเพียบ เปิดบริการทุกวัน อยากซื้อรถคุณภาพเยี่ยม มาซื้อกับ CARRO Automall สิ!

หรือสนใจรถรุ่นไหนอยู่ แต่ยังหาที่ถูกใจไม่ได้ เรายินดีหาให้! เพียงแค่กรอกเบอร์โทรศัพท์ ชื่อยี่ห้อ / รุ่นรถ ที่คุณต้องการก็ได้เช่นกันครับ อีกทั้งยังสามารถ Inbox เข้ามาสอบถามรายละเอียดได้ที่ Facebook -> CARRO Automall – รถบ้านมือสอง โทร. 02-508-8690 หรือทาง Line @carroautomall

Honda เปิดตัว Honda City Hatchback e:HEV ครั้งแรกในโลก

ฮอนด้า ออโตโมบิล (ประเทศไทย) เปิดตัว Honda City Hatchback e:HEV (ฮอนด้า ซิตี้ แฮทช์แบ็ก อี:เอชอีวี) ใหม่ ครั้งแรกในโลก ยนตรกรรมซิตี้คาร์แฮทช์แบ็กฟูลไฮบริด ที่จะมาเสริมความแข็งแกร่งของ Line-Up Hybrid ของฮอนด้าไปอีกขั้น และเติมเต็มความสมบูรณ์แบบของ The City Series (เดอะ ซิตี้ ซีรีส์)

Honda เปิดตัว Honda City Hatchback e:HEV ครั้งแรกในโลก

มาพร้อมจุดเด่นเทคโนโลยี Full Hybrid อันทรงพลัง กับระบบขับเคลื่อน Sport Hybrid i-MMD มั่นใจในทุกการขับขี่ด้วยเทคโนโลยีความปลอดภัยอัจฉริยะ “Honda SENSING” (ฮอนด้า เซนส์ซิ่ง) พร้อมด้วยเอกลักษณ์ความอเนกประสงค์กับเบาะนั่ง อัลตราซีท (ULTR) ครบครันด้วยเทคโนโลยีเพื่อความปลอดภัยและฟังก์ชันการใช้งานระดับพรีเมียม ดีไซน์สปอร์ตทั้งภายนอกและภายใน ด้วยดีไซน์สไตล์ RS รอบคัน เสริมเอกลักษณ์ยนตรกรรมไฮบริดด้วยโลโก้ H Mark ตกแต่งกรอบสีฟ้า และโลโก้ e:HEV

พร้อมแนะนำสีใหม่สุดเอกซ์คลูซีฟ กับ สีน้ำเงินบริลเลียนท์ สปอร์ตตี้ (เมทัลลิก) เสริมความมั่นใจในการใช้งานด้วยการรับประกันอายุการใช้งานแบตเตอรี่ไฮบริดถึง 10 ปี และรับประกันระบบไฮบริดทั้งระบบ 5 ปี ไม่จำกัดระยะทาง* อีกทั้งฟรีค่าแรงในการเช็กระยะเป็นเวลา 5 ปี หรือ 100,000 กิโลเมตร* (อย่างใดอย่างหนึ่งถึงก่อน) ด้วยราคาจำหน่ายรุ่น e:HEV RS 849,000 บาท

All-New-Honda-City-Hatchback-2021

เมื่อปลายปี 2563 ฮอนด้า ได้เปิดตัว Honda City Hatchback 2020 ใหม่ และได้รับการตอบรับที่ดีเยี่ยมจากลูกค้า โดยมีจุดเด่นคือการผสานการขับขี่ที่สนุกสนานและความอเนกประสงค์ สไตล์แฮทช์แบ็กไว้อย่างลงตัว

Honda เปิดตัว Honda City Hatchback e:HEV ครั้งแรกในโลก

มูฟอย่างมีสไตล์ สะกดทุกสายตาด้วยดีไซน์ภายนอกแบบสปอร์ตไฮบริดรอบคัน ด้วยโลโก้ H Mark ตกแต่งกรอบสีฟ้าและสัญลักษณ์ e:HEV ที่ด้านท้าย สปอร์ตยิ่งขึ้นกับดีไซน์สไตล์ RS รอบคัน ด้วยกระจังหน้าแบบ Gloss Black และสัญลักษณ์ RS กันชนหน้าและหลังสไตล์สปอร์ต ไฟหน้าพร้อมไฟ Daytime Running Light แบบ LED ไฟท้ายแบบ LED และ ไฟตัดหมอกแบบ LED กระจกมองข้างสีดำแบบสปอร์ต ปรับและพับไฟฟ้าพร้อมไฟเลี้ยวในตัว และล้ออัลลอยขนาด 16 นิ้ว ดีไซน์สปอร์ต

Honda เปิดตัว Honda City Hatchback e:HEV ครั้งแรกในโลก

ภายในห้องโดยสารกว้างขวาง ผสานฟังก์ชันการใช้งานและเอกลักษณ์ความอเนกประสงค์ไว้อย่างลงตัว โดดเด่นด้วยเบาะหนังกลับดีไซน์ใหม่ตกแต่งแถบสีแดง รองรับการใช้งานในทุก Movement ด้วยเบาะนั่ง อัลตรา ซีท (ULTR) ที่สามารถแยกพับแบบ 60:40 และปรับเปลี่ยนเพื่อเพิ่มพื้นที่ใช้สอยอเนกประสงค์ได้ถึง 4 โหมด พร้อมด้วยห้องสัมภาระท้ายขนาดใหญ่ ได้แก่

  • Utility Mode: เบาะด้านหลังทั้ง 2 ด้านปรับพับเรียบ เพิ่มพื้นที่เก็บของด้านหลัง
  • Long Mode: เบาะด้านหน้าและด้านหลังปรับพับ เพิ่มพื้นที่เก็บของในแนวยาว
  • Tall Mode: เบาะด้านหลังพับขึ้น เพิ่มพื้นที่เก็บของในแนวสูง
  • Refresh Mode: เบาะด้านหน้าพับเชื่อมต่อกับเบาะด้านหลัง สร้างพื้นที่ผ่อนคลายสะดวกสบายสูงสุด

Honda เปิดตัว Honda City Hatchback e:HEV ครั้งแรกในโลก

พร้อมด้วยฟังก์ชันการใช้งานระดับพรีเมียม อาทิ ระบบปรับอากาศอัตโนมัติ และช่องปรับอากาศตอนหลัง พร้อมช่องจ่ายไฟสำรอง 2 ตำแหน่ง มาตรวัดพร้อมหน้าจอแสดงข้อมูลการขับขี่แบบ TFT ขนาด 7 นิ้ว ระบบเครื่องเสียงวิทยุหน้าจอสัมผัสขนาด 8 นิ้ว แบบ Advanced Touch รองรับการเชื่อมต่อ Apple CarPlay พร้อม Google Maps พร้อมระบบสั่งการด้วยเสียง SIRI และระบบสตาร์ตเครื่องยนต์พร้อมเครื่องปรับอากาศด้วยกุญแจรีโมท (Remote Engine Start) พนักเท้าแขนด้านหลังพร้อมที่วางแก้ว เป็นต้น

Honda เปิดตัว Honda City Hatchback e:HEV ครั้งแรกในโลก

มาในครั้งนี้ ได้นำเทคโนโลยีด้านการขับเคลื่อนอันทรงพลังและล้ำสมัย กับระบบฟูลไฮบริด และเทคโนโลยีความปลอดภัยระดับพรีเมียม ฮอนด้า เซนส์ซิ่ง ผนวกกับเอกลักษณ์ความเป็นยนตรกรรมสไตล์แฮทช์แบ็ก

พร้อมมูฟไปกับพลังเทคโนโลยีการขับเคลื่อนอันล้ำสมัย กับระบบขับเคลื่อน Sport Hybrid Intelligent Multi-Mode Drive (i-MMD) ระบบ Full Hybrid ที่ผสานการทำงานอันทรงพลังของมอเตอร์ไฟฟ้า 2 ตัว ได้แก่ มอเตอร์ที่ทำหน้าที่สร้างกระแสไฟฟ้า และ มอเตอร์ที่ทำหน้าที่ขับเคลื่อนล้อ กับเครื่องยนต์ขนาด 1.5 ลิตร Atkinson Cycle DOHC i-VTEC 4 สูบ 16 วาล์ว พร้อมด้วยระบบเกียร์อัตโนมัติอัตราทดแปรผันต่อเนื่องไฟฟ้า (E-CVT) และแบตเตอรี่ลิเธียม-ไอออน

มอบสมรรถนะการขับขี่ที่สนุก แรงเกินคลาส โดยระบบสามารถปรับเปลี่ยนโหมดการขับขี่ได้อย่างชาญฉลาดเพื่อตอบรับกับทุกการใช้งาน ตอบสนองทันใจด้วยแรงบิดสูงสุด 253 นิวตัน-เมตร ที่ 0 – 3,000 รอบ/นาที ให้อัตราการประหยัดน้ำมันดีเยี่ยมถึง 27 กม./ลิตร และสามารถรองรับน้ำมัน E20

Honda เปิดตัว Honda City Hatchback e:HEV ครั้งแรกในโลก

มูฟได้อย่างมั่นใจด้วยเทคโนโลยีความปลอดภัยอัจฉริยะ ฮอนด้า เซนส์ซิ่ง (Honda SENSING) ได้แก่

  • ระบบเตือนการชนพร้อมระบบช่วยเบรก (Collision Mitigation Braking System: CMBS)
  • ระบบควบคุมความเร็วอัตโนมัติแบบแปรผัน (Adaptive Cruise Control: ACC)
  • ระบบเตือนและช่วยควบคุมเมื่อรถออกนอกช่องทางเดินรถ (Road Departure Mitigation System with Lane Departure Warning: RDM with LDW)
  • ระบบช่วยควบคุมรถให้อยู่ในช่องทางเดินรถ (Lane Keeping Assist System: LKAS)
  • ระบบปรับไฟสูงอัตโนมัติ (Auto High-Beam: AHB)

Honda เปิดตัว Honda City Hatchback e:HEV ครั้งแรกในโลก

ครบครันด้วยเทคโนโลยีเพื่อความปลอดภัยระดับพรีเมียม อาทิ ระบบแสดงภาพมุมอับสายตาขณะเปลี่ยนเลน (Honda LaneWatch) ระบบเบรกมือไฟฟ้า (Electric Parking Brake) และ ระบบ Auto Brake Hold ระบบล็อกรถอัตโนมัติเมื่อกุญแจรีโมทอยู่ห่างจากตัวรถ (Walk Away Auto Lock) กล้องส่องภาพด้านหลังปรับมุมมอง 3 ระดับ (Multi-Angle Rearview Camera) เทคโนโลยีเชื่อมต่อเพื่อการสื่อสารระหว่างผู้ขับขี่และรถยนต์ ฮอนด้า คอนเนค (Honda CONNECT)

Honda เปิดตัว Honda City Hatchback e:HEV ครั้งแรกในโลก

มูฟไปทุกที่อย่างไร้กังวล ให้ลูกค้าได้สัมผัสกับเทคโนโลยีระดับพรีเมียมในค่าบำรุงรักษาสไตล์ซิตี้คาร์ ด้วยการรับประกันอายุการใช้งานแบตเตอรี่ไฮบริดถึง 10 ปี และรับประกันระบบไฮบริดทั้งระบบ 5 ปี ไม่จำกัดระยะทาง* พร้อมด้วยโปรแกรมการให้บริการพิเศษด้านคุณภาพรถยนต์ ฮอนด้า อัลติเมท แคร์* (Honda Ultimate Care) ด้วยการขยายการรับประกันคุณภาพรถยนต์ใหม่โดยเพิ่มระยะเวลาอีก 2 ปี หรือระยะทาง 40,000 กิโลเมตร ต่อจากระยะเวลาหรือระยะทางการรับประกันคุณภาพรถยนต์ใหม่ 3 ปี หรือ 100,000 กิโลเมตรแรกสิ้นสุดลง รวมสูงสุด 5 ปี หรือ 140,000 กิโลเมตร (อย่างใดอย่างหนึ่งถึงก่อน) พร้อมด้วยบริการช่วยเหลือฉุกเฉินนอกสถานที่ 24 ชั่วโมง (Honda 24hr Roadside Assistance) อีกทั้งฟรีค่าแรงในการเช็กระยะเป็นเวลา 5 ปี หรือ 100,000 กิโลเมตร* (อย่างใดอย่างหนึ่งถึงก่อน)

Honda เปิดตัว Honda City Hatchback e:HEV ครั้งแรกในโลก

มูฟไปตามใจคิด เปี่ยมไปด้วยพลังใหม่ในแบบของคุณ กับ City Hatchback ราคา

  • รุ่น e:HEV RS ราคา 849,000 บาท

มีให้เลือกทั้งหมด 6 สี ได้แก่ สีใหม่ สีน้ำเงินบริลเลียนท์ สปอร์ตตี้ (เมทัลลิก) เฉพาะซิตี้ แฮทช์แบ็ก อี:เอชอีวี เท่านั้น สีแดงอิกไนต์ (เมทัลลิก) สีขาวแพลทินัม (มุก) สีดำคริสตัล (มุก) สีเทาโซนิค (มุก) และสีเทาเมทิเออรอยด์ (เมทัลลิก)

มาพร้อมข้อเสนอพิเศษเพื่อให้ลูกค้าเป็นเจ้าของได้ง่ายขึ้น กับ ดอกเบี้ย 2.99% พร้อมฟรีประกันภัย 1 ปี พิเศษ สำหรับลูกค้าที่จองและรับรถ Honda City Hatchback e:HEV ใหม่ ตั้งแต่วันที่ 24 มิถุนายน 2564 – 31 กรกฎาคม 2564 รับฟรีหูฟัง Skullcandy True Wireless Earbuds รุ่น Sesh Evo สี Deep Red มูลค่า 3,590 บาท

สัมผัส Honda City Hatchback e:HEV ใหม่ ที่โชว์รูมฮอนด้าทั่วประเทศ ตั้งแต่วันที่ 24 มิถุนายน 2564 เป็นต้นไป

Honda เปิดตัว Honda City Hatchback e:HEV ครั้งแรกในโลก

เสริมความสปอร์ตพรีเมียมในทุก Movement ด้วยชุดอุปกรณ์ตกแต่ง Modulo (โมดูโล) ที่มาพร้อมแนวคิด “Stage Up Booster” โดยมีไอเท็มอุปกรณ์ตกแต่งให้เลือก อาทิ ชุดป้องกันรอยบริเวณที่เปิดประตู ราคา 1,100 บาท ชุดตกแต่งสปอยเลอร์หลัง ราคา 5,500 บาท คิ้วตกแต่งซุ้มล้อด้านหน้า ราคา 1,700 บาท คิ้วบันไดสแตนเลส LED ราคา 4,400 บาท แผงครอบกันรอยขอบห้องสัมภาระ ราคา 900 บาท กล้องวิดีโอติดรถยนต์ ราคา 3,850 บาท

หรือเลือกตกแต่งในรูปแบบแพ็กเกจชุดแต่งรอบคัน ทั้งหมด 2 แพ็กเกจ ได้แก่

  • Modulo Aero Sport Package ราคา 21,500 บาท ประกอบด้วย สเกิร์ตหน้า แบบ 2 ชิ้น สเกิร์ตข้าง สเกิร์ตหลัง แบบ 2 ชิ้น และ ชุดตกแต่งสปอยเลอร์หลัง
  • Modulo Aero Package ราคา 16,900 บาท ประกอบด้วย สเกิร์ตหน้า แบบ 2 ชิ้น สเกิร์ตข้าง และ สเกิร์ตหลัง แบบ 2 ชิ้น

ดูรายละเอียดอุปกรณ์ตกแต่งเพิ่มเติมได้ที่ https://hondaaccess.co.th/line-up/honda-city-hatchback-eHEV

สำหรับใครที่อยากขายรถคันเดิมตอนนี้ หรือกำลังตัดสินใจจะซื้อรถป้ายแดงอยู่พอดี แต่งบไม่พอ! มาขายรถกับ CARRO Express สิ! Inbox มาขอรายละเอียดได้ที่ Facebook -> CARRO Thailand และ Add Line สอบถามรายละเอียดได้เช่นกัน ที่ @carrothai

อีกหนึ่งบริการใหม่! CARRO Automall แหล่งรวมรถมือสองคุณภาพเยี่ยม ผ่านการตรวจสภาพแบบ Double Check รับประกันพร้อมโอนทุกคัน ฟรี! ค่าจัดโอน มีให้เลือกชมเพียบ เปิดบริการทุกวัน อยากซื้อรถคุณภาพเยี่ยม มาซื้อกับ CARRO Automall สิ!

หรือสนใจรถรุ่นไหนอยู่ แต่ยังหาที่ถูกใจไม่ได้ เรายินดีหาให้! เพียงแค่กรอกเบอร์โทรศัพท์ ชื่อยี่ห้อ / รุ่นรถ ที่คุณต้องการก็ได้เช่นกันครับ อีกทั้งยังสามารถ Inbox เข้ามาสอบถามรายละเอียดได้ที่ Facebook -> CARRO Automall – รถบ้านมือสอง โทร. 02-508-8690 หรือทาง Line @carroautomall

Ferrari SF90 Spider ม้าลำพองเปิดประทุน Plug-In Hybrid

ถึงเมืองไทยแล้ว! Ferrari SF90 Spider (เฟอร์รารี่ เอสเอฟ 90 สไปเดอร์) ที่สุดแห่งซูเปอร์คาร์ทรงพลังส่งตรงจาก Maranello (มาราเนลโล) สุดยอดสปอร์ตคาร์เปิดประทุน Plug-In Hybrid (ปลั๊กอินไฮบริด) คันแรกของเฟอร์รารี่ ที่สร้างสรรค์ขึ้นเพื่อมอบความเพลิดเพลินในการขับขี่อย่างที่ไม่มีใครเทียบเคียงได้ ผ่านการเปิดตัวรูปแบบดิจิทัล ในราคา 44,900,000 บาท!!!

Ferrari SF90 Spider ม้าลำพองเปิดประทุน Plug-In Hybrid

Ferrari SF90 Spider คือ ซูเปอร์คาร์ปลั๊ก-อิน ไฮบริด แบบเปิดประทุนรุ่นแรกจากม้าลำพอง ที่สร้างมาตรฐานใหม่ทั้งในส่วนของสมรรถนะ นวัตกรรม และความเร้าใจในการขับขี่ให้กับแบรนด์เฟอร์รารี่ ตลอดจนบรรดารถสปอร์ตในกลุ่มเดียวกันอีกด้วย อีกทั้งยังมีสเปกและสมรรถนะระดับทำลายสถิติ เช่นเดียวกับที่สุดแห่งซูเปอร์คาร์อย่าง Ferrari SF90 Stradale (เฟอร์รารี่่ เอสเอฟ 90 สตราดาเล)

Ferrari SF90 Spider ม้าลำพองเปิดประทุน Plug-In Hybrid

ทั้งยังเพิ่มความน่าตื่นตาตื่นใจขึ้นไปอีกขั้น ด้วยหลังคาแข็งแบบพับเก็บได้ สถาปัตยกรรมอันเป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัวของเฟอร์รารี่ ซึ่งนำมาใช้ครั้งแรกในปี 2011 กับ Berlinetta (เบอร์ลิเนตต้า) เครื่องวางกลางลำ SF90 Spider แสดงให้เห็นนิยามใหม่ของซูเปอร์คาร์ ที่เป็นรถในอุดมคติของผู้ที่ต้องการสุดยอดแห่งเทคโนโลยีจากเฟอร์รารี่ ทว่ายังคงหลงใหลความสุขแห่งการขับขี่รถยนต์แบบเปิดประทุน

นอกจากนี้ SF90 Spider ยังแสดงให้เห็นถึงพัฒนาการของระบบขับเคลื่อนแบบใหม่ที่ช่วยลดการปล่อยมลพิษ และมีประสิทธิภาพมากกว่าเดิม โดยเฉพาะพละกำลัง 780 แรงม้า จากเครื่องยนต์ V8 Turbo เสริมทัพด้วยมอเตอร์ไฟฟ้า 3 ตัว โดยใช้หนึ่งตัวที่ล้อคู่หลัง และอีกสองตัวสำหรับล้อหน้า นำมาซึ่งกำลังรวมสูงสุดมหาศาลถึง 1,000 แรงม้า

Ferrari SF90 Spider ม้าลำพองเปิดประทุน Plug-In Hybrid

Ferrari SF90 Spider มีระบบขับเคลื่อนสี่ล้อ (AWD) เช่นเดียวกับ SF90 Stradale ช่วยยกระดับประสิทธิภาพขณะออกตัวขึ้นสู่ความเร็วอันน่าทึ่ง 0-100 กม./ชม. ใน 2.5 วินาที และ 0-200 กม./ชม. ในเวลาเพียง 7.0 วินาทีเท่านั้น

ภาพลักษณ์และสัมผัสของห้องโดยสาร ได้รับอิทธิพลส่วนใหญ่มาจากระบบ HMI (Human Machine Interface) ซึ่งถือเป็นการก้าวกระโดดครั้งสำคัญของ SF90 Spider พวงมาลัยแบบใหม่สั่งงานด้วยการสัมผัส ช่วยให้ผู้ขับขี่สามารถควบคุมรถได้เกือบทุกฟังก์ชั่นโดยไม่ต้องละมือออกจากพวงมาลัย จอแสดงผลส่วนกลางระบบดิจิทัล ขนาด 16 นิ้ว เป็นแบบจอโค้งความคมชัดสูง สามารถตั้งค่าและควบคุมได้อย่างครบถ้วนผ่านพวงมาลัย

Ferrari SF90 Spider ม้าลำพองเปิดประทุน Plug-In Hybrid

ข้อมูลหลักๆ จะแสดงผลบนกระจกหน้ารถผ่านระบบ Head-up Display นั่นหมายถึง การมีสมาธิขณะขับขี่มากขึ้น ตรงตามปรัชญา “ตาอยู่บนถนน มืออยู่บนพวงมาลัย” ที่ผลักดันให้มีการพัฒนาระบบ HMI ขึ้นเพื่อใช้กับรถแข่ง Formula 1 ของเฟอร์รารี่ทุกคัน ก่อนที่จะถ่ายทอดมาสู่รถถนนของเฟอร์รารี่

เช่นเดียวกับรถแบบสไปเดอร์รุ่นอื่นๆ ของม้าลำพอง หลังคาแข็งแบบพับเก็บได้ของ SF90 Spider รับประกันได้ว่าจะมีเสียงรบกวนน้อยที่สุด ปกป้องผู้โดยสารจากสภาพแวดล้อมภายนอกได้เป็นอย่างดีเมื่อปิดหลังคา ทั้งยังให้พื้นที่ใช้สอยกว้างขวางและสะดวกสบายสำหรับทุกคน หลังคามีขนาดกะทัดรัด เรียบง่าย และน้ำหนักเบา สามารถเปิด-ปิด ในเวลาเพียง 14 วินาที และทำงานได้แม้ในขณะที่รถกำลังเคลื่อนที่อีกด้วย

Ferrari SF90 Spider ม้าลำพองเปิดประทุน Plug-In Hybrid

สำหรับราคาของเฟอร์รารี่ SF90 Spider เริ่มต้นที่ 44,900,000 บาท โดย คาวาลลิโน มอเตอร์ มี Warranty การรับประกันฟรี 3 ปี ไม่จำกัดระยะทาง สามารถต่ออายุได้ถึง 15 ปี และการดูแลบำรุงรักษาฟรี 7 ปี พร้อมบริการจากทีมช่างผู้ชำนาญการด้วยเครื่องมือตามมาตรฐานจากโรงงานเฟอร์รารี่ เพื่อสร้างความพึงพอใจให้กับลูกค้าที่ต้องการรักษาประสิทธิภาพและความเป็นเลิศ อันเป็นเอกลักษณ์ของรถยนต์ทุกคันที่สร้างขึ้นจากโรงงานในมาราเนลโล ประเทศอิตาลี

และสำหรับใครที่อยากได้ซูเปอร์คาร์ไว้ใช้สักคัน อยากขายรถคันเดิม เอาเงินไปซื้อซูเปอร์คาร์มาขับเท่ๆ บ้าง มาขายรถคันเดิมกับ CARRO Express สิ! หรือจะ Inbox มาขอรายละเอียดได้ที่ Facebook -> CARRO Thailand และ Add Line สอบถามรายละเอียดได้เช่นกัน ที่ @carrothai

อีกหนึ่งบริการใหม่! CARRO Automall แหล่งรวมรถมือสองคุณภาพเยี่ยม ผ่านการตรวจสภาพแบบ Double Check รับประกันพร้อมโอนทุกคัน ฟรี! ค่าจัดโอน มีให้เลือกชมเพียบ เปิดบริการทุกวัน อยากซื้อรถคุณภาพเยี่ยม มาซื้อกับ CARRO Automall สิ!

หรือสนใจรถรุ่นไหนอยู่ แต่ยังหาที่ถูกใจไม่ได้ เรายินดีหาให้! เพียงแค่กรอกเบอร์โทรศัพท์ ชื่อยี่ห้อ / รุ่นรถ ที่คุณต้องการก็ได้เช่นกันครับ อีกทั้งยังสามารถ Inbox เข้ามาสอบถามรายละเอียดได้ที่ Facebook -> CARRO Automall – รถบ้านมือสอง โทร. 02-508-8690 หรือทาง Line @carroautomall

Subaru เปิดตัว Subaru Forester ใหม่ โฉมไมเนอร์เชนจ์ที่ญี่ปุ่น

Subaru Forester (ซูบารุ ฟอเรสเตอร์) รถ Crossover ขนาด Compact ยอดนิยมขายดีทั้งในญี่ปุ่นและในไทย ถึงเวลาเผยโฉมไมเนอร์เชนจ์แล้ว! รอรับรถกันได้ในเดือนสิงหาคม 2021

Subaru เปิดตัว Subaru Forester ใหม่ โฉมไมเนอร์เชนจ์ที่ญี่ปุ่น

ออกแบบด้านหน้าดูหล่อยิ่งขึ้น กับแนวคิดใหม่ “BOLDER” ดูดีมีเอกลักษณ์ยิ่งขึ้น ใช้ไฟหน้าทรงใหม่ กระจังหน้าดีไซน์หกเหลี่ยม และชุดกันชนหน้าใหม่

มิติตัวรถยาว 4,640 มม. กว้าง 1,815 มม. สูง 1,715 มม. (รุ่น X-BREAK 1,730 มม.) ระยะฐานล้อ 2,670 มม. น้ำหนักตัวรถ 1,570 – 1,640 กิโลกรัม

Subaru เปิดตัว Subaru Forester ใหม่ โฉมไมเนอร์เชนจ์ที่ญี่ปุ่น

ส่วนภายในรถใช้เบาะหุ้มหนัง Nappa ใหม่ สีดำหรือน้ำตาลในรุ่น Advance ขณะที่รุ่น Sport ใช้วัสดุ Ultra Suede สลับหนัง ส่วนรุ่น X-Break ใช้เบาะหนังจากโพลียูรีเทนที่กันน้ำได้

ระบบช่วยเหลือการขับขี่ New Generation EyeSight มาพร้อมเทคโนโลยีกล้องคู่หน้า ปรับจุดติดตั้งใหม่บริเวณกระจกหน้ารถ เพิ่มมุมมองของตัวกล้องให้กว้างและชัดยิ่งขึ้น พร้อมปรับปรุงการทำงานของระบบควบคุมความเร็วอัตโนมัติ (Adaptive Cruise Control) เมื่อตามคันหน้า ให้เบรกได้อย่างนุ่มนวลและปลอดภัยมากขึ้น

Subaru เปิดตัว Subaru Forester ใหม่ โฉมไมเนอร์เชนจ์ที่ญี่ปุ่น

ขุมพลังของ Forester (ยกเว้นรุ่น Sport) เป็นแบบ Hybrid ใช้เครื่องยนต์ไฮบริด e-Boxer รหัส FB20 ขนาด 2.0 ลิตร 145 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 188 นิวตัน-เมตร (19.2 กก.-ม.) ที่ 4,000 รอบ/นาที อัตราสิ้นเปลืองเชื้อเพลิง 18.6 กม./ลิตร (ตามมาตรฐานโหมด JC08) พร้อมมอเตอร์ไฟฟ้าขนาด 10 กิโลวัตต์ (13.5 แรงม้า) และระบบ e-Active Shift Control ควบคุมการตอบสนองของตัวรถให้เหมาะสมตามแต่ละสภาวะ

ส่วนรุ่น Sport ใช้เครื่องยนต์เบนซินรหัส CB18 ขนาด 1.8 ลิตร Turbo DIT ให้แรงม้าสูงสุด 177 แรงม้า ที่ 5,200 – 5,600 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 300 นิวตัน-เมตร (30.6 กก.-ม.) ที่ 1,600 – 3,600 รอบ/นาที อัตราสิ้นเปลืองเชื้อเพลิง 16.5 กม./ลิตร (ตามมาตรฐานโหมด JC08)

โดยทุกรุ่นใช้ระบบขับเคลื่อนสี่ล้อแบบสมมาตร Symmetrical AWD และส่งกำลังผ่านเกียร์อัตโนมัติ 8 สปีด เป็นอุปกรณ์มาตรฐาน

Subaru เปิดตัว Subaru Forester ใหม่ โฉมไมเนอร์เชนจ์ที่ญี่ปุ่น

Subaru Forester โฉมไมเนอร์เชนจ์นี้ เปิดให้จองกันแล้ว (แต่ยังไม่ระบุราคาจำหน่าย) พร้อมส่งมอบรถในเดือน 8 นี้ ที่ญี่ปุ่น มีให้เลือกด้วยกัน 4 รุ่นย่อย ได้แก่ Touring, X-Break, Advance และ Sport

พร้อมกับสีตัวรถที่มีให้เลือกสะใจถึง 10 แบบ และ 3 สีใหม่ อย่างสีเขียว Cascade Green Silica, สีเขียว Autumn Green Metallic และสีน้ำตาล Brilliant Bronze Metallic

ส่วนในไทย รอหลังส่งมอบรถในญี่ปุ่นกันไปสักพัก ก่อนจะมาขายปลายปีนี้ครับ

และสำหรับใครที่อยากขายรถคันเดิมตอนนี้ หรือกำลังตัดสินใจจะซื้อรถป้ายแดงอยู่พอดี แต่งบไม่พอ!  มาขายรถกับ CARRO Express สิ! หรือจะ Inbox มาขอรายละเอียดได้ที่ Facebook -> CARRO Thailand และ Add Line สอบถามรายละเอียดได้เช่นกัน ที่ @carrothai

และอีกหนึ่งบริการใหม่! CARRO Automall แหล่งรวมรถมือสองคุณภาพเยี่ยม ผ่านการตรวจสภาพแบบ Double Check รับประกันพร้อมโอนทุกคัน ฟรี! ค่าจัดโอน มีให้เลือกชมเพียบ เปิดบริการทุกวัน อยากซื้อรถคุณภาพเยี่ยม มาซื้อกับ CARRO Automall สิ!

หรือสนใจรถรุ่นไหนอยู่ แต่หาไม่ได้ สามารถสั่งตามออเดอร์ได้ที่นี้ > https://th.carro.co/buy-car หรือโทร. 02-508-8690 อีกทั้งยัง Inbox เข้ามาสอบถามก็ได้เช่นกันได้ที่ Facebook -> CARRO Automall – รถบ้านมือสอง หรือทาง Line เชิญเลยครับที่ @carroautomall

Toyota bZ4X รถต้นแบบรถยนต์ไฟฟ้า (รถ EV) จากค่ายโตโยต้า

นี่ไม่ใช่เรื่องใหม่แต่อย่างใด (แม้ว่าหลายคนจะตื่นเต้นก็ตาม) กับการพัฒนารถยนต์ไฟฟ้า (รถ EV) ของ Toyota (โตโยต้า) ที่ในอดีต Toyota เคยพัฒนารถ SUV ในรูปแบบรถพลังงานไฟฟ้า กับ Toyota RAV4 ที่ออกจำหน่ายในปี 1996 และ Toyota RAV4 EV เจเนอเรชั่นที่ 2 โดยร่วมกันพัฒนากับทาง Tesla ในปี 2010 – 2014 ก่อนจะเลิกราไป

อ่านเพิ่มเติม >> ประวัติ Toyota RAV4 EV : แม้ว่า Toyota จะเริ่มรถยนต์ไฟฟ้าก่อน แต่ไม่ได้หมายถึงความสำเร็จ!

Toyota bZ4X Concept

Toyota เผยโฉมรถต้นแบบ Toyota bZ4X Concept ใหม่ จัดเป็นรถ Crossover SUV พลังงานไฟฟ้า 100% จากค่ายโตโยต้า ที่เผยโฉมครั้งแรกเมื่อ 19 เมษายน 2021 ในงาน Auto Shanghai ประเทศจีน ในตอนนี้เผยโฉมอย่างเป็นทางการในอเมริกาแล้ว พร้อม​ขายในญี่ปุ่นกับจีนก่อน ก่อนผลิตออกขายทั่วโลกในช่วงกลางปี 2022

ซึ่ง Toyota จะใช้ชื่อรุ่นในชื่อ Toyota bZ ซึ่งย่อมาจาก “Beyond Zero” และยังเป็นรุ่นแรกของตระกูล bZ Series ที่โตโยต้าจะนำชื่อ bZ นี้พร้อมนำไปใช้รถรุ่นใหม่ในอนาคตอีก 7 รุ่น เพื่อสื่อถึงความเป็นรถยนต์ไฟฟ้าของ Toyota

Toyota bZ4X Concept

ส่วนคำว่าระบบขับเคลื่อนไฟฟ้า (หรือ Electrified) หากนอกเหนือจากรถ BEV โตโยต้าจะนับรวมรถในกลุ่ม Hybrid, Plug-In Hybrid รวมไปถึงรถ Fuel Cell ด้วย

Toyota bZ4X Concept

Toyota bZ4X พัฒนาขึ้นบนแพล็ตฟอร์ม e-TNGA ซึ่งเป็นแพล็ตฟอร์มใหม่สร้างขึ้นโดยเฉพาะ ร่วมพัฒนากับทาง Subaru และ Daihatsu โดยสามารถใช้ได้ในรถยนต์หลายประเภท รวมจุดเด่นด้านระบบขับเคลื่อนด้วยไฟฟ้าของโตโยต้า และความเชี่ยวชาญด้านระบบ AWD ของ Subaru ไว้ โดย Subaru ก็พัฒนารถของตัวเองในชื่อ Subaru Solterra EV ด้วยเช่นกัน

ตัวรถหน้าสั้นแต่ฐานล้อยาว เพื่อเพิ่มเนื้อที่ห้องโดยสารมากเป็นพิเศษ เทียบเท่าระดับ D-Segment Sedan

Toyota bZ4X Concept

ภายในห้องโดยสารสำหรับรุ่นจำหน่ายจริง ก็คงไม่แตกต่างไปจากรถต้นแบบ โดยออกแบบให้ทัศนวิสัยดีสุด มีหน้าจอ Infotainment ที่ลอยตัวเหนือแผงคอนโซล

Toyota bZ4X Concept

ซึ่ง Toyota bZ4X นี้ จะใช้ฐานการผลิตเพียง 2 แห่งในระยะแรก คือที่ประเทศญี่ปุ่นและประเทศจีน ก่อนจะผลิตแล้วส่งขายไปในทั่วโลกช่วงกลางปี 2022 ส่วนรถในตระกูล “bZ” ที่เหลืออีก 7 รุ่น เตรียมออกสู่ตลาดโลกในปี 2025

และสำหรับใครที่อยากขายรถคันเดิมตอนนี้ หรือกำลังตัดสินใจจะซื้อรถป้ายแดงอยู่พอดี แต่งบไม่พอ!  มาขายรถกับ CARRO Express สิ! หรือจะ Inbox มาขอรายละเอียดได้ที่ Facebook -> CARRO Thailand และ Add Line สอบถามรายละเอียดได้เช่นกัน ที่ @carrothai

และอีกหนึ่งบริการใหม่! CARRO Automall แหล่งรวมรถมือสองคุณภาพเยี่ยม ผ่านการตรวจสภาพแบบ Double Check รับประกันพร้อมโอนทุกคัน ฟรี! ค่าจัดโอน มีให้เลือกชมเพียบ เปิดบริการทุกวัน อยากซื้อรถคุณภาพเยี่ยม มาซื้อกับ CARRO Automall สิ!

หรือสนใจรถรุ่นไหนอยู่ แต่หาไม่ได้ สามารถสั่งตามออเดอร์ได้ที่นี้ > https://th.carro.co/buy-car หรือโทร. 02-508-8690 อีกทั้งยัง Inbox เข้ามาสอบถามก็ได้เช่นกันได้ที่ Facebook -> CARRO Automall – รถบ้านมือสอง หรือทาง Line เชิญเลยครับที่ @carroautomall

แหล่งที่มาจาก:

BMW เปิดตัว BMW iX3 และ iX รถยนต์ SAV พลังงานไฟฟ้า 100% รุ่นแรก ในราคา 3,399,000 - 5,999,000 บาท

บีเอ็มดับเบิลยู กรุ๊ป ประเทศไทย ก้าวสู่ยุคใหม่แห่งยนตรกรรมพลังงานไฟฟ้า เปิดตัว BMW iX (บีเอ็มดับเบิลยู iX) และ BMW iX3 (บีเอ็มดับเบิลยู iX3) รถยนต์อเนกประสงค์ Sports Activity Vehicle (SAV) ขับเคลื่อนด้วยพลังงานไฟฟ้า 100% รถนำเข้าจากประเทศจีน ที่จะมาสร้างนิยามใหม่ให้แก่ประสบการณ์การขับขี่ด้วยพลังงานสะอาดในไทย

BMW Vision iNEXT 2018

BMW Vision iNEXT รถต้นแบบของรถตระกูล iX ที่ออกมาในปี 2018

สำหรับการเปิดตัวครั้งแรกของ BMW iX นี้ มาในรุ่น BMW iX xDrive50 Sport สร้างสุนทรียภาพการขับขี่แบบไร้มลพิษ พร้อมความคล่องตัวสไตล์สปอร์ต และดีไซน์สุดล้ำที่สื่อถึงความยั่งยืน ขับเคลื่อนด้วยขุมพลังไฟฟ้าพร้อมเทคโนโลยี BMW eDrive และเทคโนโลยีเซลล์แบตเตอรี่รุ่นใหม่ล่าสุด สามารถขับขี่ด้วยพลังงานไฟฟ้าได้ไกลถึง 630 กิโลเมตร

ขณะที่ BMW iX3 M Sport เปิดตัวเป็นครั้งแรกในไทยด้วยความโดดเด่นจากตระกูล X3 ที่ผสานความปราดเปรียวโฉบเฉี่ยวเข้ากับสมรรถนะอันทรงพลังของ BMW eDrive เจเนอเรชั่นที่ 5

BMW Vision iNEXT 2018

BMW Vision iNEXT รถต้นแบบของรถตระกูล iX ที่ออกมาในปี 2018

สำหรับลูกค้าในไทย สามารถจองบีเอ็มดับเบิลยู iX xDrive50 Sport ซึ่งมาในจำนวนจำกัดเพียง 20 คัน และบีเอ็มดับเบิลยู iX3 M Sport ที่มาให้ลูกค้าชาวไทยเป็นเจ้าของในจำนวนจำกัด ได้ตั้งแต่วันที่ 7 กรกฏาคม 2564 เวลา 14.00 น. เป็นต้นไป ผ่านช่องทางออนไลน์ทาง shop.bmw.co.th

ตลอดหลายปีที่ผ่านมา รถยนต์ในตระกูล BMW i เป็นกลไกสำคัญในการขับเคลื่อนนวัตกรรมล้ำยุคของ BMW Group ซึ่ง BMW i8 และ i3 ที่เราได้เปิดตัวในประเทศไทยไปแล้วนั้น เปรียบเสมือนจุดเริ่มต้นก้าวสำคัญเพื่อปูทางสู่นวัตกรรมยานยนต์ไฟฟ้าระดับพรีเมียม

BMW iX xDrive50 Sport

และในวันนี้ เราได้สร้างปรากฏการณ์ครั้งใหม่ด้วย BMW iX ยนตรกรรมที่ออกแบบมาเพื่อมอบประสบการณ์การขับขี่พลังงานไฟฟ้าที่สมบูรณ์แบบ พร้อมเบิกทางสู่นวัตกรรมแห่งอนาคตและบริการดิจิทัลต่างๆ และสอดแทรกปรัชญาด้วยความยั่งยืนของเราไว้ในทุกขั้นตอน

นอกจากบีเอ็มดับเบิลยู iX แล้ว ยังเปิดตัว BMW iX3 M Sport เป็นครั้งแรก สมาชิกใหม่ในตระกูล X3 รุ่นนี้ จะเข้ามาเติมเต็มกลยุทธ์ Power of Choice ให้สมบูรณ์แบบยิ่งขึ้น โดยนับจากนี้ไป บีเอ็มดับเบิลยู X3 จะเป็นยนตรกรรมที่พร้อมนำเสนอระบบขับเคลื่อนทั้งแบบเครื่องยนต์สันดาปภายในปลั๊กอินไฮบริด และพลังงานไฟฟ้าล้วน พร้อมยังคงเอกลักษณ์ความคล่องตัวแบบ SAV ไว้ได้อย่างเต็มเปี่ยม

BMW iX3 M Sport

BMW iX3 M Sport ใหม่

ราคาจำหน่าย: 3,399,000 บาท (รวมภาษีมูลค่าเพิ่ม แพ็คเกจบำรุงรักษา BSI Standard นาน 4 ปี และแท่นชาร์จ BMW i Wallbox จำนวนจำกัด)

BMW iX3 M Sport มาพร้อมเอกลักษณ์สุดล้ำ ประสานประสิทธิภาพของมอเตอร์ไฟฟ้าเข้ากับความหนาแน่นและความจุพลังงานไฟฟ้าที่เพิ่มขึ้นของแบตเตอรี่แรงดันสูง มาพร้อมมอเตอร์ไฟฟ้า แผงวงจรไฟฟ้า เทคโนโลยีการชาร์จ และแบตเตอรี่แรงดันสูงรุ่นล่าสุด ที่ได้รับการยกระดับในด้านสมรรถนะการทำงาน การใช้พลังงานไฟฟ้า และระยะทางในการขับขี่ อีกทั้งยังเพิ่มความหนาแน่นและศักยภาพของกำลังไฟฟ้าด้วยการรวมมอเตอร์ไฟฟ้า วงจรอิเล็กทรอนิกส์ และระบบเกียร์ไว้ภายใต้โครงสร้างเดียวกัน เช่นเดียวกับบีเอ็มดับเบิลยู iX

BMW iX3 M Sport

ระบบขับเคลื่อนรุ่นใหม่ใน BMW iX3 M Sport ส่งพละกำลังสูงสุด 286 แรงม้า และแรงบิดสูงสุด 400 นิวตันเมตร ซึ่งโดดเด่นว่ามอเตอร์ไฟฟ้าในรุ่นอื่นๆ ด้วยความสามารถในการคงแรงบิดได้แม้ระหว่างรอบสูง โลดแล่นจาก 0 ถึง 100 กม./ชม. ภายใน 6.8 วินาที ทำความเร็วสูงสุด 180 กม./ชม.

ขับขี่สนุกอย่างอุ่นใจด้วยระบบป้องกันการลื่นไถลของล้อ (Near-Actuator Wheel Slip Limitation) ปริมาตรความจุแบตเตอรี่เพิ่มขึ้นกว่าเดิมอย่างมากเมื่อเปรียบเทียบกับพื้นที่การติดตั้งและน้ำหนัก ส่วนความจุพลังงานรวมอยู่ที่ 80kWh เพื่อขับเคลื่อนให้ BMW iX3 ขับขี่ได้ไกลถึง 460 กิโลเมตร ตามมาตรฐาน WLTP และ 470 กิโลเมตร ตามมาตรฐาน NEDC

BMW iX3 M Sport

เทคโนโลยีระบบชาร์จใหม่ล่าสุดเติมพลังงานสู่แบตเตอรี่ 400 โวลต์ และแหล่งจ่ายไฟ 12 โวลต์แก่อุปกรณ์ต่าง ๆ ในรถ หากใช้ไฟฟ้ากระแสสลับ สามารถชาร์จด้วยระบบไฟแบบ 1 เฟส และ 3 เฟส ได้สูงสุด 11 กิโลวัตต์ และเมื่อชาร์จแบบรวดเร็วด้วยไฟฟ้ากระแสตรง (DC) จะรับพลังงานได้สูงสุด 150 กิโลวัตต์ และสำหรับการชาร์จด้วยแรงดันนี้ BMW iX3 ยังรองรับการชาร์จจาก 0-80% ได้ภายใน 34 นาที เพิ่มระยะทางการวิ่งถึง 100 กิโลเมตรได้ภายใน 10 นาที (ตามมาตรฐาน WLTP)

BMW iX3 M Sport มาพร้อมระบบการนำพลังงานกลับมาใช้ใหม่แบบแปรผัน (Adaptive recuperation) เพิ่มสมรรถนะและความสบายระหว่างการขับขี่ ระดับการดึงพลังงานจากระบบเบรกกลับมาใช้ใหม่จะแปรผันตามสภาวะถนน ซึ่งอ้างอิงจากข้อมูลในระบบนำทางและเซนเซอร์ในระบบช่วงเหลือผู้ขับขี่ นอกจากนี้ ผู้ขับขี่สามารถเลือกระดับการนำพลังงานกลับมาใช้ใหม่ได้ตามต้องการ ระหว่างระดับสูง ปานกลาง และต่ำ เมื่อเข้าเกียร์ D และระบบ Recuperation จะทำงานอัตโนมัติในระดับสูงเมื่อเข้าเกียร์ B เพื่อสร้างประสบการณ์ในการขับขี่ยนตรกรรมไฟฟ้าอันเฉพาะตัวของบีเอ็มดับเบิลยู

แบตเตอรี่แรงดันสูงรุ่นล่าสุดนี้ติดตั้งอยู่ใต้ตัวรถ จึงช่วยลดจุดศูนย์ถ่วงลงประมาณ 7.5 ซม. เมื่อเทียบกับ X3 รุ่นอื่นๆ ระบบช่วงล่างแบบ Adaptive ปรับระดับด้วยไฟฟ้าตามสภาพถนนและสภาวะการขับขี่

BMW iX3 M Sport

รูปโฉมภายนอกของ BMW iX3 M Sport ยังคงสัดส่วนที่โฉบเฉี่ยวสไตล์ SAV มาพร้อมความแข็งแกร่งระดับพรีเมียมและความอเนกประสงค์ของตระกูล X โดดเด่นด้วยองค์ประกอบการดีไซน์เฉพาะรุ่นอย่างชิ้นส่วนแอโรไดนามิกส์ต่าง ๆ สอดแทรกด้วยดีไซน์ที่สื่อถึงความยั่งยืน กระโปรงหน้าและกระจังหน้าทรงไตคู่ขนาดใหญ่มาในดีไซน์ปิดทึบ ท้ายรถมาพร้อมการออกแบบเพื่อลดแรงต้านอากาศ

BMW iX3 M Sport

ไฮไลท์ของ BMW iX3 ยังอยู่ที่ความหลากหลายในการใช้งาน มาพร้อมพื้นที่กว้างขวางกว่า X3 รุ่นอื่น ๆ เบาะหลังพับได้แบบ 40 : 20 : 40 ซึ่งช่วยเพิ่มปริมาตรการบรรจุสัมภาระจาก 510 ถึง 1,560 ลิตร เสริมความเอ็กซ์คลูซีฟด้วยระบบเสียง BMW IconicSounds Electric ซึ่งมาเป็นมาตรฐาน สร้างทำนองเสียงไม่ซ้ำใครเมื่อสตาร์ทหรือดับเครื่องยนต์จากผลงานของ Hans Zimmer มาพร้อมล้อ M aerodynamic ขนาด 20 นิ้วแบบสลับสี ที่เสริมประสิทธิภาพด้านแอโรไดนามิกส์ยิ่งขึ้น ไฟหน้า Adaptive LED เสริมฉนวนกันเสียงที่ประตูหน้า

BMW iX3 M Sport

และยังมีอุปกรณ์มาตรฐานเพื่อเสริมความสะดวกสบายแบบพรีเมียมอีกมากมาย ไม่ว่าจะเป็น ระบบปลดล็อกประตู Comfort Access เบาะหนัง Vernasca ตอนหน้าดีไซน์แบบสปอร์ต จอ BMW Head-Up Display ระบบปรับการทำงานไฟสูงอัตโนมัติ และระบบช่วยนำรถเข้าที่จอดอัตโนมัติรุ่น Plus พร้อมกล้องแสดงภาพรอบทิศทาง ยกระดับความสะดวกสบายและความปลอดภัยแบบเอ็กซ์คลูซีฟยิ่งขึ้นด้วยระบบ BMW gesture control ระบบเสียงรอบทิศทาง Harman Kardon และ WiFi hotspot พร้อมด้วยระบบ BMW Live Cockpit Professional พร้อมระบบนำทางที่ดึงข้อมูลจากระบบคลาวด์ BMW Maps และ BMW Intelligent Personal Assistant

BMW iX3 M Sport มาให้เลือกใน 5 สี ได้แก่ Carbon Black, Mineral White, Phytonic Blue, Piemont Red และ Sophisto Grey

BMW iX xDrive50 Sport

BMW iX xDrive50 Sport ใหม่

ราคาจำหน่าย: 5,999,000 บาท (รวมภาษีมูลค่าเพิ่ม แพ็คเกจบำรุงรักษา BSI Standard นาน 4 ปี และแท่นชาร์จ BMW i Wallbox สำหรับ 20 คันแรกเท่านั้น)

BMW iX มาพร้อมเทคโนโลยีระบบขับเคลื่อนด้วยไฟฟ้าใหม่ล่าสุด พร้อมความล้ำยุคด้านเทคโนโลยีขับขี่อัตโนมัติและการเชื่อมต่ออีกมากมาย มาพร้อมเทคโนโลยี BMW eDrive และระบบขับเคลื่อนสี่ล้อแบบไฟฟ้า ซึ่งทำงานร่วมกันเพื่อสร้างสมรรถนะการขับขี่ในระยะยาวไกลยิ่งขึ้นและอัตราเร่งที่ทรงพลัง

BMW iX xDrive50 Sport ส่งพละกำลังรวมสูงสุด 385 กิโลวัตต์/523 แรงม้า ระบบ BMW eDrive เจเนอเรชั่นที่ห้านี้ยังทำงานพร้อมเทคโนโลยีเซลล์แบตเตอรี่ล่าสุด มอบระยะทางขับเคลื่อนตามมาตรฐาน WLTP สูงสุดถึง 630 กิโลเมตร สร้างแรงบิดรวมได้สูงสุดถึง 765 นิวตันเมตร ระบบป้องกันการลื่นไถลของล้อ (Near-Actuator Wheel Slip Limitation) ได้รับการติดตั้งควบคู่กับระบบ AWD เป็นครั้งแรก ช่วยป้องกันการลื่นไถลของล้อและเพิ่มความเสถียรภาพในการควบคุมรถยิ่งขึ้นอีกระดับ จึงโลดแล่นด้วยความเร็วจาก 0 ถึง 100 กม./ชม. ได้ภายใน 4.6 วินาที

แบตเตอรี่แรงดันสูงใน BMW iX xDrive50 Sport มีความจุพลังงานรวม 111.5 kWh หัวชาร์จแบบ Combined Charging Unit (CCU) ได้รับการออกแบบมาเพื่อมอบการชาร์จที่ยืดหยุ่น รองรับการชาร์จแบบ DC ได้สูงสุด 200 กิโลวัตต์ และสำหรับการชาร์จจากเครื่องชาร์จ 100 กิโลวัตต์นั้น จะใช้เวลาราว 56 นาที ในการชาร์จจาก 10% ถึง 80%

ระบบการนำพลังงานกลับมาใช้ใหม่แบบแปรผัน (Adaptive recuperation) ช่วยเสริมประสิทธิภาพและระยะการขับขี่ของบีเอ็มดับเบิลยู iX xDrive50 Sport ด้วยการดึงพลังงานจากระบบเบรกกลับมาใช้ใหม่ให้เหมาะสมกับสภาวะการขับขี่ โดยใช้ข้อมูลจากระบบนำทางและเซนเซอร์จากระบบช่วยเหลือผู้ขับขี่ ยกตัวอย่างเช่น เมื่อรถเข้าใกล้ทางแยก ระดับการดึงพลังงานกลับมาใช้ใหม่จะเพิ่มสูงขึ้น เพื่อเติมพลังงานไฟฟ้ากลับเข้าสู่แบตเตอรี่แรงดันสูง ในขณะเดียวกันก็จะทำให้ความเร็วการขับขี่ลดลง และจะทำงานสลับกับฟังก์ชั่น Coasting ขณะขับขี่บนท้องถนน ซึ่งช่วยให้รถเคลื่อนที่ได้โดยไม่ต้องใช้พลังงานเมื่อผู้ขับขี่ยกเท้าออกจากแป้นคันเร่ง ผู้ขับขี่สามารถเลือกระดับการนำพลังงานกลับมาใช้ใหม่ได้ตามต้องการ ระหว่างระดับสูง ปานกลาง และต่ำ โดยเมื่อเลือกขับขี่ด้วยเกียร์ B ระบบ Recuperation จะทำงานที่ระดับสูงสุดโดยอัตโนมัติเพื่อสร้างประสบการณ์ในการขับขี่แบบ One-Pedal Feeling

BMW iX xDrive50 Sport

โครงสร้างตัวถัง ปรัชญาการดีไซน์ และการออกแบบแชสซีของ BMW iX ได้รับการพัฒนาเพื่อหลอมรวมความสะดวกสบายเหนือระดับในการขับขี่และการควบคุมที่โฉบเฉี่ยวสไตล์สปอร์ต โครงสร้างของ BMW iX มาในวัสดุอลูมิเนียมแบบ spaceframe ส่วนหลังคามาในโครงสร้าง Carbon Cage ซึ่งประกอบด้วยวัสดุคาร์บอนไฟเบอร์บริเวณด้านข้างและด้านหลัง ผสานการใช้วัสดุสองประเภทเข้าไว้ด้วยกันเพื่อเสริมทั้งความแข็งแกร่งและลดน้ำหนักให้เบาลงได้อย่างชาญฉลาด ส่วนค่าสัมประสิทธิ์แรงต้านอากาศ (Drag Coefficient) ที่ต่ำเพียง 0.25 จากองค์ประกอบด้านอากาศพลศาสตร์ต่าง ๆ ยังช่วยเสริมประสิทธิภาพการทำงานของเครื่องยนต์และระยะการขับขี่ด้วยเช่นกัน แบตเตอรี่แรงดันสูงในบีเอ็มดับเบิลยู iX ที่ติดตั้งอยู่ใต้ท้องรถ ช่วยลดจุดศูนย์ถ่วงให้ต่ำลง เมื่อประสานเข้ากับการกระจายน้ำหนักอย่างสมดุลจึงทำให้ตอบสนองต่อการควบคุมได้ฉับไวยิ่งขึ้น นอกจากนี้ รูปแบบการขับขี่ที่มีความสมดุลของบีเอ็มดับเบิลยู iX ยังช่วยเพิ่มความมั่นคงและความสบายขณะขับขี่ ขณะที่ยังคงความคล่องตัวไว้ได้อย่างดีเยี่ยม

เทคโนโลยีแชสซีที่ใช้ในการพัฒนา BMW iX ประกอบด้วย เพลาหน้าแบบปีกนกคู่ เพลาหลังแบบ Five-Link ช่วงล่างแบบปรับระดับได้ และระบบพวงมาลัยไฟฟ้าที่ปรับน้ำหนักตามความเร็วรถขณะขับขี่ (Servotronic) แปรผันตามการหมุนและความเร็ว มาพร้อมระบบช่วงล่างแบบถุงลมที่ควบคุมด้วยไฟฟ้า ระบบปรับองศาของล้อหลังเพื่อการเข้าโค้งหรือเลี้ยว (Integral Active Steering) ล้อ Aerodynamic ขนาด 22 นิ้ว แบบสลับสี ขัดเงาสามมิติ เสริมด้วยยางล้อลดเสียงรบกวนที่มีชั้นโฟมบริเวณพื้นผิวด้านในเพื่อลดการเกิดเสียงได้รับการติดตั้งมาเป็นมาตรฐาน

BMW iX xDrive50 Sport

อีกหนึ่งเอกลักษณ์ใหม่ที่ไม่ซ้ำใครของ BMW iX คือดีไซน์ภายนอกที่มีเส้นสายในการออกแบบชัดเจนทรงพลัง แต่ยังมีความเรียบง่าย และคงความบึกบึนสไตล์ SAV รายละเอียดขององค์ประกอบต่าง ๆ สื่อถึงความประณีตและความหรูหราล้ำยุค โดดเด่นสะดุดตาด้วยกระจังหน้าทรงไตคู่ที่เกือบปิดทึบ สะท้อนถึงนวัตกรรมการผลิตที่ล้ำสมัย ส่วนกล้องและเรดาร์เซนเซอร์ฝังอยู่ภายใต้พื้นผิวของกระจังหน้า โดดเด่นด้วยไฟหน้าและไฟท้ายที่เรียวยาวที่สุดของบีเอ็มดับเบิลยู มือจับประตูที่เปิดด้วยการกดปุ่ม หน้าต่างไร้ขอบ และประตูท้ายสอดประสานกลมกลืนเป็นหนึ่งเดียวตั้งแต่หน้ารถจรดท้ายรถโดยไม่มีช่องว่าง

BMW iX xDrive50 Sport

การออกแบบภายในห้องโดยสารมุ่งนำเสนอแนวคิดของการใช้ชีวิตที่เปี่ยมด้วยคุณภาพ มาพร้อมพื้นที่กว้างขวางและเบาะที่นั่งแบบใหม่พร้อมพนักพิงศีรษะเสริมความหรูหรายิ่งขึ้น มีพื้นที่วางขามากขึ้นเนื่องจากไม่ต้องมีท่อส่งน้ำมันกลางตัวรถ ซึ่งยังช่วยเพิ่มพื้นที่เก็บสัมภาระ คอนโซลกลางมาในดีไซน์เฉียบไม่แพ้เฟอร์นิเจอร์หรู ปุ่มควบคุมระบบสัมผัสและระบบเปลี่ยนเกียร์แบบ Rocker Switch พร้อมเน้นย้ำถึงการออกแบบห้องโดยสารเพื่อผู้ขับขี่ด้วยจอ BMW Curved Display พวงมาลัยทรงหกเหลี่ยมและจอ Head-Up Display

ระบบปรับอากาศอัตโนมัติมาพร้อมฟิลเตอร์นาโนไฟเบอร์ที่สามารถกรองอากาศบริสุทธิ์ ควบคุมผ่านจอระบบสัมผัสแบบใหม่ ซึ่งใช้ควบคุมการหมุนเวียนของอากาศภายในห้องโดยสาร รวมถึงระบบทำความร้อนที่เบาะนั่งและพวงมาลัย มาพร้อมตัวเลือกอุปกรณ์เสริมคุณภาพเสียงทรงพลังยิ่งขึ้น อย่างระบบเสียงรอบทิศทางคุณภาพสูง Bowers & Wilkins Diamond Surround Sound System ที่ฝังอยู่ในพนักพิงศีรษะ และระบบเสียงแบบ 4D ที่มีฟังก์ชั่นสั่นตามเสียงเบสในเบาะหน้า

นอกจากระบบการจำลองเสียงเพื่อเตือนคนเดินถนน BMW iX ยังมาพร้อมเสียงประกอบการขับขี่ที่ออกแบบมาเป็นพิเศษ เติมเต็มความเร้าใจในการขับขี่ทุกครั้งที่เร่งความเร็ว ฟังก์ชั่นจำลองเสียงเครื่องยนต์ BMW IconicSounds Electric ที่ติดตั้งมาเป็นมาตรฐาน ยังมาพร้อมตัวเลือกเสียงใหม่ล่าสุดจากนักแต่งเพลงประกอบภาพยนตร์ชื่อดังระดับโลกอย่าง Hans Zimmer

BMW iX xDrive50 Sport

BMW iX xDrive50 Sport ยังมาพร้อมหน้าจอแสดงผลและระบบทำงาน iDrive เจเนอเรชั่นใหม่ ซึ่งเปิดตัวเป็นครั้งแรกในบีเอ็มดับเบิลยู iX ต่อยอดการสื่อสารระหว่างผู้ขับขี่และรถยนต์ให้เป็นธรรมชาติมากขึ้น ทำงานด้วยระบบปฏิบัติการ BMW Operating System 8 ที่ออกแบบสำหรับทำงานร่วมกับจอระบบสัมผัสแบบโค้ง BMW Curved Display รองรับการโต้ตอบด้วยเสียงกับ BMW Intelligent Personal Assistant ซึ่งได้รับการอัปเกรดจากรุ่นก่อนหน้า โดยจอ BMW Curved Display เป็นกลุ่มจอแสดงผลดิจิทัลซึ่งประกอบไปด้วย จอ Information Display ขนาด 12.3 นิ้วและจอ Control Display ขนาด 14.9 นิ้ว รวมเข้าด้วยกันภายใต้แผงกระจกชิ้นเดียวที่หันหน้าเข้าหาผู้ขับขี่ ส่วนระบบช่วยเหลือผู้ขับขี่ดิจิทัลมาพร้อมฟีเจอร์ใหม่และแสดงกราฟฟิกดีไซน์ใหม่ขณะสื่อสารกับผู้ใช้งาน ระบบ My Modes ใหม่ ขยายการตั้งค่าต่างๆ ของรถยนต์ให้ครอบคลุมประสบการณ์ขับขี่ทุกรูปแบบ

BMW iX ยังมาพร้อมระบบช่วยเหลือผู้ขับขี่และนวัตกรรมหลากหลายที่สุด เหนือกว่ารถยนต์ทุกรุ่นจากบีเอ็มดับเบิลยู มาพร้อมเซนเซอร์เจเนอเรชั่นใหม่ ซอฟต์แวร์ใหม่ และแพลตฟอร์มในการประมวลผลที่ทรงพลัง ใช้กล้อง 5 ตัว เรดาร์เซนเซอร์อีก 5 ตัว และอัลตร้าโซนิกเซนเซอร์ 12 ตัวในการตรวจจับสภาพแวดล้อมรอบคัน ระบบเตือนขณะเปลี่ยนเลน Steering and Lane Control Assistant ระบบควบคุมความเร็วอัตโนมัติพร้อมฟังก์ชั่น Stop & Go รวมถึงระบบที่ติดตั้งมาเป็นมาตรฐานอย่างระบบช่วยนำรถเข้าที่จอดอัตโนมัติ รุ่น Plus (Parking Assistant Plus) ซึ่งประกอบด้วยกล้องแสดงภาพรอบทิศทาง (Surround View Camera) แสดงภาพพื้นที่โดยรอบของรถให้เห็นแบบสามมิติผ่านระบบ Remote 3D

BMW iX xDrive50 Sport

กระบวนการผลิต BMW iX ยังครอบคลุมถึงการใช้ทรัพยากรอย่างมีประสิทธิภาพ โดยใช้อลูมิเนียมที่ผ่านกระบวนการหล่อและนำกลับมาใช้ใหม่ รวมถึงการนำพลาสติกกลับมาใช้ใหม่ในปริมาณมาก ภายในห้องโดยสารประกอบด้วยวัสดุไม้ที่รับรองจาก FSC หนังฟอกด้วยสารสกัดจากใบมะกอก และยังมีส่วนประกอบจากธรรมชาติอื่นๆ อีกมากมาย และยังใช้แหจับปลาที่ผ่านการรีไซเคิลเป็นหนึ่งในวัสดุสำหรับผลิตพรมปูพื้นรถอีกด้วย

ลูกค้าสามารถเลือกสีตัวถังได้ถึง 6 สไตล์ตามความต้องการ ได้แก่ Aventurin Red, Black Sapphire, Mineral White, Phytonic Blue, Sophisto Grey และ Storm Bay

โปรแกรมบำรุงรักษารถยนต์ BMW Services Inclusive (BSI) สำหรับรถยนต์พลังงานไฟฟ้าล้วน

รถยนต์ที่ขับเคลื่อนด้วยพลังงานไฟฟ้า 100% จากบีเอ็มดับเบิลยูทั้ง 2 รุ่นนี้ จะมาพร้อมโปรแกรมบำรุงรักษา BMW Service Inclusive (BSI) รูปแบบใหม่ ซึ่งออกแบบมาให้เหมาะสมต่อการดูแลบำรุงรักษาระบบต่างๆ ที่เกี่ยวเนื่องกับการขับเคลื่อนด้วยพลังงานไฟฟ้าโดยเฉพาะ โดยมีแพ็คเกจมานำเสนอใน 2 ทางเลือก ให้เหมาะสมกับความต้องการของลูกค้ามากที่สุด ดังนี้

แพ็คเกจ

การให้บริการ

ระยะการบำรุงรักษา การรับประกันแบตเตอรี่แรงดันไฟสูงและอุปกรณ์ร่วม ราคา
BSI Standard 4 ปี / ไม่จำกัดระยะทาง 8 ปี / 160,000 กิโลเมตร (แล้วแต่ระยะใดถึงก่อน) สำหรับบีเอ็มดับเบิลยู iX และ iX3

 

 

รวมอยู่ในราคาจำหน่าย
BSI Ultimate 6 ปี / ไม่จำกัดระยะทาง 110,000 บาท

(สามารถเลือกอัพเกรดได้ภายใน 90 วัน นับตั้งแต่วันที่เริ่มการรับประกันคุณภาพ)

การดูแลบำรุงรักษารถยนต์ที่ขับเคลื่อนด้วยพลังงานไฟฟ้าล้วน จะมีกำหนดเข้ารับบริการทุก 24 เดือน โดยครอบคลุมรายการต่าง ๆ ดังนี้

  • บริการตรวจเช็ครถ
  • บริการเปลี่ยนไมโครฟิลเตอร์
  • บริการเปลี่ยนน้ำมันเบรก
  • บริการชาร์จแบตเตอรี่แรงดันสูงหลังการให้บริการ (ชาร์จสูงสุด 75%-80%)
  • บริการเปลี่ยนใบปัดน้ำฝน (ปีละหนึ่งครั้ง)
  • บริการเปลี่ยนชุดเบรคหน้าและหลัง 1 ชุด รวมผ้าเบรกและจานเบรก (กำหนดการเปลี่ยนไม่ขึ้นอยู่กับระยะทาง)

ลูกค้าที่สนใจสามารถดูข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ www.bmw.co.th หรือติดต่อผู้จำหน่ายอย่างเป็นทางการของบีเอ็มดับเบิลยูทั่วประเทศ

และสำหรับใครที่อยากขายรถคันเดิมตอนนี้ หรือกำลังตัดสินใจจะซื้อรถป้ายแดงอยู่พอดี แต่งบไม่พอ!  มาขายรถกับ CARRO Express สิ! หรือจะ Inbox มาขอรายละเอียดได้ที่ Facebook -> CARRO Thailand และ Add Line สอบถามรายละเอียดได้เช่นกัน ที่ @carrothai

และอีกหนึ่งบริการใหม่! CARRO Automall แหล่งรวมรถมือสองคุณภาพเยี่ยม ผ่านการตรวจสภาพแบบ Double Check รับประกันพร้อมโอนทุกคัน ฟรี! ค่าจัดโอน มีให้เลือกชมเพียบ เปิดบริการทุกวัน อยากซื้อรถคุณภาพเยี่ยม มาซื้อกับ CARRO Automall สิ!

หรือสนใจรถรุ่นไหนอยู่ แต่หาไม่ได้ สามารถสั่งตามออเดอร์ได้ที่นี้ > https://th.carro.co/buy-car หรือโทร. 02-508-8690 อีกทั้งยัง Inbox เข้ามาสอบถามก็ได้เช่นกันได้ที่ Facebook -> CARRO Automall – รถบ้านมือสอง หรือทาง Line เชิญเลยครับที่ @carroautomall

Great Wall Motor Haval SUV ใน Motor Show 2013

เชื่อว่า ในช่วง Motor Show 2021 (มอเตอร์โชว์ 2021) ที่ผ่านมา หลายคนอาจได้ยลโฉมรถยนต์ของ Haval (ฮาวาล) รถ SUV จากดินแดนหลังม่านไม้ไผ่ ที่มาเปิดตัวกันเป็นครั้งแรกในไทยของ บริษัท เกรท วอลล์ มอเตอร์ส ประเทศไทย จํากัด (GWM ประเทศไทย) ที่ทำให้หลายคนต้องตะลึง และเปลี่ยนทัศนคติของรถยนต์จากจีนแดง (หรือ สาธารณรัฐประชาชนจีน) ไปอย่างมาก

แต่หลายคนอาจจะไม่ทราบว่า จริงๆ แล้ว Great Wall Motor (เกรท วอลล์ มอเตอร์) เคยมีแผนจะเข้ามาตั้งโรงงานผลิตรถยนต์ และขายรถยนต์ในแบรนด์ Haval ในไทยตั้งแต่ 8 ปีที่แล้ว! โดยลงทุนมาเช่าบูธเปิดตัวบริษัท ภายในงาน Motor Show 2013 (มอเตอร์โชว์ 2013) ด้วย ซึ่งในตอนนั้นก็นำรถยนต์ในแบรนด์ Haval มาโชว์หลากหลายรุ่นด้วยกัน

เพื่อเป็นการรื้อฟื้นความทรงจำ MR.CARRO ขอคัดข่าวจากในสต๊อกที่มีเก็บไว้ มาให้ได้อ่านกันครับ …

Great-Wall-Motors-Haval-SUV-In-Motor-Show-2013

เกรท วอลล์ มอเตอร์ส (Great Wall Motors) ผู้ผลิตรถยนต์เอสยูวี และรถปิคอัพรายใหญ่ที่สุดของประเทศจีน เตรียมเปิดตลาดครั้งสำคัญในไทยและอาเซียน ประเดิมโชว์ศักยภาพในงานมอเตอร์โชว์ 2013 พร้อมเปิดแผนเมกกะโปรเจคลงทุนครั้งยิ่งใหญ่กว่าหมื่นล้านบาท สร้างโรงงานผลิตรถยนต์ในไทยป้อนตลาดอาเซียน

มร.หวัง ซือ ฮุย รองผู้จัดการทั่วไปฝ่ายส่งออก บริษัท เกรท วอลล์ มอเตอร์ จำกัด ในเวลานั้น ได้เปิดเผยว่า “สาเหตุที่เราเลือกนำรถยนต์เอสยูวี ภายใต้แบรนด์ Haval (ฮาวาล) มาเข้าร่วมแสดงในงานบางกอกมอเตอร์โชว์ 2013 ก็เพื่อต้องการบอกให้คนไทยได้ทราบว่าเรามีแผนจะเข้ามาทำตลาดในเมืองไทย และสร้างโรงงานผลิตรถยนต์ในประเทศไทย

โดยเลือกจะผลิตรถยนต์เอสยูวี Haval ก่อน และคาดว่านำรถยนต์เอสยูวี Haval H6 (ฮาวาล H6) มาประเดิมเปิดตัวสู่ตลาดไทยเป็นรุ่นแรก โดยดูจากผลการวิเคราะห์ทางการตลาดพบว่า ตลาดอาเซียนมีการเติบโตอย่างยั่งยืน โดยเฉพาะในตลาดรถยนต์เอสยูวีทั่วโลกนั้น มีศักยภาพในการเติบโตระยะยาว

Great-Wall-Motors-Haval-SUV-In-Motor-Show-2013

Great Wall Haval E SUV Concept รถต้นแบบที่มาโชว์ในงาน Motor Show 2013

สำหรับแบรนด์ Haval นั้น ถือเป็นแบรนด์หลักในการวางกลยุทธ์ของเกรท วอลล์ มอเตอร์ ทั้งในแง่จุดเด่นและการพัฒนา จนทำให้เป็นแบรนด์รถยนต์เอสยูวีระดับชั้นนำของโลก และยังครองตำแหน่งรถ SUV ที่ขายดีที่สุดในจีนติดต่อกันมานานถึง 10 ปีซ้อน ใน Concept “Haval- Asia New SUV Leader”

นอกจากนี้ ยังส่งออกไปขายยังต่างประเทศอีกกว่า 80 ประเทศ ทั่วโลก อาทิ รัสเซีย ออสเตรเลีย แอฟริกาใต้ ชิลี อิตาลี ฯลฯ และจุดหมายสำคัญต่อไปของเราคือประเทศในกลุ่มภูมิภาคอาเซียน” มร.หวัง กล่าว

Great-Wall-Motors-Haval-SUV-In-Motor-Show-2013

Great Wall Haval E SUV Concept รถต้นแบบที่มาโชว์ในงาน

โดยการมาเข้าร่วมงานบางกอกมอเตอร์โชว์ 2013 บริษัทฯ เน้นการนำเสนอนวัตกรรมและ เทคโนโลยียานยนต์อันล้ำสมัย ของเกรท วอลล์ มอเตอร์ส ภายใต้แบรนด์ HAVAL ซึ่งเป็นรถในตระกูลเอสยูวีอันเลื่องชื่อด้วยสมรรถนะเครื่องยนต์อันยอดเยี่ยมและรูปทรงที่ทันสมัย โดยภายในบูธจะมีการจัดแสดงรถยนต์เอสยูวี Haval ทั้งรถต้นแบบและรถรุ่นปัจจุบันที่ส่งออกไปจำหน่ายทั่วโลก จำนวนทั้งสิ้น 5 รุ่น พร้อมด้วยเครื่องยนต์ 3 รุ่น

Great-Wall-Motors-Haval-SUV-In-Motor-Show-2013

โดยรถเอสยูวี Haval เป็นรถที่ได้รับรางวัลที่การันตีคุณภาพในแวดวงยานยนต์มากมาย อาทิ “รางวัลรถ SUV แห่งปี 2011” (SUV of 2011) ที่ประเทศมาเลเซีย, “รางวัลรถ SUV แห่งปี 2012” ที่ประเทศจีน (รุ่น Haval H6) และยังสามารถทำคะแนนรวมได้เป็นอันดับที่ 6 ของโลกในการแข่งขันแรลลี่ ดาการ์ (Dakar Rally) ในปี 2012-2013 ส่งผลให้แบรนด์ Haval เป็นที่รู้จักมากยิ่งขึ้นในเวทียานยนต์โลก

ในส่วนของแผนการลงทุนสร้างโรงงานผลิตรถยนต์ในเมืองไทยนั้น มร.หวัง กล่าวว่า เราได้วางแผนสร้างโรงงานใหญ่ บนพื้นที่ขนาด 800,000 ตรม. มีกำลังการผลิตจำนวน 100,000 คัน ต่อปี ด้วยมูลค่าการลงทุนประมาณ 300 ล้านเหรียญสหรัฐ (ประมาณหมื่นล้านบาท) โดยในเบื้องต้นจะเป็นการผลิตรถยนต์เพื่อรองรับความต้องการของตลาดในประเทศไทยและอาเซียน รวมไปถึงการส่งออกไปยังประเทศที่เป็นตลาดรถยนต์พวงมาลัยขวา อาทิ ออสเตรเลีย แต่อย่างไรก็ดี ณ ขณะนี้ยังอยู่ระหว่างการหารือกับทางภาครัฐและศึกษาความเป็นไปได้และภาพรวมการทำตลาด

Great-Wall-Motors-Haval-SUV-In-Motor-Show-2013

Great Wall Haval H8 ที่มาโชว์ในงาน

ผู้บริหารระดับสูงของเกรท วอลล์ มอเตอร์ส กล่าวต่อว่า เมืองไทยนั้นเป็นตลาดรถยนต์ที่มีศักยภาพอย่างมาก ดูจากยอดขายรถยนต์ที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง จากผลการประเมินของสถาบัน IHS ชี้ให้เห็นว่า ตลาดรถยนต์ในเมืองไทยมีแนวโน้มจะขยายตัวขึ้นถึง 1.16 ล้านคันภายในปี 2017 ซึ่งใหญ่เป็นอันดับ 2 ของอาเซียน ในขณะที่ภาพรวมของตลาดรถยนต์อาเซียนจะขยายเพิ่มขึ้นกว่า 3 ล้านคัน ซึ่งนับเป็นตลาดยานยนตร์ที่ใหญ่เป็นอันดับ 6 ของโลก

“ประเทศไทยได้ชื่อว่าเป็น ดีทรอยต์แห่งโลกตะวันออก ดูจากการที่แบรนด์รถยนต์ชั้นนำระดับโลกหลายสิบแบรนด์ต่างมาลงทุนสร้างโรงงานผลิตรถยนต์ที่นี่ ในขณะที่ตัวเลขการผลิตรถยนต์ในประเทศไทยก็พุ่งทยานขึ้นในแต่ละปี จนก้าวสู่ระดับเกิน 2 ล้านคันเมื่อปี 2012 ที่ผ่านมา และยังมีแนวโน้มที่จะขยายตัวอย่างต่อเนื่องในอนาคต ดังนั้น บริษัทฯเราจึงมีความเชื่อมั่นเป็นอย่างยิ่งว่าอนาคตของเกรท วอลล์ มอเตอร์จะสามารถเติบโตไปได้ด้วยดีในไทย” มร.หวังย้ำ แบล็กกราวน์บริษัทฯ

Great-Wall-Motors-Haval-SUV-In-Motor-Show-2013

Great Wall Haval H6 ที่มาโชว์ในงาน

ปัจจุบัน บริษัท เกรทวอลล์ มอเตอร์ จำกัด เป็นบริษัทฯยักษ์ใหญ่ผู้ผลิตรถเอสยูวีและรถปิกอัพจากประเทศจีน เกียร์ มีบริษัทในเครือมากกว่า 30 บริษัทและพนักงานมากกว่า 54,000 คน มีกำลังการผลิตรวม 8 แสนคันต่อปีและยังมีความสามารถในการผลิตอะไหล่สำคัญๆ ได้ครองความเป็นผู้นำในตลาดรถยนต์ทั้งในและนอกประเทศมาเป็นเวลานาน

ปัจจุบันเป็นผู้ผลิตรถยนต์รวม 3 แบรนด์ (ในตอนนั้น) ประกอบไปด้วย รถเอสยูวีภายใต้แบรนด์ Haval, รถยนต์นั่งภายใต้แบรนด์ Great Wall และรถปิคอัพ Wingle โดยรถเอสยูวี Haval มียอดจำหน่ายเป็นอันดับหนึ่งในตลาดจีนติดต่อกันเป็นเวลา 10 ปี นับจนถึงปี 2555 มียอดจำหน่ายรวมแล้วกว่า 6 แสนคัน ส่วนรถปิคอัพ Wingle ก็มียอดจำหน่ายเป็นอันดับหนึ่ง และมีสัดส่วนครองตลาดสูงสุดมาเป็นเวลา 14 ปี สำหรับรถยนต์นั่งที่เพิ่งออกสู่ตลาดได้ไม่นานอย่าง เกรท วอลล์ มอเตอร์ส ก็ติด “ชาร์ตรถซีดานที่ขายที่ดีที่สุด 10 รุ่น” เป็นเวลาหลายเดือนในปี 2554

ทั้งนี้ เกรท วอลล์ มอเตอร์ส มีแผนการผลิตยานยนต์ทั่วโลก 1.5 ล้านคัน ในปี 2558 พร้อมกันนี้ในอีก 5 ปี ข้างหน้า บริษัทจะเน้นการด้านการวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยี โดยเตรียมแผนลงทุนจำนวน 5,000 ล้านหยวน เพื่อพัฒนาสู่การเป็นศูนย์วิจัยระดับโลก ในปี 2558 บริษัท เกรทวอลล์ มอเตอร์ จำกัด ตั้งเป้าสร้างชื่อเสียงให้กับประเทศจีนและก้าวสู่การเป็นบริษัทข้ามชาติที่มีลิขสิทธิ์หลากหลายด้านในฐานะ “รถยนต์จีนที่มีคุณภาพที่ดีที่สุด”

Great-Wall-Motors-Haval-SUV-In-Motor-Show-2013

Great Wall Haval M4 ที่มาโชว์ในงาน

ในปี 2013 บริษัท เกรท วอลล์ มอเตอร์ จำกัด ได้ส่งออกรถยนต์ไปประเทศต่างๆ กว่า 100 ประเทศ โดยตลาดหลักได้แก่ อิตาลี ออสเตรเลีย รัสเซีย และชิลี นอกจากนี้ยังได้ตั้งโรงงานประกอบรถยนต์ใน 10 กว่าประเทศ โดยโรงงานที่บัลแกเรีย (ซึ่งเริ่มทำการผลิตในเดือนกุมภาพันธ์ 2555) เป็นโรงงานประกอบรถยนต์แห่งแรกของประเทศจีน ที่ตั้งขึ้นในสหภาพยุโรป พร้อมฐานการผลิตรถยนต์ทั้งคัน 4 แห่ง

GWM มีการเติบโตทางธุรกิจ และกำไรอย่างไรสูงติดต่อกันมาเป็นเวลา 10 กว่าปี มีผลการดำเนินการดีเยี่ยมเป็นอันดับต้นๆ ในวงการธุรกิจยานยนต์จีน และได้รับการยกย่องให้เป็นบริษัทผลิตรถยนต์ของประเทศจีนที่มีศักยภาพในการพัฒนามากที่สุด ตั้งแต่ปี 2547

สำหรับใครที่กำลังอยากขายรถคันเดิมเวลานี้ สามารถขายรถคันเดิมของคุณกับทาง CARRO ดูได้ เราให้ราคาดีที่สุด รับประกันความพึงพอใจ พร้อมปิดการขายภายใน 24 ชั่วโมง! กับ CARRO Express แค่คลิก -> https://th.carro.co/sell-car/express หรือจะ Inbox มาขอรายละเอียดได้ที่ Facebook -> CARRO Thailand และ Add Line สอบถามรายละเอียดได้เช่นกัน ที่ @carrothai

และอีกหนึ่งบริการใหม่! CARRO Automall แหล่งรวมรถมือสองคุณภาพเยี่ยม ผ่านการตรวจสภาพแบบ Double Check รับประกันพร้อมโอนทุกคัน ฟรี! ค่าจัดโอน มีให้เลือกชมเพียบ ซื้อรถ คลิก -> https://th.carro.co/taladrod/allcar/carro 

หรือสนใจรถรุ่นไหนอยู่ แต่หาไม่ได้ สามารถสั่งตามออเดอร์ได้ที่นี้ > https://th.carro.co/buy-car หรือโทร. 02-508-8690 อีกทั้งยัง Inbox เข้ามาสอบถามก็ได้เช่นกันได้ที่ Facebook -> CARRO Automall – รถบ้านมือสอง หรือทาง Line เชิญเลยครับที่ @carroautomall

ภาพประกอบจาก

Wuling-Hongguang-Mini-EV-Cabrio-2021

Wuling Hongguang Mini EV Cabrio (วูหลิง หงกวง มินิ อีวี คาบริโอ้) นำเสนอรถต้นแบบในรูปแบบของรถยนต์ไฟฟ้าเปิดประทุน ราคาจับต้องได้ ในงาน Auto Shanghai 2021 ที่เมืองเซี่ยงไฮ้ ประเทศจีน ซึ่งเป็นไปได้มากว่าถ้าเสียงตอบรับดี อาจผลิตขายจริงด้วย!

Wuling-Hongguang-Mini-EV-Cabrio-2021

สำหรับ Wuling Hongguang Mini EV รถจีนคันนี้ เป็นที่พูดถึงอย่างมากว่าเป็นรถยนต์ไฟฟ้าที่ขายดีมากในจีน ยอดจองถล่มทลาย สูงกว่า Tesla และ BYD บางรุ่นเสียอีก! แล้วในช่วงก่อนหน้านั้น Wuling ก็ได้ออกรุ่นแต่งพิเศษอย่าง Mini EV Macaron ออกมาเอาใจสาวๆ ซึ่งเป็นกลุ่มลูกค้าหลักของรถรุ่นนี้

Wuling-Hongguang-Mini-EV-Cabrio-2021

แม้ว่าตลาดรถเปิดประทุนในจีน อาจจะไม่ได้บูมนัก เช่นเดียวกับประเทศไทย เพราะเจอปัญหาที่คล้ายกัน เช่น สภาพอากาศไม่ดี ฝนตก แดดร้อนจัด แต่ก็ถือว่าเป็นสีสันบนท้องถนนได้อีกรุ่นหนึ่ง ถ้ามีขายกันจริงๆ

Wuling-Hongguang-Mini-EV-Cabrio-2021

ตัวรถภายนอกดูแตกต่างจากรุ่นธรรมดาอย่างเห็นได้ชัด ตกแต่งชุดไฟหน้า-หลัง และด้านข้าง ด้วยแถบไฟ LED พร้อมล้อแม็ก หลังคาเป็นแบบ Soft Top พร้อมโรลบาร์เสริมบริเวณเบาะหลัง เพื่อความปลอดภัย

Wuling-Hongguang-Mini-EV-Cabrio-2021

ห้องโดยสารภายในใช้โทนสีขาวดูสะอาดตา พวงมาลัยแบบ 2 ก้านท้ายตัด ส่วนบริเวณคอนโซลหน้า ใช้หน้าจอขนาด 10 นิ้ว 2 จอเชื่อมต่อกัน รวมข้อมูล Infotainment และรายละเอียดต่างๆ ของตัวรถ

Wuling-Hongguang-Mini-EV-Cabrio-2021

ด้านขุมพลัง คาดว่าใช้แบบเดียวกับรุ่น Mini EV รุ่นปกติ ที่ใช้ขุมพลังมอเตอร์ไฟฟ้าให้กำลังสูงสุด 27 แรงม้า ส่งกำลังไปยังล้อคู่หลัง ขณะที่แบตเตอรี่แบบลิเธียมโพลิเมอร์มีขนาด 9.3 kWh (ใช้เวลาชาร์จ 6.5 ชั่วโมง)

สามารถขับขี่ได้เป็นระยะทางประมาณ 120 กิโลเมตร ต่อการชาร์จหนึ่งครั้ง และยังมีแบตเตอรี่ขนาด 13.9 kWh (ใช้เวลาชาร์จ 9 ชั่วโมง) ที่เพิ่มระยะทางขึ้นเป็น 170 กิโลเมตร ต่อการชาร์จหนึ่งครั้ง ให้เลือก

Wuling-Hongguang-Mini-EV-Cabrio-2021

สำหรับใครที่กำลังอยากขายรถคันเดิมเวลานี้ สามารถขายรถคันเดิมของคุณกับทาง CARRO ดูได้ โดยได้ราคาที่ดีที่สุด รับประกันความพึงพอใจ พร้อมปิดการขายภายใน 24 ชั่วโมง! กับ CARRO Express แค่คลิก -> https://th.carro.co/sell-car/express หรือจะ Inbox มาขอรายละเอียดได้ที่ Facebook -> CARRO Thailand และ Add Line สอบถามรายละเอียดได้เช่นกัน ที่ @carrothai

และอีกหนึ่งบริการใหม่! CARRO Automall แหล่งรวมรถมือสองคุณภาพเยี่ยม ผ่านการตรวจสภาพแบบ Double Check รับประกันพร้อมโอนทุกคัน ฟรี! ค่าจัดโอน มีให้เลือกชมเพียบ ซื้อรถ คลิก -> https://th.carro.co/taladrod/allcar/carro 

หรือสนใจรถรุ่นไหนอยู่ แต่หาไม่ได้ สามารถสั่งตามออเดอร์ได้ที่นี้ > https://th.carro.co/buy-car หรือโทร. 02-508-8690 อีกทั้งยัง Inbox เข้ามาสอบถามก็ได้เช่นกันได้ที่ Facebook -> CARRO Automall – รถบ้านมือสอง หรือทาง Line เชิญเลยครับที่ @carroautomall

ภาพประกอบบางส่วนจาก

MG-Cyberster-Concept-2021

ในงาน Auto Shanghai 2021 ครั้งนี้ ค่ายรถเมืองจีนหลายค่ายต่างนำรถยนต์รุ่นเด็ดๆ มาประชันกันในงานนี้สารพัด เพื่อเอาใจลูกค้าชาวจีนให้หันมาซื้อรถกันอีกครั้ง หลังจากที่ต้องเผชิญกับวิกฤติโควิด-19 กันไปอย่างหนักหน่วงในปีที่ผ่านมา

และทางด้านค่าย SAIC Motor ผู้ผลิตรถยนต์ที่ใหญ่ที่สุดในจีน และยังเป็นเจ้าของแบรนด์ MG (เอ็มจี) ได้นำรถต้นแบบ MG Cyberster (เอ็มจี ไซเบอร์สเตอร์) รถยนต์พลังงานไฟฟ้า 100% พร้อมห้องโดยสารสไตล์ E-Sport คันแรกในโลก มาโชว์ในงานนี้ด้วย

ซึ่ง MG Cyberster โดดเด่นด้วยความทันสมัย ความอัจฉริยะ และก้าวล้ำนำหน้า โดยสืบทอดรูปทรงคลาสสิคของรถเปิดประทุน และจิตวิญญาณของรถยนต์ MGB Roadster ไว้อย่างเต็มขั้น MR.CARRO จะมาเล่าให้ฟัง ว่ารถสปอร์ตขวัญใจชาวอีสปอร์ตรุ่นนี้ จะมีอะไรเป็นที่น่าสนใจบ้าง

MG-Cyberster-Concept-2021

MG Cyberster คือรถยนต์ไฟฟ้า 100% ที่มากับพร้อมห้องโดยสารสไตล์เกมมิ่งคันแรกในโลก สร้างสรรค์โดยทีมนักออกแบบของเอ็มจี สืบทอดรูปทรงคลาสสิคและความเป็นผู้นำเทรนด์ของรถยนต์ MGB Roadster เข้ากับแนวทางการออกแบบใหม่ ระหว่างความสุนทรียภาพ และจินตนาการเชิงศิลป์ ที่สะท้อนความเป็นตัวของตัวเอง

MG-Cyberster-Concept-2021

ด้านหน้าของ MG Cyberster สืบทอดดีไซน์สไตล์คลาสสิคของ MG ด้วยไฟหน้าทรงกลม กระจังหน้าเรียวยาว พร้อมชุดไฟหน้า “Magic Eye” แบบ Interactive และกระจังหน้าที่ลู่ลมตามหลักอากาศพลศาสตร์ ด้านข้างตัวรถใช้ชุดไฟ LED “Laser Belt” ลงตัวกับล้อดีไซน์ใหม่แบบ “Hacker Blade” ทำให้ตัวรถดูทรงพลังมากยิ่งขึ้น

MG-Cyberster-Concept-2021

ด้านท้ายของ MG Cyberster ออกแบบตามหลักอากาศพลศาสตร์แบบยุโรปในลักษณะท้ายสั้น หรือ Kammback พร้อมชุดไฟท้ายดีไซน์สุดล้ำแบบ “Red Wing” ด้วยเส้นไฟที่เรียวเล็กดูชัดเจน

MG-Cyberster-Concept-2021

นอกจากนี้ การออกแบบโลโก้เรืองแสง ไฟเลี้ยวรูปทรงลูกศร และสปอยเลอร์หลังที่ฝังตัวอยู่ในชิ้นเดียวกัน ให้ความรู้สึกเคลื่อนไหวของรถสปอร์ตอย่างเต็มที่

MG-Cyberster-Concept-2021

ภายในของ MG Cyberster ดูล้ำยุค มาพร้อมการเชื่อมต่ออัจฉริยะรองรับเทคโนโลยี 5G และชุดแบตเตอรี่ ยังให้ระยะทางในการขับขี่ได้ไกลถึง 800 กิโลเมตร และให้อัตราเร่งจาก 0-100 กม./ชม. ได้ในเวลาต่ำกว่า 3 วินาที

สำหรับแนวทางการออกแบบภายใน จะเป็นแบบ “Digital Fiber” วางผังที่นั่งให้ผู้ขับขี่เป็นศูนย์กลาง ออกแบบตำแหน่งที่นั่งแยกฝั่งซ้าย-ขวา ออกจากกัน และมีแผงหน้าปัด LED ขนาดใหญ่พร้อมจอกลาง

MG-Cyberster-Concept-2021

โดยแผงหน้าปัดแบบชิ้นเดียว ที่ผสานหลากหลายธีมไว้ด้วยกัน ไม่เพียงแค่แสดงข้อมูลสำคัญๆ แต่ยังให้อารมณ์สปอร์ตคลาสสิคในสไตล์ยุโรป เบาะรองนั่งแบบ Zero-Gravity Seat มือจับหุ้มหนังสีแดงที่บริเวณแผงประตู ลงตัวกับ Laser Belt ในขณะที่เส้นสายภายในและผิวสัมผัสสร้างโมเมนตัมได้อย่างทรงพลัง

MG-Cyberster-Concept-2021

นอกจากนี้ เอ็มจี และ Bilibili E-Sports ซึ่งเป็นบริษัทด้าน E-Sport รายใหญ่ในจีน ยังได้ร่วมกันสร้าง Cockpit เกมซูเปอร์คาร์รุ่นแรกในรถ MG ซึ่งมีดีไซน์ภายในที่รองรับการออกแบบเสียงและแสงในธีม E-sport ให้อารมณ์ความรู้สึกเสมือนหนึ่งอยู่ในโลกของเกมอย่างแท้จริง ให้ผู้ใช้โดยเฉพาะ Gen Z จะชื่นชอบมาก

MG-Cyberster-Concept-2021

ทางด้านสมรรถนะ MG Cyberster ติดตั้งแบตเตอรี่ไร้โมดูล (Moduleless Battery) เทคโนโลยี CTP ในเวอร์ชั่นอัพเกรดใหม่ ซึ่งให้ระยะการขับขี่ที่ไกลถึง 800 กิโลเมตร สามารถทำความเร็ว 100 กม./ชม. ได้ในเวลาไม่ถึง 3 วินาที

และมีเทคโนโลยีอัจฉริยะชั้นสูง ด้วยระบบขับขี่อัจฉริยะ (Intelligent Driving) เทคโนโลยีการอัพเกรดแบบแอคทิฟ (Active-upgrading) และสมาร์ท ค็อกพิท (Smart Cockpit) นอกจากนี้ MG Cyberster ยังมีเทคโนโลยีการขับขี่อัตโนมัติระดับ 3 อีกด้วย

สำหรับรถยนต์ไฟฟ้า MG Cyberster แบบสปอร์ตโรสเตอร์ต้นแบบคันนี้ น่าจะถูกใจคอเกมมิ่งกันอย่างมากครับ!

หากช่วงนี้ ใครกำลังอยากขายรถคันเดิมอยู่ สามารถขายรถคันเดิมของคุณกับทาง CARRO ดูได้ โดยได้ราคาที่ดีที่สุด รับประกันความพึงพอใจ พร้อมปิดการขายภายใน 24 ชั่วโมง! กับ CARRO Express แค่คลิก -> https://th.carro.co/sell-car/express หรือจะ Inbox มาขอรายละเอียดได้ที่ Facebook -> CARRO Thailand และ Add Line สอบถามรายละเอียดได้เช่นกัน ที่ @carrothai

และอีกหนึ่งบริการใหม่! CARRO Automall แหล่งรวมรถมือสองคุณภาพเยี่ยม ผ่านการตรวจสภาพแบบ Double Check รับประกันพร้อมโอนทุกคัน ฟรี! ค่าจัดโอน มีให้เลือกชมเพียบ ซื้อรถ คลิก -> https://th.carro.co/taladrod/allcar/carro 

หรือสนใจรถรุ่นไหนอยู่ แต่หาไม่ได้ สามารถสั่งตามออเดอร์ได้ที่นี้ > https://th.carro.co/buy-car หรือโทร. 02-508-8690 อีกทั้งยัง Inbox เข้ามาสอบถามก็ได้เช่นกันได้ที่ Facebook -> CARRO Automall – รถบ้านมือสอง หรือทาง Line เชิญเลยครับที่ @carroautomall