Carro-Roojai-Driving-Safety-In-Rain-Season

เรื่องถนนลื่นคือความเสี่ยงต่ออุบัติเหตุ หากต้อง “ขับรถหน้าฝน” ความปลอดภัยบนท้องถนน จึงกลายเป็นสิ่งที่คุณต้องพึงนึกถึงไว้เสมอตอนที่อยู่หลังพวงมาลัยและมีสายฝนตกบนหน้ากระจกรถคุณ หากผู้ขับขี่มีเทคนิคในการขับขี่ที่ดี เส้นทางฝนตกที่ต้องเผชิญก็ไม่ใช่ปัญหา และสามารถขับไปถึงจุดหมายปลายทางได้โดยสวัสดิภาพ

Driving-Safety-In-Rain-Season

Roojai.com จะพาคุณไปดูเทคนิค “ขับรถหน้าฝน” อย่างปลอดภัย เราจะแนะนำว่าอะไรบ้างที่ต้องทำ อะไรบ้างที่ต้องเตรียม และ ข้อควรระวัง ขณะขับรถหน้าฝน

“ขับรถหน้าฝน” ถึงที่หมายโดยสวัสดิภาพและปลอดภัยมากกว่าเดิม

อย่าเล่นโทรศัพท์มือถือ

สมาธิคือสิ่งสำคัญในการขับขี่ ด้วยสถานการณ์ที่ฝนตกหนัก ทรรศนะวิสัยการมองเห็นไม่ชัดเจน สิ่งรบกวนมีรอบตัวขณะขับขี่ การโฟกัสแต่สิ่งที่อยู่บนถนนข้างหน้าย่อมสำคัญกว่าหน้า Feed บน Facebook ดังนั้น “อย่าหยิบมือถือ” ให้วางมือถือไว้ไม่ต้องเล่น หากต้องขับรถขณะที่ฝนตก เพื่อช่วยเพิ่มความปลอดภัยบนท้องถนนในทุกเส้นทางของคุณ

Driving-Safety-In-Rain-Season

สภาพยางรถยนต์ไม่ไหว ต้องเปลี่ยน

ถ้ายางรถยนต์เสื่อมสภาพแล้วก็จะทำให้ความสามารถในการเกาะถนนลดน้อยลง ยิ่งขับรถหน้าฝน ถนนลื่นยิ่งน่ากลัว ทางที่ดีควรตรวจสอบสภาพยางของรถคุณว่าเก่าไปหรือเปล่า ยังพอใช้งานได้หรือไม่ หรือว่าเนื้อยางไม่ไหวแล้วที่จะเกาะถนนก็ควรเปลี่ยนใหม่ แล้วคุณจะมั่นใจในจังหวะเลี้ยว จังหวะเบรก และทุกจังหวะของการขับขี่ได้มากกว่าเดิม ไม่เฉพาะแต่ตอนถนนเปียกเท่านั้น ตอนถนนแห้งรถก็ขับขี่ได้ดีกว่าเดิมกับยางใหม่

เตรียมยางปัดน้ำฝนให้พร้อม

Driving-Safety-In-Rain-Season

หงุดหงิดมั้ย? เวลาที่ปัดกระจกหน้ารถแล้วไม่สะอาด ช่วงหน้าฝนยิ่งควรเตรียมใบปัดน้ำฝนให้พร้อมกับประสิทธิภาพการทำงานที่เต็มร้อย ปัดแล้วสะอาดทันที ไม่ใช่เสื่อมสภาพ ยิ่งปัดยิ่งสกปรกมองไม่เห็น เตรียมพร้อมไว้ถ้าถึงเวลาก็ต้องเปลี่ยน ไม่ใช่จะใช้งานทีก็นึกขึ้นได้ที แบบนี้มีแต่เสี่ยงกับเสี่ยง

ถ้าไม่ไหว ให้จอดข้างทาง

ฝนตกหนัก ๆ บางทีข้างหน้าก็แทบจะมองไม่เห็นอะไรอยู่แล้ว วางใจไม่ได้ก็หาที่จอดข้างทางดีกว่า ถ้าคุณประเมินแล้วขับต่อไปยิ่งเสี่ยง ข้างหน้ามองไม่เห็น ข้างหลังก็มองยาก ให้หาที่จอดรถข้างทางที่เป็นที่สำหรับจอดปลอดภัยมากที่สุด ที่สำคัญอย่าจอดสุ่มสี่สุ่มห้าหรือจะจอดตรงไหนก็จอด เพราะอาจจะยิ่งอันตรายมากกว่าเดิม คนอื่นมองไม่เห็นแล้วขับมาชนเอาได้

ให้เว้นระยะห่างจากรถคันหน้ามากกว่าเดิม

ฝนตกหนักๆ ไม่ควรใช้ความเร็วสูงนั้นถูกต้องแล้ว แต่ที่สำคัญอีกข้อก็คือ ควรเว้นระยะห่างจากรถคันข้างหน้าให้มากกว่าเดิม เผื่อจังหวะไม่คาดฝัน เหยียบเบรกกระทันหัน จะได้ไม่เกิดอุบัติเหตุ ห่างสัก 12-15 เมตรได้ยิ่งดี ถ้าอยู่ในเส้นทางที่รถโล่ง เผื่อระยะเบรกไว้สักหน่อย ยังไงก็ปลอดภัยกว่า

ใช้ความเร็วไม่เกิน 60 กม./ชม.

“ฝนตกถนนลื่น” คำนี้หลายคนน่าจะเคยได้ยิน และเมื่อขับรถเร็ว ๆ ต้องเบรกกระทันหันในบางสถานการณ์ สมรรถนะรถจะดีแค่ไหนก็เอาไม่อยู่ถ้าถนนลื่น ถ้าไม่อยากเสี่ยง อย่าขับรถเร็วเมื่อฝนตก แม้ฝนจะหยุดแล้วแต่ถนนยังลื่นอยู่ก็ไม่ควรขับเร็วมากเกินไป ขับรถหน้าฝน ที่ความเร็ว 60 กม./ชม. น่าจะปลอดภัยที่สุด

Driving-Safety-In-Rain-Season

เปิดไฟรถทั้งหน้าและหลัง

เปิดไฟหน้าก็เพื่อให้ทัศนวิสัยในการมองเส้นทางของคุณทำได้ง่ายขึ้น ส่วนไฟท้ายก็เพื่อให้รถคันหลังเห็นรถของคุณได้ง่ายขึ้นเช่นกัน หลายคนถ้าเคยเจอเส้นทางที่ฝนตกหนักจริง ๆ จะรู้ดีว่ามันยากแค่ไหนที่จะมองเห็นรถคันข้างหน้า เพราะฉะนั้นการเปิดไฟรถทั้งหน้าและหลัง ก็จะช่วยป้องกันอุบัติเหตุที่จะเกิดขึ้นและเพิ่มความปลอดภัยบนถนนได้เป็นอย่างดี

เพียงเท่านี้ การขับรถหน้าฝน ก็จะปลอดภัยมากยิ่งขึ้น เตรียมรถให้พร้อม ถ้าคนขับรู้เทคนิคการใช้รถด้วย ยังไงก็ถึงที่หมายโดยสวัสดิภาพ แต่ถึงอย่างไรรถทุกคันควรมีประกันรถยนต์ติดไว้ “ชัวร์” ขึ้นอีกขั้นว่าหากเกิดอุบัติเหตุก็ไม่ต้องกังวล และที่ Roojai.com ประกันรถออนไลน์ เราก็มีแผนประกันให้คุณเลือกและปรับเปลี่ยนได้เองตามต้องการ ซื้อง่าย ไม่ซับซ้อน ราคาดี และเชื่อใจได้ ต้อง Roojai.com รู้ใจกว่า ประหยัดกว่า แถมผ่อนเบี้ยสบายกระเป๋านานถึง 10 งวด ไม่ง้อบัตรเครดิต ใช้บัตรเดบิตผ่อนได้อีกด้วย

ตอนนี้ในทุกๆ วัน ปฎิเสธไม่ได้ว่าฝนได้เริ่มตกทุกวี่ทุกวันแล้ว ซึ่งถือว่าเป็นสัญญาณที่บ่งบอกว่าเราได้เข้าสู่หน้าฝนแล้ว ซึ่งการที่ฝนตกนั้นอาจทำให้ผู้ขับขี่รถยนต์เกิดความไม่สะดวกในขณะเดินทาง บางคนก็จอดหยุดพักรอฝนซา แล้วค่อยออกเดินทาง แต่บางคนกลับเลือกดั้นด้นขับเพื่อไปให้ถึงจุดหมาย การทำแบบนั้นถือว่าอันตรายมากๆ และเสี่ยงต่อการเกิดอันตรายบนท้องถนนได้

ข้อไม่ควรทำระหว่างขับรถขณะฝนตก

สำหรับช่วงนี้ที่มีฝนตกหนัก และมาพร้อมกับลมแรง Masii เลยรวบรวม ข้อไม่ควรทำขณะขับขี่รถยนต์ ในช่วงนี้มาฝากเพื่อนๆ ชาว CARRO กัน จะได้เตรียมตัว และป้องกันอันตรายที่สามารถเกิดขึ้นในช่วงหน้าฝนได้

Dont-Do-While-Driving-At-Raining

เปิดไฟสูง

เพื่อนๆ หลายคนมักคิดว่า ขณะที่ฝนตกอยู่นั้นต้องใช้ไฟสูง แต่จริงๆ แล้วลำแสงของไฟสูงจะไปชนกับดวงตาของรถคันที่สวนกับเรา จนสามารถเกิดตาพร่ามัวได้ เพราะฉะนั้นการเปิดไฟต่ำ ก็ถือว่าเพียงพอแล้ว

อย่าเหยียบเบรกแรง

หากสภาพพื้นถนนเปียก และมีความลื่นอยู่นั้น หลายคนมักจะเลือกเหยียบเบรกแบบชอบเหยียบกดแรงๆ ในยามที่กระชั้นชิด ซึ่งแน่นอนว่าจะได้ผลกับพื้นถนนที่แห้งสนิท แต่สำหรับช่วงที่ฝนตกนั้น น้ำฝนจะส่งผลให้การสัมผัสของหน้ายางกับถนนน้อยลงไป จนทำให้รถของเราเสียหลักได้ ดังนั้นควรเลือกผ่อนเบรกเบาๆ เรื่อยๆ จะดีกว่า

Dont-Do-While-Driving-At-Raining

อย่าลุยน้ำลึก

ในขณะที่ฝนกำลังตกหนักจนน้ำท่วมพื้นนั้น เพื่อนๆ มักจะเลือกขับลุยฝ่าระดับน้ำที่ท่วมได้ แต่การขับรถลุยน้ำแบบนี้จะสามารถทำได้กับเฉพาะรถบางรุ่นเท่านั้น แต่สำหรับบางรถรุ่นที่ไม่สามารถทำได้ การดั้นด้นขับฝ่าลุยน้ำไป จะทำให้ห้องเครื่องดับทันที วิธีที่ดีที่สุดคือควรประเมินดูว่าหากจะขับลุยน้ำ อย่าให้น้ำสูงเกินกว่าขอบประตูด้านล่าง

ไฟฉุกเฉิน

การเปิดไฟฉุกเฉิน และไฟกะพริบอยู่ตลอดเวลาขณะที่ฝนตกอยู่นั้น อย่าได้ทำโดยเด็ดขาด เพราะจะทำให้ผู้ขับขี่รถคันอื่นอาจเกิดอาการตาลาย และรวมไปถึงยากที่จะแยกแยะว่ารถของเรานั้น กำลังจะจอด หรือกำลังขับเคลื่อนอยู่

ในช่วงหน้าฝนแบบนี้ อันตราย และอุบัติเหตุ เป็นเรื่องที่ไม่สามารถคาดเดาได้เลย ดังนั้นการเลือกทำประกันรถยนต์ติดตัวไว้จะช่วยเพิ่มความอุ่นใจขณะขับขี่ตลอดเส้นทางเดินทางได้แน่นอน คลิกที่นี่ เพื่อเช็กเบี้ยประกันได้ทันที หากมีข้อมูลสงสัยอยากสอบถามโทร 02 710 3100 เรามีทีมงานคอยให้คำปรึกษา

ขอขอบคุณบทความดีๆ จาก www.masii.com

5-Way-For-Driving-Through-Floods

นี่ก็เข้าสู่ช่วงหน้าฝนอย่างเต็มตัวแล้วนะครับ ในแต่ละวัน นอกจากจะต้องมาลุ้นกับปัญหารถติดแล้ว บางวันอาจต้องลุ้นปัญหาฝนตกหนัก แล้วเกิดน้ำท่วม ต้องขับรถลุยน้ำกันอีกด้วย

แต่ถ้าเกิดรถเรามีปัญหา ช่วงตอนลุยน้ำล่ะ จะทำอย่างไร! เรียกให้คนมาช่วยกันเข็น เรียกตำรวจจราจรมาช่วย ถ้าเกิดไม่มีใครมาช่วย ลองเตรียมวิธีแก้ป้องกันปัญหาดีไหมล่ะ เพื่อเป็นการป้องกันไว้แต่เนิ่นๆ

Mr.Carro ขอนำเคล็ดลับดีๆ อย่าง 5 วิธี เอาตัวรอด หากต้องขับรถลุยน้ำ มาฝากทุกท่านครับ …

5-Way-For-Driving-Through-Floods

พกสเปรย์ไล่ความชื้น

สเปรย์ไล่ความชื้นมีประโยชน์อย่างมากในช่วงหน้าฝนแบบนี้ ควรหามาพกติดรถเอาไว้ กรณีรถสตาร์ทไม่ติด จะได้ไว้ฉีดตามขั้วแบตเตอรี่ ระบบไฟ จานจ่ายหัวเทียน คอยล์ต่างๆ หรือแผงฟิวส์ เพื่อไล่ความชื้นได้

5-Way-For-Driving-Through-Floods

ปิดแอร์

หากต้องขับรถลุยน้ำท่วม ควรปิดแอร์ เพราะถ้าเปิดแอร์ พัดลมไฟฟ้าของแอร์จะตีน้ำท่วม เข้ามากระจายไปในเครื่องยนต์ แล้วอาจทำให้ใบพัดแตกหัก หรือพัดเอาเศษขยะ เศษใบไม้ พลาสติก เข้ามาได้ ถ้าพัดลมไฟฟ้าเสียจะส่งผลต่อระบบระบายความร้อนของระบบแอร์อีก

ถ้าฝนไม่ตก ก็ใช้วิธีแง้มกระจกรถ เพื่อให้ลมเข้ามาหน่อยก็ได้ จะได้ไม่ร้อน

5-Way-For-Driving-Through-Floods

ใช้เกียร์ต่ำ ความเร็วสม่ำเสมอ

การขับรถลุยน้ำ ควรใช้เกียร์ 1 ก็พอ เพราะทำให้รถมีกำลังพอที่ต้านกระแสน้ำ จากรถคันอื่นที่สร้างคลื่นมาปะทะ รวมทั้งรักษาระดับความเร็วอย่างสม่ำเสมอ ใช้รอบเครื่องประมาณ 1,500-2,000 รอบ/นาที เพราะถ้ารอบเครื่องที่สูง จะทำให้สายพานหมุนแรงขึ้น จะปั่นน้ำกระจายไปทั่วห้องเครื่องยนต์ รวมถึงอาจทำให้พัดลมไฟฟ้าทำงาน ก็อาจจะตีน้ำเข้าเครื่องยนต์ได้

5-Way-For-Driving-Through-Floods

ขับช้าๆ เว้นระยะห่างจากคันหน้า

การขับรถลุยน้ำ ย่อมจะสร้างคลื่นให้ไปกระทบกับรถคันอื่นด้วย การขับรถช้าๆ นอกจากจะไม่ทำให้รถเราเครื่องดับแล้ว คลื่นจากรถเราจะไม่ไปกระแทกรถคันอื่นด้วย และควรเว้นระยะจากคันหน้า เผื่อคันหน้าเกิดเบรกกะทันหัน ก็จะได้หยุดทันนั่นเอง

5-Way-For-Driving-Through-Floods

ถึงที่หมายแล้ว ไม่ต้องรีบดับเครื่อง

หากคุณขับรถผ่านจุดที่น้ำท่วมมาแล้ว พยายามย้ำเบรกหลายๆ ครั้ง เพื่อให้ระบบเบรกไล่น้ำออกจากจานเบรกไปให้ได้มากที่สุด และถ้าหากถึงที่หมายแล้ว จอดติดเครื่องทิ้งไว้ก่อนสักประมาณ 5-10 นาที เพื่อไล่น้ำตามเครื่องยนต์ ตามท่อไอเสีย ระเหยออกจากระบบให้หมดนั่นเอง พร้อมกับเหยียบคลัทช์ย้ำๆ หลายๆ ครั้ง (ในรถเกียร์ธรรมดา) เพื่อรีดน้ำออก คลัทช์จะได้ไม่ลื่น

เห็นไหมครับ วิธีขับลยลุยน้ำ ง่ายนิดเดียว แค่ปฏิบัติตาม ก็เดินทางได้อย่างราบรื่นแล้วล่ะครับ

  • ขอขอบคุณภาพจาก ศูนย์ควบคุมและสั่งการจราจร – บก.02

มิถุนายนแล้ว แน่นอนว่าเรากำลังสู่ช่วงกลางปีอย่างแท้จริงแล้ว ส่วนสำหรับฤดูที่มาพร้อมกับกลางปีแบบนี้ คงหนีไม่พ้นจริงๆ สำหรับฤดูฝน ที่หลายคนต่างชื่นชอบและไม่ชื่นชอบ

สำหรับคนที่ชื่นชอบคงเพลิดเพลินไปกับเสียงน้ำฝนที่ตกลงมาจากท้องฟ้า แต่สำหรับใครไม่ที่ชื่นชอบฤดูฝนสิ คงปวดหัวกับการเดินทางไปไหนมา หรือแม้แต่การเผื่อเวลาสำหรับทำธุระในช่วงหน้าฝน ขับรถลุยน้ำท่วมอย่างไร ให้ปลอดภัย

สำหรับเพื่อนๆ คนไหน ที่มีความจำเป็นต้องใช้รถยนต์ของตนเองในการขับรถไปไหนมา ไม่สามารถจะใช้การขนส่งทางสาธารณะได้ คงแอบกังวลกันไม่น้อยสำหรับรถยนต์ของตัวเราเองว่า ถ้าหากเราขับรถไปลุยน้ำฝนขึ้นมา รถยนต์ของเราจะเสียหายไหมนะ หรือแม้แต่หากเกิดอุบัติเหตุขึ้นจะทำอย่างไรดี วันนี้มาสิมีเคล็ดลับขับรถลุยน้ำท่วมง่ายๆ ให้ปลอดภัยในช่วงหน้าฝนแบบนี้มาฝากกัน

Flood-In-Bangkok

ภาพจาก ศูนย์ควบคุมและสั่งการจราจร – บก.02

เช็กรถของตัวเองให้พร้อม

แน่นอนว่า วิธีเบื้องต้นที่เพื่อนๆ สามารถทำได้เลยคือ การเช็กรถยนต์ของเราให้มีสภาพพร้อมขับ ระบบส่องไฟสว่าง ไฟหน้า-หลัง ยังสามารถใช้งานได้อยู่ ไฟสัญญาณบอกทางต่างๆ หากเกิดชำรุดขึ้นมา ให้รีบแก้ไขโดยทันที ระบบเบรค ที่ปัดน้ำฝน ยางปัดน้ำฝน ตรงนี้เพื่อนๆ ก็ควรเช็กให้เรียบร้อย รวมไปถึงยาง ลูกดอกยาง ควรมีสภาพการใช้งานที่พร้อม

อย่าเหยียบเบรกกะทันหัน

บนท้องถนนที่ลื่นไหลจากการที่ฝนตกหนักนั้น เพื่อนๆ ควรอย่างยิ่ง ที่จะระมัดระวังอุบัติเหตุบนท้องถนนโดยเฉพาะการขับขี่รถยนต์ อย่าเหยียบเบรกกะทันหัน เพราะจะเกิดอุบัติเหตุหรืออันตรายได้ หากจำเป็นต้องเบรก แนะนำว่าให้ชะลอความเร็ว แล้วค่อยๆ เหยียบเบรกเอา

Flood-In-Bangkok

ภาพจาก ศูนย์ควบคุมและสั่งการจราจร – บก.02

ขับรถด้วยความเร็วคงที่

สำหรับเพื่อนๆ คนไหน ที่ชอบการขับรถเร็วเป็นปกติ อยากให้เพื่อนๆ ใจเย็นลงในช่วงหน้าฝนแบบนี้ หากเรายังปฎิบัติแบบนั้นอยู่ อุบัติเหตุและอันตรายจะสามารถเกิดขึ้นได้แน่นอน ควรขับอยู่ในความเร็วที่ 90 กม./ชม. เพื่อเป็นการปกป้องตัวเองและผู้โดยสารคนอื่นที่อยู่บนรถ รวมถึงเพื่อเป็นการใส่ใจเพื่อนร่วมทางด้วย

ฝนตกหนัก พักรถก่อน

หากเพื่อนๆ กำลังเผชิญกับฝนที่ตกลงมาอย่างหนัก ไม่สามารถมองเห็นทางและพื้นถนนได้ สิ่งที่เพื่อนๆ ควรทำอย่างยิ่ง คือ จอดรถข้างทางไว้ก่อนเพื่อเป็นการป้องกันอุบัติเหตุและอันตรายที่จะเกิดขึ้นได้ ไม่ควรที่จะฝืนขับไปยังจุดหมายเรื่อยๆ แบบนั้นจะยิ่งอันตรายมากกว่าเดิม พอฝนตกเบาลง ค่อยๆ ขับเคลื่อนรถไปอย่างช้าๆ ทำแบบนี้ รับรองว่าหายห่วงเรื่องอุบัติเหตุและอันตรายอย่างแน่นอน

Flood-In-Bangkok

ภาพจาก ศูนย์ควบคุมและสั่งการจราจร – บก.02

ทำประกันรถยนต์

อีกข้อหนึ่งที่หลายคนน่าจะทราบกันดีอยู่แล้วคือ การทำประกันภัยรถยนต์ เผื่อในกรณีที่เราต้องเจอกับอุบัติเหตุและอันตรายที่สามารถเกิดขึ้นในช่วงหน้าฝนแบบนี้ เพื่อที่ประกันภัยรถยนต์จะได้คุ้มครองเราและรถยนต์ เพื่อนๆ คนไหนที่ยังไม่ได้ทำหรือกำลังจะต่อประกันภัยรถยนต์ ก็ขอแนะนำให้รีบจัดการให้เรียบร้อยกันตั้งแต่ตอนนี้เลย

เท่านี้เพื่อนๆ ก็คงทราบถึงวิธีการขับรถลุยน้ำท่วมอย่างไรให้ปลอดภัยกันแล้ว หน้าฝนแบบนี้ ขับขี่รถกันอย่างระมัดระวังกันด้วยนะ เพราะอุบัติเหตุสามารถเกิดขึ้นได้หากเราประมาทจนเกินไป

ถ้าใครสนใจอยากทำประกันภัยรถยนต์ไว้ให้อุ่นใจ คลิกที่นี่ เพื่อเช็กเบี้ยประกันหรือโทร 02-7103100 เข้ามาสอบถามพูดคุยกับเจ้าหน้าที่ของมาสิกันได้เลย

ขอขอบคุณบทความดีๆ จาก www.masii.com

5 เหตุผล ทำไมถึงต้องล้างรถบ่อยขึ้น ในฤดูฝน

เมื่อเข้าสู่ฤดูฝนทีไร ฝน กับ รถ ดูเหมือนจะไม่ค่อยถูกกันเท่าไหร่นัก เพราะหากฝนตกหนักๆ น้ำท่วม ขับรถไปลุยน้ำแล้ว เดี๋ยวรถก็มีปัญหาเสียกลางทาง หรือน้ำเข้ารถอีก

ก็ในเมื่อหน้าฝน ฝนตกแทบทุกวันแบบนี้ แล้วจะต้องเสียเวลาล้างรถไปอีกทำไม? ปล่อยรถเลอะคราบดิน คราบโคลน คราบน้ำสกปรกแบบนี้ไป เดี๋ยวค่อยรวบยอด ไว้ล้างตอนสิ้นเดือนก็ได้

นับเป็นความเชื่อที่ผิดเลยครับ เพราะว่า หน้าฝน ฝนยิ่งตก ยิ่งต้องล้างรถครับ CARRO จะมาอธิบายถึง 5 เหตุผล ว่าทำไม “ฤดูฝน” ถึงต้องล้างรถบ่อยขึ้นครับ …

5 เหตุผล ทำไมถึงต้องล้างรถบ่อยขึ้น ในฤดูฝน

1. มลพิษ

เป็นที่ทราบกันดีครับ ว่าน้ำฝนในกรุงเทพฯ ในเมืองที่มีมลพิษเยอะ ควันพิษเยอะ น้ำฝนย่อมมีฤทธิ์เป็นกรด กัดกร่อนสีรถของเราให้หม่นหมอง ไม่เงางาม คุณจึงจำเป็นต้องล้างรถครับ

2. แสงแดด

อีกทั้งเมื่อขับรถลุยฝนมาแล้ว อย่าจอดรถตากแดด ยิ่งเจอแดดบ้านเราด้วยแล้ว สีรถยิ่งไปไวกว่าเดิมอีก เพราะแสงแดดจะทำให้คราบน้ำฝนแห้ง เป็นคราบฝังตัวแน่น ติดกับเนื้อกระจกรถ ตัวถังรถ และอาจกัดลงลึกลงถึงเนื้อสีได้

5 เหตุผล ทำไมถึงต้องล้างรถบ่อยขึ้น ในฤดูฝน

3. ใต้ต้นไม้

การจอดรถไว้ใต้ต้นไม้ใหญ่ ก็ถือว่าเป็นการให้ร่มเงาแก่รถ แต่ในเวลาที่ฝนตก หรือมีลมแรง เศษใบไม้ กิ่งไม้ รวมไปถึงละอองน้ำยางจากต้นไม้ (เช่น ใต้ต้นมะม่วง ต้นขนุน) จะร่วงหล่นลงมาทำความเสียหายให้กับสีรถของคุณ และตัวถังรถของคุณได้ จึงควรล้างรถให้สะอาด

4. ผ้าแห้ง

หลังจากที่จอดรถตากฝนแล้ว ไม่ควรใช้ผ้าแห้ง หรือผ้าขี้ริ้ว เช็ดบนตัวรถโดยทันที! เพราะเป็นสาเหตุก่อให้เกิดรอยบนตัวรถได้ ให้ฉีดน้ำสะอาดล้างที่ตัวรถไปก่อน เป็นการล้างเศษทราย โคลน ที่เกาะอยู่บนตัวถังรถ

5 เหตุผล ทำไมถึงต้องล้างรถบ่อยขึ้น ในฤดูฝน

5. เคลือบสีรถ

สิ่งสำคัญในท้ายที่สุด นั่นคือ การเคลือบสีรถ เพราะนอกจากจะนำให้รถเงางามแล้ว ยังช่วยป้องกันคราบน้ำฝนเกาะตัวเป็นเม็ดบนตัวถัง จึงช่วยลดการเกิดคราบน้ำบนตัวถัง และทำให้ล้างรถได้ง่ายขึ้น

ในการล้างรถ สิ่งสำคัญก็คือ ควรล้างรถในที่สว่างๆ ครับ ไม่ควรล้างตอนเย็นๆ ค่ำๆ หรือที่มืดๆ เพราะอาจจะทำให้ล้างหรือเช็ดได้ไม่หมดทุกจุด และอาจจะทำให้รถของคุณเกิดสนิมได้ เพียงแค่ล้างรถบ่อยๆ รถของคุณก็จะเงางามไปอีกยาวนานทุกฤดูแล้วครับ

สำหรับใครที่อยากขายรถคันเดิมตอนนี้ หรือกำลังตัดสินใจจะซื้อรถป้ายแดงอยู่พอดี แต่งบไม่พอ!  มาขายรถกับ CARRO Express สิ! หรือจะ Inbox มาขอรายละเอียดได้ที่ Facebook -> CARRO Thailand และ Add Line สอบถามรายละเอียดได้เช่นกัน ที่ @carrothai

และอีกหนึ่งบริการใหม่! CARRO Automall แหล่งรวมรถมือสองคุณภาพเยี่ยม ผ่านการตรวจสภาพแบบ Double Check รับประกันพร้อมโอนทุกคัน ฟรี! ค่าจัดโอน มีให้เลือกชมเพียบ เปิดบริการทุกวัน อยากซื้อรถคุณภาพเยี่ยม มาซื้อกับ CARRO Automall สิ!

หรือสนใจรถรุ่นไหนอยู่ แต่หาไม่ได้ สามารถสั่งตามออเดอร์ได้ที่นี้ > https://th.carro.co/buy-car หรือโทร. 02-508-8690 อีกทั้งยัง Inbox เข้ามาสอบถามก็ได้เช่นกันได้ที่ Facebook -> CARRO Automall – รถบ้านมือสอง หรือทาง Line เชิญเลยครับที่ @carroautomall

ในช่วงที่ฝนตกกันเป็นประจำอยู่แทบทุกวันนั้น สิ่งที่สำคัญสิ่งหนึ่ง ที่ช่วยให้การขับรถตอนฝนตกของคุณเป็นไปอย่างราบรื่นนั่นคือ “ใบปัดน้ำฝน” อุปกรณ์ชิ้นเล็กๆ แต่มีความสำคัญไม่แพ้ส่วนอื่นๆ ของรถยนต์ ที่บางทีหลายคนอาจละเลยหรือมองข้ามไป

ยิ่งบ้านเราเมืองร้อน ยางปัดน้ำฝนโดนแดดมักเสื่อมสภาพไว บางทีก็กรอบ รถบางคันไม่ได้ใช้นานๆ พอเอาออกมาขับตอนฝนตก อ้าว ปัดน้ำฝน ปัดแล้วยางแข็ง ขูดกระจกเสียงดัง แถมปัดไม่เกลี้ยงอีก

ทาง MR.CARRO ขอแนะนำเคล็ดลับ ในการใช้งานและเลือกใช้ใบปัดน้ำฝนครับ

Check-Wiper-Your-Car

การเลือกซื้อใบปัดน้ำฝน

การเลือกซื้อใบปัดน้ำฝนที่ดี ควรเลือกขนาดตามแบบมาตรฐานที่ติดรถยนต์มาจึงจะดีที่สุด เพราะตรงตามมาตรฐานของผู้ผลิตรถยนต์เลือกใช้ หากนำใบปัดน้ำฝนขนาดเล็กกว่าที่ติดอยู่เดิม อาจทำให้รัศมีในการปัดน้ำฝนบนหน้ากระจกน้อยลง หากใบปัดน้ำฝนมีขนาดใหญ่มากไป ใบปัดจะเลยขอบกระจก ทำให้มีอายุการใช้งานสั้นลง

ที่สำคัญ ยางใบปัดน้ำฝนต้องผลิตจากวัสดุและเนื้อยาง (หรือซิลิโคน) ที่มีคุณภาพ ทนทานต่อสภาพอากาศร้อน โครงของใบปัดน้ำฝนทำจากโลหะ เพื่อป้องกันการกระพือจากแรงลมในขณะขับรถด้วยความเร็วสูง และช่วยเพิ่มน้ำหนักในการรีดน้ำจากกระจก แนบสนิทกับกระบังลมหน้า-หลัง

และอีกแบบที่นิยมกันในปัจจุบัน ก็จะเป็นแบบไร้โครง (Flat-Blade Wiper) โดยจะเป็นเนื้อยางชิ้นหนา สามารถกระจายแรงกดของใบปัดไปยังพื้นผิวกระจกได้เท่ากันทั้งชิ้น ต่างจากที่ปัดน้ำฝนแบบมีโครงก้านยึดจำนวนหลายจุด ส่งผลให้การกระจายแรงกดไม่เท่ากัน

Thick-To-Change-Wiper-By-Yourself

เช็คใบปัดน้ำฝนเสื่อมสภาพ

ใบปัดน้ำฝนที่เสื่อมสภาพแล้วเป็นอย่างไร? สังเกตได้จาก เนื้อยางเริ่มแข็งกรอบและมีรอยแตกฉีกขาด เวลาปัด มีเสียงปัดน้ำฝนเสียดสีกับกระจกเสียงดังครืดคราด ปัดแล้วรีดน้ำออกจากกระจกไม่หมด มีคราบน้ำ ละอองน้ำ เป็นม่านบนกระจก

Check-Wiper-Your-Car

วิธีดูแลใบปัดน้ำฝน

วิธีดูแลใบปัดน้ำฝน หากเป็นไปได้ หมั่นจอดรถในที่ร่ม เพื่อป้องกันแสงแดด ที่ทำให้ยางใบปัดน้ำฝนแข็งกรอบ เพราะยางต้องแนบกับกระจกที่รับความร้อน ควรยกก้านใบปัดน้ำฝนขึ้น และใช้ผ้าชุบน้ำ เช็ดตามแนวยาวของใบปัดน้ำฝน ถ้าเป็นไปได้ ควรใช้น้ำยาเช็ดกระจกให้ลื่นและเงา เพื่อเสริมให้ปัดน้ำฝนทำงานได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ

อ่านเพิ่มเติม : ที่ปัดน้ำฝนมีเสียง! เปลี่ยนใหม่ง่ายๆ ได้ด้วยตัวเอง

ในส่วนของหัวฉีดปัดน้ำฝนก็สำคัญ หากเกิดการอุดตัน ให้นำเข็มหมุดแหย่บริเวณรูฉีดน้ำ เพราะอาจจะเศษฝุ่นอุดตันอยู่ ทำให้น้ำไม่พุ่งออกมาเต็มที่ อีกทั้งหมั่นเติมน้ำแชมพูสำหรับไว้ฉีดล้างกระจกให้พร้อม เพื่อขจัดคราบสกปรกเวลาใช้งานปัดน้ำฝน

Check-Wiper-Your-Car

ถือเป็นเคล็ดลับที่คุณควรรู้ไว้ สำหรับในการดูแลรักษารถยนต์ของคุณครับ MR.CARRO ขอแนะนำให้คุณควรเปลี่ยนปัดน้ำฝน ทุกๆ 1 ปี เพื่อให้คุณขับขี่รถลุยฝนได้อย่างมั่นใจ

ส่วนใครที่อยากขายรถ หรือมีเพื่อนฝูงกำลังหาที่ขายรถอยู่ CARRO เรารับซื้อรถของคุณ สามารถเข้าไปเช็กราคา ตีราคาขายรถก่อนได้ โดยใส่ข้อมูลรถของคุณที่นี่เลย กับ CARRO Express > https://th.carro.co/sell-car/express หรือโทร. 02-508-8425

หรือใครจะ Inbox มาสอบถามก็ได้เช่นกัน ที่ Facebook CARRO Thailand หรือสะดวก Add Line ก็ที่ @Carrothailand หรือคลิกที่นี่ครับ —> เพิ่มเพื่อน

5 วิธีขับรถลุยน้ำท่วม

การขับรถลุยน้ำท่วม ต้องใช้ความระมัดระวัง

น้ำท่วม

          ในช่วงหน้าฝนแบบนี้ ข่าวคราวที่เราได้ยินกันบ่อยที่สุดอีกข่าวหนึ่ง นั่นก็คือข่าว “น้ำท่วม” ที่กำลังประสบอยู่ในหลายๆ จังหวัด และหลายคนก็ยังจำเป็นต้องใช้รถยนต์ ในสถานการณ์ที่กำลังน้ำท่วมในขณะนี้ ทาง Carro Thailand ขอแนะนำวิธีเตรียมตัวและขับรถลุยน้ำท่วม ได้อย่างปลอดภัย ครับ

น้ำท่วม

1. การขับรถเมื่อฝนตกใหม่ๆ ต้องใช้ความระมัดระวังมาก เพราะน้ำฝนและฝุ่นโคลน จะจับตัวกันกลายเป็นฟิล์มระหว่างยางกับพื้นถนน รถจะเกิดการลื่นเมื่อวิ่งผ่าน ควรขับรถผ่านด้วยความเร็วต่ำ จะทำให้รถเกาะถนนได้ดีขึ้น และควรถอนคันเร่งเมื่อขับรถผ่านแอ่งน้ำ พร้อมทั้งเปิดไฟหน้าไว้ รักษาความเร็วและรอบเครื่องยนต์ให้อยู่ในระดับเดียวกันอย่างสม่ำเสมอ ลดการใช้เบรก โดยการถอนคันเร่งเพื่อชลอให้รถลดความเร็วลงแทน

น้ำท่วม-6

2. กรณีที่จอดรถไว้ แล้วรถถูกน้ำท่วมในระดับสูงกว่าระดับเครื่องยนต์ สิ่งแรกที่ควรปฏิบัติ คือ ห้ามสตาร์ทรถเด็ดขาด เพราะอาจให้ระบบไฟฟ้า ภายในรถยนต์ช็อต เกิดความเสียหายได้ เบื้องต้นควรถอดขั้วแบตเตอรี่ออก รวมทั้งบริเวณแผงฟิวส์ รีเลย์ กล่อง ECU เพื่อไม่ให้ไฟเข้าไปเลี้ยงระบบต่างๆ ของรถ ก่อนจะนำรถเข้าศูนย์บริการเพื่อเปลี่ยนถ่ายของเหลวภายในระบบรถยนต์ทั้งหมด พร้อมทั้งตรวจเช็คระบบเบรก ช่วงล่าง และระบบไฟฟ้า

น้ำท่วม

3. หากขับรถลุยน้ำท่วมในระดับที่ไม่สูงนัก สามารถค่อยๆ ไปได้เรื่อยๆ สำหรับเกียร์ธรรมดา ควรใช้เกียร์ต่ำที่เกียร์ 1, 2 หากเกียร์อัตโนมัติที่ L หรือ D2 เป็นต้น จนกระทั่งถ้าระดับที่ผิวน้ำสูงถึงใต้ท้องรถจนได้ยินเสียงน้ำกระแทก ควรขับให้ช้าที่สุดเท่าที่จะทำได้ เพื่อหลีกเลี่ยงการสร้างคลื่นน้ำที่จะไปปะทะกับรถยนต์คันอื่น และการตกหลุมบ่อที่พื้นถนน โดยรักษาระดับจากรถคันหน้าไว้

น้ำท่วม

4. ห้ามเปิดแอร์เด็ดขาด ในขณะขับรถลุยน้ำ หากฝนหยุดตกก็เปิดกระจกรถขับลุยน้ำท่วมแทน เนื่องจากพัดลมไฟฟ้าของแอร์จะทำงาน อาจจะทำให้เครื่องยนต์ดับและไม่สามารถไปต่อได้ อีกทั้งอาจจะมีเศษขยะที่ลอยติดเข้ามากับน้ำ เข้าไปในระบบเครื่องยนต์ และสร้างความเสียหายกับตัวพัดลมไฟฟ้าได้ ในกรณีที่พัดลมไฟฟ้าดูดเอาสิ่งเศษขยะต่างๆ ที่ลอยมากับน้ำ

น้ำท่วม

5. หลังจากที่คุณขับรถลุยน้ำแล้ว แนะนำให้ล้างรถ ฉีดน้ำล้างช่วงล่างให้ทั่ว ใช้แปรงขนอ่อนๆ ขัดเอาเศษทราย เศษโคลนออก เป่าลมในห้องเครื่อง บริเวณแผงฟิวส์ หรือตามสายไฟจุดต่างๆ ที่คิดว่าน้ำเข้าถึง เพื่อไล่ความชื้นออก ตรวจดูระดับของเหลวต่างๆ ที่อยู่ในห้องเครื่องยนต์ ว่ามีน้ำเข้าไปเจือปนอยู่หรือไม่ เช็คลูกปืนล้อ และลองเหยียบคลัทช์ และย้ำเบรคเบาๆ เพื่อรีดน้ำและไล่ความชื้นออก เพื่อให้ผ้าเบรกรีดน้ำออกจากจานเบรก และเพื่อให้ไอน้ำจากจานเบรก ทั้งแบบดิสก์เบรก และดรัมเบรก ร้อนจนระเหยกลายเป็นไอ

Police-Flood

          แต่ในความเป็นจริงแล้ว รถยนต์ส่วนใหญ่ ถูกออกแบบมาให้เพื่อลุยน้ำได้ในระดับหนึ่งเท่านั้น โดยรถยนต์ประเภทรถกระบะยกสูง รถ SUV ทั้งหลาย สามารถลุยน้ำได้สูงหน่อย (แต่ก็ไม่เกิน 80 ซม.) หากถ้าระดับน้ำมีความสูงมากกว่านั้น ก็ไม่ควรเสี่ยงอย่างยิ่งในการไปต่อครับผม

หลังขับรถลุยน้ำท่วมมา หากมีโอกาส ก็ควรนำรถไปให้ศูนย์บริการตรวจเช็ค หากรถมีอาการผิดปกติก็จะได้สามารถแก้ได้ทันการ ช่วยป้องกันอันตรายที่อาจเกิดขึ้นได้ ด้วยความปรารถนาดีจาก Carro Thailand ครับ

ขอขอบคุณภาพจาก มหัศจรรย์สกลนคร และ ศูนย์ควบคุมและสั่งการจราจร – บก.02