Carro-Masii-Old-Car-Can-Do-First-Class-Insurance

ในปัจจุบัน การเลือกซื้อหรือใช้งานรถยนต์มือสอง ยังคงได้รับความนิยมอย่างต่อเนื่อง โดยเหตุผลที่ว่ารถมือสองมักจะเสนอขายในราคาที่ถูกกว่า รวมไปถึงถ้าหากเราเลือกรถมือสองที่มีคุณภาพ ไม่ว่าจะเป็นสภาพรถทั้งในและนอก เราเองก็จะได้รถมือสองที่คุณภาพดีไม่แพ้รถมือหนึ่งเลย

หากมีรถยนต์เป็นของตัวเอง การเลือกทำประกันรถยนต์เป็นสิ่งสำคัญที่เพื่อนๆ หลายคนควรทำ แต่สำหรับรถมือสอง เราควรจะทำประกันรถยนต์ชั้น 1 เลยดีมั้ยนะ หรือว่าควรเลือกตามความเหมาะสมกับตัวเองดี วันนี้ masii มาคำตอบมาฝากชาว Carro กันจ้า

Carro-Masii-Old-Car-Can-Do-First-Class-Insurance

เพื่อนๆ หลายคนมักจะมองว่าการเลือกทำประกันรถยนต์ชั้น 1 ให้กับรถมือสองเป็นสิ่งที่สิ้นเปลือง เพราะเนื่องจากมีการใช้งานมาสักระยะแล้ว หากเป็นรถมือหนึ่ง หรือรถป้ายแดง แบบนี้สิที่ควรจะทำ

แต่การทำประกันรถยนต์นั้นเรามีไว้เพื่อความอุ่นใจ ในกรณีที่เกิดความเสี่ยงด้านอุบัติเหตุกับเพื่อนๆ แม้จะมีความมั่นใจว่าขับรถปลอดภัยอยู่แล้ว แต่อุบัติเหตุบนท้องถนนสามารถเกิดขึ้นได้เสมอ

ดังนั้น การเลือกทำประกันรถยนต์ชั้น 1 จะช่วยให้เพื่อนๆ อุ่นใจได้มากขึ้นกว่าเดิม เพราะได้รับความคุ้มครองที่ครอบคลุมกว่าประกันรถยนต์ชั้นอื่นๆ อย่างแน่นอน

Carro-Masii-Old-Car-Can-Do-First-Class-Insurance

แต่เพื่อนๆ คนไหนที่ขับรถมือสอง เกิดอยากจะทำประกันชั้น 1 ควรจะเป็นรถยนต์ที่อายุไม่เกิน 10 ปีนะ แต่ทั้งนี้ก็ขึ้นอยู่กับเงื่อนไขของแต่ละบริษัทประกัน เพราะบางแห่งก็สามารถรับรถยนต์ที่มีอายุมากกว่า 10 ปี ได้อีกด้วยนะ

สำหรับเพื่อนๆ คนไหนที่มองหาประกันรถยนต์ที่เบี้ยไม่แพงนัก ประกันรถยนต์ชั้น 2+ นั้นเหมาะมากๆ สำหรับรถมือสอง เพราะให้ความคุ้มครองใกล้เคียงกับประกันชั้น 1 เลย หลักๆ คือ คุ้มครองความเสียหายต่อร่างกายและทรัพย์สินของคู่กรณี ค่ารักษาพยาบาล และค่าชดเชยอุบัติเหตุ

หากสนใจอยากทำประกันรถยนต์ เพื่อนๆ สามารถ คลิกที่นี่ เพื่อเปรียบเทียบประกันรถยนต์​ รวมไปถึงเช็กเบี้ยประกันรถยนต์ได้อีกด้วยนะ หากมีคำถามสงสัย สามารถโทรเข้ามาได้ที่ 02-7103100 เรามีทีมงานคอยให้คำตอบอยู่จ้า

ขอขอบคุณบทความดีๆ จาก www.masii.com

Drive-Wear-Shoes-Or-Without-Shoes

นี่ก็นับเป็นปัญหาโลกแตก ของคนขับรถอีกละครับ สำหรับเรื่อง “รองเท้า”

บางคนบอก ใส่รองเท้าขับรถดีกว่า เพราะอย่างน้อย มันก็ปลอดภัยเวลาขับรถ ที่รองเท้าอาจจะไหลลื่น ไปขัดกับคลัทช์, เบรก หรือ คันเร่ง จนไม่สามารถเหยียบได้ เกิดอุบัติเหตุเมหือนที่เป็นข่าวอยู่หลายครั้ง … แต่ฝ่ายที่บอกว่า ไม่ใส่รองเท้าขับรถ เพราะว่าเวลาเหยียบคลัทช์, เบรก และคันเร่ง มันกะน้ำหนักได้มากกว่าใส่รองเท้า

ลองมาดูกันว่า เวลาขับรถ ใส่รองเท้า หรือไม่ใส่รองเท้า อันไหนดีกว่ากัน เหมาะกว่ากัน?

Drive-Wear-Shoes-Or-Without-Shoes

โดยปกติแล้ว แป้นคลัทช์, เบรก และคันเร่ง ออกแบบมาสำหรับให้รองรับกับรองเท้า ซึ่งการขับขี่รถยนต์โดยใส่รองเท้า นับว่าถูกต้อง แต่การเลือกรองเท้าที่เหมาะสม ใส่แล้วกระชับ ไม่หลวมหรือแน่นจนเกินไป ก็จะช่วยให้ขับรถได้อย่างสะดวกสบายมากขึ้น ซึ่งเดี๋ยวนี้ยังมีการผลิตรองเท้าสำหรับใส่ขับรถ ออกมาขายอีกด้วยนะครับ

Drive-Wear-Shoes-Or-Without-Shoes

โดยรองเท้าอะไรบ้าง ที่ไม่เหมาะสมเวลาใส่ขับรถ Mr.Carro ขออธิบายดังนี้

– รองเท้าส้นสูง เพราะ ส้นของรองเท้า อาจไปติดกับเบรกหรือคันเร่ง ทำให้เกิดอุบัติเหตุได้
– รองเท้าแตะ เพราะ รองเท้าแตะบางคู่ พื้นเรียบจนลื่นแล้ว อาจทำให้เหยียบแป้นคลัทช์, เบรก และคันเร่ง พลาดได้ กรณีที่เข้ามานั่งขับรถช่วงฝนตก
– รองเท้าหลวม เพราะ เท้าที่เล็กกว่ารองเท้า ทำให้การเหยียบแป้นคลัทช์, เบรก และคันเร่ง ได้ลำบากมากขึ้น

Drive-Wear-Shoes-Or-Without-Shoes

การขับรถโดยถอดรองเท้า ตามจริงแล้วก็ไม่ผิดนะครับ (ยกเว้นผู้ที่เป็นคนขับรถสาธารณะ ไม่สามารถถอดรองเท้าขับรถได้ เพราะผิดกฎหมาย) เพียงแต่ไม่ปลอดภัย และอาจทำให้เกิดอุบัติเหตุได้ กรณีที่มีรองเท้า ไหลเข้าไปขัดอยู่ที่แป้นคลัทช์, เบรก และคันเร่ง

อีกทั้งการวางสิ่งของต่างๆ เช่น ขวดน้ำ กระบอกน้ำ กล่องแว่นตา กระเป๋า ไว้บริเวณที่พักเท้าด้านคนขับ ก็ยังจัดว่าอัตรายอีกด้วย! เพราะสิ่งของอาจะเลื่อนไหลไปขัดที่แป้นคลัทช์, เบรก และคันเร่ง ได้!

ถ้าคุณเกิดอยากตัดสินใจขายรถด่วนๆ เพื่อไปซื้อรถคันใหม่ที่ประหยัดน้ำมันขึ้น หรือขับเคลื่อนธุรกิจคุณ สามารถขายรถคันเดิมกับ Carro ได้ ง่ายๆ ได้เงินไว! กับ Carro Express เพียงแค่คลิก https://th.carro.co/sell-car/express หรือสามารถ Inbox มาขอรายละเอียดได้ที่ Facebook Carro Thailand

หรือจะ Add Line สอบถามรายละเอียดได้ที่ @Carrothailand หรือคลิกที่นี่ครับ —> เพิ่มเพื่อน

หลายคนอาจตกใจ เมื่อเห็นหัวข้อของบทความนี้ ทำไมตั้งซะดูโหดร้ายจังเลย โดยเฉพาะคนรักสุนัข คนรักสัตว์

แต่ก็เป็นที่ทราบกันดี เพราะปัญหาสุนัขจรจัด (หรือ หมาจรจัด) ก็ยังเป็นปัญหาที่แก้ไม่ตก และเป็นปัญหาที่เรื้อรังมาอย่างยาวนาน จากคนที่ไร้ความรับผิดชอบ หรือเลี้ยงไม่ไหว ก็มักจะแอบไปปล่อยตามวัด หรือตามซอยต่างๆ จนออกลูกหลานเต็มไปหมด

Human-and-Dog

คุณอาจจะเคยเห็นหมาที่นั่งๆ นอนๆ ตามหน้าร้านสะดวกซื้อ หรือตามสถานที่ต่างๆ ที่คนรักสัตว์ มักจะเอ็นดู ชื่นชอบและสงสาร คอยให้อาหารกันอยู่เป็นประจำ

แต่ในขณะเดียวกัน สุนัขเองก็มีไปสร้างความเดือดร้อน (ที่เวลาไปสร้างความเดือดร้อนให้ใคร ก็จะหาคนที่มารับผิดชอบได้ยาก หรือไม่มี) เช่น การขับถ่าย ขี้-เยี่ยว เรี่ยราด หรือไล่กัดชาวบ้านที่เดินไปมา บางทีจู่ๆ กัดกันเอง หรือตกใจเสียงดังอะไรสักอย่าง วิ่งเตลิดออกทำคนตกใจไปทั่วก็มี

Family-Driving

สมมติว่าคุณขับรถไปบนถนนเส้นหนึ่ง ด้วยความเร็วพอประมาณ อยู่ๆ ก็มีหมาที่วิ่งออกมาจากไหนก็ไม่รู้ ตัดหน้ารถกะทันหัน ถ้าเป็นคุณจะทำอย่างไร?

ในกรณีที่คุณตัดสินใจ “หักหลบเข้าข้างทาง” นั้น ถือว่าเป็นสิ่งที่ควรปฏิบัติ “แต่” ก็ต้องมี “สติ” และดูสถานการณ์รอบข้างด้วย ว่าไม่มีสิ่งกีดขวางอะไรใดๆ รอบด้าน หรือรถวิ่งสวนมาในมุมที่คุณจะหักหลบไป และดูความเร็วที่ใช้มาด้วย เพราะการหักหลบ อาจกลายเป็นเกิดอุบัติเหตุซ้ำซ้อน ก่อให้เกิดเรื่องมากกว่าที่คิด ไม่งั้น คุณอาจจะเจ็บตัวแทนหมาที่วิ่งตัดหน้ารถคุณแทน

แต่ถ้าหากคุณตัดสินใจ “ชนหมาทันที” นั้น ต้องเป็นเฉพาะเข้ามากระชั้นชิดจริงๆ แบบที่ไม่มีทางหลบได้แล้ว

เพราะการชนหมา ก็ทำให้รถคุณเกิดความเสียหายขึ้นแน่นอน และต้องจ่ายซ่อมรถเอง ยกเว้นว่ารถประกันภัยชั้น 1 ก็จะได้รับความคุ้มครองและดูแลความเสียหายเกี่ยวกับรถยนต์ และทรัพย์สินของบุคคลภายนอกตามที่ระบุไว้ตามกรมธรรม์

Car-Warning-System

แต่ถ้าคุณตัดสินใจ “เบรกอย่างรุนแรง” (หรือกระทืบเบรก) ถ้าคุณมองกระจกมองหลัง กระจกมองข้างในเสี้ยววินาทีแล้วว่า ไม่มีรถ หรือมอเตอร์ไซค์วิ่งตามหลังมา ก็เบรกได้เลย แต่คุณก็ต้องประคองรถให้ดีๆ ถึงแม้ว่ารถรุ่นใหม่ๆ แทบทุกรุ่น จะมีติดตั้งระบบเบรก ABS ป้องกันล้อล็อคตาย หรือระบบเบรกฉุกเฉินอัตโนมัติ มาให้ก็ตาม

แต่ถ้าจะให้ดีที่สุด ถ้าคุณขับรถผ่านในที่ชุมชน อย่าขับเร็วมาก (ใช้ความเร็วประมาณ 30-50 กม./ชม. ก็เพียงพอแล้ว) และหมั่นสังเกตสองข้างทาง จะมีหมา (หรือคน) มีท่าทีจะวิ่งออกมาตัดหน้ารถเราหรือเปล่า กดแตรเตือนไปก่อน (ไม่ต้องกดแตรถี่ๆ เดี๋ยวจะกลายหมาเป็นตกใจขึ้นมาแทน) ก็ช่วยชีวิตมันได้แล้ว เพราะสัตว์ไม่เข้าใจ หรือกะในเรื่องความเร็วรถที่วิ่งมาได้หรอกครับ

เพราะหมามันก็รักชีวิต เท่ากับเราเหมือนกัน

Car-Accident

กรณีที่หมามีเจ้าของ แล้วเกิดเรื่องแบบนี้ ใครจะต้องรับผิดชอบ?

ตาม พ.ร.บ. จราจรทางบก พ.ศ. 2522 มาตรา 111 ซึ่งบัญญัติห้ามมิให้ผู้ใดขี่ จูง ไล่ต้อนหรือปล่อยสัตว์ไปบนทางในลักษณะที่เป็นการกีดขวางการจราจรและไม่มีผู้ควบคุมเพียงพอ

เมื่อเจ้าของหมา ดูแลหมาไม่ได้ ก็ต้องรับผิดชอบตามกฎหมาย และ พรบ. ป้องกันการทารุณกรรมสัตว์ฯ

ซึ่ง พ.ร.บ. ป้องกันทารุณกรรมและการจัดสวัสดิภาพสัตว์ มาตรา 23 กล่าวว่า ด้วยการห้ามมิให้เจ้าของสัตว์ปล่อย ละทิ้ง หรือกระทําการใดๆ ให้สัตว์พ้นจากการดูแลของตนโดยไม่มีเหตุอันสมควร หากฝ่าฝืนต้องระวางโทษปรับไม่เกินสี่หมื่นบาท

เจ้าของสัตว์จึงต้องรับผิด เว้นแต่คนขับรถจะขับรถประมาท ก็ต้องรับผิดตามสัดส่วน ว่าใครประมาท มากกว่ากัน

ส่วนใครที่อยากขายรถ หรือมีเพื่อนฝูงกำลังหาที่ขายรถอยู่ CARRO เรารับซื้อรถของคุณ สามารถเข้าไปเช็กราคา ตีราคาขายรถก่อนได้ โดยใส่ข้อมูลรถของคุณที่นี่เลย กับ CARRO Express > https://th.carro.co/sell-car/express หรือโทร. 02-508-8425

หรือใครจะ Inbox มาสอบถามก็ได้เช่นกัน ที่ Facebook CARRO Thailand หรือสะดวก Add Line ก็ที่ @Carrothailand หรือคลิกที่นี่ครับ —> เพิ่มเพื่อน

ขอขอบคุณข้อมูลกฏหมายจาก

  • ทนายเกิดผล แก้วเกิด
Carro-Driving-On-Road-Shoulder

ปัญหาที่แก้ไม่ได้ของสังคมไทย คือ การขับรถที่ไร้ระเบียบวินัย

Driving-On-Road-Shoulder

เวลาคุณขับรถบนทางด่วนช่วงเวลาเร่งด่วน ขับรถออกต่างจังหวัดช่วงเทศกาล คุณเคยสังเกตไหมครับว่า ที่ไหล่ทาง มักจะมีรถยนต์จำนวนมาก วิ่งคร่อมไหล่ทางบ้าง วิ่งในไหล่ทางบ้างล่ะ เพื่อที่จะไปปาด เบียดข้างหน้า หรือแซงข้างหน้า เป็นประจำ ทำให้รถติดมากขึ้น หรือเกะกะกีดขวางการจราจรของรถกู้ภัย หรือรถพยาบาล

ซึ่งเป็นการแสดงให้เห็นว่า ประเทศเรา หย่อนยานและละเลยในการปฏิบัติตามกฎจราจรมากๆ เป็นปัญหาที่ชาตินี้ ไม่มีทางแก้ไขและปฏิบัติอย่างเป็นรูปธรรมได้ซะที

ซึ่งก็ก่อให้เกิดอุบัติเหตุมาหลายต่อหลายครั้งแล้ว (ซึ่งไม่กี่วันก่อน ก็เพิ่งเกิดบนทางด่วนมาหมาดๆ) ก่อให้เกิดความสูญเสียในชีวิต และทรัพย์สินเป็นจำนวนมาก

Driving-On-Road-Shoulder

แก้ปัญหาไม่ได้ ก็วางแบริเออร์น้ำ ซะเลย …

พ.ร.บ. จราจรทางบกฯ พ.ศ. 2522 มาตรา 103 ระบุว่า ทางใดที่มีทางเท้า หรือไหล่ทาง อยู่ข้างทางเดินรถ ให้คนเดินเท้าเดินบนทางเท้าหรือไหล่ทาง ถ้าทางนั้นไม่มีทางเท้าอยู่ข้างทางเดินรถ ให้เดินริมทางด้านขวาของตน

… แสดงให้เห็นว่า บนถนนทั่วไป กฎหมายกำหนดให้ไหล่ทาง เป็นทางสำหรับคนเดินเท้า หรือสำหรับจักรยานปั่น ไม่ใช่ให้รถวิ่ง แต่บางที เจ้าหน้าที่ตำรวจจราจร ก็เรียกรถให้ไปวิ่งไหล่ในทางเพื่อระบายรถได้ ซึ่งก็ไม่ใช่ว่าใครก็ตาม จะเปิดเลนพิเศษเข้าไปวิ่งในไหล่ทางได้ตามอำเภอใจ

แม้จะมีตำรวจ โบกให้รถเข้าไปวิ่งในไหล่ทาง ในช่วงเวลาเร่งด่วน ก็ต้องระมัดระวังรถที่จอดอยู่ จักรยานที่ปั่นอยู่ หรือคนที่เดินสัญจรไปมา เพราะหากเกิดอุบัติเหตุขึ้น รถที่วิ่งไหล่ทางย่อมเป็นฝ่ายผิด เพราะฝ่าฝืนกฎจราจรเข้าวิ่งช่องทางที่ไม่ได้จัดไว้สำหรับเป็นทางเดินรถ แม้จะมีเจ้าหน้าที่ตำรวจโบกให้เข้าใช้ได้ก็ตาม

และสำหรับบนทางด่วน จะตีเส้นทึบไหล่ทางตลอดแนวห้ามรถเข้าไปวิ่ง ยกเว้นกรณีรถจอดเสีย หรือเกิดอุบัติเหตุ อนุญาตให้นำรถเข้าไปจอดชั่วคราวได้เพื่อความปลอดภัยและไม่ให้กีดขวางการจราจร … แต่ตำรวจทางด่วน ก็โบกรถให้รถสามารถเข้าไปวิ่งในไหล่ทางได้ ในช่วงเวลาเร่งด่วนด้วยเช่นกัน

Driving-On-Road-Shoulder

ภาพจาก Fanpage ลิงรู้เรื่อง

ด้าน พล.ต.ต.จิรพัฒน์ ภูมิจิตร รอง ผบช.น. ได้ชี้แจงว่า ไหล่ทางไม่ใช่ช่องทางเดินรถ แต่เป็นช่องทางสำหรับจอดรถกรณีเกิดเหตุฉุกเฉิน ไม่ว่ารถเสีย รถชน หรือเป็นช่องทางสำหรับรถพยาบาล รถฉุกเฉินที่จะนำผู้ป่วยส่งโรงพยาบาล แต่ปัจจุบันกลับพบว่ามีประชาชนที่ใช้ทางด่วนเข้าไปวิ่งไหล่ทางเป็นจำนวนมาก ส่งผลให้เกิดอุบัติเหตุกับรถที่จอดเสียบ่อยครั้ง

จน บช.น. ต้องหารือกับ การทางพิเศษแห่งประเทศไทย (กทพ.) เพื่อกำหนดมาตรการดูแลและป้องกันอุบัติเหตุ ไม่ว่าจะเป็นการบังคับใช้กฎหมายกับผู้ฝ่าฝืนวิ่งบนไหล่ทาง เพราะตามกฎหมายจราจรระบุ ไว้ชัดเจนว่า ห้ามรถเข้าไปวิ่งไหล่ทาง หากฝ่าฝืนเข้าไปวิ่งจะถือเป็นการกระทำความผิดฝ่าฝืนเครื่องหมายบนพื้นที่ มีโทษปรับไม่เกิน 1,000 บาท

ขอบคุณข้อมูลบางส่วนจาก

4-วิธีเอาตัวรอดจากอุบัติเหตุ-“รถตกเขา

ขับรถบนเขาให้ปลอดภัยได้ด้วยวีธีเหล่านี้

หากย้อนกลับไปเมื่อเดือนสิงหาคมปีที่แล้ว เราจะนึกถึงข่าวที่ 2 นักศึกษาไทยขับรถตกเขาที่สหรัฐอเมริกาจนเสียชีวิต ซึ่งแน่นอนว่าข่าวนี้ได้สร้างความสะเทือนใจเป็นอย่างมาก แต่ก็นั่นแหละค่ะ ถ้ามองในแง่ความเป็นจริงแล้วก็รอดยาก หรือหากมีผู้รอดชีวิตจริง ก็คงจะมีแค่ 1 ใน 10 เท่านั้น

วันนี้ คาร์โร จึงอยากมาให้ความรู้เรื่องการเอาตัวรอด เมื่อเกิดอุบัติเหตุรถตกเขาเพื่อให้เป็นข้อมูลที่คุณสามารถนำไปใช้ได้ในยามฉุกเฉินค่ะ

4 วิธีเอาตัวรอดจากอุบัติเหตุ “รถตกเขา”

อะไรที่เป็นสาเหตุของการเกิดอุบัติเหตุ“รถตกเขา”

เมื่อพบเจอ หรือเกิดอุบัติเหตุ คนส่วนใหญ่ก็มักจะถามหาสาเหตุว่ามันเกิดขึ้นได้อย่างไร ซึ่งสาเหตุหลักที่ทำให้เกิดอุบัติเหตุรถตกเขา มีทั้งหมด 4 ประการด้วยกัน คือ สภาพรถยนต์ ความเร็ว เส้นทางที่ไม่คุ้นเคย และทัศนวิสัย

  • สภาพรถยนต์

โดยเฉพาะรถใหญ่อย่างรถบรรทุก หรือรถโดยสารประจำทางที่ต้องตรวจสภาพเบรกให้พร้อมเสมอ เพราะน้ำหนักที่บรรทุกมาจะเกิดความหน่วงเวลาที่เบรก หรือเลี้ยวโค้งได้

  • ความเร็ว

ความเร็วที่ใช้ในการขับขี่เป็นสิ่งสำคัญที่ห้ามละเลย เพราะยิ่งเราขับเร็วขึ้นเท่าไหร่ เราก็จะมีเวลาในการแก้ปัญหาที่เกิดขึ้นเฉพาะหน้าน้อยลงเท่านั้น

  • เส้นทางที่ไม่คุ้นเคย

การขับรถไปในเส้นทางที่ไม่คุ้นเคยก็เป็นอีกสาเหตุหนึ่งที่ทำให้รถเกิดอุบัติเหตุขึ้นได้ เพราะบางที Google map ก็ไม่ได้พาเราไปถึงจุดหมาย แต่พาเราไปไหนต่อไหนก็ไม่รู้

  • ทัศนวิสัย

อาทิ การขับรถตอนฝนตกหนัก ถนนลื่น หรือทางข้างหน้ามีการซ่อมแซมพื้นผิวถนนโดยที่คุณไม่รู้มาก่อน เป็นต้น ซึ่งทั้งหมดทั้งมวลนี้ นับเป็นสาเหตุของการเกิดอุบัติเหตุได้ทั้งสิ้น

อุบัติเหตุไม่เลือกสถานที่ ไม่เลือกเวลา ไม่เลือกบุคคล และไม่บอกกล่าวก่อนล่วงหน้า เราจึงไม่มีทางรู้ได้เลยว่าอุบัติเหตุจะเกิดขึ้นเมื่อไหร่  ฉะนั้น 4 สิ่งที่คุณควรตระหนัก และทำตามอย่างเคร่งครัด เพื่อให้คุณปลอดภัย และรอดชีวิตจากเหตุการณ์ไม่คาดฝันที่อาจจะเกิดขึ้นเมื่อไหร่ก็ได้
4 วิธีเอาตัวรอดจากอุบัติเหตุ “รถตกเขา”

  • คาดเข็มขัดนิรภัยทุกครั้งก่อนขับรถ

อย่าชะล่าใจ คิดว่ามีถุงลมนิรภัยแล้วจะทำอะไรก็ได้ เพราะถุงลมนิรภัยจะมีเฉพาะบริเวณด้านหน้าเท่านั้น อีกทั้งถุงลมนิรภัยยังถูกออกแบบมาเพื่อลดแรงกระแทก แล้วยุบตัวลงทันที เพื่อกันไม่ให้เราถูกอัดจนหายใจไม่ออก

ดังนั้น การคาดเข็มขัดนิรภัยจึงเป็นสิ่งสำคัญที่ควรทำ เพราะมันจะช่วยดึงรั้งตัวเราไม่ไห้ไปกระแทกกับกระจกหน้ารถ

  • สำรวจการบาดเจ็บเมื่อรถหยุด หรือนิ่งแล้ว

เมื่อรถหยุด หรือนิ่งแล้ว หากคุณยังพอมีสติ และเคลื่อนไหวได้ คุณควรสำรวจตัวเอง และคนที่นั่งไปด้วยว่าได้รับบาดเจ็บตรงไหนบ้างหรือเปล่า หรือมีช่องทางที่เราจะออกจากรถได้หรือไม่ แล้วค่อยออกมาขอความช่วยเหลือ

  • ส่งสัญญาณขอความช่วยเหลือ

หากคุณเกิดเคลื่อนไหวไม่ได้ หรือออกจากรถไม่ได้ ก็ให้คุณตะโกนขอความช่วยเหลือ หรือหาวัสดุมาเคาะให้เกิดเสียงดัง เป็นไปได้ให้พยายามเคาะตลอดเวลา เพราะเราไม่สามารถรับรู้ได้เลยว่า จะมีคนมาได้ยินคุณเคาะเวลาไหน

  • ติดต่อบริษัทประกันภัย เพื่อช่วยดูแลค่ารักษา และค่าซ่อมรถ

เมื่อคุณได้รับการช่วยเหลือแล้ว ก็ให้คุณติดต่อทั้งบริษัทประกันภัยรถยนต์ และบริษัทประกันชีวิต เพื่อให้ทั้ง 2 บริษัทช่วยดูแลคุณในเรื่องค่ารักษาพยาบาล และค่าซ่อมแซมรถยนต์

ทั้งนี้ สิ่งที่คุณควรทำมากที่สุดไม่ใช่การแก้ปัญหาที่ปลายเหตุ แต่เป็นการแก้ปัญหาที่ต้นเหตุ เพราะเมื่อเกิดอุบัติเหตุขึ้นมาแล้ว ก็นับว่าเป็นความสูญเสียทั้งสิ้น

อาจไม่ได้สูญเสียบุคคลที่เรารัก แต่เป็นการสูญเสียทรัพย์สินเงินทองที่คุณต้องหมดไปกับค่ารักษาพยาบาล และค่าซ่อมแซมรถยนต์ ดังนั้น คุณจึงควรดูแลสภาพร่างกาย สภาพจิตใจ และสภาพรถยนต์ให้พร้อมก่อนเดินทางนะคะ

 

ประกันภัยรถยนต์ตาม พ.ร.บ. เรื่องใกล้ตัวที่ควรรู้

อย่างที่รู้กันว่า “พ.ร.บ.รถยนต์” ที่คุณต้องควักเงินจ่ายทุกปี เมื่อต่อภาษีป้ายทะเบียนนั้น เป็นการทำประกันภัยรถยนต์ภาคบังคับประเภทที่สาม แต่เชื่อว่ายังมีอีกหลายคนที่ยังไม่รู้ว่าเจ้า พ.ร.บ.รถยนต์ มันมีสิทธิประโยชน์อย่างไรเมื่อเกิดอุบัติเหตุ และคุณสามารถเบิกในกรณีใดได้บ้าง ซึ่งวันนี้ CARRO จะมาอธิบายเป็นข้อๆ ให้คุณเข้าใจได้ไม่ยากดังนี้

ประกันภัยรถยนต์ตาม พ.ร.บ. เรื่องใกล้ตัวที่ควรรู้

ภาพจาก ภาพจาก พลหฤษฏ์ จันทกล มิตรแท้ประกันภัย

ใครมีหน้าที่ต้องทำประกันภัย พ.ร.บ. รถยนต์?

ได้แก่ เจ้าของรถ ผู้ครอบครองรถในฐานะผู้เช่าซื้อรถ และผู้นำรถที่จดทะเบียนในต่างประเทศเข้ามาใช้ในประเทศ การฝ่าฝืนไม่จัดให้มีประกันภัย พ.ร.บ.คุ้มครองผู้ประสบภัยจากรถ พ.ศ. 2535 กฎหมายกำหนดโทษปรับไว้ไม่เกิน 10,000 บาท

ประกันภัยรถยนต์ตาม พ.ร.บ. เรื่องใกล้ตัวที่ควรรู้

ภาพจาก @Ammye_my

ใครที่ได้รับความคุ้มครองตาม พ.ร.บ.รถยนต์?

ผู้ประสบภัย หมายถึง บุคคลที่ประสบภัยจากรถ ไม่ว่าจะเป็นผู้ขับขี่ ผู้โดยสาร คนเดินเท้า หากได้รับความเสียหายแก่ชีวิต ร่างกาย อนามัย ก็จะได้รับความคุ้มครองตาม พ.ร.บ.รถยนต์

ประกันภัยรถยนต์ตาม พ.ร.บ. เรื่องใกล้ตัวที่ควรรู้

ภาพจาก ขุนเทียน 322 มูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง

แล้วถ้าเกิดกรณี เมาแล้วขับ พ.ร.บ. รถยนต์ จ่ายหรือไม่?

คำตอบคือ พ.ร.บ.รถยนต์ ต้องจ่ายค่าเสียหายให้กับคุณ ไม่ว่าคุณจะเมามากแค่ไหน และถึงแม้ว่าในขณะนั้นคุณจะไม่มีใบขับขี่ก็ตาม แต่ พ.ร.บ.รถยนต์ จะคุ้มครองแค่ตัวบุคคลเท่านั้น กรณีรถยนต์เสียหายจะไม่รับผิดชอบ

ถึงอย่างไรก็ตาม เวลาเมาก็ไม่ควรขับขี่รถ เพราะถ้าพูดถึงโทษตามกฎหมายกับค่าเสียหายที่จะได้รับ ถ้าเทียบแล้วมันไม่คุ้มกันเสียเลย

ประกันภัยรถยนต์ตาม พ.ร.บ. เรื่องใกล้ตัวที่ควรรู้

ภาพจาก NOILAB55

ตาม พ.ร.บ. รถยนต์ คุ้มครองคุณด้วยจำนวนเงินเท่าไร และกรณีใด?

ผู้ประสบภัยจะได้รับความคุ้มครองในความเสียหายที่เกิดขึ้น เป็นค่ารักษาพยาบาลกรณีบาดเจ็บ และเป็นค่าปลงศพในกรณีเสียชีวิต โดยที่ไม่ต้องรอพิสูจน์ความผิด โดยชดใช้ให้แก่ผู้ประสบภัย หรือทายาทของผู้ประสบภัย ภายใน 7 วัน นับแต่ได้รับคำร้องขอค่าเสียหายดังกล่าว เรียกว่า “ค่าเสียหายเบื้องต้น” โดยมีจำนวนเงิน ดังนี้

1. กรณีบาดเจ็บ จ่ายตามจริง แต่ไม่เกิน 30,000 บาท ต่อหนึ่งคน

2. ส่วนกรณีผู้ประสบภัยได้รับความเสียหายต่อร่างกาย (ทุพพลภาพ) อย่างหนึ่งอย่างใดดังต่อไปนี้ จะจ่ายค่าเสียหายเบื้องต้น จำนวน 35,000 บาท ต่อหนึ่งคน

(ก) ตาบอด
(ข) หูหนวก
(ค) เป็นใบ้หรือเสียความสามารถในการพูด หรือลิ้นขาด
(ง) สูญเสียอวัยวะสืบพันธุ์
(จ) เสียแขน ขา มือ เท้า นิ้ว
(ฉ) เสียอวัยวะอื่นใด
(ช) จิตพิการอย่างติดตัว
(ซ) ทุพพลภาพอย่างถาวร

3. กรณีบาดเจ็บตาม ข้อ 1. และต่อมาทุพพลภาพตาม ข้อ 2. รวมกันแล้วจะไม่เกิน 65,000 บาท ต่อหนึ่งคน

4. กรณีเสียชีวิตจะได้รับการชดใช้เป็นค่าปลงศพและค่าใช้จ่ายอันจำเป็นเกี่ยวกับการจัดการศพ จำนวน 35,000 บาท ต่อหนึ่งคน

5. กรณีเสียชีวิตภายหลังการรักษาพยาบาลและค่าใช้จ่ายอันจำเป็นเกี่ยวกับการรักษาพยาบาลตามที่จ่ายจริงตามข้อ 1 รวมกันไม่เกิน 65,000 บาท ต่อหนึ่งคน

ส่วนกรณีเกิดรถเสียหายตั้งแต่ 2 คันขึ้นไป จะได้รับค่าเสียหายเบื้องต้นอย่างไรบ้าง?

กรณีรถตั้งแต่ 2 คันขึ้นไปที่ก่อให้เกิดความเสียหาย (เฉี่ยวชนกัน) เป็นเหตุให้ผู้ซึ่งอยู่ในรถไม่ว่าจะเป็นผู้ขับขี่หรือผู้โดยสารก็ตาม หากได้รับบาดเจ็บหรือเสียชีวิต จะจ่ายค่าเสียหายเบื้องต้นให้แก่ผู้ประสบภัยซึ่งอยู่ในรถคันที่ทำ พ.ร.บ. แต่ถ้าผู้ประสบภัยเป็นบุคคลภายนอกไม่ได้อยู่ในรถคันใดคันหนึ่ง โดยจ่ายค่าเสียหายเบื้องต้นให้แก่ผู้ประสบภัยโดยเฉลี่ยจ่ายในอัตราส่วนที่เท่ากัน

ประกันภัยรถยนต์ตาม พ.ร.บ. เรื่องใกล้ตัวที่ควรรู้

ภาพจาก กรมทางหลวง

เคลมง่าย เซฟขั้นตอนไว้เลย จะได้ไม่พลาด!

1. แจ้งความต่อเจ้าหน้าที่ตำรวจ เพื่อลงบันทึกประจำวัน

2. เข้ารับการรักษาที่โรงพยาบาล (เมื่อการรักษาเรียบร้อยแล้ว อย่าลืมขอเอกสารจากโรงพยาบาลด้วยนะ)

  • ใบรับรองแพทย์
  • ใบเสร็จรับเงิน

3. นำส่งเอกสารต่อบริษัทประกันภัยที่ซื้อ พ.ร.บ. เพื่อขอเบิกค่ารักษาพยาบาล ดังนี้

  • บันทึกประจำวันของเจ้าหน้าที่ตำรวจ
  • ใบรับรองแพทย์
  • ใบเสร็จรับเงิน
  • สำเนาบัตรประจำตัวประชาชนของผู้ที่ได้รับบาดเจ็บ

นี้เป็นแค่ส่วนหนึ่งของค่าเสียหายเบื้องต้นเท่านั้น ยังมีในส่วนค่าสินไหมทดแทน และสำรองจ่ายอีกด้วย ทำให้รู้ว่า พ.ร.บ. ที่เราจ่ายทุกๆ ปีนั้น สำคัญแค่ไหน แล้วอย่าลืมไปต่อ พ.ร.บ. กันด้วย ซึ่งเดี๋ยวนี้ พ.ร.บ. หาซื้อได้ง่ายมาก แม้แต่ พ.ร.บ. รถยนต์ออนไลน์ ก็ยังมีให้เลือกซื้อกันเพียบ เพราะถ้าไม่ต่ออาจเจอโทษปรับหลายพันบาทเมื่อคุณตำรวจขอดูเอกสารนะจ๊ะ

Carro Express ขายรถกับคาร์โร อยากขายรถ ขายรถด่วน

หากใครที่อยากขายรถคันเดิม ไปซื้อรถยนต์คันใหม่ มาขายรถกับทาง CARRO Express ได้ที่  https://th.carro.co/sell-car/express หรือถ้าหากต้องการซื้อรถคุณภาพเยี่ยม CARRO เราก็มีพร้อมให้คุณเลือกอย่างมากมายด้วยเช่นกัน พร้อมรับประกันสูงสุดถึง 1 ปี หรือ 30,000 กิโลเมตร กับ CARRO Automall ดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ https://th.carro.co/taladrod/

Carro Automall / คาร์โร ออโต้มอลล์

ส่วนใครอยากซื้อรถมือสองสภาพเยี่ยม ราคาสบายๆ และมั่นใจได้ในเรื่องคุณภาพทุกคัน CARRO Automall แหล่งรวมรถมือสองคุณภาพเยี่ยมผ่านระบบออนไลน์ ตอบโจทย์คุณด้วยคอนเซปต์ “click.buy.drive.” คุณสามารถจองรถออนไลน์ ได้ในเวลา 1 นาที!

ซึ่งรถของ CARRO Automall เรามีให้คุณเลือกมากมาย รถทุกคันผ่านการตรวจสภาพอย่างละเอียดแบบ Double Check มากกว่า 160 จุด รวมไปถึงการการปรับสภาพ (Car Reconditioning) ด้วยทีมช่างมืออาชีพ ที่ผ่านการผึกอบรมตามมาตรฐานคาร์โรกว่า 40 คน พร้อมให้บริการลูกค้าได้อย่างรวดเร็ว กว่า 20 คัน/วัน

อีกทั้งยังมีเทคโนโลยี “360 View & Sound Engine Analysis” เลือกชมรถยนต์เสมือนจริงออนไลน์รายแรกในไทย ทั้งภาพและเสียงในรูปแบบ 360 องศา รวมถึงมีเทคโนโลยีสนับสนุนฝ่ายขาย ทั้ง Digital Device ที่เชื่อมต่อกับ Digital Screen นำเสนอสิ่งที่ลูกค้าต้องการ และจัดการเรื่องเอกสารให้กับลูกค้าให้ตั้งแต่ต้นจนจบ บวกกับ Online Viewing Service ที่ลูกค้าสามารถวิดีโอคอล ตรวจสภาพรถยนต์คันที่สนใจได้แบบเรียลไทม์

เรารับประกันคุณภาพรถ 1 ปี หรือ 30,000 กิโลเมตร! (CARRO Quality Assurance) อีกทั้งยังการันตีความพึงพอใจ คืนเงินได้ภายใน 5 วันอีกด้วย! ซื้อรถคุณภาพเยี่ยม กับ CARRO Automall สิ!

หรือถ้าหากสนใจรถรุ่นไหนอยู่ แต่ยังหาที่ถูกใจไม่ได้ เรายินดีหาให้! เพียงแค่กรอกเบอร์โทรศัพท์ ชื่อยี่ห้อ / รุ่นรถ ที่คุณต้องการก็ได้เช่นกันครับ อีกทั้งยังสามารถ Inbox เข้ามาสอบถามรายละเอียดได้ที่ Facebook -> CARRO Automall Thailand โทร. 02-508-8690 หรือทาง Line @carroautomall ค่ะ

แหล่งที่มาข้อมูลจาก:

ขับรถอย่าเล่นมือถือ

ขับรถอย่าเล่นมือถือ !!

เชื่อเถอะว่า หลายๆโครงการในประเทศไทยพยายามรณรงค์เรื่องนี้ และพูดอะไรทำนองมานานแล้ว แต่ก็ยังมีคนจำนวนมากที่เล่นมือถือไปขับรถไป เพราะประมาท และย่ามใจว่าคงไม่เกิดอุบัติเหตุขึ้นกับตัวเองแน่ๆ CARRO ไม่ขอพูดอะไรซ้ำซาก แต่จะขอหยิบยก 5 กรณีตัวอย่างนี้ เพื่อให้เหตุผล 5 ข้อกับคุณ มาเริ่มกันเลย

เล่นมือถือ ขับรถ ผิดกฎหมาย

1. Selfie อาจเปลี่ยนชีวิต!

เหตุการณ์เกิดขึ้นที่รัฐเท็กซัส ขณะที่สาวน้อยวัย 19 ปีกำลัง Selfie เพื่อส่งรูปถ่าย Sexy ของตัวเองให้แฟนหนุ่ม รถของเธอก็ชนท้ายรถตำรวจเข้าอย่างจัง!

ความพีคของเรื่องนี้คือขณะที่เกิดอุบัติเหตุ เธอกำลัง Selfie แบบ Topless (เปลือยท่อนบน) อยู่!

หลังจากตำรวจ (ซึ่งเป็นคู่กรณี) ลงจากรถมาสอบถามก็ต้องตะลึงกับสภาพเปลือยครึ่งท่อนของสาวคนขับ แถมยังพบว่าเบาะข้างคนขับมีไวน์ที่เปิดขวดแล้ววางอยู่ โดยสาวคนขับได้ให้การว่า เธอกำลัง Selfie และส่งรูปถ่ายลับๆ ให้กับหนุ่มคนรักขณะที่ีรถติดไฟแดง แต่พลาดอย่างไรก็ไม่ทราบ รถได้เลื่อนไปชนท้ายรถตำรวจซึ่งจอดติดไฟแดงอยู่ข้างหน้าอย่างเต็มเปา!

สุดท้ายสาวน้อยนางนี้ก็ถูกปรับด้วยข้อหาเมาแล้วขับ เป็นเงินจำนวน 2,000 ดอลลาร์สหรัฐ (คิดเป็นเงินไทยราว 70,000 บาท) แถมยังเป็นที่กล่าวขานในสังคมออนไลน์ไปอีกนาน

เล่นมือถือ ขับรถ ผิดกฎหมาย

2. เปลี่ยนเพลง 1 ที ฆ่า 4 ศพ!

เรื่องเกิดขึ้นเมื่อคนขับรถบรรทุกก้มมองสมาร์ทโฟนของตัวเองเป็นเวลา 45 วินาทีเพื่อเลื่อนเปลี่ยนเพลง จากนั้นรถของเขาก็ชนเข้ากับรถ SUV ของคุณแม่ลูกสามอย่างรุนแรง!

อุบัติเหตุนี้ไม่เพียงแต่ทำให้เทรซี่ คุณแม่ซึ่งกำลังขับรถเสียชีวิตทันทีเท่านั้น แต่ยังทำให้อีธาน จอช และเอมี่ ลูกทั้ง 3 ของเทรซี่เสียชีวิตหมดทุกคน!

ภาพจากกล้องวงจรปิดและกล้องที่ติดตั้งอยู่หน้ารถได้แสดงให้เห็นว่า ชายขับรถบรรทุกทำความผิดจริงด้วยการก้มหน้าก้มตาเลือกเพลงจากสมาร์ทโฟน จนต้องละสายตาจากถนนนานเกือบหนึ่งนาที และ 0.75 วินาทีหลังจากการชนเกิดขึ้น กล้องได้จับสีหน้าตื่นตกใจสุดชีวิตของเขาเอาไว้ได้ แต่ขณะนั้นมันสายเกินกว่าจะแก้ไขอะไรได้อีกแล้ว

ล่าสุดคนขับรถบรรทุกถูกตัดสินจำคุก 10 ปี ส่วนสามีของคุณแม่ที่เสียชีวิต (คุณพ่อของเด็กๆ) ต้องจัดงานศพให้กับสมาชิกครอบครัวที่จากไปพร้อมกันถึง 4 คน

เล่นมือถือ-ขับรถ-ผิดกฎหมาย

3. รถพังยับเพราะรีบกดรับอั่งเปา

ถือเป็นเรื่องซวยรับวันตรุษจีนเลยทีเดียว เมื่อหนุ่มชาวจีนมัวแต่รีบกดชิงอั่งเปาจากแอพฯ Wechat รู้ตัวอีกทีรถก็วิ่งเลยไปถึงสี่แยกและประสานงาเข้ากับรถอีกคันอย่างจัง!

อั่งเปาที่ว่านี้เป็นอั่งเปาออนไลน์ที่แจกกันในห้องสนทนากลุ่มของ Wechat ซึ่งอำนวยความสะดวกให้บรรดาผู้หลักผู้ใหญ่ไม่ต้องแจกอั่งเปาเป็นกระดาษในวันตรุษจีนอีกต่อไป แถมยังมีกติกา “มาก่อนได้ก่อน” ให้ลูกหลานได้สนุกสนานจากการแย่งชิงอั่งเปากันอีกด้วย

แต่การรีบกดรับอั่งเปาขณะขับรถก็ส่งผลน่ากลัวแบบนี้เอง แม้จะไม่มีใครได้รับบาดเจ็บ แต่รถของหนุ่มชาวจีนผู้โชคร้ายก็ได้รับการประเมินค่าเสียหายราว 10,000 หยวน (ราวๆ 50,000 บาท) ซึ่งไม่รู้ว่าจะคุ้มกับเงินอั่งเปาที่ได้มาหรือไม่

เล่นมือถือ ขับรถ ผิดกฎหมาย

4. แค่คุยโทรศัพท์ทำรถชนยับ 10 คันรวด!

สาว 17 คุยโทรศัพท์ขณะขับรถแล้วเสียสมาธิจนเผลอขับรถฝ่าไฟแดง ส่งผลให้รถชนกัน 10 คันรวดบริเวณ 4 แยก!โชคดีที่เหตุการณ์นี้ไม่ได้ทำให้ใครต้องบาดเจ็บสาหัส แม้ว่าเรื่องราวจะแสนอลหม่านและเลอะเทอะเปรอะเปื้อน เพราะรถของเด็กสาวไปตัดหน้ารถขนดิน ทำให้รถขนดินพลิกคว่ำจนดินกองท่วมถนน อีกทั้งยังทำให้การจราจรติดขัดยาวเหยียด!

ผลจากเหตุการณ์นี้ทำให้เด็กสาวที่คุยโทรศัพท์ขณะขับรถถูกปรับเป็นเงิน 500 ดอลลาร์สหรัฐฯ (ราว 17,500 บาท) ด้วยข้อหาฝ่าสัญญาณไฟจราจร และใช้โทรศัพท์ขณะขับรถ

เล่นมือถือ ขับรถ ผิดกฎหมาย

5. เล่นมือถือมือซ้าย ขี่มอเตอร์ไซค์มือขวา ชนท้ายรถข้างหน้าเต็มๆ!

เหตุการณ์ท้ายสุดนี้เกิดขึ้นที่ประเทศไทยของเรานี่เอง เมื่อหนุ่มเมืองนครศรีธรรมราชเล่นมือถือไปขับมอเตอร์ไซค์ไปจนลืมดูทาง แล้วชนเข้ากับรถปิคอัพซึ่งจอดอยู่ข้างทางอย่างจัง!

แม้ว่าเหตุการณ์นี้ไม่มีใครได้รับบาดเจ็บหนัก และไม่มีความเสียหายมากนัก แต่มันก็ทำให้ทั้งคนขับมอเตอร์ไซค์และเจ้าของรถปิคอัพเสียอารมณ์ไปตามๆ กัน!

นี่คือ 5 ตัวอย่างที่คุณไม่ควรเอาเป็นเยี่ยงอย่าง! และเป็น 5 เหตุผลที่ชัดเจนมากที่ควรจะเลิกเล่นมือถือขณะขับรถ จะเห็นได้ว่าไม่มีข้อไหนที่มีจุดจบอย่างสวยงามเลย แถมยังนำมาซึ่งการสูญเสีย ตั้งแต่ความรู้สึก ทรัพย์สินเงินทอง ไปจนถึงชีวิต

และอย่าลืมว่า การใช้โทรศัพท์มือถือขณะขับขี่ยานพาหนะใดๆ โดยไม่มีอุปกรณ์เสริมช่วยในการสนทนา ตามกฎหมายถือว่ามีโทษปรับถึง 400 – 1,000 บาท ต่อให้ไม่เกิดอุบัติเหตุใดๆ มันก็ยังผิดกฎหมายอยู่ดี !

เอาเป็นว่าควรขับขี่อย่างไม่ประมาท ไม่เล่นโทรศัพท์มือถือหรืออุปกรณ์ใดๆ ขณะขับรถ เชื่อ CARRO เถอะ! เราจะได้อยู่ด้วยกันไปอีกนานๆ