คนอยู่บ้านหรือ Work From Home ใครว่าไม่เสี่ยงอุบัติเหตุ

บ้าน คือสถานที่ที่ทุกคนจะรู้สึกปลอดภัยที่สุด ทุกมุมของบ้านผู้เป็นเจ้าของบ้านย่อมรู้สึกคุ้นเคย การอยู่บ้านของเราเองย่อมทำให้รู้สึกผ่อนคลาย แต่บ้านของเราอาจจะปกป้องเราจากภัยภายนอกได้ แต่ภายในบ้านยังมีหลายอย่างให้เราต้องระวัง รู้ใจจะบอกสิ่งที่เรารู้ให้ทุกคนได้หายสงสัยว่าไม่ว่าจะอยู่บ้านเฉย ๆ หรือทำงานที่บ้าน (Work From Home) ก็เสี่ยงอุบัติเหตุได้

สาเหตุการเกิดอุบัติเหตุจากการอยู่บ้าน มีอะไรบ้าง

สถิติการเกิดอุบัติเหตุ สิ่งอันตรายในบ้าน จนบาดเจ็บ พิการหรือเสียชีวิต เชื่อหรือไม่ว่า กว่า 70% เกิดขึ้นในบ้านมากกว่าบนถนนหรือที่อื่น ๆ หลายคนอาจจะไม่เชื่อ ถ้าเป็นผู้ใหญ่วัยทำงานอาจคิดว่า การอยู่บ้าน จะมีอุบัติเหตุได้อย่างไร แต่ถ้าบอกว่าอุบัติเหตุส่วนใหญ่แล้วจะเกิดกับเด็กและคนแก่มากกว่าล่ะ ?

เริ่มเข้าเค้าแล้วใช่มั้ย แต่อย่าคิดว่าถึงจะเป็นคนหนุ่มสาวแล้วจะรอด เพราะอุบัติเหตุที่เกิดขึ้นกับเด็กและคนแก่อยู่บ้านคนเดียว ส่วนใหญ่เป็นเพราะคนเหล่านี้ใช้เวลาอยู่บ้านมากกว่าคนวัยอื่น แต่ตอนนี้เมื่อทุกคนต้องทำงานที่บ้าน (Work from home) ตอนนี้ทุกคนกำลังตกอยู่ในอันตรายจากภัยลึกลับในบ้านเหมือนกันหมด ฉะนั้นกันไว้ดีกว่าแก้ มาทำความรู้จักกับความเสี่ยงอุบัติเหตุในบ้านกันเถอะ

คนอยู่บ้านหรือ Work From Home ใครว่าไม่เสี่ยงอุบัติเหตุ

บันไดพิฆาต

บันไดติดอันดับสถานที่ทำให้บาดเจ็บอันดับต้น ๆ มาตั้งแต่ไหนแต่ไร คนไทยสมัยก่อนอยู่บ้านยกใต้ถุนเพื่อหนีน้ำท่วม บันไดก็สูงเป็นเรื่องปกติ ตกบันไดได้รับบาดเจ็บก็เรื่องปกติเช่นกัน บ้านสมัยใหม่เองก็เช่นกัน บางบ้านบันไดสูง บ้านที่มีดีไซน์ออกแนวลอฟ ก็ไม่มีที่กั้นบันไดกันซะงั้น แล้วจะไม่ให้มีอุบัติเหตุได้ยังไง บันไดปกติก็ดูอันตรายสำหรับเด็กและคนแก่แล้ว วันรุ่นวัยทำงานที่บ้าน (Work from home) ก็มีสิทธิเจ็บตัวเพราะเกิดสะเพร่าวางของไว้เกะกะบันได อุบัติเหตุจึงเกิดขึ้นได้ง่าย ๆ

พื้นบ้านสไลเดอร์

ใครจะคิดว่าพื้นบ้านปกติที่เราเดินอยู่ทุกวัน อาจจะสร้างความลำบากให้เราได้ พื้นบ้านในปัจจุบันไม่ใช่ไม้นิ่ม ๆ อีกต่อไปแล้ว กลับเป็นปูน เป็นกระเบื้องแข็ง ที่ถ้ามีใครล้มลงไปแรง ๆ ล่ะก็ เจ็บหนักแน่ จริงแล้วความแข็งของพื้นบ้านไม่ใช่เรื่องใหญ่ แต่กลับเป็นองค์ประกอบอื่นที่ทำให้เกิด อันตรายที่เกิดขึ้นในบ้านง่าย ๆ

  • ทิ้งของเกะกะ อุปนิสัยของหลายคนนั่นเองที่เป็นอุปสรรคในการใช้ชีวิตของตัวเอง ชีวิตที่ไร้วินัย ไม่สนใจเก็บของเข้าที่ เมื่อเข้าบ้านก็วางกระเป๋าไว้บนพื้น สิ่งนี้เองที่เสี่ยงต่อการเกิดอุบัติเหตุ
  • พื้นลื่น การทำน้ำหกก็เป็นอย่างหนึ่งที่ทำให้เกิดอุบัติเหตุร้ายแรงได้ ดังนั้นเมื่อเห็นน้ำหกที่ไหนต้องรับเช็ดให้แห้งทันที เพราะถ้าปล่อยไว้อาจจะมีเด็กหรือคนแก่มาเหยียบจนลื่นล้มได้
  • พื้นเก่า อาจจะดูไม่มีอะไร แต่พื้นเก่าที่มีรอยแตกเกิดขึ้น ไม่ว่าจะพื้นปูนหรือกระเบื้อง หากพบรอยดังกล่าวต้องรีบซ่อมทันทีไม่อย่างนั้นอาจเกิดบาดแผลขึ้นได้ แต่หากอยากปลอดภัยไว้ก่อน ใส่รองเท้าภายในบ้านจะปลอดภัยกว่า

คนอยู่บ้านหรือ Work From Home ใครว่าไม่เสี่ยงอุบัติเหตุ

ของมีคมบาด

อันตรายจากของมีคม ขึ้นชื่อว่าของมีคมย่อมมากับอันตรายอยู่แล้ว แต่แปลกที่หลายคนไม่ระวังกับมัน อาจจะเพราะไม่ค่อยได้ใช้งาน มีดเป็นอุปกรณ์ที่เรียกเลือดจากเราได้ทุกที ไม่ใช่แค่ในครัวเท่านั้น มีดคัทเตอร์ก็ยิ่งอันตรายถ้าไม่ระวัง หรือถ้าไม่ใช่มีด ของจำพวกเข็มก็เสี่ยงทำให้บาดเจ็บได้ ของมีคมไม่ใช่แค่มีดและเข็มเท่านั้น ในเครื่องปั่นเครื่องบดก็มีใบมีดที่อันตรายเช่นกัน เพราะเป็นของที่ทำให้เกิดอุบัติเหตุร้ายแรง เป็นสิ่งอันตรายในบ้านได้ ดังนั้นเวลาใช้งานก็มีสติให้มาก เมื่อใช้งานเสร็จแล้วก็ต้องมีวินัยในการเก็บมันเข้าที่ไม่ให้ใครบาดเจ็บเพราะมัน

ไฟฟ้าช็อต

อันตรายจากของใช้ในบ้าน อุบัติเหตุจากไฟฟ้าเป็นอุบัติเหตุที่ทำให้เกิดการบาดเจ็บร้ายแรงมากที่สุด และเป็นอุบัติเหตุที่เกิดได้ง่ายที่สุด แค่ไม่ระวังปล่อยให้มือเปียกไปแตะสวิตช์ไฟก็อาจจะทำให้ไฟช็อตได้ ประมาทเพียงนิดเดียวอาจก่อให้เกิดอันตรายได้ ดังนั้นนอกจากความไม่ประมาทแล้วเราสามารถติดตั้งตัวตัดไฟเซฟตี้ ที่จะทำหน้าที่ตัดไฟทุกครั้งที่มีอุบัติเหตุไฟฟ้ารั่ว ทำให้ลดการสูญเสียได้มาก นอกจากนี้เราควรตรวจตราจุดแยก จุดจ่ายไฟฟ้าในบ้านให้ดีว่ามีตรงไหนชำรุดบ้าง เพื่อที่เราจะทำการปรับปรุงซ่อมแซมได้ทันท่วงทีก่อนที่จะมีอุบัติเหตุเกิดขึ้น

สัตว์ประหลาด

อย่าเพิ่งตกใจว่ากำลังอยู่ในหนัง Sci-fi รึเปล่า แต่สัตว์ที่ว่ารวมไปถึงสัตว์เลี้ยงในบ้านและสัตว์ที่มีพิษ อุบัติเหตุเหล่านี้มีทั้งร้ายแรงและไม่ร้ายแรง แต่ถึงอย่างนั้นก็ต้องระวังไว้ให้ดี เพราะถึงแม้จะเป็นน้องตูบหรือเจ้านายของบ่าวอย่างเจ้าเหมียว ถ้ามันได้กัดได้ข่วนจนมีเลือดแล้วล่ะก็ ยังไงก็ต้องไปหาหมอฉีดยากันพิษสุนัขบ้าหรือบาดทะยัก เพราะฉะนั้นจะเล่นกับมันยังไงก็ต้องระวังไว้ด้วย

อีกอย่างที่ต้องพูดถึงคือสัตว์แมลงและสัตว์มีพิษ สัตว์พวกนี้จะชอบเข้ามาหาที่หลบในที่ที่อบอุ่นและมีอาหาร เพราะฉะนั้นควรจะจัดบริเวณรอบบ้านให้ดี ไม่ให้รกหรือมีที่ซ่อนของสัตว์ และอย่าลืมกำจัดเศษอาหารเหลือทิ้งทุกวันไม่ให้ดึงดูดสัตว์ต่าง ๆ เข้ามาในบ้านเรา เพราะพิษของสัตว์พวกนี้ไม่ว่างูหรือตะขาบ หากแพ้ขึ้นมาไปโรงพยาบาลไม่ทันก็อันตรายถึงชีวิตได้เหมือนกัน

คนอยู่บ้านหรือ Work From Home ใครว่าไม่เสี่ยงอุบัติเหตุ

สารเคมีในบ้าน

อันตรายจากสารเคมี ก็น่ากลัว ! เคยมีอุบัติเหตุที่ไม่น่าเชื่ออย่างการเอาน้ำยาล้างห้องน้ำไปใส่ในขวดน้ำดื่ม แล้วมีคนเผลอมากิน หรือมีคนล้างห้องน้ำด้วยไฮเตอร์ผสมน้ำยาล้างห้องน้ำจนเกิดก๊าซไฮโดรคลอไร ทำลายระบบทางเดินหายใจจนเสียชีวิต อุบัติเหตุเหล่านี้เกิดขึ้นได้จากความไม่รู้ ดังนั้นก่อนจะใช้สารเคมีอะไรในบ้าน ศึกษาให้ดีก่อน เพราะสารอันตรายเหล่านี้ทำอันตรายต่อคนในบ้านได้มากทีเดียว

อุบัติเหตุเกี่ยวกับการกิน

การอยู่บ้านสบาย กินได้ทุกอย่างตามที่ต้องการ อาจจะกลายเป็นฝันร้ายเอาก็ได้ถ้าไม่ระวัง การเคี้ยวอาหารแล้วเศษอาหารพลาดไปติดหลอดลมก็เป็นอุบัติเหตุชนิดหนึ่งที่คร่าชีวิตเราได้ง่าย ๆ เพราะฉะนั้นจะกินอะไรก็ต้องระวัง เคี้ยวอย่างมีสติถึงจะเคี้ยวไปดูซีรีส์ไปก็ต้องระลึกไว้เสมอว่าอันตรายอาจจะมาพร้อมกับความอร่อย แต่ถึงอย่างไรอาการเศษอาหารติดหลอดลมก็มีวิธีปฐมพยาบาลได้ง่าย แต่มีข้อแม้คืออย่าอยู่คนเดียว เพราะการปฐมพยาบาลต้องมีคนช่วย

คนอยู่บ้านหรือ Work From Home ใครว่าไม่เสี่ยงอุบัติเหตุ

ไฟไหม้

อุบัติเหตุเกี่ยวกับไฟไหม้ก็เกิดขึ้นได้บ่อย ถึงแม้จะมีคนอยู่เต็มบ้านก็ไม่ได้หมายความว่ามันจะไม่เกิด แต่เพราะการทำงานที่บ้าน (Work from home) นี่แหละอาจทำให้เกิดการใช้ไฟฟ้าเกินพิกัดจนลัดวงจรได้ สาเหตุอื่น ๆ ก็อาจจะมาจากการเผาใบไม้ทำสวน กระแสลมอาจทำให้ไฟลุกลาม หรือเตาแก๊สในบ้านระเบิดก็มีตัวอย่างให้เห็นอยู่เป็นประจำ ดังนั้นไฟไหม้ไม่ใช่เรื่องเล็ก ๆ เป็นอุบัติเหตุร้ายแรงที่พรากทุกอย่างไปจากเราได้แบบหมดสิ้น

อุบัติเหตุจากการซ่อมบ้าน

ช่วงเวลากักตัว Work from home แบบนี้ หลายคนอาจจะตั้งเป้าหมายว่าจะทำการซ่อมบ้านครั้งใหญ่ ซึ่งเป็นเรื่องที่ดีที่เราจะซ่อมแซมแต่ก็อาจจะทำอันตรายให้กับคนในบ้านได้ด้วย แต่ก่อนที่จะซ่อมแซมอะไร จุดอันตรายในบ้าน ต้องตรวจดูอุปกรณ์ให้เรียบร้อย ไม่ว่าจะเป็นสว่าน เลื่อยไฟฟ้า หรือบันไดปีนหลังคา เพราะอุปกรณ์ที่สึกหรอเหล่านี้ก็เป็นสาเหตุของการเจ็บตัวได้ ในต่างประเทศมีหลายคนมากที่ต้องพิการเพราะตกจากหลังคาเวลาขึ้นไปซ่อมบ้านของพวกเขาเอง

คนอยู่บ้านหรือ Work From Home ใครว่าไม่เสี่ยงอุบัติเหตุ

นี่คือเหตุการณ์ที่เป็นไปได้ ที่เป็นความเสี่ยงที่จะเกิดอุบัติเหตุ ซึ่งขึ้นชื่อว่าอุบัติเหตุ มันสามารถเกิดจากอะไรก็ได้ไม่ว่าจะเป็นเรื่องเล็กน้อยแค่ไหนก็ตาม และในเมื่อมันเป็นเรื่องไม่คาดฝัน การเตรียมพร้อมไว้ก่อนน่าจะดีที่สุด รู้มั้ย รู้ใจมีประกันอุบัติเหตุส่วนบุคคล (Personal accident) ไว้คุ้มครองคุณหากเหตุการ์ที่ไม่คาดฝันเกิดขึ้น ไม่ว่าจะเป็นแผล กระดูกหัก สูญเสียอวัยวะ พิการหรือเสียชีวิต เราดูแลด้วยทุนประกันที่สูงและแผนความคุ้มครองที่สามารถเพิ่มหรือปรับแต่งได้ตามไลฟ์สไตล์ของคุณเอง เราหวังว่าในช่วงที่ทุกคนต้องอยู่บ้าน หรือบางคนทำงานที่บ้าน (Work from home) แบบนี้ ทุกคนจะมีแผนเตรียมพร้อมสำหรับเรื่องไม่คาดคิดเสมอ ด้วยความปรารถนาดีจาก รู้ใจ ประกันออนไลน์ รู้ใจกว่า ประหยัดกว่า

สามารถติดตามข้อมูลข่าวสารและโปรโมชั่นใหม่ ๆ จากเราได้ทาง FB Fan page: Roojai หรือ คลิก add Official Line ของเราไว้ได้เช่นกัน

กิจกรรมตอนขับรถ

สมาธิ เป็นสิ่งสำคัญในการกระทำสิ่งต่าง ๆ การที่คนเรามีสมาธิและจดจ่อกับสิ่งที่อยู่ตรงหน้า จะช่วยให้สิ่งที่กระทำอยู่นั้นได้ผลลัพธ์ที่ดีขึ้น

การขับรถก็เป็นอีกหนึ่งกิจกรรมที่ต้องใช้สมาธิเป็นอย่างมาก เพราะต้องใช้สายตาในการมองไปข้างหน้า ด้านข้าง รวมถึงต้องใช้มือและเท้าในการบังคับรถยนต์ให้ไปในเส้นทางที่ต้องการ เพื่อให้รถยนต์นั้นไปถึงที่หมายได้อย่างปลอดภัยและทันเวลานั่นเอง

5 กิจกรรมที่ทำหลุดโฟกัสขณะขับรถ

บทความนี้ขอหยิบเอาเรื่องราวของกิจกรรมที่อาจพาให้คุณหลุดโฟกัส และไม่ควรทำมันในขณะที่กำลังขับรถ เพื่อช่วยลดความเสี่ยงในการเกิดอุบัติเหตุ จะมีอะไรบ้างมาดูกันเลย

ทานอาหารบนรถ

ด้วยสภาพความเร่งรีบของคนในเมืองหลวง ทำให้หลายคนมักจะพกอาหารขึ้นมาทานบนรถยนต์เพื่อประหยัดเวลาและเพื่อความสะดวก แต่การทานอาหารบนรถก็มีความเสี่ยง เพราะถ้าต้องการที่จะทานอาหารแล้วก็จะต้องผละจากการควบคุมพวงมาลัยรถยนต์เพื่อใช้มือหยิบจับอาหาร ทำให้ผู้ขับต้องละสายตาและมือออกจากพวงมาลัย และไม่ได้โฟกัสอยู่ที่เส้นทางตรงหน้า

อุ้มเด็กนั่งตักตอนขับรถ

สำหรับรถยนต์ที่มีเด็กร่วมทางไปด้วยแล้วผู้ขับนำเด็กมานั่งบนตักก็จะทำให้ประสิทธิภาพการขับรถลดลง และยังอันตรายกับตัวเด็กมาก ๆ เนื่องจากเด็กยังขาดความรู้ความเข้าใจในเรื่องของการขับขี่ที่ปลอดภัย จึงอาจเล่นพวงมาลัยหรือเกียร์ด้วยความไม่รู้ ทำให้คนขับสูญเสียสมาธิในการควบคุมรถ เนื่องจากต้องดูแลเด็กพร้อมกับควบคุมรถยนต์ไปพร้อมๆ กัน

ในกรณีนี้หากเกิดอุบัติเหตุขึ้นจะทำให้เด็กที่นั่งบนตักได้รับแรงกระแทกมากกว่า และอาจกลายเป็นถุงลมนิรภัยให้กับตัวผู้ขับไปโดยปริยาย ซึ่งตัวเด็กก็จะได้รับบาดเจ็บมากกว่า ทางที่ดีควรให้เด็กนั่งที่เบาะข้าง ๆ หรือนั่งบนคาร์ซีท จะปลอดภัยกับเด็กและตัวผู้ขับรถยนต์มากกว่า

Activities-To-Avoid-While-Driving

คุยโทรศัพท์ขณะขับรถ

การคุยโทรศัพท์ขณะที่คุณกำลังขับรถนั้น จะเพิ่มความเสี่ยงในการเกิดอุบัติเหตุมากกว่าปกติถึง 2 – 4 เท่า เพราะทำให้ผู้ขับขี่เสียสมาธิ มีปฏิกิริยาตอบสนองช้าลง การเหยียบเบรคและบังคับพวงมาลัยเมื่อเกิดเหตุฉุกเฉินจะช้าลงกว่าปกติ 0.5 วินาที รวมทั้งส่งผลต่อการมองเห็นป้ายสัญลักษณ์ หรือป้ายบอกทาง

เพราะการคุยโทรศัพท์ไปด้วยขับรถไปด้วยจะทำให้สมองต้องทำงานหนักมากขึ้น เพราะต้องแบ่งการโฟกัสทั้งคนที่คุยด้วย และกับพวงมาลัยที่อยู่ตรงหน้า นอกจากจะเสี่ยงกับตัวผู้ขับแล้ว ยังเพิ่มความเสี่ยงให้กับเพื่อนร่วมทางคนอื่นๆ อีกด้วย

การดู TV บนรถ

เวลาที่รถติดและไปไหนไม่ได้ ทำได้แค่นั่งเบื่อ ๆ อยู่ในรถ การเปิดทีวีดูก็อาจช่วยให้หายเหงา คลายความเครียดลงไปได้บ้าง แต่ความสว่างของจอภาพ รวมทั้งภาพที่เคลื่อนไหว เสียงจากทีวีหรือเพลง จะทำให้สมาธิในการขับรถของคุณลดลง และสนใจเหตุการณ์รอบตัวน้อยลง และเสียงยังกระตุ้นให้ขับรถเร็วขึ้นโดยไม่รู้ตัวอีกด้วย

Activities-To-Avoid-While-Driving

แต่งหน้าขณะขับรถ

สาว ๆ นักขับ ที่ชอบแต่งเติมใบหน้าระหว่างขับรถนั้นต้องขอให้เลี่ยงกิจกรรมนี้เลย เข้าใจว่าความสวยจะช่วยเพิ่มความมั่นใจ และถึงแม้ว่าจะแต่งหน้าได้เร็ว-คล่องแคล่วขนาดไหน แต่ก็ต้องคำนึงถึงความปลอดภัยก่อนดีกว่า เพราะการแต่งหน้าบนรถจะทำให้ความสนใจของเราไปจดจ่ออยู่กับกระจกแทน จนอาจหลุดโฟกัสจากการขับรถ เพราะมัวแต่ยุ่งอยู่กับการแต่งหน้า

เพราะการขับรถต้องใช้พลังงานสมองอย่างมาก

ผู้เชี่ยวชาญด้านการขับรถระบุว่า “การขับขี่บนถนนแบบปกติต้องใช้พลังงานสมองมากถึง 85% ส่วนการส่งข้อความ หรือการพูดคุยกับผู้โดยสาร ดูเหมือนจะเป็นสิ่งที่ทำได้ง่ายๆ แต่นั่นก็ทำให้ผู้ขับขี่ต้องใช้พลังงานสมองเป็นอย่างมาก และก่อให้เกิดอุบัติเหตุขึ้นได้ หากใช้พลังงานสมองจนเกินความสามารถ”

เมื่อขับรถ สมองของคุณต้องใช้พลังงานในการรับรู้ถึง 85% สมองของคุณจะไม่มีความสามารถในการทำสิ่งอื่นอย่างเต็มที่ได้แล้ว

การขับรถอย่างมีสมาธิและไม่มีสิ่งใดมารบกวนจะเป็นการขับขี่ที่ปลอดภัยที่สุด เพื่อให้การเดินทางของคุณและคนที่คุณรักปลอดภัย ขอแนะนำให้ผู้ขับตั้งสติ และโฟกัสอยู่กับทางที่อยู่ตรงหน้า ไม่ประมาทในการขับรถ เพื่อความปลอดภัยของเพื่อนร่วมทาง คนที่คุณรัก และตัวคุณเอง อย่าลืมต่อประกันรถยนต์เสมอเพื่อรับความคุ้มครองและวงเงินชดเชยหากเกิดเหตุไม่คาดฝัน หากกำลังมองหาประกันรถยนต์ราคาถูก ลองเข้ามาใช้บริการเปรียบเทียบประกันรถยนต์ที่เหมาะกับคุณ ผ่านบริการของ rabbit finance ได้เลย

When-Your-Friend-Crashes-Your-Car

เชื่อว่าคนมีรถหลาย ๆ คนต้องเคยเจอกับเหตุการณ์นี้ คือการที่มีคนใกล้ตัวที่สนิทชิดเชื้อกัน หรือเหล่าเพื่อนฝูงที่มาขอยืมรถยนต์ไปใช้งาน ด้วยความสนิทก็อาจจะให้ไปโดยไม่ได้คิดอะไร แต่ถ้าเกิดเพื่อนของคุณดันโชคไม่ดี ขับรถยนต์ของคุณไปประสบอุบัติเหตุเข้า และเกิดความเสียหายขึ้นกับตัวรถ เจอแบบนี้เข้าไป เจ้าของรถยนต์อย่างคุณจะทำยังไงดี? แล้วประกันรถยนต์จะจ่ายเงินให้ไหมนะ

When-Your-Friend-Crashes-Your-Car

ประกันภัยรถยนต์คุ้มครองใครบ้าง?

ทุกครั้งที่มีการซื้อรถยนต์ใหม่ เจ้าของรถยนต์จะต้องทำประกันภัยรถยนต์ภาคบังคับ (พ.ร.บ.) และประกันภาคสมัครใจซึ่งก็คือประกันรถยนต์ชั้น 1, ชั้น 2 และชั้น 3 โดยต้องมาพิจารณากันตรงนี้ว่า รูปแบบของประกันภัยรถยนต์ที่เจ้าของรถยนต์ทำไว้เป็นแบบใด มีขอบเขตความคุ้มครองเท่าใด และคุ้มครองใครบ้าง โดยหลัก ๆ แล้ว จะแบ่งออกเป็นดังต่อไปนี้

ประกันรถยนต์แบบไม่ระบุชื่อผู้ขับขี่

หากเจ้าของรถยนต์ทำประกันภัยรถยนต์ภาคสมัครใจแบบไม่ระบุชื่อผู้ขับขี่เอาไว้ ก็คือประกันจะคุ้มครองความรับผิดและความเสียหายอันจะเกิดขึ้นกับตัวรถยนต์ในระหว่างที่ใช้งานรถยนต์ ถึงแม้ว่าผู้ขับจะไม่ใช่เจ้าของรถยนต์ แต่ถ้าเป็นผู้ขับขี่ ณ ขณะนั้นโดยได้รับความยินยอมจากเจ้าของก่อนใช้งานรถยนต์แล้ว ก็จะอยู่ในขอบเขตความคุ้มครองของประกันในรูปแบบนี้

โดยทางบริษัทฯ จะชดเชยค่าเสียหายของตัวรถยนต์ตามเงื่อนไขที่กำหนด ถึงแม้ว่าเพื่อนจะยืมรถไปขับ ก็ยังสามารถรับความคุ้มครองจากประกันได้

ประกันภัยรถยนต์แบบระบุชื่อผู้ขับขี่

หากเจ้าของรถยนต์ทำประกันภัยแบบระบุชื่อผู้ขับขี่ ซึ่งเป็นประกันที่มีรูปแบบการคุ้มครองความรับผิดและความเสียหายของรถยนต์ในกรณีที่เกิดเหตุกับรถยนต์ในขณะที่มีผู้ที่ถูกระบุชื่อไว้ในกรมธรรม์เป็นผู้ขับรถยนต์เท่านั้น

โดยการทำประกันแบบระบุชื่อ จะสามารถระบุชื่อผู้ขับขี่ลงในกรมธรรม์ได้ถึง 2 คน กรณีที่มีเพื่อนยืมรถไปแล้วขับชน หากเพื่อนไม่ใช่เจ้าของชื่อที่ระบุไว้ในกรมธรรม์ ก็จะไม่ได้รับความคุ้มครองหรือเงินชดเชยจากจากประกันรูปแบบนี้

When-Your-Friend-Crashes-Your-Car

ถ้าเพื่อนเอารถไปขับ แต่ไม่มีใบขับขี่?

ถ้าเพื่อนที่ยืมรถยนต์ไปขับ ไม่มีใบอนุญาตขับขี่ แล้วขับรถยนต์ของคุณไปเกิดอุบัติเหตุ ก็จะมีความผิดฐานไม่มีใบขับขี่ รัฐจะเป็นผู้เสียหาย ไม่ใช่คู่กรณี แต่ถ้ารถยนต์ของเราเป็นฝ่ายถูกชน เจ้าของรถยนต์สามารถเรียกร้องค่าเสียหายจากคู่กรณีได้ แต่ถ้าเรา(หรือเพื่อนที่ยืมรถไปขับ) เป็นฝ่ายผิด ก็ต้องพิจารณาแยกเป็นกรณีดังต่อไปนี้

ไม่เคยสอบใบขับขี่มาก่อน ไม่มีใบขับขี่

หากผู้ขับไม่มีใบขับขี่มาก่อน บริษัทประกันจะคุ้มครองเฉพาะความเสียหายของบุคคลภายนอก หรือ ความเสียหายของตัวรถยนต์เท่านั้น

มีใบขับขี่ แต่ไม่ได้พกมาด้วย/หมดอายุ/ถูกยึด

หากเพื่อนที่ยืมรถยนต์ไปมีใบขับขี่ แต่อาจจะไม่ได้พกมาด้วย หรือใบขับขี่หมดอายุ-ถูกยึด กรณีนี้ประกันภัยรถยนต์แบบไม่ระบุชื่อผู้ขับ จะให้ความคุ้มครองและชดเชยค่าเสียหายให้ตามเงื่อนไข

อย่างไรก็ตาม การขับขี่ยานยนต์โดยไม่มีใบอนุญาตขับขี่ เป็นการทำผิดกฎหมายจราจร ไม่ควรปฏิบัติเป็นอย่างยิ่ง เพราะมีความเสี่ยงอุบัติเหตุสูง และถ้าถูกจับได้ก็จะมีความผิดและโดนปรับได้

นอกจากประกันภัยรถยนต์ แล้วเพื่อนที่ยืมรถยนต์ไปขับ ต้องรับผิดชอบอะไรไหม?

นอกเหนือจากความคุ้มครองจากประกันภัยรถยนต์แล้ว หากเรารู้สึกว่ารถยนต์เกิดความเสียหายมาก ก็สามารถเจรจาต่อรองเพื่อให้เพื่อนรับผิดชอบค่าเสียหายได้

หรือในกรณีที่เพื่อนนำรถไปชนจนไม่สามารถเคลมได้ คู่กรณีก็สามารถยื่นเรื่องฟ้องร้องทางแพ่งและทางอาญาที่ตัวของเพื่อนคนนั้นได้เช่นกัน

หากคู่กรณีเป็นฝ่ายขับมาชน เจ้าของรถยนต์ก็ต้องเป็นผู้ไปเรียกร้องค่าชดเชยจากคู่กรณีและต้องรับผิดชอบค่าใช้จ่ายที่เป็นส่วนต่างเอง แต่สามารถเจรจาให้เพื่อนที่ยืมรถไปขับเป็นผู้จ่ายเงินส่วนนั้นแทนได้

ดูเหมือนว่า ขั้นตอนการขอเคลมต่างๆ จากประกันภัยรถยนต์ ในกรณีนี้ ไม่ใช่เรื่องง่ายเลย เพราะมีบุคคลอื่นเข้ามาเกี่ยวข้องด้วยนั่นเอง เชื่อว่าถ้าเจอแบบนี้เข้าไป ก็คงจะปวดหัวไม่น้อยเลยทีเดียว เพราะฉะนั้น ก่อนที่จะตัดสินใจให้ใครยืมรถยนต์ไปใช้ ให้คิดไตร่ตรองให้ดี หรือสังเกตพฤติกรรมการขับขี่ของคนคนนั้นให้ดีเสียก่อน หากรู้สึกว่ามีความเสี่ยงที่จะเกิดอุบัติเหตุทางรถยนต์สูง ก็อย่าให้ยืมเลยดีกว่า เพราะมันอาจจะไม่คุ้ม

Carro-Masii-5-Risky-Driving-Behaviors-Car-Accident

เชื่อไหมว่าสถิติการเกิดอุบัติเหตุบนท้องถนนนั้นมีมากเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ มาตั้งแต่ต้นปี โดยสาเหตุหลักๆ จะมาจากพฤติกรรมของผู้ขับขี่เป็นหลักที่ไม่เคารพกฎหมาย และขาดวินัยในการขับขี่รถยนต์บนท้องถนน อีกทั้งการกระทำแบบนี้จะเพิ่มความเสี่ยงให้แก่ตัวผู้ขับขี่ และผู้ใช้รถใช้ถนนอีกด้วย เพื่อป้องกันการเกิดอุบัติเหตุ วันนี้ masii ได้นำ 5 พฤติกรรมเสี่ยงอุบัติเหตุ ที่ไม่น่าทำขณะขับรถมาเตือนเพื่อนๆ กัน ไปดูกันดีกว่าว่าจะมีอะไรบ้าง

5 พฤติกรรมเสี่ยงอุบัติเหตุ ที่ไม่ควรทำขณะขับรถ

5-Risky-Driving-Behaviors-Car-Accident

1. ฝ่าฝืนกฎจราจร

สาเหตุอันดับต้น ๆ ที่ทำให้เกิดอุบัติเหตุบนท้องถนนนั้น โดยส่วนใหญ่จะมาจากการฝ่าฝืนกฎจราจร เช่น ฝ่าไฟแดงจราจร ขับรถย้อนศร และใช้ความเร็วที่เกินกำหนด เป็นต้น สิ่งเหล่านี้เป็นการฝ่าฝืนต่อกฎจราจรทำให้เพิ่มอัตราความเสี่ยงต่อการเกิดอุบัติเหตุบนท้องถนนได้ ดังนั้นสิ่งที่ควรทำมากที่สุดสำหรับผู้ขับขี่คือ ผู้ขับขี่ควรปฏิบัติตามกฎจราจรอย่างเคร่งครัด เพื่อลดโอกาสในการเกิดอุบัติเหตุนั่นเอง

2. เมาแล้วขับ

เมาแล้วขับรถ เป็นอีกหนึ่งพฤติกรรมที่ทำให้เกิดอุบัติเหตุทางรถยนต์ เช่นกัน ดังนั้นหากเพื่อนๆ หรือใครก็ตามที่รู้ตัวว่าดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์จนมึนเมา ควรต้องพักการขับรถไว้ก่อน ควรหันมาใช้บริการขนส่งสาธารณะ หรือให้คนที่เราไว้วางไว้ใจมารับเราแทน เพราะการขาดสติ และมีอาการมึนเมานั้น ไม่ควรจะหันมาขับรถอย่างเด็ดขาด เพื่อความปลอดภัยของตัวเรา และผู้อื่น

5-Risky-Driving-Behaviors-Car-Accident

3. เล่นมือถือขณะขับรถ

มีหลายคนที่มักจะประมาทเวลาขับรถ โดยเฉพาะกับการเล่นโทรศัพท์มือถือขณะขับรถ เพราะคิดว่าขับรถมองทางสลับกับมองจอมือถือไปด้วยคงไม่เป็นไรหรอก แต่ความจริงแล้วนั้น พฤติกรรมนี้ถือเป็นสาเหตุที่ทำให้เกิดอุบัติเหตุอันดับต้น ๆ เช่นกัน เพราะเนื่องจากเราจดจ่อกับมือถือมากกว่าขับรถ การกระทำนี้ทำให้ลดความสามารถในการควบคุมรถยนต์ จนทำให้เกิดอุบัติเหตุได้ เช่น หากมีความจำเป็นต้องใช้โทรศัพท์ เราแนะนำว่าให้ใช้อุปกรณ์เสริมต่าง ๆ หรือจอดรถก่อนเพื่อคุยธุระให้เสร็จก่อนแล้วค่อยขับรถต่อไป

4. เอื้อมหยิบของในรถ

ไม่ว่าคุณจะมีความจำเป็นที่ต้องเอื้อมหยิบของในรถ ทั้งเบาะข้างๆ หรือเบาะหลัง ควรทำการจอดรถให้เรียบร้อยเสียก่อน อย่าเอื้อมตัวหรือมือไปหยิบของขณะที่กำลังขับรถเด็ดขาด เพราะแค่เสี้ยววินาทีที่เราหันไปมองของที่หยิบอยู่นั้น ก่อให้เกิดเหตุที่ไม่สามารถคาดฝันได้เช่นกัน อย่างไรก็ตาม ไม่ควรประมาท และควรจอดรถให้สนิทก่อนจะเอื้อมหยิบของ จะปลอดภัยที่สุด

5-Risky-Driving-Behaviors-Car-Accident

5. ไม่คาดเข็มขัดนิรภัย

แม้ว่าการไม่คาดเข็มขัดนิรภัยจะยังไม่ใช่สาเหตุหลักที่ทำให้เกิดอุบัติเหตุ แต่การคาดเข็มขัดนิรภัยก็เป็นสิ่งสำคัญมากๆ สำหรับผู้ขับขี่รถยนต์ทั้งหลายที่ไม่ควรละเลย ทางออกที่ดีที่สุด คือ การคาดเข็มขัดนิรภัยทุกๆ ครั้งก่อนออกเดินทางทั้งตัวผู้ขับขี่ และผู้โดยสาร เหตุผลที่ต้องคาดเข็มขัดนิรภัยก็เพื่อช่วยลดแรงกระแทกที่อาจเกิดกับตัวเราเมื่อเกิดอุบัติเหตุ โดยจะเป็นตัวฉุดรั้งไม่ให้เรากระเด็นออกจากเบาะ หรือตัวรถนั่นเอง

และทั้งหมดนี้คือ 5 พฤติกรรมเสี่ยงอุบัติเหตุ ที่ไม่ควรทำขณะขับรถที่ผู้ขับขี่ทุกคนควรรู้ เพื่อจะได้ช่วยกันลดความเสี่ยงการเกิดอุบัติเหตุบนท้องถนนได้ ที่สำคัญคือ การขับขี่อย่างปลอดภัย และมีสติ เคารพกฎจราจรหากใครอยากเพิ่มความอุ่นใจ สามารถ คลิกที่นี่ เพื่อซื้อประกันรถยนต์กับเว็บไซต์มาสิได้ง่ายๆ

ขอขอบคุณบทความดีๆ จาก www.masii.com

Safety-Driving-At-Rain-Season

ขับขี่รถยนต์บนท้องถนนช่วงฝนตกสุดแสนจะอันตราย เพราะนอกจากถนนจะเปียกลื่นแล้ว ทัศนวิสัยในการมองเห็นทางก็ย่อมจะไม่มีด้วยเช่นกัน วันนี้ rabbit finance ขอแนะวิธีขับรถอย่างปลอดภัยในช่วงฤดูฝนมาฝากกัน

ขับรถช่วงหน้าฝนต้องระวังอะไรบ้าง

1. ไม่ขับรถเร็ว

สิ่งไม่คาดคิดขณะที่กำลังขับรถช่วงหน้าฝนย่อมเกินขึ้นได้เสมอกับอุบัติเหตุต่างๆ ฉะนั้นแล้วเมื่อฝนตก ตอนเวลาที่ขับรถอยู่บนท้องถนนควรที่จะลดความเร็วลงจากปกติ เพื่อลดการเกิดอุบัติเหตุ หรือมีต้นไม้หักกีดขวางทางถนนไว้ก็จะได้เบรกทัน ทำให้ไม่เกิดความสูญเสีย เพราะเรายังสามารถที่จะเบรกได้ทันนั่นเอง

2. ไม่เหยียบเบรกกะทันหัน

ช่วงฝนตกพื้นถนนมีความลื่นหรือมีน้ำขังอยู่บนท้องถนน จึงควรขับรถอย่างระมัดระวังเป็นอย่างมากต้องมีสติกว่าการขับรถในช่วงปกติเป็นเท่าตัว เพราะเมื่อขับรถยนต์อยู่บนท้องถนนแล้วเกิดเบรกกระทันหัน อาจทำให้รถของเรานั้นที่ขับอยู่เกิดเสียการทรงตัวจนไม่สามารถควบคุมรถได้ เพราะจากความลื่นของถนนอาจทำให้รถไถลจนไปชนรถด้านหน้าได้ รวมไปถึงรถที่ตามหลังมาด้านหลังอาจเบรกไม่ทันและชนท้ายของเราได้เช่นกัน

Safety-Driving-At-Rain-Season

3. เลี่ยงถนนที่เป็นแอ่งน้ำ

เมื่อเกิดฝนตกตอนขับขี่รถยนต์ ทำให้บางพื้นที่ของท้องถนนนั้นเกิดน้ำท่วมขัง ฉะนั้นแล้วเพื่อความปลอดภัยในเวลาขับรถช่วงหน้าฝน ความหลีกเลี่ยงถนนช่วงที่มีน้ำขัง หรืองแอ่งน้ำ เพราะอาจทำให้เกิดอุบัติเหตุได้ ในขณะที่ถนนเปียกหรือมีน้ำเพิ่มมากขึ้นบนพื้นถนน ทำให้ยางหมุนอยู่บนฟิล์มน้ำแทน อันเป็นเหตุให้รถเสียการควบคุม และเกิดอาการลื่นไถลได้นั่นเอง

4. เปิดไฟรถยนต์

การเปิดไฟหน้าและหลังรถจะช่วยทำให้ผู้ขับรถนั้นสามารถมองเห็นถนนในช่วงเวลาที่มืดได้ดีขึ้น และผู้ขับขี่คนอื่นทั้่งที่อยู่คันหน้าและคันหลังจะได้เห็นสัญญาณไฟรถของเราชัดเจนมากขึ้น และทำให้เกิดความปลอดภัยมากยิ่งขึ้น ฉะนั้นแล้วต้องไม่ลืมว่าช่วงที่มีฝนตกหนักนั้นการมองเห็นเส้นทางของถนนจะมีความยากมากกว่าปกติ ต้องขับด้วยความระมัดระวัง

Safety-Driving-At-Rain-Season

5. ทิ้งช่องว่างระยะห่างในการขับขี่

ช่วงที่เกิดฝนตกหนัก ถนนหนทางมีความเปียกและลื่น จึงทำให้ต้องมีการเว้นระยะห่างของการขับรถเพิ่มขึ้น เพื่อให้สามารถหยุดรถได้ทันและเพื่อความปลอดภัยนั่นเอง ฉะนั้นเมื่อต้องขับรถในช่วงหน้าฝนต้องขับรถอย่างมีสติ เพื่อเป็นการลดความเสี่ยงอุบัติเหตุในช่วงที่เกิดฝนตกหนัก กับสภาพอากาศที่ไม่ปกติอาจจะทำให้เกิดอุบัติเหตุได้ตลอดเวลานั่นเอง

6. ประกันรถยนต์

หากคุณเป็นคนหนึ่งที่มีความจำเป็นต้องเดินทางขับรถช่วงหน้าฝน ต้องมีความระมัดระวังในการขับขี่มากยิ่งขึ้น แต่ถ้าเรามีประกันรถยนต์ก็จะช่วยเพิ่มความอุ่นใจให้กับผู้ขับขี่ได้ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องค่ารักษาพยาบาลที่ไม่ต้องสำรองจ่ายไปก่อน และไม่ว่าถูกหรือผิดก็มีสิทธิ์ได้รับค่าเสียหายตามประเภทของกรมธรรม์ได้

หากสนใจทำประกันรถยนต์แต่ไม่รู้ว่าจะทำประกันรถที่ไหนดี สามารถเช็กราคาประกันรถยนต์ได้ที่ rabbit finance หรืออ่านบทความดีๆ จากเราได้เป็นประจำ

Carro-Roojai-Driving-Safety-In-Rain-Season

เรื่องถนนลื่นคือความเสี่ยงต่ออุบัติเหตุ หากต้อง “ขับรถหน้าฝน” ความปลอดภัยบนท้องถนน จึงกลายเป็นสิ่งที่คุณต้องพึงนึกถึงไว้เสมอตอนที่อยู่หลังพวงมาลัยและมีสายฝนตกบนหน้ากระจกรถคุณ หากผู้ขับขี่มีเทคนิคในการขับขี่ที่ดี เส้นทางฝนตกที่ต้องเผชิญก็ไม่ใช่ปัญหา และสามารถขับไปถึงจุดหมายปลายทางได้โดยสวัสดิภาพ

Driving-Safety-In-Rain-Season

Roojai.com จะพาคุณไปดูเทคนิค “ขับรถหน้าฝน” อย่างปลอดภัย เราจะแนะนำว่าอะไรบ้างที่ต้องทำ อะไรบ้างที่ต้องเตรียม และ ข้อควรระวัง ขณะขับรถหน้าฝน

“ขับรถหน้าฝน” ถึงที่หมายโดยสวัสดิภาพและปลอดภัยมากกว่าเดิม

อย่าเล่นโทรศัพท์มือถือ

สมาธิคือสิ่งสำคัญในการขับขี่ ด้วยสถานการณ์ที่ฝนตกหนัก ทรรศนะวิสัยการมองเห็นไม่ชัดเจน สิ่งรบกวนมีรอบตัวขณะขับขี่ การโฟกัสแต่สิ่งที่อยู่บนถนนข้างหน้าย่อมสำคัญกว่าหน้า Feed บน Facebook ดังนั้น “อย่าหยิบมือถือ” ให้วางมือถือไว้ไม่ต้องเล่น หากต้องขับรถขณะที่ฝนตก เพื่อช่วยเพิ่มความปลอดภัยบนท้องถนนในทุกเส้นทางของคุณ

Driving-Safety-In-Rain-Season

สภาพยางรถยนต์ไม่ไหว ต้องเปลี่ยน

ถ้ายางรถยนต์เสื่อมสภาพแล้วก็จะทำให้ความสามารถในการเกาะถนนลดน้อยลง ยิ่งขับรถหน้าฝน ถนนลื่นยิ่งน่ากลัว ทางที่ดีควรตรวจสอบสภาพยางของรถคุณว่าเก่าไปหรือเปล่า ยังพอใช้งานได้หรือไม่ หรือว่าเนื้อยางไม่ไหวแล้วที่จะเกาะถนนก็ควรเปลี่ยนใหม่ แล้วคุณจะมั่นใจในจังหวะเลี้ยว จังหวะเบรก และทุกจังหวะของการขับขี่ได้มากกว่าเดิม ไม่เฉพาะแต่ตอนถนนเปียกเท่านั้น ตอนถนนแห้งรถก็ขับขี่ได้ดีกว่าเดิมกับยางใหม่

เตรียมยางปัดน้ำฝนให้พร้อม

Driving-Safety-In-Rain-Season

หงุดหงิดมั้ย? เวลาที่ปัดกระจกหน้ารถแล้วไม่สะอาด ช่วงหน้าฝนยิ่งควรเตรียมใบปัดน้ำฝนให้พร้อมกับประสิทธิภาพการทำงานที่เต็มร้อย ปัดแล้วสะอาดทันที ไม่ใช่เสื่อมสภาพ ยิ่งปัดยิ่งสกปรกมองไม่เห็น เตรียมพร้อมไว้ถ้าถึงเวลาก็ต้องเปลี่ยน ไม่ใช่จะใช้งานทีก็นึกขึ้นได้ที แบบนี้มีแต่เสี่ยงกับเสี่ยง

ถ้าไม่ไหว ให้จอดข้างทาง

ฝนตกหนัก ๆ บางทีข้างหน้าก็แทบจะมองไม่เห็นอะไรอยู่แล้ว วางใจไม่ได้ก็หาที่จอดข้างทางดีกว่า ถ้าคุณประเมินแล้วขับต่อไปยิ่งเสี่ยง ข้างหน้ามองไม่เห็น ข้างหลังก็มองยาก ให้หาที่จอดรถข้างทางที่เป็นที่สำหรับจอดปลอดภัยมากที่สุด ที่สำคัญอย่าจอดสุ่มสี่สุ่มห้าหรือจะจอดตรงไหนก็จอด เพราะอาจจะยิ่งอันตรายมากกว่าเดิม คนอื่นมองไม่เห็นแล้วขับมาชนเอาได้

ให้เว้นระยะห่างจากรถคันหน้ามากกว่าเดิม

ฝนตกหนักๆ ไม่ควรใช้ความเร็วสูงนั้นถูกต้องแล้ว แต่ที่สำคัญอีกข้อก็คือ ควรเว้นระยะห่างจากรถคันข้างหน้าให้มากกว่าเดิม เผื่อจังหวะไม่คาดฝัน เหยียบเบรกกระทันหัน จะได้ไม่เกิดอุบัติเหตุ ห่างสัก 12-15 เมตรได้ยิ่งดี ถ้าอยู่ในเส้นทางที่รถโล่ง เผื่อระยะเบรกไว้สักหน่อย ยังไงก็ปลอดภัยกว่า

ใช้ความเร็วไม่เกิน 60 กม./ชม.

“ฝนตกถนนลื่น” คำนี้หลายคนน่าจะเคยได้ยิน และเมื่อขับรถเร็ว ๆ ต้องเบรกกระทันหันในบางสถานการณ์ สมรรถนะรถจะดีแค่ไหนก็เอาไม่อยู่ถ้าถนนลื่น ถ้าไม่อยากเสี่ยง อย่าขับรถเร็วเมื่อฝนตก แม้ฝนจะหยุดแล้วแต่ถนนยังลื่นอยู่ก็ไม่ควรขับเร็วมากเกินไป ขับรถหน้าฝน ที่ความเร็ว 60 กม./ชม. น่าจะปลอดภัยที่สุด

Driving-Safety-In-Rain-Season

เปิดไฟรถทั้งหน้าและหลัง

เปิดไฟหน้าก็เพื่อให้ทัศนวิสัยในการมองเส้นทางของคุณทำได้ง่ายขึ้น ส่วนไฟท้ายก็เพื่อให้รถคันหลังเห็นรถของคุณได้ง่ายขึ้นเช่นกัน หลายคนถ้าเคยเจอเส้นทางที่ฝนตกหนักจริง ๆ จะรู้ดีว่ามันยากแค่ไหนที่จะมองเห็นรถคันข้างหน้า เพราะฉะนั้นการเปิดไฟรถทั้งหน้าและหลัง ก็จะช่วยป้องกันอุบัติเหตุที่จะเกิดขึ้นและเพิ่มความปลอดภัยบนถนนได้เป็นอย่างดี

เพียงเท่านี้ การขับรถหน้าฝน ก็จะปลอดภัยมากยิ่งขึ้น เตรียมรถให้พร้อม ถ้าคนขับรู้เทคนิคการใช้รถด้วย ยังไงก็ถึงที่หมายโดยสวัสดิภาพ แต่ถึงอย่างไรรถทุกคันควรมีประกันรถยนต์ติดไว้ “ชัวร์” ขึ้นอีกขั้นว่าหากเกิดอุบัติเหตุก็ไม่ต้องกังวล และที่ Roojai.com ประกันรถออนไลน์ เราก็มีแผนประกันให้คุณเลือกและปรับเปลี่ยนได้เองตามต้องการ ซื้อง่าย ไม่ซับซ้อน ราคาดี และเชื่อใจได้ ต้อง Roojai.com รู้ใจกว่า ประหยัดกว่า แถมผ่อนเบี้ยสบายกระเป๋านานถึง 10 งวด ไม่ง้อบัตรเครดิต ใช้บัตรเดบิตผ่อนได้อีกด้วย

Carro-Frank-Motorcycle-And-Road-Accident-Victims-Protection-Act

เคยสงสัยไหมว่า? ทำไมรถมอเตอร์ไซค์ทุกคันถึงต้องต่อ พ.ร.บ. มอเตอร์ไซค์ด้วยนะ ทั้งๆ ที่เราก็ขับรถดีอยู่แล้ว จนแทบไม่ได้เคลมเลยก็เสียเงินทิ้งเปล่าๆ แถมยังเสียเวลามานั่งต่อพ.ร.บ.รถมอเตอร์ไซค์ทุกปีด้วย ซึ่งวันนี้เราจะพาทุกคนมาไขข้อสงสัยกันว่า ถ้าเกิดคุณไม่มีพรบรถมอเตอร์ไซค์จะเป็นอย่างไรบ้าง เรามีคำตอบให้แล้ว

Motorcycle-And-Road-Accident-Victims-Protection-Act

1. หากเป็นฝ่ายผิด ต้องจ่ายค่ารักษาให้คู่กรณีเอง

แน่นอนเราทำผิดเราก็ต้องรับผิดชอบความเสียหายเอง สมมติว่าถ้าคุณเกิดขับรถไปชนคู่กรณีแล้วทำให้คู่กรณีได้รับบาดเจ็บจน เราจะจ่ายค่ารักษาพยาบาลให้คู่กรณีเองทั้งหมดโดยไม่รวมกับค่าซ่อมรถ แต่หากคุณไม่มีเงินจ่ายค่ารักษาให้กับคู่กรณีก็สามารถขอเบิกกับกองทุนผู้ประสบภัยได้ไม่เกิน 15,000 บาทตามจริง แล้วคุณจะต้องจ่ายเงินคืนกับกองทุนพร้อมจ่ายค่าขอเบิกเพิ่มเติมด้วย

2. เมื่อบาดเจ็บเอง ก็ต้องจ่ายเองด้วย

แต่ถ้าคุณเป็นฝ่ายโชคร้ายซะเองล่ะ สมมติว่าจู่ๆ วันหนึ่งเราขับรถไปชนกับต้นไม้จนได้รับบาดเจ็บ รวมถึงผู้โดยสารที่อยู่ในรถด้วย ก็จะต้องจ่ายค่ารักษาพยาบาลเอง ตั้งแต่เริ่มการรักษาจนถึงออกจากโรงพยาบาลเลย ด้วยเหตุนี้เองผู้ขับขี่จะต้องมีพรบรถมอเตอร์ไซค์ เพื่อให้ช่วยคุ้มครองค่ารักษาพยาบาลกับเรา โดยไม่ว่าคุณจะเป็นฝ่ายผิดหรือฝ่ายถูก เราจะได้รับการชดเชยค่ารักษาพยาบาลเบื้องต้น 30,000 บาทต่อคน

Motorcycle-And-Road-Accident-Victims-Protection-Act

3. ไม่ได้ความคุ้มครองกรณีพิการหรือเสียชีวิต

หากเกิดอุบัติเหตุรถชนกัน ก็ย่อมมีคนได้รับบาดเจ็บหรือเสียชีวิตอยู่แล้ว ดังนั้น ถ้าเราไม่มีพ.ร.บ.มอเตอร์ไซค์ จะไม่ได้รับความคุ้มครองกรณีสูญเสียอวัยวะ ทุพพลภาพอย่างถาวร ค่ากะโหลกศีรษะเทียม รวมถึงกรณีเสียชีวิต ทำให้เป็นภาระให้กับคนที่อยู่ข้างหลังเราได้

4. โดนเจ้าหน้าที่ตำรวจจับปรับได้

เพราะทางกฎหมายบังคับให้เจ้าของรถทุกคันทำพรบ หรือต่อพ.ร.บ.อยู่แล้ว อันนี้เลือกจ่ายเองไม่ได้นะครับ ต้องจ่ายตามกฎหมายเท่านั้น แต่ถ้าคุณฝ่าฝืนไม่มีพ.ร.บ.รถมอเตอร์ไซค์จะต้องจ่ายค่าปรับไม่เกิน 10,000 บาท เอาเป็นว่าถ้าไม่อยากเสียค่าปรับฟรีๆ ก็อย่าลืมต่อพรบล่วงหน้ากันด้วยนะ สำหรับใครที่กลัวว่าจะลืมต่อพ.ร.บ. เราสามารถต่อต่อพ.ร.บ.ล่วงหน้าได้ 3 เดือน หรือประมาณ 90 วันก่อนพ.ร.บ.จะหมดอายุ

Motorcycle-And-Road-Accident-Victims-Protection-Act

5. ถ้าไม่มีพ.ร.บ. ก็ต่อภาษีรถไม่ได้

ทุกครั้งก่อนที่เราจะต่อภาษีรถ (ป้ายวงกลม) จะต้องต่ออายุพ.ร.บ.ก่อน ก็คือหากเกิดคุณไม่มีพ.ร.บ.มอเตอร์ไซค์ก็ไม่สามารถต่อภาษีรถได้ แล้วถ้าไม่ได้ต่อภาษีประจำปีก็จะต้องเสียค่าปรับอีกไม่เกิน 1,000 บาท พร้อมเตรียมเสียค่าปรับในการชำระภาษีภายหลัง 1% ต่อเดือนด้วย ไม่เพียงแค่นั้นยังส่งผลให้ป้ายทะเบียนรถมอเตอร์ไซค์ถูกระงับการใช้งาน แถมยังเสียเวลาอีกด้วย

เอาเป็นว่า เพื่อนๆ อย่าลืมเช็กอายุพ.ร.บ.กันด้วยนะ หากใกล้จะหมดอายุแล้วก็ต้องรีบนำไปต่อ เพราะทางพ.ร.บ.จะเข้ามาช่วยคุ้มครองแก่ชีวิตและค่ารักษาพยาบาลให้ ถึงแม้เราจะเป็นฝ่ายผิดหรือฝ่ายถูกก็จะได้รับความชดเชยเบื้องต้นทันที นอกจากนี้เราสามารถซื้อประกันรถมอเตอร์ไซค์ เพื่อเพิ่มความคุ้มครองแก่ตัวรถและทรัพย์สินได้ด้วย เผื่อเกิดอุบัติเหตุไม่คาดฝันกับรถของเรา เช่น รถชน รถสูญหาย รถไฟไหม้ ประกันรถมอเตอร์ไซค์ก็จะช่วยลดความเสี่ยงค่าใช้จ่ายที่อาจเกิดขึ้นในอนาคตได้ ไม่ต้องกังวลอีกต่อไป

ขอบคุณข้อมูลจาก : frank.co.th ประกันที่รวดเร็ว เรียบง่าย และจริงใจกับคุณ

Carro-Roojai-How-To-Take-Care-Of-Unused-Car

ช่วงที่ ไวรัส โคโรนา (COVID-19) กลายเป็นสิ่งที่น่ากลัว ทุกคนต้องปรับตัวเองกับคำว่า “Social Distancing” เว้นระยะห่างจากบุคคลทั่วไป หลายคนก็ต้องทำงานจากที่บ้าน (Work From Home) อยู่แต่บ้านไม่ค่อยได้ไปไหน ซึ่งรถของคุณก็จะไม่ค่อยได้ใช้งานไปโดยปริยาย ต้องจอดรถไว้นานควรทำอย่างไร ต้องดูแลยังไงให้รถพร้อมใช้งานได้ตลอดเวลา

Roojai.com ไม่ได้เป็นห่วงรถคุณแค่เรื่องประกันภัยเพียงอย่างเดียว เราก็อยากให้คุณไม่เกิดปัญหาในการใช้งานรถด้วย ยิ่งในสภาวะเช่นนี้ รถไม่ค่อยได้ใช้งาน ต้องจอดรถทิ้งไว้นาน ๆ ย่อมส่งผลให้ตัวรถเกิดปัญหา แล้วพอจะใช้ทีก็ต้องมานั่งซ่อมที แบบนี้ไม่ดีแน่! ควรทำอย่างไรไปดูกันเลย

จอดรถไว้นานควรทําอย่างไร ในช่วงที่ โคโรนา เป็นภัย

How-To-Take-Care-Of-Unused-Car

1. หมั่นดูแลรถให้สะอาดอยู่เสมอ

ไม่ได้ใช้รถนานๆ บางทีคราบขี้นก ยางต้นไม้หยดใส่รถแต่ว่าคุณไม่รู้ ต้องหมั่นตรวจสอบอยู่เสมอ ถ้ามีคราบมีรอยเมื่อเห็นให้ล้างออกโดยทันทีก่อนที่ตัวคราบนั้น ๆ จะเข้าไปทำลายสีรถของคุณ ล้างไม่ออก ขัดยังไงก็ไม่หลุด เป็นเหมือน “ตราบาป” ติดรถของคุณไปตลอด

How-To-Take-Care-Of-Unused-Car

2. หาที่จอดรถที่เหมาะสม

คำว่า “เหมาะสม” ในที่นี้บริบทของมันใช่เพียงแค่ว่าจอดรถในที่ร่มไม่โดนแดดไม่โดนฝนเท่านั้น แต่พื้นที่โดยรอบของที่จอดรถและตำแหน่งการจอดนั้น ไม่ควรเป็นพื้นที่รกร้างที่อาจมีสัตว์นานาชนิดแอบใช้รถของคุณเป็นที่พักผ่อนได้ เช่น หนูหรืองู จอดรถนาน ๆ ไม่ได้ใช้ทุกวันตรงจุดนี้ต้องระวังให้ดี

How-To-Take-Care-Of-Unused-Car

3. หมั่นเปิดฝากระโปรงบ่อยๆ

ใต้ฝากระโปรงอาจเป็นแหล่ง “มั่วสุม” ของพวกหนูซึ่งมันอาจนำความพินาศมาสู่รถคุณได้ เข้าไปกัดสายไฟจนขาด นำอาหารไปกินแล้วทิ้งไว้ในห้องเครื่องเป็นขยะ ซึ่งถ้าไม่คอยเปิดเช็กฝากระโปรง ปิดสนิททิ้งไว้เป็นอาทิตย์บอกเลยว่า “บันเทิงแน่นอน” เปิดมาดูที รถของคุณอาจจะสตาร์ทไม่ติดหรือเห็นเศษขยะสะสมมากมายที่พวกมันมาแทะกัดแล้วทิ้งไว้ให้ดูต่างหน้า การเปิดฝากระโปรงทิ้งไว้หรือคอยเปิดบ่อย ๆ สามารถช่วยได้ เพื่อไม่ให้พวกสัตว์ต่าง ๆ เห็นว่าในห้องเครื่องของรถคุณเป็นที่หลบภัยของมันนั่นเอง

How-To-Take-Care-Of-Unused-Car-4

4. 3-4 วัน สตาร์ทรถสักที

บางคนอาจแนะนำว่าให้สตาร์ทรถสัปดาห์ละครั้งก็ได้ แต่เราอยากให้ความถี่ในการสตาร์ทรถของคุณมากขึ้นสักหน่อย เป็นสัก 3-4 วันให้เครื่องยนต์และระบบต่าง ๆ ของตัวรถได้ทำงาน ทั้งระบบไฟ ระบบแอร์ และอื่น ๆ รอบคัน สตาร์ททิ้งไว้สัก 10-15 นาทีให้ไฟได้ชาร์ทเข้าแบตฯ ไว้บ้าง หรือจะให้ดีกว่านั้นสตาร์ททั้งทีก็ขับวนรอบหมู่บ้านสักรอบสองรอบ ก็จะยิ่งช่วยให้ระบบช่วงล่างของรถได้ทำงานบ้างได้ด้วยอีกต่างหาก

How-To-Take-Care-Of-Unused-Car

5. เติมลมให้ “แข็งขึ้น” สักเล็กน้อย

รถไม่ค่อยได้ขับ จอดทิ้งไว้นาน ๆ ขับอุ่นเครื่องแต่ในหมู่บ้านไม่ได้เอาออกไปไหน เพื่อรักษาสภาพยางรถยนต์ของคุณให้ยังดีอยู่เสมอก็ควรเติมลมยางให้แข็งกว่าปกติสักหน่อย เพิ่มขึ้นสัก 5 ปอนด์จากมาตรฐานก็สามารถช่วยให้ตอนที่น้ำหนักเมื่อกดทับยางตอนจอดนิ่งนาน ๆ ไม่เสียรูป ใช้งานได้อีกยาวๆ

สำคัญไปกว่านั้นต้องหมั่นตรวจเช็กแรงดันลมยางอย่างสม่ำเสมอด้วย ไม่ควรปล่อยให้ลมยางอ่อนจนยางแบนล้อเกือบติดพื้น นอกจากมันจะไม่ดีกับสภาพยางของรถคุณแล้ว ตอนจะขับใช้งานทีก็อาจต้องถอดล้อไปเติมลมยาง เสียเวลาซ่อมอีกต่างหาก วัดลมยางบ่อย ๆ พอเห็นว่าเริ่มอ่อนก็ขับไปเติมไว้นี่แหละดีที่สุด

How-To-Take-Care-Of-Unused-Car

6. อย่ามองข้ามของเหลวของเครื่องยนต์

แม้ว่าคุณจะไม่ค่อยได้ใช้รถบ่อย ๆ ก็ตาม แต่เชื่อว่าคงไม่มีใครปลื้มหลอกถ้าจะขับทีต้องซ่อมที ดังนั้นเรื่องของเหลวในส่วนต่าง ๆ ของเครื่องยนต์คือสิ่งที่มองข้ามไม่ได้ ควรหมั่นตรวจเช็กให้อยู่ในระดับที่ตัวรถต้องการอยู่เสมอ ไม่ว่าจะเป็นระบบหล่อเย็น น้ำมันเครื่อง น้ำมันเกียร์ น้ำมันเบรก ฯลฯ ต้องเช็กให้ดีทุกส่วน

How-To-Take-Care-Of-Unused-Car

7. ถอดขั้วแบตเตอรี่

ถ้ารู้ว่าจะไม่ค่อยได้สตาร์ทรถนาน ๆ หลายสัปดาห์หรือเป็นเดือน ถอดขั้วแบตฯ ไปเลยน่าจะดีกว่า เพราะต้องไม่ลืมว่าแม้รถจะไม่ได้สตาร์ทแต่ระบบต่าง ๆ ของรถที่ต้องใช้ไฟยังทำงานอยู่ ซึ่งหมายความว่าตัวแบตฯ ก็ต้องจ่ายไฟ แล้วถ้าไม่ได้สตาร์ทรถชาร์จไฟก็อาจทำให้แบตฯ “เกลี้ยง” ได้ พอตอนจะสตาร์ทก็สตาร์ทไม่ติด ทางที่ดีถ้ารู้ว่าจะไม่ได้ใช้รถนาน ๆ ให้ถอดขั้วแบตฯ ออกเลยดีที่สุด

โคโรนา ไวรัสอาจทำให้หลาย ๆ คนต้องปรับตัว ซึ่งคนใช้รถ จอดรถไว้นานควรทำอย่างไร ทั้งหมดน่าจะเป็นคำตอบให้กับทุกคนแล้ว และถึงแม้รถจะจอดไว้ไม่ได้ใช้นาน ๆ เรื่องประกันภัยรถยนต์ก็ยังคงเป็นสิ่งที่ทุกคนต้องมี เพื่อให้ตอนที่ใช้รถก็จะสามารถขับขี่ได้อย่างมั่นใจ เพราะอุบัติเหตุสามารถเกิดขึ้นกับทุกคนได้ อันตรายไม่น้อยกว่า ไวรัส โคโรนา (COVID-19) ซึ่งสามารถซื้อประกันโควิดออนไลน์ เบี้ยต่ำ คุ้มครองสูง กับเราได้แล้ววันนี้ เลือกทำประกันไว้อุ่นใจกว่า

Trick-To-Get-Secondhard-Car-For-You

สำหรับใครที่มองหารถยนต์สภาพดี คุณภาพไม่มีที่ติ นอกเหนือจากรถยนต์มือหนึ่งป้ายแดงแล้ว รถยนต์มือสองก็ตอบโจทย์ได้ไม่แพ้ใครเหมือนกันนะครับ แถมยังมีราคาที่ประหยัดกว่า เรื่องของคุณภาพก็แทบจะไม่ต่างกับมือหนึ่งมากนัก

เทคนิคง่ายๆ ซื้อรถมือสองให้คุ้ม

แต่แน่นอนว่าการซื้อรถมือสองนั้นมีเงื่อนไข และการตรวจสอบ การตรวจเช็กสภาพรถก็เป็นเรื่องที่สำคัญไม่แพ้ใครเลยด้วยนะ เพราะถ้าเราเจอคนขายที่ไว้ใจได้ก็ถือว่าโชคดีของเรา แต่หากเจอกับมิจฉาชีพ คงไม่ใช่เรื่องที่น่ายินดีสักเท่าไร ดังนั้น Masii เลยมีเทคนิคการเลือกซื้อรถมือสองแบบง่ายๆ มาฝากเพื่อนๆ ชาว CARRO กันครับ

Trick-To-Get-Secondhard-Car-For-You

ราคาต้องเหมาะสม

สำหรับรถมือสองนั้นต้องยอมรับก่อนว่ามีหลากหลายราคาเอามากๆ ให้เราเลือกได้อย่างอิสระ และเหตุที่ทำให้รถมือสองนั้นมีราคาที่แตกต่างกันออกไปก็เพราะยี่ห้อรถ รุ่นรถ รวมไปถึงเลขไมล์ และสภาพรถที่ใช้งานมา ดังนั้นเราก็ต้องเลือกดูยี่ห้อ รุ่น ให้เหมาะสมกับเรทราคาที่เราตั้งไว้ สภาพต้องดี

ใครๆ ก็อยากได้รถสภาพดีๆ ทั้งนั้น ไม่ว่าจะเป็นรถมือหนึ่ง หรือรถมือสอง แต่ถ้าหากเลือกมองราคาถูกไว้ก่อน กลับได้รถมือสองมาในสภาพที่ไม่โอเค ต้องคอยไปเสียค่าซ่อมตามหลัง แบบนี้ก็ไม่ต่างอะไรกับการเลือกซื้อรถมือหนึ่ง ทางที่ดีเราควรเช็กสภาพรถมือสองอย่างละเอียดให้ครบถ้วน ถ้าไม่มั่นใจก็ลองให้ผู้เชี่ยวชาญ หรือมีความรู้มาตรวจดูจะดีที่สุด

ดูรถหลายๆ คัน

ต้องมีความใจเย็นในการเลือกซื้อรถมือสอง ค่อยๆ ตัดสินใจไปทีละขั้นตอน และถ้าหากมีเวลา ให้เราลองเปรียบเทียบรถมือสองที่เราต้องการดูแต่ละที่ และเก็บข้อมูลเพื่อประกอบตัดสินใจอีกครั้ง

Trick-To-Get-Secondhard-Car-For-You

เลือกแหล่งซื้อที่น่าเชื่อถือ

ใช่ว่าเราจะซื้อรถมือสองที่ไหนก็ได้นะครับ บางที่อาจจะมาอยู่ในรูปแบบมิจฉาชีพ หลอกหลวงเรา นำเสนอโดยการให้ราคาที่พิเศษกับเรา แต่ที่แท้อาจจะเลือกรถยนต์ที่ย้อมแมวมาขายให้กับเรา ดังนั้น การเลือกซื้อผ่านบริษัทที่ได้รับความน่าเชื่อถือจะช่วยให้เราอุ่นใจได้รถมือสองที่คุณภาพดีแน่นอน ต่อให้ซื้อรถยนต์มือสองแล้ว การทำประกันรถยนต์ก็เป็นสิ่งสำคัญไม่แพ้กัน หากเกิดอุบัติเหตุใดๆ บนท้องถนน ประกันจะช่วยดูแลคุ้มครองเราอยู่ คลิกที่นี่ เพื่อเช็กเบี้ยประกันรถยนต์ได้ทันที

มีข้อมูลสงสัยอยากสอบถาม โทรเข้ามาที่ 02 710 3100 เรามีทีมงานคอยให้คำตอบอยู่ครับ

ขอขอบคุณบทความดีๆ จาก www.masii.com

5-Tips-Driving-Through-A-Railroad-Crossing

อีกข่าวหนึ่งที่มีให้เห็นกันตามโลกโซเชียลกันอยู่เสมอๆ อีกหนึ่งข่าว ที่อาจจะไม่ได้เกิดขึ้นกันบ่อยมากนัก แต่มันก็อยู่ใกล้ตัวของคนขับรถอยู่มากพอสมควร กับข่าวรถไฟชนกับรถยนต์ หรือชนคนก็ตาม

หลายคนอาจไม่รู้ว่า ทางรถไฟนั้น มีจุดตัดเสมอระดับทางรถไฟ-รถยนต์ ที่ทั้งถูกต้อง และเป็นทางลักผ่าน ทางตัดผ่าน (Illegal Crossing) ที่ชุมชนแถบริมทางรถไฟ ทำขึ้นมา ซึ่งอาจจะเป็นของเอกชน หรือผู้อยู่อาศัยแถวนั้น หรือองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น เช่น เทศบาล องค์การบริหารส่วนตำบล “แต่ไม่ได้ขออนุญาตทำทางตัดผ่าน จากการรถไฟแห่งประเทศไทย หรือไม่ได้รับอนุญาตจากการรถไฟแห่งประเทศไทย”

5-Tips-Driving-Through-A-Railroad-Crossing

ทำให้เกิดอุบัติเหตุมากถึงร้อยละ 87 ซึ่งเป็นอุบัติเหตุที่เกิดขึ้นบริเวณจุดตัดทางรถไฟที่ไม่มีเครื่องกั้น ซึ่งส่วนใหญ่ของอุบัติเหตุ มีสาเหตุจากความไม่คุ้นเคยและความไม่ชำนาญเส้นทางของคนขับ รวมถึงการขาดทักษะในการขับรถผ่านเส้นทาง

MR.CARRO มีข้อมูลดีๆ จากการรถไฟแห่งประเทศไทย มาแนะนำทุกท่านเมื่อจำเป็นต้องขับรถผ่านทางรถไฟกันครับ

5-Tips-Driving-Through-A-Railroad-Crossing

1. หยุดรถให้ห่างจากทางรถไฟไม่น้อยกว่า 5 เมตร

ไม่ว่าตรงนั้น จะมีเครื่องกั้นทาง หรือเครื่องหมายหรือเสียงสัญญาณระวังรถไฟหรือไม่ก็ตาม เพื่อความปลอดภัยต้องดูให้แน่ใจว่า จะไม่มีรถไฟวิ่งผ่าน หรือรถไฟวิ่งผ่านไปแล้ว ถึงจะค่อยขับรถผ่านไปได้

2. ห้ามขับรถแซงขึ้นหน้ารถคันอื่นภายในระยะ 30 เมตร ก่อนถึงทางเดินรถที่ตัดข้ามทางรถไฟ

5-Tips-Driving-Through-A-Railroad-Crossing

3. ถ้าต้องจอดรถ ควรจอดรถในระยะไม่ต่ำกว่า 15 เมตร ก่อนถึงทางรถไฟ

4. หากเห็นป้ายสัญลักษณ์ ต้องหยุด!

หากเห็นป้ายสัญลักษณ์ เช่น ป้ายหยุด ป้ายเตือนรูปกากบาท “ระวังรถไฟ” ป้ายทรงสี่เหลี่ยมขนมเปียกปูนสีอำพัน มีรูปรถจักรไอน้ำและรั้วกั้น ให้ชะลอความเร็ว และจอดดูซ้าย-ขวา ให้แน่ใจว่าไม่มีรถไฟแล่นผ่านมา เมื่อเห็นว่าปลอดภัยจึงขับผ่านไปได้

5. ถ้ารถคันที่ติดฟิล์มกรองแสงเข้มมาก ให้เปิดกระจกรถดูก่อนจะขับผ่านไป!

รถในยุคปัจจุบันส่วนใหญ่ มักติดฟิล์มกรองแสงชนิดเข้มมาก จนอาจทำให้มองเห็นไม่ชัดในเวลากลางคืน จึงต้องใช้ความระมัดระวังเพิ่มมากขึ้น ขณะขับรถข้ามทางรถไฟ เพื่อความปลอดภัยกรณีขับรถทางตัดผ่านที่ไม่มีเครื่องกั้น ให้เปิดกระจกรถซ้าย-ขวา ดูให้แน่ใจว่าไม่มีรถไฟมา แล้วค่อยขับรถผ่านไป

สำหรับป้ายเตือนหรือป้ายสัญญาณจราจรติดตั้งอยู่บริเวณจุดตัดทางรถไฟ ผู้ขับรถ รวมไปถึงผู้เดินเท้า ต้องทำความเข้าใจความหมายของป้ายหรือสัญลักษณ์ต่างๆ ไว้ด้วยเพื่อความปลอดภัย ซึ่งแต่ละป้ายจะมีความหมายว่าอย่างไรบ้าง มาดูกัน

5-Tips-Driving-Through-A-Railroad-Crossing

1. ป้ายทางข้ามทางรถไฟมีเครื่องกั้นทาง จะมีลักษณะเป็นรูปรั้วกั้น อยู่บนพื้นป้ายสี่เหลี่ยมขนมเปียกปูนสีเหลืองอำพัน หมายถึงทางรถไฟที่มีเครื่องกั้นทางปิดกั้น

2. ป้ายทางข้ามทางรถไฟไม่มีเครื่องกั้นทาง เป็นรูปหัวรถจักรไอน้ำ อยู่บนพื้นป้ายสี่เหลี่ยมขนมเปียกปูนสีเหลืองอำพันเช่นกัน หมายถึง ป้ายทางข้างหน้ามีทางรถไฟตัดผ่านและไม่มีเครื่องกั้นทาง ให้ขับรถช้าๆ และสังเกตดูรถไฟทั้งซ้าย-ขวา ถ้ามีรถไฟกำลังจะผ่านมาให้หยุดรอให้ห่างจากทางรถไฟอย่างน้อย 5 เมตร แล้วรอจนกว่ารถไฟนั้นผ่านไปแล้ว จึงเคลื่อนรถต่อไปได้

3. ป้ายหยุด เป็นป้ายรูปแปดเหลี่ยมสีแดง มีข้อความ “หยุด” หมายถึงว่ารถทุกชนิดต้องหยุดเมื่อเห็นป้ายนี้ เมื่อเห็นว่าปลอดภัยแล้วจึงขับรถต่อไปได้อย่างปลอดภัย

4. ป้ายกากบาท “ระวังรถไฟ” ป้ายเตือนว่าเป็นจุดตัดทางรถไฟเสมอระดับรถยนต์ จะมีรถไฟแล่นผ่านทางรถไฟบริเวณนี้ ให้ระวัง และชลอความเร็ว

5-Tips-Driving-Through-A-Railroad-Crossing

และนี่ก็เป็นเคล็ดไม่ลับ ในการขับรถยนต์ข้ามทางรถไฟอย่างปลอดภัยแล้วล่ะครับ ยิ่งในตอนกลางคืน ยิ่งต้องระวังระวังมากขึ้นครับ แม้ว่ารถจักรแต่ละคัน จะมีไฟหน้าที่ส่องสว่างได้ไกลมากก็ตาม แต่คนขับรถปัจจุบันมักติดฟิล์มกรองแสงที่เข้มมาก จนอาจจะไม่ทันสังเกตกันได้ครับ

แหล่งที่มาจาก: