คนที่เข้าร่วมโครงการซื้อรถคันแรกเมื่อปี 2011 ถึงตอนนี้ก็คงจะมีคนที่ทยอยปลดล็อครถคันแรกกันไปบ้างแล้ว เพราะนับตั้งแต่ที่โครงการนี้มีผลบังคับใช้ มาจนถึงปี 2016 นี้ เวลาก็หมุนวนครบมาถึงกำหนด 5 ปีพอดี โดยรถที่เข้าร่วมโครงการรถคันแรกนี้ก็มีจำนวนมากกว่า 1,200,000 คัน และหลังจากที่ครบกำหนดเวลาปลดล็อคโครงการนี้ ก็จะเริ่มมีผู้คนนำรถไปทยอยขายเข้าสู่ตลาดมือสองกันมากขึ้น อ้างอิงผลสำรวจจาก SCB EIC จะพบว่า จำนวนคนที่สนใจจะขายรถออกไป คิดเป็นเปอร์เซ็นต์แล้วมีจำนวน 7.2 % หรือคิดเป็นจำนวนมากกว่า 80,000 คัน ทำให้ผู้ซื้อมีตัวเลือกมากขึ้น


สำหรับใครที่ต้องการซื้อรถมือสอง ช่วงเวลานี้ถือเป็นจังหวะที่ดี เพราะการปลดล็อคโครงการรถคันแรก ได้ส่งผลทำให้

1. มีจำนวนรถมือสองหมุนเวียนมากขึ้น
จากแต่เดิมที่ในตลาดมือสองมีรถหมุนเวียนอยู่แล้ว พอได้เวลาปลดล็อคโครงการรถคันแรก ก็ยิ่งทำให้มีจำนวนรถหมุนเวียนมาให้เลือกซื้อกันมากขึ้นกว่าเดิม ซึ่งจะส่งผลดีต่อผู้บริโภค ทำให้ผู้ซื้อมีตัวเลือกที่มากขึ้น

TIPS: ที่สำคัญการซื้อรถมือสองจากโครงการนี้ ยังมีข้อดีตรงที่ รถเหล่านั้นจะมีอายุการใช้งานประมาณ 5 ปีเป็นอย่างต่ำ ทำให้ยังสามารถยี่นขอไฟแนนซ์รถมือสองได้ เพราะอายุการใช้งานยังไม่เกินเกณฑ์ที่บริษัทไฟแนนซ์ส่วนมากฟตั้งไว้

2. ราคารถอาจจะถูกลง
ผลกระทบข้อนี้ อาจจะช่วยดึงดูดทำให้คนหันมาสนใจรถมือสองกันมากขึ้น เนื่องด้วยจากรถที่หมุนเวียนอยู่ในตลาดมือสองมากขึ้น และข้อกำหนดของโครงการรถคันแรก ทำให้รถที่หมุนเวียนอยู่นั้น อาจจะมีรุ่นเดียวกันซ้ำๆ ทำให้ผู้ประกอบการรถมือสองหันมาแข่งขันกันเพื่อทำการตลาดด้วยการลดราคา และโปรโมชั่นมากมาย

ที่สำคัญการปลดล็อคโครงการรถคันแรกนี้ จะเป็นการเพิ่มโอกาสที่จะทำให้ผู้ซื้อมีสิทธิ์ครอบครองเป็นเจ้าของรถมือสองสภาพดี ซึ่งถึงแม้ว่าปริมาณรถมือสองที่หมุนเวียนอยู่ในตลาดมีจำนวนที่เพิ่มมากขึ้นก็ไม่เป็นอุปสรรคต่อการเลือกรถสภาพดีแต่อย่างใด ถ้าหากคุณได้คัดกรองรถมือสองเหล่านั้นตามวิธีเบื้องต้นนี้


1. เช็คข้อมูลจากเล่มทะเบียน
ขั้นตอนนี้ถือว่าเป็นขั้นตอนที่ง่ายที่สุดเลยก็ว่าได้ เพราะผู้ซื้อทุกคนสามารถตรวจสอบได้ด้วยตัวเอง โดยการดูประวัติข้อมูลรถ (หน้า 18) ว่ารถคันนั้นเคยมีการเปลี่ยนแปลงอะไรมาบ้าง อาทิ การเปลี่ยนสี แจ้งใช้แก๊ส เติมถังแก๊ส และอื่นๆ ซึ่งการดูข้อมูลนี้ จะทำให้คุณได้ทราบถึงการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นกับรถคันที่คุณต้องการซื้อ

2. ตรวจเช็คประวัติการซ่อมบำรุง (เข้าศูนย์)
ผู้ซื้อสามารถโทรไปสอบถามเรื่องประวัติการซ่อมบำรุงได้จากศูนย์ที่รถคันนั้นเคยเข้ารับบริการ หรือสอบถามประวัติการซ่อมบำรุงจากเจ้าของรถ (ในกรณีที่คุณซื้อรถบ้าน) ซึ่งคุณจะสามารถรู้ได้ว่าประวัติการซ่อมบำรุง หรือการเข้าศูนย์จากรถคันนั้นเป็นอย่างไร

3. ตรวจเช็คกับบริษัทประกัน
นอกจากประวัติการซ่อมบำรุงที่คุณสามารถเช็คได้แล้วนั้น ผู้ซื้อยังสามารถเช็คประวัติรถ (ประวัติการเคลม) กับบริษัทประกันได้ แต่ข้อมูลที่ได้มาอาจจะเป็นข้อมูลเบื้องต้น

TIPS: บางครั้งการสอบถามข้อมูลกับบริษัทประกัน อาจจะต้องใช้ข้อมูลที่ค่อนข้างละเอียด ดังนั้นคุณควรที่จะขอข้อมูลกรมธรรม์ประกันจากเจ้าของรถ เพื่อใช้ในการตอบคำถามเจ้าหน้าที่บริษัทประกัน

4. เช็คสภาพรถด้วยตนเองคร่าวๆ
ก่อนที่คุณจะตัดสินใจซื้อรถ คุณควรที่จะเช็คสภาพรถเบื้องต้นด้วยการดูจาก ไมล์ สภาพเครื่องยนต์ สภาพความเรียบร้อยภายใน-นอก และอุปกรณ์ต่างๆ ภายในรถ หรือสามารถอ่านการตรวจเช็คอุปกรณ์ที่สำคัญต่อได้ คลิ๊ก> https://th.carro.co/blog/inspect-basic-option-in-used-car-beforebuying-2016/

ซึ่งหลักการคัดกรองรถเบื้องต้นนี้ เป็นการตรวจแบบคร่าวๆ เท่านั้น ซึ่งอาจจะทำให้ผู้ซื้ออุ่นใจได้ในระดับหนึ่ง แต่ถ้าหากคุณกำลังมองหาการคัดกรองรถมือสองทีี่ละเอียด และน่าเชื่อถือได้มากกว่านั้น ในปัจจุบันนี้ก็มีผู้ให้บริการตรวจเช็คสภาพรถ อย่างเช่น เว็บไซต์ทรัสตี้คาร์ (https://th.carro.co) ที่มีบริการประเมินสมรรถนะในการขับขี่ของรถมือสองก่อนการซื้อ-ขาย สนใจติดต่อโทร. 02-196-1868

brio-amaze

Review Honda Brio Amaze สมการความสุข..ที่รอการเติมเต็ม!

Eco-Car (อีโคคาร์) 4 ประตูหลายรุ่น เน้นขายความใหญ่โตมโหฬาร เกินกว่าที่จะเป็นเก๋งเล็ก เพราะบางคันใหญ่กว่าคอมแพ็คคาร์เสียด้วยซ้ำ แต่นั่นไม่ใช่กับ ฮอนด้า บริโอ้ อเมซ เป็นแน่

เพราะดีไซน์ และขนาดของอีโคคาร์ 4 ประตูรุ่นนี้ ใหญ่กว่าแบบ 5 ประตู แฮทช์แบ็คเพียงเล็กน้อย เรียกว่าไม่หนีกันกี่มากน้อย คงความเป็นรถในเซ็กเมนต์เดียวกัน

เบาะนั่งดีไซน์เท่ สัมผัสแรกให้ความรู้สึกลอย ใช้เวลาสร้างความคุ้นชินพักใหญ่ ทัศนวิสัยด้านหน้า มองได้กว้างไกล พื้นที่เหนือศรีษะ มีให้เหลือเฟือ ห้องโดยสารด้านหลังกว้างขวางอยู่พอสมควร พื้นที่วางเท้ามากพอ คะเนจากสายตาแม้จะรูปร่างใหญ่โต ก็พอนั่งได้สบายๆ เบาะนั่งด้านหลัง บริโอ้ อเมซ ไม่สามารถพับแยก แต่ใส่ความหรูหราลงไป ด้วยท้าวแขนตรงกลางเบาะหลัง พร้อมที่วางแก้ว แบบพับเก็บได้ พวงมาลัยสปอร์ต 3 ก้าน จับกระชับมือ มาตรวัด 3 วง เรืองแสง พร้อมแสดงข้อมูลเกี่ยวกับรถ เครื่องเสียงแบบ 2 DIN พร้อมช่องต่อ AUX และ USB สำหรับเชื่อมต่ออุปกรณ์พกพาต่างๆ

ช่วงออกตัว แม้จะเป็นเครื่องยนต์ 1.2 ลิตร 4 สูบ i-VTEC ที่ดูเหมือนจะเล็ก แต่กลับให้กำลังจี้ดจ้าดได้ใจ เรียกว่าออกตัวพร้อมๆ กัน เครื่องยนต์บล็อกใหญ่กว่ายังกินยาก เพิ่มน้ำหนักเท้า เข็มไมล์ขยับขึ้นไปเรื่อยๆ

เครื่องยนต์ทำงานร่วมกับเกียร์อัตโนมัติ CVT ได้เนียนอยู่พอควร จะมีบางจังหวะเช่นเร่งแซง เกียร์มีอาการกระตุกอยู่บ้างเบาๆ แต่ไม่ใช่อาการกระชาก ความเร็วปลายวันนั้นทำจนไปสุดที่เกือบ 145 กิโลเตรต่อชั่วโมง ก็ตื้ออยู่แค่นั้น จะขยี้เท่าไหร่ คิ๊กดาวน์กี่ครั้ง หรือแม้แต่ปรับเกียร์เป็นโหมดสปอร์ต ก็ได้เท่านี้

เหลือบไปดูรอบเครื่องยนต์ ด้วยเพราะเสียงที่ค่อนข้างเครียดดังมาจากใต้ฝากระโปรงหน้า เมื่อยามที่ทำความเร็วสูง พบว่า ไปแตะอยู่ที่ 6,000 รอบ/นาที ดูจะสูงไปหน่อย กับความเร็วที่ได้ ยิ่งไปกว่านั้นเมื่อทำความเร็วเกิน 120 กม./ชม. แล้ว รู้สึกได้ถึงอาการรถลอย ต้องเพิ่มความใส่ใจมากขึ้น รวมถึงเมื่อยามเข้าโค้งบนความเร็วสูง มีหลายโค้งที่ต้องถอนคันเร่งก่อนเวลาอันควร และบางโค้งถึงขนาดต้องแตะเบรกกันเลยทีเดียว

ส่วนความเร็วต่ำกว่านั้น ไปกันแบบชิลล์ ชิลล์ ประมาณว่าตรงกับบุคลิครถอีโค คาร์ เน้นความประหยัด เหมาะกับไลฟ์สไตล์คนเมือง ที่ไม่ได้ทำความเร็วอะไรมากนัก แต่อย่างไรก็ตาม ด้วยขนาดกะทัดรัด ช่วยให้ ฮอนด้า บริโอ้ อเมซ มีความคล่องตัว เพราะไม่ว่าจะจังหวะเร่งแซง หลบหลีกเพื่อนร่วมทาง ทำได้แบบเนียนๆ เป็นผลมาจากช่วงล่าง และพวงมาลัยที่แม่นยำ ช่วยให้ควบคุมรถได้อย่างมั่นใจ

ดีไซน์ภายนอก เส้นสายรอบคัน แสดงให้เห็นถึงพลัง แต่มีสไตล์โฉบเฉี่ยว โดยเฉพาะเส้น 2 เส้น ระหว่างประตูหน้า กับประตูหลัง กระจังหน้าโครเมียมสไตล์สปอร์ต กันชนหน้าสีเดียวกับตัวรถ ไฟท้าย และคิ้วโครเมียม ดีไซน์ใหม่ พื้นที่เก็บสัมภาระกระโปรงหลัง ความจุ 400 ลิตร มากพอสำหรับถุงกอล์ฟขนาดใหญ่ หรือกระเป๋าเดินทางใบเขื่อง

Co-Borrower-VS-Bondsman

ในสภาวะเศรษฐกิจแบบนี้ ปัญหาใหญ่ของคนซื้อรถมือสอง เหตุผลหลักๆ ที่ทำให้คนส่วนใหญ่ จัดไฟแนนซ์รถมือสองไม่ผ่าน คือ มีประวัติการชำระหนี้ที่ไม่ดี (เป็นหนี้เครดิตบูโร) ซึ่งมีเงื่อนไขไม่ตรงตามที่บริษัทไฟแนนซ์กำหนดไว้ หรือที่เรียกกันติดปากว่า “การติดแบล็คลิสต์” นั่นเอง

ทางด้านบริษัทไฟแนนซ์ และลีสซิ่ง ก็มีปัญหาไม่น้อยอยู่เช่นกันในการตามทวงเงิน ตามยึดรถคืน บางรายขาดส่งเกิน 3 เดือน ก็ปล่อยยึดไป แต่บางราย นำไปขายดาวน์

ในกรณีนี้เอง ผู้ขอจัดไฟแนนซ์สามารถหาทางออกได้โดยการหา “ผู้กู้ร่วม” หรือ “ผู้ค้ำประกัน” เพื่อให้การอนุมัติไฟแนนซ์ผ่านได้ง่ายมากยิ่งขึ้น

โดยความหมายของ ผู้กู้ร่วม และ ผู้ค้ำประกัน นั้นมีความคล้ายคลึงกันมาก แต่มีองค์ประกอบที่แตกต่างกัน ดังนี้

ผู้กู้ร่วม หมายถึง บุคคลที่มีฐานะเหมือนผู้กู้ร่วมอีกคนหนึ่งในสัญญากับลูกหนี้ และผู้กู้ร่วมมีหน้าที่รับผิดชอบในการชำระหนี้สินที่กู้มาเทียบเท่ากับลูกหนี้ แต่การจะเป็นผู้กู้ร่วมได้ ผู้กู้ร่วมต้องมีความสัมพันธ์ในครอบครัวกับลูกหนี้เท่านั้น

บุคคลที่ต้องมีผู้กู้ร่วม คือ บุคคลที่มีฐานเงินเดือนไม่พอผ่อนค่างวดชำระ ก็สามารถนำฐานเงินเดือนของผู้กู้ร่วม กับผู้ขอจัดไฟแนนซ์ มารวมกันได้

Co-Borrower-VS-Bondsman

คุณสมบัติของผู้กู้ร่วม

1. ต้องเป็นบุคคลที่มีความสัมพันธ์ในครอบครัวเดียวกันกับผู้ขอจัดไฟแนนซ์ เช่น พ่อ แม่ ลูก สามีภรรยา หรือพี่น้องสายเลือดเดียวกัน กรณีที่คู่สามีภรรยาไม่ได้จดทะเบียนสมรส สามารถใช้หลักฐานการแต่งงานมายืนยันได้ รวมถึงกรณีที่มีบุตรแต่ไม่ได้จดทะเบียนสมรส สามารถนำสูติบัตรของบุตรมาใช้เป็นหลักฐานยืนยันได้เช่นกัน

ผู้ค้ำประกัน หมายถึง บุคคลภายนอกที่ทำสัญญาเป็นผู้ชำระหนี้ให้แทนลูกหนี้ในกรณีที่ลูกหนี้ไม่ชำระหนี้ เพื่อเป็นการค้ำประกันว่าถ้าหากลูกหนี้เบี้ยว หนี้สินนั้นจะถูกชำระอย่างแน่นอน เพราะเมื่อผู้ค้ำประกันเซ็นยินยอม ก็เท่ากับว่าเจ้าหนี้สามารถมาทวงหนี้จากผู้ค้ำประกันแทนลูกหนี้ และสามารถฟ้องร้องให้ผู้ค้ำประกันชำระหนี้แทนลูกหนี้ได้ โดยผู้ค้ำประกันไม่จำเป็นต้องมีความสัมพันธ์ในครอบครัวกับลูกหนี้เหมือนกับผู้กู้ร่วม แต่อาจเป็นผู้ที่มีความสัมพันธ์สนิทสนมกัน ครอบครัวกับลูกหนี้เหมือนกับผู้กู้ร่วม แต่อาจเป็นผู้ที่มีความสัมพันธ์สนิทสนมกัน

บุคคลที่ต้องมีผู้ค้ำประกัน คือ บุคคลที่มีประวัติการชำระหนี้ที่ไม่ดี อายุน้อย ไม่เคยมีประวัติด้านสินเชื่อ และบุคคลที่วางเงินดาวน์ค่อนข้างต่ำ รวมถึงผู้ที่มีเงื่อนไขไม่ตรงตามความตรงการของบริษัทไฟแนนซ์

Co-Borrower-VS-Bondsman

คุณสมบัติของผู้ค้ำประกัน

1. มีแหล่งที่อยู่ชัดเจน
2. มีฐานเงินเดือนมากเป็น 2 เท่า ของค่างวด
3. ประกอบอาชีพมั่นคง หากเป็นผู้ที่มีรายรับสม่ำเสมอและคงที่จะดีมาก

แต่ท้ายที่สุด การมีผู้กู้ร่วม หรือผู้ค้ำประกัน ไม่ได้เป็นตัวการันตีได้ 100% ว่าจะขอจัดไฟแนนซ์รถมือสองผ่านได้ทันที  เพราะบริษัทไฟแนนซ์จะทำการประเมินเอกสารและปัจจัยหลายๆ อย่าง ของทั้งผู้กู้ร่วม และผู้ค้ำประกัน ฉะนั้นผู้กู้ร่วมและผู้ค้ำประกันจึงควรมีคุณสมบัติตรงตามความต้องการของบริษัทไฟแนนซ์ และต้องไม่มีประวัติการชำระหนี้ที่ไม่ดีด้วย

ส่วนใครที่อยากขายรถ เพื่อนำเงินไปใช้ในช่วงโควิด-19 ระบาด CARRO เรารับซื้อรถของคุณ สามารถเข้าไปเช็กราคา ตีราคาขายรถก่อนได้ โดยใส่ข้อมูลรถของคุณที่นี่เลย กับ CARRO Express > https://th.carro.co/sell-car/express หรือโทร. 02-508-8425

หรือใครจะ Inbox มาสอบถามก็ได้เช่นกัน ที่ Facebook CARRO Thailand หรือสะดวก Add Line ก็ที่ @Carrothailand หรือคลิกที่นี่ครับ —> เพิ่มเพื่อน

การประเมินสินเชื่อรถยนต์มือสอง (Ep.2/3)| Carro

การขอสินเชื่อเพื่อซื้อรถยนต์มือสอง กับไฟแนนซ์ ผู้ตรวจสอบสินเชื่อจะทำการประเมินความสามารถการผ่อนของผู้ขอกู้

พูดง่ายๆ ก็คือผู้ประเมินจะดูว่าผู้กู้จะผ่อนรถไหวไหมแน่นอน.. ทางไฟแนนซ์ไม่ต้องการเสี่ยงที่ผู้กู้จะผ่อนไม่ไหว

หลังจากผู้ประเมินสินเชื่อได้ทำการประเมินราคากลางของรถรุ่นเรียบร้อยแล้ว ตัวแปรสำคัญที่จะเป็นเครื่องตัดสินว่าผู้กู้จะขอกู้ผ่านหรือไม่ นั่นคือ ประวัติและสภาพการเงินของผู้ขอกู้ โดยหลักๆ มีดังนี้

1. จำนวนรายได้ และแหล่งที่มาของรายได้

รายได้หรือเงินเดือน ของผู้ขอกู้ที่ได้รับต่อเดือนสูงเพียงพอต่อการผ่อนชำระกับไฟแนนซ์แต่ละงวดหรือไม่ โดยรายได้ต้องเป็น 1.5-2 เท่าของค่างวด

เช่น
– ผู้ขอกู้มีรายได้รวมทั้งหมดแล้ว 20,000 บาทต่อเดือน
– ค่างวดรถยนต์ 8,000 บาทต่อเดือน
– เพราะฉะนั้น 8,000 x 2 = 16,000
– รายได้ของผู้กู้อยู่ที่ 20,000 จึงผ่านเกณฑ์(ขั้นต้น)

แหล่งที่มาของรายได้อื่นๆ ของผู้ขอกู้ ซึ่งนอกเหนือจากรายได้ประจำอาจ (อาชีพเสริม)  ต้องมีหลักฐานยืนยันที่ชัดเจนหรือผู้กู้สามารถคำนวนยอดผ่อนต่องวดโดยประมาณ ได้จากบริการเครื่องคำนวนสินเชื่อรถมือสอง ได้จาก

ตัวอย่างเครื่องคำนวนสินเชื่อบน website Carro คลิกที่นี่ https://th.carro.co/loan-calculator
รายได้ที่มาจากอาชีพเสริมนั้น เช่น ยอดเงินเข้าจากธนาคารต้องสม่ำเสมอ และเทียบเท่ากันทุกรอบ เท่ากันทุกเดือนเพื่อให้เห็นว่า มีรายได้เสริมเพิ่มเติมที่มั่นคง จะช่วยเพิ่มความมั่นใจให้กับผู้ประเมินสินเชื่อกับความสามารถของผู้กู้ในการผ่อนชำระแต่ละงวด

2. อายุงาน 
กรณีทำงานประจำ พนักงานบริษัทที่ทำงานผู้ขอกู้ทำงาน ณ ที่ปัจจุบัน ผู้ประเมินสินเชื่อจะดูว่าผู้ขอกู้ทำงานมาเกิน 1 ปีหรือยังเพราะยิ่งอายุงานน้อยก็จะมีความเสี่ยงได้ ที่ผู้ขอกู้จะว่างงาน จนขาดความสามารถในการชำระหนี้

3. ที่พักอาศัย

ที่อยู่หรือที่พักอาศัย ผู้ประเมินสินเชื่อจะดูลักษณะที่พักอาศัยของผู้กู้ว่าเป็นลักษณะใด เช่น เช่าอยู่หรืออยู่บ้านของตัวเอง

3.1 ที่พักตรงตามทะเบียนบ้าน

3.2 บ้านเช่าหรือห้องเช่า 

ผู้ประเมินจะให้เครดิตมากกว่ากับผู้ที่อาศัยตรงกับทะเบียนบ้านเมื่อเทียบกับเช่าอยู่ หรือที่พักอาศัยไม่ตรงกับทะเบียนบ้าน เพราะจะดูว่า ถ้าเกิดกรณีที่ขาดผ่อนชำระหลายเดือน ทางไฟแนนซ์จะสามารถตามตัวผู้ขอกู้ได้หรือไม่ ถ้าเป็นบ้านเช่า หรือบ้านพักราชการ ความหน้าเชื่อถือมากกว่าห้องเช่า แต่ผู้ขอกู้ต้องแสดงหลัฐานสัญญาการเช่าที่ชัดเจนว่า อยู่มานานแค่ไหน ถ้าอยู่ในลักษณะไม่เป็นหลักแหล่งชัดเจน เช่น ห้vงเช่า ผู้ขอกู้สามารถย้ายหนีได้ ตามตัวยาก ลักษณะที่อยู่ จะเป็นสิ่งที่บอกและให้ความมั่นใจให้ผู้ประเมินสินเชื่อ และยังมีผลต่อวงเงินไปจนถึงว่าจำเป็นต้องใช้ผู้ค้ำประกันด้วยหรือไม่อีกด้วย

4. ภาระรายจ่ายหรือสภาพคล่องทางการเงินของผู้ขอกู้

ส่วนนี้จะเกี่ยวข้องกับเงินเดือนหรือรายได้ต่อเดือนของผู้ขอกู้  เครดิต ประวัติการผ่อนชำระ ภาระการผ่อนชำระของผู้ขอกู้

4.1 เครดิตบูโร ประวัติไม่ดี รู้หมด.
ผู้ประเมินจะตรวจสอบประวัติการผ่อนชำระ ที่ผู้ขอกู้เคยผ่อนมาโดยถ้าผู้ขอกู้ไม่มั่นใจสามารถเข้าไปตรวจสอบประวัติการผ่อนชำระหรือเครดิต ว่าดีไหม ยังค้างจ่ายหรือไม่ได้ที่นี่

หน้า Website ข้อมูลเครดิตแห่งชาติ
https://www.ncb.co.th/salfenquiry.htm
ถ้าประวัติสินเชื่อดี หมายถึงเมื่อมีการผ่อนสินค้า หรือบัตรเครดิตใดๆ ก็ผ่อนตรงตามเวลา ไม่เคยค้างค่างวด

4.2 ภาระรายจ่ายมากเกินไปหรือเปล่า
แม้จะผู้ขอกู้รายได้เยอะ แต่ถ้ารายจ่ายเยอะตามไปด้วย ต้องผ่อนจ่ายหลายอย่างต่อเดือนผู้ประเมินสินเชื่อก็จะนำไปหักรายได้ มองว่าความสามารถการจ่ายก็น้อยลงไปด้วย
ตัวอย่างเช่น

นาย A มีรายได้ 20,000 บาท
ผ่อนบ้าน 5,000 บาทต่อเดือน
ผ่อนบัตรเครดิต 2,000 บาทต่อเดือน
เหลือเงินรายรับสุทธิ = 13,000 บาท
ถ้าผ่อนรถเดือนละ 7,000 บาท
จากที่ผู้ประเมินจะมองดูรายได้สุทธิ ต้องเป็น 2 เท่าของค่างวดรถ 7,000 x 2   = 14,000 บาท

แต่รายได้สุทธิของผู้กู้เหลือเพียง 13,000 บาท
*** ผู้ประเมินสินเชื่อจะมองว่าได้รายที่เหลื่อ อาจจะน้อยไปเกินความสามารถที่ผู้ขอกู้จะสามารถชำระหนี้ได้ต่องวด

หลักในการประเมิน ผู้ขอสินเชื่อ แน่นอนว่า ถ้าประวัติดี ภาระน้อยก็มีผลต่อยอดจัด วงเงินสินเชื่อ และควรเป็นไปได้ที่สินเชื่อจะผ่าน เอกสารต่างๆ ที่แสดงรายรับแน่นอน เครดิตที่ดี วินัยทางการเงิน จะช่วยให้ผู้ขอกู้ผ่านการประเมินได้ตามข้อกำหนดของไฟแนนซ์ และคุณจะได้รถมือสองในฝันสภาพดีๆ มาขับโดยไม่ยากเกินไป

ถ้าภาระรายจ่ายเยอะ ลองหารถมือสองราคาต่ำกว่าแสนเป็นทางเลือกดูสิ

รวมจุดเด่นที่คุณต้องรัก BMW | Carro

รถยนต์ BMW มีน้อยคนที่จะไม่รู้จักชื่อนี้ แค่ชื่อก็อาจจะทำให้หนุ่มๆ (หรือแม้กระทั่งสาวๆ หลายคน) ใจสั่น รถสายพันธ์ยุโรปจากเยอรมนี ด้วยชื่อเสียงเรียงนามที่อยู่ในเมืองไทยมายาวนาน

ขึ้นชื่อความเป็นรถยุโรป แต่รู้หรือไม่ทำไมผู้ใช้รถ BMW ต่างยอมรับในรถยนต์ยี่ห้อนี้ วันนี้เรารวมจุดเด่น ที่จะบอกให้คุณรู้ว่า ทำไม BMW ถึงเป็น 1 ในรถยุโรปที่น่าเป็นเจ้าของสักคัน

“ดีไซน์สปอร์ต โดดเด่น มากกว่ารถมันคือ นวัตกรรม”

คงไม่มีใครเถียง ถ้าจะบอกว่า BMW มีการออกแบบรถที่รวมอารมณ์ความร่วมสมัย และความอมตะ แฝงความหรูหรา  อยู่ในรถคันเดียวได้อย่างลงตัวทั้งในแบบ Sedan หรือ Wagon แม้ BMW มือสองที่มีจำหน่ายจะเป็นรุ่นเก่า เช่น E30, E36 (นกแก้ว), E46 เป็นต้น แต่มองกี่ครั้งก็ยังดูสวยสปอร์ต จมูกรับลม (กระจังหน้า) พร้อมทั้งโลโก้สีฟ้า-ขาว เป็นสิ่งที่บอกความเป็นตัวตนได้ชัดเจนของ BMW ด้วยที่ภายนอกซุ้มล้อรถของ BMW จะโปร่งออกมามากกว่ารถยนต์รุ่นอื่นๆ ทำให้ BMW จะดูเตี้ยได้มากกว่ารถรุ่นอื่นๆ โดยไม่ติดซุ้มล้อ เป็นสิ่งที่ทำให้รถ BMW ดูสวยกว่ารถรุ่นอื่นๆ ไปโดยปริยาย

ภายในการดีไซน์น่าประทับใจ ความหรูหรา ทันสมัยในเทคโนโลยีที่ล้ำหน้าคนอื่น ตั้งแต่รุ่นเก่า เช่น BMW Series 3E36 เป็นต้นเหมือนกับออกแบบมาล้ำหน้า รถยี่ห้ออื่นๆ หลาย Generation จนมาปัจจุบันก็ไม่ดูล้าหลังแม้รุ่นนั้นๆ จะผ่านมาหลายปีแล้วก็ตาม

รวมจุดเด่นที่คุณต้องรัก BMW 

:: ต้องยอมรับการออกแบบของทาง BMW ที่ทำออกมาได้อย่างลงตัวในทุกรุ่น ล้ำหน้าค่ายอื่นๆ ทำให้คนไทยติดภาพความสวย สปอร์ตบวกความหรูของ BMW
ด้วยเหตุนี้ความเป็นรถยุโรปราคาแพงเกินจะเอื้อม เมื่อเวลาผ่าน BMW มีมากขึ้นในตลาดรถมือสอง ราคาของ BMW ตกลงมาทำให้ผู้ซื้อรถระดับกลางได้สัมผัสความเป็น BMW กันง่ายขึ้น

“เครื่องยนต์ที่เต็มเปี่ยมไปด้วยเทคโนโลยี” 

BMW จะมีรุ่นย่อยออกมาหลายรุ่นย่อยเพื่อเป็นทางเลือกให้แก่ผู้ซื้อ เป็นผู้นำในการนำเทคโนโลยีมาใส่ไว้ในเครื่องยนต์เพื่อสมรรถณะ และความปลอดภัยของผู้ใช้รถ แต่ละรุ่นที่ออกจำหน่ายจะมีเครื่องยนต์หลายขนาดให้ได้เลือกกันตามความต้องการ บางคนชอบประหยัด บางคนชอบแรง ก็เลือกรุ่นต่างๆ ได้ ยิ่งเฉพาะรุ่นหลังๆ ยังมีเครื่องยนต์ดีเซล มาเพิ่ม ทั้งประหยัดและแรงครบเครื่องเข้าไปอีก

รวมจุดเด่นที่คุณต้องรัก BMW | Carro

:: เทคโนโลยีที่ BMW มีมาให้บนรถ ไม่ใช่แค่ความแรงเท่านั้น แต่ยังมีระบบที่ช่วยในการขับขี่ให้ผู้ขับสนุก และปลอดภัยด้วย

“สมรรถนะการขับขี่ที่สนุก หาใครยากจะเทียบเหมือน”

จากหัวข้อก่อนหน้า ด้วยเทคโนโลยีที่ BMW มีมาให้เพื่อช่วยให้ผู้ขับขี่รถ BMW สนุกมากยิ่งขึ้น ความที่เป็นรถยนต์ที่ขับเคลื่อนล้อหลัง (ส่วนใหญ่) การกระจายน้ำหนักเมื่อออกตัว, เข้าโค้ง,
การกระจายการเบครเมื่อต้องเบครฉุกเฉิน จึงทำได้ดีกว่ารถยนต์ขับเคลื่อนล้อหน้า ผนึกกับกำลังเคลื่อนยนต์ที่มีกำลังสูง มาเร็วได้ตามสั่ง ช่วงล่างเกาะถนนดีโดย BMW นำเทคโนโลยีมากมายมารวมเอาไว้และทดสอบอย่างลงตัวเพื่อรองรับการขับขี่แบบสปอร์ต  เป็นเหตุผลว่าทำไม BMW ขับสนุกมากกว่ารถยี่ห้ออื่นๆ

รวมจุดเด่นที่คุณต้องรัก BMW | Carro

:: ขับสนุกและมั่นใจ BMW เป็นที่กล่าวขานมานาน แต่ต้องเลือกรุ่นย่อยที่เครื่องยนต์แรงหน่อย เพื่อตอบสนองความสนุกในการขับขี่

“ซื้อ BMW มี BSI ช่วยดูแล หรืออู่นอกศูนย์ก็เก่งไม่แพ้กัน”

BSI เป็นบริการที่ยิ่งกว่าการรับประกันรถจาก BMW ครอบคลุม 5 ปีหรือ 1 แสนกิโลเมตร รถที่ออกจาก BMW ประเทศไทยจะอยู่ในการดูแลจาก Service ของศูนย์ BMW ไม่ใช่แค่รถมีปัญหา แต่รวมไปถึงการเช็คระยะต่างๆ ทั้งหมด ฟรีทั้งค่าอะไหล่ ค่าสึกหรอ ค่า Sevices หรือถ้าซื้อรถมือสอง ถ้ารถที่ซื้อยังไม่เกิน 5 ปีก็ยังอยู่ในการดูแลของ BSI อยู่ สบายใจได้!!

แล้วก็มีคำถามเกิดขึ้นว่าถ้ารถคันนั้นออกมามากกว่า 5 ปีละ ??
แต่ถ้าคันไหน BSI เกินแล้ว ปัญหาที่หลายๆ คนกังวลกับการใช้รถ BMW คือการซ่อม ค่าซ่อมแพง อะไหล่แพง ค่าบริการสูง แต่ในปัจจุบันอู่ซ่อมรถเฉพาะของ BMW มีมากขึ้น ช่างแต่ละร้านก็มีความชำนาญในการซ่อมไม่แพ้ช่างจากศูนย์ แต่ค่าบริการถูกกว่ามาก ส่วนอะไหล่ ถ้าเป็นรถรุ่นใหม่ก็มีทางเลือกว่าจะใช้อะไหล่แพ้ที่อาจจะแพง หรือใช้อะไหล่เทียบแท้แทน เพื่อลดค่าใช้จ่ายในการซ่อมแต่คุณภาพใช้ได้พอกัน

รวมจุดเด่นที่คุณต้องรัก BMW | Carro

:: BSI มีข่าวว่าจะเพิ่มเป็น 6 ปีช่วยเพิ่มความมั่นใจของผู้ใช้รถ BMW หรือถ้าปีรถเกินระยะเวลาแล้วอู่นอกเป็นทางเลือกที่ดีมาก สำหรับการดูแลรักษารถ BMWจุดเด่นหลักๆ ของ BMW ตามที่กล่าวมาไม่ นั่นคือเสน่ห์ที่หาใครเกินจะเทียบได้

ยิ่งถ้าเข้าไปดูรายละเอียดของความเป็น BMW  ยิ่งจะทำให้ชื่นชอบในปรัชญาการสร้างรถของยี่ห้อนี้มากขึ้นจนทำให้อยากเป็นเจ้าของ BMW สักคัน แต่ถ้าป้ายแดงราคาอาจจะแพงเกินไป ลองมองเป็น BMW มือสอง ก็เป็นทางเลือกที่ดีในหลายๆ รุ่นที่แม้จะเป็นรุ่นที่ออกมานานแล้ว แต่ก็ยังแฝงความเป็น BMW อยู่ไม่หายไปง่ายๆ เมื่อได้ขับ

รถสตาร์ทไม่ติด

ปัญหายอดนิยมของผู้ใช้รถที่สามารถเกิดขึ้นกับรถใครก็ได้ วันนี้ CARRO จะมาบอกถึงสาเหตุและวิธีการแก้ปัญหาเฉพาะหน้า

1. แบตฯ เสื่อมไม่เก็บไฟ

แบตเตอรี่มีอายุการใช้งานอยู่ที่ระหว่าง 1-2 ปี หลังจากนั้นจะเริ่มเสื่อม ถ้าหากแบตไม่มีน้ำกลั่นก็จะทำให้ความสามารถในการเก็บไฟของแบตเตอรี่ต่ำลงด้วย อาการของรถเมื่อบิดกุญแจแล้วรถนิ่ง ไม่มีปฎิกริยาใด ๆ ขึ้นกับรถ หน้าปัดนิ่งสนิท เกิดจากเมื่อไฟที่มีอยู่ในแบตเตอรี่ต่ำ ก็จะส่งผลทำให้แบตฯ ไม่สามารถทำงานได้เต็มประสิทธิภาพให้กับรถของคุณ แต่อาการของแบตเตอรี่อ่อนนี้จะเตือนคุณจากไฟของระบบรถไม่ค่อยสว่างหรืออุปกรณ์ต่าง ๆ ที่ต้องใช้ไฟฟ้าที่ให้ไฟได้ไม่เต็มประสิทธิภาพ นั่นแสดงว่าแบตเตอรี่กำลังมีปัญหาแล้ว

รถสตารท์ไม่ติด

2. ชาร์จแค่ไหนก็ไร้ผล

ไดชาร์จเสียหรือเสื่อมก็อาจจะเป็นเหตุผลอีกข้อหนึ่งที่ทำให้รถสตาร์ทไม่ติด เนื่องจากไดชาร์จมีหน้าที่ปั่นไฟในขณะเครื่องยนต์กำลังทำงานเข้าไปเก็บไว้ในแบตเตอรี่ ถ้าไดชาร์จมีปัญหา ไม่ได้ทำการชาร์จไฟเข้าแบตเตอรี่ ในแบตเตอรี่ก็จะไม่มีไฟสำหรับมาใช้ในการสตาร์ทรถ อาการก็คือจะสามารถดูได้จากหน้าปัดรถที่มีไฟรูปแบบเตอรี่โชว์ ถ้าหากมีไฟขึ้นค้างไว้ตลอด ก็ต้องพ่วงแบตฯ กับรถคันอื่นๆ เพื่อให้รถสตาร์ทติดแต่ห้ามดับเครื่องเด็ดขาด เพราะถ้าดับรถก็จะสตาร์ทไม่ติดอีกเพราะไม่มีไฟสำหรับสตาร์ท

3.เปิดอุปกรณ์ในรถทิ้งไว้ จนไฟหมดเกลี้ยง

เชื่อว่าหลายๆ คนอาจจะเคยเปิดไฟในรถทิ้งไว้แล้วลืมปิด หรือจอดรถทิ้งไว้ทั้งคืนมาตอนเช้ารถสตาร์ทไม่ติด เพราะว่าไฟที่ส่องสว่างนั้นได้ดึงไฟฟ้าจากแบตเตอรี่มาใช้ไปจนหมด เมื่อแบตเตอรรี่ไม่ได้มีการชาร์จไฟเพิ่มจากไดชาร์จ แน่นอนว่าไฟในแบตฯ ก็ต้องหมด ส่งผลให้รถไม่มีไฟเพียงพอในการสตาร์ทนั่นเอง อาการคือเมื่อไฟจากแบตฯ ถูกใช้จนหมดหรือแบตฯ อ่อน อาจจะยังเหลือไฟอยู่บ้าง หน้าปัดหรือไฟส่งในรถอาจจะติดแต่ติดแบบอ่อนๆ เหมือนไฟไม่พอ และมันก็ยังไม่เพียงพอสำหรับในการสตาร์ทให้เครื่องยนต์ติดได้ด้วย

4.หรือว่าเสี่ยงระบบไฟ (ของรถ) มีปัญหา

ถ้าระบบไฟของรถสาเหตุที่ทำให้รถสตาร์ทไม่ติด ในส่วนนี้เจ้าของอาจจะทำอะไรไม่ได้ นอกเสียจากการต้องให้ช่างผู้ชำนาญมาดู เพื่อตรวจสอบความผิดปกติของระบบไฟโดยรวมของรถ

วิธีการแก้ปัญหาของการสตาร์ทไม่ติดเบื้องต้น !! สามารถทำได้ดังนี้

ที่ต้องบอกว่าเบื้องต้น เพราะเป็นเหมือนเป็นการแก้ปัญหาเฉพาะหน้าไปก่อน แนะนำให้ลองพ่วงแบตฯ กับรถคันอื่นๆ เพื่อสตาร์ทดู แล้วสตาร์ททิ้งไว้ เพื่อทำการชาร์จไฟเข้าตัวแบตฯ ถ้ามั่นใจว่ารถไม่ได้มีปัญหาเรื่อง ไดชาร์จเสีย และระบบไฟของรถก็ปกติดี รวมไปถึงการเช็คว่าน้ำกลั่นไม่ขาด และแบตเตอรี่ก็มีไฟสามารถกลับมาใช้งานได้ตามปกติ แต่ถ้ารถมีปัญหาตามที่กล่าวไปนั้นก็จำเป็นที่ต้องพึ่งช่างให้มาดูหาวิธีแก้ไขต่อไป

รถสตารท์ไม่ติด

ปัญหารถสตาร์ทไม่ติดเกิดขึ้นได้กับรถทุกคัน ไม่ว่าจะเป็นรถใหม่หรือ รถมือสอง ถ้าอายุการใช้งานของอุปกรณ์ของรถหมดลง ก็ต้องเปลี่ยนอุปกรณ์นั้นตามระยะเวลาของมัน ดังนั้นในการขับขี่รถทุกครั้ง ควรมีการสังเกต อาการผิดปกติของตัวรถในด้านต่างๆ ทั้งช่วงล่าง ระบบไฟ เครื่องยนต์ว่ามีอาการผิดปกติหรือไม่ เพื่อที่จะสังเกตความผิดแปลก ก็จะได้นำรถเข้าไปตรวจสอบก่อนที่จะมีปัญหาสตาร์ทไม่ติดได้ กลางทาง!!

Chevrolet เปิดตัวสปอร์ตใหม่ Corvette Z06 ของปี 2016 -2017 

เพิ่งเปิดตัวไปมาดๆ สำหรับรถสายพันธ์ุสปอร์ต เชฟโรเลต คอร์เวตต์ รุ่น ซี06 ( All New Chevrolet Corvette Z06) ของปี 2016 – 2017

ในงาน Geneva Motorshow 2016 Chevrolet เปิดตัวสปอร์ตใหม่ Corvette Z06 ของปี 2016 -2017 | Trusteecarซึ่งเป็นรถสปอร์ตที่เพิ่มสมรรถนะในระดับรถแข่ง เพื่อเป็นเกียรติแก่คอร์เวต์ต เรชชิ่ง เจ้าตัวนี้เป็นรุ่นล่าสุดที่ถูกตกแต่งภายนอกและภายใน ที่ล้ำสมัย ซึ่งจุดเด่นของรุ่นนี้ คือ The Grand Sport จะมีสีเฉพาะ สีเมทัลลิเกลน สีเทา คาดด้วยสีฟ้า…

รุ่นนี้มีสิ่งที่ใครๆ ที่ชอบรถสปอร์ตก็ต้องอยากสัมผัสมันอย่างแน่นอน เพราะด้วยคุณสมบัติที่โดดเด่นของมันนั่นเอง และสมรรถนะที่ไม่เหมือนใครจาก ‘เชฟโรเลต คอร์เวตต์ Z06’ จนทำให้เป็นรถสปอร์ตรุ่นแรกๆ ที่ใครหลายคนจะนึกถึงเป็นอันดับแรก…

ฮาร์แลน ชาร์ลส์ ผู้จัดการฝ่ายการตลาดรถสปอร์ตอย่าง คอร์เวตต์ ได้กล่าวว่า คอร์เวตต์ เป็นความสำเร็จและเทคโนโลยีของรถเรซซิ่ง เชฟโรเลตมีจุดมุ่งหมายที่จะนำเสนอ รถรุ่นพิเศษๆ ที่มาพร้อมเอกลักษณ์โดดเด่น เพื่อรองรับความต้องการของลูกค้าแนวนี้อยู่ตลอดเวลา ซึ่งมันเป็นสิ่งสำคัญที่ทำให้ คอร์เวตต์เกิดความสำเร็จขึ้น !!

รายละเอียดและคุณสมบัติต่างๆ ของรถสปอร์ตรุ่น Corvette 2016 – 2017

มีชุดแต่ง Z07 Performance พร้อมเบรกคาร์บอนเซรามิกของเบรมโบ
ยางมิชลิน PS คัพ 2
ชุดแต่งกราฟฟิกรุ่น C7.R
แพ็คเกจชิ้นส่วนคาร์บอนไฟเบอร์เพิ่มเสถียรภาพในการขับขี่
ฝากระโรงหน้าตกแต่งด้วยคาร์บอนไฟเบอร์เพิ่มความโดดเด่นด้วยคาดสีฟ้าสะดุดตามากขึ้น
ประทับตรา C7.R Edition ภายในห้องโดยสารและหมายเลขแสดงตัวถัง แสดงลำดับการผลิตที่ผลิตออกมา

ผนวกกับเครื่องยนต์ V8 ซึ่งมีพละกำลัง 450 แรงม้า และในรุ่น ซูปเปอร์ชาร์ท มีพละกำลังถึง 650 แรงม้า แรงกดตามหลักพลศาสตร์ที่สุดยอดจากเทคโนโลยีและ มีการเสริมสมรรถนะอย่างระบบควบคุม (Magnetic Ride Control) ระบบจัดการเสถียรภาพ (Performance Traction Management) และเฟืองท้ายอิเลคทรอนิคส์

ทำให้ Corvette นำเสนอศักยภาพสปอร์ตที่ทัดเทียมกับซูปเปอร์คาร์ชั้นนำระดับโลกและมีเอกลักษณ์เฉพาะตัวที่คนจดจำกันได้ และรุ่นนี้เป็นรถที่เป็นที่ต้องการของนักสะสมอย่างแน่นอน ซึ่งราคาอยู่ที่ $80,395 หรืออยู่ที่ราวๆ ประมาณ 2,974,615 บาทไทย แต่เข้ามาในไทยจะราคาเท่าไหร่ก็ต้องรอดูกัน…

รถยอดนิยม รุ่นไหนแพงขึ้น ถูกลง จากภาษี 59 ไปดูกัน | Carro

ปี 2559 ทางรัฐบาลจะทำการ ปรับภาษีสรรพสามิตรถยนต์ใหม่ทั้งระบบ ซึ่งเป็นไปตามมติคณะรัฐมนตรี (ครม.) เมื่อปี  2555

โดยเกณฑ์การจัดเก็บภาษีรถยนต์แบบใหม่ จะพิจารณาจากปริมาณการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ คือถ้าพูดแบบง่ายๆ ก็คือเครื่องยนต์ยิ่งเล็ก มลพิษยิ่งน้อยยิ่งเก็บภาษีน้อย ขึ้น พอใกล้จะถึงเวลานำมาใช้จริงๆ ในปี 2559 ที่กำลังจะถึงนี้ จึงเป็นที่สนใจของคนที่กำลังมองหาซื้อรถยนต์ใหม่ ป้ายแดง  รถประเภทไหน ที่ราคาคาดว่าจะแพงขึ้น รถรุ่นไหน ควรรอซื้อในปีหน้า เรามาดูกัน ลองไปดูกัน

“ลังเลอยู่ให้ซื้อเลย ไม่แน่ใจรอก่อนได้ ก็รอ”

ถ้าท่านกำลังสนใจรถ ประเภท B-Segment เช่น Toyota ViosHonda CityFord Fiesta รถประเภทนี้หลังจากเริ่มต้นปีหน้าจะเสียภาษี
เพิ่มขึ้นจาก 25% ไปเป็น 30%  แต่มีบางรุ่นรองรับน้ำมัน E85 รัฐบาลจะเก็บภาษีเท่าเดิมที่ 25% อย่างเช่น Honda Jazz เป็นต้น

** ถ้าไม่รีบมากนัก รถระดับนี้อาจขยับประเภทตัวเองไปเป็น  Eco Car หลายๆ รุ่นเพื่อให้สอดคล้องกับโครงสร้างภาษี อาจรอให้รุ่นใหม่ออกมาน่าสนใจกว่า

“Sedan ยอดนิยมน่าจะแพงขึ้น รวมไปถึงตลาด Crossover SUV ที่ร้อนแรง”
ถ้ากำลังมองรถขนาด C-Segment รถประเภทนี้ค่าการปล่อย ก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ จะสูงกว่ากลุ่ม B-Segment
แต่ขนาดเครื่องยนต์ไม่เกิน 3000 cc. ขนาดเครื่องยนต์ที่ใหญ่กว่า บวกขนาดรถตัวถังรถ ทำให้การเผาไหม้มากกว่า ปล่อยก๊าซเสียออกมากกว่า
รถที่รองรับ E85 อยู่ในเกณฑ์ เครื่องยนต์ตั้งแต่ 1780-2000 cc  ปล่อยก๊าซไม่เกิน 150 กรัมต่อกิโลเมตร  จะเสียภาษีจากเดิม 22% เพิ่มเป็น 25%
ถ้าเป็นการปล่อยก๊าซอยู่ในระดับ 151-200  จะเสียเพิ่มที่ 30% แต่ถ้ารถที่ไม่รองรับ E85 การเสียภาษีจะเพิ่มมาเป็น 30% และ 35% ขึ้นอยู่กับปริมาณก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ที่ปล่อยออกมา
รุ่นที่นิยมได้แก่ Toyota AltisHonda CivicMazda3, Nissan Sylphy, Ford Focus
Crossover SUV ที่ตอนนี้ตลาดกำลังร้อนแรง เช่น CX-3,  HR-V ก็อยู่ในกลุ่มที่จะมีราคาสูงขึ้นด้วยเช่นกัน

** รุ่นที่เป็นกระแส รีบทยอย มาออกปีนี้กันเพื่อให้ผู้สนใจรีบซื้อก่อนราคาอาจจะขึ้น กว่านี้ งั้นรีบซื้อปีนี้เลยจะดีกว่า

”รุ่นใหญ่ก็อาจจะแพงขึ้น”
รุ่นยอดนิยมระดับ D-Segment เครื่องยนต์ใหญ่ขึ้นขนาดตั้งแต่ 2000 cc เป็นต้นไปอย่าง Honda AccordToyota CamryNissan Teana รวมไปถึง SUV อย่าง CR-V,
CX-5  การปล่อยก๊าซจะเกิน 200 กรัมต่อกิโลเมตร
ถ้าเป็นรถที่รองรับ E85 จะเสียภาษีที่ 35% แต่ถ้ารุ่นที่ไม่รองรับต้องเสียภาษีสูงถึง 40%

** ปีหน้าอาจจะราคาแพงขึ้น พอสมควรด้วยขนาดเครื่องยนต์ก็ใหญ่อยู่แล้ว ซื้อปีนี้เลยดีกว่า

“ชอบ Eco Car รอหน่อยปี  59 น่าจะถูกลง”

ต่อไปนี้ใครจะมาบอกว่าขับ eco car เป็นรถราคาถูกๆ ไม่ได้แล้ว เพราะโครงสร้างภาษีใหม่นี้
Eco Car จะแบ่งออกเป็น 2 เฟสโดยเฟสแรก นั้นคือ Eco Car กลุ่มเดิมที่มีวิ่งอยู่ในปัจจุบัน มีเงื่อนไขว่าต้องเครื่องยนต์เบนซินไม่เกิน 1300 cc, ดีเซลไม่เกิน 1400 cc มาตฐาน Euro4 ปล่อยก๊าซ CO2 ไม่เกิน 120 กรัมต่อกิโลเมตร รุ่นรถยอดนิยม ในกลุ่มนี้คือ Nissan MarchHonda Brio, Nissan Almera,  Mitsubishi Mirage, Suzuki Swift, Honda Brio Amaze, Mitsubishi Attrage, Toyota Yaris  เป็นต้น โดยรุ่นดังกล่าวนี้ เดิมเสียภาษีที่ 17% แต่ภาษีใหม่นี้จะแบ่งเป็น
– ปล่อยก๊าซไม่เกิน 100 กรัมต่อกิโลเมตร จัดเก็บภาษี 14%
– ปล่อยก๊าซเกิน 100-120 กรัมต่อกิโลเมตร จัดเก็บภาษี 17%

แต่เฟสใหม่หรือเรียกว่า เฟส 2 ที่มีข้อกำหนดมาใหม่นี้จะมีมาตฐานสูงขึ้นมาอีกระดับได้แก่  เครื่องยนต์เบนซินไม่เกิน 1300 cc, ดีเซลไม่เกิน 1500 cc มาตฐาน Euro5 ปล่อยก๊าซ CO2 ไม่เกิน 100 กรัมต่อกิโลเมตร
** ต้องมีมาตฐานความปลอดภัยที่ต้องมีในทุกรุ่นย่อยคือ
– ความปลอดภัยเบคร ABS
– ระบบช่วยการทรงตัว (ESC/ESP/VSC)

ในปัจจุบันรุ่นที่เข้าข่าย Eco Car เฟส 2 ยังมีไม่มาก มีเพียง Mazda2  รุ่นเดียวแต่ยังไม่รองรับ E85
เพราะภาษีใหม่นี้ที่ ต้องเป็นรุ่นที่ปล่อยก๊าซไม่เกิน 100 กรัมต่อกิโลเมตร และต้องรองรับน้ำมัน E85 ได้ ถึงจะเสียภาษีเหลือเพียง 12%
แต่ในอนาคต ไม่แน่เราอาจเห็น Yaris หรือ Jazz เครื่อง 1200 cc หรือเครื่อง 1000 cc เติม E85 เพื่อให้รองรับกับโครงสร้างภาษี
และราคาอาจจะถูกลง และมลพิษน้อยลงตามไปด้วย

** ใจเย็นๆ อดใจรอออกปีหน้า ราคารถน่าจะถูกลง และมีตัวเลือกที่มากขึ้น

“รถไฮบริด ถ้ารักโลกจริง ราคารถอาจจะเท่าเดิม”
รถ Hybrid ที่กำลังได้รับนิยม และเริ่มมีรุ่นให้เลือกมากขึ้น และครอบคลุมรถหลายๆ ประเภททั้ง Sedan และ SUV
โดยอัตตราภาษีเดิมอยู่ที่ 10% แต่อัตราภาษีใหม่นี้ จะปรับขึ้นตามค่ามลพิษที่ปล่อยออกมาเป็นขั้นบันไดเลย สูงสุดอยู่ที่ 30%
สำหรับรถไฮบริดที่เครื่องขนาดต่ำกว่า 3000 cc เช่น Camry Hybrid, Accord Hybrid, Civic Hybrid,
Nissan X-trail เป็นต้น แต่ถ้ามากกว่า 3000 cc พวกรถยุโรปที่เครื่งยนต์ใหญ่ คิดอัตราเดียวคือ 50% ถือว่าสูงมาก

** ถ้ากำลังสนรถไฮบริด ซื้อเลยปีนี้ ก่อนปีหน้าราคาจะขึ้นมากพอสมควรแต่ขึ้นอยู่กับขนาดเครื่องยนต์ ของรถที่ท่านกำลังสนใจด้วย

“รถปิคอัพ ภาษีขึ้นเล็กน้อย ผู้ผลิตเล็งผลิตเครื่องยนต์เล็กลง”
รถปิดอัพโครงสร้างภาษีใหม่ก็ขึ้นเช่นเดียวกัน สำหรับรุ่นที่ปล่อยก๊าซเกิน 200 กรัมต่อกิโลเมตรทั้งแบบ ไม่มีแค๊ป หรือ กระบะ 4 ประตู
มีเพียงรถปิคอัพแบบมีแค๊บเท่านั้น ที่ภาษีเพิ่มขึ้นมาทั้งประเภทน้อยกว่า 200 กรัมต่อกิโลเมตรและมากกว่า
แต่ว่าภาษีขึ้นมาเพียง 3-5% โดยเฉลี่ย เพียงเล็กน้อยเมื่อเทียบกับรถในประเภทอื่นๆ ทั้ง Toyota Revo, Isuzu D-Max, Mitsubishi TritonFord RangerNissan Np300 เป็นต้น

จากที่โครงสร้างภาษีเปลี่ยนนี้ ตลาดรถปิคอัพอาจเปลี่ยนไป จากเมื่อก่อน แข่งกันทำรถเครื่องขนาดใหญ่ ปริมาณ cc มากๆ แรงม้าเยอะๆ
แรงบิดมหาศาล แต่ตอนนี้ต้องมาแข่งกันพัฒนาเทคโนโลยี ที่รถเครื่องไม่ต้องใหญ่ แต่ให้แรงม้าที่เพียงพอต่อการใช้งาน และค่ามลพิษ
ต้องอยู่ในมาตฐานเพื่อดึงราคาภาษี อาจส่งผลให้รถราคาถูกลง ผู้ใช้ได้รถเทคโนโลยีสูง เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม
จากที่ล่าสุด Isuzu ค่ายรถปิคอัพยักใหญ่ ได้เปิดตัวรถรุ่นใหม่ D-Max Ddi Bluepower ที่ใช้เครื่องยนต์เพียง 1900 cc นั่นเอง

** ถ้าลังเล ไม่มั่นใจว่าจะซื้อปิคอัพของยี่ห้อไหนดี รอก่อนก็ได้ เพราะราคาปีหน้าน่าจะขึ้นไม่มาก

“รถเอนกประสงค์ PPV ตลาดร้อนแรง ราคารถก็เช่นกัน”
ตลาดรถเอนกประสงค์ PPV ที่ปีนี้ออกมาแข่งกันหลายเจ้าทั้ง Toyota FortunerMitsubishi Pajero หรือ Ford Everest โดยปรับเปลี่ยนโฉมใหม่ในรอบหลายปี  ราคาภาษีที่เดิมเก็บ 20% แต่ภาษีใหม่ จะเก็บเป็น 25% ถ้าปล่อยก๊าซไม่เกิน 200 กรัมต่อกิโลเมตรและ 30% สำหรับรถที่ปล่อยก๊าซเกิน 200 กรัมต่อกิโลเมตร แต่จากข้อมูลโดยรถ PPV ในตลาดใช้เครื่องยนต์
ที่มีขนาดใหญ่มีผลให้ก๊าซที่ปล่อยออกมาจะเกิน 200 กรัมต่อกิโลเมตร หมายความว่ารถ PPV ส่วนใหญ่ในตลาดอาจต้อง
เสียภาษีใหม่นี้ที่ 30% อยู่ดี
** 10% ของราคารถที่จะเพิ่มขึ้นในปีหน้าไม่ใช่น้อยๆ ถ้าสนใจรถประเภทนี้อยู่ ซื้อเลย!! (ในปีนี้นะ)

จากการที่โครงสร้างภาษีนี้เปลี่ยน ในปี 2559 ที่จะถึงนี้ แน่นอน ผู้สนใจรถในหลายๆ รุ่นที่กำลังจะตัดสินใจซื้อยิ่งต้องรีบตัดสินใจมากขึ้น เพื่อไม่ให้ต้องซื้อรถแพงขึ้น

ถ้าไปซื้อในปีหน้า ยิ่งการที่ค่ายผู้ผลิตมีการอัดแคมเปญโปรโมชั่น ลดราคา แถมอุปกรณ์ต่างๆ ของรถมากยิ่งขึ้น ยิ่งเป็นการกระตุ้น ยั่วใจให้ผู้ซื้อรีบตัดสินใจ

"หรูด้วยลุยได้" PPV ระดับไฮคลาสเริ่มต้นแค่ 3 แสน | Carro

ในปีนี้ที่ผ่านมากระแสรถ PPV หรือกระบะดัดแปลงอเนกประสงค์ มองไปก็คล้ายกับ SUV แต่พื้นฐานโครงสร้างมาจากรถกระบะ ที่เมืองไทยนิยมกันอย่างแพร่หลาย

PPV ในไทยปีนี้ มีการเปิดตัวโฉมใหม่หมด หลายรุ่น ไม่ว่าจะเป็น Toyota Fortuner  เจ้าตลาดรถประเภทนี้ที่เปลี่ยนโฉมหลังจากใช้งานมาหลายปี Mitsubishi Pajero ก็เพิ่งเปิดตัวในปีนี้ และสร้างความฮือฮาให้ตลาดได้มาก และอีกรุ่นคือ Ford Everest ที่เปิดตัวใหม่หมด แต่ราคามือ 1 ของ PPV เหล่านี้บอกเลยว่า แตะล้านบาททุกคัน ยิ่งตัว Top นั้นพูดเลยเกิน 1.5 ล้านบาท ไปซะแล้ว
เมื่อเห็นราคาแล้ว แพงขนาดนี้ ลองอีกทางเลือกหนึ่งที่น่าสนใจ คือรถมือสอง เป็นทางเลือกที่ประหยัดเงินให้ท่านได้เป็นล้าน ได้รถดี ใช้ไปสัก 2-3 ขายต่อก็ยังคุ้ม มีแต่ได้กับได้ ไม่เหมือนรถมือหนึ่ง ที่พออกมาได้ไม่นาน พอจะขาย ราคารถลดมาเกือบ 50% จากที่ซื้อลองมาดูกันว่ารถ PPV 3 รุ่นน่าใช้ ที่ราคาตอนนี้ถูกว่าครึ่งเมื่อตอน ออกป้ายแดง มีรุ่นอะไรกันบ้างไปชมกัน
1. Toyota Fortuner  
ราคามือสองเริ่มต้นที่ 450,000 บาท คลิกที่นี่ ==>> Fortuner 

                              “หรูด้วยลุยได้” PPV ระดับไฮคลาสเริ่มต้นแค่ 3 แสน | Carro

PPV ขวัญใจมหาชนชาวไทยจาก Toyota ที่พื้นฐานมาจากกระบะยอดฮิต Hilux VIGO หรือโฉมก่อน Fortuner 2015 (โฉมปัจจุบัน) แม้จะเปิดตัวมานานแต่ก็มีรุ่นไมเนอร์เชนจ์อยู่ตลอด จะมีเครื่องยนต์ ที่แตกต่างทั้งดีเซล, เบนซินทั้งแบบขับเคลื่อน 2 ล้อและ 4 ล้อ หรือไม่ว่าจะชุดแต่ง TRD จาก Toyota ที่ทางค่ายผู้ผลิตจะมีออกมาเพื่อกระตุ้นตลาดอยู่ตลอด ด้วยจากที่รุ่นนี้ออกมาทำตลาดตั้งแต่ปลายปี 2004 แต่พอเมื่อออกมาแล้วก็สามารถตีตลาดของค่ายคู่แข่งได้กระจุย ด้วยการออกแบบที่ทันสมัย ฉีกรูปแบบเดิมๆ (Toyota Hilux Sport-rider) หน้าตาภายนอกคล้ายกับ SUV หรูในค่ายเดียวกัน Toyota Harrier ตอนเปิดตัวใหม่มองผ่านๆ แทบไม่เหมือน กระบะดัดแบบเลย

เราจะเห็นว่าโฉมนี้ขับกันทั่วบ้านทั่วเมือง ด้วยคุณภาพ และชื่อเสียงของค่ายผู้ผลิตรวมไปถึงอะไหล่ที่หาง่าย ด้วยความที่ในรถรุ่นนี้ได้รับความนิยม จากผู้ใช้ แน่นอนว่าอะไหล่ต่างๆ ก็หาไม่ยากและราคาไม่แพง เหมือนรถทั่วไป Fortuner รุ่นนี้มีออกมาให้เลือกทั้งเครื่องยนต์ดีเซล ข้อสังเกตุคือ ที่ฝากระโปรงจะมีช่องดักลมโผล่มาเล็กๆ เพื่อนำอากาศไปช่วยการทำงานของ Turbo intercooler สำหรับใครที่ชอบความอึดความทนทาน แต่จะว่าไปด้วยขนาดตัวถังที่ใหญ่กว่า และขับเคลื่อน 4 ล้อแบบ Full-Time ทำให้ Fortuner ซดน้ำมันจะมากกว่า Vigo เล็กน้อย

ชอบแบบจี๊ดดจ๊าด แบบเบนซิน เครื่อง 2.7, 3.0 ซีซีจะมีตัวเลือกแบบขับเคลื่อน 2 ล้อมาให้ แต่กินน้ำมันกว่าเครื่องยนต์ดีเซล เพราะฉะนั้นนำไปติดก๊าซเพิ่มความประหยัดน่าจะตอบโจทย์มากที่สุด การใช้งานส่วนของภายในก็มีพื้นฐานมาจาก Vigo แต่สิ่งอำนวยความสะดวกเหมือนรถเก๋ง Sedan หรูเลยถ้าเป็นไมเนอร์เชนจ์รุ่นหลังๆ ยังนำพวงมาลัย Multi-Function จากคัมรี่มาใช้เลย เทคโนโลยีต่างๆ ก็ไม่ได้ด้อยไปกว่าตัวใหม่(Fortuner 2015) ดูภูมิฐานใช้ได้ทั้งขับในเมือง และทางไกลที่พอรถสิบล้อ ขับผ่านก็ยังนิ่งขับได้สบาย

รถมือสองในรุ่นนี้ มีราคาเริ่มต้นตั้งแต่ 450,000 บาท ถ้ารุ่นใหม่หน่อยราคาก็เพิ่มขึ้นตามปีหรือสภาพของรถแต่ราคามือสองลงมากว่าครึ่งจากตอนป้ายแดง รุ่นนี้เป็นทางเลือกที่ดีเลยสำหรับคนที่อยากได้รถ PPV จากค่ายโตโยต้าสำหรับครอบครัวนี้เหมาะสมมาก ด้วยชื่อชั้น Toyota  ก็สามารถมั่นใจในอะไหล่และราคาขายต่อได้ระดับหนึ่ง การตรวจสภาพรถให้ดีจากผู้เชี่ยวชาญก่อนซื้อ ยิ่งจะช่วยให้ได้รถดีในราคาที่ถูกว่า

2. Isuzu MU-7

ราคามือสองเริ่มต้นที่ 350,000 บาท คลิกที่นี่ ==>> MU-7

                           “หรูด้วยลุยได้” PPV ระดับไฮคลาสเริ่มต้นแค่ 3 แสน | Carro

Isuzu MU-7 เป็นรุ่นก่อนโฉมปัจจุบัน (MU-X) PPV จากค่ายขวัญใจรถกระบะอย่าง Isuzu พื้นฐานมาจากกระบะ D-Max ทำออกมาได้หรูหราจนน่าประทับใจ จากเปิดตัวช่วงปี 2004 เปลี่ยนชื่อจากรุ่นก่อนหน้านี้ Isuzu Vega และรุ่นที่สร้างชื่ออย่าง Isuzu Cameo โดยชื่อรุ่นนำมาจาก Isuzu MU ที่ผลิตจำหน่ายที่ญี่ปุ่น หลังจากเปิดตัวกระบะ D-Max ใหม่ในช่วงนั้น Isuzu ไม่รอช้าที่จะปล่อยตัว PPV ตัวนี้มาเพื่อทำตลาดแล้วก็ได้ผลคือ Isuzu MU-7 ทำได้ดีในตลาดรถประเภทนี้ ได้รับความนิยมจากผู้ใช้งาน แม้ความแรงต้องยอมรับว่าอาจจะแรงได้ไม่เท่าคู่แข่งอันดับ 1 คือ Fortuner แต่สิ่งที่ Isuzu Mu-7 ได้เปรียบคือช่วงล่างที่นุ่มกว่าเพราะยังใช้ระบบแหนบ แต่ของฟอร์จููเนอร์เป็นแบบคอยล์สปริง ต่อมา Isuzu เปิดตัวไมเนอร์เชนจ์กับเครื่องยนต์ตัวใหม่เรียกว่า 3000ddi VGS Turbo ที่แรงพอมาสู้กับฟอร์จูนเนอร์ได้ แต่จะว่าไป สำหรับรถประเภทนี้ก็ไม่ได้ต้องการความแรงอะไรมากมายนะ แค่ขับนุ่มประหยัดน้ำมัน ตอนจะเร่งแซงได้ตามต้องการก็พอแล้วระบบขับเคลื่อนมีมาให้ทั้งแบบขับ 2 และขับ 4 มีชื่อเรียกของรุ่นที่ไมเนอร์เชนจ์คือ ขับเคลื่อน 2 ล้อจะเรียก Primo ขับเคลื่อน 4 ล้อจะเป็น Activo ซื้อมือสองก็สามารถดูได้จะโลโก้หลังรถ เครื่องยนต์มีการ Minor change ก็จะมีปรับรูปทรงของฝากระโปรง เพื่อให้มารองรับระบบ Turbo Intercooler ค่ายนี้ขึ้นชื่อเรื่องความทนทานและอะไหล่หาง่าย เพราะฉะนั้นถ้าซื้อรถมือสองอีซูซุ กับงบประมาณ 5 แสนนี้สามารถซื้อได้สบายขึ้นอยู่กับปีของรถ

​ในตลาดรถมือสอง รถรุ่นนี้มือสองสภาพดีมีมากเพราะเป็นรถที่ได้รับความนิยมจากผู้ใช้ แต่สิ่งที่ควรดูคือสภาพรถโดยรวมก่อนซื้อว่าเคยถูกชน หรือมีการทำสีอะไรมาบ้างหรือเปล่า โดยสามารถปรึกษาได้จากผู้เชี่ยวเกี่ยวกับาการดูสภาพรถ เลือกดีๆ หลังจากซื้อมาก็ เก็บความเรียบร้อยของรถสักหน่อย ก็จะได้รถดีคุณภาพตามงบประมาณที่กำหนดไว้ ประหยัดไปได้หลายแสน

3. Mitsubishi Pajero Sport 

ราคามือสองเริ่มต้นที่ 499,000 บาท คลิกที่นี่ ==>> Pajero Sport 

                              “หรูด้วยลุยได้” PPV ระดับไฮคลาสเริ่มต้นแค่ 3 แสน | Carro

Pajero Sport ดูจะมีภาษีในเรื่องของความสดใหม่กว่า 2 รุ่นก่อนหน้าเพราะเปิดเริ่มจำหน่ายปี 2008 ด้วยความสดใหม่กว่าในตอนนั้นยอดขายแซง Fortuner ขึ้นมาได้ ถือว่าไม่ธรรมดาเลยทีเดียวที่จะตีเจ้าตลาดค่ายนี้ได้ อาจเป็นเพราะดีไซน์การออกแบบ ที่ดูทันสมัย ไม่แพ้ ฟอร์จูนเนอร์ และการที่มิตซูบิชินำชื่อ Pajero มาใช้ใน PPV เป็นตัวช่วยที่ดีเลยสำหรับเพิ่มความมั่นใจเพราะชื่อ Pajero ได้สร้างชื่อของการเป็นรถอเนกประสงค์ไว้ให้มิตซูบิชิไว้อย่างน่าชื่นชม

พื้นฐานของรุ่นนี้มากจากกระบะ มิตซูบิชิ ไทรทัน เครื่องยนต์มีดีเซล และเบนซินโดยตอนเปิดตัวแรกยังมีแต่เครื่องดีเซล มีขนาดใหญ่สุดถึง 3.2 ซีซี ต่อมามีการไมเนอร์เชนจ์จึงเพิ่มเครื่องเบนซินมาเพื่อรองรับคนที่อยากติดแกสเพื่อความประหยัดซักหน่อย มีการออกตัวเครื่องยนต์พื้นฐานของรุ่น 2.5 VG Turbo เคยได้ชื่อว่าเป็น PPV ที่แรงที่สุดในไทย แต่มีข้อด้อยในเรื่องการการออกตัวที่จะอืด ไม่ทันใจผู้ใช้ ถ้าวิ่งไปสักพัก พละกำลังถึงจะค่อยแผลงฤทธิ์ ถ้ารับได้รุ่นเครื่องยนต์นี้ก็น่าสนในรถมือสอง เพราะต้องนึกถึงตอนเสียภาษีด้วย ซีซีมาก ภาษีก็แพงเป็นของคู่กัน

ช่วงล่างของรุ่นนี้ได้รับการยอมรับจากผู้ใช้ส่วนใหญ่ว่าดี แต่เรื่องหนึ่งที่ต้องระวังของการซื้อรถมือสองใน Pajero โฉมนี้คือ เฟืองท้ายหลอน คือมีเสียงดัง ในรถที่มีระยะการใช้งานระยะหนึ่งจะมีเสียงดัง เป็นทุกคันในรุ่นนี้ ทางที่ดีคือ ถ้าจะซื้อรุ่นนี้ควรทดลองขับกับทางผู้ขายก่อนจะดีที่สุด ราคาของมือสองในรุ่นนี้ต่ำสุดยังอยู่เกือบที่ 5 แสนกับได้รถยังถือว่าสดอยู่ แต่ต้องเลือกสภาพดี น่าจะหาไม่ยาก

ถ้าจะซื้อรถมือสอง ในตลาดรถมือสองนั้น มีรถเต้นท์ดีๆ น่าใช้มีอีกมาก รถบ้านบางคันอาจไม่ดีอย่างที่คิด เราไม่สามารถรู้ได้ถ้าไม่มีการตรวจสอบที่ได้มาตฐานจากผู้เชี่ยวชาญ ที่จะช่วยทำให้ท่านมั่นใจกับรถที่จะซื้อและการที่จะเสียเงินซื้อรถมือสองนั้นจะได้รถที่มีคุณภาพ คุ้มค่าการใช้งาน ขายต่อได้ในราคาที่พอใจ

Choose-Window-Tinted-Car

Carro จะมาบอกหลักการเลือกติดฟิล์มรถยนต์ยังไงให้ตรงใจคุณมากที่สุด สำหรับผู้ที่ซื้อรถมือสอง หรือถอยรถป้ายแดงคันใหม่ ก็สามารถนำหลักการนี้ไปใช้ได้เหมือนกัน

เพราะไม่ว่ารถจะเป็นรถประเภท ซีดาน กระบะ หรือรถตู้ สิ่งที่สำคัญอันดับแรกๆ คือ การเลือกติดฟิล์มรถยนต์นั่นเอง เพราะว่าฟิล์มรถยนต์ในสมัยนี้ ได้มีการพัฒนาให้มีคุณสมบัติพิเศษมากมาย ทั้งการกันแสงรังสีอินฟาเรด การสะท้อนคลื่นความร้อน หรือแม้แต่ฟิล์มนิรภัย ที่มีความปลอดภัย จะช่วยดูดซับ และลดแรงกระแทกได้เป็นอย่างดี

Window-Tinted-Car

อันดับแรกสิ่งที่ต้องดูเลย ก็คือ …

ประเภทของฟิล์ม

1. ฟิล์มธรรมดา ที่ว่าธรรมดาในที่นี้หมายถึงฟิล์มที่ไม่ผ่านการเคลือบโลหะ ซึ่งหลายคนอาจจะเรียกว่าฟิล์มดำ ฟิล์มใส หรือฟิล์มย้อมสีก็แล้วแต่ โดยฟิล์มชนิดนี้จะไม่มีการเคลือบ หรือผสมโลหะเข้าไปในชั้นแผ่นฟิล์ม ทำให้สามารถกรองความร้อน และแสงได้น้อย – ปานกลาง ซึ่งถึงแม้จะเลือกฟิล์มที่ความทึบมากที่สุด แต่ถ้าหากไม่สามารถกรองรังสีความร้อนได้ เวลาติดฟิล์มไป ภายในรถก็ยังจะร้อนอยู่ดี

2. ฟิล์มปรอท หรือฟิล์มเคลือบโลหะ สำหรับฟิล์มชนิดนี้ เริ่มเป็นที่นิยมมากขึ้น เพราะมันสามารถกรองความร้อนได้ดี ถึงแม้จะเป็นฟิล์มที่มีความใสมาก แต่ถ้าเคลือบ หรือผสมโลหะเข้าไป ก็จะช่วยไม่ทำให้ร้อน แต่เนื่องด้วยมีโลหะผสมอยู่ในฟิล์มจึงค่อนข้างมีแสงสะท้อนเวลาขับรถ ทำให้หลายคนไม่ชอบ ส่วนข้อเสียอีกอย่างคือฟิล์มประเภทนี้มักจะมีราคาแพงกว่า

TIPS: ถ้าหากใครแยกประเภทของฟิล์มไม่ออก ก็ให้ดูที่แสงสะท้อน ฟิล์มชนิดที่ผสมปรอท หรือโลหะ จะมีแสงสะท้อนมากกว่าฟิล์มธรรมดา

ความหนาของฟิล์ม

ความหนา หรือความทึบของฟิล์มจะแล้วแต่ยี่ห้อ บางยี่ห้อจะมีให้เลือกมากมาย แต่ที่เด่นๆ และเข้าใจง่าย จะมีอยู่ 3 ระดับคือ

1. เข้ม 40% หมายความว่าฟิล์มชนิดนี้จะมีความทึบ 40% แสงส่องผ่านได้ประมาณ 60% ใครชอบฟิล์มใสๆ แนะนำความทึบประมาณนี้

2. เข้ม 60% หมายความว่าฟิล์มชนิดนี้จะมีความทึบ 60% แสงส่องผ่านได้ประมาณ 40% คนนิยมติดฟิล์มที่ระดับความเข้มนี้กันมาก เพราะว่ามันทึบกำลังพอดี มองเห็นได้ดีทั้งกลางวัน และกลางคืน ไม่มืดเกินไป

3. เข้ม 80% ฟิล์มตัวนี้จะมีความเข้มที่สุด แสงจะส่องผ่านได้ประมาณ 20% เท่านั้น บางคนที่ต้องการความเป็นส่วนตัวมาก ก็นิยมติดรอบคัน หรือติดเฉพาะห้องโดยสารฝั่งคนนั่ง ไม่นิยมติดด้านหน้า เพราะจะทำให้ขับรถลำบาก มองเห็นไม่ชัดในเวลากลางคืน

การเลือกติดตั้งฟิล์มรถยนต์ ไม่ว่าจะเป็นแบบ 40%, 60% หรือ 80% ไม่มีสูตรตายตัว ขึ้นอยู่กับความชอบของเจ้าของรถ ล้วนมีทั้งข้อดี และข้อเสีย แตกต่างกันไป ขึ้นอยู่กับสภาพสายตาของแต่ละคน เพราะการมองเห็น ย่อมส่งผลต่อการขับขี่ รวมไปถึงภูมิประเทศในการใช้รถ เป็นต้น

ถ้าขับรถกลางวัน เจอแดดแรงๆ แสงจ้า บ่อยกว่าขับรถกลางคืน ควรเลือกความเข้มบานหน้า 60% รอบคัน 80% เป็นต้น คนนั่งหลังสบายสุดๆ เพราะไม่ร้อนเลย แต่ภายในรถแสงจะเข้าได้น้อย จนรู้สึกมืด คนไม่ชินอาจไม่ชอบ

ถ้าขับรถกลางคืน บ่อยกว่าขับรถกลางวัน ควรเลือกความเข้มบานหน้า 40% รอบคัน 60% เพื่อขับรถตอนกลางคืนง่ายขึ้น มองเห็นทัศนวิสัยสองข้างทางได้ชัดขึ้น แต่ขับตอนกลางวันอาจจะร้อนหน่อย เป็นต้น

ติดฟิล์มกรองแสง

ยี่ห้อของฟิล์ม

หลายคนที่กำลังเลือกซื้อฟิล์มอาจจะกำลังสับสนว่าควรจะต้องซื้อยี่ห้อไหนดี ซึ่งจริงๆ ต้องบอกก่อนว่าฟิล์มกรองแสงของแต่ละยี่ห้อนั้นมีคุณสมบัติแตกต่างกัน ดังนั้นคุณควรจะเลือกฟิล์มที่เหมาะกับไลฟ์สไตล์และการใช้งานของคุณเป็นหลัก ในประเทศไทยจะมียี่ห้อที่คนทั่วไปรู้จัก คือ

1. 3M เป็นยี่ห้อขายฟิล์มที่คนรู้จักกันทั่วไป มีข้อดีคือจะมีประเภทฟิล์มให้เลือกอย่างหลากหลาย แต่ถ้าใครที่ชอบติดฟิล์มใส และอยากให้กันความร้อนได้ด้วย แนะนำรุ่น Crystalline คนส่วนใหญ่ชอบเลือกติดฟิล์มยี่ห้อนี้เพราะราคาไม่สูง คุณภาพดีสมกับราคา แถมติดแล้วยังรับส่งสัญญาณ GPS และ คลื่นวิทยุได้ดี

2. Lamina ฟิล์มติดรถยนต์อีกหนึ่งยี่ห้อที่คนไทยรู้จักกันดี เพราะคุณภาพดี ราคาปานกลาง ไม่ถึงกับแพงมาก แถมยังมีให้เลือกหลายสี ทั้งสีใส สีเทาเข้ม สีเขียว ทำให้เวลามองออกไปจะสบายตามาก ซึ่งเมื่อเทียบราคากับคุณภาพก็ถือว่าสมเหตุสมผล

3. Hi-Kool ฟิล์มยี่ห้อนี้โดดเด่นในด้านการนำโลหะมาเคลือบลงไปในเนื้อฟิล์ม หรือที่เรียกกันว่า ‘สปัทเตอร์ฟิล์ม (Sputter-Films) ข้อดีของยี่ห้อนี้คือเป็นฟิล์มปรอทที่ราคาไม่สูง และช่วยกรองความร้อนได้ดี สีฟิล์มจะซีดช้า

4. V-Kool สำหรับยี่ห้อนี้มีจุดเด่นเรื่องคุณภาพฟิล์มที่สูง โดดเด่นเรื่องฟิล์มที่ผสมโลหะลงไปในเนื้อฟิล์มหลายชั้น ทำให้ฟิล์มยี่ห้อนี้สามารถกันความร้อนได้ดี แต่ก็มีราคาสูงเช่นกัน แต่ถ้าหากคุณอยากได้ความคุ้มค่า ฟิล์มยี่ห้อนี้คือหนึ่งตัวเลือกที่ดี

แต่สำหรับผู้ซื้อรถทั้งหลาย ไม่ว่าจะเป็นรถมือสองที่ซื้อต่อจากคนอืื่นมาอีกที หรือคนที่มีรถอยู่แล้วและต้องการเปลี่ยนฟิล์มใหม่ นั้นจะรู้ได้อย่างไรว่า เมื่อไหร่ที่ถึงเวลาต้องเปลี่ยนฟิล์มสักที

ซึ่งจะมีหลักให้สังเกตุ 5 ข้อง่ายๆ เท่านั้น


1. เมื่อฟิล์มเปลี่ยนสี หลังจากที่ใช้ฟิล์มไปนานๆ คุณจะสามารถสังเกตุได้ว่าฟิล์มหมดอายุ หรือถึงเวลาที่ต้องเปลี่ยน เมื่อนั้นฟิล์มจะเริ่มเปลี่ยนสี ไม่เหมือนสีเดิม ซึ่งส่วนใหญ่ฟิล์มอาจจะเริ่มไม่ทึบ หรือเปลี่ยนเป็นมีม่วง เป็นต้น


2. ฟองอากาศ ส่วนใหญ่ฟิล์มที่เริ่มหมดสภาพแล้ว จะเริ่มมีฟองอากาศแทรกเข้ามา ให้ลองสังเกตุดูว่าฟิล์มกรองแสงของคุณนั้นเริ่มมีฟองอากาศแล้วหรือไม่ ถ้าหากว่ามีแสดงว่าถึงเวลาที่ควรเปลี่ยนได้แล้ว

3. เกิดรอยย่น อีกหนึ่งข้อสังเกตุที่เห็นได้ง่ายสุดคือ ฟิล์มนั้นจะเริ่มเกิดรอยย่น หรือมีลักษณะเหมือนคลื่นน้ำ ไม่เรียบเหมือนตอนแรกๆ

4. อาจเกิดภาพซ้อน หรือมัว ฟิล์มที่มีคุณภาพดี และยังไม่เสื่อมสภาพ นั้นจะต้องเป็นฟิล์มที่สามารถมองเห็นได้อย่างชัดเจน แต่ถ้าหากฟิล์มที่คุณติดอยู่มันเกิดมองเห็นมาเป็นภาพซ้อน หรือว่ามองแล้วไม่ชัด ก็แปลว่ามันอาจจะเสื่อมสภาพ

5. กลิ่นเหม็น ถ้าหากสามข้อแรกยังไม่ทำให้คุณตัดสินใจไม่ได้ว่าจะต้องเปลี่ยนฟิล์มแล้วหรือยัง แนะนำให้ลองดมดู เพราะว่าส่วนใหญ่ 90% ฟิล์มกรองแสงที่เริ่มจะเสื่อมสภาพ มักจะมีกลิ่นเหม็นที่รุนแรง

Window-Tinted-Car

ถ้าหากคุณมั่นใจว่าฟิล์มที่ใช้อยู่นั้นหมดสภาพแล้ว หรือใครที่ต้องการเปลี่ยนฟิล์มใหม่ให้ตรงกับความต้องการ รวมถึงผู้ที่ถอยรถคันใหม่ที่กำลังเลือกฟิล์มติดรถยนต์ ก็สามารถนำหลักการเหล่านี้ไปใช้ได้เลย

สำหรับผู้ที่สนใจมองหารถมือสอง หรือยังไม่รู้ว่า จะขายรถคันเก่าที่ไหนดี ให้ Carro เป็นผู้ช่วยมืออาชีพของคุณ “ซื้อ ขาย รีไฟแนนซ์ รถยนต์อย่างมืออาชีพกับ Carro Thailand” หรือสอบถามรายละเอียดเพิ่มได้ใน Fanpage “Carro Thailand” ครับผม