5 เหตุผล ทำไมถึงต้องล้างรถบ่อยขึ้น ในฤดูฝน

เมื่อเข้าสู่ฤดูฝนทีไร ฝน กับ รถ ดูเหมือนจะไม่ค่อยถูกกันเท่าไหร่นัก เพราะหากฝนตกหนักๆ น้ำท่วม ขับรถไปลุยน้ำแล้ว เดี๋ยวรถก็มีปัญหาเสียกลางทาง หรือน้ำเข้ารถอีก

ก็ในเมื่อหน้าฝน ฝนตกแทบทุกวันแบบนี้ แล้วจะต้องเสียเวลาล้างรถไปอีกทำไม? ปล่อยรถเลอะคราบดิน คราบโคลน คราบน้ำสกปรกแบบนี้ไป เดี๋ยวค่อยรวบยอด ไว้ล้างตอนสิ้นเดือนก็ได้

นับเป็นความเชื่อที่ผิดเลยครับ เพราะว่า หน้าฝน ฝนยิ่งตก ยิ่งต้องล้างรถครับ CARRO จะมาอธิบายถึง 5 เหตุผล ว่าทำไม “ฤดูฝน” ถึงต้องล้างรถบ่อยขึ้นครับ …

5 เหตุผล ทำไมถึงต้องล้างรถบ่อยขึ้น ในฤดูฝน

1. มลพิษ

เป็นที่ทราบกันดีครับ ว่าน้ำฝนในกรุงเทพฯ ในเมืองที่มีมลพิษเยอะ ควันพิษเยอะ น้ำฝนย่อมมีฤทธิ์เป็นกรด กัดกร่อนสีรถของเราให้หม่นหมอง ไม่เงางาม คุณจึงจำเป็นต้องล้างรถครับ

2. แสงแดด

อีกทั้งเมื่อขับรถลุยฝนมาแล้ว อย่าจอดรถตากแดด ยิ่งเจอแดดบ้านเราด้วยแล้ว สีรถยิ่งไปไวกว่าเดิมอีก เพราะแสงแดดจะทำให้คราบน้ำฝนแห้ง เป็นคราบฝังตัวแน่น ติดกับเนื้อกระจกรถ ตัวถังรถ และอาจกัดลงลึกลงถึงเนื้อสีได้

5 เหตุผล ทำไมถึงต้องล้างรถบ่อยขึ้น ในฤดูฝน

3. ใต้ต้นไม้

การจอดรถไว้ใต้ต้นไม้ใหญ่ ก็ถือว่าเป็นการให้ร่มเงาแก่รถ แต่ในเวลาที่ฝนตก หรือมีลมแรง เศษใบไม้ กิ่งไม้ รวมไปถึงละอองน้ำยางจากต้นไม้ (เช่น ใต้ต้นมะม่วง ต้นขนุน) จะร่วงหล่นลงมาทำความเสียหายให้กับสีรถของคุณ และตัวถังรถของคุณได้ จึงควรล้างรถให้สะอาด

4. ผ้าแห้ง

หลังจากที่จอดรถตากฝนแล้ว ไม่ควรใช้ผ้าแห้ง หรือผ้าขี้ริ้ว เช็ดบนตัวรถโดยทันที! เพราะเป็นสาเหตุก่อให้เกิดรอยบนตัวรถได้ ให้ฉีดน้ำสะอาดล้างที่ตัวรถไปก่อน เป็นการล้างเศษทราย โคลน ที่เกาะอยู่บนตัวถังรถ

5 เหตุผล ทำไมถึงต้องล้างรถบ่อยขึ้น ในฤดูฝน

5. เคลือบสีรถ

สิ่งสำคัญในท้ายที่สุด นั่นคือ การเคลือบสีรถ เพราะนอกจากจะนำให้รถเงางามแล้ว ยังช่วยป้องกันคราบน้ำฝนเกาะตัวเป็นเม็ดบนตัวถัง จึงช่วยลดการเกิดคราบน้ำบนตัวถัง และทำให้ล้างรถได้ง่ายขึ้น

ในการล้างรถ สิ่งสำคัญก็คือ ควรล้างรถในที่สว่างๆ ครับ ไม่ควรล้างตอนเย็นๆ ค่ำๆ หรือที่มืดๆ เพราะอาจจะทำให้ล้างหรือเช็ดได้ไม่หมดทุกจุด และอาจจะทำให้รถของคุณเกิดสนิมได้ เพียงแค่ล้างรถบ่อยๆ รถของคุณก็จะเงางามไปอีกยาวนานทุกฤดูแล้วครับ

สำหรับใครที่อยากขายรถคันเดิมตอนนี้ หรือกำลังตัดสินใจจะซื้อรถป้ายแดงอยู่พอดี แต่งบไม่พอ!  มาขายรถกับ CARRO Express สิ! หรือจะ Inbox มาขอรายละเอียดได้ที่ Facebook -> CARRO Thailand และ Add Line สอบถามรายละเอียดได้เช่นกัน ที่ @carrothai

และอีกหนึ่งบริการใหม่! CARRO Automall แหล่งรวมรถมือสองคุณภาพเยี่ยม ผ่านการตรวจสภาพแบบ Double Check รับประกันพร้อมโอนทุกคัน ฟรี! ค่าจัดโอน มีให้เลือกชมเพียบ เปิดบริการทุกวัน อยากซื้อรถคุณภาพเยี่ยม มาซื้อกับ CARRO Automall สิ!

หรือสนใจรถรุ่นไหนอยู่ แต่หาไม่ได้ สามารถสั่งตามออเดอร์ได้ที่นี้ > https://th.carro.co/buy-car หรือโทร. 02-508-8690 อีกทั้งยัง Inbox เข้ามาสอบถามก็ได้เช่นกันได้ที่ Facebook -> CARRO Automall – รถบ้านมือสอง หรือทาง Line เชิญเลยครับที่ @carroautomall

Mercedes-Benz-C-Class-2018

Benz C-Class Minorchange โฉมใหม่ ประกอบในประเทศ!

เมอร์เซเดส-เบนซ์ ประเทศไทย เปิดตัว Mercedes-Benz C-Class (เมอร์เซเดส-เบนซ์ ซี-คลาส) โฉม W205 ไมเนอร์เชนจ์ นับได้ว่ารวดเร็วฉับไวมาก สมกับเป็นยุค 4.0 เพราะในต่างประเทศเพิ่งจะเผยโฉมนี้ และส่งมอบรถให้ลูกค้า เมื่อเดือนกรกฏาคมที่ผ่านมานี้เองครับ

โดย เมอร์เซเดสเบนซ์ ได้นำเสนอรถยนต์รุ่น The C 220 d ทั้งหมด 3 รุ่นย่อย คือ The C 220 d Avantgarde และ The C 220 d AMG Dynamic รวมถึงรุ่นที่จะเริ่มวางจำหน่ายในประเทศไทยในเดือนตุลาคมนี้ อย่างรุ่น The C 220 d Exclusive

Mercedes-Benz-C-Class-2018

สำหรับ Mercedes-Benz C-Class ไมเนอร์เชนจ์ มีให้เลือกทั้งหมด 4 แบบตัวถัง คือ ซาลูน (ซีดาน), คูเป้, เอสเตท (สเตชั่นแวกอน) และเปิดประทุน (ยังมีซาลูนฐานล้อยาวพิเศษ เฉพาะตลาดเมืองจีนเท่านั้น) ส่วนในบ้านเราตอนนี้ รอดูตัวเป็นๆ ของรุ่นซีดานกันไปก่อน ส่วนที่เหลือมีตามมาอย่างแน่นอน

Mercedes-Benz-C-Class-2018

สรุป … จุดเด่นใหม่ๆ ภายนอก

รุ่น The C 220 d Avantgarde มาพร้อมกระจังหน้าสีเงินเสริมโครเมี่ยม พร้อมตรา Mercedes-Benz และล้ออัลลอยแบบ 5 ก้านคู่ ขนาด 18 นิ้ว + ไฟหน้าแบบ LED High Performance

รุ่น The C 220 d Exclusive มาพร้อมกระจังหน้าแบบคลาสสิค พร้อมตรา Mercedes-Benz บนฝากระโปรงหน้า, ไฟหน้าแบบ LED High Performance พร้อมระบบไฟสูงแบบ ULTRA RANGE Highbeam และล้ออัลลอยแบบ Multi-Spoke ขนาด 18 นิ้ว

ส่วนในรุ่น The C 220 d AMG Dynamic มาพร้อมกระจังหน้าแบบ Diamond Grille สีเงิน พร้อมตรา Mercedes-Benz และล้ออัลลอยดีไซน์สปอร์ตจาก AMG แบบ 5 ก้านคู่ ขนาด 19 นิ้ว ตกแต่งด้วยสีดำ โดยกันชน หน้า-หลังและสเกิร์ตข้าง ดีไซน์สปอร์ตแบบ AMG Bodystyling โคมไฟหน้าและหลังแบบใหม่ + ไฟหน้าแบบ LED High Performance พร้อมระบบไฟสูงแบบ ULTRA RANGE Highbeam

*เป็นครั้งแรกในรถยนต์ The C-Class ใช้ไฟหน้าแบบ LED ที่ทำงานโดยอิสระจำนวน 84 หลอด ต่อโคมไฟหน้า 1 โคม ที่สามารถทำงานได้อย่างรวดเร็วและแม่นยำ อีกทั้งยังสามารถปรับความเข้มแสง โดยใช้ระบบไฟหน้าให้เข้ากับสภาพการจราจรโดยรอบได้ และส่องสว่างได้ไกลถึง 650 เมตร

Mercedes-Benz-C-Class-2018

Mercedes-Benz-C-Class-2018

สรุป … จุดเด่นใหม่ๆ ภายใน

รุ่น The C 220 d Avantgarde มาพร้อมกับพวงมาลัยมัลติฟังก์ชั่น พร้อมปุ่มควบคุมแบบ Touch Control + เบาะหุ้มด้วยหนัง ARTICO พับลงได้แบบ 1/3 และ 2/3 และปุ่มสตาร์ทเครื่องยนต์ (Push Start) เป็นต้น

รุ่น The C 220 d Exclusive มาพร้อมพวงมาลัยที่มาพร้อมระบบพาวเวอร์ปรับระดับด้วยระบบไฟฟ้าและปรับน้ำหนักตามความเร็วรถ + เบาะหุ้มด้วยหนัง ARTICO พับลงได้แบบ 1/3 และ 2/3, ปุ่มสตาร์ทเครื่องยนต์ (Push Start), กุญแจแบบ KEYLESS-GO, ระบบแผนที่นำทาง 3 มิติรูปแบบใหม่ และฟังก์ชั่นปรับสมดุลอากาศภายในห้องโดยสาร (AIR BALANCE package) เป็นต้น

ส่วนในรุ่น The C 220 d AMG Dynamic มาพวงมาลัยที่มาพร้อมระบบพาวเวอร์ปรับระดับด้วยระบบไฟฟ้าและปรับน้ำหนักตามความเร็วรถ แบบสปอร์ตท้ายตัด พร้อมปุ่มควบคุมแบบ Touch Control เบาะหุ้มหนังแบบสปอร์ต พับลงได้แบบ 1/3 และ 2/3, ปุ่มสตาร์ทเครื่องยนต์ (Push Start), กุญแจแบบ KEYLESS-GO, ระบบแผนที่นำทาง 3 มิติรูปแบบใหม่ หลังคาพาโนรามิคซันรูฟ และระบบเสียงรอบทิศทาง Burmester® Surround Sound System เป็นต้น

นอกจากนั้น The new C-Class ยังได้นำเทคโนโลยีจากรุ่นใหญ่อย่าง The S-Class มาใช้มากมาย อาทิเช่น ระบบ All-Digital Instrument Display ที่ทำให้หน้าจอเรือนไมล์แบบดิจิทัลของรุ่น The C 200 d AMG Dynamic มีขนาดใหญ่ถึง 12.3 นิ้ว และยังสามารถปรับรูปแบบการแสดงผลได้ 3 รูปแบบ คือ Classic, Progressive และ Sport

Mercedes-Benz-C-Class-2018

สำหรับเวอร์ชั่นเมืองนอก ใช้เครื่องยนต์เบนซิน 4 สูบ แบบใหม่ รหัส M264 แบบ 4 สูบ 1.5 ลิตร และ 2.0 ลิตร แบบ Twin-Scroll Turbo Intercooler

ในส่วนของรุ่นเครื่องยนต์ดีเซล รหัส OM654 ขนาด 1.6 ลิตร Variable Turbo และ 2.0 ลิตร มีทั้ง Turbo เดี่ยว  และ Turbo แบบ 2-Stage พร้อมหัวฉีด Piezo เช่นเคย

ส่วนเครื่องยนต์ของเวอร์ชั่นไทยนั้น เป็นเครื่องยนต์ดีเซลขนาด 2.0 ลิตร แบบ 4 สูบ DOHC 16 วาล์ว Turbo Intercooler ให้แรงม้าสูงสุด 194 แรงม้า ที่ 3,800 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 400 นิวตัน-เมตร ที่ 1,600 – 2,800 รอบ/นาที ส่งกำลังด้วยเกียร์อัตโนมัติ 7G-Tronic-Plus

Mercedes-Benz-C-Class-2018

ส่วนรุ่น Coupe ก็เตรียมลุ้น ว่าจะเป็นรุ่น C 200 ที่ใช้เครื่องยนต์เบนซินขนาด 1.5 ลิตร Turbo 184 แรงม้า ส่งกำลังด้วยเกียร์อัตโนมัติ 9 สปีด ว่าจะมาในปลายปีนี้หรือไม่

รายละเอียด Mercedes-Benz C-Class ไมเนอร์เชนจ์

รุ่น

เครื่องยนต์

ปริมาตรกระบอกสูบ (ซีซี)

แรงม้าสูงสุด (แรงม้า ที่รอบ/นาที)

แรงบิดสูงสุด (นิวตันเมตร ที่รอบ/นาที)

อัตราเร่ง  0-100 กม./ชม.(วินาที)

ความเร็วสูงสุดโดยประมาณ (กม./ชม.)

C 220 d Avantgarde

ดีเซล 4 สูบ แถวเรียง เทอร์โบ พร้อมอินเตอร์คูลเลอร์

1,950

143 (194) / 3,800

400 / 1,600-2,800

6.9

240

C 220 d Exclusive

ดีเซล 4 สูบ แถวเรียง เทอร์โบ พร้อมอินเตอร์คูลเลอร์

1,950

143 (194) / 3,800

400 / 1,600-2,800

6.9

240

C 220 d AMG Dynamic

ดีเซล 4 สูบ แถวเรียง เทอร์โบ พร้อมอินเตอร์คูลเลอร์

1,950

143 (194) / 3,800

400 / 1,600-2,800

6.9

240

 

ราคาจำหน่าย Mercedes-Benz C-Class ไมเนอร์เชนจ์

  • C 220 d Avantgarde ราคา 2,349,000 บาท
  • C 220 d Exclusive ราคา 2,690,000 บาท
  • C 220 d AMG Dynamic ราคา 2,890,000 บาท
Change-Province-In-License-Plate

กรณีที่คุณซื้อรถมือสองมาแล้ว เกิดอยากเปลี่ยนป้ายทะเบียนใหม่ ย้ายทะเบียนรถ ย้ายจังหวัดให้ตรงกับภูมิลำเนาของตัวเอง หรือว่าสลับป้ายทะเบียนรถ ประมูลป้ายทะเบียนมาได้ อยากเอาป้ายประมูล มาสลับใส่กับรถที่คุณมีอยู่แล้ว

การย้ายรถ หมายถึงอะไร? กล่าวคือ เป็นการขอเปลี่ยนแปลงรถที่มีทะเบียนอยู่จังหวัดเดิม ให้สอดคล้องกับภูมิลำเนาหรือจังหวัดใหม่ หรือตามสถานที่ใช้งานรถของเจ้าของรถ โดยที่อยู่แห่งใหม่ อาจเป็นไปตามทะเบียนบ้านของเจ้าของรถ หรือเป็นไปตามทะเบียนบ้านของผู้อื่น ที่เจ้าของรถจะขออนุญาตใช้ก็ได้

สำหรับการแจ้งย้ายทะเบียนรถ สลับป้ายทะเบียนรถ มีวิธีง่ายๆ ที่ Mr.Carro จะมาอธิบายให้ฟังครับ เริ่มต้นด้วยการแจ้งย้ายรถออกปลายทาง ดังนี้ …

Change-Province-In-License-Plate

ภาพจาก มติชน

การแจ้งย้ายรถออกปลายทาง

เอกสารและหลักฐาน

  • สมุดคู่มือจดทะเบียนรถ (ตัวจริงพร้อมสำเนา)
  • บัตรประจำประชาชน (ตัวจริงพร้อมสำเนา) ของเจ้าของรถ
  • หนังสือรับรองการจดทะเบียนเป็นนิติบุคคล (กรณีเป็นนิติบุคคล อายุการใช้งานไม่เกิน 6 เดือน)
  • สำเนาบัตรประจำตัวประชาชนของผู้มีอำนาจลงนาม กรณีเป็นนิติบุคคล
  • หนังสือมอบอำนาจพร้อมสำเนาบัตรประจำตัวประชาชนผู้รับมอบอำนาจ (กรณีที่เจ้าของรถไม่สะดวกไปดำเนินการ ติดอากรแสตมป์ 10 บาท)

แจ้งย้ายเข้า-ออก-ทะเบียนรถ

ตัวอย่าง การแจ้งย้ายรถเข้าปลายทาง (ภาพจาก Login Rath_Me @ Pantip)

การแจ้งย้ายรถเข้าปลายทาง

เอกสารและหลักฐาน

  • สมุดคู่มือจดทะเบียนรถ (ตัวจริงพร้อมสำเนา)
  • บัตรประจำประชาชน (ตัวจริงพร้อมสำเนา) ของเจ้าของรถ
  • หนังสือรับรองการจดทะเบียนเป็นนิติบุคคล (กรณีเป็นนิติบุคคล อายุการใช้งานไม่เกิน 6 เดือน)
  • สำเนาบัตรประจำตัวประชาชนของผู้มีอำนาจลงนาม กรณีเป็นนิติบุคคล
  • หนังสือมอบอำนาจพร้อมสำเนาบัตรประจำตัวประชาชนผู้รับมอบอำนาจ (กรณีที่เจ้าของรถไม่สะดวกไปดำเนินการ ติดอากรแสตมป์ 10 บาท)

เอกสารโอนรถ

การโอนเปลี่ยนเจ้าของรถ กรณีปิดบัญชีสัญญาเช่าซื้อ

เอกสารและหลักฐาน

  • สมุดคู่มือจดทะเบียนรถ (ตัวจริงพร้อมสำเนา)
  • หลักฐานการโอนกรรมสิทธิ์ เช่น ใบเสร็จรับเงิน ใบกำกับภาษี สัญญาซื้อขายกรณีเป็นการเช่าซื้อ ให้ใช้หลักฐานสำเนาหรือภาพถ่ายสัญญาเช่าซื้อใบเสร็จรับเงิน ใบกำกับภาษีค่าเช่าซื้อในงวดสุดท้าย พร้อมหนังสือยืนยันการชำระค่าเช่าซื้อ และภาษีมูลค่าเพิ่มครบถ้วนจากผู้ให้เช่าซื้อ
  • แบบคำขอโอนและรับโอน ซึ่งกรอกรายการและลงลายมือชื่อผู้โอนและผู้รับโอนเรียนร้อยแล้ว
    หลักฐานประจำตัวผู้โอน และผู้รับโอน ได้แก่
  • บัตรประจำตัวประชาชน (ตัวจริงพร้อมสำเนา)
  • หนังสือรับรองการจดทะเบียนเป็นนิติบุคคล (กรณีเป็นนิติบุคคล อายุการใช้งานไม่เกิน 6 เดือน)
  • สำเนาบัตรประจำตัวประชาชนของผู้มีอำนาจลงนาม กรณีเป็นนิติบุคคล
  • หนังสือมอบอำนาจ พร้อมสำเนาบัตรประจำตัวประชาชนผู้รับมอบกรณีผู้โอน และ/หรือผู้รับโอนมิได้มาดำเนินการด้วยตัวเอง (ติดอากรแสตมป์ 10 บาท)

การสลับป้ายทะเบียนรถยนต์

การสลับป้ายทะเบียนรถ สามารถทำได้ โดยรถทั้ง 2 คัน จะต้องจดทะเบียนในเขตพื้นที่เดียวกัน จะเป็นผู้ถือกรรมสิทธิ์เดียวกัน หรือต่างผู้ถือกรรมสิทธิ์ก็ได้ หากต้องการดำเนินการขอสลับป้ายทะเบียนรถต่างพื้นที่ ต้องดำเนินการติดต่อเจ้าหน้าที่โดยตรง โดยเจ้าหน้าที่จะพิจารณาเป็นรายๆ ไป และภาษีรถยนต์ประจำปี ต้องเหลือไม่น้อยกว่า 30 วัน (หากภาษีของรถเหลือน้อยกว่า 30 วัน จะต้องชำระภาษีรถประจำปีก่อน)

เอกสารและหลักฐาน

  • สมุดคู่มือจดทะเบียนรถ (ตัวจริงพร้อมสำเนา)
  • บัตรประจำประชาชน (ตัวจริงพร้อมสำเนา) ของเจ้าของรถ
  • หนังสือมอบอำนาจ (กรณีที่เจ้าของรถไม่สะดวกไปดำเนินการ ติดอากรแสตมป์ 10 บาท)
  • สำเนาบัตรประจำตัวประชาชนผู้รับมอบอำนาจ
  • แผ่นป้ายทะเบียนเดิม (กรณีสลับแผ่นป้ายทะเบียนในจังหวัดเดียวกันแต่คนละเขตพื้นที่)

อัตราค่าธรรมเนียม

  • ค่าธรรมเนียมการขอสลับป้ายทะเบียนรถ 500 บาท
  • ค่าแผ่นป้ายทะเบียนรถป้ายละ 100 บาท (กรณีขอแผ่นป้ายใหม่)
  • ค่าคำขออื่นๆ 75 บาท (ค่าใบแทนเครื่องหมายแสดงการเสียภาษี 20 บาท, ค่าแก้ไขรายการในสมุดคู่มือจดทะเบียน 50 บาท, ค่าคำขอ 5 บาท)

ใบเสร็จ-สลับป้ายทะเบียนเป็นป้ายประมูล

ตัวอย่าง ใบเสร็จสลับป้ายทะเบียนรถ มาใช้ป้ายประมูล (ภาพจาก Login yacht7 @ Pantip)

การสลับป้ายทะเบียนรถ กรณีได้ป้ายประมูลมา

เอกสารและหลักฐาน

เอกสารประกอบการจดทะเบียนรถใหม่

  • หนังสือรับรองการโอนสิทธิหมายเลขทะเบียนที่ประมูลได้
  • หนังสือแสดงสิทธิเลขหมายทะเบียน (ใบเสร็จรับเงินของกรมการขนส่งทางบก)
  • สำเนาบัตรประจำตัวประชาชนของเจ้าของสิทธิเลขหมายประมูล
  • สำเนาบัตรประจำตัวประชาชน 1 ชุด (พร้อมรับรองสำเนา)
  • สำเนาทะเบียนบ้าน (พร้อมรับรองสำเนา)

สลับป้ายทะเบียนเป็นป้ายประมูล

ตัวอย่าง การเปลี่ยนป้ายทะเบียนเป็นเลขป้ายประมูล (ภาพจาก Login yacht7 @ Pantip)

ขั้นตอนการยื่นสลับป้าย

เอกสารและหลักฐาน

  • สมุดคู่มือจดทะเบียนรถ
  • สำเนาบัตรประจำตัวประชาชน 1 ชุด (พร้อมรับรองสำเนา)
  • สำเนาทะเบียนบ้าน (พร้อมรับรองสำเนา)
  • กรอกเอกสารใน ใบคำขอ (อื่นๆ)
  • ระบุเพื่อขอทำการสลับป้ายทะเบียนรถ จากหมายเลขทะเบียน……………..เป็น…………….
  • หนังสือรับรองการโอนสิทธิหมายเลขทะเบียนที่ประมูลได้
  • ใบเสร็จรับเงินของกรมการขนส่งทางบก
  • สำเนาบัตรประจำตัวประชาชนของเจ้าของสิทธิเลขหมายประมูล

กรณีรถจัดไฟแนนซ์อยู่ ต้องเพิ่มเติมเอกสารดังนี้

  • สำเนาหนังสือรับรองบริษัท (ไฟแนนซ์)
  • หนังสือมอบอำนาจจาก ไฟแนนซ์
  • หนังสือยินยอม
    – ผู้เช่าซื้อลงนามในช่องผู้ขอใช้
    – ไฟแนนซ์ ลงนามในช่องผู้ยินยอม

หมายเหตุ:

การแจ้งย้ายรถเข้า/ออก จะต้องแจ้งก่อนวันถึงกำหนดเสียภาษี มิฉะนั้นจะต้องเสียภาษีที่ค้างชำระก่อน และเมื่อแจ้งย้ายรถออกเรียบร้อยแล้ว จะต้องดำเนินการแจ้งย้ายรถเข้าภายใน 15 วัน นับแต่วันที่แจ้งย้าย (นับรวมวันหยุดราชการ) หากเกินกำหนด ต้องเสียค่าปรับตามกฎหมายกำหนด

Carro Express ขายรถกับคาร์โร อยากขายรถ ขายรถด่วน

สำหรับใครที่อยากขายรถคันเดิม ไปซื้อรถยนต์คันใหม่มาใช้ในช่วงนี้ มาขายรถกับทาง Carro Express สิ! คลิกเลยที่ https://th.carro.co/sell-car/express รับรองได้เงินเร็ว ไว ทันใจแน่นอน!

CARRO Automall

ส่วนใครสนใจจะซื้อรถมือสอง Carro แหล่งรวมรถมือสองคุณภาพเยี่ยมผ่านระบบออนไลน์ คุณสามารถจองรถได้ในเวลาเพียง 1 นาทีเท่านั้น! พร้อมคำนวณสินเชื่อและค่างวด ได้ภายในเว็บไซต์ทันที!

ซึ่ง Carro เรามีรถให้คุณเลือกมากมาย รถทุกคันผ่านการตรวจสภาพโดย Carro Certified อย่างละเอียดแบบ Double Check มากกว่า 160 จุด, การันตีคืนเงินภายใน 5 วัน, รับประกันเครื่องยนต์และเกียร์ 1 ปี, รับประกันไม่กรอไมล์ และไม่ประสบอุบัติเหตุหนัก ไฟไหม้ หรือน้ำท่วม พร้อมรับประกันคุณภาพรถ 1 ปี หรือ 30,000 กิโลเมตร!

อีกทั้งยังมีเทคโนโลยี “360 View & Sound Engine Analysis” เลือกชมรถยนต์เสมือนจริงออนไลน์รายแรกในไทย ทั้งภาพและเสียงในรูปแบบ 360 องศา รวมถึงมีเทคโนโลยีสนับสนุนฝ่ายขาย ทั้ง Digital Device ที่เชื่อมต่อกับ Digital Screen นำเสนอสิ่งที่ลูกค้าต้องการ และจัดการเรื่องเอกสารให้กับลูกค้าให้ตั้งแต่ต้นจนจบ บวกกับ Online Viewing Service ที่ลูกค้าสามารถวิดีโอคอล ตรวจสภาพรถยนต์คันที่สนใจได้แบบเรียลไทม์ ซื้อรถคุณภาพเยี่ยม ต้องที่ Carro สิ!

หรือถ้าหากคุณสนใจรถรุ่นไหนอยู่ แต่ยังหาที่ถูกใจไม่ได้ เรายินดีหาให้! เพียงกรอกชื่อ-เบอร์โทรศัพท์ และรถที่คุณสนใจ ไว้ที่ “รับการแจ้งเตือน” เมื่อมีรถที่คุณต้องการ Carro จะรีบติดต่อไปยังคุณทันที สอบถามรายละเอียดได้ที่ Facebook -> Carro Thailand โทร. 02-508-8690 หรือทาง Line @carrothai

แหล่งที่มาจาก:

Ford เปิดตัว Ford Mustang ในไทย 4 ตุลาคมนี้ ราคาเริ่มต้น 3,599,000 บาท

Ford Mustang ใหม่ มาแน่ นำเข้าจาก USA มีให้เลือก 2 รุ่นย่อย ในราคา 3,599,000 – 4,799,000 บาท

Ford-Mustang-USA-2018

หากจะพูดถึง Ford Mustang (ฟอร์ด มัสแตง) ขึ้นมา บรรดาหนุ่มใหญ่ หรือคนที่รักในรถอเมริกัน ต่างรู้จัก “ม้าป่า” ตัวนี้ กันดีแน่นอน เพราะรถรุ่นนี้ถือได้ว่าเป็นอีกหนึ่งตำนานของ Ford เลยก็ว่าได้ ในการให้กำเนิดรถสไตล์ Pony Car และ Muscle Car นับตั้งแต่ปี 1964 และได้รับความนิยมไปทั่วโลกอีกหนึ่งรุ่น

Ford-Mustang-USA-2018

แน่นอนว่า ตั้งแต่ ฟอร์ด ประเทศไทย ที่ตัดสินใจนำเข้า และเปิดรับจอง Ford Mustang (ฟอร์ด มัสแตง) ใหม่ ตั้งแต่วันที่ 30 สิงหาคมที่ผ่านมา ฟอร์ด เตรียมเปิดตัวอย่างเป็นทางการในไทยวันที่ 4 ตุลาคมนี้ โดยขายผ่านตัวแทนจำหน่าย Ford Mustang จำนวน 19 แห่ง ทั่วประเทศ

Ford-Mustang-USA-2018

Ford-Mustang-USA-2018

โดย Ford Mustang เวอร์ชั่นไทย มีให้เลือกด้วยกันทั้งหมด 2 รุ่นย่อย ประกอบไปด้วย 2.3L EcoBoost Coupe Performance Pack และ 5.0L V8 GT Coupe Performance Pack มาพร้อมออพชั่นมากมาย

Ford-Mustang-USA-2018

Ford-Mustang-USA-2018

ภายในห้องโดยสารติดตั้งหน้าจออินโฟเทนเม้นท์ขนาด 12 นิ้ว พร้อมระบบ SYNC 3 ใหม่ล่าสุด พร้อมโหมด Application  Tracl Apps ช่วยจำลองการขับขี่แบบสนามแข่ง ชุดเฟืองท้าย Limited Slip และล้ออัลลอยขนาด 19 นิ้ว โดยรุ่น 5.0 GT ใช้ระบบเบรกของ Brembo 

รายละเอียดเครื่องยนต์ Ford Mustang 2018 เวอร์ชั่นอเมริกา (อาจแตกต่างจากเวอร์ชั่นไทย)

  • เครื่องยนต์เบนซิน EcoBoost ความจุ 2.3 ลิตร Turbo ให้แรงม้าสูงสุด 310 แรงม้า (HP) ที่ 5,500 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 475 นิวตัน-เมตร ที่ 3,000 รอบ/นาที
  • เครื่องยนต์เบนซิน V8 ความจุ 5.0 ลิตร ให้แรงม้าสูงสุด 460 แรงม้า (HP) ที่ 7,000 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 570 นิวตัน-เมตร ที่ 4,600 รอบ/นาที

ทั้งสองรุ่น ส่งกำลังผ่านเกียร์อัตโนมัติ 10 สปีด SelectShift

Ford-Mustang-USA-2018

Ford Mustang ที่จะขายในประเทศไทย ถูกประกอบที่โรงงาน Rock Assembly Plant รัฐมิชิแกน ประเทศสหรัฐอเมริกา

ราคาจำหน่าย Ford Mustang 2018 อย่างเป็นทางการในไทย มีดังนี้

  • 2.3L EcoBoost Coupe Performance Pack ราคา 3,599,000 บาท
  • 5.0L V8 GT Coupe Performance Pack ราคา 4,799,000 บาท

Carro Express ขายรถกับคาร์โร อยากขายรถ ขายรถด่วน

สำหรับใครที่อยากขายรถคันเดิม ไปซื้อรถยนต์คันใหม่ มาขายรถกับทาง Carro Express สิ! คลิกเลยที่ https://th.carro.co/sell-car/express รับรองได้เงินเร็ว ไว ทันใจแน่นอน!

Carro Automall ตลาดรถ

ส่วนใครสนใจจะซื้อรถมือสอง Carro แหล่งรวมรถมือสองคุณภาพเยี่ยมผ่านระบบออนไลน์ คุณสามารถจองรถได้ในเวลาเพียง 1 นาทีเท่านั้น! พร้อมคำนวณสินเชื่อและค่างวด ได้ภายในเว็บไซต์ทันที!

ซึ่ง Carro เรามีรถให้คุณเลือกมากมาย รถทุกคันผ่านการตรวจสภาพโดย Carro Certified อย่างละเอียดแบบ Double Check มากกว่า 160 จุด, การันตีคืนเงินภายใน 5 วัน, รับประกันเครื่องยนต์และเกียร์ 1 ปี, รับประกันไม่กรอไมล์ และไม่ประสบอุบัติเหตุหนัก ไฟไหม้ หรือน้ำท่วม พร้อมรับประกันคุณภาพรถ 1 ปี หรือ 30,000 กิโลเมตร!

อีกทั้งยังมีเทคโนโลยี “360 View & Sound Engine Analysis” เลือกชมรถยนต์เสมือนจริงออนไลน์รายแรกในไทย ทั้งภาพและเสียงในรูปแบบ 360 องศา รวมถึงมีเทคโนโลยีสนับสนุนฝ่ายขาย ทั้ง Digital Device ที่เชื่อมต่อกับ Digital Screen นำเสนอสิ่งที่ลูกค้าต้องการ และจัดการเรื่องเอกสารให้กับลูกค้าให้ตั้งแต่ต้นจนจบ บวกกับ Online Viewing Service ที่ลูกค้าสามารถวิดีโอคอล ตรวจสภาพรถยนต์คันที่สนใจได้แบบเรียลไทม์ ซื้อรถคุณภาพเยี่ยม ต้องที่ Carro สิ!

หรือถ้าหากคุณสนใจรถรุ่นไหนอยู่ แต่ยังหาที่ถูกใจไม่ได้ เรายินดีหาให้! เพียงกรอกชื่อ-เบอร์โทรศัพท์ และรถที่คุณสนใจ ไว้ที่ “รับการแจ้งเตือน” เมื่อมีรถที่คุณต้องการ Carro จะรีบติดต่อไปยังคุณทันที สอบถามรายละเอียดได้ที่ Facebook -> Carro Thailand โทร. 02-460-9380 หรือทาง Line @carrothai

ดูแลรถยนต์, Carro

วิธีดูแลรถแสนง่าย สาวๆก็ทำได้

เชื่อว่าผู้หญิงหลายๆคน นอกจากเรื่องเครื่องสำอาง เสื้อผ้า ก็ไม่ค่อยสนใจเรื่องอื่นๆเป็นพิเศษ ยิ่งถ้าเป็นเรื่องรถยนต์ กลายเป็นเรื่องไกลตัวที่ไม่ถนัดเลยจริงๆ และถ้าคุณเป็นสาวโสด หรือไม่มีญาติผู้ชาย ทำให้ขาดคนช่วยให้คำปรึกษา จะให้พึ่งแต่ช่างยนต์ หรือไปเข้าศูนย์บ่อยๆ ก็เสียเวลาและเงินโดยใช่เหตุ

มาๆ ในบทความนี้ Carro จะช่วยอธิบายขั้นตอนการดูแลรักษารถยนต์แบบง่ายๆ ที่สาวๆ สมัยใหม่อย่างคุณ สามารถทำตามได้แน่นอน! แถมยังช่วยยืดอายุการใช้งานให้รถยนต์อีกด้วยนะจ๊ะ

น้ำมันเครื่อง-carro

1. น้ำมันเครื่อง

ก่อนอ่านถึงขั้นตอนการดูแล สาวๆจำเป็นต้องรู้ก่อนว่า น้ำเครื่องมีส่วนสำคัญอย่างไรต่อตัวรถ น้ำมันเครื่อง เป็นส่วนสำคัญที่ช่วยหล่อลื่นให้เครื่องยนต์นั้น สามารถทำงานได้อย่างราบรื่น สาวๆอาจต้องหมั่นตรวจสอบระดับน้ำมันเครื่องยนต์อยู่บ่อยๆ เพื่อให้มั่นใจว่ามีปริมาณน้ำมันเครื่องเพียงพอสำหรับหล่อลื่นให้กับเครื่องยนต์ทั้งระบบนั่นเอง

วิธีตรวจเช็กน้ำมันเครื่องนั้นไม่ยาก เพียงแค่ใช้อุปกรณ์ เช่น เศษผ้า หรือกระดาษทิชชู่ เท่านั้น!

  1. จอดรถให้อยู่ในแนวระนาบ ไม่ลาดเอียง เปิดฝากระโปรงรถยนต์ให้เรียบร้อย
  2. มองหาก้านวัดระดับน้ำมันเครื่อง และดึงก้านวัดน้ำมันเครื่องออกมา เช็ดทำความสะอาดน้ำมันเครื่อง ที่ติดกับก้านวัดออกด้วยเศษผ้า หรือกระดาษทิชชู่
  3. เสียบก้านวัดระดับน้ำมันเครื่องคืนกลับจุดเดิมอีกครั้ง เพื่อตรวจเช็กระดับน้ำมันเครื่องที่มีอยู่ในอ่างน้ำมันเครื่อง
  4. ดึงก้านวัดระดับน้ำมันเครื่องออกมาอีกครั้งหนึ่ง เพื่อตรวจสอบระดับน้ำมันเครื่องที่บริเวณปลายของก้านวัด

ถ้าระดับน้ำมันเครื่องอยู่ระหว่างขีด “F” กับ “L” หรือ “Max กับ Min” แสดงว่าน้ำมันเครื่องอยู่ในระดับปกติ ไม่มากเกินไปและไม่น้อยเกินไป แต่ควรรักษาระดับของน้ำมันเครื่องให้อยู่สูงกว่าครึ่งหนึ่ง ของขีด  “F” กับ “L” หรือ “Max กับ “Min” อยู่เสมอ

TIPS:

  • สาวๆ ควรเช็กระดับน้ำมันเครื่อง ทุกๆ 1-2 สัปดาห์/ครั้ง หรือ อย่างน้อยเดือนละ 1 ครั้ง นะคะ
  • ต้องทำในขณะที่เครื่องยังร้อนหรือมีอุณหภูมิที่ยังคงอุ่นอยู่ โดยให้ตรวจวัดระดับน้ำมันเครื่อง หลังจากดับเครื่องประมาณ 1-3 นาที

น้ำมันเบรก-carro
2. น้ำมันเบรก

คือ ของเหลวชนิดหนึ่งไว้ส่งถ่ายแรงจากเท้าเรา ไปยังลูกสูบปั้มเบรคล่าง (คาลิเปอร์) ซึ่งเวลาเบรกนั้น ผ้าเบรกมีส่วนผสมของโลหะ กับจานเบรกที่เป็นโลหะเสียดสีกัน ก็จะทำให้เกิดความร้อนสะสมนั่นเอง!

วิธีเช็กน้ำมันเบรก เวลาเปิดกระโปรงหน้ารถ เราจะเห็นกระปุกน้ำมันเบรก (จะอยู่ติดกับตัวหม้อลมเบรก) มีคำว่า MAX และ MIN แน่นอนว่า ระดับน้ำมันเบรกต้องอยู่ที่ระดับ MAX เสมอนะคะ

TIPS:

  • ถ้าน้ำมันเบรกตกไปอยู่ที่ระดับ MIN ให้สันนิฐฐานไว้ 2 กรณีว่า อาจมีการรั่วของน้ำมันเบรกออกจากระบบเบรก ออกจากสายเบรก หรือผ้าเบรกอาจสึก เป็นผลให้ซึ่งระดับน้ำมันเบรกลดน้อยลง ควรรีบนำรถไปตรวจที่ศูนย์ซ่อมหรืออู่นะ อย่างปล่อยทิ้งไว้ เพื่อความปลอดภัยขณะขับขี่
  • หมั่นตรวจดูว่าที่ล้อแม็กซ์ หรือเบรก ว่ามีคราบน้ำมันเบรกรั่วซึม หรือกระจายออกมาบ้างหรือเปล่า? ถ้ามีก็ควรรีบนำรถไปเข้าศูนย์ซ่อมหรืออู่เช่นกันจ้า

 

ยางรถยนต์-carro3. ยางรถยนต์

ถือว่าเป็นชิ้นส่วนสำคัญที่สาวๆไม่ควรมองข้าม ถ้าหากยางรถยนต์มีการใช้งานเป็นเวลานานแล้ว ควรหมั่นเช็กยางรถยนต์กันสักหน่อยว่า ยางรถยนต์พร้อมใช้งานหรือไม่ หรือหมดสภาพไปแล้วหรือยัง? ไม่งั้นอาจเกิดอันตรายแบบกระทันหันได้นะ เพราะเราเป็นห่วง!

วิธีเช็กยางรถยนต์

  • ความลึกของดอกยางรถยนต์ไม่ควรต่ำกว่า 3 มิลลิเมตร ซึ่งความลึกของดอกยางใหม่ จะมีความลึกประมาณ 8 – 9 มิลลิเมตร หรือลองใช้ไม้ขีดไฟทิ่มลงไปในร่องยางรถยนต์ ถ้าคุณเห็นหัวไม้ขีดสีแดง ก็หมายความว่าดอกยางเหลือน้อยเกินไปที่จะใช้งานต่อไป!
  • เช็กดูโครงสร้างของยางชำรุดหรือไม่ เช่น ถูกของมีคมบาดเป็นรอยแผลใหญ่ หรือโครงสร้างซ้ำจากการเกิดอุบัติเหตุ เช่น ปีนขอบทางเท้าอย่างรุนแรง จนเกิดความเสียหายไปถึงกระทะล้อรถยนต์ ซึ่งหมายความว่า หน้ายางรถยนต์ โดยเฉพาะแก้มยางรถยนต์ จะถูกบดไปกับขอบทางเท้า ทำให้ได้รับความเสียหายมากแน่นอน ซึ่งถ้าแก้มยางรถยนต์ มีรอยแตก อาจนำไปสู่ ยางรถยนต์ระเบิด หรือแตก ขณะที่ขับขี่ด้วยความเร็วสูงได้นะคะ ( ข้อนี้ ถ้าเป็นมือใหม่ อาจมีการกะระยะเลี้ยวผิด ต้องระวังมากๆนะคะ )
  • อายุการใช้งานสูงสุดของ ยางรถยนต์ ไม่ควรเกิน 4-5 ปี นับตั้งแต่เริ่มใช้งาน

แบตเตอรี่-carro

4. แบตเตอรี่

มีหน้าที่เก็บ-จ่ายกระแสไฟฟ้าไปยังอุปกรณ์ต่างๆ ของเครื่องยนต์ทำงาน เช่น มอเตอร์สตาร์ท ระบบจุดระเบิด ในขณะที่สตาร์ทรถยนต์ นอกจากนี้ยังทำหน้าที่ป้อนพลังงานให้กับ อุปกรณ์อำนวยความสะดวกหลายอย่างภายในรถ เช่น ระบบไฟส่องสว่าง วิทยุ และแตร เป็นต้น

วิธีเช็กแบตเตอรี่ ให้ระดับน้ำกลั่นอยู่ในตำแหน่ง UPPER LEVEL ไม่ควรเติมเกินกว่านี้ และสังเกตเวลาสตาร์ทรถ ถ้าเครื่องยนต์สตาร์ทติดยากกว่าปกติ ต้องบิดกุญแจหรือกดปุ่มสตาร์ทหลายๆ ครั้ง อาจจะเป็นสัญญานเตือนว่าแบตเตอรี่ใกล้หมดก็เป็นได้ อ่านต่อ.. 3 สัญญาณเตือน ว่า “แบตเตอรี่” รถยนต์ของคุณกำลังเสื่อม!

TIPS:

  • แบตเตอรี่รถส่วนใหญ่จะมีอายุการใช้งานประมาณ 4 – 5 ปี แต่ในภูมิอากาศเขตร้อนอาจจะอยู่ได้แค่ประมาณ 3 ปีเท่านั้น ถ้าชาร์จแบตเตอรี่แล้วพบว่า ประจุไหลออกทั้งที่ไม่ได้ใช้รถ แสดงว่าได้เวลาต้องเปลี่ยนแบตเตอรี่แล้วล่ะ
  • หลังจากซื้อแบตเตอรี่ลูกใหม่ อย่าลืมกำจัดแบตเตอรี่ลูกเก่า ให้ถูกต้องตามที่กฎหมายกำหนด แต่โดยปกติ ร้านจำหน่ายชิ้นส่วนยานยนต์ส่วนใหญ่ จะดูแลเรื่องการกำจัดแบตเตอรี่ให้แก่คุณเอง ข้อนี้หมดห่วง!
  • คุณสามารถทดสอบและชาร์จแบตเตอรี่ได้ที่ร้านจำหน่ายชิ้นส่วนยานยนต์ใกล้ๆบ้าน
  • ก่อนที่จะหาซื้อไดชาร์จใหม่ ควรให้ผู้เชี่ยวชาญตรวจสอบระบบให้ละเอียดขึ้น
  • ระวังอย่าให้เกิดการลัดวงจรระหว่างขั้วแบตเตอรี่เป็นอันขาด เพราะอาจทำให้เกิดไฟไหม้รุนแรง ทำให้ขั้วต่อเสียหาย หรือเกิดการระเบิด เนื่องจากก๊าซไฮโดรเจนที่เล็ดลอดออกมา

น้ำหล่อเย็น-carro

5. น้ำหล่อเย็น

เป็นของเหลวอีก 1 จุด ที่สาวๆควรตรวจเช็กเป็นประจำอย่างน้อยสัปดาห์ละครั้ง แต่ถ้ารถที่มีอายุการใช้งานมากกว่า 5 ปี ควรตรวจเช็กให้บ่อยขึ้น สัปดาห์ละประมาณ 2-3 ครั้ง

วิธีเช็กน้ำหล่อเย็น ควรทำในขณะที่เครื่องยนต์เย็นลงแล้ว (ห้ามเปิดฝาหม้อน้ำในขณะที่เครื่องยนต์ยังร้อน เพื่อป้องกันแรงดันของน้ำร้อน อาจจะพุ่งขึ้นมาได้นะคะ) โดยเช็กดูระดับน้ำในหม้อพักน้ำของหม้อน้ำให้อยู่ระหว่าง “FULL / MAX” และ “LOW” หากน้ำมีระดับต่ำกว่าขีด “LOW” ให้เติมน้ำยาหล่อเย็นให้อยู่ในระดับ “FULL / MAX” อยู่เสมอ ไม่ต้องเติมจนเต็มนะ!

TIPS:

  • อย่าปล่อยให้ระบบน้ำยาหล่อเย็นลดลงเกินกว่ากำหนด เพราะถ้าเกิดเครื่องยนต์มีความร้อนสูงมาก จะทำให้เครื่องยนต์น็อคและเสี่ยงพังเอาง่ายๆ
  • ส่วนการเติมน้ำยาหล่อเย็น ให้เติมน้ำยาแบบเดียวกันเท่านั้น เนื่องจากแต่ละยี่ห้อแต่ละสูตร มีการผสมสารเคมีที่แตกต่างกัน ซึ่งเมื่อผสมกันอาจทำปฏิกิริยาระหว่างกัน และไปกัดกร่อนส่วนต่างๆ ของระบบระบายความร้อนได้ ในกรณีที่ระดับน้ำในหม้อพักน้ำอยู่ในระดับต่ำ และยังไม่สามารถหาซื้อน้ำยาหล่อเย็นได้ สามารถเติมน้ำกลั่นแทนก่อนได้ค่ะ

น้ำปัดน้ำฝน-carro6. น้ำปัดน้ำฝน

ก็เป็นสิ่งที่ไม่ควรละเลยนะ เพราะเวลาขับรถยามฝนตก หรือลุยทางที่มีฝุ่นมากๆ น้ำปัดน้ำฝนช่วยขจัดคราบสิ่งสกปรกที่กระเด็นมาติดบริเวณกระจกได้

วิธีเช็กน้ำปัดน้ำฝน เปิดฝาถังน้ำ และให้สังเกตุน้ำว่าแห้งหรือไม่ ถ้าแห้ง ให้หาน้ำเปล่ามาเดิมก่อนได้ (น้ำเปล่า คือ น้ำก๊อก, น้ำประปา หรือน้ำดื่ม)

TIPS:

  • ควรเติมให้ได้ระดับขีดที่กำหนดไว้ เผื่อเวลามีเหตุฉุกเฉินขณะขับรถ จะได้มีน้ำฉีดทำความสะอาดกระจกรถ ทำให้มองเห็นทางข้างหน้าได้ชัดเจน ไม่เป็นอันตรายนะคะ
  • ไม่ควรใช้ แชมพูผสมน้ำ เพราะแชมพู อาจตกตะกอน และทำให้เกิดการอุดดันที่รูหัวฉีด เดี๋ยวจะกลายเป็นเรื่องใหญ่!

 

เป็นอย่างไรบ้างคะ คิดว่าคงไม่ยากเกินจนสาวๆ ทำตามกันไม่ได้นะคะ สมัยนี้เป็นผู้หญิงต้องสวย และสตรอง!

ป้ายทะเบียนรถหาย! ขอใหม่ 15 วันได้ ไม่ยุ่งยาก ไม่ต้องแจ้งความ

ในการใช้รถยนต์นั้น สิ่งที่สำคัญที่สุดชิ้นหนึ่งในรถ นั่นคงหมายถึง “ป้ายทะเบียนรถ” ที่เป็นเครื่องหมายแสดงความเป็นเจ้าของ แสดงถึงภูมิลำเนาของรถคันนั้น และในความเชื่อของบางคน ยังหมายถึงตัวเลขที่อยู่ในป้ายทะเบียนเหล่านั้นอีกด้วย

ในช่วงฤดูฝน หลายพื้นที่ฝนตกหนักและมีน้ำท่วมขัง จนทำให้รถหลายคันต้องขับรถลุยน้ำ และเป็นเหตุให้แผ่นป้ายทะเบียนรถหล่นหาย หรือทำให้ตัวยึดแผ่นป้ายเกิดสนิม ทำให้ตัวแผ่นป้ายทะเบียนรถหล่นหลุดไป

กรณีที่หายไปแล้ว หาไม่เจอขึ้นมาล่ะ? ต้องทำอย่างไร? ใช้เวลานานแค่ไหน? มีค่าใช้จ่ายเท่าไหร่?

วันนี้ MR.CARRO จะมาแนะนำวิธีการดำเนินการ หากป้ายทะเบียนรถหาย ทำป้ายทะเบียนรถใหม่ ครับ.

Get-The-New-License-Plate

การขอแผ่นป้ายทะเบียนรถ กรณีชำรุด หรือหาย

หากเจ้าของรถที่ทำแผ่นป้ายทะเบียนรถหาย ให้ลองย้อนกลับไปยังจุดที่คิดว่าน่าจะหล่นหาย หรือลงประกาศหาดูในกลุ่มตาม Facebook หรือลอง Search หาตาม Fanpage อาทิเช่น สวพ.91 หรือ จส.100 ซึ่งอาจจะมีผู้ที่เก็บได้ นำมาลงประกาศอยู่ก็เป็นได้

แต่ถ้าไม่มีใครติดต่อกลับมา หรือหาไม่เจอสักที …

ให้รีบดำเนินการติดต่อยื่นคำขอรับแผ่นป้ายทะเบียนรถทดแทน โดยไม่ต้องแจ้งความ ในกรุงเทพมหานคร ยื่นคำขอได้ที่ สำนักงานขนส่งกรุงเทพมหานครพื้นที่ 1-5 ที่รถนั้นอยู่ในความรับผิดชอบ สำหรับส่วนภูมิภาค ยื่นคำขอได้ที่ สำนักงานขนส่งจังหวัด หรือ สำนักงานขนส่งสาขา ที่รถนั้นอยู่ในความรับผิดชอบ

ขั้นตอนการดำเนินการ

  • ยื่นคำขอ เตรียมเอกสาร
  • เจ้าหน้าที่รับคำขอ / ตรวจสอบหลักฐานประกอบคำขอ / ชำระค่าธรรมเนียม / ออกใบเสร็จรับเงิน / บันทึกรายการในใบคู่มือจดทะเบียนรถและต้นทะเบียนรถ / นายทะเบียนพิจารณาลงนาม / จ่ายคู่มือจดทะเบียนและใบเสร็จรับเงิน
  • งานแผ่นป้ายทะเบียนรถจัดทำข้อมูลการสั่งซื้อแผ่นป้ายทะเบียนรถ
  • ผลิตแผ่นป้ายทะเบียนรถ
  • งานแผ่นป้ายทะเบียนรถจัดส่งแผ่นป้ายที่ผลิตแล้วให้งานธุรการ
  • จ่ายแผ่นป้ายทะเบียนรถ คลิกเพื่อดูขั้นตอนการให้บริการ

Get-The-New-License-Plate

เอกสารและหลักฐาน

  • สมุดคู่มือจดทะเบียนรถฉบับจริง สำเนาบัตรประจำตัวประชาชนเจ้าของรถ หรือของผู้เช่าซื้อ หนังสือรับรองจากบริษัทไฟแนนซ์ หนังสือมอบอำนาจจากไฟแนนซ์ พร้อมสำเนาบัตรประชาชนของผู้รับมอบอำนาจ
  • กรณีเป็นนิติบุคคล ใช้สมุดคู่มือจดทะเบียนรถฉบับจริง หนังสือรับรองการจดทะเบียนนิติบุคคล สำเนาบัตรประจำตัวประชาชนผู้มีอำนาจลงนาม หนังสือมอบอำนาจ พร้อมสำเนาบัตรประจำตัวประชาชนของผู้รับมอบอำนาจ

แบบฟอร์ม

แบบคำขออื่นๆ

ระยะเวลาการดำเนินการ

คุณจะได้รับแผ่นป้ายทะเบียนรถภายใน 15 วัน โดยระหว่างนี้ ให้ใช้ใบเสร็จรับเงิน แทนแผ่นป้ายชั่วคราวได้

ค่าธรรมเนียม

แผ่นป้ายละ 100 บาท ค่าคำขอ 5 บาท

Get-The-New-License-Plate

สำหรับใครที่กำลังอยากขายรถคันเดิมเวลานี้ สามารถขายรถคันเดิมของคุณกับทาง CARRO ดูได้ โดยได้ราคาที่ดีที่สุด รับประกันความพึงพอใจ พร้อมปิดการขายภายใน 24 ชั่วโมง! กับ CARRO Express มาขายรถคันเดิมกับ CARRO Express สิ! Inbox มาขอรายละเอียดได้ที่ Facebook -> CARRO Thailand และ Add Line สอบถามรายละเอียดได้เช่นกัน ที่ @carrothai

Carro Automall / คาร์โร ออโต้มอลล์

แต่ถ้าหากช่วงนี้ใครอยากเปลี่ยนรถคันใหม่ มาใช้แทนที่รถคันเดิม CARRO Automall แหล่งรวมรถมือสองคุณภาพเยี่ยมผ่านระบบออนไลน์ พร้อมตอบโจทย์คุณด้วยคอนเซปต์ “click.buy.drive.” คุณสามารถจองรถออนไลน์ ได้ในเวลาเพียง 1 นาทีเท่านั้น!

รถทุกคันผ่านการตรวจสภาพแบบ Double Check มากกว่า 200 จุด และยังมีเทคโนโลยี “360 View & Sound Engine Analysis” ให้คุณเลือกชมรถยนต์เสมือนจริงออนไลน์รายแรกในไทย ทั้งภาพและเสียงในรูปแบบ 360 องศา พร้อมรับประกันคุณภาพรถนานถึง 2 ปี หรือ 20,000 กิโลเมตร! อีกทั้งยังการันตีความพึงพอใจ คืนเงินได้ภายใน 5 วันอีกด้วย! เรามีรถให้คุณเลือกชมเพียบ เปิดบริการทุกวัน ซื้อรถคุณภาพเยี่ยม ต้องที่ CARRO Automall สิ!

หรือถ้าหากสนใจรถรุ่นไหนอยู่ แต่ยังหาที่ถูกใจไม่ได้ เรายินดีหาให้! เพียงแค่กรอกเบอร์โทรศัพท์ ชื่อยี่ห้อ / รุ่นรถ ที่คุณต้องการก็ได้เช่นกันครับ อีกทั้งยังสามารถ Inbox เข้ามาสอบถามรายละเอียดได้ที่ Facebook -> CARRO Automall Official โทร. 02-508-8690 หรือทาง Line @carroautomall ครับ

แหล่งที่มาบางส่วนจาก:

  • กรมการขนส่งทางบก

IphoneXs-Xr-VS-UsedCar

ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อ 10 รถมือสอง ที่ราคาเท่า “iPhone Xr, Xs และ Xs Max

เป็นที่ทราบกันแล้วนะครับว่า สำหรับ iPhone Xr / iPhone Xs และ iPhone Xs Max ที่เพิ่งเปิดตัวใหม่ไปใน USA ตั้งแต่เมื่อคืนของวันที่ 13 กันยายน 2561 (ตามเวลาในประเทศไทย) ซึ่งมีคุณสมบัติและฟังก์ชั่นต่างๆ ที่เพิ่มมากขึ้น จอใหญ่ขึ้น ขยายความจุเป็น 512GB! (ถูกใจสาวก Apple กับ iPhone หรือเปล่า ไม่แน่ใจนะ?)

iPhone-XR-Thai-Price

iPhone-XS-Thai-Price

iPhone-XS-Max-Thai-Price

ภาพจาก IPhoneMod.net

และแน่นอนอยู่แล้วว่าราคาของ iPhone Xr / iPhone Xs และ iPhone Xs Max ต้องปรับสูงขึ้นกว่ารุ่นเดิมแน่นอน ทำให้สาวก iPhone ต้องคิดแล้วล่ะว่า ตีราคาออกมาเป็นเงินไทย สูงมากเลยทีเดียว (รุ่น Top สุด ราคาเหยียบครึ่งแสนเข้าไปแล้ว! เราจะย้อนกลับไปใช้โทรศัพท์มือถือ ราคาครึ่งแสน เหมือนเมื่อ 10 กว่าปีแล้วหรือเนี่ย!)

เอาเงินนี้ ไปซื้ออย่างอื่นดีกว่าหรือเปล่า? ซื้อรถมือสองดีมั้ย?

Carro ขอแนะนำ 10 รถมือสอง ที่คุณสามารถซื้อได้ในราคาของ iPhone Xr / iPhone Xs และ iPhone Xs Max ที่หลายคนอาจคาดไม่ถึง ว่ามือถือรุ่น Top ราคาจะสามารถซื้อรถมือสองได้ 1 คัน!

Carro จึงขอนำเสนอรถยนต์มือสอง ในช่วงประมาณยุค 90 ที่มีราคาตั้งแต่ 3 – 5 หมื่นบาท ที่มีความทนทาน ดูแลง่าย อะไหล่พอหาได้เยอะหน่อย จะมีรุ่นใดบ้าง … เชิญอ่านได้เลยครับ

Toyota Corolla 1.3 / 1.6 (EE100/AE101)

Toyota-Corolla-AE101

Toyota Corolla (โตโยต้า โคโรลล่า) เป็น Corolla “สามห่วง” รุ่นที่ถือว่าสร้างตำนานในบ้านเราอีกรุ่นหนึ่งก็ว่าได้ ถือเป็นรุ่นแรกที่ใช้ Logo “Toyota” แบบใหม่ที่เป็นสามห่วง เปิดตัวในไทยเมื่อ 13 มีนาคม 2535 ใช้เครื่องยนต์ขนาด 1.3 ลิตร รหัส 2E (และ 4E-FE ในรุ่นไมเนอร์เชนจ์) และเครื่องยนต์ขนาด 1.6 ลิตร รหัส 4A-FE

ราคาในตลาด แบบตามสภาพ (แค่พอวิ่งได้) ประมาณ 2 หมื่นกว่าบาท ก็มีคนลงขายแล้วครับ แต่ถ้าจะเอาแบบสภาพดีๆ หน่อย ก็ต้องเพิ่มงบไปอยู่ที่ประมาณ 5 – 6 หมื่นบาทครับ …

Toyota Corona 1.6 (AT191/ST191)

Toyota-Corona-ST191

Toyota Corona (โตโยต้า โคโรน่า) รุ่น “ท้ายโด่ง” “ท้ายแยก” ยอดนิยมอีกหนึ่งรุ่น และถือเป็นโคโรน่ารุ่นสุดท้ายที่ขายในไทย โฉมนี้เปิดตัวในไทยเมื่อปี 2536 มาพร้อมรูปทรงอ้วนกลมน่ารัก ใช้เครื่องยนต์ขนาด 1.6 ลิตร รหัส 4A-FE, เครื่องยนต์ขนาด 2.0 ลิตร รหัส 3S-FE ก่อนจะปรับโฉมกันอีกครั้ง ในภายหลังเพิ่มรุ่น Exsior ชูจุดเด่นด้านความปลอดภัย พร้อมกับเปลี่ยนชุดแผงคอนโซลภายในใหม่

ราคาในตลาด แบบตามสภาพ มีเงินประมาณ 4 หมื่นบาท ก็สามารถหารุ่นเครื่องยนต์ขนาด 1.6 ลิตร (หรือรุ่นเครื่องยนต์ 2.0 ลิตร สภาพโทรมๆ บางคัน) มาขับได้แล้ว แต่ถ้าอยากได้ดีกว่านี้ ก็ต้องจ่ายแพงเพิ่มขึ้นกว่านั้น

Honda Civic 1.5 / 1.6 (EG)

Honda-Civic-EG

Honda Civic (ฮอนด้า ซีวิค) รุ่นนี้เปิดตัวเมื่อปี 2535 โดยเป็นรุ่น 4 ประตูมาก่อน พอในปี 2536 ถึงจะเป็นตัวแฮทช์แบค 3 ประตู เปิดตัวตามมาทีหลัง สร้างยอดจองถล่มทลาย 10,000 คัน หลังจากเปิดตัวไปใน 7 วัน

ใช้เครื่องยนต์ขนาด 1.5 ลิตร คาร์บูเรเตอร์ 91 แรงม้า, 1.6 ลิตร หัวฉีด 120 แรงม้า และ 1.6 ลิตร VTEC 130 แรงม้า ที่ตามมาในภายหลัง และยังมีรุ่น 4 ประตู VTi นำเข้าจากญี่ปุ่นอีกด้วย มีให้เลือกทั้งแบบเกียร์ธรรมดา 5 สปีด และเกียร์อัตโนมัติ 4 สปีด

ราคาในตลาด มีเงินแค่ 3 หมื่นบาทกลางๆ ก็สามารถซื้อรถรุ่นนี้ 4 ประตู (ถ้าตัว 3 ประตู อาจต้องเพิ่มเงินอีกนิดนึง) มาขับได้แล้ว แต่ก็ตามสภาพนะครับ

Honda Accord 2.0 (CB)

Honda-Accord-CB

Honda Accord (ฮอนด้า แอคคอร์ด) รุ่นนี้มีฉายาว่า “ตาเพชร” ซึ่งก็ถือเป็นรถรุ่นแรกๆ ในไทย ที่ใช้ไฟหน้าแบบ “มัลติรีเฟล็กเตอร์” (Multi-Reflector) ที่ให้ความสว่างกว่าไฟหน้าโคมแก้วทั่วไป จนกลายมาเป็นฉายาของรุ่นนี้ โดยเปิดตัวเมื่อปี 2533 ในยุคนั้นถือว่าขายดีมาก ตั้งแต่เป็นรถครอบครัว ไปยันเป็นรถระดับผู้บริหารใช้ …

ใช้เครื่องยนต์ขนาด 2.0 ลิตร คาร์บูเรเตอร์ 112 แรงม้า และ 2.0 ลิตร หัวฉีด 135 แรงม้า มีให้เลือกทั้งแบบเกียร์ธรรมดา 5 สปีด และเกียร์อัตโนมัติ 4 สปีด

ราคาในตลาด แบบตามสภาพ มีเงินประมาณ 3 หมื่นบาทปลายๆ ก็สามารถซื้อรถรุ่นนี้มาขับเท่ๆ (กับซ่อมไปด้วย) ได้แล้ว!

Nissan Sunny 1.5 / 1.6 (B14)

Nissan-Sunny-B14

Nissan Sunny (นิสสัน ซันนี่) อีก 1 รถยอดนิยมจากค่ายสยามกลการในอดีต สำหรับ นิสสัน ซันนี่ B14 เปิดตัวในปี 2537 ออกมาในหลายโฉมมาก ขายมาจนถึงช่วงปี 2543

มีให้เลือกทั้งเครื่องยนต์ขนาด 1.5 ลิตร รหัส GA15DE 105 แรงม้า และเครื่องยนต์ขนาด 1.6 ลิตร รหัส GA16DE 120 แรงม้า ต่อมาปรับปรุงใหม่เป็นรหัส GA16DNE 110 แรงม้า ส่งกำลังผ่านเกียร์ธรรมดา 5 สปีด และเกียร์อัตโนมัติ 4 สปีด

ราคาในตลาด แบบตามสภาพ มีให้เลือกเยอะแยะ ตั้งแต่ราคาประมาณ 3 หมื่นกว่าบาท ไปจนถึง 5 หมื่นบาท

Nissan Bluebird 2.0 SSS (U13)

Nissan-Bluebird-SSS-U13

Nissan Bluebird (นิสสัน บลูเบิร์ด) “SSS” เป็น Bluebird รุ่นสุดท้ายที่ขายในบ้านเรา โดยการนำเข้าจากญี่ปุ่นของ สยามกลการ สมัยนั้น ถ้าใครที่ชอบรถนำเข้ารูปทรงสวย ดูไม่ล้าสมัย ออพชั่นเพียบ เครื่องแรง ก็ลองหาตัวนี้มาเล่นกันดูครับ (แต่ก็หาสภาพดีๆ ยากหน่อยนึง)

มาพร้อมเครื่องยนต์ขนาด 2.0 ลิตร รหัส SR20DE 145 แรงม้า ส่งกำลังผ่านเกียร์ธรรมดา 5 สปีด และเกียร์อัตโนมัติ 4 สปีด

ราคาในตลาด เอาแบบรถเน่าๆ เลยนะ 2 หมื่นกว่าบาท ก็มีคนขายให้เห็นมาแล้ว ส่วนตามสภาพ มีเงิน 3 – 4 หมื่นบาท ก็สามารถหาซื้อรถรุ่นนี้มาขับได้แล้ว

Mitsubishi Galant Ultima

Mitsubishi-Galant-Ultima

Mitsubishi Galant Ultima (มิตซูบิชิ กาแลนท์ อัลติม่า) ถือเป็น Galant รุ่นสุดท้าย ที่ประกอบขายในบ้านเรา ในปัจจุบันก็ยังได้รับความนิยมจากคนชอบแต่งรถบ้าง เปิดตัวในปี 2537 ขายลากยาวกันมาจนถึงช่วงปี 2541 ได้ มาพร้อมเครื่องยนต์ขนาด 2.0 ลิตร รหัส 4G63 140 แรงม้า และเครื่องยนต์ขนาด 2.0 ลิตร V6 รหัส 6A12 155 แรงม้า

ราคาในตลาด แบบตามสภาพนะ มีเงิน 3 หมื่นกว่าบาท ก็สามารถซื้อรถรุ่นนี้มาขับได้แล้ว ถือเป็นรถรุ่นใหญ่น่าใช้ ในราคามือสองที่ขายกันถูกมากๆ

Mazda 323 (BH) / 323 Astina 1.8 (BH)

Mazda-323

Mazda-323-Astina

Mazda 323 (มาสด้า 323) และ Mazda 323 Astina (มาสด้า 323 แอสติน่า) ถือเป็นรุ่นสุดท้ายที่มี Astina ขายพ่วงด้วย และอยู่ภายใต้การจำหน่ายของกมลสุโกศล เปิดตัวในไทยเมื่อปี 2537 และขายมาเรื่อยๆ จนถึงประมาณปี 2541 ก่อนที่ มาสด้า กมลสุโกศล จะโดนบริษัทแม่เข้ามาควบรวมกิจการไปในปี 2542

มาสด้า 323 ใช้เครื่องยนต์ขนาด 1.6 ลิตร รหัส B6 แรงม้า ส่งกำลังผ่านเกียร์ธรรรมดา 5 สปีด และเกียร์อัตโนมัติ 4 สปีด

ส่วนในรุ่น Astina ใช้เครื่องยนต์ขนาด 1.8 ลิตร รหัส BPD 125 แรงม้า ส่งกำลังผ่านเกียร์ธรรรมดา 5 สปีด และเกียร์อัตโนมัติ 4 สปีด

ราคาในตลาด มีเงิน 3 หมื่นปลายๆ ก็สามารถซื้อรถรุ่นนี้แบบตามสภาพมาขับได้แล้ว ส่วน Astina อาจจะต้องเพิ่มเงินนิดๆ แต่จริงๆ แล้ว แค่ 4 หมื่น ก็พอหารถแบบตามสภาพได้แล้วครับ

อันสุดท้าย เผื่อคนอยากได้รถยุโรป … BMW 520i / 525i (E34)

BMW-Series-5-E34

BMW ซีรี่ส์ 5 โฉม E34 ในยุคที่บริษัท ยนตรกิจ จำกัด เป็นผู้จำหน่าย เริ่มเผยโฉมในไทยเมื่อปี 2532 มีให้เลือกทั้งรุ่น 520i, 525i, 520iS และยังมีรุ่นแวกอน นำเข้ามาตามสั่งอีกด้วย ตัวรถภายนอกดูสปอร์ต เท่ ภายในหรูหรา ถูกใจวัยรุ่นวัยเฒ่าทั้งหลาย ที่ชอบรถหรูๆ แนวผู้บริหารใช้ ในราคาที่สมัยก่อนตอนออกใหม่ซื้อไม่ไหว …

มาพร้อมเครื่องยนต์ขนาด 2.0 ลิตร 150 แรงม้า, เครื่องยนต์ขนาด 2.5 ลิตร 192 แรงม้า … รุ่นนี้ได้ขายเรื่อยๆ ในบ้านเรา จนถึงปลายปี 2539 แล้วลากขายรถในสต๊อกจนถึงปี 2540

ราคาในตลาดยุคนี้ มีรถมือสองรุ่นนี้ โผล่มาแบบถูกอย่างเหลือเชื่อ ถ้าแบบเน่าๆ เลยนะ มีเงิน 3 หมื่นปลายๆ ก็สามารถซื้อรถรุ่นนี้มาขับได้แล้ว! สุดยอดจริงๆ! (แต่ค่าซ่อม ไม่รู้ต้องเตรียมไว้เท่าไหร่นะ …) ถ้าจะให้ดี หารุ่นนี้ราคาประมาณ 6 – 7 หมื่นบาท หรือหลักแสนดีกว่า ได้สภาพรถที่ดีกว่าด้วยครับ …

(สงวนลิขสิทธิ์)

ภาษีรถยนต์

คิดคำนวณง่ายๆ กับภาษีรถยนต์!

เราคงปฏิเสธไม่ได้ว่ารถยนต์ถือเป็นอีกหนึ่งปัจจัยสำคัญเพื่อการเดินทางไปไหนมาไหนในชีวิตประจำวัน จนเป็นสิ่งจำเป็นในชีวิตที่ขาดไม่ได้ไปซะแล้ว

แต่หลายคนอาจไม่เคยรู้ว่ารถยนต์ที่ใช้ในชีวิตประจำวันต้องต่อภาษีประจำปีทำให้หลายคนหลงลืมเรื่องการต่อภาษีรถยนต์ ซึ่งหากเลยกำหนดจ่ายภาษีจะถูกปรับ เดือนละ 1% จากอัตราค่าภาษี โดยอัตราค่าภาษีรถนั้นถูกกำหนดโดย พ.ร.บ.การขนส่งทางบก พศ.2522 และได้ถูกใช้มาถึงปัจจุบัน มาลองคำนวณอัตราค่าภาษีรถกัน

วันนี้เราได้เว็บไซต์ Drivemate มาบอกถึงตัวอย่างการคำนวณภาษีรถยนต์ส่วนบุคคลประจำปีตามข้อกำหนดต่างๆ ดังนี้

ภาษีรถยนต์

รถป้ายทะเบียนพื้นขาวตัวหนังสือเขียว อัตราค่าภาษีรถยนต์นั่งส่วนบุคคลไม่เกิน 7 ที่นั่ง

เช่น รถเก๋ง รถกระบะ 4 ประตู รถ SUV การคำนวณอัตราค่าภาษีจะขึ้นอยู่กับขนาดเครื่อง (cc)

– ขนาดเครื่อง 600 cc แรก cc ละ 0.5 บาท

– ขนาดเครื่อง 601-1800 cc ละ 1.50 บาท

– ถ้าขนาดเครื่องมากกว่า 1800 cc ละ 4 บาท

** หากเป็นรถที่มีการใช้งาน 5 ปีขึ้นไป จะได้รับการลดหย่อนภาษีดังนี้ **

รถที่อายุการใช้งาน 6 ปี จะได้ส่วนลด 10%

รถที่อายุการใช้งาน 7 ปี จะได้ส่วนลด 20%

รถที่อายุการใช้งาน 8 ปี จะได้ส่วนลด 30%

รถที่อายุการใช้งาน 9 ปี จะได้ส่วนลด 40%

รถที่อายุการใช้งานเกิน 10 ปี ขึ้นไป จะได้ส่วนลด ลด 50%

 

ตัวอย่างการคำนวณ

ยกตัวอย่าง เครื่องยนต์ 1,500 cc

600 cc แรก cc ละ 0.5 บาท = 600 x 0.5 = 300 บาท

601-1500 cc ละ 1.50 บาท = (1,500 – 600) = 899 x 1.50 = 1,348.50 บาท

รวมค่าภาษี 300 + 1,348.50 = 1,648.50 บาท

 

ในกรณีที่รถมีขนาดเกิน 1800 ซีซี

ยกตัวอย่างคำนวน เครื่องยนต์ 3,000 cc

600 cc แรก cc ละ 0.5 บาท = 600×0.5 = 300 บาท

601-1800 cc ละ 1.50 บาท = (1,800-600) = 1199 x 1.50 = 1,798.50 บาท

เกิน 1801 cc ละ 4 บาท = (3,000 – 1,801) = 1199 x 4.00 = 4,796 บาท

รวมค่าภาษี  300 + 1,798.50 + 4,796 บาท = 6,894.50 บาท

 

ภาษีรถยนต์

รถป้ายทะเบียนพื้นขาวตัวหนังสือเขียว คือรถยนต์บรรทุกส่วนบุคคลที่เกิน 7 ที่นั่ง การคำนวณอัตราค่าภาษีจะขึ้นอยู่กับน้ำหนักรถ ดังนี้

น้ำหนักรถ 501- 750 กก. อัตราภาษี 450 บาท

น้ำหนักรถ 751 – 1000 กก. อัตราภาษี 600 บาท

น้ำหนักรถ 1001 – 1250 กก. อัตราภาษี 750 บาท

น้ำหนักรถ 1251 – 1500 กก. อัตราภาษี 900 บาท

น้ำหนักรถ 1501 – 1750 กก. อัตราภาษี 1,050 บาท

น้ำหนักรถ 1751 – 2000 กก. อัตราภาษี 1,350 บาท

น้ำหนักรถ 2001 – 2500 กก. อัตราภาษี 1,650 บาท

 

ขอบคุณข้อมูล : www.money.sanook.com

เรียบเรียงข้อมูลโดย Drivemate Blog

Car-Breakdown-On-Expressway

รถเสียบนทางด่วน ไม่ต้องตกใจ! โทรแจ้ง 1543 แล้วรอให้เจ้าหน้าที่มาช่วย

บริการพิเศษ เพื่อคุณคนพิเศษ

บริการพิเศษ เพื่อคุณคนพิเศษ

Posted by การทางพิเศษแห่งประเทศไทย on Wednesday, October 2, 2013

เรื่องราวบนท้องถนนนั้น เป็นเรื่องที่สามารถเกิดขึ้นได้ตลอดเวลา โดยเฉพาะรถเก่า (หรือรถใหม่บางรุ่นก็ตาม) ซึ่งบางทีขับไปอยู่ๆ ก็เกิดเสีย ขัดข้องขึ้นมาได้ หรืออาจจะเกิดอุบัติเหตุ น้ำมันหมด ยางแตก ก็ตาม …

Car-Breakdown-On-Expressway

ภาพจาก Twitter pritcha

แต่ถ้าเกิดบนถนนธรรมดา ก็ไม่เท่าไหร่ แต่ดันไปเสีย ยางแตก หรือน้ำมันหมด บนทางด่วนนี่สิ! โชคร้ายเหมือนถูกหวย 90 ล้าน (แต่เป็นหวยปลอม) เลย เพราะจะต้องระวังกับเหตุที่จะเกิดขึ้นมาเพิ่มด้วย!

แต่ทุกปัญหาย่อมมีทางออก Carro ขอแนะนำหากรถเสียบนทางด่วน ต้องทำอย่างไร? เพื่อไม่ให้เกิดอุบัติเหตุซ้ำซ้อน ครับ.

Car-Breakdown-On-Expressway

  • เมื่อรู้ว่ารถเกิดปัญหาบนทางด่วน ไม่ว่าจะเหตุใดก็ตาม ตั้งสติให้ดี เเล้วนำรถเข้าชิดไหล่ทางด้านซ้ายของถนน เปิดไฟฉุกเฉินให้เรียบร้อย
  • โทรเเจ้ง 1543 EXAT Call Center สายด่วนการทางพิเศษแห่งประเทศไทย แจ้งเรื่อง เเจ้งพิกัดรถของคุณ สาเหตุอาการของรถ มีคนป่วยหรือบาดเจ็บในรถหรือไม่ หากต้องการรถลาก ควรเเจ้งเจ้าหน้าที่ให้พร้อม
  • หากโทรศัพท์มือถือแบตเตอรี่ดันหมด ให้เดินชิดไหล่ทางที่สุด หาโทรศัพท์ฉุกเฉินบนทางด่วน ที่ถูกติดตั้งไว้ทุกๆ 500 – 1,000 เมตร วิธีใช้ เพียงแค่กดปุ่ม ก็จะมีเจ้าหน้าที่รับสายที่ปลายทาง ให้แจ้งพิกัดหลัก กม. ของรถที่จอดเสียอยู่ โดยดูตัวเลขได้จากขอบทางฝั่งซ้ายเเละขวา แจ้งสาเหตุอาการของรถ และกลับไปนั่งรอในรถของท่าน เพื่อรอให้เจ้าหน้าที่ส่งทีมมาช่วยเหลือ
  • เปิดไฟสัญญาณฉุกเฉินไว้ตลอดเวลา

ขอบคุณข้อมูลจาก : การทางพิเศษแห่งประเทศไทย (กทพ.) กระทรวงคมนาคม
– Pantip เมื่อผมยางแตกบนทางด่วน

Carro-Driving-On-Road-Shoulder

ปัญหาที่แก้ไม่ได้ของสังคมไทย คือ การขับรถที่ไร้ระเบียบวินัย

Driving-On-Road-Shoulder

เวลาคุณขับรถบนทางด่วนช่วงเวลาเร่งด่วน ขับรถออกต่างจังหวัดช่วงเทศกาล คุณเคยสังเกตไหมครับว่า ที่ไหล่ทาง มักจะมีรถยนต์จำนวนมาก วิ่งคร่อมไหล่ทางบ้าง วิ่งในไหล่ทางบ้างล่ะ เพื่อที่จะไปปาด เบียดข้างหน้า หรือแซงข้างหน้า เป็นประจำ ทำให้รถติดมากขึ้น หรือเกะกะกีดขวางการจราจรของรถกู้ภัย หรือรถพยาบาล

ซึ่งเป็นการแสดงให้เห็นว่า ประเทศเรา หย่อนยานและละเลยในการปฏิบัติตามกฎจราจรมากๆ เป็นปัญหาที่ชาตินี้ ไม่มีทางแก้ไขและปฏิบัติอย่างเป็นรูปธรรมได้ซะที

ซึ่งก็ก่อให้เกิดอุบัติเหตุมาหลายต่อหลายครั้งแล้ว (ซึ่งไม่กี่วันก่อน ก็เพิ่งเกิดบนทางด่วนมาหมาดๆ) ก่อให้เกิดความสูญเสียในชีวิต และทรัพย์สินเป็นจำนวนมาก

Driving-On-Road-Shoulder

แก้ปัญหาไม่ได้ ก็วางแบริเออร์น้ำ ซะเลย …

พ.ร.บ. จราจรทางบกฯ พ.ศ. 2522 มาตรา 103 ระบุว่า ทางใดที่มีทางเท้า หรือไหล่ทาง อยู่ข้างทางเดินรถ ให้คนเดินเท้าเดินบนทางเท้าหรือไหล่ทาง ถ้าทางนั้นไม่มีทางเท้าอยู่ข้างทางเดินรถ ให้เดินริมทางด้านขวาของตน

… แสดงให้เห็นว่า บนถนนทั่วไป กฎหมายกำหนดให้ไหล่ทาง เป็นทางสำหรับคนเดินเท้า หรือสำหรับจักรยานปั่น ไม่ใช่ให้รถวิ่ง แต่บางที เจ้าหน้าที่ตำรวจจราจร ก็เรียกรถให้ไปวิ่งไหล่ในทางเพื่อระบายรถได้ ซึ่งก็ไม่ใช่ว่าใครก็ตาม จะเปิดเลนพิเศษเข้าไปวิ่งในไหล่ทางได้ตามอำเภอใจ

แม้จะมีตำรวจ โบกให้รถเข้าไปวิ่งในไหล่ทาง ในช่วงเวลาเร่งด่วน ก็ต้องระมัดระวังรถที่จอดอยู่ จักรยานที่ปั่นอยู่ หรือคนที่เดินสัญจรไปมา เพราะหากเกิดอุบัติเหตุขึ้น รถที่วิ่งไหล่ทางย่อมเป็นฝ่ายผิด เพราะฝ่าฝืนกฎจราจรเข้าวิ่งช่องทางที่ไม่ได้จัดไว้สำหรับเป็นทางเดินรถ แม้จะมีเจ้าหน้าที่ตำรวจโบกให้เข้าใช้ได้ก็ตาม

และสำหรับบนทางด่วน จะตีเส้นทึบไหล่ทางตลอดแนวห้ามรถเข้าไปวิ่ง ยกเว้นกรณีรถจอดเสีย หรือเกิดอุบัติเหตุ อนุญาตให้นำรถเข้าไปจอดชั่วคราวได้เพื่อความปลอดภัยและไม่ให้กีดขวางการจราจร … แต่ตำรวจทางด่วน ก็โบกรถให้รถสามารถเข้าไปวิ่งในไหล่ทางได้ ในช่วงเวลาเร่งด่วนด้วยเช่นกัน

Driving-On-Road-Shoulder

ภาพจาก Fanpage ลิงรู้เรื่อง

ด้าน พล.ต.ต.จิรพัฒน์ ภูมิจิตร รอง ผบช.น. ได้ชี้แจงว่า ไหล่ทางไม่ใช่ช่องทางเดินรถ แต่เป็นช่องทางสำหรับจอดรถกรณีเกิดเหตุฉุกเฉิน ไม่ว่ารถเสีย รถชน หรือเป็นช่องทางสำหรับรถพยาบาล รถฉุกเฉินที่จะนำผู้ป่วยส่งโรงพยาบาล แต่ปัจจุบันกลับพบว่ามีประชาชนที่ใช้ทางด่วนเข้าไปวิ่งไหล่ทางเป็นจำนวนมาก ส่งผลให้เกิดอุบัติเหตุกับรถที่จอดเสียบ่อยครั้ง

จน บช.น. ต้องหารือกับ การทางพิเศษแห่งประเทศไทย (กทพ.) เพื่อกำหนดมาตรการดูแลและป้องกันอุบัติเหตุ ไม่ว่าจะเป็นการบังคับใช้กฎหมายกับผู้ฝ่าฝืนวิ่งบนไหล่ทาง เพราะตามกฎหมายจราจรระบุ ไว้ชัดเจนว่า ห้ามรถเข้าไปวิ่งไหล่ทาง หากฝ่าฝืนเข้าไปวิ่งจะถือเป็นการกระทำความผิดฝ่าฝืนเครื่องหมายบนพื้นที่ มีโทษปรับไม่เกิน 1,000 บาท

ขอบคุณข้อมูลบางส่วนจาก